ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา 341-344
บทที่ 341 ขุดเหยื่อ ณ ฟาร์มปลา
โดย
Ink Stone_Fantasy
เมื่อฝูงปลาเม่นมาถึงฟาร์มปลา ฉินสือโอวก็เรียกจิตสำนึกโพไซดอนกลับมาแล้วเข้านอน
ปลาปักเป้าพวกนี้จะทำให้แนวปะการังบริเวณน่านน้ำแห่งนี้นั้นน่าสนใจขึ้น เหล่าพี่น้องฉลามแมวที่ทุกข์ทรมานจากการถูกกลั่นแกล้งโดยบอลหิมะและไอซ์สเกตมองไปยังปลาตัวเล็กๆ พวกนั้น พวกมันเห็นว่าปลาตัวเล็กๆ พวกนั้นน่าแกล้งดี พี่ใหญ่มันเดย์จึงพุ่งตัวนำฝูงเข้าไปหาฝูงปลาปักเป้า ปากของมันอ้ากว้างเข้าไปหวังจะกัดปลาปักเป้า
ผลที่ได้คือ ฝูงปลาปักเป้าพวกนั้นเมื่อถูกย้ายมายังน่านน้ำที่ไม่คุ้นเคยพวกมันก็เกิดอาการวิตกและระเบิดตัวออกมาทันที พวกมันดูดน้ำเข้าไปอย่างรวดเร็วจนตัวของมันพองขึ้นราวกับลูกบาสขนาดใหญ่
เมื่อมันเดย์ปิดปากของมันลง มันก็รู้สึกเจ็บปวดเจียนตาย อีกทั้งในตอนที่มันอยากจะอ้าปากคายออกมาก็ทำได้อย่างยากลำบาก ปลาปักเป้าปักอยู่ในปากของมันเต็มไปหมด!
ดังนั้น จึงมีเพียงมันเดย์ท่านั้นที่เบิกตากว้างด้วยความเจ็บปวดอย่างสาหัสมองไปยังฝูงปลาปักเป้า มันเจ็บปวดยิ่งขึ้น หลังจากที่เหล่าปลาปักเป้าพองตัวอย่างเต็มที่พวกมันก็กลายเป็นทุ่นลอยน้ำขนาดใหญ่ และค่อยๆ ลอยขึ้นสู่ผิวน้ำ
เพราะเหตุนี้ฉลามแมวอีกหกตัวที่เหลืออยู่จึงมองไปยังพี่ใหญ่ของพวกมันที่กำลังอ้าปากค้างและค่อยๆ ลอยขึ้นสู่ผิวน้ำด้วยท่าทางโง่ๆ เพราะทำอะไรไม่ถูก ปากของพี่ใหญ่ของพวกมันมีเสียง ‘บุ๋งบุ๋ง’ ดังออกมา จากนั้นพวกมันทั้งหกตัวก็เปลี่ยนจากอาการกลัวจนฉี่ราดมาเป็นหัวเราะจนฉี่ราด
หลังจากที่ฉินสือโอวตื่นนอน แม่ของเขาก็อยู่ในครัวเตรียมทำอาหารเช้าแล้ว เมื่อวานตอนเย็นยังมีเนื้อกุ้งเนื้อปูเหลืออยู่ในตู้เย็นมากมาย แม่ของเขาบดเนื้อทั้งสองชนิดเข้าด้วยกัน แล้วนำไปใส่ในโจ๊กจนกลายเป็นโจ๊กทะเลแสนอร่อย
เมื่อเห็นฉินสือโอว แม่ของเขาก็ยิ้มออกมาอย่างรู้สึกผิด พลางพูดขึ้นว่า “แม่ไม่เคยทำโจ๊กทะเล ไม่รู้ว่าจะอร่อยหรือเปล่า”
ฉินสือโอวลองชิมโจ๊กดู จากนั้นเขาก็พูดยกยอว่า “ฝีมือการทำอาหารของแม่นี่พัฒนาตามอายุเลยนะ ไม่ได้ๆ เดี๋ยวผมจะกินโจ๊กนี้สักห้าถ้วยเลย”
“ถึงอร่อยแต่แกก็กินได้แค่ถ้วยเดียว ที่เหลือไว้ให้เด็กๆ กับวินนี่กิน หลีกไปได้แล้ว” ฉินสือโอวโดนแม่ของเขาดันให้เขาหลีกทางทันที
ฉินสือโอวหัวเราะออกมา หลังจากที่เขากับวินนี่ไปวิ่งครบหนึ่งรอบ พอกลับมาที่บ้านพ่อของเขาก็ตื่นแล้ว เขากำลังวุ่นอยู่กับการกำจัดวัชพืชและดูแลต้นกล้าอยู่ในสวนผัก ดูเหมือนว่าเขาน่าจะทำมาสักพักหนึ่งแล้ว เหงื่อถึงได้ไหลท่วมหัวขนาดนั้น
ฉินสือโอวที่เห็นภาพนั้นก็พูดออกมาด้วยความไม่สบายใจว่า “พ่อ พ่อกับแม่ไม่ต้องตื่นเช้าขนาดนี้ก็ได้นะ พักผ่อนเยอะๆ หน่อยสิ”
พ่อของเขาพูดกลั้วหัวเราะว่า “พ่อนอนพอแล้ว เวลาอยู่ที่บ้านพ่อกับแม่ตื่นตั้งแต่ตีสี่แล้ว ตอนนี้ก็เจ็ดโมงกว่าแล้ว ใครจะไปนอนตื่นสายเหมือนแกกันล่ะ? ส่วนเสี่ยวเวยน่ะ นอนให้เยอะๆ หน่อย ในทีวีเขาบอกว่า ถ้าหากผู้หญิงนอนน้อย จะไม่ดีต่อผิวพรรณและระบบภายในอะไรสักอย่างนี่แหละ”
วินนี่พยักหน้าอย่างเชื่อฟัง เธอเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วออกมาช่วยพ่อของฉินสือโอวจัดการสวนผัก แต่พ่อของฉินสือโอวรีบโบกมือห้ามทันที “ไม่ต้องทำๆ ไปกินข้าวเถอะ เดี๋ยวพ่อเรียกเสี่ยวโอวให้มาจัดการเอง”
“แต่อีกเดี๋ยวผมต้องไปทำธุระนะ” ฉินสือโอวรีบบอกปัดทันที เขาจะไม่จัดการกับสวนผักนี้ อีกอย่างมันไม่จำเป็นเลยด้วย ต่อให้ไม่จัดการดูแลพวกมันก็ยังเติบโตได้ดี
อาหารเช้าก็ยังคงมากมายเช่นเคย อีกทั้งยังเต็มไปด้วยอาหารจีนที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะเช่น เกี๊ยวน้ำ ข้าวผัด หมูสับนึ่งห่อแป้ง แผ่นไข่ทอด ส่วนโจ๊กนั้นก็มีหลายแบบเช่นโจ๊กข้าวขาว โจ๊กผลไม้ โจ๊กแปดทรัพย์ นอกจากนี้ยังมีโจ๊กทะเลอีกด้วย
ปกติแล้วฉงต้าจะกินหมูสับหนึ่งห่อแป้งกับผลไม้เป็นอาหารเช้า แต่ว่าวันนี้มันได้กินโจ๊กแทน มันนั่งอยู่ที่หน้าจานอาหารของตัวเองที่อยู่บนพื้น แล้วดูดโจ๊กเข้าปากอย่างรวดเร็ว
แม่ของฉินสือโอวดีใจเป็นอย่างมาก คอยเติมโจ๊กให้มันเรื่อยๆ พลางพูดกับฉินสือโอวว่า “ฉงต้านี่ดูมีความสุขมากเลยนะ ดูสิ มันไม่ได้ใช้ลิ้นเลีย แต่มันกินเหมือนคนเลย ดูสิว่ามันน่ามหัศจรรย์แค่ไหน”
เมื่อทานอาหารเช้าเสร็จ ฉินสือโอวก็ให้พ่อแม่ไปพักผ่อนดูทีวี ส่วนเขากับเบิร์ดก็ไปขับเครื่องบินวนรอบทะเลหนึ่งรอบ
แคนาดานั้นไม่เหมือนกับประเทศของเขา ทะเลที่แคนาดา นอกจากฟาร์มปลานิวฟันด์แลนด์แล้ว น่านน้ำทะเลอื่นๆ ก็ไม่ได้ถูกกั้นเขตแดนไว้ เพียงแค่ไม่สามารถจับปลาที่แตกต่างออกไปในแต่ละฤดูได้เท่านั้น นี่เป็นวิธีที่ฟื้นฟูพันธุ์ปลาอย่างเดียวแต่ไม่ได้ฟื้นฟูทะเล
เพราะแบบนี้ผลที่ได้จึงเหมือนกัน วิธีนี้มีบทบาทในการป้องกันการอยู่รอดและการสืบพันธุ์ของปลาได้ แต่เพราะชาวประมงยังคงสามารถจับปลาที่ไม่ใช่ปลาในฤดูกาลนั้นๆ ได้ แบบนี้ถือว่าพวกเขายังโชคดี ไม่เหมือนชาวประมงที่ประเทศของเขา ในปีหนึ่งจะมีช่วงเวลาหนึ่งที่ชาวประมงไม่สามารถทำเงินได้
ชาวประมงแห่งนครเซนต์จอห์นนั้นปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด ไม่มีใครเข้าไปจับปลาในฟาร์มปลาเอกชนเลย แน่นอนว่า พวกเขาก็รู้เช่นกันว่าตอนนี้ฟาร์มปลาในเกาะแฟร์เวลนั้นไม่มีปลาอยู่แล้ว ฉินสือโอวรู้ว่าบ่อเลี้ยงปลาอนุบาลที่ลงทุนไปนั้น จะยังไม่ได้กำไรในสองปีนี้ แต่พวกเขาก็ยังไม่อยู่ในจุดที่โลภมากจนถึงขนาดต้องมาจับปลาที่บ่อเลี้ยงปลาอนุบาล
ตอนที่กลับเข้าฝั่งก็เป็นเวลาสิบโมงกว่าแล้ว เสี่ยวฮุยกับเชอร์ลี่ย์นั้นกำลังตั้งหน้าตั้งตาเรียนหนังสืออยู่ หลังจากที่ฉินสือโอวเข้ามา เสี่ยวฮุยก็แอบมองไปยังพี่สาวของฉินสือโอว แล้วหันไปพูดกับฉินสือโอวด้วยความหวังที่เต็มเปี่ยมว่า “คุณอา พาพวกเราไปตกปลาด้วยได้ไหม? ผมอยากไปตกปลา”
พี่สาวของเขามีสีหน้าเคร่งขรึมทันที ฉินสือโอวรู้สึกไม่อยากให้สถานการณ์เป็นเช่นนี้ จึงตอบกลับว่า “นายไปตกปลาไม่ได้หรอก เด็กๆ อย่าพวกนายดึงเบ็ดไม่ไหวหรอกนะ แบบนี้แล้วกัน อาจะพาไปจับเหยื่อตกปลาแล้วกัน แล้ววันพรุ่งนี้หรือวันมะรืนค่อยไปตกปลากับพ่อแม่นะ”
เสี่ยวฮุยยิ้มขึ้นด้วยความดีใจทันที เขาไม่ได้คิดอยากจะตกปลาอะไรมากนัก แค่ไม่อยากเรียนหนังสือก็เท่านั้น ให้เขาทำอะไรเขาทำได้หมด
พี่สาวของฉินสือโอวพูดขึ้นด้วยความโมโหทันทีว่า “เมื่อวานแกพึ่งบอกกับแม่ว่าจะไม่ตามใจเด็กๆ ทำไมวันนี้ถึงยังได้ตามใจอยู่ล่ะ?”
ฉินสือโอวตอบกลับว่า “เสี่ยวฮุยพึ่งจะอายุเท่าไรเอง สอนตามประเทศเราแบบนั้นไม่ได้หรอก”
พี่สาวของเขาตอบกลับว่า “ประเทศต่างกันวิธีการสอนก็ต่างกัน ถ้าเสี่ยวฮุยเรียนไม่ทัน ตอนที่ไปเรียนกับเพื่อนจะถูกพวกเขาดูถูกได้ แบบนั้นจะยิ่งทำให้การพัฒนาการในอนาคตของเขาแย่ลงไปอีก”
“ง่ายๆ เลยนะ พี่ก็ให้เขาเรียนชั้นประถมที่บ้านเราแล้วจากนั้นก็ค่อยย้ายมาเรียนที่แคนาดาสิ โรงเรียนดีๆ ที่แคนาดามีตั้งเยอะแยะ” ฉินสือโอวพูดออกออกมาตามเหตุและผล
พี่สาวของเขาไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก เธอกำลังครุ่นคิดอยู่เงียบๆ
ฉินสือโอวผิวปาก เดินนำเด็กทั้งห้าคนไปอย่างมีความสุข ปอหลัว ฉงต้า หู่จือ เป้าจือและนิมิตส์ที่นอนเบื่อมาสองวันแล้ว ก็เดินตามฉินสือโอวไปเช่นกัน คนกลุ่มหนึ่งและฝูงสัตว์อีกจำนวนหนึ่งต่างพากันวิ่งไปยังแม่น้ำสายเล็กที่ไหลลงสู่ทะเลอย่างรวดเร็ว
ฉินสือโอวไม่เคยจับปูนิ่มมาก่อน เมื่อวานเขาได้ยินชาร์คพูดว่าที่นี่มีปูนิ่ม วันนี้เลยพาเด็กๆ มาหาดู
บริเวณริมทะเลในช่วงฤดูใบไม้ร่วงนั้น ระดับน้ำค่อนข้างต่ำ เพราะแบบนี้แม้จะไม่มีน้ำลง ก็ยังสามารถจับปูนิ่มได้
ปูนิ่มและปูเสฉวนนั้นเหมือนกันตรงที่พวกมันชอบอยู่ในรู ในขวดหรือว่าซ่อนตัวอยู่ในบริเวณที่แคบๆ ที่ยังมีช่องทางเข้าเล็กๆ โดยเฉพาะเวลาที่พวกมันต้องเปลี่ยนกระดองของตัวเอง พวกมันทำได้เพียงคอยซ่อนตัวอยู่ในนั้น จนกว่ากระดองใหม่ของมันจะเกิดขึ้นมา
ปูนิ่มถือว่าเป็นปูพันธุ์พิเศษสายพันธุ์หนึ่ง มันต้องเปลี่ยนกระดองของมันตลอดเวลาที่ยังมีชีวิตอยู่
เด็กๆ หาปูนิ่มบริเวณริมแม่น้ำสายเล็กๆ ที่ไหลลงไปสู่ทะเลอย่างขะมักเขม้น เชอร์ลี่ย์เจอหอยสังข์ตัวหนึ่ง เธอจับมันขึ้นมาแล้วส่งให้เสี่ยวฮุย ปรากฏว่ามีบางอย่างที่รูปร่างยาวเหมือนกับขาปูเล็กๆ หลบซ่อนอยู่ในเปลือกหอยสังข์นั้น
“ดูสิ ฉันจับได้หนึ่งตัวล่ะ” เชอร์ลี่ย์ชูปูนิ่มที่พึ่งเปลี่ยนกระดองได้ไม่นานขึ้นมาพลางพูดด้วยความดีใจ ฉงต้ากระโดดขึ้นทันที การกระโดดของมันราวกับกำลังโหม่งลูกบอลกลางอากาศอย่างสวยงาม มันอ้าปากกว้างแล้วงับปูตัวเล็กนั้นลงมา แล้วกลืนลงท้องไปทันที
เชอร์ลี่ย์มองภาพนั้นด้วยความตกตะลึง น้ำตาเริ่มก่อนตัวขึ้นที่ดวงตากลมโต ฉงต้ามองดูเธอด้วยสายตาไร้เดียงสา พลางส่งเสียงครางออกมาสองสามที มันรู้ตัวว่าสิ่งที่มันทำนั้นผิด มันจึงรีบนั่งลงกับพื้นแล้วทำท่าซิทอัพอย่างรวดเร็ว แบบนั้นเชอร์ลี่ย์จึงหยุดร้องไห้แล้วเปลี่ยนมาหัวเราะแทน
หากมองดูดีๆ จะสามารถเจอปูนิ่มได้ในบริเวณที่เป็นโพรงที่มีทางเข้า ฉินสือโอวหยิบปูตัวหนึ่งขึ้นมาดูใกล้ๆ
ปูตัวนี้ที่กระดองของมันบริเวณใต้ท้องที่อยู่ใกล้ๆ กับขาของมันนั้นมีรอยแตกอยู่ เขาใช้นิ้วโป้งและนิ้วชี้ดันที่กระดองของมันเบาๆ จากนั้นก็แยกกระดองกับตัวของมันออกจากกัน
ถ้าหากว่าจะทำเหยื่อตกปลา กระดองปูเหล่านี้ถือว่าไม่มีประโยชน์ แค่ใช้ตัวของมันก็พอ ดังนั้นแค่เอากระดองของมันที่ใช้ในการดำรงชีวิตทิ้งไปก็ถือว่าใช้ได้แล้ว
จากการสอนของชาร์คเมื่อคราวก่อน ครั้งนี้ฉินสือโอวได้นำถังน้ำมาด้วย ข้างในถังนั้นเป็นน้ำทะเลกับก้อนน้ำแข็งจำนวนหนึ่ง น้ำแข็งจะช่วยรักษาอุณหภูมิของน้ำทะเลได้ หลังจากนั้นก็วางพืชน้ำจำนวนมากบนผิวน้ำ จากนั้นก็เพียงใส่ปูนิ่มลงไป
น้ำทะเลจะช่วยรักษาชีวิตของปูนิ่มไว้ ส่วนพืชน้ำนั้นก็เป็นอาหารของพวกมันได้ น้ำที่อุณหภูมิต่ำจะช่วยลดการเผาผลาญพลังงานของพวกมัน วิธีนี้เป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะรักษาชีวิตของพวกมัน พวกมันจะสามารถมีชีวิตอยู่ได้อีกสองสามวันอย่างสบายๆ
……………………………………………………….
บทที่ 342 ธุรกิจใหม่
โดย
Ink Stone_Fantasy
เด็กๆ ต่างชอบทำอะไรแบบนี้ไม่ว่าจะเล่นน้ำหรือกิจกรรมเก็บสิ่งของเล็กๆ ดังนั้นตลอดทั้งช่วงเวลากลางวัน คนทั้งห้าคนจึงกำลังอยู่ในน้ำหาปูนิ่มอย่างขะมักเขม้น ไม่นานพวกเขาก็เก็บปูนิ่มจนเต็มถังน้ำ
ฉินสือโอวไปหยิบถังน้ำมาอีกหนึ่งใบ เขาไม่ได้สนใจพวกมันมากนัก ปูนิ่มจำนวนเท่านี้เอาไปทำเป็นเหยื่อตกปลาได้เพียงพอแล้ว ดังนั้นเขาจึงนั่งเล่นโทรศัพท์มือถืออยู่ที่ริมแม่น้ำแทน
พวกเด็กๆ ก็ไม่ได้สนใจฉินสือโอวเช่นกัน พวกเขามีผู้ช่วยฝีมือดีคอยช่วย นั่นก็คือหู่จือกับเป้าจือ เชอร์ลี่ย์จับปูนิ่มขึ้นมาหนึ่งตัวให้หู่จือกับเป้าจือดม พวกมันทั้งสองตัวคิดว่าเชอร์ลี่ย์จะให้อาหารพวกมัน ดังนั้นพวกมันจึงทำหน้าย่น แล้วเดินถอยหลังหนีไป
“ไม่ได้ให้กิน ดมสิ แล้วหาปูที่มีกลิ่นแบบนี้ เร็วสิ” เชอร์ลี่ย์ลากหู่จือด้วยท่าทีงอแง
ไม่ได้ให้กินปูนิ่มเป็นๆ ก็ดีแล้ว หู่จือกับเป้าจือเดินไปดมปูนิ่มสองสามที จากนั้นก็ก้มหน้าเริ่มดมกลิ่นตามช่องเล็กๆ ระหว่างหินริมแม่น้ำทันที
ครั้งนี้ถือว่าเหล่าปูนิ่มได้เจอภัยพิบัติครั้งใหญ่เข้าแล้ว หู่จือและเป้าจือนั้นมีทักษะในการดมกลิ่นที่ดีมาก กลิ่นของน้ำทะเลสำหรับมนุษย์นั้นพวกเขาจะได้กลิ่นเหมือนกันหมด แต่สำหรับพวกมันแล้ว การดมกลิ่นคาวของสัตว์ทะเลเพื่อตามหากลิ่นของปูนิ่ม ไม่ใช่เรื่องยากเลย
ถังน้ำใบแรก เมื่อรวมกับจำนวนที่ฉินสือโอวช่วยหาด้วยแล้ว กว่าปูนิ่มจะเต็มถังใช้เวลาไปทั้งหมดห้าสิบนาทีกว่า ส่วนถังน้ำใบที่สอง มีเด็กเพียงสี่คน แต่กลับใช้เวลาไม่ถึงสิบนาที ปูนิ่มก็เต็มถังน้ำใบเล็กๆ ใบนี้แล้ว
ฉินสือโอวเห็นว่าแบบนี้คงไม่ดีแน่ การให้หู่จือกับเป้าจือไปช่วยหานั้น คงจะทำให้ปูนิ่มคงจะสูญพันธุ์เป็นแน่ ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจพาเด็กๆ กลับบ้าน
เด็กๆ กำลังสนุกกันอยู่ แล้วอย่างนี้พวกเขาจะยอมกลับบ้านได้อย่างไร? พวกเชอร์ลี่ย์นั้นเป็นเด็กดี ไม่กล้าขัดต่อความต่อความต้องการของฉินสือโอว แต่ว่าพวกเขาก็ยังอยากเล่นอยู่ที่นี่ต่อ จึงมองไปยังเสี่ยวฮุยด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความหวัง
เสี่ยวฮุยเริ่มพูดออดอ้อนฉินสือโอวว่า “คุณอา คุณอา ยังไม่ถึงเวลาทานอาหารกลางวันเลย พวกเราเล่นกันยังไม่เบื่อเลย คุณอาเป็นคนน่ารัก ให้ผมหอมแก้มคุณอาดีไหม?”
เชอร์ลี่ย์พูดขึ้นมาอย่างเขินอายว่า “ลุงฉิน พวกเราจะหอมแก้มคุณเอง คุณให้พวกเราเล่นต่ออีกสักหน่อยได้ไหม?”
ฉินสือโอวมองไปยังริมฝีปากของเชอร์ลี่ย์ ริมฝีปากสีชมพู สวยสดใสนี้สามารถดึงเสน่ห์แบบโลลิต้าของเธอออกมาได้เป็นอย่างดี
“แหะๆ พวกเราไปเล่นด้วยกันต่อก็ได้ เช่นไปจับหนอนถั่วลิสง จับหอยหลอด หรือไส้เดือนทะเล พวกนี้ก็สนุกเหมือนกัน” ฉินสือโอวรีบตอบกลับทันที ในใจบอกกับตัวเองว่าเขานั้นไม่ใช่โลลิคอน
“ยิ่งจับปูยิ่งสนุก” เสี่ยวฮุยยกก้อนหินก้อนที่หู่จือกำลังดมด้วยความสนใจอยู่ก้อนหนึ่งขึ้นมา แล้วร้องออกมาอย่างดีใจเมื่อเห็นเหล่าปูนิ่มออกมาจากที่ซ่อนด้วยความตื่นตระหนก
ฉินสือโอวยักไหล่ แล้วเล่นโทรศัพท์มือถือต่อ แต่ว่าเมื่อเขาผิวปากออกมา หู่จือกับเป้าจือก็วิ่งสะบัดหางออกจากแม่น้ำเล็กๆ มาหาฉินสือโอวพลางเข้าไปคลอเคลียอย่างใกล้ชิด
แบบนี้ถึงจะช่วยเผ่าพันธุ์ปูนิ่มไว้ได้ เมื่อเด็กๆ เล่นกันจนใกล้ถึงเวลากินอาหารกลางวัน พวกเขาก็ไปหยิบถังน้ำมาเพิ่มอีกสองถัง เด็กๆ จับปูนิ่มได้ทั้งหมดสามถังครึ่ง พวกเขาช่วยกันถือถังน้ำกลับบ้านไปอย่างมีความสุข
ฉินสือโอวถอนหายใจออกมา ปูนิ่มเยอะขนาดนี้ จะเอาไปขายตอนตกปลาหรืออย่างไร?
อาหารกลางวันวันนี้วินนี่เป็นคนทำ ซึ่งเป็นอาหารตะวันตกดั้งเดิม
ก่อนอาหารจานหลักเป็นสลัดผลไม้ อาหารคาวมื้อนี้จะเป็นพวกแฮมย่างน้ำผึ้ง หน่อไม้ฝรั่งย่างชีส ขนมปังไส้กรอก สเต๊กเนื้อ สเต๊กปลา และนักเก็ตไก่ อาหารหลักคือพายแอปเปิล เครื่องดื่มเป็นน้ำผลไม้ หลังจากทานอาหารเสร็จแล้วยังมีของหวานอย่างเค้กแบล็กฟอเรสต์และมาการองอีกด้วย
พ่อของฉินสือโอวและคนอื่นๆ นั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารแล้ว เมื่อวินนี่จัดการเสิร์ฟอาหารเสร็จ เธอก็นำสลัดผักและผลไม้จำนวนมากมาแบ่งให้ฉงต้า ต้าป๋าย ปอหลัวและเสี่ยวหมิง นอกจากนี้ยังแบ่งเนื้อปลาให้หู่จือ เป้าจือ บุชและนิมิตส์อีกด้วย
เมื่อมีคนเยอะสัตว์เลี้ยงทั้งหลายก็เชื่อฟังเป็นอย่างมาก พวกมันนั่งเรียงกันอยู่หน้าจานข้าวของตนเอง วินนี่ตักอาหารให้พวกมันทีละตัวทีละตัว
พ่อของฉินสือโอวพูดกลั้วหัวเราะว่า “ดูเสี่ยวเวยสิ เธอทำได้ดีจริงๆ เลี้ยงหมาและลูกหมีราวกับเลี้ยงลูกเลย พวกมันเชื่องจริงๆ”
พูดจบ แม่ของฉินสือโอวก็มองไปยังฉินสือโอวด้วยแววตาคาดหวัง
ฉินสือโอวแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน เขาหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาพิมพ์แชทอย่างไม่สนใจ
พี่สาวของฉินสือโอวร่วมผสมโรงกับพ่อแม่ด้วย เธอพูดขึ้นมาอย่างจงใจว่า “พ่อ พ่อกับแม่อยากอุ้มหลานชายเหรอ?”
พ่อของเขารีบส่ายหัวทันที พลางพูดว่า “บ้านของพวกเราไม่ได้ให้ความสำคัญกับเพศชายหรือหญิง มีหลานสาวก็ดีเหมือนกันนะ หากมีหลานสาวเหมือนอย่างเชอร์ลี่ย์ล่ะก็ กลับบ้านไปพวกลุงๆ ป้าๆ ต้องอิจฉาแน่ๆ”
เชอร์ลี่ย์ยิ้มหวานออกมา ด้วยสีหน้าท่าทางที่ไร้เดียงสา
กอร์ดอนพูดออกมาอย่างซื่อๆ ว่า “คุณปู่ฉินมองผิดไปแล้ว เขารู้กันอยู่แล้วว่าเชอร์ลี่ย์น่ะปกติแล้วใจร้ายมาก…”
“หุบปากไปเลยนะกอร์ดอน ถ้าหากไม่ใช่เพราะว่าคุณปู่ฉินฟังภาษาอังกฤษไม่รู้เรื่องล่ะก็ นายได้ถูกฉันตีตายแน่!”เชอร์ลี่ย์ตบหัวกอร์ดอนพลางยิ้มหวานออกมา แน่นอนว่า ยังถือโอกาสใช้มือดึงหูของเขาด้วยเช่นกัน
มิเชลที่กำลังดื่มน้ำผลไม้อยู่นั้นทำหน้าสะใจออกมา “ไม่ทำไม่เอา ทำไมนายเป็นคนแบบนี้ล่ะ”
ประโยคนี้เป็นสิ่งที่พวกเขาเรียนกับฉินสือโอว มันเป็นประโยคภาษาอังกฤษที่ดังบนโลกอินเทอร์เน็ตของประเทศจีนอย่างมาก
การกินอาหารกลางวันเป็นไปอย่างสนุกสนาน จากนั้นฉินสือโอวก็พาครอบครัวของเขาเข้าไปเดินเล่นในเมือง
เมื่อวานพวกเขามาที่ฟาร์มปลาแล้ว พ่อแม่ของฉินสือโอวนั้นจำรถคาดิลแลควันอันหรูหราได้ แต่พวกเขาไม่ได้เอ่ยปากถาม วันนี้ฉินสือโอวขับบีเอ็มดับเบิลยู 760 ของเออร์บัก รถทั้งสองคนนั้นหรูหราเหมือนกัน วันนี้พวกเขาจึงอดถามออกมาไม่ได้ว่า
“รถคันนี้ราคาเท่าไรน่ะ?” พ่อของเขาถามขึ้นมาเหมือนตัวเองไม่ได้ตั้งใจที่จะถาม
ฉินสือโอวพูดพลางยิ้มออกมาว่า “นี่เป็นรถของเออร์บัก”
“เรียกลุงเออร์สิ เขาอายุมากกว่าแกนะ”พ่อของเขาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง จากนั้นก็เปลี่ยนเรื่อง “รถคันใหญ่ๆ นั่นก็ของลุงเออร์เหรอ?”
เออร์บักยืนยิ้มอยู่ตรงนั้น ฉินสือโอวยิ้มออกมาเจื่อนๆ แล้วพูดว่า “คันนี้ของผม”
“เท่าไร? ไม่ได้ถามแกนะ เสี่ยวโอว แกดูนะ พ่อเสี่ยวฮุย ชอบรถยนต์นี่ บอกมาสิว่ารถคันนี้ราคาเท่าไร?”
พี่เขยของเขากระแอมออกมา แล้วพูดขึ้นว่า “รถคันนี้ ราคาน่าจะเกือบสี่แสนดอลลาร์แคนาดาใช่ไหม?”
เขาคิดคำนวณในใจอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเปลี่ยนสกุลเงินจากหยวนมาเป็นดอลลาร์แคนาดาเสร็จสรรพ
ฉินสือโอวมองไปยังพี่เขยของตัวเองอย่างขอบคุณ แล้วพูดเสริมขึ้นว่า “ไม่ถึงสี่แสน สามแสนกว่าหน่อยๆ เท่านั้น”
พ่อของฉินสือโอวพยักหน้ารับรู้แล้วพูดขึ้นว่า “ถูกกว่าออดี้ของพี่เขยแกอีกเหรอ? พ่อเคยได้ยินจากทีวีว่ารถที่ต่างประเทศนั้นราคาถูก แต่ไม่คิดว่าจะถูกขนาดนี้”
และแล้วรถทั้งสองคันก็มาถึงในเมือง
เมืองแฟร์เวลในตอนนี้กับตอนที่เขาพึ่งมาถึงนั้นแตกต่างกันอย่างมาก ตอนนี้มีนักท่องเที่ยวนับร้อยนับพันคนเข้ามาเที่ยวยังเมืองเล็กๆ แห่งนี้ ทำให้เมืองแห่งนี้ดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที
ชาวเมืองแฟร์เวลมีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ร้านค้าแผงลอยและพ่อค้าหาบเร่เต็มถนน เนื่องจากไม่มีกฎระเบียบการจัดการบ้านเมือง พวกเขาจึงสามารถตั้งแผงขายของที่ไหนก็ได้ตามที่ต้องการ
ทันทีที่ลงรถมาพ่อกับแม่ของฉินสือโอวก็ตกใจอย่างมาก พวกเขาพูดออกมาทันทีว่า “นี่คือที่ที่ในทีวีบอกว่าเป็นไชน่าทาวน์เหรอ?”
“ส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวทั้งนั้นเลย” พี่สาวของเขาอธิบายออกมาว่า เธอได้อ่านข่าวของเมืองแฟร์เวลบนอินเทอร์เน็ต ส่วนมากเป็นข่าวที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว ทำให้รู้ว่าในตอนนี้ที่นี่เป็นที่ที่นักท่องเที่ยวชาวจีนนิยมมากันมากที่สุด
พ่อค้าแผงลอยหาบเร่ต่างๆ นั้นต่างพากันมาขายอุปกรณ์ตกปลา ของที่ระลึกจากนิวฟันด์แลนด์ก็ค่อนข้างเยอะ นักท่องเที่ยวจำนวนหนึ่งกำลังเลือกซื้อเบ็ดตกปลาและเหยื่อตกปลาอยู่ พวกเขาเลือกเหยื่อไปก็ส่ายหัวไปด้วย “เหยื่อปลอมพวกนี้ถ้าตกปลาในแม่น้ำยังพอได้ แต่พวกเราเช่าเรือเพื่อที่จะไปตกปลาทะเล พวกมันใช้การไม่ได้หรอก”
มีเสียงคนคุยกันดังไปทั่ว แต่ฉินสือโอวก็ไม่ได้สนใจ เมื่อกอร์ดอนได้ยิน ก็ลากเสี่ยวฮุยมาถามเบาๆ เสี่ยวฮุยร่วมเข้าไปฟังสิ่งที่กลุ่มคนข้างๆ นั้นคุยกัน แล้วก็พยักหน้าเห็นด้วย
ดวงตากลมโตของกอร์ดอนนั้นเปล่งประกายออกมา ฉินสือโอวนึกว่าเขาได้เรียนรู้อะไรใหม่ ตอนที่กำลังจะหันไปถาม กอร์ดอนก็ลากเด็กคนอื่นๆ ไปหาวินนี่เสียแล้ว
ไม่รู้ว่าพวกเขาคุยอะไรกัน วินนี่ถึงได้หัวเราะออกมา แล้วพาเด็กๆ ทั้งหมดกลับไปยังฟาร์มปลา
เมื่อพวกเขากลับในเมือง มีแค่เชอร์ลี่ย์และมิเชลสองคนที่วินนี่พากลับมา ฉินสือโอวจึงถามขึ้นว่า “อีกสามคนไปไหนแล้วล่ะ?”
“อยู่ที่ด้านหลังค่ะ” เชอร์ลี่ย์ตอบ
จากนั้น ซีบิสกิตที่มีรูปทรงกะทัดรัดก็ปรากฏขึ้นที่ถนน ความเร็วของมันนั้นค่อนข้างช้า เสี่ยวฮุยกับกอร์ดอนนั้นนั่งหน้ายิ้มแย้มอย่างมีความสุขอยู่ที่ด้านหลังพวงมาลัย
นักท่องเที่ยวที่พึ่งเคยเห็นรถเอทีวีที่รูปทางกะทัดรัดแบบนี้เป็นครั้งแรกต่างพากันยกกล้องขึ้นมาถ่ายรูปพลางถอนหายใจกันออกมา “แคนาดานี่สนุกจริงๆ”
ซีบิสกิตจอดอยู่ข้างๆ คนกลุ่มหนึ่ง เสี่ยวฮุยและกอร์ดอนลงมาจากรถ คนหนึ่งถือถังขนาดเล็กในมือ ส่วนอีกคนก็หยิบปูนิ่มที่จับได้เมื่อวานจากในถังออกมา
“พวกนายทำอะไรน่ะ? วันนี้ไม่ได้ไปตกปลากันนะ”
“นี่เป็นการค้าขาย พวกเราจะทำธุรกิจใหม่ครับ” กอร์ดอนหัวเราะออกมาเสียงดัง
…………………………………………
บทที่ 343 เรื่องราวของคุณปู่รอง
โดย
Ink Stone_Fantasy
ถังน้ำใบเล็กทั้งสองใบวางอยู่ที่มุมถนน จากนั้นมิเชลก็วิ่งไปยังร้านอาหารของคุณลุงฮิคสัน เขาหยิบกระดาษแข็งมาสองแผ่นพร้อมกับปากกาสำหรับเขียนมาหนึ่งด้าม จากนั้นก็วิ่งกลับมาที่มุมถนนอย่างรวดเร็วแล้วพูดขึ้นว่า “ฉิน พอปู่ฮิคสันรู้ว่าพวกคุณมาในเมือง ก็บอกว่าไม่ว่าอย่างไรคุณก็ต้องไปหาเขาให้ได้”
ฉินสือโอวพยักหน้า เขาอธิบายถึงความสัมพันธ์ระหว่างคุณลุงฮิคสันและคุณปู่รองหงเต๋อให้พ่อแม่และคนอื่นๆ ฟัง เขาทั้งสองคนเป็นทั้งเพื่อนและเพื่อนร่วมงานกัน ลุงฮิคสันเมื่อตอนที่ยังเป็นวัยรุ่นนั้นตามหลังพี่ใหญ่อย่างฉินหงเต๋อไปต้อยๆ ความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งสองนั้นจึงดีอย่างมาก
ในขณะที่ทุกคนเตรียมจะไปหาคุณลุงฮิคสันนั้น เด็กทั้งห้าคนก็กำลังนั่งยองๆ อยู่ที่มุมถนนพลางปรึกษาหารืออะไรกันสักอย่างด้วยความตื่นเต้นภายใต้เสียงพ่อค้ารอบข้างที่ตะโกนขายของไปมา
ตอนนี้ฉินสือโอวรู้แล้วว่า เด็กพวกนั้นวางแผนที่จะขายปูนิ่มอย่างแน่นอน ที่เหล่านักท่องเที่ยวต้องการเหยื่อตกปลาจำนวนมากนั้นก็เพราะว่าพวกเขารู้ว่ามหาสมุทรแอตแลนติกนั้นเป็นแหล่งพันธุ์ปลาขนาดใหญ่ การตกปลาทะเลที่เกาะเตียวหยูและการยิงปลาคาร์ฟเอเชียถือเป็นสองกิจกรรมที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก
กอร์ดอนรับปากกามาเตรียมเขียนข้อความบนกระดาษแข็ง แต่มิเชลถามขึ้นมาก่อนว่า “นายเขียนภาษาจีนเป็นเหรอ?”
“ทำไมต้องเขียนภาษาจีนด้วย?”
“คนโง่ พวกเราจะขายของให้ใครกันล่ะ? จะขายให้กับพวกลุงป้าน้าอาในเมืองเหรอ?”
“อ่า นายมันเป็นเด็กโง่ ชาวต่างชาติที่มาเที่ยวเหล่านี้ นายคิดว่าพวกเขาไม่รู้ภาษาอังกฤษหรือไง?”
“พวกเขารู้ภาษาอังกฤษ แต่พวกเขาอยากจะซื้อของจากพ่อค้าที่ได้ภาษาจีนมากกว่า ฉันกล้าพนันด้วยเลย!”
เด็กทั้งสองคนนั้นเถียงกันอย่างดุเดือดเสียงดัง ส่วนพ่อค้าแผงลอยที่อยู่รอบๆ ก็เริ่มตะโกนขึ้นมาเช่นกัน
“ขายปลิงทะเล มีใบเสร็จ…”
“เมเปิลไซรัปไม่ผสมน้ำ มีใบเสร็จ…”
“ปลาแห้ง หอยเชลล์อบแห้ง หมึกกระดองอบแห้ง กุ้งตัวใหญ่ๆ มีใบเสร็จ…”
‘มีใบเสร็จ’ สามคำนี้ เป็นสิ่งที่พวกไกด์สอนเหล่าพ่อค้าพูด คำสามคำนั้นเป็นภาษาจีนทั้งหมด เป็นกลุ่มคำที่ถูกพูดออกมาด้วยสำเนียงปักกิ่ง
แต่ว่าประโยคนั้นสามารถใช้งานได้เป็นอย่างดีเลย เมื่อเหล่าพ่อค้าตะโกนสามคำนั้นออกมา การซื้อขายที่ร้านของพวกเขานั้นก็เพิ่มขึ้นถึงร้อยละแปดสิบ นั่นก็เพราะว่าเหล่าชาวต่างชาติที่มาเที่ยวนั้น หลายคนเป็นข้าราชการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ
“เฮ้อ ฉันว่าพวกนายอย่าไปสู้กับพวกเขาเลย จะไปร้านอาหารของปู่ฮิคสันกับฉันไหม?” ฉินสือโอวพูดตัดบทเด็กๆ ที่กำลังเถียงกันอยู่
“ไม่ไปครับ/ค่ะ พวกเราจะหาเงินครับ/ค่ะ” เด็กๆ ตอบออกมาเป็นเสียงเดียวกันทันที
ฉินสือโอวโบกมือปัดไม่สนใจ แล้วพาพ่อแม่และอื่นๆ ออกมาจากตรงนั้น แม่ของฉินสือโอวรู้สึกไม่สบายใจ จึงถามออกมาด้วยความกังวลว่า “ถ้าเด็กๆ โดนคนแปลกหน้าจับไปจะทำอย่างไร? ไม่ได้นะ เสี่ยวโอว ลูกต้องพาพวกเขามาด้วยนะ”
ฉินสือโอวชี้ไปยังหู่จือและเป้าจือที่นอนอยู่ข้างๆ เด็กๆ “แม่ ไม่ต้องกังวลไปหรอก มีพวกมันสองตัวอยู่ ใครก็ทำอะไรเด็กๆ ไม่ได้ อีกอย่างถ้าถูกลักพาตัวไปก็ดีสิ ปกติเด็กพวกนี้ปกติโหวกเหวกโวยวายจะตาย พวกโจรคงทนไม่ได้หรอก”
แต่แม่ของเขาก็ยังคงเป็นกังวลอยู่ เมื่อเห็นฉินสือโอวทักทายกับผู้คนในเมืองที่ตั้งร้านค้ารอบๆ อย่างเป็นมิตร แม่ของเขาจึงค่อยๆ ยิ้มออกมาได้อย่างสบายใจ แต่ว่าก็ยังคงเอาโทรศัพท์มือถือของลูกเขยไปให้เสี่ยวฮุยอยู่ดี
ถนนสายหลักของเมืองเล็กๆ แห่งนี้นั้นไม่ได้ยาวมาก ไม่นานพวกเขาก็เดินมาจนถึงร้านอาหารของคุณลุงฮิคสัน ชายสูงวัยสวมหมวกและชุดพ่อครัวสีขาวรออยู่แล้วที่ด้านนอก ท่าทางแสดงอย่างชัดเจนว่ากำลังรอพวกเขาอยู่ด้วยความตื่นเต้น
ลุงฮิคสันเป็นคนหนึ่งที่ได้รับผลประโยชน์จากการที่เมืองนี้ถูกเปิดเป็นสถานที่ท่องเที่ยว เขาเป็นพ่อครัวที่มีฝีมือดีที่สุดในเมืองนี้ เขาชำนาญด้านอาหารตะวันตกแต่ก็มีความเข้าใจในอาหารจีนด้วยเช่นกัน เขาเป็นคนที่ทั้งเข้าใจคนอื่นและใจดี เขามักจะคุยกับลูกค้าด้วยท่าทางเป็นมิตรและอารมณ์ดีตลอดเวลา เพราะแบบนี้จึงทำให้ร้านอาหารของเขานั้นขายดีเป็นอย่างมาก
ถึงขนาดที่ว่าในเว็บไซต์ท่องเที่ยวของประเทศจีนที่เขียนแนะนำเกี่ยวกับเกาะแฟร์เวลนั้น มีคนแนะนำว่าการมากินอาหารที่ร้านของคุณลุงฮิคสันเป็นอีกกิจกรรมหนึ่งที่ห้ามพลาด
เมื่อเห็นฉินสือโอวและคนอื่นๆ ใบหน้าของคุณลุงฮิคสันก็แสดงให้เห็นถึงความตื่นเต้นดีใจขึ้นมาทันที เขารีบเข้าไปกอดพวกของฉินสือโอว
ตอนนี้ครอบครัวของฉินสือโอวเริ่มคุ้นชินกับการทักทายแบบชาวตะวันตกแล้ว แต่เรื่องการสื่อสารนั้นยังไม่ค่อยสะดวก ยังคงต้องคอยให้ฉินสือโอวและวินนี่คอยช่วยแปลอยู่ข้างๆ
คุณลุงฮิคสันเชิญทุกคนเข้าร้าน บ่ายวันนี้ไม่มีลูกค้า เพราะเขานำป้ายที่เขียนว่า ‘มีแขก ห้ามรบกวน’ ออกไปแขวนไว้ที่ด้านนอกประตู บ่งบอกถึงความเอาแต่ใจของตน
ฉินสือโอวรู้สึกผิดขึ้นมานิดหน่อย นอกจากครั้งนี้แล้ว เขาก็เคยเห็นชายสูงวัยคนนี้แขวนป้ายแบบนั้นที่นอกร้านเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น นั่นคือตอนที่เขาเชิญวินนี่มาทานอาหารที่ร้านนี้ครั้งแรก ชายสูงวัยปิดร้านของตัวเองเพื่อจัดเตรียมอาหารเย็นใต้แสงเทียนให้เขาโดยเฉพาะ
เพื่อที่จะได้เจอกับทุกคนในครั้งนี้ คุณลุงฮิคสันก็ได้เตรียมขนมไว้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นคุกกี้ฟักทองสอดไส้ชีส เค้กแยมโรลไส้แยมมะม่วง พุดดิ้งนมถั่วเหลือง คุกกี้ช็อกโกแลตไส้มะม่วง เกาลัดนอร์ธอเมริกาคั่ว ลูกแพร์เชื่อมเมเปิลไซรัป และพายเเครอทเผ็ดหวาน เขาทำของหวานพวกนี้ออกมาอย่างประณีต ทำให้ขนมมีสีสันและกลิ่นหอมน่ากิน
พ่อแม่ของฉินสือโอวเคยเห็นของหวานพวกนี้ในโทรทัศน์ พวกเขาทั้งสองมองไปยังฉินสือโอวแล้วพูดออกมาเบาๆ ว่า “ขนมเยอะขนาดนี้ ชื่อเสียงของลุงสองนี่ใหญ่โตขนาดนี้เลยเหรอ?”
“ถ้าพาเสี่ยวฮุยกับเด็กพวกนั้นมาด้วยก็ดีสิ เสี่ยวฮุยไม่เคยกินขนมพวกนี้เลย”
คุณลุงฮิคสันนำน้ำผลไม้ กาแฟและเครื่องดื่มอื่นๆ ออกมาเสิร์ฟ เขาเช็ดมือด้วยผ้ากันเปื้อน พลางพูดออกมาด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่รู้ว่าจะถูกปากทุกคนไหม แต่ว่าขนมเหล่านี้เป็นของที่เมื่อก่อนลุงฉินชอบกิน พวกคุณลองชิมดูสิ”
ฉินสือโอวแปลให้พ่อกับแม่ฟัง จากนั้นทั้งสองฝ่ายก็เริ่มคุยกัน
“พวกคุณเป็นหลานของลุงฉิน ใช่ไหม? ผมเคยได้ยินเรื่องของพวกคุณ มีอยู่สองสามปีที่พวกเขาคิดถึงพวกคุณมาก แต่พอผมบอกให้เขากลับไปเยี่ยมพวกคุณ เขาก็เอาแต่ส่ายหัว”
“อันที่จริงผมไม่เคยเจอคุณลุงรองเลย เพียงแต่รู้ว่ามีคนคนนี้อยู่ในครอบครัว ตอนที่ผมพึ่งเกิด ลุงรองก็ออกจากบ้านมานานแล้ว” พ่อของฉินสือโอวพูดขึ้นด้วยความสัตย์จริง
ฉินสือโอวทำสีหน้าสงสัย แล้วถามว่า “ทำไมปู่รองถึงทำแบบนั้นล่ะ? ทำไมผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน”
พ่อของเขาส่ายหน้าไปมา พลางพูดขึ้นว่า “พ่อก็ไม่ได้รู้อะไรมาก ดังนั้นคนที่บ้านจึงพูดถึงเขาน้อยมาก อันที่จริง ปู่ของแกน่ะมีพี่น้องสี่คน และเขาเป็นคนที่อายุน้อยที่สุด”
“พี่น้องสี่คนเหรอ?” ดวงตาของฉินสือโอวเบิกกว้าง “ผมรู้จักปู่ของตัวเอง แล้วปู่อีกสามคนที่เหลือล่ะ?”
ฮิคสันถามขึ้นมาว่าพวกเขากำลังคุยอะไรกันอยู่ ฉินสือโอวจึงแปลให้อีกฝ่ายฟัง พ่อของเขาส่ายหัวไปมา แล้วบอกว่าดูเหมือนว่าพี่น้องทั้งสี่คนนั้นจะมีเรื่องขัดแย้งกันใหญ่โต เขาก็ได้ยินเรื่องนี้มาจากย่าของฉินสือโอว ตราบใดที่ปู่ยังอยู่ในบ้าน ใครก็ห้ามเอ่ยชื่อของพี่น้องทั้งสามคนของเขาเด็ดขาด
คุณลุงฮิคสันนิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วพูดออกมาช้าๆ ว่า “ฉันก็รู้มานิดหน่อยเหมือนกัน เวลาที่เหล่าฉินดื่มหนักจนเมาเขาก็มักจะพูดเรื่องนี้กับฉันสองสามประโยค”
ฉินสือโอวรีบเข้าร่วมการสนทนาในครั้งนี้ทันที เรื่องที่เขาได้ยินเกี่ยวกับปู่รองคนนี้นั้น ช่างแปลกประหลาดเหลือเกิน
“ดูเหมือนว่าพวกเขาสี่คนพี่น้องได้รับของขวัญล้ำค่าชิ้นหนึ่งมา ตอนนั้นเป็นช่วงสงครามโลกครั้งที่สองพอดี บ้านเกิดของพวกเขาโดนทหารญี่ปุ่นบุกรุก เพราะของล้ำค่าชิ้นนั้นพวกเขาจึงหนีออกมาได้ มีปู่ของนายคนหนึ่ง ยอมจำนนต่อพวกทหารญี่ปุ่น เพราะของล้ำค่าชิ้นนั้นทำให้พี่ใหญ่ของพวกเขาถูกฆ่าตาย หลังจากนั้นเหล่าฉินก็ได้พาของชิ้นนั้นมายังเมืองแฟร์เวล และไม่ได้กลับไปบ้านเกิดอีกเลย”
เมื่อได้ฟังเรื่องราวที่ลุงฮิคสันเล่า ฉินสือโอวก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา จากที่ลุงฮิคสันเล่านั้น ดูเหมือนว่าบรรพบุรุษของเขาจะมีเรื่องเล่าที่เป็นตำนานจริงๆ
เขาเกือบจะแน่ใจแล้วว่าของล้ำค่าชิ้นนั้นก็คือหัวใจโพไซดอนที่ตอนนี้อยู่ในร่างกายของเขา
แต่ว่า ทำไมปู่รองถึงไม่กลับไปยังบ้านเกิดกันนะ? ทำไมปู่ของเขาถึงไม่ยอมพูดเรื่องราวของพี่น้องของตนเองกันนะ? ปู่ใหญ่ถูกฆ่า ปู่รองตายที่แคนาดา แล้วปู่สามล่ะ? ทำไมถึงไม่เคยได้ยินเรื่องของเขาเลยล่ะ?
ฉินสือโอวเก็บเรื่องที่เขาสงสัยไว้ในใจเงียบๆ ไม่ว่าพ่อแม่ของเขาหรือแม้แต่คุณลุงฮิคสันก็ไม่สามารถไขความกระจ่างได้ คนที่รู้เรื่องราวทั้งหมดนั้นคงจะมีเพียงย่าของเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น แต่น่าเสียดายที่ย่าของเขาก็ได้จากโลกนี้ไปเสียแล้ว
นอกจากนี้ เรื่องที่ทำให้ฉินสือโอวเสียดายเป็นที่สุดก็คือ ปู่กับย่าของเขานั้นเป็นคนแก่ที่ไม่รู้หนังสือ ดังนั้นเมื่อพวกเขาจากโลกนี้ไป จึงไม่มีข้อมูลอะไรที่จะสามารถอธิบายเรื่องราวประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นจริงได้เลย
ความสงสัยมากมายนี้ ฉินสือโอวรู้สึกว่าเขาไม่มีทางที่จะหาคำตอบได้อย่างแน่นอน
…………………………………………………..
บทที่ 344 สวนดอกไม้หลังร้าน
โดย
Ink Stone_Fantasy
บ่ายวันนั้น พ่อของฉินสือโอวและคนอื่นๆ นั่งคุยระลึกถึงความหลังกันอยู่ที่ร้านอาหารของคุณลุงฮิคสัน พวกเขากินขนมและดื่มเครื่องดื่มมากมาย พลางนั่งคุยเรื่องสัพเพเหระกันอย่างมีความสุข
เมื่อฉินสือโอวเห็นว่าไม่มีทางที่เขาจะได้ข้อมูลเกี่ยวกับปู่รองเพิ่มขึ้นจากคนแก่อย่างพวกเขาแล้ว เขาจึงลากวินนี่ไปยังสวนดอกไม้เล็กๆ ของร้านอาหาร ส่วนปัญหาเรื่องการแปลภาษาน่ะเหรอ? เอ๋ ไม่สามารถใช้ภาษามือช่วยได้งั้นเหรอ? ฉินสือโอวครุ่นคิดหาวิธีครู่หนึ่ง จะว่าไปก็ยังมีเออร์บักอยู่ข้างๆ นี่น่า
อันที่จริงแล้วพ่อของเขาและคนอื่นๆ ยังคงสงสัยอยู่ว่า ทำไมฟาร์มปลาแห่งนี้ถึงมอบให้แก่ฉินสือโอวกันนะ? ฉินหงเต๋อจากโลกนี้ไปแล้วสิบปี ทำไมสิบปีก่อนหน้านั้นถึงไม่ส่งต่อฟาร์มปลานี้ให้พ่อของฉินสือโอวกัน?
คำตอบของคำถามนี้ไม่มีใครรู้แน่นอน เออร์บักเคยพูดออกมาไม่กี่คำก็เงียบไป เมื่อยังไม่ถึงเวลาที่เขาต้องเปิดปากเขาก็เอาแต่ส่ายหัวไปมา สุดท้ายก็ไม่ได้คำตอบของเรื่องนี้
ฉินสือโอวอยากจะล้วงความลับออกมาจากปากของเออร์บัก แต่ก็เข้าใจชายสูงวัยคนนี้ดี เขาทำงานเป็นทนายมาทั้งชีวิต เขาระวังคำพูดของตัวเองอย่างเข้มงวด เหมาะที่จะไปทำงานเป็นสายลับอย่างมาก หากเขาไม่คิดที่จะพูดออกมา ใครก็ไม่สามารถเปิดปากของเขาออกมาได้
พื้นที่สวนดอกไม้ของคุณลุงฮิคสันนั้นไม่ได้ใหญ่มาก ประมาณร้อยห้าสิบกว่าตารางเมตรได้ สวนดอกไม้แห่งนี้มีการจัดระเบียบอย่างสวยงามเรียบร้อย
เมื่อเข้าประตูมาก็จะเห็นทะเลแห่งความรักที่เกิดจากแปลงดอกกุหลาบสีชมพู ดอกกุหลาบพวกนี้เป็นพันธุ์ไม้หนาว พวกมันไม่ได้มีกลิ่นหอม แต่พวกมันสามารถออกดอกได้จนถึงฤดูใบไม้ร่วง เหมาะที่ปลูกในนิวฟันด์แลนด์อย่างมาก
ทะเลแห่งความรักนี้มีสองฝั่ง ข้างในทุ่งทะเลแห่งรักเป็นดอกเดือนฉายที่กำลังเบ่งบานเต็มที่ กลีบดอกสีเหลืองทองของมันล้อมรอบเกสรสีแดงสดอันใหญ่ พวกมันอยู่ใจกลางทะเลแห่งความรักสีชมพู ภาพที่เห็นนั้นช่างสวยงามเหลือเกิน
ถัดไปคือลำต้นที่หยักราวกับคลื่นทะเลสีน้ำเงินโผล่ออกมาจากด้านหลังของดอกเดือนฉาย มันคือต้นโรสแมรี่ เป็นพันธุ์ไม้ที่นำเข้ามาจากยุโรป ดอกสีฟ้าของมันน่าหลงใหลอย่างมาก
นอกจากนี้ รอบๆ สวนยังมีดอกพุดตานที่บานสะพรั่งสวยงาม ดอกมากาเร็ตที่เกสรตรงกลางเป็นสีเหลืองและกลีบดอกรอบๆ เป็นสีม่วง ดอกชบาสีขาวบริสุทธิ์ราวกับหิมะและอื่นๆ อีกมากมาย ดอกไม้พวกนี้สามารถออกดอกได้ถึงฤดูใบไม้ผลิ ดังนั้นตอนนี้สวนดอกไม้เล็กๆ แห่งนี้จึงถือเป็นวิวที่สวยงดงามเป็นอย่างมาก
วินนี่จับมือฉินสือโอวเดินไปมาในสวนดอกไม้ช้าๆ เธอหลับตาลงเป็นครั้งคราวเพื่อสูดดมกลิ่นหอมของดอกไม้ที่ลอยขึ้นมาในอากาศ ฉินสือโอวมองไปยังวินนี่ด้วยสายตาอ่อนโยน
พวกเขาเดินกันไปเรื่อยๆ โดยที่ไม่มีใครพูดอะไร พวกเขาเดินเล่นกันจนถึงช่วงพลบค่ำ กลิ่นหอมของดอกไม้กับแสงจันทร์ที่ส่องลงมานั้นทำบรรยากาศรอบๆ สวยงามเป็นอย่างมาก
ในที่สุดพ่อของฉินสือโอวก็เรียกเขาให้กลับบ้าน พ่อของเขาบอกว่าไม่ควรรบกวนกิจการในช่วงเย็นของคุณลุงฮิคสัน เพราะแบบนี้ บรรยากาศเงียบสงบสวยงามของสวนดอกไม้จึงถูกทำลายลง
ในตอนที่กำลังจะกลับบ้านนั้น ฉินสือโอวก็ถามคุณลุงฮิคสันออกมาว่า ดอกไม้ที่ปลูกในสวนนั้นซื้อมาจากที่ไหน เขาคิดอยากจะซื้อมาปลูกที่ฟาร์มปลาด้วยเหมือนกัน
คุณลุงฮิคสันหัวเราะออกมาเสียงดัง แล้วพูดว่า “ถ้านายอยากได้ล่ะก็ ลูกของฉัน พ่อคนนี้จะจัดการให้นายเอง นายจะไปซื้อทำไมกัน? ดอกไม้พวกนี้ไม่ใช่ว่าที่บ้านไหนก็มีกันหรอกเหรอ?”
ฉินสือโอวไม่สะดวกใจที่จะบอกว่าเขาอยากได้ดอกไม้หลายสายพันธุ์ แต่ว่าชายแก่คนนั้นก็หยิบดอกไม้มาให้เขาเป็นจำนวนมาก กล่องกระดาษใบใหญ่ใบหนึ่งบรรจุขวดพลาสติกอยู่เต็มไปหมด บนขวดพลาสติกเหล่านั้นแปะชื่อพันธุ์ดอกไม้แต่ละชนิดไว้ ส่วนข้างในขวดนั้นบรรจุเมล็ดดอกไม้หลายหลายชนิด
“ฉันรู้ความคิดของนาย เด็กน้อย นายอยากจะเปลี่ยนฟาร์มปลาให้เป็นบุตชาร์ตการ์เด้นแห่งที่สองใช่ไหม? ฟังฉันนะ นายต้องอย่าใจร้อน ค่อยเป็นค่อยไป ปลูกดอกไม้พวกนี้ก่อน เมื่อนายเลี้ยงพวกมันออกดอกสวยงามแล้ว ค่อยขายสวนดอกไม้ของนาย” คุณลุงฮิคสันพูดออกมาด้วยความจริงใจ
บุตชาร์ตการ์เด้นเป็นหนึ่งในสิบสวนดอกไม้ขนาดใหญ่ที่สวยที่สุดของโลก ตั้งอยู่ในเมืองวิคตอเรีย ประเทศแคนาดา โดยมีพื้นที่ทั้งหมดสามสิบห้าเฮกตาร์
ที่ดินที่เป็นที่ตั้งของสวนดอกไม้แห่งนี้นั้นมีตำนานเรื่องเล่ามากมาย เมื่อก่อนมันเคยเป็นพื้นที่ขุดหินปูนขาวของโรงงานผลิตปูนซีเมนต์ ในปี1904 นางบุตชาร์ตได้นำต้นไอวี่มาปกปิดกำแพงหินทั้งสี่ด้านที่ว่างเปล่า นอกจากนี้ยังนำก้อนหินที่ถูกทิ้งอย่างไร้ค่ามาทำเป็นกระถางปลูกต้นไม้ พันธุ์ไม้ชนิดต่างๆ จากทั่วทุกมุมโลกได้ถูกนำมาปลูกที่นี่
ตระกูลบุตชาร์ตหลายชั่วอายุคนทำงานกันอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยมาเป็นเวลาหลายศตวรรษ ในที่สุดพวกเขาก็สร้างสวนดอกไม้อันน่าทึ่งที่มีชื่อเสียงระดับโลกขึ้นมาได้
ในตอนที่ฉินสือโอวได้รับฟาร์มปลาต้าฉินมาดูแลนั้น เขาเคยคิดจะเปลี่ยนพื้นที่ที่เต็มไปด้วยหญ้ารกร้างของฟาร์มปลาให้กลายเป็นสวนดอกไม้ที่สวยงามสวนหนึ่ง ตอนนั้นเขาถึงกับให้เออร์บักไปหาสถาปนิกมาออกแบบสวนเลย จากนั้นสถาปนิกก็ได้เสนอราคามา การจะสร้างสวนที่สวยงามระดับโลกแบบนั้นต้องใช้เงินถึงหลายสิบล้านดอลลาร์แคนาดา แต่ในตอนนั้นเขาตกอยู่ภายใต้ความกดดันของสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ จึงทำให้ไม่ได้ดำเนินการต่อ
คุณลุงฮิคสันยกสวนดอกไม้เป่าลี่ขึ้นมาเป็นตัวอย่าง เขาหวังว่าฉินสือโอวจะได้เรียนรู้ถึงความอดทนของตระกูลบุตชาร์ต การทำสวนดอกไม้ต้องค่อยเป็นค่อยไป การใช้เงินไม่สามารถทำให้กองดินเกิดเป็นวิวทิวทัศน์ที่สวยงามแบบนั้นได้
ช่วงเวลาพลบค่ำของฤดูใบไม้ร่วง อากาศไม่ร้อนไม่หนาว ลมทะเลพัดมาเย็นสบาย แสงแดดจากพระอาทิตย์ที่กำลังตกดินฉายลงมาบนร่างของผู้คนนั้นทำให้ดูอบอุ่นยิ่งนัก
ฉินสือโอวเดินกอดไหล่พ่อของเขา ส่วนวินนี่ก็เดินจับมือแม่ของฉินสือโอว พวกเขาพากันเดินไปบนถนนในเมือง ผู้คนที่เดินสวนไปมานั้นมีทั้งนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติและคนพื้นที่ เสียงตะโกนขายของดังขึ้นเป็นครั้งคราว การก้าวเดินของผู้คนเป็นไปอย่างช้าๆ สะท้อนให้เห็นถึงจังหวะชีวิตของเมืองเล็กๆ แห่งนี้
ที่หน้าประตูร้านของชำของเผ่าซู ฮิวจ์คนน้องที่แต่งตัวสไตล์ฮิปฮอปกำลังทำการแสดงอยู่ที่หน้าร้าน รอบๆ เขานั้นมีนักท่องเที่ยวเข้ามาดูจำนวนไม่น้อย ในตอนที่ฉินสือโอวเดินผ่าน เขาก็ผิวปากขึ้นมาแล้วถามออกไปว่า “พ่อหนุ่ม ตอนนี้นายเป็นเถ้าแก่ร้าน โอเคไหม? อย่าทำอะไรที่นอกเหนือจากหน้าที่สิ”
ฮิวจ์คนน้องกระโดดโลดเต้นไปมาราวกับปลาคาร์ฟ เขามองไปพ่อแม่ของฉินสือโอวและคนอื่นๆ เขาพูดทักทายทุกคน แล้วพูดกลั้วหัวเราะว่า “ฉันไม่ได้ทำงานนอกเหนือหน้าที่ซะหน่อย ฉันกำลังทำการแสดงเรียกลูกค้าอยู่ นี่เป็นวิธีการทำการตลาดอย่างหนึ่งนะ ฉิน นายไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้หรือยังไง?”
ฉินสือโอวให้พ่อแม่กับของตนเข้าไปดูของในร้านของชำก่อน ส่วนเขาอยู่คุยกับฮิวจ์คนน้องต่อที่ด้านนอก เรื่องที่คุยกันเป็นเรื่องเกี่ยวกับสถานการณ์ธุรกิจช่วงนี้
ฮิวจ์คนน้องบอกกับฉินสือโอวว่า ช่วงนี้เป็นโอกาสที่ธุรกิจจะก้าวหน้าไปได้อย่างมาก นักท่องเที่ยวมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น อีกทั้งส่วนใหญ่ยังเป็นกลุ่มครอบครัวที่พาคนแก่และเด็กมาเที่ยวด้วย นักท่องเที่ยวกหลุ่มนี้มักจะชอบซื้อโสมอเมริกาและเครื่องหนังเป็นที่สุด
พ่อแม่ของฉินสือโอวและคนอื่นๆ เดินดูของรอบร้านไปมา ฮิวจ์คนน้องถามออกไปด้วยความร่าเริงว่าพวกเขาต้องการอะไรหรือไม่ แต่พวกเขากลับส่ายหน้า พวกเขาสามารถอ่านป้ายราคาในร้านได้ ทำให้รู้ว่าของพวกนี้ราคาค่อนข้างแพง
ฮิวจ์คนน้องเป็นคนขี้เล่นและใจกว้างเป็นอย่างมาก เขาหยิบกล่องผ้าที่ข้างในบรรจุโสมอเมริกาที่ดีที่สุดห้าชนิดออกมาส่งให้พ่อของฉินสือโอว และหยิบชุดเครื่องหนังที่ทำจากหนังแรคคูนสีขาวให้แม่ของฉินสือโอว จากนั้นก็ยกมือลูบหน้าอกของตัวเองแล้วพูดออกมาว่า “เพื่อนชาวจีนทั้งหลาย ฉันให้!”
พ่อของเขาและอื่นๆ จะรับได้อย่างไรกัน? เมื่อทุกคนเริ่มมีอาการเกรงใจ ฮิวจ์คนน้องจึงพูดออกมาในที่สุดว่า “ฉินช่วยพวกเรามาเยอะมาก ร้านค้าร้านนี้ของฉันที่เปิดทำการได้ ก็ต้องขอบคุณเขา ของพวกนี้ถือว่าเป็นคำขอบคุณแล้วกัน ถ้าหากว่าพวกคุณไม่รับไป ฉันจะถือว่าฉินนั้นไม่ให้เกียรติกัน”
“นี่มัน นี่มัน….” พ่อแม่ของฉินสือโอวหันมามองเขาอย่างขอความช่วยเหลือ
ฉินสือโอวโบกมือไปมา แล้วพูดว่า “รับไปเถอะ อันที่จริงของพวกนี้ต่อราคาลงมาแล้วก็ไม่ได้ราคาแพง”
ของพวกนี้รับไว้แล้วฮิวจ์จะได้สบายใจ อีกอย่างหากทำบัญชีตามที่เขาแนะนำ ร้านขายของชำนี้ไม่มีทางขาดทุนแน่นอน
เมื่อทุกคนเจอกับพวกของเชอร์ลี่ย์แล้ว พวกเขาก็เห็นว่าเด็กทั้งห้าคนนั้นกำลังนั่งกินไอศกรีมริมถนนกันอย่างสนุกสนาน ในปากของหู่จือและเป้าจือนั้นมีไข่ม้วนอยู่ข้างใน พวกมันกินไข่ม้วนอย่างหน้าชื่นตาบาน
บนพื้นนั้นมีถังน้ำสองใบและกระดาษลังวางอยู่ ที่ลังกระดาษนั้นถูกเขียนด้วยลายมือที่คดเคี้ยวไปมาว่า ‘เหยื่อปลาที่ดีที่สุด อร่อยไม่แพง ซื้อมากได้มาก ลดล้างสต๊อก เหยื่อปลาที่คนจีนทำเอง….’
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่า ลายมือนี้เป็นของเสี่ยวฮุยแน่นอน บางตัวที่เขียนไม่ได้ก็ยังเอาตัวพินอินมาแทนที่
ฉินสือโอวถามพวกเด็กๆ ว่า “พวกนายขายได้เงินกันมาเท่าไรเหรอ?”
เชอร์ลี่ย์เลิกคิ้วขึ้นแล้วยกนิ้วขึ้นนับ ส่วนเสี่ยวฮุยนั้นพูดขึ้นมาอย่างหมดความอดทนว่า “ง่ายจะตาย เมื่อกี้พวกเรานับแล้ว ถังแรกขายได้ห้าสิบเอ็ดดอลลาร์แคนาคา ถังที่สองขายได้หกสิบห้าดอลลาร์แคนาดา ซื้อไอศกรีมไปสิบห้าดอลลาร์แคนาดา ไข่ม้วนอีกห้าดอลลาร์แคนาดา เหลือเงินทั้งหมดเก้าสิบหกดอลลาร์แคนาดา”
เชอร์ลี่ย์รีบพยักหน้าทันที แล้วพูดขึ้นว่า “ใช่แล้ว เก้าสิบหกดอลลาร์แคนาดา วันนี้พวกเราหาเงินได้เกือบหนึ่งร้อยดอลลาร์แคนาดาเลยล่ะ”
…………………………………………………….
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น