กระบี่จงมา 341.1-342.2

 บทที่ 341.1 ตวัดพู่กันมีเทพช่วย

ProjectZyphon

เฉินผิงอันนอนลงบนเตียง ฝันประหลาดนั้นคอยวนเวียนรบกวนจิตใจไม่จางหาย


คราวก่อนเขาอ่านหนังสือในความฝันตอนอยู่บนเรือข้ามฟากเกาะกุ้ยฮวา ไม่รู้ว่าคราวนี้จะมีความหมายที่ลึกซึ้งอะไรอีก หรือนี่จะเป็นแค่ความฝันเท่านั้น เป็นตนที่สงสัยขี้ระแวงมากไป?


เฉินผิงอันลุกขึ้นนั่ง ในเมื่อนอนไม่หลับแล้ว เขาเลยลุกขึ้นมานั่งข้างโต๊ะแล้วเริ่มนับทรัพย์สมบัติของตัวเอง


ตอนกลางวันจิ่วเหนียงเอาข่าวที่แน่ชัดมาบอกให้รู้ว่า พรุ่งนี้ยามเช้าตรู่ ขบวนเดินทางสู่เมืองหลวงของตระกูลเหยาจะผ่านเมืองหูเอ๋อร์ ถึงเวลานั้นทั้งสองฝ่ายเดินทางไปยังเมืองเซิ่นจิ่งด้วยกัน จากนั้นจะแยกทางกันที่ท่าเรือแห่งหนึ่งซึ่งมีชื่อเสียงของเมืองหลวง กลุ่มของเฉินผิงอันจะเดินทางขึ้นเหนือต่อ เพื่อเข้าไปยังแถบภูเขาเทียนแชว แม่ทัพผู้เฒ่าเหยาเจิ้นจัดหาสถานะไว้ให้พวกเขาสองแบบ การเดินทางล่างภูเขาในช่วงท้ายต่อจากนั้นก็จะราบรื่นไร้อุปสรรคเช่นกัน


เฉินผิงอันจุดตะเกียง วางน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ไว้บนโต๊ะ กระบี่บินสืออู่พุ่งออกมา เฉินผิงอันหยิบชุดคลุมอาคมจินหลี่ออกมาด้วยความรู้สึกเสียดายเล็กน้อย ทั้งเสียดายที่วัตถุของเซียนนอกมหาสมุทรชิ้นนี้ถูกทำลาย ยิ่งเสียดายเงินเหรียญหนึ่งที่ใช้ซ่อมแซมจินหลี่ เงินฝนธัญพืชถูกใช้ไปหมดแล้ว แล้วก็ไม่ใช่เงินร้อนน้อย ยิ่งไม่ใช่เงินเกล็ดหิมะ แต่เป็นเงินเหรียญทองแดงแก่นทองเหรียญหนึ่งในถุงเล็กที่เจิ้งต้าเฟิงมอบให้เป็นค่าตอบแทนเฉินผิงอันตอนอยู่นครมังกรเฒ่า


เฉินผิงอันลูบคลำชุดคลุมอาคมที่พับอย่างเป็นระเบียบแล้วถอนหายใจ


มิน่าเล่าคนถึงได้พูดกันว่าการฝึกตนคืองานที่ต้องกินภูเขาเงินภูเขาทอง ใครก็อย่าหวังจะพูดได้ว่าตัวเองมีเงินมากมายจนใช้ไม่หมด


แต่อยู่ดีๆ เฉินผิงอันก็ไพล่นึกไปถึงหลิวโยวโจวแห่งจวนหยวนโหรวของภูเขาห้อยหัว คาดว่าคนวัยเดียวกันที่บิดาคือเทพเจ้าแห่งโชคลาภของธวัลทวีปผู้นี้ต่างหากที่มีคุณสมบัติพูดว่าตัวเองมีเงินมากจนเป็นทุกข์


จากนั้นเฉินผิงอันก็หยิบเงินเหรียญทองแดงแก่นทองถุงนั้นออกมาเทลงบนโต๊ะเบาๆ เงินเหรียญแล้วเหรียญเล่าทับซ้อนกันเป็นหอเรือนเล็กๆ สูงไม่ถึงหนึ่งฝ่ามือ เฉินผิงอันยิ้มอย่างเข้าใจ หอเรือนนี้เล็กไปหน่อย เตี้ยไปหน่อย ไม่อย่างนั้นเขาคงดีใจมากกว่านี้


เงินเหรียญทองแดงแก่นทองที่มีมูลค่าควรเมืองเหล่านี้ ไม่มีเงินก้งหย่างและเงินอิ๋งชุนแม้แต่เหรียญเดียว แต่เป็นเงินยาเซิ่งแบบเดียวกันทั้งหมด ด้านหน้าและด้านหลังแบ่งแยกกันสลักคำว่า ‘แคล้วคลาดปลอดภัย’ ‘ร่มเย็นเป็นสุข’ ตัวอักษรที่ใช้ไม่เหมือนกับเงินยาเซิ่งที่เฉินผิงอันเคยสัมผัสครั้งแรกตอนอยู่ในถ้ำสวรรค์หลีจู คิดดูแล้วการสร้างเหรียญเงินทุกๆ หกสิบปีคงมีการเปลี่ยนแปลง


ตอนที่เฉินผิงอันอยู่ภูเขาห้อยหัว เขาเคยเรียนวิชาหล่อหลอมวัตถุที่มองดูเหมือนตื้นเขิน แต่แท้จริงแล้วกลับเป็นวิธีดั้งเดิมที่ถูกต้องที่สุดมาจากบุรุษกอดกระบี่ ก่อนหน้านี้ตอนที่หลอมเหรียญทองแดงแก่นทองเหรียญนั้นใช้เวลาแค่หนึ่งถ้วยชา (ประมาณ 10 นาทีหรือ 14.4 นาที) เส้นใยแนวตั้งแนวนอนบนชุดคลุมอาคมจินหลี่ที่เต็มไปด้วยรอยฉีกขาดเสียหายก็เหมือนกิ่งหลิ่วแตกหน่ออย่างมีชีวิตชีวา มหัศจรรย์อย่างยิ่ง


เฉินผิงอันคาดการณ์ว่าอย่างมากที่สุดเสื้อคลุมตัวนี้ต้องใช้เวลาสิบวันถึงจะสามารถกลับคืนมาเป็นปกติเหมือนเดิมได้ และยังมีเรื่องไม่คาดฝันที่น่ายินดีอย่างหนึ่งเกิดขึ้น นั่นคือเฉินผิงอันค้นพบว่าลักษณะของมังกรทองหลายตัวที่อยู่บนชุดคลุมอาคมแปลกไปจากเดิม ก่อนหน้านี้แสงสีทองของไข่มุกเม็ดที่มังกรขนดตัวนั้นคาบเอาไว้และดวงตาของมังกรทองตัวเล็กสองตัวล้วนไม่เด่นชัดเท่าไหร่ แต่พอ ‘กิน’ เหรียญทองแดงแก่นทองเข้าไปเป็นอาหารก็เหมือนการแต้มนัยน์ตามังกร โดยเฉพาะปราณวิญญาณในไข่มุกสีทองเม็ดนั้นที่คล้ายจะเข้มข้นดุจน้ำ


การค้นพบนี้ทำให้เฉินผิงอันที่ไม่เคยยึดติดกับสมบัติอาคมหรือของวิเศษบนโลกก็ยังอดหวั่นไหวไม่ได้ เพราะระดับขั้นของชุดคลุมอาคมจินหลี่ตัวนี้กำลังเพิ่มพูนเหมือนขอบเขตวิถีวรยุทธ์ของพวกเว่ยเซี่ยนและจูเหลี่ยน ควรรู้ไว้ว่าเหนือสมบัติอาคมคืออะไร? อาวุธเซียน! ตระกูลฝูของนครมังกรเฒ่าที่ร่ำรวยที่สุดในทวีปสั่งสมทรัพย์สมบัติมานานนับพันปีก็ยังไม่เคยได้ครอบครองอาวุธเซียนที่แท้จริงมาก่อนแม้แต่ชิ้นเดียว


แต่เฉินผิงอันไม่ได้คาดหวังว่าจินหลี่จะต้องกลายเป็นชุดคลุมอาคมที่ระดับขั้นเทียบเท่ากับอาวุธเซียน ถึงอย่างไรก็มีแค่สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าจำเป็นต้องใช้เหรียญทองแดงแก่นทองกี่เหรียญ อีกอย่างตอนนี้ถ้ำสวรรค์หลีจูก็ไม่เหลืออยู่แล้ว จึงมีความเป็นไปได้มากว่าเหรียญทองแดงแก่นทองทั้งสามชนิดจะหายสาบสูญ ไม่มีปรากฏบนโลกอีกนับแต่นี้


ต่อให้โชคดีสร้างสะพานแห่งความเป็นอมตะได้สำเร็จก็ยังต้องหล่อหลอมสมบัติอาคมห้าธาตุอีกห้าชิ้น ใช้สี่คำว่ายากยิ่งกว่าเดินขึ้นสวรรค์มาบรรยายก็ไม่เกินจริงเลยแม้แต่น้อย เพียงแต่ว่าสำหรับเฉินผิงอันแล้ว อันที่จริงก็ถือว่ายังดี ก็แค่ฝึกหมัดครบหนึ่งล้านหมัดแล้วค่อยฝึกอีกหนึ่งล้านหมัดเท่านั้น ขอแค่มองเห็นเส้นทางใต้ฝ่าเท้าที่เดินไป รู้ว่าก้าวต่อไปของตัวเองควรจะขยับไปทางไหนก็พอแล้ว ส่วนเรื่องที่ว่าต้องไปไกลแค่ไหน เดินไปได้ยากเท่าไหร่ เขาไม่คิดถึงมันให้วุ่นวาย


เฉินผิงอันหยิบสิ่งของบางส่วนที่เก็บไว้นานแล้วออกมา


หัวใจบุ๋นสีทองที่เทพอภิบาลเมืองเสิ่นเวินมอบให้ เศษชิ้นส่วนร่างทองที่เหลือทิ้งไว้ในโลกมนุษย์หลังจากร่างของสิ่งศักดิ์สิทธิ์มอดม้วย


แผ่นไม้ไผ่สีเขียวขจีที่มีต้นกำเนิดมาจากภูเขาชิงเสินหนึ่งกอง ซึ่งเกินครึ่งถูกเฉินผิงอันเอามาสลักบทกลอนและถ้อยคำไพเราะไว้จนเต็ม


หินดีงูก้อนที่นักพรตหญิงเฮ้อเสี่ยวเหลียงแห่งสำนักโองการเทพมอบให้เขา


สุดท้ายเฉินผิงอันหยิบตราประทับตัวอักษรคำว่าน้ำที่อาจารย์ฉีแกะสลักด้วยตัวเองออกมาวางลงตรงกลางโต๊ะเบาๆ เฉินผิงอันฟุบตัวนอนคว่ำ สุภาษิตบอกว่าน้ำและภูเขาไม่แยกจากกัน ตราประทับอักษรภูเขาถูกทำลายในร่องน้ำเจียวหลง ตราประทับอักษรน้ำจึงดูโดดเดี่ยวอย่างเห็นได้ชัด


เฉินผิงอันนั่งเหม่อ ความคิดหนึ่งพลันบังเกิดขึ้นมา นั่นคือระหว่างที่เดินทางจะหาโอกาสซื้อปิ่นหยกสีขาวสักอัน ต่อให้วัสดุจะธรรมดาก็ไม่เป็นไร หลังจากแกะสลักตัวอักษรแปดคำนั้นลงไปแล้วก็สามารถเอามาปักมวยผม ไม่ใช่เพื่อโอ้อวดอะไร แค่เพราะเขารู้สึกว่าการแต่งกายของตัวเองในทุกวันนี้ แม้ว่าจะไม่ได้สวมชุดคลุมอาคมจินหลี่ก็ต้องสวมชุดคลุมยาวสีเขียวปักปิ่นหยกอยู่ดี แม้ไม่ใช่บัณฑิต แต่ก็ลองแต่งกายให้คล้ายบัณฑิตดูได้ ถ้าอย่างนั้นเมื่อกลับไปถึงแจกันสมบัติทวีป ไปหาพวกหลี่เป่าผิงที่สำนักศึกษาซานหยาก็ไม่ต้องกังวลใจอีกแล้วว่าจะทำให้พวกเขาถูกเพื่อนร่วมชั้นดูแคลน


อ่านหนังสือมามากมาย ได้เห็นหลักการอริยะปราชญ์มาหลากหลาย แต่เฉินผิงอันก็ยังคงชอบอักษรแปดตัวนั้นมากที่สุดอยู่ดี


หวนคำนึงถึงวิญญูชน ผู้อ่อนโยนนุ่มนวลดุจหยก


เพียงแต่พอคิดถึงวิญญูชนแห่งสำนักศึกษาที่ปูผ้านอนบนพื้นในโรงเตี๊ยม เฉินผิงอันก็เริ่มสงสัยใคร่รู้ว่าสำนักศึกษาต้าฝูเป็นอย่างไร หากไม่ใช่เพราะไม่สะดวกให้เดินทางล่าช้าอยู่ในใบถงทวีป เฉินผิงอันก็อยากจะไปเยือนสำนักศึกษาต้าฝูสักครั้งจริงๆ


เฉินผิงอันเก็บของทั้งหมดกลับเข้าไปในวัตถุฟางชุ่นทีละชิ้น


ตอนนั้นเพื่อสะสางบัญชีเก่าใหม่ทั้งสองครั้งให้สะอาดเอี่ยม นอกจากเงินเหรียญทองแดงแก่นทองหนึ่งถุงแล้ว เจิ้งต้าเฟิงยังมอบวัตถุจื่อชื่อในตำนานชิ้นหนึ่งให้กับเฉินผิงอัน คือป้ายหยกแผ่นหนึ่ง ไม่มีตัวอักษรใดสลักไว้ เรียบง่ายแต่งดงามอย่างถึงที่สุด


เพียงแต่เฉินผิงอันเคยชินกับการสื่อสารกับกระบี่บินสืออู่ อีกทั้งเวลาใช้ก็คล่องมือ จึงไม่เคยแตะต้องวัตถุจื่อชื่อชิ้นนั้น ของล้ำค่าที่แม้แต่เซียนดินก่อกำเนิดก็อาจจะไม่มีในครอบครองกลับถูกเฉินผิงอันเก็บซ่อนไว้แบบนี้


‘ซีเยว่’ เสื้อเกราะน้ำค้างหวานนำไปมอบให้เว่ยเซี่ยนใช้ชั่วคราว ดาบแคบหยุดหิมะก็ห้อยอยู่ที่เอวของหลูป๋ายเซี่ยง กระบี่ชือซินถูกสุยโย่วเปียนสะพายไว้ข้างหลัง


เชือกพันธนาการปีศาจสีทองที่ทำมาจากหนวดของเจียวเฒ่า หากไม่เป็นเพราะสีสันสะดุดตาเกินไป ไม่ว่าจะใช้กับจินหลี่ที่เวลาปกติเป็นสีขาวหิมะ หรือใช้กับชุดคลุมยาวสีเขียวที่ซื้อมาจากร้านค้าข้างทางก็ล้วนไม่เหมาะ ไม่อย่างนั้นก็สามารถเอามาใช้เป็นเข็มขัดรัดเอวได้


เก็บทรัพย์สมบัติมากมายไปแล้ว อารมณ์ของเฉินผิงอันก็ผ่อนคลาย สิ่งใดที่ช่วยคลายความกังวลให้เขาได้? มีเพียงเงินและสุราเท่านั้น


ลุกขึ้นยืน เดินไปเปิดหน้าต่าง พลันสัมผัสได้ว่าเผยเฉียนที่อยู่ห้องติดกันไม่มีความเคลื่อนไหว ผนังห้องของโรงเตี๊ยมเก็บเสียงได้ไม่ดีนัก เวลาที่เด็กหญิงนอนหลับมักจะส่งเสียงกรนเบาๆ เสมอ เฉินผิงอันนึกว่าเผยเฉียนทำเหมือนเมื่อก่อนคือพอตกกลางคืนก็กลายเป็นหนู แอบไปขโมยของกินในห้องครัว เพียงแต่หลังจากรอมาหนึ่งก้านธูปกลับได้ยินเสียงประตูใหญ่ของโรงเตี๊ยมเปิดและปิดลง เฉินผิงอันดีดนิ้วเบาๆ หนึ่งครั้ง ไฟในตะเกียงก็มอดดับ เพียงไม่นานก็ได้ยินเสียงเผยเฉียนเดินขึ้นมาชั้นบน


รอจนห้องข้างๆ ปิดประตูลงแล้ว เฉินผิงอันถึงสงบใจลงได้ จุดตะเกียงใหม่อีกครั้ง หยิบหนังสือสามเล่มออกมาเปิดอ่าน


‘ตำราหมัดเขย่าขุนเขา’ ที่ถือว่ายืมกู้ช่านมาอ่าน ‘มหัศจรรย์ที่แท้จริงตำราสีชาด’ ที่หลี่ซีเซิ่งมอบให้ ‘คัมภีร์เวทกระบี่ที่แท้จริง’ ที่เจิ้งต้าเฟิงมอบให้


ตอนนี้บทความทั้งหลายในตำรา เฉินผิงอันล้วนท่องจำได้ขึ้นใจแล้ว เพียงแต่ว่านอกจาก ‘เชียนชิว’ นอนนิ่งของวิชาหมัดเขย่าขุนเขาที่เริ่มฝึกในช่วงนี้แล้ว เรื่องการเขียนยันต์และการฝึกวิชากระบี่ เมื่อเทียบกับก่อนหน้าที่จะจับผลัดจับผลูเข้าไปในพื้นที่มงคลดอกบัวก็แทบจะไม่มีความก้าวหน้า เพราะไม่อาจแบ่งสมาธิไปสนใจได้จริงๆ เฉินผิงอันเชื่อว่าหลังจากนี้น่าจะเริ่มทดลองขยับพู่กันวาดยันต์ตาม ‘มหัศจรรย์ที่แท้จริงตำราสีชาด’ ที่มีระดับสูงกว่ายันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจเล็กน้อยได้แล้ว ถ้ามีโอกาสคงสามารถวาดได้รวดเดียวเสร็จ


เฉินผิงอันอ่านหนังสือทั้งคืนจนถึงตอนเช้า ฟ้ายังไม่ทันสว่างก็ได้ยินเสียงแสกสากเบาๆ จากห้องด้านข้าง ผ่านไปไม่นานเท่าไหร่ก็มีเสียงเคาะประตูดังมา เฉินผิงอันเก็บตำราทั้งสามเล่ม ลุกขึ้นไปเปิดประตู ผลคือเห็นเผยเฉียนที่แต่งตัวเรียบร้อยพร้อมออกเดินทาง อีกทั้งยังสะพายห่อสัมภาระมาด้วย ในมือนางถือไม้เท้าเดินป่า เงยหน้ายิ้มกว้างถามเขาว่า “พวกเราจะออกเดินทางไปเมืองเซิ่นจิ่งเมื่อไหร่?”


เฉินผิงอันถาม “บอกแล้วไม่ใช่หรือว่าให้เจ้าอยู่ที่โรงเตี๊ยม?”


รอยยิ้มของเผยเฉียนยังคงไม่แปรเปลี่ยน แกล้งโง่พูดต่อว่า “จะให้ข้าไปเรียกเจ้าเป๋น้อยลุกขึ้นมาทำกับข้าวให้พวกเราไหม? กินข้าวอิ่มแล้วค่อยเดินทางจึงจะดี ได้ยินว่าเมืองหูเอ๋อร์ห่างจากเมืองหลวงต้าเฉวียนไปตั้งสองสามพันลี้ ไกลมากเลยนะ”


เฉินผิงอันกำลังจะพูด บัณฑิตตกอับที่กำลังอ้าปากหาวกลับมาปรากฏตัวตรงปากบันได เขาเดินมาหยุดอยู่ข้างกายคนทั้งสอง จงขุยตบท้ายทอยเผยเฉียนหนึ่งที ถามเฉินผิงอันทั้งที่ยังสะลึมสะลือ “คนตระกูลเหยามาเช้าขนาดนี้เชียวหรือ? เหยาเจิ้นอยากเป็นเจ้ากรมกลาโหมขนาดนั้นเลยหรือไง”


เผยเฉียนที่อยู่ดีๆ ก็โดนตบอย่างไร้เหตุผลโมโหเดือด ยกไม้เท้าขึ้นมาเตรียมจะฟาดเข้าที่เอวของจงขุย แต่พอชำเลืองตาไปเห็นเฉินผิงอันก็รีบหยุดการกระทำลง ก้มหน้าบ่นเบาๆ “ในตำราว่าไว้ วิญญูชนขยับปากไม่ขยับมือ เจ้าเป็นบัณฑิตได้อย่างไร สมควรแล้วที่จิ่วเหนียงไม่ชายตาแลเจ้า เจ้าเป๋น้อยพูดไม่ผิดเลย ใต้หล้านี้ก็มีแต่บัณฑิตยากจนอย่างพวกเจ้านี่แหละที่น่ารังเกียจที่สุด”


จงขุยไม่สนใจเสียงบ่นจากเด็กหญิง เอาฝ่ามือข้างหนึ่งกดหัวเผยเฉียนเอาไว้ พูดยิ้มๆ ว่า “เฉินผิงอัน เจ้าพานางไปด้วยเถอะ ข้าไม่อยากทะเลาะกับนังหนูนี่ทุกวันหรอกนะ เสียสุขภาพจิตเกินไป เกรงว่าแม้แต่เหล้าบ๊วยก็คงไร้รสชาติ อีกอย่างเมืองหูเอ๋อร์ก็ไม่ค่อยสงบสุขนัก เจ้าทิ้งนางไว้ที่นี่จะผิดต่อความตั้งใจเดิมของตัวเองเอาได้””


เผยเฉียนรีบขยับตัวยืนให้ดี ยืดอกตั้ง ตามองจมูก จมูกมองใจ พยายามทำให้ตัวเองดูเรียบร้อยว่าง่ายที่สุด


เฉินผิงอันไม่ได้ให้คำตอบทันที “ขอข้าคิดดูก่อน”


จงขุยพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “ควรต้องคิดดูให้ดีจริงๆ นั่นแหละ”


เฉินผิงอันเดินลงจากชั้นสองแล้วออกไปเดินเล่นข้างนอก จงขุยเพิ่งจะเปิดประตูใหญ่ของโรงเตี๊ยม พวกจิ่วเหนียงสามคนก็ตื่นกันแล้ว แต่ละคนเริ่มลงมือเตรียมอาหารเช้า


คนสี่คนซึ่งรวมถึงจูเหลี่ยนเปิดประตูห้องบนชั้นสองออกมาแทบจะเวลาเดียวกัน


ทันใดนั้นบรรยากาศก็พลันครึกครื้น


ตอนที่เผยเฉียนเดินลงมาจากชั้นบนพร้อมกับจงขุย นางแอบกระตุกชายแขนเสื้อเขา รอจนเขาหันหน้ามาแล้ว เผยเฉียนถึงกล่าวเสียงอ่อยว่า “เดี๋ยวข้าจะไปพูดถึงเจ้ากับจิ่วเหนียงดีๆ บ้าง”


นี่เรียกว่าเขามอบผลท้อให้เรา เราตอบแทนกลับคืนด้วยผลหลีสินะ?


จงขุยชูนิ้วโป้งให้นาง “มีคุณธรรม!”


เฉินผิงอันเดินเตร็ดเตร่ไปได้หลายลี้ ทั้งไปและกลับต่างก็ใช้ท่าเดินนิ่งหกก้าวเดินไปบนถนนทางหลวงอย่างเชื่องช้า ทั้งสีหน้าและจิตใจล้วนปลอดโปร่งแจ่มใส


เขาหันไปมองเค้าโครงของเมืองหูเอ๋อร์ที่เห็นอยู่ไกลๆ อยู่หลายครั้ง


เฉินผิงอันเกือบจะข่มใจไม่ไหว อยากจะหยิบยันต์ปราณหยางส่องไฟแผ่นนั้นออกมา ซึ่งก็คือยันต์ปราณหยางส่องไฟเพียงหนึ่งเดียวที่เขียนด้วยกระดาษยันต์สีทอง เพื่อเอามาตรวจสอบดูว่าที่เมืองหูเอ๋อร์แห่งนั้นมีเทพเจ้าท่านใดซุกซ่อนตัวอยู่กันแน่ หากเป็นฝีมือของปีศาจตบะแก่กล้า ยันต์ปราณหยางส่องไฟธรรมดาอาจไม่สามารถทำให้มันปราฎตัวได้ แต่การที่มีวิญญูชนจากสำนักศึกษาต้าฝูมาเฝ้าอยู่ที่นี่ แสดงว่าต้องไม่ใช่ ‘ปีศาจใหญ่ขอบเขตห้า’ อย่างในแคว้นไฉ่อีแน่นอน


เพียงแต่ว่าความคิดนี้เพิ่งจะบังเกิดขึ้นก็ถูกเฉินผิงอันล้มเลิกไปอย่างรวดเร็ว หากเรียกยันต์ปราณหยางส่องไฟสีทองแผ่นนั้นออกมา แล้วถ้ามีปีศาจใหญ่ซ่อนตัวอยู่ในเมืองหูเอ๋อร์จริง การเผาไหม้ของยันต์เป็นทั้งการบอกเตือน ขณะเดียวกันก็เป็นการท้าทายอย่างหนึ่ง เฉินผิงอันต้องกินอิ่มแล้วไม่มีอะไรทำเท่านั้นถึงจะหาปัญหาใส่ตัว อีกอย่างกระดาษยันต์สีทองแผ่นหนึ่งเป็นของหายาก ทุกวันนี้ใช้หมดไปแผ่นหนึ่งก็น้อยลงแผ่นหนึ่ง ไม่มีเหตุผลให้เขาต้องล้างผลาญแบบนั้น


พอเฉินผิงอันกลับไปถึงโรงเตี๊ยม นั่งลงบนธรณีประตู เขาก็รู้สึกปวดหัวเพิ่มกว่าเดิมเป็นเท่าตัว


บทที่ 341.2 ตวัดพู่กันมีเทพช่วย

ProjectZyphon

ที่แท้เผยเฉียนกับจงขุยนั่งอยู่บนโต๊ะตัวเดียวกัน จงขุยจิบเหล้าคำเล็กๆ กำลังตั้งหน้าตั้งตาสั่งสอน เผยเฉียนก็รับฟังอย่างตั้งใจ สีหน้าเหมือนคนถูกเปิดสติปัญญาให้โล่งกว้าง


จงขุยถาม “รู้หรือไม่ว่าทำไมถึงต้องกล่าวว่า วิญญูชนขยับปากไม่ขยับมือ?”


เผยเฉียนตอบ “ก็บัณฑิตต่อยตีกับคนอื่นไม่เป็นอย่างไรล่ะ”


จงขุยกดเสียงลงต่ำ พูดด้วยท่าทางลึกลับ “ความหมายที่แท้จริงของประโยคนี้ก็คือ ขอแค่วิญญูชนขยับปาก อีกฝ่ายก็ซี้แหงแก๋ไปแล้ว”


เผยเฉียนสงสัย “วิญญูชนทะเลาะกับคนเก่งขนาดนี้เชียว ถึงขั้นด่าคนให้ตายได้เลยหรือ?”


จงขุยยกเท้าข้างหนึ่งขึ้นเหยียบบนม้านั่งตัวยาว ใบหน้าเต็มไปด้วยความลำพองใจ เขาเลิกคิ้วสูงบอกเป็นนัยให้เด็กหญิงรินเหล้าให้ตนก่อน ตนถึงจะบอกคำตอบ


เผยเฉียนเหลือกตาใส่อย่างรังเกียจ ชำเลืองตามองจงขุย บนใบหน้าเล็กๆ ที่ดำเกรียมของนางเขียนคำว่า ‘เจ้าคือหอมต้นไหน’ ไว้อย่างชัดเจน


จงขุยเองก็ไม่ขุ่นเคือง ยื่นนิ้วมาชี้หน้าเด็กหญิงที่ผิวดำเกรียมราวกับถ่านแล้วหัวเราะฮ่าๆ “เจ้านี่ไม่ยอมเสียเปรียบใครเลยจริงๆ”


เผยเฉียนกลับเป็นฝ่ายโมโหเสียเอง นางลุกขึ้นยืน เอื้อมตัวมาตีนิ้วข้างนั้นของจงขุย


จงขุยขยับตัวหลบเลี่ยง ยังคงชี้นิ้วใส่เผยเฉียน ส่วนเผยเฉียนที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งก็ปัดตบฝ่ามือข้างนั้นอยู่ตลอดเวลา


จิ่วเหนียงที่อยู่ตรงโต๊ะคิดเงินมองจงขุย ไม่ได้รู้สึกว่าการที่บุรุษตัวโตๆ คนหนึ่งมีจิตใจเป็นเด็กจะมีค่าพอให้สตรีหันมามองข้อดีของเขา


แต่ในเมื่อจงขุยเป็นแบบนี้ได้ ก็น่าจะไม่ใช่คนเลวร้ายสักเท่าไหร่


เผยเฉียนไม่เคยเจอบัณฑิตคนไหนไร้ยางอายเท่านี้มาก่อน นางเหนื่อยจนหอบดังฮักๆ กลับไปนั่งที่เดิม พูดเหน็บแนมว่า “ในเมื่อวิญญูชนร้ายกาจขนาดนี้ ถ้าอย่างนั้นทำไมถึงยังพูดว่ายินดีล่วงเกินวิญญูชน แต่ไม่คิดล่วงเกินคนถ่อยเล่า?!”


จงขุยยิ้มบางๆ ตอบว่า “นั่นเป็นเพราะไม่ได้เจอกับข้า”


เผยเฉียนกระตุกมุมปาก “เจ้าแต่งเรื่องโกหกแล้วกระมัง หนังสือที่เจ้าอ่านจะมากกว่าท่านพ่อข้าได้หรือ?”


จงขุยตบหน้าตัวเอง ไร้คำพูดให้ตอบโต้ ท่าทางราวกับว่าไม่มีหน้าไปเจอเหล่าอาจารย์อริยะปราชญ์ที่รูปปั้นถูกตั้งบูชาบนแท่นบูชาอีกแล้ว “ถือว่าข้าแพ้แล้ว”


เฉินผิงอันเดินไปหาจิ่วเหนียง หยิบเงินที่เตรียมมาไว้นานแล้วออกมา คราวนี้จิ่วเหนียงไม่ได้ปฏิเสธ เงินเล็กน้อยแค่ยี่สิบสามสิบตำลึง ในเมื่อผู้มีพระคุณของสกุลเหยาตรงหน้าผู้นี้ยินดีมอบให้ นางก็ได้แต่รับเอาไว้ นางยิ้มจืดเจื่อนกล่าวว่า “คุณชายเฉิน เข้าเมืองหลวงคราวนี้ หวังว่าเจ้าจะช่วยข้าดูแลหลิ่งจือสักหน่อย นางมีนิสัยหยิ่งผยอง ไม่เป็นที่ชื่นชอบของคนอื่นเท่าใดนัก ขอคุณชายช่วยโอนอ่อนผ่อนตาม ถือซะว่าข้าได้คืบจะเอาศอกแล้วกัน”


เฉินผิงอันพยักหน้าตอบรับ จากนั้นก็ยิ้มพลางยื่นมือออกมา


จิ่วเหนียงไม่เข้าใจ


เฉินผิงอันจึงพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ค่าตอบแทนในการดูแลแม่นางเหยา หากไม่ถึงยี่สิบสามสิบตำลึงก็คงพูดยากแล้ว”


จิ่วเหนียงไม่เคยอารมณ์ดีอย่างนี้มาหลายปีแล้ว นางตบเงินลงบนฝ่ามือของเฉินผิงอันหนักๆ สตรีแต่งงานแล้วหัวเราะอย่างขำขันสุดขีด “โอ้โห คิดไม่ถึงเลยว่าคุณชายจะเป็นคนทำการค้าที่ชาญฉลาดด้วย!”


เฉินผิงอันเก็บเงินไปจริงๆ เขาเอ่ยสัพยอกนางว่า “ออกเดินทางอยู่ข้างนอก จำเป็นต้องรู้จักคิดวิธีหาเงิน”


จงขุยหันหน้าไปมองจิ่วเหนียงกับเฉินผิงอันที่พูดคุยกันอย่างถูกคอ แล้วตะโกนใส่ทางห้องครัวเสียงดัง “เดี๋ยวพอยกอาหารเช้าขึ้นโต๊ะ อย่าลืมเอาน้ำส้มสายชูมาให้ข้าถ้วยหนึ่ง ต้องถ้วยใหญ่ด้วย!” (น้ำส้มสายชูในภาษาจีนมีความหมายอีกอย่างคือความหึงหวง ในภาษาจีนคำว่าหึงจะพูดว่าชือชู่ที่แปลว่ากินน้ำส้ม)


ทุกคนกินอาหารเช้าเสร็จเรียบร้อย เสียงฝีเท้าม้าก็ดังขึ้นบนทางหลวงนอกโรงเตี๊ยม ยิ่งนานยิ่งชัดเจน


การจากลากำลังจะมาถึง


เฉินผิงอันพลันนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จึงถามหยั่งเชิงจงขุย “ช่วยเขียนโคลงคู่ให้ข้าสักแผ่นได้ไหม?”


เฉินผิงอันคิดว่าจะดีจะชั่วบัณฑิตตรงหน้าก็เป็นวิญญูชนคนหนึ่งของสำนักศึกษา คิดดูแล้วลายมือของอีกฝ่ายน่าจะงดงามมาก ให้อีกฝ่ายเขียนกลอนคู่ถือว่าเป็นสัญญาณการเริ่มต้นอันดีสำหรับเขา


ดวงตาจงขุยเป็นประกาย “จ่ายเงินไหม?”


จิ่วเหนียงหัวเราะอย่างฉุนๆ “ในสายตาเจ้ามีแต่เงินหรือไง?!”


จงขุยจึงวิ่งตุปัดตุเป๋ไปทางโต๊ะคิดเงิน ถูมือกล่าวอย่างขลาดๆ “จิ่วเหนียง พู่กันกับหมึกอยู่ไหนหรือ?”


จิ่วเหนียงตวัดค้อนใส่ “เจ้าเป็นคนคิดบัญชี หาเองไม่เจอรึไง?”


โรงเตี๊ยมมีพู่กันกับหมึกและกระดาษสีแดงว่างเปล่าที่ตัดเป็นแถบสำหรับใช้เขียนโคลงคู่อยู่แล้ว เพราะในอดีตเวลาถึงช่วงปีใหม่ล้วนเป็นผู้เฒ่าหลังค่อมที่ลงมือเขียนตัวเอง อีกทั้งยังเขียนสวยมาก ถึงอย่างไรเขาก็เป็นน้องสามของเหยาเจิ้น แม้ว่าสกุลเหยาจะเป็นทหารชายแดนตระกูลใหญ่ แต่สำหรับเรื่องการแต่งกลอนเขียนบทความ สกุลเหยาก็ไม่เคยละเลย การเคลื่อนทัพจัดขบวนรบ การวางกลยุทธ์ทำสงคราม หากลูกหลานสกุลเหยาทุกคนเป็นแค่ผู้ฝึกยุทธ์ที่หยาบกระด้างจริงๆ ก็ไม่อาจรับหน้าที่เหล่านี้ได้


เฉินผิงอันบอกว่าไม่ต้องเตรียมพู่กันกับหมึก เขามี


ก่อนจะพูดประโยคนี้เขาแอบพลิกข้อมือเบาๆ หยิบเอาเหล็กหมาดหิมะออกมาจากวัตถุฟางชุ่นแล้ว


เผยเฉียนไปรับกระดาษแดงที่ใช้เขียนคำกลอนคู่มาอย่างประจบประแจง แล้วนำมาปูวางลงบนโต๊ะ


นางยังไม่ลืมเอ่ยกำชับจงขุยที่ยืนม้วนชายแขนเสื้ออยู่หน้าโต๊ะว่า “เจ้าต้องตั้งใจให้มากนะ เขียนให้ดีหน่อย วันหน้ายังต้องเอาไปแปะไว้บนผนังบ้านของข้า!”


พวกจูเหลี่ยนสี่คนต่างก็ขยับเข้ามาดู เพราะอยากรู้อย่างยิ่งว่าวิญญูชนท่านนี้จะเขียนอะไร


ส่วนเรื่องที่ว่าเฉินผิงอันไปเอาพู่กันมาจากไหน แล้วทำไมไม่ต้องใช้หมึกก็สามารถเขียนตัวอักษรได้ จิ่วเหนียงแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นอะไรทั้งนั้น


หลังจากรับพู่กันมาแล้ว ลมปราณของจงขุยก็ลดตัวลงไปที่จุดตันเถียน สีหน้าเคร่งเครียด ตวาดเบาๆ หนึ่งที พู่กันที่จรดลงไปก็เหมือนมังกรว่ายวน เขียนตัวอักษรลงไปห้าตัว


ตัวอักษรที่เขาเขียนแค่เป็นระเบียบเรียบร้อยเท่านั้น ส่วนเรื่องท่วงทำนองหรือความมีชีวิตชีวาอะไรเทือกนั้น แทบไม่มีอยู่เลย


ตัวอักษรทั้งห้ามีเนื้อความว่า ‘จรดพู่กันสะเทือนลมฝน’


เห็นได้ชัดว่านี่ไม่ใช่ตัวอักษรที่ควรมีในโคลงคู่ กลับเหมือนว่าพอจงขุยคว้าโอกาสที่หาได้ยากเอาไว้ได้ก็เลยพยายามจะโอ้อวดตัวตนบัณฑิตของตนมากกว่า


จูเหลี่ยนที่หลังโก่งงอพินิจตัวอักษรทั้งห้านั้นอย่างละเอียดพลางยิ้มตาหยี


สุยโย่วเปียนหันหน้าไปมองทางประตูใหญ่ของโรงเตี๊ยม อีกไม่นานคนตระกูลเหยาก็ใกล้จะถึงแล้ว


จิ่วเหนียงกล่าวด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “เจ้าเป๋น้อยไปหยิบไม้กวาดมา มีคนคันผิวอยากโดนฟาด”


จงขุยทำหน้าไร้เดียงสา “อย่านะ ข้าตั้งใจเขียนมากแล้วนะ หากไม่ได้จริงๆ ข้าจะเขียนอีกแผ่นแล้วกัน เงินค่ากระดาษกลอนคู่สองแผ่นนี้ เดี๋ยวข้าจ่ายให้เอง”


เฉินผิงอันพูดด้วยรอยยิ้ม “ดีมากแล้ว เอาแผ่นนี้นี่แหละ เขียนอีกแค่ห้าตัวอักษรก็ใช้ได้แล้ว”


จิ่วเหนียงจ้องจงขุยเขม็ง ฝ่ายหลังรีบผลักเด็กหนุ่มขาเป๋ที่ท่าทางมีความสุขบนความทุกข์คนอื่นออกไป “ไปหยิบกระดาษในห้องอาจารย์เจ้ามาอีกแผ่นหนึ่ง ช่างเถอะ เอามาสองแผ่นเลยแล้วกัน หากจิ่วเหนียงไม่พอใจ ข้าจะได้แก้ใหม่”


จงขุยเขียนตัวอักษรท่อนหลังของกลอนคู่แผ่นแรกให้เสร็จก่อน คือประโยคว่า ‘กลอนเขียนสำเร็จ ผีและเทพร่ำไห้’


บางทีอาจรู้สึกว่าตัวเองเขียน ‘ใหญ่’ ไป จงขุยจึงหัวเราะแห้งๆ รอบหนึ่งแล้วหาทางลงให้กับตัวเองโดยการพูดว่า “ไม่ได้เขียนมานาน เลยเขียนได้ไม่ค่อยดี เขียนได้ไม่ค่อยดี ไม่ถึงครึ่งของฝีมือเวลาปกติเลย”


กลอนคู่อีกสองบทหลัง จงขุยเขียนอย่างมีกฎมีเกณฑ์ เหมาะแก่การนำไปใช้ในการเฉลิมฉลองอย่างมาก คือโคลงคู่ที่ถูกต้องเหมาะสม ไม่ได้ไม่เป็นโล้ไม่เป็นพายอย่างกลอนแผ่นแรก


“ปีใหม่สุขสำราญ ฤดูใบไม้ผลิยาวนานตลอดไป”


หลังจากเขียนกลอนบทที่สองเสร็จ ตัวจงขุยเองก็พึงพอใจอย่างยิ่งยวด บอกว่าเนื้อหาในกลอนบทนี้คือบรรพบุรุษของกลอนคู่ทุกแผ่นทั่วหล้า


ส่วนกลอนบทที่สามนั้นจิ่วเหนียงพอใจมากที่สุด เพราะว่าเข้ากับสถานการณ์อย่างมาก คือคำว่าชาติรุ่งเรือง บ้านรุ่งเรือง บ้านเมืองรุ่งเรือง คนแก่ปลอดภัย คนเด็กสงบสุข ปวงประชาปลอดภัยสงบสุข


ต่อให้เป็นเผยเฉียนก็ยังรู้สึกว่าไม่เลวเลยทีเดียว ในที่สุดก็ยอมทำสีหน้าดีๆ ให้จงขุย


เฉินผิงอันเก็บกลอนคู่ทั้งสามแผ่นลงไปอย่างระมัดระวัง กุมหมัดขอบคุณจงขุย


จงขุยรับการคารวะจากเขาอย่างตรงไปตรงมา


คนทั้งสองสบตากัน


เฉินผิงอันเอ่ยเตือนอย่างจนใจ “พู่กัน”


จงขุยถาม “ข้าอุตส่าห์มอบกลอนคู่ที่งดงามเปี่ยมไปด้วยความมงคลให้เจ้าตั้งสามแผ่น เจ้าจะมอบพู่กันให้ข้าสักด้ามไม่ได้เลยหรือ?”


เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่ได้”


จงขุยยังคิดจะต่อรอง แต่สังเกตเห็นสีหน้ามืดทะมึนของจิ่วเหนียงเสียก่อน สีหน้านั้นเกรงว่าไม่ต้องให้เจ้าเป๋น้อยไปหยิบไม้กวาด นางอาจจะลงมือกวาดตนออกจากประตูไปด้วยตัวเองก็เป็นไป เขาจึงถอนหายใจหนึ่งครั้ง ส่งเหล็กหมาดหิมะให้กับเฉินผิงอันอย่างอาลัยอาวรณ์ พูดพึมพำว่า “คำว่าตวัดพู่กันดุจเทพช่วยที่สลักไว้บนด้ามมีวาสนากับข้ามากเลย เหมาะสมกันมากขนาดนี้ เจ้าเฉินผิงอันกลับเอาไม้ตียวนยางให้แยกจาก ช่างทำลายบรรยากาศยิ่งนัก”


เฉินผิงอันเก็บเหล็กหมาดหิมะที่หลี่ซีเซิ่งมอบให้โดยไม่ได้จงใจจะปิดบัง ก่อนเอ่ยยิ้มๆ ว่า “มอบให้เจ้าไม่ได้จริงๆ”


เห็นสีหน้าน่าสงสารของจงขุย จิ่วเหนียงก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่ต้องจ่ายเงินค่ากระดาษโคลงคู่แล้ว ไม่เพียงเท่านี้ เห็นแก่โคลงคู่สามแผ่น วันนี้เจ้าเอาเหล้าบ๊วยหมักห้าปีไปได้หนึ่งไห”


จงขุยยิ้มหน้าบานเป็นกระด้งทันที


ทางหลวงนอกโรงเตี๊ยมเต็มไปด้วยฝุ่นผงที่ตลบคละคลุ้ง


เด็กสาวห้อยดาบเหยาหลิ่งจือและเด็กหนุ่มเหยาเซียนจือลงจากม้าพร้อมกัน เดินมาหยุดอยู่ตรงประตูใหญ่ของโรงเตี๊ยมเพื่อรอรับกลุ่มของเฉินผิงอัน


จิ่วเหนียงพูดประโยคหนึ่งกับเหยาหลิ่งจือว่าเดินทางระมัดระวัง แล้วก็เริ่มสะอึกสะอื้นอยู่ในลำคอ


เด็กสาวเองก็ตาแดง ก้มหน้าลงหมุนตัวกลับ ไม่ต้องการเห็นใบหน้ากลัดกลุ้มเป็นทุกข์ของมารดาตัวเองอีก


เหยาเจิ้นที่สวมชุดลำลองยืนอยู่ข้างรถม้าคันหนึ่ง ครั้งนี้ในขบวนของตระกูลเหยาที่เดินทางเข้าเมืองหลวง นอกจากเขาจะตั้งใจหารถม้าที่ว่างเปล่ามาสามคันแล้ว ยังเตรียมม้าสูงใหญ่ไว้ให้เฉินผิงอันอีกห้าตัว ม้าทุกตัวล้วนเป็นม้าศึกระดับหนึ่งในกองทัพของต้าเฉวียน ต่อให้เป็นลูกหลานคนร่ำรวยในเมืองหลวงก็ยังไม่อาจได้ครอบครอง


เหยาเจิ้นคิดไม่ถึงว่านอกจากเด็กหญิงผอมแห้งและหญิงสาวสะพายกระบี่ที่หน้าตางดงามอย่างถึงที่สุดแล้ว คนอื่นๆ อีกสี่คนซึ่งรวมถึงเฉินผิงอันด้วยต่างก็เลือกขี่ม้าเดินทางขึ้นเหนือ


สำหรับเรื่องนี้เหยาเจิ้นไม่มีความเห็นต่าง หลังจากทักทายเฉินผิงอันแล้ว แม่ทัพผู้เฒ่าก็กลับเข้าไปนั่งในห้องโดยสารรถม้าของตัวเอง ด้านในมีตำราพิชัยยุทธสิบกว่าเล่ม ล้วนเป็นตำราที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษตระกูลเหยา หนังสือทุกเล่มเขียนคำอธิบายและข้อสรุปตามความเข้าใจของบรรพบุรุษตระกูลเหยาหลายท่านยามที่อ่านตำราเหล่านี้เอาไว้ และเป็นอย่างนี้แทบทุกหน้า


บางทีนี่ต่างหากถึงจะเป็นการสืบทอดอย่างมีระบบระเบียบของตระกูลสูงศักดิ์ ทำให้ควันธูปสืบเนื่องได้อย่างยาวนาน


คราวนี้เหยาเจิ้นพาลูกหลานสกุลเหยาไปด้วยแค่สามคน คนทั้งสามต่างก็อยู่ในรุ่นราวคราวเดียวกัน เหยาจิ้นจือที่นั่งอยู่ในรถม้าคันหนึ่งเพียงลำพัง เหยาเซียนจือและเหยาหลิ่งจือที่ขี่ม้าเคียงคู่กันอยู่ท้ายสุดของขบวน


ผู้ฝึกตนติดตามกองทัพเจ็ดแปดคนกระจายตัวอยู่รอบๆ ขบวน


เหยาเจิ้นบอกกับเฉินผิงอันอย่างตรงไปตรงมาว่า ในบรรดาผู้ฝึกตนเหล่านี้มีสองคนที่เป็นข้ารับใช้ลับๆ ของราชวงศ์ต้าเฉวียน หากไม่เป็นเพราะครั้งนี้ได้รับคำสั่งให้เข้าวัง แม้แต่แม่ทัพใหญ่ประจำชายแดนที่ระดับขั้นสูงสุดอย่างเขาก็ยังไม่มีอำนาจโยกย้ายผู้ฝึกตนสองคนนี้


ทหารม้าที่เหลืออีกหกสิบนายล้วนเป็นทหารเก่าแก่ที่เชี่ยวชาญการขี่ม้ายิงธนูเป็นอย่างดี และยังมีคนในครอบครัวของทหารเก่าแก่เหล่านี้อีกเล็กน้อย คนส่วนใหญ่จะเป็นพวกพ่อบ้านหรือไม่ก็สาวใช้ในจวนตระกูลเหยา


เฉินผิงอันปะปนอยู่ในกลุ่มคน ขี่ม้าไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้า


จูเหลี่ยนที่ต่อให้จะนั่งอยู่บนหลังม้าก็ยังคงอยู่ในท่าห่อไหล่หลังค่อม เมื่อหลังม้ากระเด้งกระดอนแกว่งซ้ายเอียงขวา เขาจึงมองดูเหมือนคนที่น่าเข้าใกล้และเรียบง่ายที่สุดในบรรดากลุ่มผู้ติดตามของเฉินผิงอัน


หลูป๋ายเซี่ยงกำลังหลับตาทำสมาธิ


เว่ยเซี่ยนที่อยู่ในกลุ่มทหารม้าเหมือนปลาที่ได้น้ำ เป็นธรรมชาติกลมกลืนมากที่สุด


ที่โรงเตี๊ยม จิ่วเหนียงจ้องมองขบวนเดินทางอยู่นานไม่ยอมดึงสายตากลับ


ผู้เฒ่าหลังค่อมนั่งยองสูบยาอยู่ตรงหน้าประตู ควันที่พวยพุ่งขึ้นมาบดบังใบหน้าแก่ชราที่ยับย่นของเขาเหมือนไอหมอกที่ลอยอวลอยู่เต็มร่องลึกระหว่างเทือกเขา


เด็กหนุ่มขาเป๋ปีนขึ้นไปบนหลังคา ทอดสายตามองไปไกล เพิ่งจะจากลาก็ทำให้เขาเริ่มคาดหวังที่จะได้พบกับพี่สาวสะพายกระบี่คนนั้นอีกครั้งในคราวหน้าแล้ว


จงขุยมาหยุดอยู่หน้าหลุมศพขนาดเล็ก ป้ายหินหน้าหลุมศพล้มคว่ำลงไปแล้ว แถมยังมีคนขุดดินเอาสิ่งของที่อยู่ในหลุมอีกวนออกไป


ก็เด็กนี่นะ ถึงอย่างไรก็ชอบเล่นสนุก


จงขุยลูบคลำศีรษะ หันหน้าไปมองขบวนเดินทางขนาดใหญ่แวบหนึ่งแล้วถอนสายตากลับ เอาสองมือไพล่หลัง เดินเตร็ดเตร่กลับไปที่โรงเตี๊ยมพลางพึมพำกับตัวเอง “ดวงอาทิตย์ลอยขึ้นเหนือทะเลบูรพา แสงทองอร่ามตาส่องหมื่นลี้ ยามจันทราตกลงสู่ภูเขาทักษิณ เสียงวานรร้องครวญ น่าเสียดายที่ไม่คล้องจอง ไม่อย่างนั้นคงได้กลายเป็นบทกวีที่เลื่องลือไปทั่วหล้าแน่ๆ”


จงขุยครุ่นคิด ลังเลว่าจะไปที่เมืองหูเอ๋อร์สักรอบดีหรือไม่


อาจารย์ก็ขี้ขลาดไปหน่อย จะดีจะชั่วก็เป็นถึงเจ้าขุนเขาสำนักศึกษาต้าฝู อีกทั้งยังมีชาติกำเนิดจากจวนของอริยะบางท่านในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง


แม้ว่าชื่อของจิ้งจอกเก้าหางตนนั้นจะอยู่บนสุดของหน้าสองในตำรา ‘บทชื่อที่แท้จริง’ ที่นายท่านผู้เฒ่าป๋ายเขียนไว้ แต่ในเมื่อตนรู้ชื่อจริงของนางแล้ว คิดจะให้นางตายก็แค่เอ่ยประโยคเดียวเท่านั้นไม่ใช่หรือ?


จงขุยสอดสองมือรองใต้ท้ายทอย ลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า


ราวกับว่ายังมีลมฤดูใบไม้ร่วงโชยมาเป็นระลอกแล้วหมุนวนเป็นเกลียวอยู่ในชายแขนเสื้อสองข้างที่ชูขึ้นสูงของเขา


จงขุยที่เป็นเช่นนี้ สตรีแต่งงานแล้วที่อยู่ในโรงเตี๊ยมไม่เคยเห็นมาก่อน


บทที่ 342.1 สะพานสีทองเหนือแม่น้ำ

ProjectZyphon

การเดินทางขึ้นเหนือเป็นไปด้วยความราบรื่น


ราชวงศ์ต้าเฉวียนมีชะตาบู๊รุ่งโรจน์ ในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมามีแต่กองทัพชายแดนเท่านั้นที่สามารถรังแกคนอื่นได้  เป่ยจิ้นที่อยู่ทางทิศใต้และหนันฉีที่อยู่ทางทิศเหนือต่างก็เคยเจอกับความยากลำบากมามากมาย หากไม่เป็นเพราะองค์ชายทั้งสามงัดข้อกันเอง และการช่วงชิงบัลลังก์มังกรก็ใกล้จะถึงช่วงที่ลงไม้ลงมือกันอย่างโจ่งแจ้งแล้ว ซึ่งนี่พัวพันกับพละกำลังมากมายขององค์ชายใหญ่ จึงเป็นเหตุให้บุตรอนุคนโตของสกุลหลิวที่เฝ้าพิทักษ์พื้นที่แถบเหนือท่านนี้จำต้องหยุดสงครามทางเหนือที่ถูกกำหนดไว้แล้วกลางคัน หลีกเลี่ยงไม่ให้เป็นการทำลายอาณาเขตพันลี้ของหนันฉีโดยไม่ทันระวัง ถ้าตัวเองต้องสูญเสียพลังต้นกำเนิด สูญเสียการควบคุมสถานการณ์ใหญ่ไป แบบนั้นก็ไม่เท่ากับว่าตัดชุดแต่งงานให้กับฮ่องเต้องค์ใหม่ของเมืองเซิ่นจิ่งหรอกหรือ? (ตัดชุดแต่งงานให้คนอื่นเปรียบเปรยถึงการทุ่มเทแรงกายแรงใจทำงาน ให้คนอื่น โดยที่ตนเองไม่ได้ผลประโยชน์อะไรเลย)


และยังมีแคว้นเล็กๆ อีกสี่ห้าแคว้นที่อยู่ติดกับชายแดนตะวันออกและตะวันตก กษัตริย์ของแคว้นหนึ่งในนั้นเรียกตัวเองว่าหลาน เรียกหลิวเจินฮ่องเต้ต้าเฉวียนด้วยความเคารพนับถือว่าเสด็จอา และยังมีอีกแคว้นหนึ่งที่ตกเป็นแคว้นใต้อาณัติของต้าเฉวียนโดยตรง


ทุกๆ ระยะสามสิบลี้ ขบวนเดินทางจะหยุดพักหนึ่งครั้งเพื่อแปรงจมูกทำความสะอาดให้กับม้าศึก เวลานี้เหยาเจิ้นจะออกมาจากรถม้าเพื่อพูดคุยกับเฉินผิงอัน


ไปๆ มาๆ หลานชายสายตรงอย่างเหยาเซียนจือก็สนิทสนมคุ้นเคยกับเฉินผิงอันไปด้วย ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าเฉินผิงอัน ‘หยกดิบแห่งสกุลเหยา’ ชิ้นนี้กลับระมัดระวังตัวสำรวมตนอย่างยิ่ง


ปีนี้เหยาเซียนจือเพิ่งจะอายุสิบสี่ปี แต่กลับอยู่ในกองทัพมาสามปีแล้ว ปีที่สองก็ได้เป็นทหารสอดแนมอย่างเป็นทางการ หลังจากนั้นก็อาศัยคุณความชอบทางการทหารเลื่อนขั้นเป็นหัวหน้ากอง เรียนรู้กลยุทธการทำสงครามจากอาจารย์ในโรงเรียนมาตั้งแต่เด็ก แต่เขาไม่มีนิสัยชอบพูดโอ้อวดตน อายุยังน้อยแต่กลับสุขุมเหมือนผู้ใหญ่ ได้รับความสำคัญจากเหยาเจิ้นเจ้าประมุขตระกูลอย่างมาก


เหยาเซียนจือไม่ปิดบังความเลื่อมใสที่ตัวเองมีต่อเฉินผิงอันเลยแม้แต่น้อย ตอนนั้นที่อยู่ในหุบเขา ถูกผู้ฝึกตนบนภูเขาสองคนไล่ฆ่าอย่างจนตรอก ก็เป็นเฉินผิงอันที่ปรากฎตัวมาช่วยเหลือลูกหลานในกองทัพซึ่งรวมถึงเหยาเจิ้นปู่ของเขาด้วย หมัดเดียวของเฉินผิงอันก็ต่อยให้ปรมาจารย์น่ากลัวที่สวมเสื้อเกราะน้ำค้างหวานคนนั้นถอยกรูดออกไป เมื่อเผชิญหน้ากับผู้ฝึกกระบี่ที่มีพลังพิฆาตไร้ที่สิ้นสุดจนน่ากริ่งเกรงก็ยิ่งรับมือได้อย่างเป็นธรรมชาติ


ภายหลังเหยาเซียนจือยังได้ยินวีรกรรมยิ่งใหญ่ของเฉินผิงอันตอนอยู่ในโรงเตี๊ยมจากเหยาหลิ่งจือ นางเล่าว่าเขาต่อยบุตรชายของเซินกั๋วกงตายคาที่ด้วยสามหมัด กล้าประมือกับหลี่หลี่ขันทีผู้ควบคุมตรากองทหารม้า เหยาเซียนจือจึงยิ่งเลื่อมใสนับถือเขาอย่างถึงที่สุด ใจถึงขั้นคิดอยากจะช่วยจูงม้าป้อนอาหารม้าให้เฉินผิงอันทุกวันเลยด้วยซ้ำ


ความประทับใจที่เฉินผิงอันมีต่อเหยาเซียนจือก็ไม่เลวเช่นกัน ในศึกนองเลือดกลางหุบเขา สายตาเด็ดเดี่ยวของเด็กหนุ่มที่สวมเสื้อเกราะ จนถึงตอนนี้เฉินผิงอันก็ยังจำได้ติดตา


เพียงแต่คงเป็นเพราะเหยาเซียนจืออยากจะทำตัวสนิทสนมกับเขาจึงพยายามหาเรื่องมาชวนคุย เขามักจะเล่าเรื่องตลกที่ไม่ค่อยตลกให้เฉินผิงอันฟังเป็นประจำ ยกตัวอย่างเช่นเรื่องที่หนันฉีอยู่ทิศเหนือ แต่เป่ยจิ้นกลับอยู่ทิศใต้ (หนันฉี คำว่าหนันแปลว่าใต้ ส่วนเป่ยจิ้น คำว่าเป่ยแปลว่าเหนือ) แถมยังบอกอีกว่านักประพันธ์บางคนที่เชี่ยวชาญการเขียนกลอนให้กับทหารชายแดนเลื่อมใสกองทัพม้าเหล็กของสกุลเหยาอย่างถึงที่สุด มีนักประพันธ์ใหญ่ในวงการกวีท่านหนึ่งคิดอยากจะเอาบทกลอนมาแลกกับม้าศึกระดับหนึ่งหนึ่งตัว แต่ท่านปู่ของเขาปฏิเสธ ก็เลยเจ็บแค้นอยู่ในใจ หลังจากกลับไปเมืองหลวงก็พูดให้ร้ายกองทัพชายแดนตระกูลเหยานานถึงสิบปี เหยาเซียนจือสาบานเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าเมื่อไปถึงเมืองเซิ่นจิ่งแล้วจะต้องไปหาคนผู้นั้นให้ได้


เฉินผิงอันไม่ได้พูดตอบโต้อะไร แต่ก็ไม่ได้รู้สึกรำคาญอีกฝ่าย


ในคนรุ่นนี้ของสกุลเหยา ความรู้สึกที่เหยาหลิ่งจือผู้ซึ่งมีพรสวรรค์ด้านการฝึกวรยุทธ์มากที่สุดมีต่อเฉินผิงอันค่อนข้างซับซ้อน นางทั้งรู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณและรู้สึกเคารพเลื่อมใส แต่ลึกๆ ในใจยังมีความไม่ยอมแพ้อยู่ส่วนหนึ่ง อีกทั้งนางยังเป็นเด็กสาวที่อยู่ในช่วงวัยที่งดงามที่สุดในชีวิตพอดี ดังนั้นจึงไม่ค่อยเต็มใจเข้าใกล้เฉินผิงอันพร้อมกับเหยาเซียนจือเท่าใดนัก


ก่อนหน้านี้เฉินผิงอันเคยขี่ม้ามาก่อน อีกทั้งตอนที่อยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัวก็เคยขี่ลากับนักพรตเฒ่า ดังนั้นเขาจึงรู้ว่าคำกล่าวที่ว่าเดินทางหนึ่งวันพันลี้ที่นักเล่านิทานเล่าให้ฟังหรือที่กล่าวถึงในนิยายล้วนเป็นเรื่องหลอกลวงทั้งสิ้น โดยทั่วไปแล้วราชวงศ์ในโลกมนุษย์ การที่จุดพักม้าส่งข่าวทางการทหารด้วยม้าเร็วแปดร้อยลี้นั้นสามารถทำได้จริง แต่จำเป็นต้องเปลี่ยนทั้งคนและเปลี่ยนทั้งม้า หากชนใครตายบนทางเดินม้าก็ไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบ เพียงแต่ว่าการทำเช่นนั้นจะทำให้ม้าได้รับบาดเจ็บสาหัส อีกทั้งต่อให้สวมเกือกเหล็กให้ม้า เกือกม้าก็ยังอาจถูกย่ำจนพังยับอยู่ดี


ขุนนางในจุดพักม้าระหว่างทางที่คอยให้การดูแล รวมไปถึงที่ว่าการแห่งต่างๆ ซึ่งเป็นที่ตั้งของจุดพักม้าต่างก็ให้การดูแลพวกเขาเป็นอย่างดี ถึงอย่างไรเหยาเจิ้นก็เป็นแม่ทัพใหญ่ที่ใช้อักษรขึ้นต้นด้วยตัวเจิง คือเจ้าประมุขผู้เฒ่าของกองทัพม้าเหล็กตระกูลเหยา อีกทั้งเขายังไม่ได้ถอดเสื้อเกราะกลับภูมิลำเนา แต่เดินทางไปรับตำแหน่งเจ้ากรมกลาโหมที่เมืองหลวง ได้รับความสำคัญจากโอรสสวรรค์ จากเสาหลักของชายแดนกลายมาเป็นเสาคานของราชสำนัก แม่ทัพผู้เฒ่าเหยายื่นนิ้วเล็กๆ ออกมานิ้วเดียวก็สามารถบดขยี้นายอำเภอเล็กๆ ให้ตายได้หลายคนแล้ว แล้วใครยังจะกล้าไม่ใส่ใจ?


เหยาเจิ้นได้รับการต้อนรับขับสู้ เหนื่อยอยู่กับการเข้าร่วมงานเลี้ยง แม้จะไม่ได้มีท่าทางกระตือรือร้นต่อขุนนางตามท้องที่ต่างๆ เท่าใดนัก แต่ก็ไม่เคยเผยสีหน้าหยิ่งยโสให้เห็น เขาแทบจะไม่เคยปฏิเสธงานเลี้ยงรับรองจากขุนนางท้องที่คนใดเลย ส่วนการเชื้อเชิญอย่างกระตือรือร้นจากเจ้าเมืองก็มีบ้างที่อ้างเหตุปฏิเสธไป ส่วนนายอำเภอนั้นแน่นอนว่าไม่มีความกล้าที่จะจัดงานเลี้ยงต้อนรับเจ้ากรมท่านหนึ่งโดยพลการ


เฉินผิงอันไม่คิดเข้าร่วมงานเลี้ยงพวกนี้ แต่เผยเฉียนกลับคิดหาทางให้ได้เข้าร่วม มีครั้งหนึ่งแค่ได้ยินเหยาเซียนจือร่ายรายการอาหารให้ฟัง นางก็น้ำลายไหลด้วยความอยากกินแล้ว ที่น่าแปลกก็คือทุกครั้งเหยาเจิ้นจะต้องพาเหยาหลิ่งจือและเหยาเซียนจือไปด้วย แต่กลับละเลยเหยาจิ้นจือที่เห็นห้องโดยสารรถม้าเป็นจวนลึกผู้นั้นไป


ครั้งนี้เดินทางผ่านเขตการปกครองแห่งหนึ่งที่ไม่ค่อยมีชื่อเสียงเท่าใดนัก แต่พวกเขากลับถึงขั้นปัดกวาดถนนหนทางรอต้อนรับจนสะอาดเอี่ยม เฉินผิงอันยังคงไม่เข้าร่วมงานเลี้ยง แค่พาเผยเฉียนและจูเหลี่ยนสองคนออกจากจุดพักม้า คิดว่าจะไปหาซื้อของจุกจิกบางอย่าง ยกตัวอย่างเช่นปิ่นหยกหนึ่งชิ้น แต่เหยาจิ้นจือกลับออกจากห้องพักในจุดพักม้า บอกว่าจะไปเดินเล่นกับพวกเฉินผิงอันอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน


นางยังคงสวมหมวกคลุมหน้าที่เรียบง่ายแต่งดงามซึ่งคลุมปิดทับตั้งแต่ศีรษะจรดลำคอ อันที่จริงก่อนหน้านี้เวลาที่ขบวนหยุดพัก ขอแค่ไม่มีคนนอกอยู่ด้วย เหยาจิ้นจือก็จะต้องถอดหมวกคลุมหน้าออก เฉินผิงอันเคยเห็นโฉมหน้าของนางมาหลายครั้ง หน้าตานางงดงามมากอย่างแท้จริง รูปโฉมเหนือกว่าสุยโย่วเปียนเซียนกระบี่สาว หากพูดตามคำสัพยอกของจูเหลี่ยน หน้าตาที่งามล่มบ้านล่มเมืองอย่างแม่นางเหยาผู้นี้ เขาจูเหลี่ยนเสพสุขเบ่งบารมีอยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัวมาหลายสิบปีก็ยังไม่เคยพบเจอสักคน ภายหลังได้ยินว่ามีนักพรตหญิงน้อยแห่งหอจิ้งซินคนหนึ่งที่ชื่อว่าถงชิงชิง ไม่รู้ว่าจะเทียบกับเหยาจิ้นจือได้หรือไม่ ตอนนั้นเฉินผิงอันพยักหน้าตอบว่าได้


จูเหลียนจึงพูดว่าความงามของสตรีบนโลกใบนี้ หากใช้เงินร้อยอีแปะมาคำนวณ ถ้าอย่างนั้นเหยาจิ้นจือกับถงชิงชิงก็น่าจะมีมูลค่ามากถึงเก้าสิบกว่าอีแปะ


เฉินผิงอันไม่อยากวิจารณ์หน้าตาของคนอื่นลับหลัง แต่ในใจเขากลับมีความคิดหนึ่ง ต่อให้สตรีพวกนี้จะสวยเพริศพริ้งและดีเลิศแค่ไหนก็มีค่าแค่หนึ่งร้อยอีแปะ สำหรับในใจเขาแล้ว แม่นางหนิงคือเงินฝนธัญพืช คือเงินเหรียญทองแดงแก่นทอง


ดังนั้นเมื่อได้เจอกับสตรีอย่างเหยาจิ้นจือผู้นี้ เฉินผิงอันจึงรู้สึกแค่ว่าเจอก็คือเจอเท่านั้น


เฉินผิงอันจะซื้อปิ่น เหยาจิ้นจือบอกว่าเมืองนี้มีตรอกแห่งหนึ่งชื่อว่าตรอกไหเอ๋อร์ซึ่งขายของโบราณและของล้ำค่า นางเองที่ได้ข่าวบางอย่างมาก็คิดจะไปตามหากระเบื้องเชิงชายคาและเงินยาสุ้ยโบราณที่มีชื่อว่าหวายจิ้งเช่นกัน จูเหลี่ยนชื่นชอบนิทานเรื่องมหัศจรรย์พันลึก ส่วนเผยเฉียนนั้น ขอแค่เป็นของที่มีมูลค่า นางก็ล้วนชื่นชอบ ล้วนอยากได้ทั้งหมด เพียงแต่ว่าเมื่ออยู่ข้างกายเฉินผิงอันก็คล้ายว่านิสัยดื้อรั้นเกเรที่มีมาตั้งแต่เกิดของนางได้ถูกขัดเกลาไปเกินครึ่ง วันๆ เอาแต่ขอร้องเฉินผิงอันว่าให้นางทำหน้าที่เป็นคนคิดบัญชีเหมือนจงขุยที่อยู่ในโรงเตี๊ยม ต่อให้ในกระเป๋ามีเศษเงินแค่ไม่กี่ก้อน นางก็พอใจแล้ว


เฉินผิงอันไม่ได้สนใจนาง คำกล่าวที่ว่า ‘เอวมีเงินสิบอีแปะก็สะบัดอาภรณ์โอ้อวด’ หมายถึงเผยเฉียนนั่นเอง


เพื่อต้อนรับเหยาเจิ้น เขตการปกครองแห่งนี้ทุ่มเทกันไม่น้อย ตอนอยู่บนถนนของตรอกไหเอ๋อร์ เหยาจิ้นจือช่วยอธิบายต้นสายปลายเหตุให้เฉินผิงอันฟัง เจ้าเมืองแห่งนี้มีชาติกำเนิดมาจากกองทัพชายแดนตระกูลเหยา เมื่อได้รับโอกาสก็ออกจากกองทัพแล้วเริ่มปีนป่ายไปบนเส้นทางของขุนนางท้องที่ ได้ยินท่านปู่สามของโรงเตี๊ยมบอกว่าปีนั้นเขาเป็นคนหนุ่มที่มีปณิธานอย่างมาก


เดินเข้าไปในตรอกไหเอ๋อร์ที่ยาวเหยียด ไม่ว่าจะเป็นร้านค้ารูปแบบใดก็ล้วนมีครบหมด นอกจากร้านค้าที่เปิดอย่างเป็นทางการแล้ว ยังมีคนที่สะพายห่อผ้าขายของลักษณะเหมือนซิ่วไฉยากจนอยู่อีกมากมาย ส่วนใหญ่ล้วนเป็นคนที่ครอบครัวตกอบ ทำตัวลับๆ ล่อๆ เพราะของส่วนใหญ่ในห่อผ้าล้วนได้มาอย่างไม่ถูกต้อง ใช้วิธีนอกรีตนอกรอย หรือไม่ก็ไปขโมยมาจากคนอื่นโดยตรง


เฉินผิงอันรู้สึกว่าการซื้อขายจากห่อผ้าที่ไม่อาจทำได้อย่างโจ่งแจ้งบนถนนเส้นนี้น่าสนใจอย่างมาก หลังจากทั้งสองฝ่ายตกลงใจจะซื้อขายกันแล้วก็จะไปหามุมลับตาคน แล้วก็ไม่ได้พูดราคากันออกมาโดยตรง แต่จะทำท่าทางบอกราคาอยู่ในชายแขนเสื้อ เหยาจิ้นจืออธิบายด้วยรอยยิ้มว่าการกระทำเช่นนี้เรียกเล่นๆ ว่าการ ‘จับคู่ในกรง’ นอกจากท่ามือเฉพาะของเงินเหรียญทองแดงหรือเงินก้อนแล้ว จำนวนตัวเลขก็ต้องพิถีพิถันเช่นกัน นิ้วชี้งอเป็นตะขอคือเก้า นิ้วชี้กับนิ้วกลางประกบกันคือสิบ


เดินอยู่ในตรอกไหเอ๋อร์แห่งนี้ พวกเฉินผิงอันสามคนต่างก็ได้ของติดไม้ติดมือกันมา ยกเว้นเผยเฉียน


เหยาจิ้นจือได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการ นางซื้อเงินเหรียญทองแดงโบราณของแต่ละราชวงศ์แต่ละยุคสมัยมากองหนึ่ง เงินเหล่านี้ถูกเรียกขานว่าหมิงเฉวียน ราคามีสูงต่ำต่างกัน นี่ไม่มีอะไรแปลกใหม่ แต่พอเหยาจิ้นจือเจอกระเบื้องเชิงชายคาในร้านเล็กๆ แห่งหนึ่ง เห็นว่าเป็นลวดลายของเทาเที่ย (สัตว์ที่ดุร้ายชนิดหนึ่งตามที่เล่าลือกันในสมัยโบราณ) สลักถ้อยคำมงคล และยังมีกระเบื้องเชิงชายคาสี่เทพเจ้าครบถ้วนอีกชุดหนึ่ง ต่อให้มีผ้าโปร่งสีขาวของหมวกคลุมขวางกั้น เฉินผิงอันก็ยังสัมผัสได้ถึงความตกตะลึงระคนดีใจของนาง


หลังออกจากร้านนางก็มีห่อสัมภาระเพิ่มมาหนึ่งห่อ เฉินผิงอันพูดตามมารยาทว่าจะช่วยสะพายไว้ให้ เหยาจิ้นจือก็รีบปฏิเสธทันที


จูเหลี่ยนซื้อนิทานบุรุษมากความสามารถกับหญิงงามโฉมสะคราญที่ห่อปกภายนอกเหมือนนิทานเรื่องประหลาดมาสองเล่ม


ส่วนเฉินผิงอันซื้อปิ่นหยกสีขาวลายชือหลง (มังกรไม่มีเขาในตำนาน) ตัวด้ามปิ่นเรียบง่าย ไม่มีตัวอักษร ลวดลายมังกรราบเรียบพลิ้วไหว เฉินผิงอันถูกใจตั้งแต่แรกเห็น แต่กลับรู้สึกว่าแพงไปหน่อย เถ้าแก่ตั้งราคาไว้ถึงแปดสิบตำลึงเงิน บอกว่านี่เป็นฝีมือของนักทำหยกคนหนึ่งของราชวงศ์ก่อน เพียงแต่ไม่ได้ประทับชื่อไว้ก็เท่านั้น ไม่อย่างนั้นสามร้อยตำลึงเขาก็ไม่ขาย หากเป็นตอนเดินทางไปขอศึกษาต่อที่ต้าสุย เฉินผิงอันคงหันหลังเดินกลับทันที ก่อนหน้าวันนี้ เขาก็คงจะกัดฟันซื้อไว้


ยังดีที่เหยาจิ้นจือช่วยต่อรองราคาให้เหลือสามสิบตำลึงเงิน ความหมายของนางที่พูดกับเถ้าแก่ฟังคร่าวๆ ก็คือ ตนมีหยกสลักสืบทอดของช่างผู้นั้นอยู่ชิ้นหนึ่ง เป็นรูปดอกสุ่ยเซียน นั่นต่างหากถึงจะเรียกได้ว่าประณีตงดงามอย่างแท้จริง นางจึงคุ้นเคยกับฝีมือของคนผู้นี้อย่างมาก จากนั้นก็ประเมินค่าวัสดุของปิ่นหยกชือหลงว่าเป็นของระดับต่ำ พูดจนเถ้าแก่บื้อใบ้พูดไม่ออก ยอมให้คุณหนูตระกูลใหญ่ผู้นี้หั่นราคา ขายหยกให้เฉินผิงอันอย่างไม่ใคร่จะพอใจนัก


บทที่ 342.2 สะพานสีทองเหนือแม่น้ำ

ProjectZyphon

ออกจากร้าน เฉินผิงอันถือกล่องผ้าปักลายใบเล็กออกมาด้วย เขาขอบคุณเหยาจิ้นจือที่ช่วยต่อราคาให้ก่อน จากนั้นก็อดพูดพลางยิ้มเจื่อนไม่ได้ว่า “ได้ยินแม่นางเหยาพูดอย่างนี้ ทำไมถึงได้รู้สึกว่าปิ่นชิ้นนี้ไม่มีค่าพอถึงสามสิบตำลึงเลยเล่า?”


เหยาจิ้นจือเงียบงันไปพักหนึ่ง รอจนเดินออกจากร้านมาได้ไกลแล้ว นางถึงได้พูดกลั้วหัวเราะเบาๆ ว่า “ปิ่นชิ้นนี้เป็นฝีมือของช่างทำหยกที่มีชื่อเสียงคนนั้นจริงๆ อย่าว่าแต่สามร้อยตำลึงเงินเลย ต่อให้ห้าร้อยตำลึงเงินก็คู่ควรให้ซื้อเก็บไว้ อีกอย่างคนผู้นี้ยังยึดหลักคุณภาพหยกไม่ดีไม่นำมาสร้างผลงาน หยกของเจ้าชิ้นนี้จึงทำมาจากวัสดุที่ดีเยี่ยม ดีจนถึงขั้นทำให้เขารู้สึกว่า ‘หยกงามวัสดุยอดเยี่ยม มีดคุนอู๋ยังมิกล้าสัมผัสหน้าสาวงาม’ เพียงแต่ว่าหยกงามบนโลกใบนี้ ดีหรือไม่ดี ทุกคนล้วนดูออก แต่ว่ามันดีมากน้อยแค่ไหนกลับบอกได้ยากแล้ว แล้วนับประสาอะไรกับที่ความสนใจของแต่ละคนไม่เหมือนกัน จึงยากที่จะให้ข้อสรุปได้”


จูเหลี่ยนพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม ไม่รู้ว่าชื่นชมในความรู้ของเหยาจิ้นจือ หรือเห็นด้วยกับท่าทีที่ช่างทำหยกผู้นั้นมีต่อหยกงามกันแน่


เฉินผิงอันเก็บกล่องผ้าไว้ในชายแขนเสื้อ ถามยิ้มๆ ว่า “แม่นางเหยามีหยกสลักสุ่ยเซียนนั่นจริงๆ หรือ?”


เหยาจิ้นจือยิ้มตอบ “คำพูดพวกนี้ล้วนยกจากในตำรามาอ้างทั้งนั้น”


ก็แสดงว่าไม่มีสินะ


เผยเฉียนเหลือกตามองสูง เดิมทีนางยังคิดว่าหลังจากวันนี้จะประจบสอพลออีกฝ่ายให้มาก ไม่แน่ว่าวันใดเหยาจิ้นจืออารมณ์ดีอาจจะมอบหยกสลักรูปสุ่ยเซียนต้นนั้นให้นางก็ได้


เหยาจิ้นจือพูดอีกว่า “ถ้อยคำนี้มาจากในตำราก็จริง แต่หยกสลักชิ้นนั้นเป็นหนึ่งในสินเดิมของท่านอาน้อยคนหนึ่งของข้า”


เฉินผิงอันจึงได้แต่คลี่ยิ้มตามมารยาทให้นาง


ข้อนี้แม่นางเหยาเหมือนกับน้องชายอย่างเหยาเซียนจือมาก เพียงแต่ว่าตบะของนางลึกล้ำกว่าเขา สถานการณ์จึงไม่กระอักกระอ่วนเท่าใดนัก


นี่จึงแสดงให้เห็นว่าแท้จริงแล้วเหยาจิ้นจือไม่ใช่คนที่เข้ากับคนอื่นได้ยาก


เผยเฉียนเริ่มลงมือประจบยกยอ ถามอย่างออดอ้อนว่า “พี่หญิงเหยา เจ้าเหนื่อยหรือไม่ ข้าช่วยแบกห่อผ้าห่อนั้นให้ดีไหม? ข้าเชี่ยวชาญการแบกห่อผ้ามากเลยล่ะ ตลอดทางมานี้ข้าเป็นคนแบกเอง รับรองว่าจะไม่ทำให้สมบัติทั้งหลายในนั้นของเจ้าต้องเสียหายแน่”


เหยาจิ้นจือส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม ผ้าโปร่งสีขาวที่คลุมใบหน้าจึงส่ายตามไปด้วย


เผยเฉียนรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แต่ยังไม่ถอดใจ “ถ้าอย่างนั้นเมื่อไหร่ที่พี่หญิงเหยารู้สึกเหนื่อยต้องบอกข้านะ ตรอกแห่งนี้ห่างจากจุดพักม้าตั้งห้าพันหกร้อยกว่าก้าว พี่หญิงเหยาขายาวก็น่าจะต้องเดินประมาณสี่พันเจ็ดร้อยก้าว”


เหยาจิ้นจือได้แต่พยักหน้ารับ


ช่างเป็นเด็กหญิงที่ประหลาดจริงๆ


คนทั้งสี่เดินอยู่ในตรอกไหเอ๋อร์ที่ผู้คนสัญจรกันขวักไขว่ จูเหลี่ยนก้มหน้าถามด้วยรอยยิ้ม “เจ้าจดจำก้าวเดินได้แม่นยำขนาดนี้เชียวหรือ?”


เผยเฉียนถอนหายใจ “ก็มันน่าเบื่อนี่นา ถึงอย่างไรก็ไม่มีใครให้เงินข้าซื้อของ ข้าก็ได้แต่หาเรื่องทำแก้เบื่อ ไม่งั้นจะให้ทำไงล่ะ”


จูเหลี่ยนหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง


ท่ามกลางแสงสนธยา พวกเขาก็กลับไปถึงจุดพักม้าที่ใช้ค้างแรม ตอนที่เดินเล่นอยู่ในเรือนด้านหลัง เฉินผิงอันสังเกตเห็นว่าไม่รู้ว่าหลูป๋ายเซี่ยงและสุยโย่วเปียนไปหากระดานหมากล้อมมาจากไหน พวกเขากำลังนั่งเล่นหมากล้อมกันอยู่ในศาลาเล็กๆ แห่งหนึ่ง มีเว่ยเซี่ยนยืนดูอยู่ด้านข้าง


เฉินผิงอันเดินเข้าไปในศาลาจึงเห็นว่าเพิ่งรู้ผลแพ้ชนะ คนที่ชนะคือหลูป๋ายเซี่ยง


พลังพิฆาตในการเล่นหมากล้อมของสุยโย่วเปียนสูงมาก พลังอำนาจก็เพียงพอ ขนาดหลูป๋ายเซี่ยงเป็นบุรุษก็ยังไม่มีความเด็ดขาดเท่าสุยโย่วเปียน


จูเหลี่ยนก็เดินตามมาด้วย สุยโย่วเปียนบอกลาเฉินผิงอันแล้วจากไป หลูป๋ายเซี่ยงจึงหันไปชวนจูเหลี่ยนเล่น ผู้เฒ่าหลังค่อมโบกมือพลางคลี่ยิ้ม บอกว่าฝีมือการเล่นหมากล้อมของตนห่วยมาก ไม่กล้าแสดงฝีมืออันอัปลักษณ์ ตอนที่หลูป๋ายเซี่ยงมองมา เว่ยเซี่ยนจึงบอกว่าอย่างเขาไม่ได้เรียกว่าฝีมือห่วย แต่เล่นไม่เป็นเลยด้วยซ้ำ เพียงแต่ว่าอยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรทำจึงอยากจะมาดูว่าใครจะแพ้ใครจะชนะเท่านั้น


ไม่มีคนเล่นหมากล้อม เว่ยเซี่ยนจึงจากไป จูเหลี่ยนเองก็เดินตามหลังไปติดๆ


จึงเหลืออยู่แค่เฉินผิงอันกับหลูป๋ายเซี่ยงที่กำลังเก็บกระดานหมากล้อม


เฉินผิงอันเอนหลังพิงราวรั้ว ดื่มเหล้าบ๊วยในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ หลูป๋ายเซี่ยงใช้ปลายนิ้วสองข้างคีบเม็ดหมากเก็บใส่กล่องอย่างรวดเร็ว ต่อให้เป็นเพียงการกระทำที่ไม่สะดุดตา แต่เมื่อรวมกับเสียงใสกังวานยามที่ตัวหมากกระทบกันแล้ว กลับไม่เพียงแต่ไม่น่าเบื่อหน่าย ตรงกันข้ามยังชวนให้คนมองตามอย่างเพลิดเพลินด้วย


ในใจเฉินผิงอันเกิดความเลื่อมใส


หากไม่เป็นเพราะตนไม่มีพรสวรรค์ด้านการเล่นหมากล้อมจริงๆ บวกกับที่รู้สึกว่าการเล่นหมากล้อมเป็นเรื่องที่เปลืองเวลาเกินไป จะถ่วงเวลาการฝึกหมัดและฝึกกระบี่ของเขา หาไม่แล้วเฉินผิงอันก็อยากจะลองศึกษาดูจริงๆ ว่าควรเล่นหมากล้อมอย่างไร


เหยาจิ้นจือเดินเยื้องย่างเข้ามา เมื่ออยู่ในจุดพักม้านางจึงถอดผ้าคลุมหน้า หลังจากนั่งลงแล้วก็พูดกับหลูป๋ายเซี่ยงที่เก็บเม็ดหมากบนกระดานใกล้จะหมดแล้ว “ท่านหลู พวกเรามาเล่นด้วยกันสักตาดีไหม?”


หลูป๋ายเซี่ยงมองสีท้องฟ้าแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “คาดว่าคงเป็นศึกที่ดุเดือดน่าดู เล่นหมากล้อมหลังจากฟ้ามืด ข้าไม่มีปัญหา เพียงแต่ไม่รู้ว่าถึงเวลานั้นคุณหนูเหยาจะมองเห็นหมากบนกระดานชัดหรือไม่?”


เหยาจิ้นจือพยักหน้ารับ “ขึ้นสิบห้าค่ำพระจันทร์เต็มดวง อาศัยแสงจันทร์น่าจะพอมองเห็นได้ชัด ท่านหลูไม่ต้องกังวลเรื่องนี้”


จากนั้นก็เป็นขั้นตอนของการเดาก่อน


หลูป๋ายเซี่ยงถือหมากสีขาว เหยาจิ้นจือถือหมากสีดำ


เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน มองคนทั้งสองที่เริ่มวางหมากของตัวเองลงไป ยังคงมองไม่ออกถึงความตื้นลึกหนาบางจึงกลับมานั่งบนม้านั่งตัวยาว ยกขาขึ้นขัดสมาธิ ดื่มเหล้าช้าๆ


เนื่องจากในขบวนเดินทางมีข้ารับใช้ต้าเฉวียนอยู่สองคน เฉินผิงอันไม่อยากจะเปิดเผยความเป็นมาของ ‘เจียงหู’ ดังนั้นเวลาดื่มเหล้าตอนกลางวันจึงดื่มได้ไม่สาแก่ใจเท่าไหร่ ถึงอย่างไรผู้ฝึกตนกับปรมาจารย์ด้านวรยุทธ์ต่างก็มีสายตาเฉียบคม แค่ท่ายกมือถือกาเหล้าก็อาจจะทำให้พวกเขามองเบาะแสออกแล้ว เฉินผิงอันเหม่อลอยไปไกล โดยไม่ทันรู้ตัว รอจนสติกลับคืนมาอีกครั้ง เหยาจิ้นจือกลับไม่อยู่แล้ว เหลือเพียงหลูป๋ายเซี่ยงที่กำลังนั่งเก็บกระดานหมากเพียงลำพังอีกครั้ง


หลูป๋ายเซี่ยงเก็บเม็ดหมากพลางพูดกลั้วหัวเราะไปด้วย “หวังว่าสักวันหนึ่งจะได้ไปเห็นนครจักรพรรดิขาวท่ามกลางก้อนเมฆหลากสีแห่งนั้นกับตาตัวเองสักครั้ง ‘จะใครได้เล่นก่อน ข้าก็ล้วนเป็นผู้คว้าชัยชนะ’ ช่างเป็นคำกล่าวที่ดียิ่งนัก ทำให้คนเลื่อมใสหวังจะทำได้เหมือน”


เฉินผิงอันหลุดปากพูดออกไป “ข้ามี…ลูกศิษย์คนหนึ่ง เล่นหมากล้อมได้เก่งมาก วันหน้าหากพวกเจ้าเจอกันก็ลองแลกเปลี่ยนความรู้กันดูได้”


เด็กหนุ่มชุยฉาน หรือควรจะเรียกอีกอย่างว่าชุยตงซาน คือนักเล่นหมากล้อมระดับแคว้นที่เคยได้เล่นหมากล้อมกับเจ้านครจักรพรรดิขาวมาแล้วถึงสิบตา


แต่ว่าการยอมรับชุยตงซานเป็นลูกศิษย์ถือเป็นความจนใจของเฉินผิงอัน เพราะจะให้เรียกอีกฝ่ายว่าเป็นสหายก็คงไม่ได้


แต่หลูป๋ายเซี่ยงกลับไม่ได้เห็นเป็นจริงเป็นจังมากนัก สุยโย่วเปียนก็ดี เหยาจิ้นจือก็ช่าง การเล่นหมากทั้งสองตาล้วนไม่อาจทำให้เขาลงแรงได้ถึงเจ็ดแปดส่วน เพียงแต่ว่าสุยโย่วเปียนนั้นแพ้จริงๆ แต่เหยาจิ้นจือกลับอำพรางฝีมือเอาไว้ ทว่าต่อให้นางลงแรงอย่างเต็มกำลังก็ยังต้องแพ้อยู่ดี หลูป๋ายเซี่ยงค่อนข้างภาคภูมิใจในฝีมือการเล่นหมากล้อมของตนอย่างมาก เวลาหนึ่งร้อยปีในยุทธภพที่ผ่านมายาวนานนั้น หลูป๋ายเซี่ยงในฐานะบรรพบุรุษผู้บุกเบิกลัทธิมาร นอกจากจะมีวรยุทธ์ที่สูงส่งเด่นนำทุกคนไปไกลแล้ว การเล่นหมากล้อมก็ไร้ศัตรูทัดเทียมเช่นกัน


สิ่งที่หลูป๋ายเซี่ยงสงสัยใคร่รู้อย่างแท้จริงกลับเป็นข้อที่ว่า เฉินผิงอันอายุไม่มาก อีกทั้งยังไม่ใช่ลูกศิษย์ของลัทธิขงจื๊อในใต้หล้าไพศาลแห่งนี้ แต่เหตุใดเขาถึงมีลูกศิษย์เป็นของตัวเองแล้ว


พูดคุยเรื่องขนบธรรมเนียมประเพณีของเขตการปกครองแห่งนี้กันสองสามคำ หลูป๋ายเซี่ยงก็เอากระดานและกล่องเก็บเม็ดหมากไปคืน เฉินผิงอันจึงนั่งอยู่ในศาลาเพียงลำพัง


ตอนนี้เป็นช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วงแล้ว ดูจากเส้นทางการเดินของขบวนเดินทาง ไปถึงท่าเรือนอกเมืองเซิ่นจิ่งก็น่าจะเพิ่งเข้าสู่ช่วงฤดูหนาวพอดี


ได้ยินมาว่าหลังจากที่หิมะใหญ่ตกลงมาในเมืองเซิ่นจิ่งจะกลายเป็นภาพทิวทัศน์งดงามที่หาได้ยากในโลก


จิตใจของเฉินผิงอันสงบสุข เกี่ยวกับเรื่องของวิถีวรยุทธ์ เมื่อเทียบกับการคาดการณ์ตอนที่เพิ่งออกมาจากภูเขาห้อยหัวที่ว่าอีกสิบปีให้หลังต้องเลื่อนสู่ขอบเขตเจ็ด กลายเป็นขอบเขตร่างทองแล้ว ตอนนี้ถือว่าพัฒนาการของเขาเป็นไปอย่างรวดเร็ว เหนือเกินกว่าที่จินตนาการเอาไว้ นี่ต้องยกความดีความชอบให้กับศึกใหญ่เป็นตายสองครั้งทั้งในและนอกป้อมอินทรีบิน อีกทั้งภายหลังยังมีการเข่นฆ่าที่เกิดขึ้นในพื้นที่มงคลดอกบัวและโรงเตี๊ยมริมชายแดน เขาไม่เพียงแต่เลื่อนสู่ขอบเขตห้าได้สำเร็จ ยังปูรากฐานได้อย่างแน่นหนา ต่อให้ตอนนี้ฝ่าคอขวดเลื่อนสู่ขอบเขตหกในรวดเดียว เฉินผิงอันก็ยังไม่รู้สึกว่าย่างก้าวของตัวเองเบาหวิว


ไม่พูดถึงจ้งชิว คนอื่นๆ ที่เป็นผู้ฝึกตนขอบเขตโอสถทองซึ่งมีมากมายดุจห้าขุนเขาที่กดทับอยู่เหนือศีรษะ อย่างติงอิงบุคคลอันดับหนึ่งของพื้นที่มงคล อย่างหลี่หลี่โส่วกงไหวแห่งราชวงศ์ต้าเฉวียน มีคนไหนบ้างที่เฉินผิงอันเอาชนะมาได้อย่างผ่อนคลาย?


เฉินผิงอันไม่กล้าคิดว่าขอบเขตหกเลื่อนสู่ขอบเขตเจ็ดจะยากแค่ไหน ต้องมีโชควาสนาอย่างไร และต้องใช้พื้นฐานเท่าไหร่ หลังจากเลื่อนสู่ขอบเขตเจ็ดแล้วก็คือขอบเขตจำแลงขนนก ซึ่งมีอีกชื่อหนึ่งว่าขอบเขตเดินทางไกล คือหนึ่งก้าวสู่สวรรค์อย่างแท้จริงของผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัว สามารถทะยานลมเดินทางไกลได้เหมือนเซียนบนภูเขา


ขอบเขตที่เก้าของผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัว เมื่อบวกกับขอบเขตปลายทางที่แท้จริงซึ่งถูกเก็บไว้เป็นความลับแล้ว รวมทั้งสิ้นก็มีสิบขอบเขต


ขอบเขตที่แปดเดินทางไกลเป็นขอบเขตที่เฉินผิงอันปรารถนาอยากจะทำสำเร็จมากที่สุด


ท่ามกลางราตรีที่เงียบสงัดและเย็นฉ่ำ เฉินผิงอันที่ต่อให้ตอนอยู่บนหลังม้าก็ยังฝึกปราณกระบี่สิบแปดหยุดทำตัวขี้เกียจอย่างที่หาได้ยาก เขาเอาแต่นั่งดื่มเหล้าเหม่อลอยอยู่ในศาลาอย่างนั้น


จนกระทั่งเหยาเจิ้นและหลานสาวอย่างเหยาจิ้นจือเดินมา เฉินผิงอันถึงได้ลุกขึ้นยืน เห็นว่าสีหน้าผู้เฒ่าไม่ค่อยดีนัก เหยาจิ้นจือเอ่ยเบาๆ ว่า “ตอนอยู่ในงานเลี้ยงเจ้าเมืองของที่แห่งนี้พูดคุยแต่เรื่องในอดีตตอนอยู่บนสนามรบกับท่านปู่ ท่านปู่จึงดื่มสุราอย่างเบิกบานใจ ทว่าหลังจบงานเลี้ยงเขากลับส่งคนนำของขวัญชิ้นใหญ่มามอบให้ที่จุดพักม้า ความหมายก็คือหวังว่าเมื่อท่านปู่ไปถึงเมืองหลวงแล้วจะช่วยดูแลเขาที่เป็นลูกศิษย์ลูกหาในราชสำนักบ้าง ทำเอาท่านปู่โมโหไม่น้อย”


เหยาเจิ้นตบเข่าเบาๆ สีหน้าผิดหวัง พูดอย่างสะท้อนใจว่า “คิดถึงปีนั้นเขาช่างเป็นคนหนุ่มที่ดียิ่งนัก มีชีวิตชีวา ทั่วร่างเต็มไปด้วยปราณแห่งความเที่ยงธรรม ยามลงสนามรบเข่นฆ่าศัตรูก็ไม่เคยขลาดกลัว เหตุใดเมื่อมาอยู่ในวงการขุนนางได้แค่สิบกว่าปีถึงเปลี่ยนไปมากขนาดนี้”


เหยาจิ้นจือเอ่ยยิ้มๆ “ท่านปู่ สิบปีก็ไม่ใช่เวลาสั้นๆ แล้ว เพิ่งสวมหมวกดำลงบนศีรษะ ปณิธานก็พลันแปรเปลี่ยน เพิ่งเหยียบย่างเข้าไปในที่ว่าการ สีหน้าก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคน” (หมวกสีดำเปรียบเปรยถึงตำแหน่งขุนนาง กลอนสองท่อนนี้คล้ายสุภาษิตคางคกขึ้นวอของไทย)


เหยาเจิ้นแค่นเสียงเย็น “วาดงูเติมหาง! อยู่ในราชสำนัก อย่าหวังเลยว่าข้าจะช่วยเจ้าเด็กนี่พูดในสิ่งที่ผิดต่อความตั้งใจเดิมแม้แต่ครึ่งคำ”


เหยาจิ้นจือถามยิ้มๆ ว่า “ต่อให้เขาไม่มอบของขวัญ แล้วท่านปู่ก็จะยอมช่วยเขาพูดดีๆ เพราะเห็นแก่ความสัมพันธ์ในอดีตอย่างนั้นหรือ? เห็นได้ชัดว่าไม่ ในเมื่อไม่ว่าเขาจะทำอย่างไรท่านปู่ก็ไม่มีทางช่วย เขาก็ไม่สู้ลองเดิมพันดูสักตั้ง ลองเดิมพันดูว่าเมื่อท่านปู่รู้แล้วว่าการอยู่ในวงการขุนนางทำให้คนไม่เป็นตัวของตัวเอง ท่านก็จะต้องเข้าเมืองตาหลิ่วหลิ่วตาตาม เดิมพันดูว่าเมื่อท่านปู่เข้าไปอยู่ในที่ว่าการของกรมกลาโหมแล้วจะรวบรวมสมัครพรรคพวกเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกพวกขุนนางในเมืองหลวงผลักไส ถึงเวลานั้นเมื่อท่านต้องเดียวดายไร้คนช่วยเหลือ อีกทั้งสถานการณ์ยังบีบบังคับ ไม่แน่ว่าชื่อแรกที่ท่านปู่นึกถึงอาจจะเป็นชื่อของเจ้าเมืองแห่งนี้ก็เป็นได้”


เหยาเจิ้นยิ้มจืดเจื่อน


เฉินผิงอันไม่ได้พูดแทรก แต่การที่ปู่หลานสองคนยินดีพูดถึงกฎเกณฑ์ของวงการขุนนางที่สลับซับซ้อนเหมือนไส้พันกันหลายขดต่อหน้าคนนอกอย่างเขา เฉินผิงอันย่อมมองเป็นความรู้ที่ทองพันชั่งก็ยากจะหาซื้อได้ จึงตั้งใจรับฟังเอาไว้


ขอแค่ข้ามผ่านแม่น้ำหมายเหอที่ทอดขวางอาณาเขตของต้าเฉวียนเส้นนั้นมาได้ก็เท่ากับว่าเดินขึ้นเหนือไปได้ครึ่งทางแล้ว


ยามสนธยาของวันนี้ขบวนเดินทางตระกูลเหยาหยุดพักค้างแรมที่จุดพักม้าชายฝั่งทิศใต้ของแม่น้ำหมายเหอ ห่างจากแม่น้ำหมายเหอแค่ครึ่งลี้เท่านั้น เหยาเจิ้นจึงชวนเฉินผิงอันไปเดินเล่นชมทิวทัศน์ริมแม่น้ำด้วยกัน


อาหารที่กินบนโต๊ะเมื่อครู่ ปลาหลีแม่น้ำหมายเหอรสชาติสุดยอด ปลาหลีในแม่น้ำใหญ่สายนี้มีเกล็ดสีทองหางสีแดง ไม่ว่าจะเอามานึ่ง ผัดเปรี้ยวหวานหรือตุ๋นก็ล้วนไม่มีกลิ่นคาวเลยแม้แต่น้อย สดใหม่หวานนุ่มอย่างถึงที่สุด คือหนึ่งในของบรรณาการของราชวงศ์ต้าเฉวียน


น่าเสียดายที่ศาลเทพวารีของแม่น้ำหมายเหอที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วราชสำนักอยู่ห่างจากจุดพักม้าและท่าเรือไปค่อนข้างไกล ห่างจากที่นี่ถึงสามร้อยกว่าลี้ นักประพันธ์ของหลายแคว้นในประวัติศาสตร์ล้วนเคยทิ้งลายน้ำหมึกอันล้ำค่าไว้บนผนังของศาลเทพวารีแห่งนั้น ช่วงแรกเริ่มสุดสามารถย้อนไปเมื่อหกร้อยปีก่อน อีกทั้งยังมีบทกลอนบทขับร้องของนักประพันธ์ในยุคสมัยที่แตกต่างกันจำนวนมากที่เขียนถามตอบก่อนหลัง เติมเต็มซึ่งกันและกัน รวมไปถึงการงัดข้อกันอย่างลับๆ ในหัวข้อเดียวกัน บวกกับคำวิจารณ์ของปัญญาชนผู้มีชื่อเสียงในรุ่นหลัง ทำให้ศาลเทพวารีส่องแสงรุ่งโรจน์ เปี่ยมไปด้วยประกายสีสันแห่งบทประพันธ์ ชะตาบุ๋นเข้มข้นจนเหนือกว่าศาลบุ๋นของเมืองเซิ่นจิ่งด้วยซ้ำ


คนที่ออกมาเดินเล่นแบ่งออกเป็นสามกลุ่ม เหยาเจิ้นที่เป็นผู้นำเดินเคียงบ่าอยู่กับเฉินผิงอัน เผยเฉียนถือไม้เท้าเดินป่าตามมาด้านหลัง


ข้ารับใช้ต้าเฉวียนสองคนที่เป็นผู้ฝึกตนติดตามกองทัพเดินอยู่กับ ‘สามจือ’ แห่งสกุลเหยา


ผู้ฝึกตนสองคนนี้คืออาจารย์และศิษย์ของลัทธิเต๋าแห่งหนึ่ง เนื่องจากครั้งนี้แฝงตัวมาในขบวนจึงไม่ได้สวมชุดลัทธิเต๋าที่สะดุดตา แต่กลับพกดาบของทหารในกองทัพเพื่ออำพรางสายตาคนอื่น ตลอดทางมานี้อาจารย์และศิษย์สองคนวางตัวห่างเหินจากทุกคน นักพรตหนุ่มใบหน้าหล่อเหลาดุจหยกสลัก บุคลิกสุภาพอ่อนโยนคล้ายคุณชายสูงศักดิ์ที่เดินออกมาจากตระกูลเศรษฐีร่ำรวย


เว่ยเซี่ยน จูเหลี่ยน หลูป๋ายเซี่ยงและสุยโย่วเปียนสี่คนต่างก็เผยตัวพร้อมกันอย่างที่หาได้ยาก

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)