ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง 340-342
ตอนที่ 340 เจ้ามารชั่วช้าลามก! ไปให้พ...
เพราะว่าเขาไม่เคยกระทำเรื่องบีบบังคับใดๆ กับตู๋กูซิงหลันมาก่อนเลย
แม้แต่ตอนแรกๆ ที่มาถึง ก็เพียงแต่โยนทิ้งเอาไว้ในตำหนักเย็นปล่อยให้แตกดับไปเอง
หากว่าที่พวกมันได้เจอเป็นท่านปู่ของจีเฉวียน เกรงว่าคงจะต้องตายไปแล้วไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ
อยู่ๆ วิญญาณทมิฬก็ชักจะรู้สึกว่า อีกหน่อยคงต้องพูดเรื่องเสียๆ หายๆ ของเจ้าฮ่องเต้สุนัขให้น้อยๆ ลงไปสักหน่อย
มิเช่นนั้นถ้าเกิดว่าไปกระทบถูกต่อมหงุดหงิดของจีเฉวียนเข้า แล้วเขาก็หัวร้อนระเบิดขึ้นมา ที่โชคร้ายคงจะต้องเป็นพวกมันนั่นเอง
ฉู่เจียงมองดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในความทรงจำทั้งหมดร่วมกับตู๋กูซิงหลัน
สีหน้าของเขาเองก็มิได้ดีสักเท่าไร ผ่านไปอีกพักใหญ่ จึงได้ถอนหายใจพลางเอ่ยออกมา “ดังนั้นข้าถึงได้ชิงชังพวกมนุษย์ พวกมันเจ้าเล่ห์กลิ้งกลอกโหดเ**้ยมเสียยิ่งกว่าพวกภูติผีปีศาจที่ข้าเคยเจอในนรกเสียอีก”
“ตอนนั้น…เจ้าก็เอาแต่มองดูเช่นนี้น่ะหรือ?” ตู๋กูซิงหลันหันศีรษะไปอย่างช้าๆ จ้องมองดูฉู่เจียง
“มนุษย์ต่างก็มีโชคชะตาของตนเอง ข้าย่อมไม่เข้าไปแทรกแซง” ฉู่เจียงนั่งอยู่ตรงข้ามกับนาง “ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าคิดว่าข้าเป็นคนดีมีเมตตาหรือไร?”
ตู๋กูซิงหลันพูดอะไรกับเขาไม่ออก หากให้ยกเหลียงเซิงเซิงมากลั่นแกล้งเขาล่ะก็ นางสามารถทำได้สามวันสามคืนเลยทีเดียว
เพียงแต่ว่าตอนนี้ไม่มีอารมณ์แล้ว ชะตากรรมของเจียงเย่ว ทำให้นางพลอยทุกข์ใจ
ยิ่งไปกว่านั้น ร่างกายนี้ก็เป็นหลานสาวแท้ๆ ของนางอีกด้วย
จะอย่างไรเสียสายเลือดก็เชื่อมถึงกัน ความรู้สึกเจ็บปวดราวกับถูกแทงหัวใจนั้น นางรู้สึกได้อย่างชัดเจนเกินไปแล้ว
เรื่องเช่นนี้มิว่าเกิดขึ้นกับผู้ใดก็ตาม ก็สามารถทำให้คนผู้นั้นใจสลายได้ทั้งนั้น
“เรื่องที่ปฐมฮ่องเต้ต้าโจวกระทำกับท่านย่าของเจ้า ถึงตอนนี้เจ้าก็รู้เรื่องทั้งหมดแล้ว แล้วตอนนี้เจ้ายังจะปฏิบัติต่อจีเฉวียนเหมือนดังเดิมหรือไม่?” ฉู่เจียงถามไถ่ด้วยความสนใจ
สาวน้อยผู้นี้ช่างน่าสนุกจริงๆ คืนวันก่อนนั้นมัวแต่ยุ่งเกินไป จึงมิทันได้สังเกตให้ดี
ตอนนี้เขาถึงได้พบว่าภายใต้ร่างเนื้อร่างนี้ ยังมีเรื่องราวซับซ้อนอื่นอยู่อีก
ก่อนหน้านี้ผู้ที่ใช้พลังของหยกสรรพชีวิตต่อกรกับเขา คงจะเป็นนางสินะ?
“ยมราชฉู่เจียง ท่านสนใจเรื่องของผู้อื่นมากไปแล้ว” ตู๋กูซิงหลันถลึงตามองเขา ที่เขาโผล่ออกมาจากหมอกแดงมาแสดงร่างที่เก่งกาจเกรียงไกรอยู่ตรงหน้านาง ก็เพียงเพื่อจะมาแอบฟังเรื่องราวของผู้อื่น?
“แส่เรื่องชาวบ้านนั้นเป็นงานของพวกนักพรต ข้ากลับไม่มีความสนใจ” ฉู่เจียงส่ายศีรษะ ยื่นปลายนิ้วนิ้วหนึ่งชี้ไปที่ตัวนาง “ข้าเพียงแต่สนใจในตัวเจ้าอยู่บ้าง ไม่รู้ว่าภายใต้เนื้อหนังนี้ จะเป็นจิตวิญญาณที่สวยงามหรือไม่?”
ว่าแล้วเขาก็ยื่นปลายนิ้วออกมานิ้วหนึ่ง เห็นอยู่ว่ากำลังจะสัมผัสลงไปบนหน้าผากของตู๋กูซิงหลัน
ทันใดนั้นเอง ผ้าม่านของรถม้าก็เปิดออก
ฮ่องเต้นำพระวรกายที่เย็นยะเยือกเสด็จเข้ามา
ทันทีที่พระองค์เสด็จ ฉู่เจียงก็สลายร่างกลายเป็นหมอกสีแดงลอยออกไปทางหน้าต่าง
เขายังไม่คิดจะพัวพันกับฮ่องเต้องค์นี้ในตอนนี้
จีเฉวียนเองก็มิได้ตาบอด พระองค์ย่อมรู้สึกได้ถึงบรรยากาศภายในรถม้า เพียงแต่มิได้กระโตกกระตากออกไป ก็นั่งลงที่ข้างกายตู๋กูซิงหลัน
พอจีเฉวียนมาถึง ในสมองของนางก็ผุดภาพอันโหดเ**้ยมบ้าคลั่งของจีจ้านเสด็จปู่ของเขาขึ้นมา
ดวงพักตร์ของจีเฉวียนกับจีจ้านละม้ายคล้ายคลึงกัน
พอตู๋กูซิงหลันมองอยู่ครู่หนึ่งก็ชักจะเห็นคนเป็นจีจ้านขึ้นมา
“ซิงซิง เรื่องของเมืองกู่เย่วใกล้จะเรียบร้อยแล้ว พรุ่งนี้เราจะพาเจ้ากลับวัง”
น้ำเสียงของจีเฉวียนเองก็คล้ายคลึงกับจีจ้านอยู่หลายส่วน พอพระองค์เอ่ยพระโอษฐ์ตรัสออกมา ในสมองของตู๋กูซิงหลันก็เกิดเป็นภาพที่ไม่น่าพิสมัยเท่าไหร่นัก
จีเฉวียนเห็นสีหน้าของนางไม่สู้ดี ก็ยื่นพระหัตถ์มาจับนาง
ยังไม่ทันจะสัมผัสกับมือของตู๋กูซิงหลัน ก็ถูกนางตบหน้าไปฉาดหนึ่ง “จอมมารชั่วช้าลามก! ไปให้พ้นนะ!
จีเฉวียน “?”
เขาก็แค่ไปดูเหลียงป๋อถูกฝังด้วยตนเองเท่านั้น ไปทำเรื่องชั่วช้าสามานย์ที่ไหนให้นางต้องไม่ยินดีกัน?
ฝ่าบาททรงหันไปทอดพระเนตรวิญญาณทมิฬที่ซุกตัวอยู่ในมุม
“สตรีอารมณ์เสียมีสาเหตุได้นับร้อยนับพันประการ อย่ามามองข้า ข้าเองก็ไม่รู้ เรื่องพรรณนี้ต้องใช้ความเข้าใจ”
เมื่ออยู่ต่อหน้าตู๋กูซิงหลัน จีเฉวียนย่อมไม่กล้าทำอะไรวิญญาณทมิฬ
ในสมองของพระองค์ปรากฏคำสั่งสอนของภรรยาซุนต้มยาขึ้นมาก่อน ระหว่างคนสองคน ไม่ว่าฝ่ายสตรีจะโกรธเกรี้ยวด้วยเรื่องอันใด ไม่ว่าจะใช่ความผิดของตนเองหรือไม่ ก็ให้ขอโทษออกไปก่อน
ถึงแม้ว่าฝ่าบาทจะทรงรู้สึกว่าวิธีการนี้น่าอับอายแต่พอเห็นตู๋กูซิงหลันไม่ยุ่งเกี่ยวหรือสนใจพระองค์ขึ้นมา ความกังวลนั้นก็หมดค่าไป
ในเมื่อพระองค์พระพักตร์หนาขนาดมิว่าเช่นไรก็ต้องไล่จีบให้ได้ ถ้าเช่นนั้นยังจะต้องมากังวลใส่ใจรักษาหน้ากันไปเพื่ออะไร
“ซิงซิง เราผิดไปแล้ว”
สีพระพักตร์ของฝ่าบาทเป็นจริงเป็นจัง สองพระหัตถ์ประคองใบหน้าของนางเอาไว้ “ต่อไปเราจะไม่เป็นจอมมาร ไม่เป็นชายเจ้าชู้ อย่าได้ผลักไสเราออกไปจะได้ไหม?”
ถึงแม้ว่าฝ่าบาททรงไม่คิดว่าพระองค์เองจะเป็นปีศาจในที่ใด และก็มิใช่บุรุษเจ้าชู้
แต่ก็เอาเถอะ….พระองค์ก็มีลูกเล่นพอตัวอยู่บ้าง ในใจก็มีแผนการณ์อยู่ไม่น้อย
แต่นั่นสมควรเรียกว่าชาญฉลาดมิใช่หรือ?
อีกอย่างต่อหน้านางก็ทำตัวโง่หน่อยก็ได้?
จีเฉวียนทรงตรัสพลางก็นวดใบหน้านางเบาๆ
อืม หลายวันมานี้ขุนได้ไม่เลว อ้วนขึ้นบ้างแล้ว
ตู๋กูซิงหลัน “!!!”
สวรรค์ทรงโปรดเถอะ นางยังรู้สึกว่า
ตนเองยังไม่ทันได้หลุดออกจากเรื่องที่เจียงเย่วสูญสิ้นชาติบ้านเมือง ก็มาเจอกับท่าทีของจีเฉวียนเช่นนี้ ทำเอาสติและจิตของนางจะแตกซ่านอยู่แล้ว
นี่มันคือการสืบทอดพันธุกรรมกันมาหรือไร หากจีเฉวียนมิทรงตรัสออกมา ก็คล้ายคลึงกับจีจ้านมากไปแล้ว
พอคิดถึงวิธีการที่ชั่วร้ายปานปีศาจของจีจ้าน ตู๋กูซิงหลันก็รู้สึกตัวสั่นสะท้าน เหงื่อแตกขนลุกขึ้นมา
จีเฉวียนเห็นนางสั่นสะท้านหนาวยะเยือก ก็คิดว่าตนเองแสดงออกได้ธรรมดาจนเกินไปแล้ว
พระองค์คิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็แย้มสรวลออกมา มุมปากขยับโค้ง ดวงตาโค้งๆ หัวคิ้วก็โค้งด้วย
ภรรยาของซุนต้มยากล่าวเอาไว้ เวลายิ้มให้เห็นฟันทั้งซี่ออกมาเป็นรอยยิ้มที่อ่อนโยนที่สุด
สตรีชมชอบบุรุษที่อ่อนโยน ฝ่าบาทไม่อาจขึงขังมากไป จะต้องอ่อนโยน
ฝ่าบาทย่อมทรงทำตาม
แต่คราวนี้ กลับทำให้ตู๋กูซิงหลันตกใจแทบตายแล้ว
รอยแย้มสรวลของฮ่องเต้สุนัขยิ้มออกมาดูน่าตื่นตระหนกราวกับว่าเป็นปีศาจ
ทันใดนั้น เงาของจีจ้านในสมองของนางก็ขยายใหญ่ขึ้น ตู๋กูซิงหลันกระเถิบไปซุกอยู่อีกด้านหนึ่งทันที สองมือกอดอกเอาไว้ กล่าวอย่างระมัดระวังว่า “ท่านคิดจะทำอะไร?”
จีเฉวียนขมวดพระขนง ปล่อยพระหัตถ์ที่ประคองใบหน้าของนางเอาไว้กลับมา ด้วยความสับสนในพระองค์เอง
พระองค์แย้มสรวลไม่น่าดูหรืออย่างไร? ทำไมสีหน้าของนางถึงได้เป็นเช่นนี้
ทรงเหลือบพระเนตรไปมองดูถวนจื่อที่อยู่ข้างหลังนาง
วิญญาณทมิฬตื่นตระหนกจนขนลุกชัน
ฮ่องเต้สุนัขยิ้มขึ้นมาล้วนไม่มีเรื่องดี ทั้งยังยิ้มได้แข็งทื่อและน่าสยอง
นี่คิดว่าตนเองเป็นปีศาจหรืออย่างไร?
ฝ่าบาททรงรู้สึกว่าพระองค์ล้มเหลวอยู่บ้าง พระเศียรตกลงมาอย่างไม่เกรงใจ ราวกับว่าเป็นเด็กน้อยที่กระทำความผิด
ในพระทัยครุ่นคิดถึงแต่ ‘รอยยิ้มแสนอบอุ่น’ ที่ลอบฝึกฝนมาหลายสิบรอบ ขณะที่ตู๋กูซิงหลันคิดว่าแรงกดดันจากเขาลดต่ำลงจนถึงขนาดจะกลายเป็นซึมเศร้านั้น ฝ่าบาทก็ทรงเงยพระพักตร์ขึ้นมาในทันทีทันใด
เผยรอยแย้มสรวลที่ทั้งแข็งทื่อและสยดสยองออกมา
ฟันใหญ่ๆ สีขาวนั่น….ไม่เอาไปปอกหัวแครอทช่างเป็นเรื่องที่น่าเสียดายจริงๆ
“ซิงซิง เราตัดสินใจจะเปลี่ยนแปลงตนเอง เรื่องที่รับปากเจ้าเอาไว้จะต้องทำให้สำเร็จให้ได้ หากว่าทำได้ไม่ดี เจ้าก็โบยเราได้เลย เราจะตั้งใจแก้ไข” ฝ่าบาททรงพยายามรักษารอยยิ้มเอาไว้ ยื่นพระหัตถ์มากระตุกชายเสื้อของนาง “ดังนั้น อย่าโกรธเลยได้ไหม นะ นะ โกรธแล้วจะแก่เร็วน้า”
ตู๋กูซิงหลันกันวิญญาณทมิฬ “!!!”
พวกนางชักจะเชื่อว่าฝ่าบาททรงถูกสิงเข้าแล้ว
——
ตอนต่อไป “ซิงซิงคือความโชคดีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเรา”
ตอนที่ 341 ซิงซิงคือความโชคดีที่ยิ่งใ...
จีเฉวียนทรงคว้าชายเสื้อของตู๋กูซิงหลันเอาไว้ไม่ยอมปล่อย ทำพระองค์งุ้งงิ้งอย่างน่าสงสาร
สายตานั้นเหมือนกับลูกสุนัขน้อยที่ถูกเจ้านายทอดทิ้งไม่มีผิด
สวรรค์! ตู๋กูซิงหลันคิดไม่ถึงมาก่อนเลย ว่าจะได้เจอเงาของลูกสุนัขน้อยจากร่างของสุนัขแก่เจ้าเล่ห์ผู้นี้
ผ่านไปอีกพักใหญ่นางถึงได้เอ่ยออกมาประโยคหนึ่ง “ลูกหมา…..สุนัขเฒ่า พระองค์เก่งมาเลยเพคะ”
จอมมารนั้นคือปู่ของเขา ตู๋กูซิงหลันย่อมไม่สมควรจะเอาความเกลียดชังมาลงใส่จีเฉวียนเพราะจีจ้านเป็นเหตุ
“ซิงซิง เจ้ายอมชมเราแล้ว แสดงว่าให้อภัยเราแล้วใช่หรือไม่?” จีเฉวียนแย้มพระสรวลอย่างยินดี แย้มสรวลจนดวงพักตร์บานเหมือนดั่งดอกเก็กฮวยในถาด
อยู่ๆ ตู๋กูซิงหลันก็รู้สึกว่า ในตัวของพระองค์มิได้มีแต่เงาของลูกสุนัขน้อย แต่ยังมีอารมณ์ใสซื่อจนโง่งมอยู่ด้วย
เกือบจะลืมไปเสียแล้ว จุดประสงค์ที่ก่อนหน้านี้นางชมว่าเขาเป็นสุนัขเฒ่า
“ฝ่าบาท หม่อมฉันไม่ได้โกรธพระองค์”
นางพิงตัวลงไปกับเบาะ มองดูภูเขาฝูซางซานที่มีแต่วิญญาณแค้นล่องลอยอยู่เต็มภูเขาไปหมด หัวใจก็ต้องรู้สึกหน่วงๆ ขึ้นมาอีกครั้งสุดท้ายแล้วจีจ้านไม่เพียงแต่ฆ่าล้างครอบครัวของเจียวเย่ว แต่แม้กระทั่งพสกนิกรของนางก็ยังฆ่าทิ้งทั้งหมด
คำที่เขาให้สัญญากับนาง ไม่มีอะไรที่จริงเลยสักอย่าง
ฟ่านอิงตายอย่างอนาถ บ้านเมืองล่มจม แว่นแคว้นล่มสลาย เจียวเย่วจึงกลายเป็นเพียงศพเดินได้ที่ไร้ชีวิตและจิตใจ
หลังจากนั้นก็คงจะถูกจีจ้านบังคับให้ไปยังเมืองหลวงของต้าโจวกระมัง ……เพียงแต่ว่าสุดท้ายแล้ว ไม่รู้ว่าทำไม เจียวเย่วถึงได้แต่งให้กับตู๋กูถิง
ในลูกแก้วไม่มีความทรงจำที่ถูกบันทึกเอาไว้เหลืออยู่แล้ว ปฐมฮ่องเต้และเหลียงป๋อก็จากไปแล้ว คนเดียวที่ยังรู้เรื่อง ก็คือท่านปู่ของร่างนี้ ตู๋กูถิง
สำหรับตู๋กูซิงหลันแล้ว หากว่านางคือไทเฮาน้อยจริงๆ ล่ะก็ บางทีต่อไปอาจจะไม่อาจเผชิญหน้ากับจีเฉวียนแบบดีๆ ได้อีกแล้ว
เนื่องเพราะจะอย่างไรท่านปู่ของเขาก็ได้ทำร้ายท่านย่าของนางทั้งชีวิต
ขนาดนางที่ไม่ใช่ตัวจริง ในใจก็ยังรู้สึกไม่สบายใจเลย
วิญญาณแค้นในภูเขาฝูซางซานต่างก็แยกเขี้ยวกางเล็บ วิญญาณทุกดวงต่างก็กรีดร้องด้วยความทรมานขณะมองมาทางจีเฉวียน หากมิใช่เพราะว่าโซ่ตรวนเหล่านั้นรัดรึงเหล่าวิญญาณเอาไว้อย่างแน่นหนา เกรงว่าพวกมันคงจะพากันพุ่งเข้ามาฉีกกระชากแยกร่างจีเฉวียนออกเป็นส่วนๆ ไปแล้ว
เพราะว่าเขาก็คือฮ่องเต้แห่งต้าโจว และยิ่งเพราะว่ามีรูปลักษณ์คล้ายคลึงกับจีจ้านท่านปู่ของเขาอยู่หลายส่วน
เมื่อเผชิญหน้ากับจีเฉวียน วิญญาณแค้นเหล่านั้นก็เสมือนได้เผชิญหน้ากับจีจ้านอย่างไรอย่างนั้น
ฉู่เจียงอยู่ด้านหลังของวิญญาณแค้นเหล่านั้น เขานั่งอยู่บนต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ในมือมีโซ่ตรวนสีแดงอยู่มากมาย
วิญญาณแค้นเหล่านั้นถูกเขาจับมัดตรึงเอาไว้ เป็นดังที่เขาเคยบอก ทุกสิ่งที่อยู่ในเขาฝูซางซานนี้ ล้วนแล้วแต่เป็นของเขา
ในเมื่อเป็นถึงหนึ่งในสิบยมราช ย่อมไม่อาจทนดูให้วิญญาณแค้นทั้งหลายไปทำร้ายพวกมนุษย์
สุดท้ายแล้ว เขาก็ยังคงหลงเหลือความรับผิดชอบในฐานะที่เป็นยมราชเอาไว้อยู่
เพียงแต่ว่าผ่านมาก็ตั้งนานหลายปีแล้ว วิญาณแค้นเหล่านี้ก็ยังไม่ได้รับการปลดปล่อย ไอแค้นยิ่งทียิ่งเพิ่มพูนมากขึ้นทุกวัน
สุดท้ายแล้วก็มีไม่น้อยที่กลายร่างไปเป็นปีศาจชั่วร้าย เมื่อไร้หนทางช่วยเหลือได้อีก ก็ต้องถูกเขากลืนกินลงไป
ดวงตาของฉู่เจียงในยามนี้เอาแต่จับจ้องอยู่ที่ตู๋กูซิงหลันและจีเฉวียน
วันนี้เป็นเพราะการมาของจีเฉวียน เหล่าวิญญาณแค้นที่กำลังอาละวาด หากมิใช่เพราะว่าถูกเขากักขังเอาไว้ เกรงว่าผลลัพธ์คงไม่อาจคาดคิด
จีเฉวียนมองดูสาวน้อยที่อยู่ข้างกาย แล้วก็หันไปมองภูเขาฝูซางซานที่ด้านนอก
“ซิงซิง ต่อไปเราจะต้องปกครองดินแดนแห่งนี้ทั้งหมด” พระองค์ตรัส
“แต่เราจะไม่เข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์” จีเฉวียนยังคงคว้าชายเสื้อของนางเอาไว้ดังเดิม “คนใต้หล้าต่างก็คิดว่าเราไร้เมตตา แต่กลับไม่เคยรู้ว่าเรามีความเห็นอกเห็นใจให้มากเพียงไร”
พระองค์จะกลายเป็นประมุขผู้ครองดินแดน นี่เป็นโชคชะตาของพระองค์
และขั้นตอนแต่ละขั้นเหล่านี้ย่อมต้องแลกมาด้วยชีวิตและโลหิต เรื่องนี้ย่อมไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
แต่ว่าพระองค์จะพยายามอย่างที่สุดเพื่อหลีกเลี่ยงการฆ่าฟันผู้บริสุทธิ์ เนื่องเพราะจุดประสงค์แรกของพระองค์ก็เพื่อให้ใต้หล้านี้สงบสุขร่มเย็น
เด็กได้รับการปกป้อง คนชรามีที่พึ่งพิง อิ่มอุ่นไม่ขาดแคลน สงบสุขทั้งแผ่นดิน
ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ในชั่วขณะนั้น ตู๋กูซิงหลันเกิดความรู้สึกประทับใจในจีเฉวียนขึ้นมาทีละนิดทีละน้อย
ฮ่องเต้สุนัขแม้จะซ่อนความร้ายกาจไว้ภายในและเจ้าเล่ห์เพทุบาย แต่ว่าในฐานะของฮ่องเต้แล้ว เขาถือว่าใช้ได้
“ฝ่าบาทจะต้องทรงเป็นผู้นำที่ปราดเปรื่องอย่างแน่นอน” ตู๋กูซิงหลันยิ้มจางๆ “ทำความดีวันละอย่าง นำมาร้อยเรียงเป็นกุศลยิ่งใหญ่ ส่งผลให้ได้รับความสุขความดีในชาติหน้า”
“เราไม่มุ่งหวังชาติหน้า เพียงหวังในชาตินี้” จีเฉวียนยื่นพระหัตถ์ไปลูบไล้เส้นผมของนาง “ซิงซิงก็คือกุศลอันยิ่งใหญ่ของเรา”
อ้ายย่าห์! ดูเอาเถอะ! ตู๋กูซิงหลันค้นพบว่าคำหวานของฮ่องเต้สุนัขก้าวหน้าขึ้นทุกวันจนฟังแล้วใจสั่นเข้าไปทุกที
วิญญาณที่อยู่ด้านข้างร้องเพลงขึ้นมา ‘ทุกสิ่งมีเหตุส่งให้เกิดผล สิ่งตอบแทนที่เขาต้องการก็คือเจ้า’
นางไม่ใช่บุญกุศลตอบแทนอันใดของจีเฉวียนสักหน่อย ถ้าจะใช่ก็คงเป็นเคราะห์กรรมมากกว่า
จีเฉวียนทรงฟังแล้ว ก็มิได้หันไปเอาเรื่องกับวิญญาณทมิฬ เพียงแต่ประคองใบหน้าของนาง จูบลงไปบนหน้าผากอีกครั้ง
แผ่วเบาราวกับจูบหอมบุตรสาวสุดที่รัก
ตู๋กูซิงหลันรู้สึกชาๆ บนหน้าผาก ทั้งยังคันนิดๆ
นางเบือนหน้าออกไป มองดูทิวทัศน์ด้านนอก “ข้าคิดจะชำระวิญญาณแค้นเหล่านี้ มิทราบว่าฝ่าบาทจะทรงช่วยเหลือข้าได้หรือไม่?”
ถึงแม้ว่าวิญญาณแค้นมากมายที่กลายเป็นปีศาจจะถูกฉู่เจียงจับกลืนกินไปแล้ว แต่ว่าก็ยังมีอีกนับพันที่กำลังทำท่าถมึงทึงอยู่ในตอนนี้
ชำระวิญญาณนับหมื่น บอกว่ายากก็ยากอยู่ บอกว่าไม่ยากก็ไม่ยาก
นักพรตโดยทั่วไป แต่ละครั้งอย่างมากก็สามารถชำระวิญญาณได้ทีละสองสามตน
หากสามารถชำระวิญญาณได้ครั้งละร้อยตนก็ต้องถือว่าเก่งกาจสุดยอดแล้ว
หากจะชำระวิญญาณมากถึงแสนตนในครั้งเดียว….เกรงว่ามีแต่อาจารย์ของนางซื่อมั่วเท่านั้นที่ทำได้
วิญญาณทมิฬร้องด้วยความประหลาดใจขึ้นมา “หลันหลัน เจ้าอย่าได้ฝืนเกินไป วิญญาณแค้นเหล่านี้ให้ข้ากินบ้างก็ได้….”
คิดจะชำระทั้งหมด คงยากเกินไปแล้ว
“หากว่าเป็นการทำให้ร่างกายของเจ้าต้องอ่อนล้า เราจะไม่อนุญาต” จีเฉวียนทอดพระเนตรออกไปด้านนอก
“เราจะสั่งให้พวกอู๋เจินมาที่นี่และชำระวิญญาณแค้นพวกนี้ เหล่านักพรตในอารามเทียนเก๋อกวนอยู่ว่างๆ น่าเบื่อเกินไปแล้ว สมควรทำความดี สร้างกุศลให้มาก คิดว่าอู๋เจินก็คงยินดี”
นักพรตอู๋เจินที่อยู่ห่างจากฮ่องเต้ไกลแสนไกล อยู่ๆ ก็จามครั้งใหญ่ๆ ติดๆ กัน
ธูปที่พึ่งจะจุดบูชาบรรพอาจารย์อยู่อยู่ก็ดับไป อู๋เจินรีบนับนิ้วทำนายทายทัก
ตกอยู่ในอันตราย! เคราะห์ร้ายมาเยือน!
หากว่าไทเฮาน้อยยังอยู่ล่ะก็ บางทีอาจช่วยให้รอดพ้นไปได้ แต่เพราะเรื่องสระสวรรค์ครั้งก่อน ……ไทเฮาน้อยถึงกับทรง……
ที่เชิงเขาฝูซางซาน ตู๋กูซิงหลันรู้สึกว่าอู๋เจินช่างน่าสงสารอยู่บ้าง
ในมือของนางปรากฏยันต์สีชาดผืนหนึ่ง ยื่นส่งไปถึงเบื้องหน้าจีเฉวียน
“ขอฝ่าบาททรงระลึกถึงพระทัยเมตตาที่ทรงมีต่อใต้หล้า หยดพระโลหิตลงบนยันต์แผ่นนี้”
จีเฉวียนทอดพระเนตรมองดูยันต์สีชาด ก็ย้อนคิดไปถึงยามที่อยู่ในโลงทองแดง นางใช้ยันต์สีชาดเช่นนี้กักตัวพระองค์ ขณะที่ไม่อาจขยับพระองค์ได้นั้นนางก็หายไป
พอตอนนี้ได้เห็นยันต์แบบเดียวกัน จีเฉวียนก็ทรงต่อต้านขึ้นมา
กลัวว่านางจะหนีจากไปเหมือนตอนนั้น
“ซิงซิง เจ้าจะกลับไปกับเรา ใช่ไหม?”
พระองค์ตรัสถามออกไป ด้วยทีท่าน่าสงสาร
ตู๋กูซิงหลันไม่เข้าใจเลยว่าอยู่ๆ เขาจะถามเรื่องนี้ออกมาทำไม ตอนนี้นางไม่สามารถกลับไปยังโลกปัจจุบันได้ ทั้งยังมีฐานะเป็นไทเฮาน้อย ย่อมต้องกลับไปอยู่แล้ว
เอาไว้ขาหายแล้วค่อยว่ากันอีกที
ตู๋กูซิงหลันผงกศีรษะ “ใช่อย่างแน่นอน”
“ห้ามไม่ให้เจ้าหลอกลวงเรา หลอกลวงเราคือหมิ่นเบื้องสูง หมิ่นเบื้องสูงต้อ….”
ตู๋กูซิงหลันคว้าลำคอของตนเองในทันที “ตัดหัวสุนัขของข้า?”
จีเฉวียน “…..”
——
ตอนต่อไป “เผ่ามังกรตะวันตก”
ไรท์: ไฮ้ย่าห์ มังกรก็มา?
ตอนที่ 342 เผ่ามังกรตะวันตก
วันๆ ต้องคอยมานั่งกังวลว่าจะถูกเขาตัดหัวเช่นนี้ สมองของนางคงเติบโตอย่างไม่ค่อยสม่ำเสมอเท่าไหร่
พระองค์ส่งริมพระโอษฐ์ออกไป สัมผัสกับริมฝีปากของนางแผ่วเบาราวแมลงปอแตะผ่านผิวน้ำ
“หากโกหก เราก็จะจูบเจ้า ต่อให้ไล่ตามไปถึงขอบฟ้าจรดมหาสุมทรก็จะตามไปจูบเจ้า”
วิญญาณทมิฬรู้สึกว่ามันกำลังจะขาดใจตายอยู่แล้ว
วิชาจีบสาวของเจ้าฮ่องเต้สุนัขแตกฉานถึงขั้นไหน?
ผู้ที่สมควรจะต้องมาศึกษามากที่สุดก็คือตอไม้ซื่อมั่วผู้นั้น!
ดูฝีปากของบุรุษผู้นี้สิ หวานปานน้ำผึ้งอย่างไรอย่างนั้น
ตู๋กูซิงหลันเองก็ตกตะลึงไป ยันต์สีชาดในมือเบาหวิวลงไป นางยังไม่ได้ทันตอบรับเขาแท้ๆ …. ทำไมถึงได้รู้สึกเหมือนกับว่าเป็นคู่ที่กำลังเริ่มคบหากันอย่างไรอย่างนั้น?
เอะอะก็กอดจูบ ประเด็นสำคัญก็คือนางเองก็มิได้ปฏิเสธ
แต่ถึงจะปฎิเสธไปก็คงจะไม่มีผลอะไร…..เพราะฮ่องเต้สุนัขหน้าหนาอย่างกับอะไรดี
“อะเฮอะ อะเฮอะ” ขนาดนางยังทำหน้าไม่ถูกเสียแล้ว
“พวกเราจัดการเรื่องสำคัญให้เรียบร้อยก่อนดีหรือไม่? ท่านก็เห็นว่าขาของข้าใช้การไม่ได้แล้ว ข้ายังจะไปที่ใดได้”
“ไม่ไปแน่ๆ?” ฮ่องเต้ทรงขอคำรับรองถึงสามรอบ
“ไม่ไปหรอกเพคะ” ตู๋กูซิงหลันยิ้มอย่างว่างง่ายในใจก็ครุ่นคิดว่า หากจะไปก็ต้องรอให้มีโอกาสก่อนถึงจะหนีไปได้
คราวนี้ พระทัยของจีเฉวียนถึงได้ผ่อนคลายลง
จากนั้นก็ถึงรอบโหดแล้ว พระองค์ชักกริชสั้นเล่มหนึ่งออกมาจากข้างฉลองพระบาทตวัดลงไปบนหลังพระหัตถ์ครั้งหนึ่ง โลหิตทะลักออกมามากมาย สาดกระจายลงไปบนยันต์สีชาดแผ่นนั้น
ยันต์สีชาดเรืองแสงขึ้นมา ตู๋กูซิงหลันเองก็มิได้ลังเลแม้แต่น้อย นางกรีดปลายนิ้วของตนเอง หยดเลือดลงไปบนแผ่นยันต์ แล้วก็เขวี้ยงยันต์ที่อาบโลหิตของทั้งสองขึ้นไปบนภูเขาฝูซางซาน
จากนั้นนางก็ประกบมือทำปางต่างๆ ออกมา ริมฝีปากท่องคาถาชำระวิญญาณ
แสงสว่างจากยันต์สีชาดสาดส่องลงมาโอบล้อมดวงวิญญาณที่คับแค้นเอาไว้
เพียงครู่เดียวเหล่าดวงวิญญาณก็สงบเสงี่ยมลง สีแดงเลือดในดวงตาทั้งสองข้างค่อยๆ จางหายไป
ไทเฮาน้อยเป็นทายาทรุ่นหลังขององค์หญิงเย่ว ในร่างมีสายโลหิตของชาวกู่เย่วไหลเวียนอยู่
วิญญาณแค้นเหล่านี้ย่อมรับรู้ได้
เสียงสวดคาถาส่งวิญญาณสู่สาขวดี [1] ดังกึกก้องไปทั่วทุกมุมของภูเขา แม้แต่ฉู่เจียงยังตะลึงงันไป
นางมีความสามารถถึงกับชำระวิญญาณแค้นจำนวนมากมายขนาดนี้?
นี่ใช่ความฝันหรือไม่
วิญญาณแค้นนับแสนดวง แค่พลังแค้นที่มีอยู่ก็แทรกซึมอยู่ในทุกดอกไม้ใบหญ้าของภูเขาฝูซางซานแล้ว อาศัยเพียงแค่ยันต์แผ่นเดียวก็คิดจะชำระวิญญาณแค้นทั้งหมดให้หมดจรด คิดช่วยปลดปล่อยพวกเขา?
ใต้หล้านี้กลับมีคนที่ไม่รู้จักประมาณตนมากเกินไปเสียแล้ว
ตู๋กูซิงหลันเองก็เป็นหนึ่งในนั้น
เขากำกุญแจตรวนขังวิญญาณเอาไว้ในมือ ดวงตาหรี่ลงจนเป็นเส้นเดียว จับตาดูอยู่จากมุมหนึ่ง
คาถาชำระวิญญาณดังอยู่ที่ริมหูของเขา น้ำเสียงของสาวน้อยเรียบลื่นนุ่มนวลน่าฟังดุจสายน้ำรินไหล แม้แต่ฉู่เจียงเองฟังแล้วก็ยังพลอยรู้สึกดื่มด่ำไปด้วย
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเพียงไร สายตาของเหล่าวิญญาณแค้นทั้งหลายต่างก็พากันสงบเรียบลงในร่างวิญญาณของพวกเขาบังเกิดแสงสว่างน้อยๆ ส่องประกายวาบขึ้นมา
พลังของยันต์สีชาดกระจายเข้าสู่วิญญาณของพวกเขา ขับไล่แรงแค้นที่อยู่ภายในดวงวิญญาณออกไป
ดวงวิญญาณแค้นแต่ละดวงค่อยๆ กลับคืนสู่รูปลักษณ์เดิมที่เคยเป็นของตน
แคว้นกู่เย่วครั้งหนึ่งเคยเป็นชนเผ่าที่มีราชวงค์สูงศักดิ์ พรั่งพร้อมไปด้วยขุนนางบุ๋นบู๊ พสกนิกรทั้งหลาย ยามนี้ทั้งหมดต่างก็มองดูตู๋กูซิงหลันด้วยความสงบเสงี่ยมเรียบร้อย
คาถาชำระวิญญาณท่องจบไปรอบหนึ่ง หน้าผากของตู๋กูซิงหลันก็เปียกชื้นไปด้วยเหงื่อ
ตอนนี้นางไม่อาจทำพิธีส่งวิญญาณทั้งหมดในที่นี้ได้ ได้แต่ใช้ความพยายามอย่างที่สุดเท่าที่ตนจะทำได้สลายไอแค้นในดวงวิญญาณของพวกเขาออกไป
ในส่วนของการส่งวิญญาณนั้น…..คงจะต้องมอบให้พวกอู๋เจินรับต่อแล้ว
ในเมื่อดวงวิญญาณมิได้ติดอยู่ในความแค้นอีกต่อไป การส่งวิญญาณก็คงจะไม่ยากสักเท่าไหร่ เพียงแต่ว่าจำนวนผู้คนค่อนข้างมาก จะต้องทำหลายรอบสักหน่อยเท่านั้น
ฮ่องเต้ทรงหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาบนพระหัตถ์ ช่วยซับเหงื่อให้กับนาง เส้นผมตรงกรอบหน้าของนางเปียกชื้นจนลู่ติดใบหน้า ดูแล้วช่างเหนื่อยยากนัก
ในพระทัยของพระองค์มีคำพูดมากมายคิดจะตรัสกับนาง แต่พอมาถึงริมพระโอษฐ์กลับมิได้ตรัสสิ่งใดออกมา
แค่ได้ทอดพระเนตรดูนาง ได้สัมผัสนาง ก็เพียงพอแล้ว
………………………..
คืนสิบห้าค่ำ ดวงจันทร์กลมดั่งถาดเงินยวง ส่องจนทั่วทั้งเมืองกู่เย่วคล้ายดั่งมีแสงสีเงินสว่างจางๆ
ตู๋กูซิงหลันถูกจีเฉวียน ‘ใช้พิษขับพิษ’ ติดต่อกันมาหลายวันแล้ว ไอหยินที่ค้างอยู่ในเส้นชีพจรถูกกำจัดออกไปจนหมด
เพียงแต่ว่าพอถึงตอนนี้ เจียงชวี่ปิ้งกลับหายหัวไปไหนก็ไม่รู้
ตู๋กูซิงหลันเขย่ากระดิ่งใบน้อยที่เขาให้เอาไว้จนพังก็ยังไม่เห็นเจียงชวี่ปิ้งออกมาพบ
“จะต้องเป็นเพราะว่าไอ้เฒ่านั่นไม่ยอมรักษาคำพูด ตั้งใจจะกลั่นแกล้งเจ้า” ชือหลีโกรธเคืองราวกับเป็นเด็กๆ “ข้าผู้เป็นเทพเองก็ตามหาเขามาหลายวันแล้ว ขนาดกวาดศาลเจ้าผุพังของเขาจนราบเรียบแล้วก็ยังไม่เจอคน ข้าว่าคงจะหนีไปเสียแล้ว”
ตู๋กูซิงหลันมองดูกระดิ่งน้อยในมือ ก็รู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ธรรมดา
“ทีนี้จะทำอย่างไร เจ้าจะติดตามฮ่องเต้ต้าโจวผู้นั้นกลับไปใช่ไหม?” ชือหลีพันร่างครึ่งหนึ่งอยู่บนต้นไม้ด้วยท่าทางเกียจคร้านราวกับไม่มีกระดูก “ข้าว่าฮ่องเต้แคว้นโจวผู้นั้นมีใจผูกพันลึกล้ำให้กับเจ้านะ เขาพาเจ้ากลับไปแล้ว คงจะต้องเสาะหาหนทางมารักษาเจ้าอย่างแน่นอน”
หากว่ารักใครสักคนอย่างแท้จริง มีหรือจะทนดูนางต้องทุกข์ทรมานได้?
จีเฉวียนย่อมต้องเป็นเช่นนั้นอย่างแน่นอน
ตู๋กูซิงหลันไม่กล่าวอะไร เรื่องของเมืองกู่เย่วถือว่ามาถึงจุดคลี่คลายแล้ว ต่อไปนางต้องกลับวังไปเผชิญหน้ากับเรื่องที่ทั้งน่าหวาดกลัวและซับซ้อนวุ่นวาย
ยังดีที่ไอหยินนั่นถูกกำจัดออกไปแล้ว ตอนนี้เหลือเพียงแต่เส้นเอ็นยังไม่ได้รับการเชื่อมต่อ นางจึงไม่อาจยืนขึ้นมาได้ ขาก็เริ่มมีความรู้สึกขึ้นมาบ้างแล้ว
ถึงแม้ว่าจะหาเจียงชวี่ปิ้งไม่เจอ แต่กลับไปค่อยๆ ทำการรักษาเอาก็ได้
นางเก็บกระดิ่งของเจียงชวี่ปิ้งลงไป หันไปมองดูชือหลี “เจ้าล่ะ ยินดีจะไปเมืองหลวงกับข้าหรือไม่?”
ชือหลีช่วยเหลือนาง ทั้งยังคอยดูแลนางอยู่นาน ตู๋กูซิงหลันย่อมสำนึกในบุญคุณอยู่แล้ว
“ข้าคือเทพธิดาแห่งสายน้ำลี่เหอ วันๆ จะเอาแต่ไปโน่นมานี่อยู่ได้อย่างไร” ชือหลีส่ายปลายหางน้อยๆ “ยิ่งไปกว่านั้น ในเมื่อข้าเสาะหาสิ่งของที่ต้องการเจอแล้ว ก็ไม่จำเป็นจะต้องติดตามเจ้าไปเมืองหลวงอีก”
ตู๋กูซิงหลันประหลาดใจขึ้นมา นี่นางกำลังค้นหาสิ่งใดอยู่
“เจ้าประหลาดใจมากหรือ?” ชือหลีเท้าคาง “บอกความจริงกับเจ้าก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร….”
นางใช้ปลายนิ้วข้างหนึ่งลูบไล้กลุ่มผมสีแดงของตนเอง เงยหน้าขึ้นไปมองดูท้องฟ้า “เจ้าเองก็รู้ ว่าข้ากับน้องสาวที่ชอบก่อเรื่องของข้า……ที่จริงแล้วข้าน่ะใจดีมีเมตตา ไม่อาจหักใจทำลายให้เด็ดขาดไป เพียงแต่คิดจะส่งดวงวิญญาณของนางกลับไปเกิดใหม่ที่เผ่ามังกรทะเลตะวันตกเท่านั้น”
พูดกันตามจริงแล้ว ตู๋กูซิงหลันก็รู้สึกว่าคำว่า ‘เมตตา’ สองคำนี้ไม่ค่อยจะเหมาะกับชือหลีสักเท่าไหร่
เพียงแต่คำพูดของนางทำเอาตนเองตกตะลึงไปอยู่บ้าง
“เผ่ามังกร?” ตู๋กูซิงหลันหันไปมองดูนาง “เจ้าไม่ใช่งูตัวหนึ่งหรอกหรือ?”
“เจ้าดูถูกข้าหรืออย่างไร! งูบ้านเจ้าสามารถเป็นเทพได้หรือ?” ชือหลีกรอกตาขาวมองบน “เป็นเพราะว่าตอนนั้นครอบครัวของข้ากระทำความผิด ถูกตระกูลลงทัณฑ์ให้จุติลงมาบนโลกมนุษย์ ข้ากับน้องสาวต่างก็ถูกถอดกระดูกมังกรออกไปจึงได้กลายร่างเป็นงูก็เท่านั้น”
ตู๋กูซิงหลันนับว่าได้เปิดหูเปิดตาแล้ว มิน่าเล่านางถึงได้ดูไม่ออก ที่แท้ฐานะของชือหลีก็มีที่มาเช่นนี้เอง
“ในขุมสมบัติของแคว้นเซอปี่ซือมีตราบัญชาวารีอยู่ แคว้นกู่เย่วก็มีกุญแจไขตรา สิ่งของทั้งสองอย่างนี้ข้าหาพบแล้ว สมควรจะกลับไปจัดการเรื่องที่เผ่ามังกรตะวันตกได้แล้ว”
เผ่ามังกรตะวันตก…..สถานที่แห่งนั้นตู๋กูซิงหลันไม่เคยได้ยินมาก่อน
โลกในมิตินี้ เกรงว่าคงจะวุ่นวายมากกว่าที่นางเคยคาดคิดเอาไว้มาก
สิ่งที่ได้พบได้เห็นมาในตอนนี้คงจะเป็นเพียงแค่เศษเสี้ยวของภูเขาน้ำแข็งเท่านั้น
“เจ้าเองก็เคยได้เห็นใต้หล้ามามาก คงจะไม่แปลกใจเพราะเรื่องนี้หรอกนะ” ชือหลีพูดพลาง เด็ดดอกไห่ถางมาเป่าใส่นาง
——
ตอนต่อไป “เขาบอกว่าข้าน่าเกลียด ไม่ให้ข้าเข้าวัง”
ไรท์: เดาออกกันเอ่ยมั๊ย ใครคือ “เขา” ใครคือ “ข้า”
——
[1] 往生咒=อุบัติสุขาวดีคาถา ใช้คู่กับยันต์ชื่อเดียวกันเพื่อเปิดทางนำวิญญาณไปสู่วิสุทธิภูมิ ยันต์จะมีรูปเงินอีแปะจีนอยู่ตรงกลาง มักเผายันต์นี้ก่อนที่เราจะเผากระดาษเงินกระดาษทองให้ญาติผู้ล่วงลับ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น