กระบี่จงมา 342.3-345.2
บทที่ 342.3 สะพานสีทองเหนือแม่น้ำ
ProjectZyphon
เหยาเจิ้นชอบคบค้าสมาคมอยู่กับเฉินผิงอันจริงๆ แม้ว่าเวลาส่วนใหญ่เฉินผิงอันจะไม่ได้พูดอะไร แม่ทัพผู้เฒ่าที่เวลาอยู่ในตระกูลและในกองทัพต่างก็ไม่ชอบพูดคุยยิ้มแย้ม ทว่าเมื่อมาอยู่กับเฉินผิงอันกลับคุยเก่งขึ้นมา ตอนนี้เขากำลังอธิบายถึงระดับขั้นของสิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่างเทพวารีเทพภูเขาของราชวงศ์ต้าเฉวียนให้เฉินผิงอันฟัง บอกว่านอกจากองค์เทพแห่งห้าขุนเขาแล้ว ก็เป็นเทพวารีแม่น้ำหมายเหอแห่งนี้ที่ระดับขั้นสูงสุด คือฟู่จวินใหญ่ท่านหนึ่ง ไม่เพียงแต่สามารถบุกเบิกพื้นที่สร้างจวนขึ้นได้ด้วยตัวเอง ขนาดของจวนยังเท่าเทียมกับอ๋องเจ้าเมืองในโลกมนุษย์ด้วย
เพียงแต่ว่าจวนเทพวารีมักจะปิดประตูอยู่ตลอดทั้งปี เทพวารีแม่น้ำหมายเหอแทบไม่เคยไปมาหาสู่กับใคร สองร้อยปีที่ผ่านมาเคยมีแค่ไม่กี่ครั้งเท่านั้นที่เขาเผยร่างจริง ส่วนใหญ่แล้วจะผลุบๆ โผล่ๆ เหมือนเจียวหลงที่ว่ายวนอยู่ในเมฆหมอกมากกว่า เนื่องจากควันธูปรุ่งโรจน์เกินไป อีกทั้งยังเหนือกว่าทวยเทพห้าขุนเขาที่สืบทอดระบบดั้งเดิมซึ่งได้รับการเคารพบูชามากที่สุดด้วย ทุกครั้งที่มีงานประจำปี คนหลายแสนคนจากเหนือจรดใต้ต่างก็ต้องมารวมตัวกันที่ริมแม่น้ำหมายเหอ เป็นเหตุให้เทวรูปร่างทองของเขาที่ตั้งบูชาอยู่ในศาลเทพวารีคล้ายตั้งอยู่ท่ามกลางไอน้ำตลอดทั้งปี
เหยาเจิ้นพูดกลั้วหัวเราะเสียงดังกังวานว่า “ขอแค่ทุกครั้งที่เจอกับภัยแล้ง ฮ่องเต้จะต้องเสด็จมาขอฝนที่ศาลเทพวารีด้วยตัวเอง ต่อให้ไม่สามารถมาได้ด้วยตัวเองก็ต้องส่งเชื้อพระวงศ์สกุลหลิวท่านหนึ่งให้ลงใต้มาพร้อมกับเจ้ากรมพิธีการ เทพวารีแม่น้ำหมายเหอแห่งนี้ศักดิ์สิทธิ์อย่างมาก เขาแทบจะไม่เคยทำให้ชาวบ้านต้าเฉวียนผิดหวังเลย”
พอได้ยินเหยาเจิ้นพูดเช่นนี้ เฉินผิงอันก็เริ่มเสียดายที่ไม่ได้เดินทางผ่านศาลเทพวารีแล้ว ไม่อย่างนั้นเขาก็คงได้ดื่มเหล้าบ๊วยพลางใช้มีดสลักทุกสิ่งที่พบเห็นลงไปในแผ่นไม้ไผ่
เดินตามแม่น้ำหมายเหอที่ระลอกคลื่นซัดกลิ้งหลุนๆ ไปประมาณสี่ห้าลี้ พวกเขาก็เจอเข้ากับผู้เฒ่าคนหนึ่งที่นั่งอยู่ริมตลิ่งเหม่อมองไปที่แม่น้ำ
เหยาเจิ้นหันกลับไปมองข้ารับใช้ผู้เฒ่า ฝ่ายหลังพยักหน้ารับเบาๆ แม่ทัพผู้เฒ่าถึงได้ก้าวยาวๆ เข้าหาผู้เฒ่าคนนั้น
สีหน้าของผู้เฒ่าทึ่มทื่อ แต่ลักษณะท่าทางยังแข็งแรงปราดเปรียว เพียงแต่ว่าตกใจกลุ่มของเหยาเจิ้นที่เดินมาจึงลุกขึ้นยืนอย่างลนลาน ลูกกระเดือกของเขาขยับขึ้นลงเพราะกลืนน้ำลายลงคอ หลังจากเอ่ยเรียกว่าท่านขุนนางอย่างขลาดๆ แล้วก็ไม่รู้ว่าควรจะทำอะไรต่อ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าควรวางมือสองข้างไว้ตรงไหนจึงจะดี
เหยาเจิ้นเรียกอีกฝ่ายว่าพี่ชาย บอกผู้เฒ่าว่าไม่ต้องตื่นเต้น จากนั้นก็ถามชวนคุยว่าบ้านเขาอยู่ที่ไหน ทำงานอะไร ผู้เฒ่าไม่กล้าปิดบังจึงตอบทุกคำถามตามความจริง คำตอบสุดท้ายของเขาทำให้ทุกคนตื่นตะลึง ที่แท้นอกจากผู้เฒ่าจะเป็นชาวไร่ชาวนาแล้วยังทำอาชีพช่วยคนงมศพอีกด้วย เขาจำเป็นต้องมาวนเวียนอยู่แถวแม่น้ำเป็นประจำ ตามกฎเกณฑ์เก่าแก่ที่สืบทอดกันมา คนที่ทำอาชีพเช่นเขาเรียกตัวเองว่าผีพรายน้ำ
เหยาเจิ้นสงสัยใคร่รู้จึงสอบถามเรื่องผีพรายน้ำกับเรื่องการงมศพอย่างละเอียด ผู้เฒ่าลังเลเล็กน้อย น่าจะเพราะรู้สึกว่าเรื่องนี้พูดลำบาก กลัวว่าหลังจากผู้สูงศักดิ์ทั้งหลายเหล่านี้ฟังแล้วจะรังเกียจ เหยาเจิ้นจึงเอ่ยปลอบใจด้วยถ้อยคำน่าฟังไปอีกรอบ ผู้เฒ่าถึงได้พูดเรื่องประเพณีท้องถิ่นบางอย่างและวิธีการมากมายที่ไม่มีใครรู้อย่างติดๆ ขัดๆ ที่แท้คนพายเรืออย่างพวกเขาที่เรียกว่าผีพรายน้ำนี้ถูกคนจ่ายเงินจ้างให้งมหาศพในแม่น้ำ หรือไม่หากเจอศพแล้วเอาขึ้นมา ถ้ามีคนมาตามหาศพ พวกเขาไม่สามารถเรียกร้องเงินทองได้ หากคนเหล่านั้นยินดีให้ก็รับไว้ แต่ถ้าไม่ให้ก็ต้องปล่อยไป คิดเพียงว่าเป็นการสั่งสมบุญกุศลในโลกแห่งความตาย ไม่อย่างนั้นไออัปมงคลจะติดตัวไปอย่างน้อยก็สามปี แต่หากญาติของศพไม่ยอมให้เงิน แล้วยังไม่ยอมเลี้ยงข้าวสักมื้อ รับรองว่าก็ต้องซวยเหมือนกัน
คงเป็นเพราะเห็นว่าใบหน้าของเหยาเจิ้นและเฉินผิงอันต่างก็เป็นมิตร พอได้ลองพูดแล้ว ผู้เฒ่าก็เริ่มไร้พันธนาการ ภาษาทางการต้าเฉวียนที่ตอนแรกฟังคลุมเครือเริ่มไหลรื่นมากขึ้น เป็นฝ่ายเล่าให้เหยาเจิ้นฟังถึงความพิถีพิถันในการงมศพ ระหว่างที่พูด ผู้เฒ่าท่าทางซื่อๆ ก็ยกยิ้มไปด้วย “ใต้เท้าคงไม่รู้ หากผู้ชายจมน้ำตาย หน้าจะคว่ำเข้าหาน้ำ แต่หากเป็นสตรีจะแหงนหน้าขึ้น เหมือนกันหมดโดยไม่มีข้อยกเว้น มองไปจากบนฝั่งก็รู้แล้วว่าเป็นชายหรือหญิง พอลากขึ้นฝั่งมาแล้ว หากไม่มีคนมารับศพก็ต้องช่วยฝังพวกเขาในสถานที่แห่งหนึ่งที่ห่างจากศาลท่านเทพวารีไปไม่ไกล จากนั้นค่อยไปจุดธูปสามดอกในศาล แล้วขอผ้าแดงเส้นหนึ่งมาจากนอกศาล เอามาพันไว้ที่ข้อมือ ก็จะถือว่าได้ทำความดี วันหน้าย่อมต้องได้รับสิ่งดีๆ ตอบแทน”
ผู้เฒ่าชำเลืองตามองผิวน้ำแม่น้ำหมายเหอแล้วสีหน้าก็เปลี่ยนมาเป็นเคร่งขรึม “แต่มีสองอย่างที่งมไม่ได้ อย่างแรกคือคนที่หลังจากตายแล้วยืนตัวตรงอยู่ในแม่น้ำ ไม่ว่าจะชายหรือหญิง พวกเราก็ไม่อาจไปลากขึ้นฝั่งได้ หากเส้นผมลอยอยู่เหนือผิวน้ำ มองเห็นหน้าตาไม่ชัด ต่อให้คนจ้างจ่ายเงินมากแค่ไหน พวกเราก็ไม่กล้าไปงม อีกอย่างก็คือพวกคุณหนูในตระกูลใหญ่ที่กระโดดน้ำฆ่าตัวตาย หากใช้ไม้ไผ่ลากมาสามครั้งแล้วยังไม่สามารถเอาขึ้นเรือได้ พวกเราก็จะไม่สนใจอีก เพราะหากศพนั้นโดนมือก็ล้วนไม่มีใครได้เจอเรื่องดี”
ตอนแรกเผยเฉียนยังฟังอย่างเพลิดเพลิน แต่ตอนหลังนางกลับรู้สึกชาไปทั้งหนังศีรษะ ไม่กล้ามองแม่น้ำหมายเหออีกแม้แต่ครั้งเดียว
ผู้เฒ่าคลายหัวคิ้วที่ขมวดเป็นปม ยิ้มซื่อๆ “วันใดที่จะไม่เป็นผีพรายน้ำแล้วก็ต้องหาช่วงเวลาที่แสงแดดส่องเจิดจ้ามาล้างมือที่ริมแม่น้ำ ถือเป็นการบอกกล่าวนายท่านเทพวารี”
เหยาเจิ้นพยักหน้ารับ ก่อนถามว่า “ตลอดหลายปีมานี้พี่ชายงมศพมามากน้อยแค่ไหนแล้ว?”
ผู้เฒ่าคิดแล้วก็ส่ายหน้า “จำไม่ได้แล้วล่ะ”
เหยาเจิ้นกล่าวเสียงหนัก “คนทำดีย่อมได้ดี พี่ชายอย่าได้รู้สึกว่าอาชีพงมศพนี้น่าอับอาย ทำบุญสั่งสมคุณความดีเป็นเรื่องดีนักล่ะ”
ผู้เฒ่ายิ้มเขินอาย “ใต้เท้าต้องเป็นขุนนางที่ดี เป็นนายท่านผู้เฒ่าฟ้าสีครามสดใสแน่ๆ” (ฟ้าสีครามสดใสมาจากคำว่าชิงเทียน เป็นสัญลักษณ์ของความเที่ยงตรง ยุติธรรม ดั่งเปาบุ้นจิ้นก็ถูกเรียกว่าเปาชิงเทียน)
นี่คือการชมเชยที่ผู้เฒ่าตั้งใจเค้นสมองคิดที่สุดแล้ว
เห็นว่าสีท้องฟ้าเริ่มมืดลง เหยาเจิ้นก็บอกลากับผู้เฒ่าด้วยรอยยิ้ม
เฉินผิงอันบอกว่าจะอยู่ต่ออีกสักครู่
ถึงท้ายที่สุดจึงเหลือแค่ผู้เฒ่าคนงมศพ เฉินผิงอัน เผยเฉียนและจูเหลี่ยน คนอื่นๆ ที่เหลือล้วนกลับไปที่จุดพักม้ากันหมด
จูเหลี่ยนเลียบแม่น้ำต่อไปอีกครั้ง
เฉินผิงอันนั่งลงข้างกายผู้เฒ่า ยื่นส่งน้ำเต้าบรรจุเหล้าไปให้ด้วยรอยยิ้ม “ท่านลุงดื่มเหล้าได้ไหม?”
ผู้เฒ่ารีบโบกมือปฏิเสธ “คุณชายอย่าเหยียบย่ำของดีๆ เลย ท่านเก็บไว้ดื่มเองเถอะ”
เฉินผิงอันยังคงยื่นมือออกมา “ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่าดื่มได้”
ผู้เฒ่ายังคงไม่กล้ารับกาเหล้าไป เฉินผิงอันจึงพูดกลั้วหัวเราะเบาๆ ว่า “ท่านลุงอาจจะไม่เชื่อ ข้าเองก็มีชาติกำเนิดที่ยากจนเช่นกัน เคยทำงานเป็นช่างปั้นในเตาเผามาหลายปี”
ผู้เฒ่าเห็นว่าคุณชายท่านนี้ไม่มีท่าว่าจะเก็บกาเหล้าไปจึงได้แต่รับมาอย่างระมัดระวัง ชูขึ้นสูง แหงนหน้ากระดกดื่มหนึ่งคำก็รีบคืนให้กับเฉินผิงอัน
ดื่มเหล้าไปหนึ่งคำแล้ว คาดว่าเขาคงลิ้มรสชาติอะไรไม่ออกทั้งนั้น แต่ใบหน้าของผู้เฒ่ากลับเป็นสีแดงปลั่ง ท่าทางดูดีใจมาก
เฉินผิงอันดื่มเหล้าบ๊วยหนึ่งอึกแล้วถามว่า “วันนี้ท่านลุงเห็นศพลอยผ่านไปบ้างหรือไม่?”
ผู้เฒ่าส่ายหน้า “ตอนนี้น้ำในท้องน้ำแห้งขอด ไม่ง่ายหรอกที่จะเห็นศพ”
กล่าวมาถึงตรงนี้คล้ายผู้เฒ่ารู้สึกได้ว่าตัวเองพูดผิดไป จึงกล่าวอย่างอึดอัดใจว่า “ไม่เห็นสิถึงจะดี”
เฉินผิงอันอืมรับหนึ่งที ดื่มเหล้าไปเงียบๆ
เดิมทีผู้เฒ่าก็มีนิสัยเป็นน้ำเต้าตันอยู่แล้ว วันนี้ที่พูดคุยกับเหยาเจิ้นได้มากขนาดนั้นอาจมากกว่าคำพูดทั้งหมดที่เขาพูดในเวลาปกติตลอดทั้งปีเลยก็ได้
เฉินผิงอันมองน้ำในแม่น้ำที่อยู่ตรงหน้าแล้วก็ไพล่นึกไปถึงลำคลองหลงซวีและแม่น้ำเถี่ยฝูของบ้านเกิด
ผู้เฒ่าพลันหันหน้ามายิ้มพูด “ถือว่าคุณชายอดทนจนได้ดิบได้ดีแล้ว”
เฉินผิงอันเกาหัว ไม่รู้ว่าควรจะตอบรับอย่างไร บอกว่าตัวเองไม่มีเงินก็เหมือนคนยืนพูดไม่ปวดเอว ยอมรับว่าตัวเองได้ดิบได้ดีแล้วก็เหมือนว่าจะไม่ถูกต้องสักเท่าไหร่
เผยเฉียนรู้สึกประหลาดใจยิ่งนัก ไม่รู้ว่าเฉินผิงอันมีอะไรให้พูดคุยกับผู้เฒ่าคนนี้นักหนา ในใจคิดว่าเวลาเจ้าอยู่กับผู้เฒ่าเหยาที่เป็นแม่ทัพใหญ่คนนั้นก็ไม่เห็นจะพูดอะไรเลยนี่นา
คนทั้งสามเงียบงันกันไปนาน จู่ๆ ผู้เฒ่าที่นั่งยองอยู่ริมแม่น้ำก็ถอนหายใจ มองไปทางผิวน้ำของแม่น้ำหมายเหอ “หากข้าพูดจาอัปมงคลไม่น่าฟังออกไป คุณชายอย่าได้โกรธเลยนะ”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ท่านลุงพูดมาได้เลย”
ผู้เฒ่าเอ่ยเบาๆ “ตอนที่บุตรชายของข้าอายุพอๆ กับคุณชายได้เจอกับคนน่าสงสารที่ไม่ควรงมขึ้นมา เขาไม่ฟังคำเกลี้ยกล่อม ดึงดันจะงมขึ้นมาบนฝั่ง ผ่านไปไม่กี่วัน เขาก็จากไป ข้าควรจะห้ามเขาเอาไว้”
ตอนที่พูดถึงเรื่องพวกนี้ ใบหน้าของผู้เฒ่าไม่ได้แสดงความเศร้าโศกมากนัก
สุดท้ายตอนที่ผู้เฒ่าจากไป เขาเอ่ยขอบคุณเฉินผิงอันหนึ่งคำ บอกว่าสุรารสชาติดี ตลอดชีวิตที่ผ่านมาเขายังไม่เคยดื่มสุราที่รสชาติดีแบบนี้มาก่อน
เฉินผิงอันลุกขึ้นมองส่งผู้เฒ่าที่เดินจากไปไกลเรื่อยๆ
เผยเฉียนยังคงไม่กล้ามองไปที่ผิวน้ำ
จูเหลี่ยนเดินย้อนกลับมาทางเดิมแล้ว เผยเฉียนถึงได้เริ่มใจกล้ามากขึ้น
เฉินผิงอันนั่งขัดสมาธิมองไปยังฝั่งตรงข้ามกับแม่น้ำ บอกให้จูเหลี่ยนพาเผยเฉียนกลับจุดพักม้าไปก่อน เพียงแต่ว่าเผยเฉียนไม่ยอม ยืนกรานจะอยู่ข้างกายเฉินผิงอันให้ได้ จูเหลี่ยนจึงได้แต่อยู่ริมแม่น้ำเป็นเพื่อนนางต่อ
เฉินผิงอันหลับตาลงคล้ายนอนหลับ
เผยเฉียนหยิบก้อนหินขึ้นมาอย่างเบื่อหน่าย แต่ไม่กล้าโยนลงไปในแม่น้ำ กลัวว่าหากไม่ระวังจะขว้างไปโดนศพที่ยืนอยู่ในแม่น้ำเข้า พอนางคิดถึงภาพที่ศพของสตรีคนหนึ่งผมยาวแผ่สยายอยู่บนผิวน้ำก็ขนลุกพรึ่บไปทั้งตัว เผยเฉียนขยับเข้าไปใกล้เฉินผิงอันตามจิตใต้สำนึก มือกำไม้เท้าเดินเขาไว้แน่น เริ่มท่องเนื้อหาในตำราเล่มนั้นในใจเงียบๆ เพื่อเพิ่มความกล้าให้กับตัวเอง
จูเหลี่ยนที่หลังโก่งงอหรี่ตามองไปไกล
สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาและแม่น้ำ ภูตผีปีศาจอะไร
จูเหลี่ยนคนบ้าคลั่งวรยุทธ์ย่อมไม่เห็นเป็นจริงเป็นจังอยู่แล้ว
เงียบงันกันไปนาน ท้องฟ้ามืดครึ้ม แล้วเผยเฉียนก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงตกตะลึง “บนแม่น้ำมีสะพานได้อย่างไร?”
จูเหลี่ยนอึ้งงันไปครู่ มองตามสายตาของเผยเฉียนไป สะพานอะไรกัน มีแค่คลื่นน้ำที่ไหลซัดสาดเท่านั้น
เผยเฉียนพยายามเบิกดวงตาให้กว้าง ดวงตาของนางเป็นประกายระยิบระยับ “ว้าว สะพานสีทอง!”
จูเหลี่ยนชำเลืองมองแผ่นหลังของเฉินผิงอัน แต่ก็ยังไม่เห็นความผิดปกติใดๆ
ผู้เฒ่าไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ได้แต่คิดว่านังหนูนิสัยพิลึกพิลั่นคนนี้กำลังพูดจาเลื่อนเปื้อน ต่อให้เจ้าโกหกว่าบนแม่น้ำมีศพลอยมาก็คงน่าเชื่อกว่าบอกว่าบนแม่น้ำมีสะพานสีทองกระมัง
เผยเฉียนรู้สึกสงสัย สีหน้าเลื่อนลอย
เพราะเหมือนนางได้ยินเสียงท่องหนังสือของเฉินผิงอัน และเนื้อหาที่เฉินผิงอันท่องก็เป็นบทที่เขาบอกให้เผยเฉียนท่องจำขึ้นใจพอดี นี่คือสิ่งเดียวที่เฉินผิงอันเรียกร้องให้นางจดจำเว้นจากตำราลัทธิขงจื๊อเล่มนั้น อีกทั้งยังตั้งใจใช้เหล็กหมาดหิมะเขียนลงไปช่วงท้ายของตำราเล่มนั้นด้วย ดังนั้นเผยเฉียนจึงจดจำได้อย่างลึกซึ้ง
เขาไม่เคยเต็มใจจะอธิบายหลักการเหตุผลใดๆ กับนาง เฉินผิงอันแค่พูดหลักการนอกตำรากับเฉาฉิงหล่างเท่านั้น เผยเฉียนจึงรู้สึกว่าประโยคนี้คือจุดเดียวที่นางเหนือกว่าเจ้าหนอนหนังสือน้อยผู้นั้น
เวลานี้นางที่ในใจอัดแน่นไปด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจจึงท่องบทนั้นออกมาเสียงดัง
คือประโยคที่ว่า “กลุ่มดาวบนฟ้าเคลื่อนโคจร ตะวันจันทราผลัดกันส่องแสง สี่ฤดูกาลผันเปลี่ยนควบคุมอากาศ หยินหยางเปลี่ยนแปลงหมื่นสรรพสิ่ง ลมฝนพร่างพรมทุกหย่อมหญ้า…”
คือประโยคที่ว่า “วิญญูชนไม่หุนหันพลันแล่น ทำการใดต้องมีเหตุผล วิญญูชนไม่พูดจาพร่ำเพื่อ จะพูดจาต้องมีเหตุผล วิญญูชนไม่ละโมบ ต้องแสวงหาในสิ่งที่ถูกต้องเหมาะสม วิญญูชนไม่ประพฤติตัวจอมปลอม ต้องประพฤติตัวมีคุณธรรม!”
—บทที่ 343.1 เที่ยวศาลเทพวารียามค่ำคืน
ProjectZyphon
เผยเฉียนจ้องเขม็งไปยังสะพานยาวสีทองพลางท่องคำสอนของอริยะปราชญ์ ส่วนจูเหลี่ยนครุ่นคิดอยู่ในใจ
สะพานยาวที่ทอดตัวข้ามแม่น้ำค่อยๆ หายไป เผยเฉียนรู้สึกคอแห้งเล็กน้อยจึงหมดอารมณ์ท่องหนังสือ นางอยากเรียนวิชาหมัดกับเวทกระบี่ แต่น่าเสียดายที่เฉินผิงอันไม่เต็มใจสอนนาง ส่วนพวกจูเหลี่ยน ต่อให้พวกเขาเต็มใจสอน เผยเฉียนกลับไม่เต็มใจจะเรียนด้วย
เฉินผิงอันยังคงอยู่ในสภาวะนั่งลืมตนที่มหัศจรรย์ ที่แปลกประหลาดไปมากกว่านั้นก็คือเขาค้นพบว่าร่างตัวเองเบาหวิว ดวงจิตหลุดพ้นจากกายมาลอยอยู่กลางอากาศ มองตัวเองที่นั่งขัดสมาธิ ในใจก็ให้รู้สึกแปลกๆ นี่ไม่เหมือนตอนที่หนึ่งดวงจิตแยกออกเป็นสามเมื่อครั้งประมือกับติงอิงและขันทีชุดหม่าง ดวงจิตออกจากร่างคราวนี้ จิตของเขาคล้ายคลึงกับเทพหยินในตำนาน เหมือนกับเทพหยินของวิญญูชนที่ออกไปจากโรงเตี๊ยมคืนนั้น เพียงแต่ว่าจงขุยมีทั้งเทพหยินและเทพหยาง แต่ ‘เฉินผิงอัน’ ในเวลานี้เมื่อถูกปราณวิญญาณและลมกรดที่ซุกซ่อนอยู่ในสายลมริมแม่น้ำหมายเหอพัดมาโดน ร่างของเขากลับไม่มั่นคง ล่องลอยไม่หยุดนิ่ง อยู่ไกลเกินกว่าจะเทียบเคียงกับการรวมตัวหนาแน่นมั่นคงของเทพหยินเทพหยางทั้งสองตนของจงขุยได้
หากจะบอกว่า ‘เฉินผิงอัน’ ผู้นี้เป็นแค่เด็กน้อยที่หัดเดิน ถ้าอย่างนั้นจงขุยก็คือชายฉกรรจ์ที่เดินขึ้นเขาลงห้วยได้เหมือนเดินบนทางราบแล้ว
ภาพเหตุการณ์ประหลาดในเวลานี้ ทั้งเผยเฉียนและจูเหลี่ยนต่างก็สัมผัสไม่ถึงแม้แต่น้อย
จิตของเฉินผิงอันสองคนขยับเคลื่อนเบาๆ แทบจะพร้อมกัน ในใจมีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมา วนเวียนไม่จางหาย เฉินผิงอันที่ล่องลอยไม่อยู่นิ่งหันหน้าไปมองตอนล่างของแม่น้ำหมายเหอแวบหนึ่ง จากนั้นเฉินผิงอันที่นั่งขัดสมาธิก็ลืมตาขึ้นเอ่ยเบาๆ ว่า “ข้าจำเป็นต้องฝึกยืนนิ่งเจี้ยนหลูอยู่ที่นี่ สถานการณ์ในคืนนี้แตกต่างออกไป ไม่อาจบอกอย่างละเอียดได้ เผยเฉียน จูเหลี่ยน พวกเจ้าอาจต้องช่วยเฝ้ายามแทนข้าสักสองสามชั่วยาม”
จูเหลี่ยนพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “นี่เป็นหน้าที่ของบ่าวเฒ่าอยู่แล้ว”
เผยเฉียนกระทืบเท้าหนึ่งที ก่อนทอดถอนใจอย่างเศร้าสร้อย “ก็น่าจะบอกกันแต่แรก ข้าจะได้พกขนมมากินเป็นอาหารมื้อดึกด้วย”
เฉินผิงอันที่ออกจากร่างก้าวหนึ่งก้าวเข้าหาแม่น้ำหมายเหอ พริบตาเดียวก็พุ่งออกไปสิบกว่าจั้ง จนกระทั่งมาหยุดอยู่บนผิวน้ำ เขาก็คล้ายท่อนไม้ที่ลอยขึ้นๆ ลงๆ อยู่ ‘ในน้ำ’ เฉินผิงอันหยุดยืนนิ่ง หลังจากปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมแปลกประหลาดที่เหมือนยืนเหยียบอยู่กลางอากาศสูงว่างเปล่าได้แล้วก็ดีดปลายเท้าหนึ่งที ร่างของเขาลอยลิ่วไปไกลมาก เฉินผิงอันโน้มตัวไปข้างหน้าเหมือนกบที่กระโดดเตะอยู่บนผิวน้ำแม่น้ำหมายเหอ ราวกับเทพเซียนบนภูเขาที่ทะยานลมอยู่กลางอากาศ หรือไม่ก็ขอบเขตเดินทางไกลขอบเขตที่แปดของผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัว
ชายแขนเสื้อสองข้างสะบัดพลิ้ว ทะยานลมเดินทางไกล
ตอนนี้เฉินผิงอันยังไม่รู้ตัวว่า ภายใต้โอกาสที่ประจวบเหมาะหลายอย่าง นี่คือเค้าโครงของเทพหยินของผู้ฝึกลมปราณแล้ว
ผลัดครรภ์เปลี่ยนกระดูก เสินชี่รวบรวมเป็นหนึ่ง นอกร่างมีร่าง คือจิตหยาง ชื่นชอบแสงสว่าง
ความคิดปลอดโปร่ง ออกจากความมืดเข้าสู่ความมืด ไร้พันธนาการ คือจิตหยิน ชื่นชอบท่องเที่ยวยามค่ำคืน
ไปเยือนศาลเทพวารียามค่ำ
เฉินผิงอันรู้สึกว่าแค่ได้ไปเห็นสักครั้งก็ยังดี ไปแปบเดียวก็กลับแล้ว
ส่วนเฉินผิงอันที่นั่งอยู่ริมตลิ่งนั้นกำลังหลับตา มือสองข้างทำท่ามุทราเจี้ยนหลู
แม้ว่าหนึ่งนั่งหนึ่งจิตล่องลอย แต่ทั้งสองฝ่ายต่างก็ผสานเป็นร่างเดียวกัน
ทุกสิ่งที่จิตหยินซึ่งออกจากช่องโพรงได้เห็นได้สัมผัส เฉินผิงอันที่หลับตาฝึกท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลูก็ล้วนเห็นและสัมผัสอย่างชัดเจนเหมือนอยู่ในเหตุการณ์ด้วยตัวเอง
ความมหัศจรรย์ของมหามรรคานั้นลี้ลับสุดจะหยั่ง
จนกระทั่งบัดนี้เฉินผิงอันถึงเพิ่งเข้าใจว่าเหตุใดคนที่ฝึกตนถึงพากันออกห่างจากโลกมนุษย์ มุ่งมั่นตั้งใจฝึกตนเพียงอย่างเดียว มุ่งหน้าเดินขึ้นสู่ที่สูงมองไปไกล คิดดูแล้วคงเป็นเพราะทัศนียภาพในสายตาของผู้ฝึกลมปราณคือจุดสูงของนอกโลกแล้ว
เวลานี้เฉินผิงอันที่อยู่ริมแม่น้ำมองดูเหมือนฝึกท่าเจี้ยนหลู แต่ในความเป็นจริงแล้วเขากลับจินตนาการถึงสะพานยาวอยู่ในใจตัวเองอีกครั้ง
เมื่อเทียบกับสองครั้งที่อยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัวถือว่ามั่นคงขึ้นเยอะมาก แม้ลางสังหรณ์ของเขาจะบอกว่ายังไม่อาจเดินขึ้นสะพานเพื่อข้ามผ่านแม่น้ำ
แต่หากคิดจะขึ้นไปบนสะพานเพื่อมองแม่น้ำกลับทำได้แล้ว หากไม่เป็นเพราะข้างกายมีจูเหลี่ยน เฉินผิงอันก็อยากจะลองเดินขึ้นไปดูจริงๆ
การที่คืนนี้เขามีนิมิตเช่นนี้เป็นเพราะคิดถึงคำกล่าวว่าวิญญูชนช่วยหรือไม่ช่วย และยังคิดถึงความเกี่ยวข้องระหว่างช่วยคนอื่นและช่วยตัวเอง
พาเผยเฉียนมาไว้ข้างกาย เฉินผิงอันแค่อยากจะให้นางท่องหนังสืออ่านหนังสือ แต่ไม่เคยพูดถึงหลักการหรือเหตุผลใดๆ ที่ตัวเองใคร่ครวญออกมาได้กับนาง แต่ขอแค่ได้เห็นการกระทำ เห็นคำพูดคำจาแต่ละอย่างของเผยเฉียนกลับเหมือนการส่องกระจกดูตัวเอง เฉินผิงอันจึงอดหันกลับมาทบทวนตัวเองไม่ได้ เนื้อหามากมายในตำรา เฉินผิงอันมักจะสัมผัสได้ไม่ลึกซึ้งนัก ไม่เคยรู้ถึงความหมายที่แท้จริง แต่เมื่อมีเผยเฉียนอยู่ เฉินผิงอันก็จะคิดให้มากขึ้นอีกนิด ยกตัวอย่างเช่นวิญญูชนต้องหมั่นทบทวนตัวเอง ควบคุมตัวเองให้อยู่ในมารยาทพิธีการ สำรวมตน…
อ่านตำราหมื่นเล่ม เขียนตัวอักษรจึงมีท่วงทำนอง
ประเสริฐยิ่ง
เผยเฉียนท่องตำราเล่มที่หนึ่งได้จนแตกฉานขึ้นใจแล้ว ดูท่าคืนนี้หลังจากเขาไปเที่ยวชมศาลเทพวารีกลับมาก็น่าจะให้เผยเฉียนเริ่มอ่านตำราเล่มที่สองได้แล้ว
การอ่านหนังสือไม่ได้ดูว่าอ่านมากกี่เล่ม แต่ต้องดูว่าอ่านเข้าท้องตัวเองไปกี่ตัวอักษรกันแน่
หลักการที่ไม่ใช่หลักการนี้สามารถพูดกับเผยเฉียนได้ แต่คาดว่านางน่าจะเห็นเป็นลมที่พัดผ่านข้างหูเสียมากกว่า
เล่าลือกันว่ามีภิกษุรูปหนึ่ง รู้จักตัวอักษรไม่มาก แต่พออ่านคัมภีร์หนึ่งบทกลับบรรลุพระธรรม
……
ริมแม่น้ำหมายเหอ มีคนสองคนพุ่งทะยานผ่านมาราวกับสายรุ้ง เรือนกายของพวกเขาพร่าเลือน ทะยานร่างไปยังตอนปลายของแม่น้ำอย่างเร่งร้อน
พอเห็นสามคนที่อยู่ริมน้ำพวกเขาก็พยักหน้าให้เบาๆ ถือเป็นการทักทายแล้ว
รอจนพวกเขาหายไปท่ามกลางม่านราตรี จูเหลี่ยนถึงดึงสายตากลับมา
ที่แท้หลังจากกลับไปถึงจุดพักม้า อาจารย์และศิษย์สองคนที่เปลี่ยนมาสวมชุดคลุมเต๋าก็บอกกับเหยาเจิ้นว่าคืนนี้พวกเขาต้องออกไปทำธุระข้างนอก ก่อนฟ้าสว่างจะกลับมาที่โรงเตี๊ยม
เหยาเจิ้นไม่ขัดขวาง และในความเป็นจริงแล้วเขาก็ขวางไว้ไม่อยู่ คนทั้งสองคือข้ารับใช้สกุลหลิวที่ปักหลักอยู่ชายแดน แม้แต่เหยาเจิ้นที่เป็นเจ้าประมุขตระกูลเหยา เป็นผู้คุมกองทัพม้าเหล็กก็ยังไม่รู้ภูมิหลังหรือต้นกำเนิดสำนักของคนทั้งสอง เหยาเจิ้นถึงขั้นสงสัยว่าอาจารย์และศิษย์จากลัทธิเต๋าคู่นี้รับคำสั่งโดยตรงจากฮ่องเต้เลยหรือเปล่า ทั้งทำหน้าที่ป้องกันไม่ให้ผู้ฝึกตนใหญ่ของเป่ยจิ้นมาลอบสังหารตนจนเกิดความวุ่นวายขึ้นในกองทัพ ขณะเดียวกันก็จับตามองความเคลื่อนไหวของกองทัพชายแดนตระกูลเหยาด้วย ถึงอย่างไรเขาก็มีญาติที่เกี่ยวดองทางการแต่งงานซึ่งเพิ่งจะปลดระวางจากตำแหน่งเจ้ากรมขุนนางไป
ด้วยเรื่องนี้เหยาเจิ้นยังเคยไปถามเหยาจิ้นจือเป็นการส่วนตัวว่าจำเป็นต้องจงใจตีสนิทกับข้ารับใช้สองคนนั่นหรือไม่ ไม่หวังให้พวกเขาปกป้องลูกหลานสกุลเหยาที่จะแตกกิ่งก้านสาขาอยู่ในเมืองเซิ่นจิ่งภายภาคหน้า แต่อย่างน้อยก็ฉวยโอกาสนี้ผูกบุญสัมพันธ์กันไว้
แต่นางกลับไม่เห็นด้วย บอกว่าสถานะของคนทั้งสองพิเศษ ห้ามคิดดึงพวกเขามาเป็นพวกโดยพลการเด็ดขาด ขุนนางรับใช้ฮ่องเต้ หากฮ่องเต้มีพระปรีชา ความเฉลียวฉลาดอันดับหนึ่งของคนเป็นขุนนางก็คืออย่าคิดจะคาดเดาจิตใจของฮ่องเต้ คิดมากไปก็ไร้ประโยชน์ แต่นี่พูดถึงแค่ขุนนางที่เฝ้าพิทักษ์ชายแดนอย่างตระกูลเหยาเท่านั้น หากเป็นขุนนางใกล้ชิดฮ่องเต้ก็อีกเรื่องหนึ่ง เหยาเจิ้นกลับไม่ยินยอม ชีวิตของคนในตระกูลถูกแขวนอยู่บนเส้นด้ายสองครั้ง หากไม่เป็นเพราะเฉินผิงอันยื่นมือเข้าช่วยเหลือทั้งสองครั้ง ป่านนี้พวกเขาก็ไม่มีชีวิตรอดกันแล้ว ไม่แน่ว่าอาจจะยังถูกใส่ร้ายด้วยข้อหาว่าสมคบคิดกับศัตรูต่างแคว้น วางแผนคิดช่วงชิงบัลลังก์ด้วยก็เป็นได้ หากตอนนี้ยังคิดจะวางตัวให้พ้นจากความยุ่งยาก ไม่สนใจผู้ใด พอไปถึงเมืองเซิ่นจิ่ง ข้างกายไร้กองทัพชายแดนช่วยหนุนหลังให้ ก็ไม่เท่ากับว่ายิ่งต้องตกอยู่ในอันตรายยากจะคาดเดาหรอกหรือ?
เหยาเจิ้นนึกถึงเจ้าเมืองผู้เป็นลูกศิษย์ที่ลงจากหลังม้ามาเป็นขุนนางฝ่ายบุ๋นผู้นั้น ในใจก็ให้รู้สึกกระอักกระอ่วน หรือว่าจะเป็นอย่างที่หลานสาวกล่าวไว้ วันหน้าตนต้องคอยคบค้าสมาคมกับพวกตะพาบน้อยเหล่านี้จริงๆ หรือ?
เหยาจิ้นจือพูดกลั้วยิ้มว่าตรงกันข้ามกันเลยทีเดียว ปีนั้นหลังจากท่านอาน้อยแต่งงานไปอยู่เมืองหลวง ตระกูลเหยาของพวกเรายังคิดแต่จะกวาดหิมะหน้าบ้านตัวเอง (อุปมาว่าสนใจเรื่องของตัวเอง ไม่ยุ่งเรื่องคนอื่นให้มากเกินไป) ไม่ว่าเรื่องใดก็ทำตามกฎบ้านกฎของบรรพบุรุษอย่างเดียว นั่นผิดแล้ว เมื่อไปถึงเมืองเซิ่นจิ่ง ภายใต้เงื่อนไขที่ทางราชสำนักยอมรับในตัวท่านปู่ หากท่านเลือกรักษาตัวรอดอย่างมีหลักการต่อไป นั่นจึงจะถูกต้อง แต่หากคิดจะงัดข้อและแข่งเรื่องคนหนุนหลังกับพวกตระกูลสูงศักดิ์ ตระกูลขุนนางผู้มีคุณูปการเหล่านั้น ตระกูลเหยาก็อย่าหวังว่าจะหยัดยืนได้อย่างมั่นคงอยู่ในเมืองหลวง แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ทำอะไรเลยสักอย่าง ปล่อยให้คนอื่นคิดจะบีบหรือคลายได้ตามใจขอบ
เหยาจิ้นจือเอ่ยประโยคภาษาฉาน (นิกายหนึ่งของศาสนาพุทธหรือนิกายเซน) ที่มีชื่อเสียงว่า “เดินหาแหล่งกำเนิดของน้ำ นั่งมองเมฆาเปลี่ยนแปรผัน”
เหยาเจิ้นทอดถอนใจด้วยความปลงอนิจจังอย่างถึงที่สุด
ตอนนั้นเหยาจิ้นจือยังอายุน้อย จึงอาศัยเรื่องที่หลี่ซีหลิงซึ่งแต่งงานกับอาหญิงน้อยนั่งคุกเข่าอยู่นอกศาลบรรพชนของตระกูลเหยาในวันที่หิมะตกหนักอ้างคำพูดของบิดามาเสนอความเห็นกับเหยาเจิ้นผู้เป็นปู่ ความหมายคร่าวๆ ก็คือว่าตระกูลเหยารักษากฎบรรพชนมานานหลายร้อยปี การแหกกฎครั้งนี้ คนทั้งตระกูลเหยารู้ว่าเป็นเพราะความจริงใจที่คนทั้งสองมีให้กัน แต่คนนอกไม่สนใจเรื่องพวกนี้ เมืองเซิ่นจิ่งไม่สน ฮ่องเต้ก็ไม่สน กฎบรรพบุรุษที่บอกว่าหญิงสาวสกุลเหยามิอาจแต่งงานกับตระกูลสูงศักดิ์ ในเมื่อแหกกฎไปแล้วครั้งหนึ่ง ถ้าอย่างนั้นกองทัพตระกูลเหยาที่จงรักภักดีกับตระกูลหลิวจะแหกกฎอีกครั้งหรือไม่?
ไม่มีครั้งแรกก็ไม่มีครั้งที่สอง แต่พอมีครั้งแรกแล้ว ครั้งที่สอง สาม สี่ก็จะตามมาติดๆ นี่ต่างหากถึงจะเป็นหลักปกติทั่วไป
ท่านปู่ หากข้าเหยาจิ้นจือเป็นคนนอกก็ยังอดสงสัยไม่ได้ว่าเป็นเพราะสกุลเหยาอยู่ห่างไกลเกินไปเลยรู้สึกอัดอั้นตันใจหรือเปล่า
แม่ทัพผู้เฒ่าได้ยินนางเอ่ยเช่นนี้ ใบหน้าก็เต็มไปด้วยโทสะ ทว่าในใจกลับมีความเศร้าเสียใจมากกว่า
เหยาจิ้นจือส่งชาถ้วยหนึ่งให้ท่านปู่ด้วยสีหน้าเป็นธรรมชาติ พูดกลั้วยิ้มว่า “แม่ทัพดื่มสุราช่วยให้เกิดความห้าวเหิม แต่เมื่อไปถึงเมืองเซิ่นจิ่ง ท่านปู่เป็นขุนนางก็ควรต้องดื่มชากระมัง”
เหยาเจิ้นรับถ้วยชามาด้วยความโมโห ยังคงกระดกดื่มรวดเดียวหมดเหมือนดื่มเหล้า
เหยาจิ้นจือคลี่ยิ้มหวานส่งให้
……
เงาร่างของนักพรตสองคนที่อยู่ริมแม่น้ำพลันเป็นเหมือนควันเขียวสองกลุ่มที่มีความเร็วเหนือกว่าควบม้ามากนัก
อาจารย์และลูกศิษย์คู่นี้ ผู้เฒ่ามีชาติกำเนิดจากลัทธิเต๋านอกรีตแห่งหนึ่งที่มีชื่อว่าอารามจินติ่ง อย่าเห็นว่าคำว่านอกรีตไม่น่าฟัง อันที่จริงแล้วถือว่าร้ายกาจอย่างมากแล้ว ลัทธิเต๋าที่นอกจากสำนักซึ่งมีตัวอักษรคำว่าจงแล้ว พวกที่มีคุณสมบัติจะเลื่อนเป็นสำนักนอกรีตได้นั้น ในหนึ่งทวีปไม่ถือว่ามีเยอะ
นักพรตเต๋าจากอารามจินติ่งชอบฝึกตนอยู่โลกมนุษย์ จำนวนมีไม่มากนัก ไม่ถึงหนึ่งร้อยคน แต่พอเข้ามาอยู่ในโลกมนุษย์กลับมักจะอำพรางชื่อแซ่ ไม่ชอบพึ่งพาสำนักและเหล่าบุรพาจารย์
เจ้าอารามจินติ่งคนปัจจุบันอายุมากถึงห้าร้อยปีแล้ว คือเซียนดินก่อกำเนิดตัวจริงเสียงจริงคนหนึ่ง และมีชื่อเสียงอย่างมากในทางเหนือของใบถงทวีป
ชื่อทางโลกของผู้เฒ่าคืออิ่นเมี่ยวเฟิง ฉายาทางเต๋าคือนักพรตเป่าเจิน ซึ่งเอามาจากประโยคที่ว่า ‘ในชีวิตอมตะยาวนาน รักษาธรรมชาติของตนสืบไป’ (เป่าเจินมาจากคำว่ารักษาธรรมชาติของตน) เป็นคนของสายเจ้าอารามจินติ่ง
เส้ายวนหรานคือลูกศิษย์สืบทอดเพียงหนึ่งเดียวของเขา หลังจากที่อิ่นเมี่ยวเฟิงลงจากเขามาอยู่ในโลกมนุษย์ก็บังเอิญได้พบเจอกับเด็กหนุ่มเส้ายวนหราน เขาใช้เวลาถึงสิบสี่ปีเต็มถึงจะตัดสินใจรับเขาเป็นลูกศิษย์ของตัวเอง ระหว่างนี้นักพรตเป่าเจินได้ตั้งการทดสอบใหญ่ไว้สามครั้ง เส้ายวนหรานล้วนผ่านได้ทุกครั้ง ทั้งจิตใจและพรสวรรค์ของเขาล้วนเป็นคนเหนือคนอย่างไม่ต้องสงสัย
เส้ายวนหรานติดตามนักพรตเป่าเจินไปที่อารามจินติ่งรอบหนึ่ง ได้เข้าพบเจ้าอาราม กราบภาพแขวนของอาจารย์ปู่ในห้องโถงใหญ่ ได้รับการบันทึกชื่อลงในทำเนียบของสำนัก นับจากนั้นก็กลายเป็นลูกศิษย์รุ่นที่ใช้อักษรคำว่าเฉียนของอารามจินติ่งอย่างเป็นทางการ สุดท้ายติดตามอาจารย์มาที่ราชวงศ์ต้าเฉวียน อาจารย์และศิษย์สองคนจับมือกันกลายมาเป็นข้ารับใช้ของสกุลหลิว รับผิดชอบจับตามองสภาพการณ์ทางชายแดนทิศใต้มาเป็นเวลานานถึงสิบปีแล้ว
อย่าเห็นว่าเส้ายวนหรานที่รูปร่างสะโอดสะองดุจต้นไม้หยกต้องลมมีโฉมหน้าเหมือนคนอายุยี่สิบ อันที่จริงเขาอายุสี่สิบปีแล้ว
สองอาจารย์และศิษย์ต่างก็เป็นผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกร นักพรตเป่าเจินคิดว่าชีวิตนี้ตัวเองคงไม่มีความหวังจะได้เป็นโอสถทองแล้ว เส้ายวนหรานมีพรสวรรค์โดดเด่นกว่าเขา อายุน้อยแค่นี้ก็กลายเป็นขอบเขตประตูมังกรเหนือชมมหาสมุทรแล้ว มีพรสวรรค์ในการฝึกตนอย่างแท้จริง เจ้าอารามได้ยินว่าเส้ายวนหรานฝ่าทะลุขอบเขตอยู่ที่ชายแดนต้าเฉวียนก็ถึงกับสั่งให้คนลงจากเขา นำอาวุธอาคมหนึ่งชิ้นของสำนักมามอบให้ อีกทั้งยังรับปากว่าขอแค่เส้ายวนหรานได้เลื่อนขั้นเป็นขอบเขตโอสถทองสำเร็จก็จะมอบสมบัติพิทักษ์สำนักที่สืบทอดกันมาเป็นพันปีให้เขา รอให้เขาเส้ายวนหรานกลับไปรับที่ภูเขาด้วยตัวเอง ถือเป็นของขวัญแสดงความยินดี
ดังนั้นอิ่นเมี่ยวเฟิงจึงหวังอาศัยรากฐานที่แน่นหนายิ่งใหญ่ของสกุลหลิวต้าเฉวียนมาช่วยให้เส้ายวนหรานพัฒนาไปอีกขั้น กลายเป็นผู้ฝึกตนโอสถทองที่เป็นเทพเซียนอย่างแท้จริง
ผู้ฝึกลมปราณที่ขอบเขตต่ำกว่าโอสถทองลงมาล้วนยังอยู่ในกรงขังเล็กใหญ่สองใบ
เกี่ยวกับเรื่องที่แม่ทัพผู้เฒ่าเหยาเจิ้นเดินทางไปรับตำแหน่งที่เมืองหลวง เส้ายวนหรานอดทนมานานแล้ว ในที่สุดคืนนี้ทนไม่ไหวจึงต้องเปิดปากถาม “อาจารย์ สกุลเหยาจะข้ามผ่านหายนะครั้งนี้ไปได้ทั้งอย่างนี้จริงๆ หรือ?”
อิ่นเมี่ยวเฟิงถาม “ทำไม ผิดหวังมากนักหรือ? สกุลเหยาสามารถถอนตัวออกมาได้อย่างปลอดภัย เหยาจิ้นจือสามารถมีชีวิตที่สงบสุขมั่นคงของนางต่อไป ไม่แน่ว่าเมื่อไปถึงเมืองเซิ่นจิ่งก็อาจได้แต่งเข้าตระกูลสูงศักดิ์สักตระกูลอย่างรวดเร็ว จวนตระกูลใหญ่ลึกดุจมหาสมุทร ยากที่จะได้พบหน้ากันอีก ดังนั้นเจ้าเลยไม่ค่อยสบอารมณ์สักเท่าไหร่?”
เส้ายวนหรานส่ายหน้ายิ้มกล่าว “ผิดหวังเป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้อยู่แล้ว ก็แค่ต้องตั้งใจฝึกตนปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติเท่านั้น หากสกุลเหยาล่มสลาย ศิษย์ย่อมสามารถปกป้องเหยาจิ้นจือไว้ใต้ปีกของตัวเองได้ แต่ในเมื่อสกุลเหยาผ่านหายนะมาได้ก็หมายความว่าวาสนาระหว่างข้ากับเหยาจิ้นจือยังไม่มาถึง ไม่จำเป็นต้องฝืนชะตา วันหน้ายังมีโอกาส”
อิ่นเมี่ยวเฟิงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ภูเขาลึกย่อมมีต้นไม้พันปี แต่ในโลกมนุษย์น้อยนักที่จะมีคนอายุร้อยปี เหยาจิ้นจือไม่ใช่ผู้ฝึกตน วันนี้นางมีรูปโฉมงดงามเย้ายวน เจ้าจะหวั่นไหวก็เป็นเรื่องปกติ แต่อีกยี่สิบปีให้หลัง ต่อให้โชควาสนามาถึง แต่นางก็กลายเป็นหญิงแก่ดั่งไข่มุกเก่าเหลืองซีดแล้ว ถึงเวลานั้นหากเจ้าโชคดี ไม่แน่ว่าอาจจะกลายเป็นเทพเซียนพสุธาท่านหนึ่งแล้ว ยังจะมีจิตหวั่นไหวกับสตรีธรรมดาที่ความงามร่วงโรยอีกหรือ?”
เส้ายวนหรานยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นก็รอให้ถึงตอนนั้นก่อนค่อยว่ากัน”
เส้ายวนหรานเงียบไปครู่หนึ่ง หูฟังเสียงลมที่พัดหวีดหวิว ถามว่า “อาจารย์ ครั้งนี้พวกเราไปเยือนจวนปี้โหยวกะทันหันด้วยเรื่องอะไร? เกี่ยวข้องกับกระบี่บินส่งข่าวจากเมืองหลวงที่ได้รับมาเมื่อวานหรือ?”
อิ่นเมี่ยวเฟิงยิ้มบาง “สรุปคือไม่ใช่เรื่องเล็กก็แล้วกัน”
เส้ายวนหรานยิ้มอย่างจนใจ ในเมื่ออาจารย์ไม่เต็มใจจะพูด เขาก็ได้แต่สะกดกลั้นความอยากรู้เอาไว้ในใจเท่านั้น
จวนปี้โหยวก็คือจวนของเทพวารีแม่น้ำหมายเหอท่านนั้น ซึ่งคล้ายคลึงกับจวนจินหวงของเทพภูเขาที่ถูกองค์ชายสามจับกุมตัวไปคุมขังก่อนหน้านี้
เพียงแต่ว่าจวนจินหวงไม่มีเจ้าของอยู่แล้ว ตอนนี้น่าจะกลายเป็นจุดศูนย์รวมของพวกภูตผีปีศาจแทนแล้ว
บทที่ 343.2 เที่ยวศาลเทพวารียามค่ำคืน
ProjectZyphon
ผ่านเหตุการณ์ในครั้งนี้ โชคชะตาลำคลองและภูเขาของแคว้นเป่ยจิ้นถูกทำลายอย่างหนัก อีกไม่นานเจ้าเมืองเทพภูเขาจินหวงก็จะถูกคุมตัวส่งไปที่เมืองเซิ่นจิ่ง ส่วนศาลเทพวารีทะเลสาบซงหูที่ไม่ถูกกันมานานหลายร้อยปีก็ยิ่งพินาศเร็วกว่า พวกกากเดนที่เหลือของศาลเทพวารีมีเพียงพวกกุ้งหอยปูปลาตัวน้อยที่ไม่เป็นโล้เป็นพาย หากไม่ทำให้พื้นที่แถบนั้นวุ่นวายก็ถือว่าเป่ยจิ้นโชคดีแล้ว
แต่เส้ายวนหรานก็พลันนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ เขาหลุดหัวเราะพรืด ฮูหยินเทพภูเขาที่เพิ่งแต่งเข้าจวนเจ้าเมืองจินหวงกลับต้องกลายเป็นนักโทษในชั่วพริบตา สตรีผู้นี้โชคไม่ดีเลยจริงๆ เดิมนึกว่าสามีภรรยาจะได้ครองรักกันไปหลายร้อยปี น่าอิจฉายิ่งกว่าคู่ยวนยางชายหญิงในโลกมนุษย์ ไหนเลยจะคิดว่าจุดจบจะเป็นเช่นนี้ เพียงแต่ไม่รู้ว่าเมืองเซิ่นจิ่งจะจัดการกับนางอย่างไร
แต่เรื่องหยุมหยิมไม่สลักสำคัญเหล่านี้ก็เป็นแค่เรื่องสนุกน่าสนใจบนเส้นทางของการฝึกตนเท่านั้น
สิ่งที่สายตาของเส้ายวนหรานมองเห็นคือความอิสระเสรีบนมหามรรคาของเหล่าผู้อาวุโสเซียนดินทั้งหลาย สิ่งที่ในใจของเขาคิดถึงคือความเป็นอมตะไม่เสื่อมสลาย มีชีวิตยืนยาวเคียงคู่ฟ้าดิน
ความห้าวเหิมเอ่อล้นอยู่ในใจของเส้ายวนหราน เห็นว่าบนชายฝั่งทั้งสองด้านของลำคลองหมายเหอไร้ผู้คนจึงพูดกลั้วหัวเราะเสียงดัง “อาจารย์ ข้าจะลองเลียนแบบเจียวหลงลงแม่น้ำดูบ้าง!”
นักพรตหนุ่มแห่งอารามจินติ่งกล่าวจบก็พลิ้วกายไปที่ผิวน้ำ เอาเท้าเหยียบลงไปเบื้องล่าง ทุกครั้งที่ฝ่าเท้าของเขาสัมผัสกับน้ำก็จะมีสะเก็ดน้ำลูกใหญ่ยักษ์กระจายออกมา เพียงแต่ว่าบนชุดเต๋าของเขากลับไม่เปียกน้ำสักหยด
อิ่นเมี่ยวเฟิงยังคงทะยานตัวอยู่ริมลำคลอง เห็นท่าทางของลูกศิษย์ผู้เป็นที่ภาคภูมิใจของตัวเองแล้วก็ด่ากลั้วหัวเราะเบาๆ “เจ้าเด็กบ้า วันหน้าเป็นเซียนพสุธาแล้วยังจะทำตัวแบบนี้อีกไหม?!”
……
เฉินผิงอันรู้แค่ระยะห่างและตำแหน่งคร่าวๆ ของศาลเทพวารีเท่านั้น แต่โชคดีที่แค่ล่องไปตามลำน้ำแล้วคอยจับตามองชายฝั่งทั้งสองข้างก็พอ
ตามคำบอกของเหยาเจิ้นและเหยาจิ้นจือ ตอนล่างของลำคลองซึ่งห่างจากจุดพักม้าไปสามร้อยลี้ก็คือที่ตั้งของศาลเทพวารีหมายเหอแล้ว ศาลแห่งนี้สร้างขึ้นบนภูเขาลูกเล็กไร้นาม เนินเขาราบเรียบ ทุกวันที่หนึ่งถึงสิบห้าของเดือนสามของทุกปี งานจุดธูปบูชาเทพเจ้าจะมีคนมารวมตัวกันมากถึงหลายร้อยคน คึกคักมากเป็นพิเศษ ขุนนางและชนชั้นสูงของเขตการปกครองที่อยู่ใกล้เคียงก็จะตั้งโรงทานแจกโจ๊กแจกน้ำชาระหว่างช่วงที่มีงานวัด
ตอนนั้นเหยาเจิ้นพูดทอดถอนใจหนึ่งประโยค บอกว่าการเปิดจวนของสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาและแม่น้ำคือธรณีประตูใหญ่แห่งที่หนึ่ง หากสามารถเลื่อนขั้นจวนให้เป็นตำหนักได้ นั่นถึงจะเรียกว่าบรรลุถึงระดับที่สูงส่งอย่างแท้จริง
ไม่ต่างจากการที่ตระกูลเซียนบนภูเขาได้รับคำว่าจง (สำนัก) ใส่เข้ามาในชื่อ
ส่วนเหยาจิ้นจือกลับพูดถึงเรื่องประหลาดอีกเรื่องหนึ่งของศาลเทพวารี บอกว่าในห้องปีกข้างตั้งบูชาเทวรูปของเจ้าแม่หลิงก่านไว้องค์หนึ่ง ซึ่งศักดิ์สิทธิ์เรื่องการประทานบุตรอย่างมากจนชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วทิศ แทบทุกวันจะต้องมีสตรีแต่งงานแล้วจากแดนไกลเดินทางมาเยือน ส่วนใหญ่ล้วนเป็นคนจากตระกูลสูงศักดิ์ร่ำรวยที่ตั้งครรภ์ได้ยาก เมื่อมาถึงจะมายังเรือนปีกข้างของศาลเทพวารีแห่งนี้ จุดธูปกราบไหว้ บริจาคเงินเล็กน้อยก็สามารถขอตุ๊กตาดินเหนียวตัวจิ๋วที่ตรงเอวผูกด้ายสีแดงจากหญิงชราที่เฝ้าศาลไปได้หนึ่งตัว เอาไปผูกไว้ที่ข้อมือ หากกลับบ้านเกิดแล้วมีลูกได้สมใจปรารถนาก็ไม่จำเป็นต้องเอากลับมาคืน แค่ห้ามทิ้งตุ๊กตาดินเหนียวที่เอากลับบ้าน ต้องเอาไปบูชา ถือเป็นการแสดงความขอบคุณต่อเจ้าแม่หลิงก่านอยู่ไกลๆ
แต่สิ่งที่เฉินผิงอันต้องการเห็นอย่างแท้จริงคือศิลาหยกขาวขนาดใหญ่สองร้อยกว่าก้อนที่อยู่ด้านหน้าศาลเทพวารีแห่งนั้น ซึ่งส่วนใหญ่ล้วนจารึกบทกวีและคำแซ่ซ้องสรรเสริญที่คนในราชสำนักและนักประพันธ์เขียนให้แก่เทพวารีลำคลองหมายเหอหลังจากที่เทพวารีลำคลองหมายเหอช่วยขจัดภัยแล้งให้แก่สกุลหลิวต้าเฉวียน
ไม่ถึงสองชั่วยาม เฉินผิงอันที่คอยเหลียวซ้ายแลขวา ‘ล่องลอย’ ไปตามกระแสน้ำอยู่ตลอดเวลา ในที่สุดก็มาถึงภูเขาลูกหนึ่งที่อยู่ริมน้ำ
ม่านราตรีมืดดำ ประตูใหญ่ของศาลเทพวารีปิดสนิท แต่เฉินผิงอันยังคงมองเห็นแสงโคมไฟที่ส่องสว่างแจ่มจ้าจากที่แห่งนั้นได้ไกลๆ และนี่ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เฉินผิงอันมองเห็นศาลเทพวารีได้ในปราดเดียว
เฉินผิงอันพลันตระหนักได้ว่าสภาพของตัวเองในเวลานี้ แม้เผยเฉียนและจูเหลี่ยนจะมองไม่เห็น แต่หากในศาลเทพวารีมีผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตกลางอยู่เล่า? เขาจะมองเห็นแล้วคิดว่าตนเป็นพวกภูตผีปีศาจที่ออกอาละวาดยามค่ำคืนหรือไม่?
นี่ทำให้เฉินผิงอันเริ่มลังเล
หรือระยะทางสามร้อยลี้ที่ล่องลอยมานี้จะเสียเที่ยว? หากบวกกับระยะทางกลับด้วยก็ตั้งหกร้อยลี้เชียวนะ
แต่คิดไปคิดมา เฉินผิงอันที่ลอยตัวอยู่ใจกลางลำคลองหมายเหอก็ยังตัดสินใจว่าจะลองขยับเข้าไปใกล้ชายฝั่งดู ผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดก็คือได้แค่มองประตูศาลเทพวารีไกลๆ แล้วถูกคนเฝ้าศาลหรือไม่ก็ผู้ฝึกตนของที่แห่งนี้จับได้ จากนั้นถูกไล่ฆ่าเป็นระยะทางสามร้อยลี้ คงต้องขอให้แม่ทัพผู้เฒ่าเหยาเจิ้นที่อยู่ในโรงเตี๊ยมช่วยออกหน้าอธิบายให้
และเวลานี้เอง น้ำเสียงที่คุ้นเคยเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นข้างหู “จิตหยินออกมาท่องเที่ยวยามค่ำคืน? เฉินผิงอัน เจ้าเป็นผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวไม่ใช่หรือ? หัดมีเหตุผลบ้างได้ไหม?”
เฉินผิงอันหันหน้ากลับไป ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
ห่างไปประมาณสามสิบก้าว มีบัณฑิตชุดเขียวคนหนึ่งนั่งยองอยู่บนผิวน้ำ สองมือของเขาขยุ้มเส้นผมกำใหญ่ราวกับกำลังจะกระชากหัวใครออกมาจากในลำคลอง
เขาก็คือจงขุย
เฉินผิงอันขยับมาอยู่ข้างกายจงขุย ถามว่า “นี่คือ?”
จงขุยเงยหน้า เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เมื่อครู่นี้ข้ากำลังแย่งจองพื้นที่กับคนอื่นที่ศาลเทพวารี คิดว่าพอฟ้าสว่างแล้วจะได้จุดธูปเป็นคนแรก ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง ให้จิ่วเหนียงมองข้าแล้วรู้สึกขวางหูขวางตาน้อยลงอีกนิด”
เฉินผิงอันชี้ไปยังเส้นผมที่อยู่ในมือจงขุย “ข้าหมายถึงเจ้านี่”
จงขุยเหลือกตามองบน “ผีพรายที่ตายอย่างอยุติธรรมในน้ำน่ะสิ ยังจะเป็นอะไรไปได้อีกแล้ว น่าจะถูกจิตหยินของเจ้าดึงดูดมา เมื่อกินเจ้าเข้าไปแล้ว รับรองว่าตบะของมันต้องเพิ่มขึ้นพรวดพราดแน่นอน ข้าเห็นมันโผล่หัวออกมา แต่หน้าตากลับไม่ได้เละเทะอัปลักษณ์เหมือนผีพรายทั่วไป กลับกันยังงดงามไม่น้อย ข้าเลยอยากจะมาปรึกษากับผีสาวตัวนี้ดูหน่อยว่ามันจะออกมาคุยเล่นเป็นเพื่อนข้าได้ไหม”
เพราะจงขุยไม่ได้ปล่อยจิตหยินและจิตหยางออกจากกายเหมือนอย่างคืนนั้น ปราณแห่งความเที่ยงธรรมที่ยิ่งใหญ่ทั่วร่างจึงไหลออกมาอย่างกำเริบเสิบสาน คืนนี้เขาจงใจอำพรางลมปราณเหมือนยามปกติที่อยู่ในโรงเตี๊ยม ดังนั้นเหล่าผีพรายใต้น้ำจึงไม่ได้ตัวสั่นเทิ้มรีบจมดิ่งลงไปในจุดที่ลึกที่สุดใต้น้ำเหมือนอย่างคืนนั้น หาไม่แล้วต่อให้จงขุยแค่เข้าใกล้ศาลเทพวารี เกรงว่าวิญญาณของพวกผีพรายในลำคลองหมายเหอก็คงแหลกสลายกันไปหมดแล้ว
ในชายแขนเสื้อสองข้างของจงขุยยังมีลมฤดูใบไม้ร่วงที่เยียบเย็น ซึ่งมันไม่มีทางสนใจว่าเจ้าจะเป็นผีพรายที่ตายอย่างอยุติธรรมหรือผีร้ายที่สมควรโดนกรรมตามสนอง
เฉินผิงอันมองเส้นผมสีนิลของผีสาวที่อยู่ในมือจงขุย แล้วค่อยมองจงขุยที่กำลังชักคะเย่อกับผีสาว
เฉินผิงอันถามว่า “สนุกไหม?”
จงขุยพยักหน้ารับ
เฉินผิงอันหันหน้าไปมองศาลเทพวารีที่อยู่ห่างไปไกล
จงขุยปล่อยเส้นผมในมือออก เงาหยินใต้น้ำเหมือนได้รับอภัยโทษ รีบเผ่นแน่บหายวับไปทันที
จงขุยลุกขึ้นยืน ยื่นมือมากดไหล่จิตหยินของเฉินผิงอัน เอ่ยกลั้วยิ้ม “เพ่งมองให้ละเอียดก็จะรู้แล้วว่าสนุกหรือไม่สนุก”
ทันใดนั้นคนทั้งสองก็จมวืดลงไปใต้น้ำ
จิตหยินออกมาท่องเที่ยวตอนกลางคืน สรรพสิ่งในโลกที่มองเห็นล้วนสว่างจ้าราวกับเวลากลางวัน
ต่อให้อยู่ในน้ำ แต่เมื่อมองไป เส้นสายตาก็ยังไม่ถูกขัดขวาง ความสามารถในการมองเห็นเท่าเทียมกับตบะวิถีวรยุทธ์ของร่างจริงเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันเคยเห็นภูตผีปีศาจมานักต่อนักแล้ว แต่นี่กลับเป็นครั้งแรกที่เขารู้สึก…สะอิดสะเอียน
ห่างออกไปไม่ไกลก็คือศาลเทพวารีและชาวบ้านที่ถือโคมไฟ
แต่ก็เพราะว่าเป็นเช่นนี้ รอบกายของเฉินผิงอันและจงขุยที่อยู่ใต้น้ำของลำคลองหมายเหอจึงมีผีพราย ‘ยืน’ เบียดเสียดกันอย่างแออัด พวกมันยืนนิ่งไม่ขยับ ส่วนใหญ่ล้วนสวมชุดสีขาวหิมะ เส้นผมที่ดำสนิทเป็นพิเศษแผ่คลุมปิดบังใบหน้า ทิ้งตัวยาวลงมาจนถึงช่วงเอว คล้ายหมวกคลุมหน้าที่เรียกว่างอบสตรีในห้องหอซึ่งคุณหนูตระกูลใหญ่ผู้สำรวมตนมักจะสวมใส่ยามออกมาข้างนอก
ไม่เพียงเท่านี้ เฉินผิงอันก้มหน้าลงมองก็เห็นดวงตาสีเงินคู่หนึ่งที่ใหญ่ราวโคมไฟ ประกายสายตาที่เย็นชาผิดปกติกำลังจ้องเขม็งมาที่พวกเขาสองคน แต่กลับเห็นเรือนกายของมันไม่ชัดเจน
ทั้งสองฝ่ายอยู่ห่างกันอย่างน้อยหนึ่งลี้ ทว่าดวงตาคู่นั้นยังใหญ่โตขนาดนี้ แค่คิดก็พอจะรู้ได้ว่าหากมองใกล้ๆ เจ้าสิ่งนี้จะมีขนาดใหญ่มโหฬารขนาดไหน
จงขุยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “มันและพวกผีพรายล้วนถูกเจ้าดึงดูดมา เพียงแต่ไม่กล้าจับเจ้ากิน หนึ่งเพราะถึงแม้จิตหยินตนนี้ของเจ้าเป็นแค่ตัวอ่อนที่มีแค่เค้าโครงรูปร่าง แต่ก็มีบางอย่างที่แตกต่างไปจากจิตหยินทั่วไป พวกมันจึงไม่กล้าบุ่มบ่าม เพียงแต่เพราะอยากกินเจ้าจริงๆ จึงมารวมตัวกันอย่างต่อเนื่อง อีกอย่างคือพวกมันมีเจตนาชั่วร้ายอย่างอื่น นั่นคือหวังให้เจ้าไปรบกวนปีศาจใหญ่ที่อยู่ใต้น้ำตนนั้น เมื่อเกิดการเข่นฆ่ากัน พวกมันก็จะได้รับส่วนแบ่ง ผลคือเจ้ามาหยุดอยู่ที่ศาลเทพวารีแล้วไม่ขยับต่ออีก ปีศาจใหญ่ใต้น้ำตนนั้นคงโมโหเจ้าแทบคลั่งแล้ว แต่ก็ไม่กล้าวู่วาม ถึงอย่างไรจวนปี้โหยวของเจ้าแม่เทพวารีลำคลองหมายเหอก็ห่างจากที่นี่ไปไม่ไกลนัก”
ในเมื่อมาแล้วก็ควรอยู่ให้สบายใจ
เฉินผิงอันจึงกวาดตามองไปรอบด้าน คิดว่ากำลังชื่นชมทัศนียภาพ
จงขุยก็มองตามไปด้วย ก่อนจะตะโกนขึ้นว่า “แม่นางผีพรายที่หน้าตางดงามคนเมื่อครู่นี้ยังอยู่ไหม? หากเจ้าไม่อยากเป็นผีพรายอยู่ที่นี่ต่อไป ข้าสามารถตบเจ้าให้ตายด้วยฝ่ามือเดียว ส่วนข้อที่ว่าจะได้ไปเกิดใหม่หรือไม่ ข้าไม่กล้ารับรอง แต่หากจะให้ช่วยเจ้าหลุดพ้นจากพันธนาการของปีศาจใหญ่ใต้น้ำตนนั้น ไม่ต้องคอยช่วยมันก่อกรรมทำชั่วอีก กลับไม่ยาก”
โคมไฟคู่นั้นขยายใหญ่ขึ้นอีกหลายส่วน
เฉินผิงอันหรี่ตามองไปตามจิตใต้สำนึก
คล้ายกับเวลาไปตกปลาไหลในท้องนาตอนเป็นเด็ก เวลาที่เห็นหัวและตัวมันเลื้อยส่ายไปอย่างเชื่องช้า เขาก็จะหรี่ตาแบบนี้
ลองกะประมาณดูคร่าวๆ แล้ว ปีศาจใหญ่แห่งลำคลองหมายเหอตนนี้น่าจะใหญ่กว่างูเหลือมขาวดำสองตัวที่อยู่บนภูเขาฉีตุนอยู่มาก
เฉินผิงอันเอ่ยถาม “เทพวารีลำคลองหมายเหอไม่คิดจะจัดการมันเลยหรือ?”
จงขุยเอ่ยยิ้มๆ “ไม่จัดการ? ทำไมจะไม่จัดการเล่า การที่เจ้าแม่เทพวารีที่นิสัยฉุนเฉียวท่านนั้นไม่ชอบเผยกายก็เพราะพยายามจะสังหารปีศาจตนนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า แต่กลับกลายเป็นว่าทำให้รากฐานของร่างทองได้รับความเสียหายไปแล้วถึงสามครั้ง แทบทุกๆ สามสิบสี่สิบปีจะต้องออกมาสั่งสอนปีศาจใหญ่ตนนี้ครั้งหนึ่ง ภายในหนึ่งร้อยปียังต้องเปิดฉากสังหารอย่างจริงจังหนึ่งครั้ง ครั้งที่เลวร้ายที่สุด ร่างทองในศาลเทพวารีของนางถึงกับเกิดรอยปริแตก จวนปี้โหยวก็จมน้ำไปเกินครึ่ง”
เฉินผิงอันยิ่งประหลาดใจมากกว่าเดิม “ราชสำนักไม่ช่วยกันล้อมปราบปรามมันหรือ? หากราชสำนักต้าเฉวียนทำไม่ได้ แล้วสำนักศึกษาของพวกเจ้าไม่สนใจเลยหรือ?”
จงขุยสอดสองมือรองไว้ใต้ท้ายทอย “เรื่องราวในโลกไม่ง่ายดายหรอกนะ ปีศาจใหญ่ตนนี้สามารถมีชีวิตอยู่มาจนถึงวันนี้ นอกจากตบะของมันแล้วยังอาศัยมันสมองของมันที่มีมากด้วย อีกอย่างภาคกลางของใบถงทวีปใหญ่ขนาดนี้ สำนักต้าฝูมีคนน้อยนิดแค่นั้น และคนที่สามารถฆ่าปีศาจใหญ่ตนนี้ได้ก็ยิ่งมีน้อยเข้าไปอีก บัณฑิตในสำนักศึกษาต้องอบรมบ่มเพาะตัวเอง ทุกวันจะต้องอ่านตำราศึกษาหาความรู้ ยุ่งมากเลยล่ะ เดี๋ยวก็ต้องช่วงชิงตำแหน่งนักปราชญ์ ตำแหน่งวิญญูชน เป็นอริยะ คนที่สามารถเป็นอริยะใหญ่ซึ่งมีรูปปั้นตั้งอยู่ในศาลบุ๋นของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางได้ นอกจากจะต้องอ่านตำราแล้วยังมีเรื่องให้ทำอีกมาก อีกอย่างเดิมทีราชสำนักต้าเฉวียนก็มีวิญญูชนอยู่คนหนึ่งอยู่แล้ว”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ ในใจกระจ่างแจ้ง
การเดินทางในพื้นที่มงคลดอกบัวคราวนั้น เขาได้เห็นชีวิตสารพัดรูปแบบในโลกมนุษย์มาแล้ว
แค่จงขุยบอกว่ามีวิญญูชนคนหนึ่งของสำนักศึกษาเฝ้าพิทักษ์ราชวงศ์ต้าเฉวียน เฉินผิงอันขบคิดเล็กน้อยก็เข้าใจทะลุปรุโปร่ง คิดดูแล้วการแข่งขันกันของแต่ละสำนักก็มีอยู่ในสำนักศึกษาเช่นกัน
แต่คำพูดอันดับถัดมาของจงขุยทำให้เฉินผิงอันได้เปิดโลกทัศน์ เขาชี้ไปที่โคมไฟคู่ที่อยู่ใต้น้ำแล้วกล่าวว่า “เจ้าลองถลึงตามองข้าอีกสักครั้งดูสิ? เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะถลกหนังดึงเส้นเอ็นของเจ้าส่งไปเป็นของขวัญแสดงความยินดีแก่เทพวารีลำคลองหมายเหอ?”
ปีศาจใหญ่ตนนั้นค่อยๆ ถอยกลับไป
ผีพรายพวกนั้นก็แยกย้ายกันตามไปด้วย
เฉินผิงอันถาม “ของขวัญแสดงความยินดี?”
จงขุยพยักหน้ารับ “การที่ข้าเดินทางมาที่นี่ก็เพราะได้ข่าวว่าจวนปี้โหยวของลำคลองหมายเหอจะได้แหกกฎเลื่อนเป็นตำหนักปี้โหยวแล้ว การตัดสินใจนี้ของสกุลหลิวต้าเฉวียน สำนักศึกษาของพวกเราให้การยอมรับโดยปริยาย ซึ่งอันที่จริงราชวงศ์ต้าเฉวียนไม่มีคุณสมบัติจะแต่งตั้ง ‘ตำหนัก’ นี้ คาดว่านี่น่าจะเป็นฝีมือล้อมคอกหลังวัวหายของวิญญูชนในเมืองเซิ่นจิ่งผู้นั้น”
เทพวารีแห่งลำคลองท่านหนึ่งที่ได้รับคำว่า ‘สืบทอดระบบดั้งเดิม’ นั้นจำเป็นต้องได้รับการยอมรับจากทางราชสำนักเสียก่อน จากนั้นกษัตริย์จะออกราชโองการแต่งตั้ง กรมพิธีการมอบหนังสือทองป้ายหยกหรือสัญญาเงินตำราเหล็กให้ พอได้รับการบันทึกชื่อลงในผังรายชื่อของราชสำนักแล้วก็จะมีคุณสมบัติสร้างศาล สร้างร่างทองคำ ได้รับควันธูปจากโลกมนุษย์ ขณะเดียวกันยังต้องได้รับการยอมรับจากสำนักศึกษาในทวีปที่อยู่ใกล้เคียงด้วย ไม่อย่างนั้นก็ยังเป็นได้แค่ศาลที่ถูกต้องของแคว้น แต่กลับเป็นศาลเถื่อนของในทวีป ศาลเล็กๆ ของเทพภูเขาในท้องถิ่นบางแห่งอาจไม่ต้องให้ความสนใจก็ได้ แต่หากเป็นศาลเทพวารีขนาดใหญ่ จะถูกมองว่ามีมรรคายิ่งใหญ่แต่ไม่ครบถ้วน ซึ่งจะต้องพยายามขอร้องให้ฮ่องเต้ขอตำราอริยะปราชญ์เล่มหนึ่งมาจากสำนักศึกษาลัทธิขงจื๊อ เอามาตั้งบูชาเพื่อให้ได้รับควันธูปร่วมกัน
ส่วนข้อที่ว่าตำราลัทธิขงจื๊อนั้นเป็นผลงานของอริยะท่านไหนจะถูกกำหนดตามที่เห็นสมควร โดยทั่วไปแล้วสำนักศึกษาจะตัดสินใจให้โดยดูตามสถานการณ์ แต่ก็มีเทพวารีส่วนน้อยที่นิสัยเจ้ายศเจ้าอย่างหรือมีคนหนุนหลังที่แข็งแกร่งที่สามารถระบุได้อย่างชัดเจนว่าต้องการตำราเล่มไหนของอริยะท่านใด
แต่สถานการณ์เช่นนี้มีน้อยจนนับนิ้วได้ ในใบถงทวีปก็ยิ่งหายาก พันปีถึงจะพานพบสักครั้ง เทพวารีที่กล้าแข็งข้อกับสำนักศึกษาเจ็ดสิบสองแห่งในใต้หล้าไพศาลจะมีมากได้อย่างไร?
จงขุยไม่ได้บอกความจริงทั้งหมดแก่เฉินผิงอัน การที่เขาออกจากเมืองหูเอ๋อร์ชั่วคราว มาเข้าร่วมเรื่องครึกครื้นในครั้งนี้ก็เพราะเจ้าแม่เทพวารีที่นิสัยฉุนเฉียวขี้หงุดหงิดเป็นที่เลื่องลือคนนั้นไม่เพียงแต่ไม่รู้สึกซาบซึ้งใจน้ำหูน้ำตาไหลต่อสำนักศึกษาต้าฝูและสกุลหลิวต้าเฉวียนกับการที่จวนของตัวเองจะได้เลื่อนขั้นเป็นตำหนัก กลับกันยังป่าวประกาศว่านางต้องการตำราของอริยะเล่มหนึ่งมาวางไว้ในตำหนักเทพวารี หาไม่แล้วนางก็ยอมแขวนป้าย ‘จวนปี้โหยว’ ต่อไป
ซึ่งทุกวันนี้ตำราอริยะปราญ์เล่มนั้นกลับไม่มีความเกี่ยวข้องกับคำว่า ‘อริยะปราชญ์’ เลยแม้แต่นิดเดียว
นี่ต่างหากถึงจะเป็นจุดที่ทำให้สกุลหลิวต้าเฉวียนรวดร้าวมากที่สุด
เพราะตำราเล่มนั้นเขียนโดยเหวินเซิ่งในอดีต
พอจงขุยได้ยินว่ามีเรื่องวุ่นวายนี้เกิดขึ้นก็รู้สึกว่าตนต้องเดินทางมาเยือนจวนปี้โหยวให้ได้
เพียงแต่เขาคิดไม่ถึงว่าจะมาเจอกับเฉินผิงอันที่ปล่อยจิตหยินออกมาเดินทางยามค่ำคืนก็เท่านั้น
บทที่ 344.1 ปฏิบัติตามความประสงค์
ProjectZyphon
เฉินผิงอันมีโทสะ ในใจคิดว่าไม่ควรทำอะไรตามใจตัวเองเช่นนี้ พอความคิดบังเกิดขึ้นก็เหมือนควบม้าโดยไม่ดึงรั้งบังเหียน การเดินทางทางน้ำเป็นระยะทางสามร้อยลี้ในครั้งนี้ทำให้พวกผีน้ำปีศาจน้ำเกิดความละโมบ หากเกิดข้อขัดแย้งกันขึ้นมาจริงๆ น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ยังอยู่กับร่างที่มีเนื้อหนังมังสา ก่อนหน้านี้ตอนเดินบนน้ำเขาก็ลองฝึกท่าเดินนิ่งหกก้าวซึ่งเป็นไปอย่างติดขัด ลองออกหมัดไปสองสามหมัดก็ยิ่งอ่อนยวบไร้เรี่ยวแรง ราวกับว่าจิตหยินเกิดมาก็ไม่เชี่ยวชาญวิชาหมัด พอคิดถึงดวงตาดุจโคมไฟใต้น้ำคู่นั้น เฉินผิงอันก็อดรู้สึกหวาดกลัวในภายหลังไม่ได้
บางทีจงขุยอาจจะมองความคิดของเฉินผิงอันออก ถึงกล่าวว่า “เดิมทีจิตหยินก็ชื่นชอบท่องเที่ยวไปในฟ้าดินยามค่ำคืนอยู่แล้ว เจ้าปล่อยจิตออกจากร่างครั้งแรก จิตหยินที่เพิ่งถือกำเนิดขึ้นใหม่เลือกไปไหนก็ไม่ไป ดันเลือกมาที่ศาลเทพวารีลำคลองหมายเหอแห่งนี้ ตามคำกล่าวของผู้ฝึกลมปราณ นี่อาจจะเป็นโชควาสนาที่ได้แค่พบเจอแต่ไม่อาจครอบครองแล้ว แต่กระนั้นก็ยังต้องรับมือด้วยความระมัดระวัง โชควาสนามาพร้อมกับหายนะเสมอ อาจไม่ใช่เรื่องดีเสมอไป”
เฉินผิงอันถาม “คนเฝ้าศาลเทพวารีที่อยู่ข้างในไม่ใช่ผู้ฝึกตนหรือ? เขาสามารถมองเห็นจิตหยินของข้าได้ไหม?”
จงขุยพูดเสียงขุ่นอย่างไม่สบอารมณ์ “ด้วยนิสัยของเจ้าแม่ลำคลองหมายเหอผู้นั้น ทุกๆ สามวันห้าวันจะต้องออกมาต่อยตีกับปีศาจน้ำ อีกทั้งในลำคลองยังมีวิญญาณพยาบาทมากมายที่ถูกปีศาจน้ำบงการ เจ้าคิดว่าศาลเทพวารีที่วางร่างทองของนางไว้จะไม่มียอดฝีมือเฝ้าพิทักษ์สักคนเลยหรือ? ไม่อย่างนั้นก็คงถูกปีศาจน้ำที่แต่งตั้งตัวเองเป็น ‘หวงเซียนจวิน’ ผู้นั้นเขมือบกลืนลงท้องไปพร้อมกันทั้งศาลทั้งภูเขาแล้ว”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างอับอาย “ดูเหมือนว่าจะเป็นอย่างนี้จริงๆ”
ในที่สุดจงขุยก็บอกข่าวดีให้ฟัง “แต่เจ้าวางใจเถอะ จิตหยินตนนี้ของเจ้าพร่าเลือนอย่างมาก ขอแค่ไม่เข้าไปจุดธูปในศาล คนของศาลเทพวารีก็ไม่มีใครมองออก”
จงขุยขมวดคิ้ว เดินวนรอบกายเฉินผิงอันแล้วจุ๊ปากพูด “เฉินผิงอัน เจ้าเพิ่งเจอกับหายนะใหญ่มาสองครั้งใช่ไหม? ครั้งหนึ่งคือเมื่อนานมากแล้ว ถูกทำร้ายไปถึงชะตาชีวิต อีกครั้งหนึ่งคือเมื่อไม่กี่ปีมานี้ สะพานแห่งความเป็นอมตะถูกทำลาย?”
เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ยังพยักหน้ารับ เขาที่แต่ไหนแต่ไรมาเป็นคนระมัดระวังตัวมาโดยตลอดกลับบอกความจริงโดยไม่คิดปิดบังอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน “ประมาณนั้นแหละ”
ที่เขายอมบอกก็เพราะยศวิญญูชนแห่งสำนักศึกษาต้าฝูของคนผู้นี้ และยิ่งเพื่อ ‘อาจารย์ฉี’ ที่จงขุยเอ่ยเรียก
จงขุยลูบคลำปลายคางตัวเอง ตกอยู่ในภวังค์ของการครุ่นคิด
เฉินผิงอันถาม “เจ้ามองออกได้อย่างไร?”
จงขุยยังคงมองประเมินเฉินผิงอัน ก่อนจะพูดเนิบช้า “ต้นไม้มีวงปีให้สังเกตอายุ และอันที่จริงแล้วจิตวิญญาณของคนก็แทบไม่ต่างกัน เพียงแต่ว่าร่างกายของมนุษย์คือฟ้าดินขนาดเล็ก ฟ้าดินคือร่างกายมนุษย์ขนาดใหญ่ ผิวหนังของคนห่อหุ้มเลือดเนื้อเส้นเอ็นและกระดูก ก็เหมือนกับว่ามีกำแพงแห่งหนึ่งตั้งกั้นขวางระหว่างสองสิ่ง”
เห็นสีหน้ามึนงงของเฉินผิงอัน จงขุยก็ยกตัวอย่างให้ฟัง “ยกตัวอย่างเช่นใต้หล้าไพศาลกับใต้หล้ามืดสลัว ผู้ฝึกตนคิดจะมองกันและกัน ต่อให้เป็นคนที่เชี่ยวชาญวิชาอภินิหารมองแม่น้ำและภูเขาผ่านฝ่ามือ ต่อให้เจ้ามีตบะเป็นเซียนเหรินขอบเขตสิบสองก็ยังทำไม่ได้ แต่เมื่อจิตหยินของเจ้าปรากฎตัว จิตวิญญาณเหมือนก้อนหินที่ผุดออกมาจากน้ำ ซึ่งจะยิ่งมองเห็นได้ชัดเจน นั่นจึงทำให้ข้าสามารถมองเห็นเบาะแสต่างๆ ได้มากมาย”
จงขุยพลันยกยิ้ม “เฉินผิงอัน เจ้าที่เป็นช่างซ่อมปะชุนคงต้องลำบากหน่อยแล้ว”
ที่แตกหักไปคือเครื่องปั้นแห่งชะตาชีวิต ทำให้เฉินผิงอันไม่อาจคว้าโชควาสนาใดๆ ในถ้ำสวรรค์หลีจูไว้ได้ ที่ขาดสะบั้นไปคือสะพานแห่งความเป็นอมตะ รอบทิศของเรือนกายล้วนมีแต่รูโหว่ จะแดดหรือลมฝนล้วนรั่วทะลุเข้ามา เขาจึงจำเป็นต้องฝึกวิชาหมัดเขย่าขุนเขาเพื่อต่อชีวิต
จงขุยบอกว่าเฉินผิงอันคือช่างซ่อมปะชุนที่เหนื่อยยากนั้น เรียกได้ว่าพูดจี้จุดในคำเดียว
ก่อนหน้านี้โจวจวี่นักปราชญ์แห่งแจกันสมบัติทวีปแค่ท่องบทกลอนก็สามารถทำให้ศัตรูตกอยู่ท่ามกลางพายุลมกรด พริบตาเดียวร่างก็เหลือเพียงโครงกระดูกขาวโพลน ภายหลังจงขุยวิญญูชนแห่งใบถงทวีปก็ยิ่งลึกล้ำเกินจะหยั่ง เวลานี้เฉินผิงอันยิ่งมีความรู้สึกที่ลึกลับซับซ้อนต่อสำนักศึกษาลัทธิขงจื๊อมากขึ้น
เฉินผิงอันถาม “เจ้าจะเข้าไปจุดธูปในศาลหรือ? วิญญูชนแห่งสำนักศึกษาทำเช่นนี้จะไม่มีปัญหาหรือไร?”
จงขุยหลุดหัวเราะอย่างอดไม่อยู่ “หากพวกอาจารย์คร่ำครึบางคนของสำนักศึกษารู้เข้าก็อาจจะถูกวิจารณ์อยู่บ้าง แต่ขอแค่ไม่ทำลายภาพลักษณ์อันสุภาพสง่างาม บัณฑิตก็ไม่ได้ยึดถือกรอบตายตัวอย่างที่เจ้าคิด”
จงขุยร้องเอ๊ะหนึ่งที ก่อนจะคลี่ยิ้มมีเลศนัย “ดีนักนะ อาศัยบารมีของเจ้า ข้าเลยได้มีโอกาสเห็นนิสัยขี้หงุดหงิดของเจ้าแม่เทพวารีลำคลองหมายเหอกับตาตัวเองแล้ว”
ริมฝีปากของจงขุยขมุบขมิบเบาๆ กระแสน้ำของลำคลองหมายเหอที่อยู่รอบกายคนทั้งสองเหมือนพบเจอกับเสาหินกลางน้ำจึงอ้อมวนผ่านไป ขณะเดียวกันก็มีประกายแสงอ่อนจางผุดขึ้นมาเป็นระลอกคล้ายร่มคันใหญ่ที่กางอยู่เหนือศีรษะ บดบังเรือนกายของคนทั้งสองเอาไว้
จากนั้นจงขุยก็จับแขนเฉินผิงอัน “ไปดูเรื่องสนุกกับข้า”
ลำคลองหมายเหอเปลี่ยนเป็นขุ่นมัว ไหลซัดสาดขึ้นๆ ลงๆ คล้ายกับมีน้ำสายหนึ่งกระแทกลงกลางลำคลองแล้วระเบิดเสียงดังอื้ออึง
ห่างจากศาลเทพวารีไปสามสี่ลี้ เบื้องใต้ของกระแสน้ำช่วงหนึ่งได้กลายมาเป็นสนามรบ
เฉินผิงอันมองไปไกลๆ ก็เห็นว่ามีเรือนกายเล็กจ้อยเรือนกายหนึ่ง ในมือถือวัตถุบางอย่าง ทุกครั้งที่โบกมือจะต้องมีเส้นโค้งสีเงินที่ส่องประกายเจิดจ้าไหลออกมาจากในน้ำ เนื่องจากความเร็วนั้นมากเกินไป เส้นสีเงินจึงทับซ้อนสะสมกันอย่างต่อเนื่อง คล้ายตัวอักษรแบบหวัดไร้ระเบียบที่เต็มไปด้วยท่วงทำนองของการตวัดพู่กัน
เรือนกายนั้นส่องประกายแสงสีทองอ่อนจาง เมื่ออยู่เบื้องใต้ลำคลองที่มืดมิดก็คล้ายโคมไฟดวงหนึ่งที่ถูกจุดไฟ จึงเด่นชัดสะดุดตาเป็นพิเศษ
เรือนกายของหญิงสาวเตี้ยมาก ดูเล็กกะทัดรัดอย่างเห็นได้ชัด รูปโฉมยังอ่อนเยาว์ อันที่จริงหน้าตาของนางธรรมดา แถมใบหน้ายังกลมดิกเหมือนตุ๊กตา เพียงแต่ประกายสีทองที่ฉาบทอไปทั่วร่างและสายตาที่คมกริบทำให้นางเปี่ยมไปด้วยบารมีน่าเกรงขาม
ตรงเอวของนางห้อยดาบยาว ด้านหลังสะพายกระบี่เล่มยาว ในมือยังถือทวนเหล็กที่ยาวมากอีกหนึ่งอัน ยาวจนเกือบจะเท่าความสูงของนางสองคน
ฝักดาบเป็นสีม่วงเข้ม มีเส้นด้ายสีทองรัดพันไว้เกินครึ่ง
จุดที่ฝักกระบี่และด้ามกระบี่ตัดกันมีไอหมอกห้าสีระเหยขึ้นมา เป็นภาพที่งดงามอย่างยิ่ง คิดดูแล้วกระบี่ยาวที่อยู่ในฝักเล่มนั้นต้องมีระดับขั้นที่ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
นางทะยานอยู่ในน้ำเหมือนสายลม ไร้อุปสรรคกีดขวาง รวดเร็วดุจสายฟ้า ทวนยาวในมือกรีดแทงเข้าใส่เรือนกายมหึมาของปีศาจใหญ่ในน้ำตนนั้นอยู่หลายครั้ง เลือดสดสาดกระเซ็นไปทั่วทำให้น้ำในน้ำแม่หมายเหออบอวลไปด้วยกลิ่นคาวเลือด
มีครั้งหนึ่งนางถูกศีรษะของปีศาจน้ำชนจนร่างกระแทกลงไปใต้ท้องน้ำ เกิดเสียงครืนครั่นดังเป็นระลอก แต่เพียงชั่วพริบตาร่างของนางก็ดีดผลุงขึ้นมา จ้วงทวนแทงเข้าที่ใต้คางของปีศาจใหญ่ตนนั้น ปีศาจร้องโหยหวนเสียงดังสะเทือนแผ่นฟ้า ดิ้นพราดๆ เป็นเหตุให้ลำคลองหมายเหอเริ่มมีคลื่นยักษ์โถมตัวขึ้นมา แม้แต่ชาวบ้านที่อยู่ตรงศาลเทพวารีก็ยังสังเกตเห็นความผิดปกตินี้ เพียงแต่ไม่มีใครหวาดกลัว แต่ละคนเขย่งปลายเท้ายืดคอพยายามมองไปให้ไกล เห็นเป็นเพียงเรื่องแปลกใหม่เรื่องหนึ่งเท่านั้น
นอกจากสตรีร่างเล็กเตี้ยจะลงมืออย่างดุดันอำมหิตแล้ว แม่นางชุดดำผู้นี้ยังชอบด่าทอคนอื่นขณะต่อสู้อีกด้วย
“เจ้าเดรัจฉานเจ้ามันโอหังใหญ่แล้ว! ข้าไม่ไปหาเรื่องเจ้าก็ถือว่าหลุมศพบรรพบุรุษของเจ้ามีควันขึ้นแล้ว…ช่างเถอะ เดิมทีเจ้าก็เป็นสัตว์เดรัจฉานที่ไม่มีหลุมศพบรรพบุรุษอยู่แล้ว ในเมื่อเจ้ากล้ามาปรากฏตัวอยู่หน้าศาลของข้า ข้าก็จะต้องให้เจ้าทิ้งเนื้อหลายสิบจินไว้ที่นี่!”
“อย่าคิดว่าเจ้ามีคนรู้จักอยู่ในราชสำนัก ทุกปีคอยยัดเงินให้เมืองเซิ่นจิ่งเจ็ดแสนแปดแสนตำลึงเงิน คิดอยากจะถอดถอนสถานะเจ้าเมืองของจวนปี้โหรวข้าทิ้งมาโดยตลอด แล้วข้าจะต้องกลัวเจ้า ต่อให้วันใดวันหนึ่งศาลเทพวารีลำคลองหมายเหอกลายเป็นศาลเถื่อนของต้าเฉวียน ร่างทองของข้าถูกทำลาย แล้วจะอย่างไร? บอกแล้วว่าจะสับเจ้าเป็นสิบแปดชิ้นก็ไม่มีทางสับเจ้าแค่สิบเจ็ดชิ้นแน่นอน!”
“เจ้าเดรัจฉาน มาๆๆ มากินทวนข้าอีกรอบ! กลับไปแล้วข้าจะให้คนที่จวนปรุงปลาไหลผัดฉ่าให้สักถ้วย รสชาติคงเยี่ยมยอดยิ่งนัก!”
เรือนกายของปีศาจใหญ่โตมโหฬาร เป็นสีทองอร่าม ทั้งตัวไม่มีเกล็ดสักชิ้น ความเรียบลื่นนั้นทำให้คนสะอิดสะเอียน
เดิมทีมันคือปีศาจใหญ่ในทะเลสาบที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของต้าเฉวียน อยู่ในโลกมานานจนกลายเป็นปีศาจ เพียงแต่ว่าการฝึกตนเป็นไปอย่างเชื่องช้า แม้ว่าจะมีโชควาสนาใหญ่เทียมฟ้าหล่นมาอยู่ในมือนานแล้ว ทว่าหลังจากหมั่นฝึกตนอย่างมุมานะมาหกร้อยกว่าปีก็ยังคงถูกกักไว้นอกธรณีประตูขอบเขตประตูมังกรนานถึงร้อยกว่าปี ภายหลังมียอดฝีมือที่เดินทางผ่านทะเลสาบให้คำชี้แนะ มันจึงออกจากทะเลสาบซึ่งเป็นรังเดิม ขึ้นมาอยู่บนฝั่ง ผ่านความยากลำบากนานัปการ ก่อนจะเริ่มลงน้ำจากแหล่งกำเนิดของลำคลองหมายเหอ เลียนแบบการลงน้ำของเจียวหลง ฝ่าทะลุคอขวดมาได้จนได้เลื่อนสู่ขอบเขตประตูมังกร หากมันสามารถว่ายลงน้ำอย่างราบรื่นไร้อุปสรรคไปได้เรื่อยๆ จนกระทั่งไปถึงจุดที่ลำคลองและแม่น้ำบรรจบกัน จากนั้นก็ไหลลงสู่มหาสมุทร ไม่แน่ว่าอาจจะได้กลายเป็นโอสถทอง
คิดไม่ถึงว่าตอนที่ผ่านศาลเทพวารีลำคลองหมายเหอ ผู้หญิงบ้าคนนั้นจะชิงชังที่มันฆ่าคนธรรมดาจำนวนหนึ่งไป จึงบอกว่าจะทำหน้าที่ทวงคืนความยุติธรรมแทนสวรรค์ ถึงขั้นสู้ตายกับมันอย่างไม่เสียดายชีวิต ตอนนั้นมันเพิ่งจะเลื่อนสู่ขอบเขตประตูมังกร พลังอำนาจกำลังโชติช่วงรุ่งเรือง จึงไม่ได้เห็นนางอยู่ในสายตา ทะเลสาบอันเป็นรังเดิมของมันก็มีเทพวารีเฝ้าพิทักษ์ แต่เทพวารีตนนั้นเป็นได้แค่แมลงที่ต้องส่งเสียงขานรับ (เปรียบคนที่ไม่มีความคิดเห็นอะไร เอาแต่เออออไปกับคนอื่น) มัน คอยค้อมเอวคุกเข่าให้มัน ทุกปียังต้องส่งของบรรณาการมาให้มัน
ทั้งสองฝ่ายไล่ฆ่ากันจากลำคลองช่วงที่อยู่นอกศาลเทพวารีขึ้นมาบนลำคลองตอนบนอย่างต่อเนื่อง การเข่นฆ่าสังหารครั้งนั้นฟ้าสะท้านดินสะเทือน สุดท้ายชายฝั่งสองด้านในระยะสองร้อยลี้ก็ท่วมเอ่อไปด้วยน้ำ โชคดีที่พื้นที่ช่วงนั้นเป็นป่ารกร้างจึงไม่ได้ทำให้ชาวบ้านเดือดร้อนไปด้วย
มันอยู่ในน้ำแต่กลับเอาชนะเทพวารีลำคลองหมายเหอผู้นั้นไม่ได้ จึงได้แต่ถอยกลับไปที่ลำคลองหมายเหอตอนบน ใช้เวลาพักฟื้นนานหลายสิบปี หลังจากที่ขอบเขตประตูมังกรมั่นคงดีแล้วก็สามารถจำแลงกายเป็นคน มันขึ้นฝั่งด้วยรูปลักษณ์ของชายฉกรรจ์ พกพาเอาสมบัติชิ้นใหญ่ไปขอขมาถึงจวนปี้โหรวด้วยตัวเอง ไหนเลยจะรู้ว่าผู้หญิงบ้าสมองมีปัญหาผู้นั้นจะไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ลงไม้ลงมือกับมัน คราวนี้นิสัยดุร้ายของมันก็ถูกกระตุ้นแล้วเช่นกัน ทั้งสองฝ่ายต่างปล่อยสมบัติอาคมออกมาจนหมดสิ้น เทียบกับการต่อสู้เนื่องจากพบเจอกันบนลำคลองโดยบังเอิญในครั้งแรกแล้วยังรุนแรงดุเดือดยิ่งกว่า จวนปี้โหรวจมน้ำหายไปเกินครึ่ง เกิดความเสียหายนับไม่ถ้วน ร่างทองของเทพลำคลองถึงกับเกิดรอยปริร้าว มันเองก็ยิ่งไม่ดีไปกว่ากัน สมบัติอาคมแห่งชะตาชีวิตชิ้นหนึ่งเสียหายและสมบัติสำคัญสยบวารีชิ้นหนึ่งถูกทำลาย ต้องถอยร่นไปพร้อมกับความพ่ายแพ้อเนจอนาถ หลังจากนั้นสองร้อยปีที่ผ่านมานี้ มันก็มองศึกกับจวนปี้โหรวเป็นความอัปยศที่ใหญ่สุดในชีวิต ต่อให้หลังจากวางแผนมาแล้วหลายรูปแบบ ตบะเพิ่มพูนจนขยับเข้าไปใกล้ธรณีประตูโอสถทอง แต่ก็ยังไม่ยอมจำแลงกายเป็นคนอีก มันสาบานกับตัวเองว่ามีเพียงวันที่ร่างทองของหญิงบ้าผู้นี้พังทลาย ศาลของนางถูกทอดทิ้งเท่านั้น มันถึงจะเดินอาดๆ ขึ้นฝั่ง
ส่วนเศษชิ้นส่วนร่างทองของอีกฝ่ายก็ย่อมต้องกลายมาเป็นอาหารในจานของมัน ไม่แน่ว่าไม่ต้องลงแม่น้ำสายใหญ่หรือลงมหาสมุทร มันก็อาจจะได้เลื่อนขั้นเป็นขอบเขตโอสถทองแล้ว!
เพียงแต่ว่าการต่อสู้ในน้ำอย่างจริงจัง มันกลับไม่เคยได้เปรียบคู่ต่อสู้อย่างเทพวารีลำคลองหมายเหอเลยสักครั้ง
รู้จักกันมาสองร้อยกว่าปี ดูเหมือนสตรีผู้นั้นตัดสินใจเด็ดขาดแล้วว่าจะขัดขวางมันไว้ที่ตอนบนของลำคลองหมายเหอ แล้วก็เพราะว่าทำเรื่องโง่ๆ ที่ทำร้ายคนอื่นอีกทั้งยังส่งผลเสียต่อตัวเองนี้ ต่อให้แต่ละปีนางได้รับควันธูปจากโลกมนุษย์มากมาย แต่การสร้างร่างทองของนางก็ยังคงเป็นไปอย่างเชื่องช้าอยู่ดี
และไม่ต้องสงสัยเลยว่าคืนนี้มันต้องพ่ายแพ้อีกครั้ง มันจึงรีบถอยกลับขึ้นไปยังลำคลองตอนบนอย่างรวดเร็ว
สตรีร่างเล็กเตี้ยเห็นว่ามันตัดสินใจแล้วว่าหากตนไล่ฆ่าไปอย่างไม่ยอมเลิกรา มันก็จะขึ้นฝั่งไปทำร้ายชาวบ้าน นางถึงได้หยุดมืออย่างขุ่นเคือง
ขณะที่ศึกใหญ่ดำเนินอยู่ ทวนเหล็กอันนั้นได้จมลงไปยังใต้น้ำนานแล้ว นางเก็บดาบและกระบี่เข้าฝัก พอหาอาวุธที่เหมาะมือที่สุดชิ้นนั้นเจอแล้วก็แผดเสียงด่าทอ ก่อนจะขยับร่างทะยานวูบหายเข้าไปในจวนปี้โหรว
จงขุยกับเฉินผิงอันถึงได้ปรากฏตัว
คนทั้งสองขึ้นฝั่งมุ่งหน้าไปยังศาลเทพวารี
ชาวบ้านที่มารอประตูเปิดเพื่อจะได้เข้าไปจุดธูปไหว้พระมีมากเกือบพันคน ตรงตีนเขามีทั้งลาและรถม้าจอดเรียงรายเต็มไปหมด เป็นเหตุให้นอกศาลมีร้านแผงลอยขายอาหารมื้อดึกอยู่มากมาย บวกกับเมื่อครู่นี้เกิดเหตุการณ์ประหลาดขึ้นในลำคลองตอนบน ทุกคนจึงกำลังตื่นเต้นฮึกเหิมอย่างถึงที่สุด
จงขุยไปดูป้ายศิลาหยกขาวซึ่งมีมากมายดุจหน่อไม้อ่อนที่ผุดขึ้นมาหลังฝนตกเป็นเพื่อนเฉินผิงอัน
ส่วนใหญ่ล้วนเป็นคำขอฝนที่ฮ่องเต้และขุนนางท้องถิ่นของต้าเฉวียนแต่ละยุคสมัยมาเขียนไว้ ในนั้นยังมีเนื้อหาที่คล้ายคลึงกับหนังสือยอมรับผิด รวมไปถึงคำขอบคุณหลังจากที่การขอฝนประสบความสำเร็จ ป้ายศิลาเหล่านี้เฉินผิงอันกวาดตามองไปอย่างรวดเร็ว ส่วนจงขุยไปหยุดอยู่ด้านหน้าสุดของป่าป้ายศิลานานแล้ว เขานั่งยองอยู่บนพื้น มองป้ายหินเก่าแก่โบราณก้อนหนึ่งที่ได้รับความเสียหายอย่างหนัก บนป้ายเหลือตัวอักษรแค่ไม่กี่สิบตัว เนื้อหาขาดๆ หายๆ เพราะตัวอักษรเสียหายไปเยอะมาก
เฉินผิงอันมาหยุดอยู่ข้างกายจงขุย พบว่านั่นเป็นกลอนบทหนึ่ง แต่ไม่ได้ลงนามไว้ว่าใครเป็นผู้เขียน น่าจะเป็นเพราะผ่านกาลเวลามาเนิ่นนาน ถูกแดดส่อง ถูกฝนชะ ถูกลมพัด จึงเหลือตัวอักษรอยู่แค่ประมาณครึ่งหนึ่งเท่านั้น
ฟ้าดินไม่ได้ยิน ตะวันจันทรามองไม่เห็น…ภูเขาลำคลองร่วงโรย ต้นไม้ใบหญ้าเหี่ยวเฉา คนมีความสุขอยู่บนชั้นฟ้าบอกเล่าความทุกข์เวทนาแก่คนอื่น เจ้าแห่งสายฟ้า ควบคุมสายอสนี พุ่งทะยานไปในฟ้าดิน ลมเมฆกลืนกิน…เชี่ยวชาญการต่อสู้ น้ำขวดทองหนึ่งหยดบนชั้นนภา เส้นใยเต็มฟ้าดุจเครื่องทอผ้า…ปัดเป่าไอร้อนใต้หล้า
จงขุยถาม “มองอะไรออกบ้างไหม?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “แค่รู้จักตัวอักษรพวกนี้เท่านั้น”
จงขุยทอดถอนใจ “อาจารย์เคยกล่าวว่า ตัวอักษรที่บันทึกไว้ในศิลาก้อนนี้ แท้จริงแล้วคือบทท่องในการบำเพ็ญตนของลัทธิเต๋าบทหนึ่งที่หายสาบสูญไปเนิ่นนาน”
เฉินผิงอันถาม “ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่าเจ้าดูออกน่ะสิ?”
จงขุยกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “แค่รู้จักตัวอักษรพวกนี้เท่านั้น”
เฉินผิงอันหัวเราะหึหึ
คนทั้งสองลุกขึ้นยืน เดินไปทางประตูใหญ่ของศาล มากคนก็มากความ จงขุยจึงอดบ่นไม่ได้ “เพื่อเจ้าแล้ว ข้าคงไม่ได้จุดดอกแรกแล้วสินะ?”
แต่ไม่นานจงขุยก็พูดขึ้นอีกอย่างจนใจว่า “ตรงประตูหลังต้องมีขุนนางหรือไม่ก็ชนชั้นสูงมารออยู่แล้วเป็นแน่ ประตูบานเล็กแห่งนั้นจะเปิดเร็วกว่าประตูใหญ่ทางฝั่งนี้หนึ่งถึงสองเค่อ ดังนั้นพวกชาวบ้านที่รออยู่นอกศาลพวกนี้ ต่อให้เจ้ารอหลายวัน หลายปี ขอแค่ไม่ไปข้างหลัง ให้คนเฝ้าศาลเปิดประตูหลังให้ด้วยตัวเอง ชั่วชีวิตนี้เจ้าก็ไม่มีทางได้จุดธูปดอกแรก”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างลังเล “ที่บ้านเกิดของข้ามีภาษาธรรมสี่คำบอกว่า ไม่ต้องแสวงหาสิ่งนอกกาย”
จงขุยอืมรับหนึ่งคำ “คำกล่าวนี้มหัศจรรย์อย่างยิ่ง ศาสนาพุทธยึดมั่นในศรัทธาที่เที่ยงตรง นั่นคือต้องการให้คนมีจิตศรัทธาต่อสิ่งที่ถูกต้องเที่ยงธรรม เกี่ยวกับเรื่องธูปดอกแรกนี้ อันที่จริงผู้แสวงบุญหลายคนบนโลกต่างก็เข้าใจผิด จุดธูปแรก ไม่ใช่ธูปดอกแรกที่ปักลงไปในกระถางธูปยามที่เข้าไปในศาล ก็เหมือนที่เจ้าพูดว่า ‘ไม่แสวงหาสิ่งนอกกาย’ นั่นแหละ ธูปดอกแรกก็เป็นแค่ธูปดอกแรกที่มาจากความตั้งใจจริงของคนจุดเอง ธูปดอกแรกในชีวิต ธูปดอกแรกของปีนี้ ธูปดอกแรกของเดือนนี้ ล้วนเป็นธูปดอกแรกทั้งสิ้น”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “มีเหตุผล”
จงขุยยิ้มกล่าว “เจ้าคิดว่าการได้เป็นวิญญูชนของสำนักศึกษาง่ายนักหรือ? ต้องมีความรู้กว้างขวางถึงจะได้”
เฉินผิงอันถาม “ถ้าอย่างนั้นเจ้าแต่งกลอนให้ข้าสักบทสิ? หัวข้อก็คือความรู้สึกหลังจากอ่านบทขอฝนดีไหม? ข้าเห็นว่าในผลงานของพวกนักเขียนมักจะเป็นอย่างนี้ เจ้าไม่ลองดูบ้างล่ะ?”
จงขุยเงยหน้ามองสีพระจันทร์ “คืนนี้เหมาะให้ขึ้นเขาลงน้ำ เหมาะให้ไปเยี่ยมเยือน เหมาะให้ใกล้ชิดองค์เทพ มีเพียงอย่างเดียวคือไม่เหมาะให้ร่ายบทกลอน”
เฉินผิงอันหัวเราะหึหึอีกครั้ง
จงขุยอับอายจนพานเป็นโกรธ “เฉินผิงอัน เจ้าทำตัวแบบนี้น่าเบื่อนะรู้ไหม”
แล้วจงขุยก็หัวเราะ เอ่ยถามว่า “อยากไปเที่ยวชมจวนปี้โหรวกับข้าสักครั้งไหม นั่นคือตำหนักเทพวารีในอนาคตเชียวนะ ต่อให้เป็นทั่วทั้งใบถงทวีปก็ยังมีน้อยจนนับนิ้วได้ หากโชคดีเจ้าอาจจะยังได้เจอเจ้าแม่เทพวารีของลำคลองหมายเหอผู้นั้นด้วย…”
เฉินผิงอันกล่าว “เมื่อครู่ก็เห็นแล้วไม่ใช่หรือ?”
จงขุยตบหน้าผากตัวเอง เพียงแต่การตบครั้งนี้ทำให้สมองเขามีประกายแสงเปล่งวาบ “วาสนา! เทพหยินของเจ้าออกมาท่องเที่ยวยามค่ำคืนครั้งนี้ก็คือวาสนา ไม่แน่ว่าอาจอยู่ที่จวนปี้โหยวหรือไม่ก็บนร่างของนาง!”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ช่างเถอะ ข้าต้องรีบกลับไปแล้ว”
จงขุยทำหน้าเหมือนเห็นผี บนโลกยังมีคนที่ไม่เห็นโชควาสนาอยู่ในสายตาแบบนี้ด้วยหรือ?
มีเสียงอึกทึกดังมาจากทางตีนเขา จงขุยจึงลากเฉินผิงอันไปด้วยกัน “ปัญหามาแล้ว ไปดูกันเถอะ”
หญิงชราที่ดูแลศาลแห่งนี้กับผู้ฝึกตนเฒ่าที่ลักษณะเหมือนเซียนคนหนึ่งยืนเคียงไหล่กันอยู่ตรงตีนเขา ขัดขวางไม่ให้สตรีสวมชุดขาวคนหนึ่งเดินขึ้นไปบนทางภูเขา
พวกชาวบ้านที่อยู่ตามร้านขายอาหารยามดึกห่างไปไกลพากันซุบซิบชี้ไม้ชี้มือใส่
บทที่ 344.2 ปฏิบัติตามความประสงค์
ProjectZyphon
สวัสดีค่ะนักอ่านทุกท่าน
ขออนุญาตทักทายและพูดคุยก่อนเข้าเนื้อหานิยายนะคะ
ทีมงานได้ตั้งราคาตอนนี้เป็น 5 เหรียญทอง เนื่องจากมีความยาวมากกว่าปกติ และเมื่อพิจารณาถึงเนื้อหาแล้ว ทีมงานเห็นว่าหากแยกตอน อาจจะทำให้เสียอรรถรสและทำให้ขาดช่วงเกินไป จึงได้ตั้งราคาให้เหมาะสมกับเนื้อหานั่นเองค่ะ และต้องแจ้งให้ทราบว่า ในอนาคต หากนิยายบางตอนมีเนื้อหายาวและการรวบเนื้อหาจะทำให้อ่านลื่นกว่าเหมือนในกรณีนี้ ราคาของตอนนั้นๆ อาจจะเพิ่มขึ้น โดยเบื้องต้นทีมงานจะพยายามทำให้อยู่ในราคาปกติที่ 3-5 เหรียญทองค่ะ
ทีมงานและนักแปลขอขอบคุณนักอ่านทุกท่านที่สนับสนุนน้องผิงอันด้วยนะคะ
ที่แท้สีหน้าของสตรีผู้นั้นซีดขาวเหมือนคนป่วย ไม่เพียงเท่านี้ แม้เสื้อผ้าอาภรณ์ของนางจะไม่ต่างจากชาวบ้านทั่วไป แต่หากมองอย่างละเอียดจะเห็นได้ว่าตลอดเส้นทางที่นางเดินผ่านมาล้วนเปียกโชกเห็นร่องรอยอย่างชัดเจนราวกับถือตะกร้าไม้ไผ่แล้วทำน้ำหยดมาเป็นทาง
หญิงชรากระแทกไม้เท้าหัวมังกรที่ถือไว้ในมือลงพื้นแรงๆ แค่นเสียงเย็นกล่าวว่า “แค่ผีพรายน้อยตัวหนึ่งก็กล้าล่วงเกินศาลของเจ้าแม่เทพวารี รนหาที่ตาย!”
ผู้ฝึกตนเฒ่าคลี่ยิ้มกล่าว “เดิมทีก็เป็นผีร้ายที่อยู่ในน้ำตัวหนึ่งอยู่แล้ว พูดว่ารนหาที่ตายคล้ายจะไม่ค่อยเหมาะสมนัก”
รอยยิ้มบนใบหน้าของหญิงชราน่าสะพรึงกลัว นางจ้องผีพรายในลำคลองหมายเหอที่ทำตัวกำเริบเสิบสานไร้ความยำเกรงตนนี้เขม็ง
ผีสาวตนนั้นตัวสั่นเทิ้ม กัดริมฝีปาก ปลุกความกล้ามองไปยังบุคคลยิ่งใหญ่ที่สูงส่งเกินใครทั้งสองท่านแล้วเอ่ยอย่างขลาดกลัวว่า “เทพเซียนผู้เฝ้าศาล เซียนซือท่านนี้ ข้ามาที่นี่เพื่อตามหาบัณฑิตคนหนึ่ง เขาบอกว่าสามารถช่วยให้ข้าหลุดพ้นจากพันธนาการของปีศาจลำคลอง ไม่ต้องคอยช่วยคนชั่วก่อกรรมทำเข็ญอีกต่อไป…”
หญิงชราเลิกคิ้ว “ตลกสิ้นดี! เจ้าขึ้นฝั่งมาอย่างไร้สาเหตุ นี่ต้องเป็นแผนการชั่วร้ายของปีศาจลำคลองตนนั้นแน่นอน!”
ผู้ฝึกตนเฒ่าลูบหนวดพลางคลี่ยิ้ม “เจ้าจะจัดการหรือให้ข้าจัดการ?”
หญิงชรากำไม้เท้าแน่น คิดจะใช้ไม้เท้าสังหารผีตนนี้
แต่กลับค้นพบว่าทำอย่างไรก็ยกหัวมังกรไม่ขึ้น จึงหันขวับกลับมา มองเห็นบัณฑิตคนหนึ่งคลี่ยิ้มมาให้ พูดกับนางว่า “มีอะไรก็พูดกันดีๆ แม่นางคนนี้ไม่ได้โกหก ข้ารับปากนางเรื่องนี้จริงๆ นางกล้าเสี่ยงกับการถูกปีศาจน้ำทรมานเพื่อขึ้นฝั่งมาหาข้า ไม่ง่ายเลยทีเดียว หากข้าเป็นพวกนักต้มตุ๋นที่พูดจาหาความเชื่อถือไม่ได้ สิบปีร้อยปีหลังจากนี้นางต้องมีชีวิตอนาถมากแน่ๆ ไม่แน่ว่าอาจกลายไปเป็นดวงวิญญาณไส้เทียนใต้ลำคลองหมายเหอ ถูกเผาไหม้อยู่ในน้ำจนกระทั่งวิญญาณมอดม้วย ความทรมานเช่นนี้น่ากลัวยิ่งกว่าทัณฑ์ทรมานทุกอย่างบนโลกเสียอีก”
จงขุยหันไปยิ้มให้ผีสาวที่ก่อนหน้านี้เคยถูกตนกระชากผม “แม่นางมีจิตใจที่กล้าหาญ และยิ่งมีสายตาที่ดี ความปรารถนานี้ ข้าจะช่วยให้เจ้าสมหวังเอง! แค่การที่เจ้ากล้าขึ้นฝั่งมา ข้าก็จะลองพยายามขอโอกาสให้เจ้าได้ไปเกิดใหม่…”
หญิงชราหน้าแดงก่ำ ยังคงไม่สามารถขยับหัวมังกรที่อยู่ในมือได้แม้แต่นิดเดียว นางอับอายจนพานเป็นความโกรธ “เจ้าเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม เจ้ากำลังพูดเหลวไหลอะไร?! เจ้าคิดจะปกป้องผีพรายลูกน้องปีศาจลำคลองตนนั้นภายใต้เปลือกตาของเจ้าแม่เทพวารีอย่างนั้นรึ?!”
สายตาของผู้ฝึกตนเฒ่าอึมครึม คำพูดที่ออกมาจากปากก็ยิ่งอันตราย “คนผู้นี้มีเจตนาชั่วร้าย ไม่แน่ว่าคิดจะใช้แผนในนอกประสาน ช่วยปีศาจลำคลองตนนั้นทำร้ายเจ้าแม่เทพวารีของพวกเรา”
จงขุยแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน แค่จ้องไปที่ดวงตาของผีพรายตนนั้น
ในดวงตาของนางมีความหวาดกลัว เจ็บแค้น และยังมีความละอายใจเสี้ยวหนึ่งต่อบัณฑิตตกอับที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้
จงขุยคลี่ยิ้มพยักหน้าให้ “เห็นแก่จิตใจที่ดีงามของเจ้าดวงนี้ ต่อให้ถูกอาจารย์ด่า ข้าก็จะแหกกฎเพื่อเจ้าสักครั้ง อย่างน้อยเมื่ออยู่ต่อหน้าข้าจงขุย ทำดีต้องได้ดี ไม่แบ่งแยกว่าคน ผีหรือตัวประหลาด แม่นาง โปรดรอสักครู่”
จงขุยยื่นมือออกมาทำท่ากระตุกลงด้านล่างหนึ่งที ไม้เท้าหัวมังกรหนักร้อยจินจึงฝังลงไปบนพื้นดินแล้วหายไปอย่างไร้ร่องรอย จากนั้นเขาก็ยกมือขึ้นตบหญิงชราคนเฝ้าศาลจนร่างของนางหมุนคว้างอยู่กลางอากาศหลายสิบรอบ ก่อนจะไปหล่นกระแทกห่างไปไกลสิบกว่าจั้ง แล้วยกมือตบผู้ฝึกตนเฒ่าผู้นั้นให้ปลิวลงไปตกในลำคลองหมายเหอ
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ กล่าวว่า “สมเหตุสมผล แต่ดูเหมือนจะไม่ค่อยมีมารยาทเท่าไหร่นะ”
นี่คือคำพูดที่จงขุยเคยพูดกับเขาตอนอยู่ในโรงเตี๊ยม
จงขุยหัวเราะฮ่าๆ “ถามใจตัวเองไงล่ะ”
จงขุยหุบรอยยิ้ม แล้วเอ่ยอย่างเล่นแง่ “แค่มีเหตุผลก็พอแล้ว คำว่ามารยาทนี้ยิ่งใหญ่เกินไป ข้าเป็นแค่วิญญูชน ไม่ใช่อริยะ ตอนนี้ยังไม่ได้ใช้”
ผีสาวลำคลองหมายเหอตนนั้นอ้าปากกว้าง
นางเดาออกว่าบัณฑิตตรงหน้าผู้นี้คือผู้ฝึกลมปราณที่มีตบะไม่ตื้นเขิน แต่ไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายจะสามารถตบเทพเซียนผู้เฒ่าทั้งสองคนโดยที่พวกเขาไม่มีเรี่ยวแรงให้เอาคืนแม้แต่นิด
พลังอำนาจของจงขุยผสานรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน เขาเดินก้าวยาวๆ ไปข้างหน้า ชายแขนเสื้อสองข้างส่ายไหว หยุดยืนนิ่งตรงหน้าผีสาวแล้วกล่าวเสียงหนักว่า “บอกชื่อแซ่ บ้านเกิด ช่วงเวลาตกฟากมา!”
ผีสาวบอกไปทีละอย่างตามคำสั่ง
จงขุยพยักหน้ารับบอกให้รู้ว่าตนทราบแล้ว ครั้นจึงประกบสองนิ้วเขาด้วยกัน ทิ่มไปที่หว่างคิ้วของผีสาวเบาๆ พูดอย่างเรียบง่ายว่า “ข้า จงขุย วิญญูชนแห่งสำนักศึกษาต้าฝู”
เฉินผิงอันค้นพบว่านอกจากเขาและผีสาวแล้ว ดูเหมือนว่าชาวบ้านทุกคนที่อยู่นอกศาลเทพวารีจะตกอยู่ในสภาวะหยุดนิ่ง แม่น้ำแห่งกาลเวลาหยุดชะงักในช่วงเวลาสั้นๆ
จงขุยเอ่ยเนิบช้าว่า “ขอประกาศแก่ดินแดนเฟิงตู (ดินแดนที่ผู้ตายอาศัยอยู่) ไว้ ณ ที่นี้ว่า หญิงสาวผู้นี้จะไปยังโลกแห่งความมืด หมื่นผีมิอาจกล้ำกราย พญายมราชมิอาจดูหมิ่น เคราะห์กรรมทั้งหลายให้ยกเลิกหมดไป ข้าจะเป็นผู้รับไว้เอง ปล่อยให้นางได้ไปเกิดใหม่ รับพรอันประเสริฐ”
เฉินผิงอันพลันเงยหน้าขึ้น เห็นเพียงว่าบนอากาศห่างจากลำคลองหมายเหอไปร้อยจั้งมีเมฆดำเคลื่อนมารวมตัวกันบดบังแสงจันทร์ พอจะมองเห็นศีรษะของผีในโลกมืดตนหนึ่งที่ใหญ่โตราวขุนเขาลอยผลุบโผล่ได้เลือนราง พลังอำนาจน่าตะลึง ลักษณะคล้ายกุ่ยชา (หมายถึงผีที่ได้รับหน้าที่ในโลกแห่งความตาย) ระดับขั้นสูงสุดของเมืองเฟิงตูซึ่งวาดไว้ในภาพวาดของตระกูลเซียนบนภูเขาบางแห่งอย่างไม่มีผิดเพี้ยน จากนั้นทะเลเมฆก็รวมตัวกันหนาหนัก ลดวูบลงต่ำเคลื่อนมาแผ่ปกคลุมไปทั่วน้ำของลำคลองหมายเหอ ขุนนางในโลกแห่งความตายในตำนานผู้นั้นเดินออกมาจากไอหมอกสีมืดดำช้าๆ พอขึ้นมาบนฝั่งแล้วก็หยุดฝีเท้าลงอย่างรวดเร็ว เขาก้มหน้าลง บนศีรษะสวมหมวกขุนนางแห่งยมโลก กุมหมัดกล่าวว่า “รับคำสั่งตามประสงค์!”
เมื่อเขายกมือขึ้นกุมเป็นหมัดก็มีเสียงเคร้งคร้างดังกระทบกันเป็นระลอก ที่แท้บนแขนสองข้างของเขาก็มีโซ่เหล็กสองเส้นพันไว้ ห้อยยาวลงไปจนถึงพื้น
จงขุยหดมือกลับมา
วิญญาณของผีสาวเริ่มสลายเหมือนแสงหิ่งห้อยที่พากันล่องลอยไปหากุ่ยชาที่ยืนอยู่ริมฝั่งแม่น้ำ
นางพูดด้วยเสียงสะอื้น “ขอบคุณคุณชายจง หวังว่าชาติหน้าข้าจะได้ตอบแทนพระคุณของท่าน”
จงขุยโบกมือพลางคลี่ยิ้ม “ไม่ต้องหรอก อย่าได้มามีความเกี่ยวข้องกับข้าอีกเลย ชาติหน้าจงเป็นคุณหนูตระกูลสูงศักดิ์ของเจ้าให้สบายใจเถอะ”
สุดท้ายผีสาวถูกกุ่ยชาแห่งดินแดนเฟิงตูที่มีหน้าที่คล้ายคลึงกับทูตลาดตระเวนพาตัวไป ไอเมฆหมอกสีดำที่ลอยอยู่บนลำคลองหมายเหอและกลางอากาศต่างก็ม้วนตัวแล้วสลายหายไปด้วย
ก่อนจะจากไป กุ่ยชาตนนั้นชำเลืองมองมาทางจิตหยินของเฉินผิงอันคล้ายไม่ตั้งใจ แต่ก็คล้ายจะเจตนา
จงชุยเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก พ่นลมหายใจขุ่นมัวออกมาหนักๆ หนึ่งที แล้วหันหน้ามาเอ่ยเตือนเฉินผิงอันว่า “จิตหยินนี้ของเจ้าไม่ธรรมดาจริงๆ ถึงขนาดไม่ถูกสยบไปด้วย หรือว่าเมื่อก่อนเจ้าเคยไปท่องแม่น้ำแห่งกาลเวลามาก่อน? เป็นไปไม่ได้กระมัง?”
เฉินผิงอันไม่ได้ตอบคำถามข้อนี้ พูดเพียงว่า “ข้ารู้สึกว่าจิ่วเหนียงน่าจะชอบเจ้า”
ดวงตาจงขุยเป็นประกาย “เจ้าคิดอย่างนี้จริงๆ หรือ?!”
เฉินผิงอันยิ้มบางกล่าวว่า “พูดกับเจ้าไปตามมารยาทน่ะ อย่าได้คิดเป็นจริงเป็นจัง”
จงขุยยิ้มจืดเจื่อน จากนั้นก็พึมพำเบาๆ ว่า “วิธีการที่ไม่สอดคล้องกับกฎเกณฑ์เช่นนี้ ข้ากลับทำสำเร็จจริงๆ หรือนี่?”
จู่ๆ จงขุยก็เอียงศีรษะ ใช้ฝ่ามือถูปลายคาง จุ๊ปากพูด “ข้านี่มันเก่งจริงๆ บุรุษที่หน้าตาหล่อเหลาแถมยังมีความสามารถอย่างข้า หาไม่ง่ายนักหรอก”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ เอ่ยคล้อยตาม “แถมยังสามารถเขียนกลอนที่ไม่มีสัมผัสคล้องจอง แล้วยังเป็นคนทำบัญชีด้วย”
จงขุยทอดถอนใจอย่างเศร้าสร้อย “คุยกับเจ้านี่มันน่าเบื่อจริงๆ”
……
จวนปี้โหรวไม่ได้สร้างไว้ริมลำคลองหมายเหอ แต่ตั้งอยู่กลางหุบเขาห่างจากลำคลองไปอีกสิบกว่าลี้ บวกกับที่สองข้างฝั่งของลำคลองช่วงนี้ไม่มีเส้นทางภูเขา ภูเขาสูงชันเดินลำบาก ร้างผู้คน หากขุนนางในพื้นที่คิดจะมาเยือนจวนปี้โหรวจึงเป็นเรื่องยากลำบาก ยังดีที่เจ้าแม่เทพวารีที่เป็นดั่งมังกรเทพเห็นหัวไม่เห็นหางช่วยลดความลำบากของพวกเขาไปได้เยอะ เหล่าขุนนางท้องถิ่นแค่ต้องไปเยือนจวนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของภูเขาและแม่น้ำปีละครั้งเท่านั้น นี่จึงกลายมาเป็นความเคยชินของวงการขุนนางไปแล้ว
อาจารย์และลูกศิษย์จากอารามจินติ่งสองคนอย่างอิ่นเมี่ยวเฟิงและเส้ายวนหรานต่างก็เป็นผู้ฝึกตน แน่นอนว่าพวกเขาไม่คิดว่าการเดินทางมาที่นี่เป็นเรื่องยากลำบากตรงไหน เมื่อมาถึงหน้าประตูใหญ่จวนปี้โหรว อิ่นเมี่ยวเฟิงก็บอกชื่อแซ่ด้วยเสียงดังกังวาน นอกจากบอกสถานะข้ารับใช้จักรพรรดิราชวงศ์สกุลหลิวแล้ว ยังบอกชื่ออารามจินติ่งซึ่งเป็นสำนักของตนด้วย ผู้ฝึกตนของต้าเฉวียนล้วนเคยได้ยินเรื่องนิสัยประหลาดของเทพวารีลำคลองหมายเหอกันมาก่อน อิ่นเมี่ยวเฟิงจึงกลัวว่าหากตนไม่เอ่ยถึงอารามจินติ่ง คืนนี้จวนปี้โหยวอาจจะไม่เปิดประตูให้
แต่นักพรตเป่าเจินท่านนี้คิดผิดแล้ว
ต่อให้เขาบอกชื่ออารามจินติ่งและสถานะของอาจารย์ปู่เส้ายวนหรานออกไป ประตูใหญ่ของจวนปี้โหรวก็ยังคงปิดสนิท แม้แต่คนเฝ้าประตูก็ไม่ได้โผล่หน้าออกมาให้เห็น
สีหน้าของอิ่นเมี่ยวเฟิงไม่สบอารมณ์ แต่จำต้องข่มกลั้นเอาไว้ เอ่ยขอร้องให้เทพวารีลำคลองหมายเหอเปิดประตูยอมให้พวกเขาเข้าพบอีกครั้ง แถมยังบอกไปตามตรงว่าตนนำพระราชโองการลับของฮ่องเต้มาแจ้ง
ส่วนเส้ายวนหรานกลับยิ่งสงสัยใคร่รู้ว่าเป็นเรื่องใหญ่อะไรกันแน่ อาจารย์ของตนถึงยอมให้พวกเขาสองคนต้องมากินน้ำแกงประตูปิดอยู่อย่างนี้ (กินน้ำแกงประตูปิดเปรียบเปรยถึงการไปเยือนบ้านคนอื่นแล้วเขาไม่ต้อนรับ ไม่เชื้อเชิญให้เข้าไปข้างใน)
กลางจวนขนาดมโหฬารที่กินอาณาบริเวณถึงร้อยกว่าไร่ ในห้องโถงใหญ่ที่แสงไฟโชติช่วงแห่งหนึ่งมีหญิงสาวร่างเล็กเตี้ยนั่งอยู่บนม้านั่งตัวยาวโดยยกเท้าข้างหนึ่งเหยียบบนม้านั่ง ก้มหน้าก้มตากินบะหมี่ถ้วยที่วางอยู่บนโต๊ะ
หรือควรจะพูดให้ถูกว่า อ่างบะหมี่
ใหญ่กว่าศีรษะของนางสองศีรษะรวมกันเสียอีก
คือบะหมี่ปลาไหลผัดฉ่า
ในห้องโถงมีพ่อบ้านและสาวใช้ของจวนยืนกันอยู่หลายคน ส่วนใหญ่ล้วนเป็นผีพรายที่ตายอย่างอยุติธรรมในลำคลองหมายเหอ
ผู้เฒ่าคนหนึ่งในนั้นถามขึ้นเบาๆ “เหนียงเนียง จะไม่พบหน้านักพรตจากอารามจินติ่งสองคนนั้นจริงๆ หรือขอรับ?”
หญิงสาวไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้น จ้วงตะเกียบรัวเร็วราวกับบิน เวลากินเส้นก็มีเสียงสูดดังสวบๆๆ นางพูดเสียงอู้อี้ฟังไม่ชัด “พบกะผีน่ะสิ! พูดไปพูดมาก็แค่คำพูดแบบเดิมๆ น่ารำคาญจะตาย”
นางพลันเงยหน้าขึ้น พูดกับชายฉกรรจ์ท่าทางซื่อๆ ลักษณะคล้ายพ่อครัวที่กำลังปลดปลอกแขนออก “ผัดได้ไม่เลว คราวหน้าใส่พริกเยอะๆ หน่อย ใส่สักสามสี่จิน รสชาติจะได้ดียิ่งขึ้น อย่าลืมล่ะว่าทางที่ดีที่สุดต้องเป็นพริกชี้ฟ้าของร้านหลิวเหล่าซาน พริกของที่นั่นรสชาติดั้งเดิมที่สุด!”
พ่อครัวคนนั้นพยักหน้ารับ พูดตะกุกตะกัก “เหนียง…เนียง ข้า…ข้า…ทราบแล้ว”
หญิงสาวร่างเล็กเตี้ยกลอกตามองบน พูดอย่างขุ่นเคือง “เหนียงเนียงกับท่านทวดเจ้าน่ะสิ ข้ายังเป็นหญิงสาวในห้องหอ!”
นางพลันใจสั่น ตบตะเกียบวางลง ลุกพรวดขึ้นยืน ใบหน้าเต็มไปด้วยปราณสังหาร “มารดามันเถอะ ยังมีคนกล้ามาก่อกวนที่ศาลอีกรึ?! ใจกล้าไปหน่อยแล้วกระมัง!”
บนโต๊ะปรากฏควันกลุ่มหนึ่งเหมือนมีคนจุดธูป เพียงแต่ว่านอกจากควันที่ลอยอ้อยอิ่งแล้วยังมีเสียงของหญิงชราผู้หนึ่งดังขึ้นมาด้วย
หลังจากนางตั้งใจรับฟังจนจบ นางที่ไอสังหารเดือดพล่านก็เรอดังเอิ้ก ก่อนจะรีบก้มหน้าค้อมเอวหยิบตะเกียบขึ้นมากินบะหมี่ปลาไหลผัดฉ่าอีกคำโต แล้วถึงได้เช็ดปาก เดินก้าวยาวๆ ออกไปข้างนอก พอเดินไปใกล้ธรณีประตูแล้วถึงพูดกับพ่อบ้านชราว่า “ข้าจะไปที่ศาลสักรอบ เจ้าไล่แขกที่อยู่ข้างนอกกลับไปซะ บอกว่าข้ายังคงยืนกรานคำเดิม เว้นเสียจากว่าทางราชสำนักจะสามารถบอกให้สำนักศึกษาเอาตำราเล่มนั้นออกมาได้ ไม่อย่างนั้นจวนปี้โหรวของเราก็ยอมเก็บรักษาป้ายเก่านี้เอาไว้”
พ่อบ้านชราหน้านิ่วคิ้วขมวด แม้ว่าจะเคารพเจ้าแม่เทพวารีท่านนี้มาก แต่กลับไม่ได้หวาดกลัวนางสักเท่าไหร่ จึงถามไปตามตรงว่า “เหนียงเนียง หากเทพเซียนลัทธิเต๋าสองคนนั้นขุ่นเคืองขึ้นมา ทำลายจิตวิญญาณข้าจนแหลกสลาย ข้าควรจะทำอย่างไร? แล้ววันหน้าใครจะยังไปช่วยหาซื้อของจากในตลาดของโลกมนุษย์มาให้ท่าน?”
นางร้องถุย “กลัวตายก็บอกมาตรงๆ สิ ยังจะมาหาข้ออ้างให้ตัวเองอีก”
พูดอย่างนี้ก็จริง แต่พอนางก้าวหนึ่งก้าวออกไปจากธรณีประตู ร่างหายวับไปแล้ว กลับยังมีเสียงของนางก้องสะท้อนอยู่ข้างนอกจวนปี้โหรว “พูดคุยกันดีๆ ห้ามฆ่าคน…พูดผิด ห้ามฆ่าผี”
……
ในศาลเทพวารีลำคลองหมายเหอ เรือนกายเล็กเตี้ยของสตรีปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่า ห้อยดาบสะพายกระบี่ แต่ไม่ได้พกทวนเหล็กเล่มนั้นมาด้วย
เมื่ออยู่ในอาณาเขตของศาลร่างทอง ก้าวแค่หนึ่งก้าวนางก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าของตัวการร้ายสองคนนั้น “พวกเจ้าสองคน เกิดอะไรขึ้น? เหตุใดต้องมาก่อเรื่องที่นี่? หญิงแก่คนเฝ้าศาลที่ผู้ว่าเขตการปกครองยัดเยียดมาให้พูดจาเชื่อถือได้แค่สามสี่ส่วน ข้าไม่เชื่อคำพูดที่เสริมเติมแต่งจนเกินจริงของนาง แต่ความเคลื่อนไหวของที่นี่ ข้ารับรู้ได้อย่างชัดเจน พวกเจ้าลองพูดมาสิ ข้าจะรับฟัง”
นางที่คุมเชิงอยู่กับเฉินผิงอันและจงขุยพูดพลางถอยหลังไปอย่างเงียบเชียบ
ไม่ใช่ว่าหวาดกลัวอะไร แต่เป็นเพราะการที่ต้องแหงนหน้าพูดกับคนอื่น นางรู้สึกว่าน่าขายหน้าไม่น้อย
รอจนไม่จำเป็นต้องเงยหน้าแล้ว นางถึงได้หยุด นึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้จึงกล่าวว่า “ใช่แล้ว ข้าก็คือเทพวารีของลำคลองหมายเหอแห่งนี้”
จงขุยจึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในนางฟังหนึ่งรอบ เขาพูดอย่างกระชับแต่ได้ใจความ ความจริงของเหตุการณ์จึงปรากฏกระจ่างแจ้ง
พอนางฟังจบก็พยักหน้ารับเบาๆ “ก็คงต้องทำประมาณนี้แหละ ถ้าอย่างนั้นพวกเจ้าเดินเล่นกันตามสบาย ข้าจะบอกให้หญิงแก่เฝ้าศาลผู้นั้นสำรวมตน อย่าได้คิดลอบกัดพวกเจ้า”
จงขุยเห็นว่านางนึกจะไปก็ไปจึงรีบรั้งเอาไว้ “ข้ามีธุระสำคัญอยากจะคุยกับเจ้า”
สีหน้าของนางเคร่งเครียด
ในฐานะเทพวารีของระบบสืบทอดดั้งเดิมที่ควบคุมโชคชะตาของน้ำในลำคลองหมายเหอ ความเคลื่อนไหวผิดปกติของที่แห่งนี้ช่วงก่อนหน้าได้บดบังเจตนารมสวรรค์ ราวกับว่าพื้นที่ในรัศมีหลายสิบลี้ถูกไอหมอกในภูเขาเคลื่อนเข้าปกคลุม เป็นเหตุให้นางสัมผัสไม่ได้ถึงความแปลกประหลาดที่ซ่อนอยู่ภายใน แต่ฝ่ายตรงข้ามมีตบะตื้นลึกเท่าไหร่ นางพอจะรู้อยู่ในใจคร่าวๆ เมื่อเทียบกับปีศาจลำคลองที่รับมือได้ยากตนนั้น มีแต่จะแข็งแกร่งกว่า ต่อให้อยู่ในศาลของตัวเอง พลังการต่อสู้ของนางย่อมเหนือกว่าอยู่ใต้น้ำ แต่เรื่องตีรันฟันแทงนี้ นางเป็นสตรีคนหนึ่ง หากไม่ต้องลงไม้ลงมือกันย่อมดีกว่า ในเมื่อบัณฑิตผู้นี้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟังอย่างชัดเจนแล้ว ก็ถือว่าพวกเขาได้มาพบกันโดยบังเอิญเท่านั้น เจ้าเดินบนเส้นทางหยางกวาน (หมายถึงเส้นทางที่กว้างใหญ่ไร้อุปสรรค) ของเจ้า ข้าก็จะได้กลับไปกินบะหมี่ปลาไหลชามนั้นของข้า
คิดไม่ถึงว่าบัณฑิตที่อยู่ตรงหน้าจะยังมีธุระสำคัญอยากพูดคุย?
หรือว่าเป็นเรื่องที่จวนปี้โหรวจะได้เลื่อนขั้นเป็นตำหนัก?
นางจึงถามไปตามตรง “เจ้าเป็นคนของสำนักศึกษาต้าฝู?”
จงขุยยิ้มตอบ “เจ้าแม่เทพวารีแค่เดาก็ถูกต้อง สมกับ…”
“ไม่ต้อง ‘สมกับ’ แล้ว หยุดเลยๆ!”
นางยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาตัดบทคำพูดที่กล่าวตามมารยาทของจงขุย แล้วเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “บัณฑิตอย่างพวกเจ้าชอบประจบสอพอ สมกับที่เคยได้ยินมาจริงๆ”
เฉินผิงอันรู้สึกว่าน่าสนใจ
จงขุยเกาหัว “เปลี่ยนเป็นตำราของอริยะเล่มอื่นไม่ได้จริงๆ หรือ? เจ้ารู้หรือไม่ว่าการที่เจ้าดึงดันแบบนี้ ฮ่องเต้สกุลหลิวต้าเฉวียนลำบากใจอย่างมาก ไม่แน่ว่าวิญญูชนของสำนักศึกษาที่อยู่ในเมืองเซิ่นจิ่งอาจหงุดหงิดที่เจ้าไม่รู้จักความหวังดีของผู้อื่น หาใช่ว่าสำนักศึกษาต้าฝูของพวกเราไม่เข้าใจผู้อื่น วางมาดใหญ่โต แต่เป็นเพราะข้อเรียกร้องของเทพวารีอย่างเจ้าเกินจากหลักปกติไปจริงๆ”
นางพยักหน้ารับ “ข้ารู้ว่าข้าเรียกร้องมากเกินไป ดังนั้นพวกเจ้าก็อย่ารับปากเรื่องนี้เลย ข้าไม่ได้ต้องการตำหนักปี้โหยวอะไรเสียหน่อย ใช่แล้ว หวังว่าสำนักศึกษาของพวกเจ้าจะไม่พาลโกรธราชสำนักต้าเฉวียน หากมีเรื่องอะไรก็ให้มาหาข้า ข้ากล้าทำก็กล้ารับ ความรับผิดชอบแค่นี้ จวนปี้โหยวของพวกเรายังพอมีอยู่”
จงขุยกล่าวอย่างจนใจ “ข้าคิดไม่ตกจริงๆ ว่าเหตุใดเจ้าแม่เทพวารีอย่างเจ้าถึงต้องการตำราของอริยะท่านนั้นให้ได้? หรือเจ้าเคยรู้จักกับอริยะท่านนั้น?”
เจ้าแม่เทพวารีลำคลองหมายเหอส่ายหน้าอย่างแรง “ข้าเป็นแค่เทพวารีตัวน้อยๆ ไหนเลยจะรู้จักกับท่านอริยะเหวินเซิ่งที่มีความรู้ใหญ่กว่าผืนฟ้าได้ ก็แค่เคยอ่านหนังสือของท่านผู้อาวุโส รู้สึกว่าบทความของเขา แต่ละคำล้วนงดงามดุจไข่มุก เขียนได้ดีกว่าหลี่เซิ่งที่มีหลักการยิ่งใหญ่ แต่น่าเสียดายที่เลือกใช้ถ้อยคำชวนให้อึดอัดกลัดกลุ้ม และดีกว่าหย่าเซิ่งที่ความรู้ย่ำแย่กว่าอยู่มาก อืม หากเอาบทความของปรมาจารย์มหาปราชญ์มาเทียบกับท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่งแล้วก็พอจะถือได้ว่าสูสีกันกระมัง…”
จงขุยกะพริบตาปริบๆ “เจ้าแม่เทพวารี เจ้าพูดจาแบบนี้ต่อหน้าวิญญูชนของสำนักศึกษา ไม่กลัวจะถูกฟ้าผ่าตายหรือ? หืม?!”
ถึงอย่างไรจงขุยก็มีชาติกำเนิดมาจากสายของหย่าเซิ่งสายดั้งเดิมที่สุด แล้วนับประสาอะไรกับที่อาจารย์ผู้ถ่ายทอดความรู้ให้แก่เขา เจ้าขุนเขาสำนักศึกษาต้าฝูก็ยิ่งเดินออกมาจากจวนของหย่าเซิ่งในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง
จงขุยโมโหก็ส่วนโมโห แต่ไม่ได้คิดจะทำอะไรเจ้าแม่เทพวารีที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ แต่หากไม่ข่มขู่นางสักหน่อย มโนธรรมในใจของเขาก็มิอาจสงบลงได้
อันที่จริงสาเหตุจริงๆ นั้นเป็นเพราะจงขุยกังวลว่าอาจารย์ที่เฝ้าพิทักษ์ภาคกลางของใบถงทวีปจะถูกปรากฎการณ์ประหลาดของที่แห่งนี้ดึงดูดความสนใจ แล้วใช้วิชาอภินิหารเพ่งมองมายังภูเขาแม่น้ำแถบนี้ ถ้าอย่างนั้นหากเขายังไม่เอ่ยถ้อยคำผดุงคุณธรรมหรือพูดอะไรที่ช่วยกู้หน้าตาสายบุ๋นฝั่งเขากลับคืนมาสักหน่อย กลับไปจะไม่ถูกอาจารย์ด่าตายหรอกหรือ?
คงเป็นเพราะตระหนักได้ว่าตัวเองปากเปราะพูดไม่คิด ถือเป็นไม่ความเคารพอย่างใหญ่หลวงแล้ว นางจึงกะพริบตาปริบๆ “ในบ้านข้ามีบะหมี่อยู่ถ้วยหนึ่งที่ยังกินไม่หมด ต้องกลับไปกิน ถ้าเย็นแล้วจะไม่อร่อย”
เฉินผิงอันฟังเงียบๆ ยืนอยู่ด้านข้าง แต่ในใจกลับมีคลื่นซัดโถมกระหน่ำ
บทที่ 345.1 อริยะมาเยือนจวนปี้โหยว
ProjectZyphon
หญิงชราคนเฝ้าศาลของศาลเทพวารีลำคลองหมายเหอเป็นคนสนิทของจวนผู้ว่าราชการในท้องถิ่น นอกจากใต้เท้าผู้ว่าฯ จะเป็นคนแนะนำมาด้วยตัวเองแล้ว นางยังต้องใช้ทรัพย์สินส่วนตัวอีกเป็นจำนวนมากการในสร้างสายสัมพันธ์กับที่ว่าการกรมพิธีการของเมืองเซิ่นจิ่ง กว่าจะได้ครอบครองตำแหน่งที่ได้ค่าน้ำร้อนน้ำชามากพอนี้ ไม่รู้ว่ามีผู้ฝึกลมปราณมากน้อยเท่าไหร่ที่อิจฉาตาร้อน ก่อนหน้านี้หญิงชราใช้วิธีจุดธูปเทพสูงฟ้องไปยังจวนปี้โหยว เวลานี้ไม่ต้องรอให้เจ้าแม่เทพวารีเอ่ยเตือนอะไร นางก็หยุดด้วยตัวเองแล้ว ไม่เหลือความคิดอยากแก้แค้นอีกต่อไป ไม่กล้า ไม่กล้าอย่างสิ้นเชิง
แค่วิญญูชนหนุ่มของสำนักศึกษาต้าฝูผายลมก็มากพอจะสะเทือนให้นางตายแล้ว
เหตุใดราชวงศ์ต้าเฉวียนถึงได้เจริญรุ่งเรืองในทุกๆ วันตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา อีกทั้งยังมีแนวโน้มว่าจะได้เป็นพันธมิตรกับหลายแคว้นในภาคกลางของใบถงทวีป?
นอกจากความปรีชาสามารถของฮ่องเต้และมีขุนนางบุ๋นแม่ทัพบู๊มากความสามารถมารวมตัวกันแล้ว อันที่จริงทุกคนล้วนรู้ดีอยู่แก่ใจว่าเป็นเพราะมีวิญญูชนท่านหนึ่งนั่งบัญชาการณ์อยู่ที่เมืองเซิ่นจิ่ง แคว้นดั้งเดิมที่แข็งแกร่งอย่างเป่ยจิ้น หนันฉี จนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่มีนักปราชญ์ของสำนักศึกษาอยู่แม้แต่คนเดียว
วิญญูชนจากสำนักศึกษาเบื้องหน้าคนนี้อายุน้อยขนาดนี้ เดิมทีนี่ก็เป็นบารมีที่ยิ่งใหญ่อย่างหนึ่งอยู่แล้ว
อายุสามสิบปีหรืออายุสี่สิบปี จอหงวนที่ตรากตรำกับการสอบกับเด็กหนุ่มอัจฉริยะที่ช่วงชิงความรุ่งโรจน์มาได้ด้วยการลงมือเพียงครั้งเดียว คือความต่างราวฟ้ากับดิน
หญิงชราเฝ้าศาลและผู้ฝึกตนเฒ่าที่กลับขึ้นมาบนฝั่งคล้ายเด็กน้อยทำผิดสองคนที่รอให้อาจารย์ลงโทษ
พวกเขาที่เป็นเทพเซียนผู้อาวุโสในสายตาของชาวบ้านมีความสัมพันธ์ที่ธรรมดากับจวนปี้โหยว รู้ดีว่าลึกๆ แล้วในใจเจ้าแม่เทพวารีดูแคลนพวกเขา แต่เพราะเห็นแก่หน้าของผู้ว่าฯ กับราชสำนัก เจ้าแม่ถึงได้หลับตาข้างหนึ่งลืมตาข้างหนึ่ง เรื่องหารายได้เข้ากระเป๋า ขอแค่ไม่เกินกว่าเหตุ ก็จะไม่คิดเล็กคิดน้อยกับพวกเขาที่อยู่ในศาลเทพวารี
เพียงแต่ว่าคืนนี้เป็นคืนที่ค่อนข้างยากลำบากสำหรับพวกเขาแล้ว
เพราะเจ้าแม่เทพวารีและศาลเทพวารีไม่อาจเป็นยันต์คุ้มกันกายให้พวกเขาได้อีกต่อไป
จงขุยตวาดเสียงกร้าว “คนหนึ่งคือคนเฝ้าศาลที่รับผิดชอบดูแลควันธูปของศาล อีกคนหนึ่งคือผู้ฝึกตนที่ทางราชสำนักส่งตัวให้มาปักหลักอยู่ที่นี่ แต่กลับไม่มีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่นเลยแม้แต่น้อย ไม่ทันได้ถามไถ่ความเป็นมาก็จะอาศัยกำลังที่เหนือกว่าทำตัวดุร้าย มิน่าเล่าผีพรายใต้ลำคลองหมายเหอถึงได้มีมากขนาดนี้ นอกจากจะถูกปีศาจใหญ่ทำร้ายแล้ว พวกเจ้าสองคนก็ยากจะปฏิเสธความผิดให้พ้นตัวไปได้!”
หญิงชรากับผู้ฝึกตนเฒ่าตกใจหน้าซีดเผือด ถ้อยคำทองวาจาหยกของอาจารย์สำนักศึกษาหลังจาก ‘สวมอาภรณ์สวมกวานอย่างเป็นระเบียบ’ (การสวมอาภรณ์สวมกวานอย่างเป็นระเบียบแสดงถึงรูปลักษณ์ภายนอก ขณะเดียวกันก็หมายถึงการจัดระเบียบมาจากภายใน เป็นการตักเตือนให้มนุษย์กระทำในสิ่งที่ถูกต้องเที่ยงธรรม) ไม่ว่าคำใดก็ตามที่หลุดออกมาล้วนมีน้ำหนักหมื่นจิน นี่ไม่ใช่แค่คำกล่าวลอยๆ เท่านั้น
สตรีร่างเล็กเตี้ยเอ่ยเสียงหนักอึ้ง “เรื่องสังหารผีพรายใต้น้ำพร่ำเพื่อ หลักๆ แล้วถือเป็นความผิดของข้าเอง”
จงขุยโบกชายแขนเสื้อ ไม่ไว้หน้าเจ้าแม่เทพวารีแม้แต่น้อย “คนละเรื่องกัน! สองคนนี้มีหน้าที่สำคัญขนาดนี้ แต่กลับคิดจะออมแรงกายแรงใจกับทุกเรื่อง ไม่ยอมเปลืองน้ำลายสอบถามแม้แต่ครึ่งคำ ไม่ยอมเสียเวลาคิดให้มากขึ้นอีกนิด แล้วจะรับหน้าที่นี้ต่อไปได้อย่างไร! พวกเขาไม่ใช่เศรษฐีที่นอนเสวยสุขอยู่ในบ้านเสียหน่อย อยู่ตำแหน่งไหนต้องพึงระลึกถึงเรื่องของตำแหน่งนั้น อยู่ที่นี่ ทุกการกระทำของพวกเขาล้วนเกี่ยวพันไปถึงโชคชะตาแห่งแม่น้ำและภูเขาของราชสำนัก!”
คนทั้งสองตื่นตระหนกจนแทบจะขวัญหนีดีฝ่อแล้ว
ดูจากท่าทางที่ดึงเอาราชสำนักเข้ามาเกี่ยวข้องนี้แล้ว หากวิญญูชนดึงเอาจุดประสงค์ของสำนักศึกษามาพูดอีก พวกเขาจะไม่เจอกับหายนะที่มิอาจพลิกฟื้นกลับคืนมาอีกเลยหรือ?
หญิงชราลงไปนั่งคุกเข่าเอ่ยขอร้องก่อน ถ้อยคำที่กล่าวก็ไม่พ้นทำนองว่า วันหน้าไม่กล้าทำผิดอีกแล้ว
ผู้ฝึกตนเฒ่าก็ค้อมเอวคารวะ บอกว่าตนผิดต่อความไว้วางใจที่ราชสำนักมีให้ วันหน้าจะต้องอุทิศตนทุ่มเทอย่างสุดความสามารถ
จงขุยแค่นเสียงเย็น “เห็นแก่ที่พวกเจ้าเพิ่งทำความผิดเป็นครั้งแรก จะยกหน้าที่นี้ให้เจ้าแม่เทพวารีเป็นคนจัดการ”
คนทั้งสองรีบลุกขึ้นกล่าวขอบคุณ จากนั้นก็หันไปขอรับผิดจากเจ้าแม่เทพวารี
จงขุยเห็นพวกเขาแล้วรู้สึกขวางหูขวางตาจึงโบกชายแขนเสื้อตวาดว่า “ยังไม่รีบกลับไปปิดประตูทบทวนตัวเองที่ศาลอีก อย่ามาอยู่ตรงนี้ให้อับอายขายหน้าผู้คน!”
คนทั้งสองจึงจากไปอย่างกระเซอะกระเซิง
จงขุยหันไปพูดกับหญิงสาวร่างเล็กเตี้ยด้วยสีหน้าจริงจัง “ในฐานะเทพวารีลำคลองหมายเหอ ได้รับการเคารพบูชาจากชาวบ้านนับหมื่น จะดีจะชั่วเจ้าก็ควรจัดการกับผู้ใต้บังคับบัญชาเสียบ้าง อย่าเอาแต่จ้องจะจัดการจับปีศาจลำคลองตนนั้น เรื่องควันธูปขององค์เทพ ไม่ใช่แค่รบราฆ่าฟันกันอย่างเดียว หากชาวบ้านที่มาจุดธูปมีจิตศรัทธาอย่างแท้จริง ต่อให้หนึ่งปีมีธูปแค่ก้านเดียว ควันธูปก็ไม่มีทางขาดหาย แต่หากคนในเขตการปกครองมีแต่ความละโมบ คนที่มาจุดธูปมีแต่ใจเห็นแก่ได้ ไม่ได้มีความจริงใจต่อเจ้าสักเท่าไหร่ จะเป็นอย่างไร? ควันธูปหลายร้อยปี หมอกควันลอยแผ่เต็มฟ้า ขนาดยามค่ำคืนยังมีคนหลายร้อยมารออยู่ข้างนอกหวังได้เข้ามาจุดธูปในศาล บารมียิ่งใหญ่กว่าศาลบุ๋นและศาลเทพอภิบาลเมืองของเมืองเซิ่นจิ่งด้วยซ้ำ แต่ในความเป็นจริงแล้วควันธูปมีมากน้อยแค่ไหน หนักเบาเท่าไหร่ ทุกวันมีน้ำหนักกี่จิน คนธรรมดาไม่รู้ คนเฝ้าศาลก็ไม่รู้ แต่เจ้าในฐานะเทพวารีลำคลองหมายเหอจะไม่รู้ได้หรือ? หากไม่เป็นเพราะการดำรงอยู่ของตำหนักเจ้าแม่หลิงก่านช่วยเจ้ารวบรวมควันธูปและการเคารพบูชาจากสตรีแต่งงานแล้วที่มีจิตศรัทธาอย่างแท้จริงมาได้กลุ่มใหญ่ ป่านนี้เจ้าก็คงถูกปีศาจลำคลองที่มีพรสวรรค์ไม่ธรรมดาตนนั้นถอนรากถอนโคนศาลเทพวารี เหยียบย่ำจวนปี้โหยวจนเละเป็นหน้ากลองไปแล้ว!”
สตรีร่างเล็กเตี้ยรู้สึกกระดากใจและอับอายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
จงขุยไม่พูดอะไรอีก
ทะเลสาบในหัวใจของเฉินผิงอันสงบลงแล้ว การเดินทางไกลในใต้หล้าไพศาลทั้งสองครั้ง เวลาที่คนนอกพูดถึงอาจารย์ฉีและซิ่วไฉเฒ่าเหวินเซิ่งมีแค่สามครั้งเท่านั้น
เสิ่นเวินเทพอภิบาลเมืองของแคว้นไฉ่อีแจกันสมบัติทวีป นักพรตเฒ่าในพื้นที่มงคลดอกบัวพูดถึงเรื่องของการจัดลำดับ จากนั้นก็เป็นเจ้าแม่เทพวารีที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ นึกไม่ถึงว่าหลังจากได้อ่านหนังสือของซิ่วไฉเฒ่าแล้วนางจะกลายเป็น…ผู้ศรัทธาในตัวซิ่วไฉเฒ่าเหวินเซิ่ง อีกทั้งยังไม่ใช่ความเลื่อมใสศรัทธาธรรมดา แต่แทบจะใกล้เคียงกับความหลงใหล ขนาดเฉินผิงอันก็ยังไม่กล้าพูดว่าความรู้ของอาจารย์ผู้เฒ่า ต่อให้เอาไปเทียบกับปรมาจารย์มหาปราชญ์ก็ยังแค่พอจะสูสีกันเท่านั้น ปีนั้นตอนที่ชุยตงซานพูดถึงอดีตอาจารย์ของตนก็ยังบอกแค่ว่าเหวินเซิ่งรอบรู้ ประหนึ่งดวงตะวันกลางนภาในสายตาของบัณฑิตทุกคนในโลก แต่ไม่เคยเอาไปเปรียบเทียบกับอริยะคนใดที่มีรูปปั้นตั้งอยู่ในศาลบุ๋น
แล้วนับประสาอะไรกับที่การที่สำนักศึกษาต้าฝูอัญเชิญตำราเล่มหนึ่งของลัทธิขงจื๊อออกมาบูชาไว้ในศาลสักแห่ง ต้องเกี่ยวพันไปถึงรากฐานร่างทองของสิ่งศักดิ์สิทธิ์องค์หนึ่ง นอกจากนี้ยังเกี่ยวพันกับการเลื่อนขั้นจวนเป็นตำหนักที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาและแม่น้ำปรารถนาแม้ในยามหลับฝัน
สำหรับการตัดสินใจของสตรีร่างเล็กเตี้ยตรงหน้าผู้นี้ เฉินผิงอันทั้งรู้สึกตื่นตะลึง ไม่เข้าใจและทั้งดีใจจากใจจริง
ราวกับว่าอยู่ท่ามกลางฝูงชนที่มากมายดุจน้ำในมหาสมุทร แล้วในที่สุดก็ได้พบเจอกับคนที่เดินอยู่บนเส้นทางเดียวกัน
จงขุยหันมาพูดกับเฉินผิงอัน “รู้หรือไม่ว่าทำไมเหตุผลถึงใช้ได้ผล? ไม่เพียงแต่เรื่องที่ตบคนไปสองที แล้วก็ไม่ใช่แค่เพราะสถานะวิญญูชนของข้าด้วย”
เฉินผิงอันอยากรู้จริงๆ จึงถามอย่างจริงใจ “ช่วยอธิบายที”
จงขุยพูดด้วยสีหน้าฮึกเหิม “เป็นความดีความชอบของการนำตำราอริยะปราชญ์เล่มแล้วเล่มเล่าในสำนักศึกษาลัทธิขงจื๊อของพวกเรามาสั่งสอนให้แก่ความรู้ผู้คนนานนับพันปี สำนักศึกษาทั้งเจ็ดสิบสองแห่งตั้งตระหง่านอยู่ในเก้าทวีปใหญ่ เป็นเหตุให้ผู้คนทั้งบนและล่างภูเขาเกิดความเคารพยำเกรง หากพวกอาจารย์ของสำนักศึกษาเอาแต่อาศัยพละกำลัง แน่นอนว่าผู้คนย่อมเลื่อมใสแต่ปาก แต่ไม่ได้เลื่อมใสจากใจจริง มีแต่จะสะสมความไม่พอใจเอาไว้ ข้าจงขุยก็แค่อาศัยร่มเงาจากต้นไม้ที่บรรพชนปลูกไว้ก็เท่านั้น”
เฉินผิงอันรู้สึกแปลกๆ
คำพูดและการกระทำของจงขุยตอนนี้แตกต่างจากเวลาปกติราวฟ้ากับเหว
แน่นอนว่าเหตุผลที่จงขุยพูดมานั้นหาข้อตำหนิไม่ได้เลย
ลูกตาของจงขุยกลอกไปมาสองสามที ทำท่าเงี่ยหูตั้งใจฟัง ก่อนจะหัวเราะออกมา “ในที่สุดอาจารย์ก็ไปสักที ดูท่าคลื่นมรสุมในคืนนี้คงถูกข้ารับมือจนผ่านไปได้แล้ว โชคดีมาเยือนหลังโชคร้าย ฮ่าๆ ไม่แน่ว่าคราวหน้าที่กลับไปยังสำนักศึกษา อาจารย์อาจจะยังพูดชมเชยข้าสองสามคำ”
เฉินผิงอันพูดไม่ออก นี่ต่างหากถึงจะเป็นจงขุยที่เขารู้จัก
เจ้าแม่เทพวารีลำคลองหมายเหอได้เปิดโลกทัศน์ เกือบจะสงสัยว่าสถานะวิญญูชนของคนผู้นี้เป็นของปลอมหรือไม่
จงขุยตบท้อง “พอเจ้าพูดถึงบะหมี่ถ้วยนั้นก็ให้นึกอยากกิน พวกเราไปกินมื้อดึกที่จวนปี้โหยวของเจ้าสักมื้อดีไหม?”
เฉินผิงอันขมวดคิ้ว “ห่างไปไม่ไกลมีร้านขายอาหารรอบดึกอยู่”
เฉินผิงอันในเวลานี้ไม่ใช่คนที่ไม่รู้ประสาในเรื่องทางโลกอีกแล้ว รูปปั้นของซิ่วไฉเฒ่าเหวินเซิ่งไม่เพียงแต่ถูกย้ายออกมาจากในศาลบุ๋น ยังถูกคนทุบทำลาย หนังสือของเขาทุกเล่มที่อยู่ในใต้หล้าไพศาลห้ามจัดพิมพ์อีกทั้งยังถูกเผาทิ้ง ตอนนั้นสำนักศึกษาทั้งเจ็ดสิบสองแห่งในเก้าทวีปใหญ่ หากไม่ใช่เจ้าขุนเขาออกหน้าด้วยตัวเอง อย่างน้อยก็ต้องมีวิญญูชนท่านหนึ่งจัดการเรื่องนี้ รับผิดชอบคอยตรวจตราให้ราชสำนักของแต่ละพื้นที่ปฏิบัติตาม ห้ามให้มีข้อผิดพลาดอย่างเด็ดขาด
หากเขาเข้าไปเกี่ยวข้องกับศาลเทพวารีลำคลองหมายเหอ ราชสำนักต้าเฉวียนและสำนักศึกษาต้าฝู ขอแค่ถูกคนมีใจคิดไม่ซื่อหลอกใช้ ถึงเวลานั้นก็มีความเป็นไปได้ว่าจะทำร้ายคนอื่นและยังทำร้ายตัวเอง
การประชันขันแข่งของสายบุ๋นได้ข้อสรุปแบบตอกปิดฝาโลงไปแล้ว คนรุ่นหลังไม่จำเป็นต้องพูดหลักการเหตุผลอะไรอีก เพราะอะไร? เพราะเหล่าอริยะได้พูดเหตุผลหลักการทั้งหมดออกมานานแล้ว
เจ้าแม่เทพวารีที่มีร่างกายเล็กกะทัดรัดคล้ายจะเปลี่ยนใจ จึงเริ่มเชื้อเชิญคนทั้งสองไปที่จวนปี้โหยวด้วยการยิ้มพูดว่า “ร้านแผงลอยที่อยู่นอกศาลหรือจะเทียบกับอาหารมื้อดึกในจวนปี้โหยวของข้าได้ ไปๆๆ ข้าจะได้ถือโอกาสเอาสุราหมักร้อยปีไหหนึ่งมารับรองแขกผู้สูงศักดิ์ทั้งสองท่านด้วย”
นางอยากใช้สถานะวิญญูชนแห่งสำนักศึกษาของคนผู้นี้แสร้งเป็นจิ้งจอกที่ห่มหนังสือ เอามากำราบข้ารับใช้สกุลหลิวสองคนที่อยู่นอกจวนปี้โหยวซึ่งพยายามตื๊อนางโดยใช้ทั้งไม้อ่อนและไม้แข็ง
นางแอบหัวเราะชอบใจอยู่กับตัวเอง รู้สึกว่าแผนการของตนไม่เป็นรองปีศาจลำคลองตนนั้นเลย
นางยิ่งคิดก็ยิ่งอารมณ์ดีจนหัวเราะออกมาอย่างโง่งม
เฉินผิงอันรู้สึกระอาใจเล็กน้อย เจ้าแม่เทพวารีผู้นี้ซื่อเกินไปหน่อยแล้ว ทำแบบนี้ไม่เท่ากับบอกให้รู้ว่าอาหารมื้อดึกของจวนปี้โหยวเจ้ากินยากหรอกหรือ? อย่างน้อยก็ควรจะรอให้หลอกพวกเขาสองคนเข้าไปในจวนได้ก่อนแล้วเจ้าค่อยหัวเราะชอบใจก็ยังไม่สาย
จงขุยแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นเหมือนคนตาบอด ลากเฉินผิงอันไปด้วยกัน บอกแค่ว่าอยากจะเห็นสุรารสเลิศที่หมักมานานเป็นร้อยปีไหนั้น อยากรู้ว่าจะสู้เหล้าบ๊วยหมักห้าปีได้หรือไม่
การปรากฏตัวที่ศาลเทพวารีคืนนี้ไม่อาจปิดบังหูตาของผู้คนได้อีกแล้ว อีกทั้งจงขุยยังช่วยตำหนิสั่งสอนหญิงชราคนเฝ้าศาลให้ สตรีร่างเล็กเตี้ยจึงปล่อยตัวตามสบาย ยื่นมือข้างหนึ่งไปยังลำคลองหมายเหอ ผิวน้ำพลันกระเพื่อมซัดรุนแรง ก่อนที่ลำน้ำเส้นหนึ่งจะพุ่งขึ้นไปยังชายฝั่ง จากนั้นก็จำแลงกายเป็นเจียวหลงสีเหลืองยาวร้อยจั้งที่มีชีวิตชีวาเหมือนจริงตัวหนึ่ง มันมาหยุดอยู่นอกศาลบนภูเขา เจียวหลงก้มหัวลงอย่างว่าง่าย เทพวารีลำคลองหมายเหอกระโดดขึ้นไปบนหัวของเจียวหลง จงขุยดึงเฉินผิงอันให้ขึ้นไปด้วยกัน ยืนอยู่ตรงระหว่างลำคอของเจียวหลงสีเหลือง
มันหมุนบิดลำตัว ย้อนกลับจากฝั่งลงไปยังลำคลอง ว่ายวนไปยังจวนปี้โหยวที่อยู่ตอนล่างของลำคลองอย่างรวดเร็ว
พวกชาวบ้านที่อยู่บนฝั่งรอให้ประตูเปิดจะได้เข้าไปจุดธูปได้เห็นท่วงท่าอันองอาจและวิชาอภินิหารของเจ้าแม่เทพวารีกับตาตัวเอง แต่ละคนลงไปนั่งคุกเข่าโขกหัวคำนับ พอลุกขึ้นยืน ใบหน้าแต่ละคนเต็มไปด้วยความปิติยินดี รู้สึกว่าไม่เสียเที่ยวที่มาเยือน ได้เห็นความศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าแม่เทพวารี นี่เป็นโชควาสนาที่ยิ่งใหญ่เพียงใด!
คนทั้งสามโดยสารเจียวหลงที่จำแลงกายมาจากน้ำในลำคลอง ไม่นานก็มาถึงจวนปี้โหยวที่ตั้งอยู่ท่ามกลางป่าเขาอันเงียบสงบ มองดูเหมือนห่างจากลำคลองมาค่อนข้างไกล แต่อันที่จริงแล้วด้านล่างจวนมีสายน้ำเชื่อมโยงกันอยู่ จวนแห่งนี้ตั้งอยู่ใจกลางค่ายกลแห่งหนึ่ง สามารถรวบรวมแก่นของลำคลองหมายเหอเอาไว้เพื่อดูดดึงโชคชะตาควันธูปที่อยู่ในแถบของลำคลองหมายเหอ นี่ก็คือรากฐานในการหยัดยืนของเทพวารีลำคลองหมายเหอ เทวรูปร่างทองที่อยู่ในศาลก็เป็นเพียงแค่รูปลักษณ์ภายนอกเท่านั้น
อาจารย์และศิษย์ของลัทธิเต๋าที่มาจากอารามจินติ่งซึ่งอยู่ตรงหน้าประตูคู่นั้น นอกจากนักพรตเป่าเจินอิ่นเมี่ยวเฟิงและลูกศิษย์เส้ายวนหรานจะต้องกินน้ำแกงประตูปิดจากเจ้าแม่เทพวารีไปพักหนึ่งแล้ว ยังได้กินอาหารยามดึกอีกหนึ่งมื้อ เป็นพ่อบ้านเฒ่าที่สั่งให้พ่อครัวทำอาหารที่ถนัดมือซึ่งครบถ้วนทั้งกลิ่นสีและรสชาติ นอกจากนี้ยังยกสุรารสดีอีกสองกามารับรองข้ารับใช้ของต้าเฉวียนสองท่านที่ป่าวประกาศว่าหากไม่ได้พบเจ้าแม่เทพวารีก็จะไม่จากไป ในใจของพ่อบ้านวัยชรารู้สึกละอายใจเล็กน้อย แขกทั้งสองท่านนี้เดินทางมาไกล อีกทั้งยังมีนิสัยดีมาก ทั้งไม่บุกเข้าไปในจวน แล้วก็ไม่ได้พูดจาหยาบคาย นักพรตเฒ่าเป่าเจินผู้นั้นแค่คลี่ยิ้มขออาหารมื้อดึกจากพวกเขา ทำเอาพ่อบ้านวัยชราที่กลัวจะโดนฆ่าอยู่หน้าประตูซาบซึ้งใจอย่างยิ่ง
เจียวหลงจำแลงกายกลับไปเป็นสายน้ำเส้นหนึ่งที่หายไปบนพื้นดินนอกจวนอย่างรวดเร็ว
จงขุยพลันกระจ่างแจ้งในใจ ชำเลืองตามองสตรีร่างเล็กเตี้ยที่อยู่ข้างกาย เจ้าแม่เทพวารีก็หัวเราะแห้งๆ แสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้
อาจารย์และศิษย์สองเห็นเห็นจงขุยก็รีบลุกขึ้นมาต้อนรับ พอเดินลงบันไดมาแล้วก็ยกมือขึ้นกุมคารวะพลางบอกชื่อแซ่ของตัวเอง
แม้ว่าพวกเขาจะไม่เคยเห็นจงขุยใช้เทพหยินและเทพหยางออกจากโรงเตี๊ยมไปสั่งสอนองค์ชายสองท่านกับตาตัวเอง แต่สำหรับชื่อจงขุยที่เป็นดั่งสายฟ้าผ่าดังข้างหูนี้ อิ่นเมี่ยวเฟิงเคยได้ยินมานานแล้ว ช่วงแรกเริ่มสุดพวกเขาสองคนค้นพบว่าทุกครั้งที่กองทัพม้าเหล็กตระกูลเหยาเปิดศึกใหญ่เข่นฆ่าศัตรูอยู่บนชายแดน จุดที่ห่างจากสนามรบออกไปจะต้องมีบัณฑิตชุดเขียวท่าทางสกปรกมอซอคนหนึ่งยืนมองศึกอยู่ไกลๆ ไม่เคยยื่นมือเข้าแทรก พอศึกใหญ่ปิดฉากลงถึงจากไปอย่างเงียบเชียบ หลังจากนั้นหากศึกใหญ่เกิดขึ้นใหม่ในที่แห่งอื่นอีกครั้ง คนชุดเขียวก็จะมาเยือนเงียบๆ เหมือนเดิม
อิ่นเมี่ยวเฟิงจึงใช้สถานะข้ารับใช้ผู้ปรนนิบัติจักรพรรดิของตนสอบถามเรื่องนี้จากเมืองเซิ่นจิ่ง แต่กลับไม่มีใครสามารถตรวจสอบเจอที่มาของคนผู้นี้ ภายหลังอาศัยอารามจินติ่งสำนักของตัวเองถึงได้รู้ว่าจงขุยคือวิญญูชนที่หนุ่มที่สุดในประวัติศาสตร์ของสำนักศึกษาต้าฝู อายุสิบสองเป็นนักปราชญ์ อายุสิบแปดเป็นวิญญูชน อายุยี่สิบก็ได้รับสองคำว่า ‘เจิ้งเหริน’ (เจิ้งเหรินหมายถึงคนที่ซื่อตรงเปิดเผย/คนที่เหมาะสม/คนที่ใช่) เสริมมาด้านหลังบรรดาศักดิ์วิญญูชน การได้รับคำว่าเจิ้งเหริน ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาแห่งหนึ่งจะตัดสินใจได้เอง จำเป็นต้องให้อริยะของสถานศึกษาสายบุ๋นที่วิญญูชนผู้นั้นอยู่ทำการทดสอบด้วยตัวเอง จากนั้นอริยะหลายท่านที่มีรูปปั้นอยู่ในศาลบุ๋นต้องพยักหน้ารับเห็นด้วยถึงจะถือว่าผ่านด่าน
เพราะว่าวิญญูชนเจิ้งเหรินทุกคนล้วนถูกเรียกว่าเป็น ว่าที่อริยะ
ชื่อเสียงของสำนักศึกษาต้าฝูเทียบกับสำนักศึกษาอีกสองแห่งที่ตั้งอยู่ทางเหนือและใต้ของใบถงทวีปไม่ได้ แต่ในสายตาของคนฝ่ายในลัทธิขงจื๊อและตระกูลเซียนที่มีคำว่าสำนักในชื่อแล้ว ในฐานะบัณฑิตที่เกิดและเติบโตมาในใบถงทวีป จงขุยได้รับความใกล้ชิดสนิทสนมจากกองกำลังแต่ละฝ่ายและพวกเซียนดินอย่างมาก เพื่อช่วงชิงให้วิญญูชนเจิ้งเหรินท่านนี้มานั่งบัญชาการณ์อยู่ในแคว้นของตัวเอง ราชวงศ์หลายแห่งที่แข็งแกร่งที่สุดในใบถงทวีปต่างก็พยายามอุทิศตนเพื่อสำนักศึกษาต้าฝูกันอย่างเต็มที่
ต่อให้เป็นเจ้าอารามอารามจินติ่ง เมื่อลงจากภูเขามาพบเจอกับจงขุยโดยบังเอิญ เกรงว่าก็คงต้องปฏิบัติต่อเขาด้วยมารยาทของคนในระดับที่เท่าเทียมกัน ดังนั้นอิ่นเมี่ยวเฟิงและเส้ายวนหรานจึงไม่กล้าแสดงความไม่เคารพออกมาแม้แต่เสี้ยวเดียว
เส้ายวนหรานสัมผัสได้ว่านักพรตเป่าเจินอาจารย์ของตนถึงขั้นจงใจแสดงความนอบน้อมและประจบเอาใจจงขุยด้วยซ้ำ
ในใจของผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกตนแห่งอารามจินติ่งผู้นี้รู้สึกอึดอัดไม่สบายใจ แต่ไม่ได้แสดงออกมา
อิ่นเมี่ยวเฟิงจำต้องทำตัวถ่อมตนเช่นนี้
เรื่องการเลื่อนขั้นจวนปี้โหยวเป็นตำหนักอยู่ในช่วงเวลาที่สำคัญอย่างมาก ในฐานะลูกศิษย์ผู้เป็นที่ภาคภูมิใจของเจ้าขุนเขาสำนักศึกษาต้าฝู ไม่แน่ว่าจงขุยอาจจะกลายเป็นผู้ตัดสินใจในท้ายที่สุด เมื่อถึงเวลานั้นเขาก็จะทั้งทำภารกิจลับของเมืองเซิ่นจิ่งได้สำเร็จ อีกทั้งยังช่วยต้าเฉวียนผูกสัมพันธ์กับว่าที่อริยะลัทธิขงจื๊อในอนาคตคนหนึ่งด้วย ถ้าเช่นนั้นในอนาคตเส้ายวนหรานลูกศิษย์ที่ตนให้ความสำคัญที่สุดก็จะมีที่พึ่งนอกเหนือจากอารามจินติ่ง
จงขุยย่อมเคยได้พบนักพรตที่มาอยู่ในโลกมนุษย์คู่นี้มาก่อน อีกทั้งยังไม่ใช่แค่ครั้งเดียว ความประทับใจไม่เลวร้าย แต่ก็ไม่ถือว่าดีนัก ไม่อย่างนั้นเขาคงพูดทักทายกับพวกเขาไปนานแล้ว
—–
บทที่ 345.2 อริยะมาเยือนจวนปี้โหยว
ProjectZyphon
หลังจากอิ่นเมี่ยวเฟิงกล่าวถึงเป้าหมายการมาเยือนจวนปี้โหยวยามค่ำคืนในครั้งนี้แล้ว จงขุยที่ค้นพบว่าเทพวารีลำคลองหมายเหอทำท่าวางตัวอยู่เหนือเรื่องราว เขาก็ทั้งโมโหทั้งขำ เพียงแต่ว่าคืนนี้เขามาที่ลำคลองหมายเหอ เดิมทีก็เพราะเรื่องนี้อยู่แล้ว บวกกับเรื่องที่ปีศาจลำคลองติดสินบนเมืองเซิ่นจิ่ง ไม่ใช่เรื่องธรรมดา ถือว่าละเมิดข้อห้ามของเขา ดังนั้นเขาจึงถือโอกาสพูดกับอิ่นเมี่ยวเฟิงว่า “เรื่องหนังสือที่จะเอามาตั้งบูชาในจวนปี้โหยว ข้าจะเป็นคนเกลี้ยกล่อมเจ้าแม่เทพวารีเอง พวกเจ้าเอาไปรายงานทางเมืองเซิ่นจิ่งได้อย่างสบายใจ แน่นอนว่าต้องเลือกใช้คำที่ฉลาดหน่อย เมื่อเรื่องนี้สำเร็จ พวกเจ้าก็จะมีคุณความชอบ แต่หากไม่สำเร็จ พวกเจ้าก็ไม่ต้องติดร่างแหเดือดร้อนไปด้วย ส่วนข้อที่ว่าเหตุใดครั้งนี้ข้าถึงยอมช่วยพวกเจ้า นั่นก็ย่อมต้องมีต้นสายปลายเหตุอยู่แล้ว แต่พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องคิดส่งเดชให้วุ่นวาย”
อิ่นเมี่ยวเฟิงซาบซึ้งใจอย่างถึงที่สุด ครั้นจึงบอกลาไปพร้อมกับลูกศิษย์เส้ายวนหราน
พ่อบ้านผู้เฒ่าเดินนำทางพาเจ้าแม่เทพวารีของตนและแขกหนุ่มคนนั้นที่เหมือนจะมีภูมิหลังยิ่งใหญ่กว่าไปยังห้องโถงใหญ่ของจวนที่ใช้รับรองแขก
เฉินผิงอันเดินอยู่ข้างกายจงขุย สายตาก็คอยมองทัศนียภาพของจวนปี้โหยวไปด้วย บนผนังบังตาวาดภาพมีชีวิตของศาลเทพวารีและลำคลองหมายเหอที่ไหลรินเอาไว้ ควันธูปลอยหมุนเป็นเกลียวอ้อยอิ่ง น้ำในแม่น้ำซัดโถม และยังมีเสียงน้ำดังมาให้ได้ยิน
มีเพียงเทพวารีเท่านั้นที่มองเห็นจิตหยินของเฉินผิงอัน อาจารย์และลูกศิษย์ของลัทธิเต๋าสองคนนั้นต่างก็ไม่อาจมองเห็น นี่เป็นเพราะว่าศาลเทพวารีและจวนปี้โหยวที่เฉินผิงอันอยู่ในเวลานี้ล้วนอยู่ในอาณาเขตของลำคลองหมายเหอ ส่วนปีศาจลำคลองกับผีพราย ฝ่ายแรกขอแค่อยู่ในแม่น้ำลำคลองและทะเลสาบ ตบะก็จะลึกล้ำ โดยเฉพาะในลำคลองหมายเหอที่มันเลือกเดินลงมา อันที่จริงมันได้รับวิชาอภินิหารที่ใกล้เคียงกับเทพวารีมาอย่างหนึ่งแล้วด้วย ดังนั้นจึงมองเห็นเฉินผิงอันเช่นกัน ส่วนพวกผีพรายทั้งหลายกลับเหมือนเวลาที่ผีขี้เหล้า ‘ได้กลิ่นหอมของเหล้า’ ถึงได้ถูกดึงดูดมาตามธรรมชาติมากว่า
มองห้องโถงขนาดใหญ่ที่สว่างเจิดจ้าเพราะเทียนที่ใช้จุดไฟใหญ่เท่าแขนคน บนโต๊ะยังวางบะหมี่ปลาไหลผัดฉ่าถ้วยนั้นเอาไว้
พอเห็น ‘ถ้วยใหญ่’ ใบนั้น เฉินผิงอันก็อึ้งตะลึงจนพูดไม่ออก
จงขุยสีหน้าเป็นปกติ นั่งแปะลงไปข้างโต๊ะ พูดกับเจ้าแม่เทพวารีด้วยรอยยิ้ม “ขอข้าด้วยถ้วยหนึ่ง ไม่เอาถ้วยใหญ่ขนาดนี้ แค่ใส่ถ้วยเล็กๆ มาก็พอ”
นางพยักหน้ารับ จากนั้นหันไปมองเฉินผิงอัน “คุณชายท่านนี้จะกินอาหารมื้อดึกด้วยหรือไม่?”
จิตหยินไม่หมือนจิตหยางที่เป็นดั่งร่างนอกร่างของผู้ฝึกตน ไม่อาจกินอาหารรสเลิศในโลกมนุษย์ได้ ได้แค่ใช้ปราณวิญญาณฟ้าดินมาเป็นสิ่งชดเชย
เฉินผิงอันจึงยิ้มส่ายหน้าบอกว่าไม่กิน
หนึ่งเทพวารี หนึ่งวิญญูชนนั่งร่วมโต๊ะกัน ต่างคนต่างกินบะหมี่ปลาไหลในอ่างและในถ้วยของตัวเอง
เสียงของจงขุยดังขึ้นมาในทะเลสาบหัวใจของเฉินผิงอัน “เจ้าแม่เทพวารีผู้นี้เชี่ยวชาญการหลอมอาวุธ ไม่รู้ว่าเจอกับโชควาสนาแบบใดถึงได้รับการสืบทอดจากยุคบรรพกาลมา สามารถใช้บทกวีขอฝนบนป้ายศิลามาเป็นคาถาในการหลอมอาวุธ ว่ากันว่าระดับขั้นของคาถานี้สูงมาก ถือเป็นรากฐานในการบรรลุมรรคาของเซียนห้าขอบเขตบนท่านนั้น ด้วยเหตุนี้คนบางคนจึงให้ความสนใจอย่างมาก เพียงแต่ติดที่ชื่อเสียง จึงได้แต่วางแผนอย่างเชื่องช้า”
ตามคำบอกของจงขุย เทพวารีลำคลองหมายเหอหลอมอาวุธมาแล้วทั้งสิ้นเก้าชิ้น สองชิ้นในนั้นได้เลื่อนขั้นเป็นสมบัติอาคม ระหว่างที่ต่อสู้กับปีศาจลำคลองทำเสียหายไปสามชิ้น นั่นคือสมบัติอาคมที่ทำให้นางสามารถกำราบปีศาจลำคลองไว้ได้อย่างอยู่หมัดตลอดเวลาสองร้อยกว่าปีที่ผ่านมา เพียงแต่ว่าจำนวนอาวุธของนางมีมากเกินไป
สตรีบนโลกเวลาออกไปท่องเที่ยวชานเมืองจะต้องเปลี่ยนชุดกระโปรง เปลี่ยนเครื่องประทินโฉม ทว่าเจ้าแม่เทพวารีลำคลองหมายเหอท่านนี้ ยามที่ออกตรวจตราพื้นที่ในปกครองจะเลือกอาวุธชิ้นไหนติดตัวไปด้วยก็ต้องดูที่อารมณ์ในขณะนั้น
กินอาหารมื้อดึกเรียบร้อยแล้ว เจ้าแม่เทพวารีก็พูดกับจงขุยอย่างตรงไปตรงมาว่า “รบกวนท่านวิญญูชนช่วยยืนยันให้ข้าแน่ใจสักหน่อยว่า หากข้าดึงดันจะขอตำราเล่มนั้นของท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่งมาให้ได้ สำนักศึกษาต้าฝูจะหาข้ออ้างมาทำลายจวนปี้โหยวของข้าให้พินาศวอดวายหรือไม่? หรือจะจงใจสร้างความลำบากใจให้แก่สกุลหลิวต้าเฉวียน ทำให้ไม่ช้าก็เร็วต้องถูกเป่ยจิ้นและหนันฉีร่วมมือกันมาทำลายจนสิ้นชาติ?”
เฉินผิงอันรู้สึกว่าต้องหันมามองนางเสียใหม่แล้ว
จงขุยส่ายหน้าเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “สำนักศึกษาต้าฝูไม่ได้ป่าเถื่อนเผด็จการขนาดนั้น อย่างมากก็แค่ปล่อยให้จวนปี้โหยวทำลายอนาคตของตัวเองไป วันหน้าไม่ว่าเจ้าและราชวงศ์ต้าเฉวียนจะสร้างคุณความชอบมากแค่ไหนก็ไม่มีหวังว่าจะได้เลื่อนขั้นเป็นตำหนักอีกแล้ว ข้อนี้เจ้าต้องคิดให้ดี วันนี้ไม่ว่าจะเป็นเพราะลึกๆ ในใจเจ้ารู้สึกว่าการเลื่อนขั้นเป็นตำหนักปี้โหยวเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง หรือเป็นเพราะเลื่อมใสในบทความอันมีคุณธรรมของท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่งผู้นั้นจริงๆ สรุปแล้วก็คือเจ้ายืนยันจะปฏิเสธความหวังดีจากสำนักศึกษาต้าฝู นับจากนี้ไปย่อมถูกสำนักศึกษาจดจำความแค้น เรื่องในวันนี้จะถูกจดลงในเอกสารคดีของสำนักศึกษา วันหน้าต่อให้เจ้าสร้างวีรกรรมยิ่งใหญ่ที่ทำให้ปวงประชาผาสุก มีคุณความชอบต่อแผ่นดินมากแค่ไหน ก็ยังได้แค่แขวนป้ายคำว่าจวนปี้โหยวเท่านั้น ถึงเวลานั้นเจ้าอาจจะรู้สึกว่าสำนักศึกษาทำไม่ถูก เช่นนั้นก็ไม่สู้ลองพิจารณาการเลือกในวันนี้ดูให้ดี”
นางพยักหน้ารับ “ข้าจำไว้แล้ว ถึงเวลานั้นจะไม่มีทางตำหนิสำนักศึกษาต้าฝูของพวกเจ้าเด็ดขาด ทำสิ่งใดย่อมได้สิ่งนั้นตอบแทน อันที่จริงจะว่าไปแล้วก็ต้องบอกว่าข้าดูหมิ่นอำนาจของสำนักศึกษาต้าฝูพวกเจ้าถึงจะถูก”
จงขุยหัวเราะเสียงเย็น “เจ้ารู้ด้วยหรือ?”
เทพวารีตัวเล็กๆ ของจวนปี้โหยวกล้าปฏิเสธการแต่งตั้งจากสำนักศึกษาต้าฝู หากสำนักศึกษาอีกสามแห่งในใบถงทวีปมาเห็นเข้า นี่ไม่ใช่เรื่องตลกที่ใหญ่เทียมฟ้าหรอกหรือ?
‘ข้อสรุป’ เหล่านี้ของจงขุยมองดูเหมือนเรียบง่ายผ่อนคลาย แต่แท้จริงแล้วเขากลับต้องแบกรับความเสี่ยงและแรงกดดันที่สูงมาก
บัณฑิตให้ความสำคัญกับหน้าตามากที่สุด แม้บางครั้งต้องอัดอั้นตันใจ แต่ก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ ทว่าหากถูกตบหน้าต่อหน้าคนมากมาย มีความเป็นไปได้มากว่าจะยกพู่กันขึ้นมาสังหารคน
ดังนั้นคำพูดเหล่านี้ของจงขุยในคืนนี้ก็คือยันต์คุ้มกันกายแผ่นที่ใหญ่ที่สุดสำหรับจวนปี้โหยวและศาลเทพวารีลำคลองหมายเหอ
ถึงอย่างไรจงขุยก็ต้องเป็นเจ้าขุนเขาสำนักศึกษาต้าฝูคนต่อไปอย่างไม่ต้องสงสัย ถึงขั้นมีคนเคยกล่าวไว้ว่า ชีวิตนี้จงขุยมีหวังว่าจะได้เป็นผู้อำนวยการใหญ่ของสถานศึกษาแห่งใดแห่งหนึ่ง
นางยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน “เอาบะหมี่อีกสักชามไหม?”
จงขุยจุ๊ปากพูด “บะหมี่หนึ่งชาม ปกป้องคนทั้งจวนปี้โหยว บะหมี่หนึ่งชาม ปกป้องคนทั้งราชวงศ์ต้าเฉวียน เจ้าแม่เทพวารี เจ้าช่างดีดลูกคิดไว้ได้ถี่ถ้วนยิ่งนัก”
แม้ปากของจงขุยจะไม่ละเว้นคน แต่ก็ยังขอบะหมี่เพิ่มอีกหนึ่งชาม เพราะว่าอร่อยมากจริงๆ นางยังบอกให้คนยกเหล้าชั้นดีมาอีกสองไห กลิ่นหอมโชยมาปะทะจมูก ขนาดเฉินผิงอันที่ดื่มเหล้ามานักต่อนักแล้ว หากไม่นับรวมเหล้าลืมทุกข์หวงเหลียนของภูเขาห้อยหัว คิดว่าคงมีแต่เหล้าหมักกุ้ยฮวาเท่านั้นที่พอจะทัดเทียมได้ เพียงแต่ว่าทั้งดื่มเหล้า ทั้งกินบะหมี่ เขาล้วนไม่อาจมีส่วนร่วมด้วยได้เลย
ก่อนจะดื่มเหล้า เจ้าแม่เทพวารีพูดย้ำแล้วย้ำอีกว่านี่คือเหล้าหมักร้อยปี ห้ามดื่มมากเด็ดขาด คนหนึ่งดื่มมากสุดได้แค่สามถ้วยใหญ่เท่านั้น หากดื่มมากกว่านี้ ต่อให้เป็นเทพเซียนก็เมาล้มได้
แต่เฉินผิงอันกลับเห็นว่าทั้งนางและจงขุยต่างก็ดื่มกันคนละสี่ถ้วยใหญ่ เหล้าไหหนึ่งถูกดื่มจนหมดเกลี้ยง ไม่เหลือแม้แต่หยดเดียว เจ้าแม่เทพวารียังบอกให้บ่าวในจวนไปหยิบมาเพิ่มอีกไห
ดังนั้นเฉินผิงอันจึงได้เห็นผีขี้เหล้าสองคนที่คออ่อนยิ่ง
จงขุยคร่ำครวญเรียกหาจิ่วเหนียง
ส่วนเทพวารีก็ตะเบ็งเสียงพูดจาภาษาคนเมา บางครั้งยังยกมือตบโต๊ะช่วยเพิ่มความฮึกเหิมให้กับตัวเอง เวลานี้นางยกเท้าข้างหนึ่งขึ้นมาเหยียบบนเก้าอี้ ใช้นิ้วโป้งชี้ไปที่ตัวเอง ถามจงขุยที่นางเพิ่งรับเป็นพี่น้องว่า “อยู่ในยุทธภพ ต้องอาศัยอะไร?!”
จงขุยยังคงพร่ำเพ้อถึงจิ่วเหนียงของเขา
นางจึงถามเองตอบเองว่า “ความหยิ่งในศักดิ์ศรี! กระดูกสันหลังต้องยืดตรง หมัดต้องแข็ง คำพูดคำจาและการวางตัวต่างก็ต้องผ่าเผยกว้างขวาง! พี่น้องจงขุย ข้ารู้สึกว่าเจ้าเป็นคนที่ไม่เลวเลยทีเดียว มีความรับผิดชอบเหมือนชายชาตรี! ข้าเลยรับเจ้าเป็นพี่น้อง วันหน้าจะบุกน้ำลุยไฟ เจ้าแค่พูดมาคำเดียว!”
เฉินผิงอันนั่งอยู่ด้านข้างด้วยความเบื่อหน่าย
ในใจคิดว่าหากเด็กชายชุดเขียวงูน้ำแห่งแม่น้ำอวี้เจียงอยู่ที่นี่ด้วย คงต้องพูดอะไรที่เปี่ยมไปด้วยคุณธรรมน้ำมิตร แถมยังตบอกเสียงดังสะเทือนไปถึงชั้นฟ้าแน่ๆ
จงขุยชี้นิ้วไปยังฝั่งตรงข้ามของโต๊ะ ทว่าตำแหน่งที่ชี้ห่างจากเทพวารีไปไกลโข พูดด้วยดวงตาปรือปรอยว่า “ใช้ชีวิตอยู่ในยุทธภพไม่ใช่เรื่องของผู้ฝึกยุทธ์หรอกหรือ เจ้าเป็นเทพวารีคนหนึ่ง…ไม่ถูกสิ ดูเหมือนการพูดว่าเทพวารีอยู่ในยุทธภพ (แปลอีกอย่างได้ว่าแม่น้ำและทะเลสาบ) จะเป็นสิ่งที่ถูกต้องเหมาะสมที่สุดแล้ว ก็ได้ ถือว่าเจ้าพูดถูกแล้ว เพียงแต่ว่าความหยิ่งในศักดิ์ศรีไม่อาจเอามากินแทนข้าวได้…”
เทพวารีเลิกคิ้ว กรอกเหล้าเข้าปากอึกใหญ่ พูดลิ้นพันกัน “เวลาปกติก็มีข้าวกิน! กินอิ่มมากเลยล่ะ เนื้องูตุ๋น บะหมี่ปลาไหลผัดฉ่า พ่อครัวของข้าบอกว่าเมื่อก่อนเคยทำอาหารให้ฮ่องเต้กิน ฝีมือจึงยอดเยี่ยมที่สุด ดังนั้น…คนเราจึงยังต้องมีความหยิ่งในศักดิ์ศรี!”
จงขุยโคลงศีรษะ “เจ้ามีความหยิ่งในศักดิ์ศรีของเจ้า เกี่ยวอะไรกับข้าด้วย ข้าต้องการแค่จิ่วเหนียง…”
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน เตรียมจะไปชมทิวทัศน์ที่หน้าประตูห้องโถง
เหล้ารสดีอยู่ใกล้ในระยะประชิดแต่ดื่มไม่ได้ ได้แต่มองอย่างเดียวย่อมชวนให้คนหงุดหงิดใจ
และเวลานี้เอง จงขุยก็ลุกพรวดขึ้นนั่งตัวตรง ชุดเขียวสั่นสะเทือน ความเมามายหายเป็นปลิดทิ้ง
ส่วนเทพวารีกลับหัวกระแทกโต๊ะดังโป้กแล้วหลับสนิทไปทันที
เฉินผิงอันหันหน้ากลับไปมอง
เห็นเพียงแผ่นหลังของคนที่มีความสูงในระดับปานกลาง สวมใส่ชุดลัทธิขงจื๊อ
จงขุยกุมมือคารวะ “ลูกศิษย์จงขุยคารวะท่านอาจารย์”
คนผู้นั้นเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มหนักเนิบช้า “ช่วงก่อนหน้านี้ลูกศิษย์นักการฝ่ายนอกคนหนึ่งของสำนักฝูจีไปเจอเข้ากับหายนะใหญ่เทียมฟ้าครั้งหนึ่งโดยบังเอิญ ตอนที่ข่าวส่งมาถึงสำนักศึกษา ยังไม่ทันรอให้พวกเราวางแผนเสร็จสิ้น ดูเหมือนฝ่ายตรงข้ามจะรู้เสียก่อนว่าท่าไม่ดี นั่นคือปีศาจใหญ่ห้าขอบเขตบนตนหนึ่ง ภูเขาของสำนักฝูจีถูกมันทำลายไปเกือบครึ่ง ขอบเขตหยกดิบสองคนของสำนักฝูจี คนหนึ่งตาย คนหนึ่งบาดเจ็บ ปีศาจใหญ่เองก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส พยายามจะหนีไปทางทะเลตะวันตก ยังดีที่เจ้าสำนักภูเขาไท่ผิงขวางเอาไว้ ทว่าพวกภูตผีปีศาจที่ภูเขาไท่ผิงกำราบไว้ใต้บ่อมานานหลายพันปีกลับหนีไปเกินครึ่งในช่วงเวลานี้พอดี ตอนนี้ภาคกลางของใบถงทวีปจึงโกลาหลไม่หยุด”
จงขุยสีหน้าเคร่งเครียด “อาจารย์ ศิษย์ควรทำเช่นไร?”
คนผู้นั้นหัวเราะเสียงเย็น “ไม่ใช่ดื่มสุราดับทุกข์จนดึกดื่นก็แล้วกัน”
จงขุยก้มหน้า “ศิษย์ผิดไปแล้ว”
คนผู้นั้นถอนหายใจหนึ่งที “ก่อนฟ้าสางจงออกเดินทางไปยังภูเขาไท่ผิง ถึงเวลานั้นเจ้ากับลูกศิษย์ของสำนักศึกษาทุกคนต้องเชื่อฟังคำสั่งจากนักพรตของภูเขาไท่ผิง ห้ามอาศัยสถานะของสำนักศึกษากระทำการตามอำเภอใจเด็ดขาด ได้ยินไหม?!”
จงขุยพยักหน้ารับ “ทราบแล้ว”
จงขุยทำท่าจะพูด แต่ก็ไม่ได้พูด
บุรุษสวมชุดลัทธิขงจื๊อที่น่าจะเป็นเจ้าขุนเขาของสำนักต้าฝูส่ายหน้า “การล้อมปราบปีศาจใหญ่ตนนี้ มีเพียงผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนถึงจะมีคุณสมบัติได้เข้าร่วม”
จงขุยเงียบงัน
สุดท้ายบุรุษชุดลัทธิขงจื๊อกล่าวว่า “จงขุย เจ้าต้องระมัดระวังให้มาก ภัยพิบัติในครั้งนี้ ไม่ว่าใครก็ล้วนมีโอกาสตายได้ทั้งนั้น ต่อให้เป็นข้าก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น”
จงขุยพยักหน้ารับ แล้วพลันตระหนักได้ถึงเรื่องหนึ่ง “เมืองหูเอ๋อร์?”
อริยะลัทธิขงจื๊อท่านนั้นลังเลอยู่ชั่วครู่ ก่อนตอบว่า “สามารถปล่อยไปก่อนได้ชั่วคราว”
สายตาของจงขุยซับซ้อน
กายธรรมของอริยะที่มาเยือนจวนปี้โหยวพลันหายวับไป
เฉินผิงอันยืนอึ้งปากอ้าตาค้างอยู่ตรงหน้าประตู
สำนักฝูจี ภูเขาไท่ผิง
ล้วนเป็นชื่อสำนักในใบถงทวีปที่เฉินผิงอันคุ้นหูดี โดยเฉพาะเทพธิดาจากหอจิ้งซินในพื้นที่มงคลดอกบัวผู้นั้น ตัวตนที่แท้จริงของนางก็คือนักพรตหญิงแห่งภูเขาไท่ผิงที่ชื่อว่าหวงถิง
ที่น่าเหลือเชื่อที่สุดก็คือปีศาจใหญ่ตนนั้นกลับทำให้คู่รักเทพเซียนของสำนักฝูจี หนึ่งตาย หนึ่งบาดเจ็บ?
จงขุยลุกขึ้นยืน มองมายังเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันไม่เข้าใจ “มีอะไรหรือ?”
จงขุยยิ้มเจื่อน “ข้าอาจจะมีคำขอร้องอย่างหนึ่งที่ทำให้เจ้าลำบากใจ”
เฉินผิงอันเข้าใจความคิดของจงขุยทันที “เหล็กหมาดหิมะชิ้นนั้น?”
จากนั้นเฉินผิงอันก็ส่ายหน้า
จงขุยสีหน้าหม่นหมอง แต่ก็เข้าใจเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันเอ่ยยิ้มๆ “ยกให้เจ้าไม่ได้ แต่ให้เจ้ายืมได้”
จงขุยถาม “จริงหรือ?! เจ้าคิดดีแล้วหรือ การเข่นฆ่าครั้งนี้อันตรายอย่างยิ่ง อย่าว่าแต่ข้าจงขุยเลย ต่อให้เป็นอาจารย์ของข้าก็อาจตายได้ เจ้าไม่กลัวว่าให้ข้ายืมเหล็กหมาดหิมะ ช่วยให้ข้าตวัดพู่กันเหมือนมีเทพช่วย แต่วันใดวันหนึ่งมันอาจถูกทำลายอยู่ในสนามรบหรอกหรือ? ไม่กลัวว่าต่อให้ข้าจงขุยไม่ตาย สุดท้ายก็อาจจะเล่นแง่ไม่ยอมคืนมันให้เจ้าหรือไร?”
เฉินผิงอันกะพริบตาปริบๆ ยื่นนิ้วออกมาสี่นิ้ว
จงขุยหัวเราะฮ่าๆ “เข้าใจแล้ว ถามใจตัวเอง”
เฉินผิงอันพลันนึกถึงปัญหาข้อหนึ่ง “ให้ร่างจริงของข้ามาที่จวนปี้โหยว? ระยะทางน้ำสามร้อยลี้ต้องใช้เวลาไม่น้อย ไม่สู้เจ้าจงขุยไปเอาเหล็กหมาดหิมะที่โรงเตี๊ยมริมลำคลองโดยตรงเลยดีกว่า?”
จงขุยครุ่นคิด “สามารถให้เจ้าแม่เทพวารีพาร่างจริงของเจ้ามาได้ รับรองว่าเร็วมาก เพราะข้ายังต้องทำบางอย่างที่จวนปี้โหยวแห่งนี้ ไม่เหมาะให้คนนอกเห็น”
จงขุยพูดพลางเดินมาหน้าโต๊ะ ใช้นิ้วเคาะผิวโต๊ะ “เจ้าแม่เทพวารี ยังจะแกล้งหลับอยู่อีกรึ?”
นางลุกขึ้นนั่งตัวตรงแล้วคลี่ยิ้ม ก่อนจะลุกออกมา “ข้าจะไปรับร่างจริงของคุณชายท่านนี้เดี๋ยวนี้ เพียงแต่รบกวนให้ร่างจริงของคุณชายกระโดดลงมาในลำคลองหมายเหอหลังจากข้านับถึงสิบ”
จากนั้นเจ้าแม่เทพวารีก็เริ่มนับเลขเสียงดังพลางพุ่งตัวไปยังช่วงหนึ่งของลำคลองหมายเหอที่อยู่ใกล้กับจวนปี้โหยวเพื่อ ‘งมคน’ นี่ก็คือวิชาอภินิหารเฉพาะขององค์เทพในพื้นที่แถบนี้
พอนับถึงสิบ เฉินผิงอันตบหัวตัวเองด้วยความจนใจเล็กน้อย
ครู่หนึ่งต่อมา นอกจากเทพวารีจะพาร่างจริงของเฉินผิงอันมาแล้ว ยังพาหนอนตามก้นตัวน้อยที่ร่างเปียกโชกมาด้วย
จงขุยหัวเราะร่าเสียงดัง
เฉินผิงอันถาม “จิตหยินจะกลับเข้าร่างอย่างไร?”
จงขุยสะบัดชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง ลมเย็นๆ ก็พัดพาเอาจิตหยินของเฉินผิงอันกลับเข้าร่างจริงไปเบาๆ เขาเอ่ยเตือนว่า “หากยังไม่มีจิตหยางคอยติดตามมาช่วยคุ้มครอง วันหน้าอย่าได้ปล่อยจิตหยินออกมาท่องเที่ยวยามค่ำคืนง่ายๆ อีก”
เฉินผิงอันพ่นลมหายใจออกมายาวเหยียด ก่อนจะหยิบเหล็กหมาดหิมะออกมาจากวัตถุฟางชุ่น มอบให้กับจงขุย
จงขุยรับเหล็กหมาดหิมะมาแล้วก็ถามว่า “วันหน้าจะคืนให้เจ้าอย่างไร?”
เฉินผิงอันเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เจ้าสามารถมอบเหล็กหมาดหิมะไปให้กับเฉินผิงอันแห่งภูเขาลั่วพั่วเขตการปกครองหลงเฉวียน ราชสำนักต้าหลีของแจกันสมบัติทวีป”
จงขุยพยักหน้ารับแล้วสีหน้าก็เริ่มเปลี่ยนมาเป็นแปลกประหลาด ยิ่งนานสีหน้าของเขาก็ยิ่งพิลึกพิลั่น
อดไม่ไหวจริงๆ จงขุยจึงถามว่า “เจ้าคงไม่ได้รู้จักกับอาจารย์ฉีแห่งสำนักศึกษาซานหยาจริงๆ หรอกนะ? ข้ารู้เรื่องหลายเรื่องของถ้ำสวรรค์หลีจูต้าหลี”
เฉินผิงอันทั้งไม่พยักหน้ารับและไม่ส่ายหน้าปฏิเสธ
ส่วนเจ้าแม่เทพวารีกลับดื่มเหล้าดับความตกใจก่อน ถึงค่อยถามอย่างระมัดระวังว่า “ถ้าอย่างนั้นเจ้ารู้จักอาจารย์ของอาจารย์ฉีไหม?”
เฉินผิงอันเกาหัว ปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลงมาดื่มเหล้า
ดูเหมือนว่าเรื่องดื่มเหล้านี้จะเป็นอาจารย์ผู้เฒ่าที่สอนเขา?
ตอนนั้นพอซิ่วไฉเฒ่าถูกเด็กหนุ่มบางคนแบกไว้บนหลัง ผู้เฒ่าก็ตบศีรษะของเด็กหนุ่มอย่างแรง แล้วโวยวายว่าเป็นเด็กหนุ่มต้องดื่มเหล้า
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น