ท่านเทพมาแล้ว 336-343

 บทที่ 336 ความประพฤติดีงาม

โดย

Ink Stone_Romance

ลู่ยาใช้พลังปราณสำรวจไปรอบๆ อีกครั้ง ไม่มีอะไรผิดปกติ จึงเคลื่อนมือไปตรงที่พวกเขาโผล่หัวออกมาเมื่อครู่ ชัดเจนว่ามีคลื่นพลังเคลื่อนไหวเบาบาง!


เขารีบชักมือกลับแล้วมองไปรอบๆ มือขวาหยิบดอกบัวดอกหนึ่งออกมาปกคลุมภูเขาหงชางทั้งลูก จากนั้นค่อยส่งพลังไปยังส่วนที่มีพลังเคลื่อนไหวอีก


ดอกบัวใช้เพื่อปกคลุมภูเขาหงชาง จุ่นถีหนีไปจากเงื้อมมือเขาได้ครั้งหนึ่ง เขาต้องป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นอีกครั้งที่สอง เขากล้ารับประกัน เพียงแค่เขาออกแรง จุ่นถีย่อมต้องรู้สึกตัว การผนึกทางออกทั้งหมดไว้เป็นเรื่องที่จำเป็นยิ่งนัก!


พลังที่เคลื่อนอยู่ใต้มือในชั่วพริบตานั้นพลันมีแสงบางๆ ค่อยๆ ปรากฏออกมา ลอยล่องคล้ายมีและคล้ายไม่มี หากไม่มองดูดีๆ คนทั่วไปย่อมไม่สังเกตเห็น


ผ่านไปอีกชั่วพริบตาหนึ่ง แสงนั้นดูเป็นจริงขึ้นมาอีกหลายส่วน อาคารบ้านเรือนต่างๆ รวมถึงประตูและศาลา กระทั่งต้นพลับขนาดใหญ่ที่ปลูกอยู่ในกำแพงยังปรากฏเค้าลาง!


“อา! นั่นคือต้นพลับของพวกเรา!”


ชิงเหมยชิงถงกระโดดขึ้นมาทันที ชี้ไปยังต้นไม้


จื่อจิ้งก็อดเดินเข้าไปใกล้อีกนิดไม่ได้ มองสำนักหงชางปรากฏออกมาทีละน้อย!


ยามที่ทุกคนคิดว่าสำเร็จแล้ว ลู่ยาพลันเก็บพลังวิญญาณ ภาพทั้งหมดหยุดลง ราวกับไข่ที่ต้มไม่สุกยังมีส่วนที่โปร่งใสอยู่ เมื่อใช้มือสัมผัสก็ยังคงว่างเปล่า!


“นี่คือเรื่องอันใด?” จื่อจิ้งไม่สบอารมณ์


ลู่ยาขมวดคิ้ว “อาคมบนเขตพลังนี้แข็งแกร่งมาก จุ่นถีก้าวหน้าถึงเพียงนี้แล้วหรือ?”


ตามที่เขาคาดเดาเกี่ยวกับอาคมของจุ่นถี เขาเข้าใจว่าการโจมตีเมื่อครู่พุ่งเป้าไปยังจุดอ่อนของอีกฝ่ายแล้ว แต่ตอนนี้กลับไม่ใช่…


“ท่านกำลังจะบอกหรือว่าท่านทลายแม้กระทั่งเขตพลังของหลานศิษย์ตนเองไม่ได้?” จื่อจิ้งโพล่งเสียงดัง เกือบหลุดปากบอกว่า ‘หลงคิดว่าตัวเองเก่ง’ ออกมาแล้ว


ความเจ็บใจที่ลู่ยาเพลี่ยงพล้ำที่คลื่นจิตพสุธายังไม่ทันฟื้นฟู ในใจกำลังอดกลั้นอารมณ์ ถูกจื่อจิ้งตะโกนว่าเช่นนี้ ใบหน้าจึงเย็นชาขึ้นมา


เขาตวัดสายตาไปมองคนปากพล่อย พลันเคลื่อนพลังปราณไปยืนกลางอากาศ รวมพลังไว้ที่ปลายนิ้ว ก่อนชี้ไปยังดอกบัวกลางอากาศ ดอกบัวนั้นกลายเป็นบัวสีขาวเล็กๆ จำนวนมากทันใด ราวกับดาวเต็มท้องฟ้าเหนือภูเขา ส่องแสงสว่างไปทั่วทุกทิศในระยะพันลี้


อีกทั้งภายใต้แสงทองนี้ยังมีแรงกดดันส่งเข้ามาระลอกแล้วระลอกเล่า ชิงเหมยชิงถงปลอดภัยอยู่ภายใต้การปกป้องของลู่ยา มีเพียงจื่อจิ้งที่ถูกพัดกลิ้งหลุนๆ ลงไปยังตีนเขา


พริบตาเดียว ระหว่างอาคารสิ่งก่อสร้างที่ยังโปร่งแสงดุจภาพลวงตาพลันมีแสงโคมสว่างขึ้นนับไม่ถ้วน ทั้งยังมีคนเดินอยู่ในแต่ละลานบ้าน ต้นพลับที่หน้าประตูถูกลมพัดจนขยับไหว โคมที่ประตูก็ถูกพัดจนเกิดเสียงดัง


ปีศาจหนูเทาคนกวาดพื้นที่กำลังหลบมุมดื่มเหล้าอยู่ ตอนลมพัดผ่านลำคอพวกเขาล้วนกระชับเสื้อคลุม ในโถงมีกลิ่นดอกไม้หลากชนิดลอยออกมา กลิ่นอายเซียนคละคลุ้ง ดอกโบตั๋นกลางลานบ้านสีสันสดใส


เมื่อตามขั้นบันไดวนตรงกลางขึ้นไป เสียงของพิณลอยคลอมาท่ามกลางป่าไผ่ เซียนเต่าขายาวกำลังพิงประตูเลี้ยงในกรง นกแก้วพ่นมูลกระจายบนระเบียงทางเดิน เขาเก็บกวาดไปพลางบ่นมันไปพลาง


ภาพทั้งหมดไม่เพียงกระจ่างชัด แต่ยังได้ยินอย่างชัดเจนอีกด้วย!


ชิงเหมยชิงถงดีใจจนปรบมือ “พวกเรากลับมาแล้ว! พวกเรากลับมาแล้ว!”


ลู่ยาสะบัดแขนเสื้อ ดึงจื่อจิ้งที่กำลังลุกอย่างลำบากขึ้นมา เหลือบมองเขาคราหนึ่งแต่ไม่ได้เอ่ยอะไร ไพล่มือทั้งสองเดินเข้าไปข้างใน


ไม่ว่าอาคมของจุ่นถีจะแข็งแกร่งกว่านี้สักเพียงไร ก็ไม่อาจแข็งแกร่งไปกว่าเขาได้ ถึงแม้อาคมของจุ่นถีก้าวหน้าขึ้น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าลู่ยาจะทำลายไม่ได้


ดังนั้นไม่เพียงแค่เขาจะทำลายอาคมของจุ่นถี กระทั่งคนทั้งหมดภายใต้เขตพลังยังไม่รู้ตัวด้วย ต้องให้คนที่ดูถูกกันมาดูเสียหน่อยว่าเขาไม่ใช่คนที่มีแต่ชื่อ


ไม่นานก็ถึงเรือนสนครวญ


เสียงพิณที่ดังมาจากหลังป่าไผ่กระจ่างราวน้ำพุ เสนาะหูยิ่งนัก


ดูแล้วช่วงนี้จุ่นถีคงหลบซ่อนตัวจากอาจารย์อาอย่างเขาได้อย่างสบายใจยิ่ง มีความสุขนัก


ดีมาก


เขาเหยียบลงไปบนทางเดินเล็กๆ บนป่าไผ่ ขึ้นไปยังระเบียง เดินไปถึงตัวเซียนเต่าที่เห็นเขานานแล้ว ทั้งยังตกใจจนตาจะหลุดออกจากเบ้า ลู่ยาเคาะกระดองเต่า ก่อนเดินเข้าไปในโถงอย่างสง่าผ่าเผย


หลิวหยางกำลังนั่งบรรเลงพิณอยู่ข้างหน้าต่าง หน้าตางดงาม ท่าทางสุขุมสงบนิ่ง เหมือนกับที่ผ่านมาตลอด


แต่ยามที่ลู่ยาก้าวเข้าไปในห้องนั้น สายพิณใต้มือเขาพลันขาดลง!


ลู่ยาเลิกม่านที่คลุมเตียงสี่เสาทางทิศตะวันออกออกก่อนขึ้นไปนั่ง หยิบพัดบนโต๊ะขึ้นมาพัด ดื่มชาหอมที่วางอยู่บนโต๊ะ ทำราวกับเขาพำนักอยู่ที่นี่ เพียงแค่ออกไปเดินเล่นมาสักสองรอบ และตอนนี้ก็กลับมาพักผ่อนแล้ว อารมณ์ไม่เลวนัก แถมยังมีปรมาจารย์ด้านพิณคอยปรนนิบัติ จึงฟังเพื่อผ่อนคลายอารมณ์ไปด้วย


หลิวหยางหันมามองเขาเล็กน้อย ไม่ได้เอ่ยคำใด และไม่ได้แสดงออกถึงความตระหนกมากนัก กระทั่งลมหายใจก็เหมือนหยุดไปแล้ว…หากไม่ใช่เพราะสายพิณขาดไปกะทันหันและเสียงเสียดหูเกินไปแล้วละก็ ผู้อื่นคงเข้าใจไปว่าเขากำลังรอลู่ยาอยู่แน่ๆ


เซียนเต่ายื่นหน้าเข้ามาจากประตู เขาโบกมือน้อยให้ถอยออกไป


แต่ในห้องกลับเงียบจนเกินไปหน่อย คนที่ขยับมีเพียงลู่ยาและกำยานที่กำลังเผาไหม้อย่างเงียบงันที่มุมห้อง แม้แต่ลมก็ไม่กล้าพัดส่งเดช


“อาจารย์อา”


สุดท้ายหลิวหยางก็ลุกขึ้น เดินเชื่องช้าไปยังข้างม่าน มองเขาสักหน่อยก่อนหยุดลง


“ข้าเป็นอาจารย์อาสำนักไหนของเจ้า?” ลู่ยานั่งไขว่ห้าง ในมือเล่นพัด แต่ดวงตากลับมองตรงไปข้างหน้า “ข้าจะนับเป็นอาจารย์อาของเจ้าได้อย่างไร เจอข้าแล้วกลับหนีไปเร็วยิ่งกว่ากระต่าย เจ้าเลิกเรียกข้าเช่นนี้แต่เนิ่นๆ เสีย ป้องกันไม่ให้ผู้อื่นนำไปนินทาลับหลังว่าอาจารย์อาอย่างข้ายังสู้ศิษย์หลานของตนเองไม่ได้!”


หลิวหยาง…ไม่สิ จุ่นถีเงยหน้าขึ้นมองเขา พูดอย่างสงบว่า “อาจารย์อาเก่งกาจ ใครจะกล้าไม่เคารพ”


ลู่ยายิ้มเยาะเหลือบมองจุ่นถี ก่อนสะบัดแขนเสื้อไปทางเขา


จุ่นถีหลบไม่ทัน หรือไม่ก็ไม่คิดจะหลบตั้งแต่แรก แต่ผลสุดท้ายคือใบหน้าสง่างามที่ดูถ่อมตัวนั้นพลันสว่างขึ้นมา


คิ้วที่ไล่จากเข้มไปบาง ดวงตาสุกสว่าง จมูกตรงเป็นสันและคาง ยังมีริมฝีปากนุ่มบางหนึ่งเดียวบนใบหน้า รูปลักษณ์ไม่เป็นสองรองใครทั้งยังดูเยาว์วัยจนคนที่มองเห็นมีความสุขช่วยขับเน้นบุคลิกเช่นนี้ของเขา ทำให้ห้องอันราบเรียบนี้มีสีสันขึ้นมาไม่น้อย


สีหน้าของเขาสงบราบเรียบ ท่าทางดูจนปัญญาเล็กน้อย


“อาจารย์อายังชอบทำให้คนคาดเดาไม่ได้เสมอนะขอรับ”


ลู่ยาลุกขึ้น เดินมาตรงหน้าเขา “แบบนี้ถึงจะรื่นหูรื่นตาหน่อย” ก่อนเอ่ยอีก “ว่ามา ในเมื่อข้าความประพฤติดีงามขนาดนี้ ทำไมเจ้าต้องหลบข้า? ข้าผิดอันใดต่อเจ้า หรือเจ้าทำเรื่องชั่วช้าใดมา ถึงกลัวว่าคนดีเช่นข้าจะลงโทษเจ้า?”


ลู่ยาไม่คิดจะเกรงใจเขาแต่แรก บนใบหน้าแม้ไม่มีความโกรธ แต่น้ำเสียงกลับดุดันจนไม่อาจละเลย


จุ่นถีถอนหายใจ “ข้าจะกล้าได้อย่างไร?”


ลู่ยายกยิ้ม “ทำไมเจ้าจะไม่กล้า? ความสามารถเจ้าเก่งกล้ามากนัก เจ้าปกปิดใต้หล้า ตอนแรกก็เขาฟางชุ่น ตอนนี้ก็เป็นเขาหงชาง บอกมา ต่อไปเจ้าจะไปไหน? คิดจะไปอารามเสียงอสุนีบาต ทำลายยูไล หรือควบคุมคลื่นจิตพสุธาแล้วรวบรวมหกภพ?”


……………………………………….


บทที่ 337 ขาดนางไม่ได้

โดย

Ink Stone_Romance

จุ่นถีลอบมองเขา พูดเบาๆ ว่า “หลายปีมานี้จินตนาการของอาจารย์อาก้าวหน้ายิ่งนัก”


ลู่ยาหน้าตึง “เจ้ากล้าพูดว่าพวกเจ้าไม่เกี่ยวข้องกับคลื่นจิตพสุธา?”


จุ่นถีราวกับกำลังครุ่นคิด “ข้าพูดได้เพียงว่า ข้าไม่เกี่ยวข้องกับคลื่นจิตพสุธา”


ลู่ยาหรี่ตา เผยอริมฝีปากเผยให้เห็นฟันขาวเรียงตัว “มิสู้เจ้าเล่าเรื่องของจื่อเย่าผู้นั้นให้ข้าฟังหน่อย?”


จุ่นถีไม่ตอบ


ลู่ยากอดอกพูด “อาจิ่วบอกว่าเจ้าเก็บตัวเงียบมาตลอด ไม่พบหน้ากับคนแปลกหน้า นางยังเคยไปสืบที่สวรรค์มาก่อน ไม่มีสมญานามว่าจื่อเย่าเจินเหรินมาก่อน ต่อมาจื่อจิ้งได้บอกว่าบนสวรรค์อันสูงส่งมีเซียนต้นหลินจือเรียกตัวเองว่าจื่อเย่า แต่กลับไม่ได้เข้าทะเบียนเซียน เจ้าบอกข้ามา เจ้าที่เก็บเนื้อเก็บตัวเช่นนี้อยู่ๆ ไปสนิทสนมกับคนไร้ที่มาชัดเจนได้อย่างไร?”


ใจที่สงบเมื่อครู่อันตรธานหายไปแล้ว หลังจากที่เขาหายตัวไปจากเขาฟางชุ่น พวกเขาก็ไม่เคยออกตามหาอีกเลยเพราะยังเคารพความต้องการของเขา แต่เดิมพวกเขาต่างแยกกันตั้งสำนัก ไม่ต้องคอยระมัดระวังการแบ่งแยกลำดับขั้น ทั้งยังไม่มีธรรมเนียมต้องกราบไหว้ทำความเคารพเช้าเย็น ดังนั้นแม้จะอยู่บ้านเดียวกัน แต่จะเจอหรือไม่เจอหน้าก็ขึ้นอยู่กับวาสนา


แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าจุ่นถีจะไม่เห็นสำนักอยู่ในสายตาได้ เขาไม่อยากเจออาจารย์อาคนนี้ของเขานั้นยังไม่สำคัญ ลู่ยาไม่ได้เป็นคนเคร่งครัดกฏระเบียบอะไรอยู่แล้ว แต่เมื่อเขาพูดจาเลอะเทอะต่อหน้าลู่ยา ลู่ยาก็ไม่อาจทนได้ หากระหว่างพวกเขาไม่ได้มีความบาดหมางอันใดกัน ทำไมจะต้องหลบซ่อนตัวด้วย? เจ้าจื่อเย่านั่นมีสิทธิ์อะไรมาบอกให้จุ่นถีหลบหนีเขา?


จุ่นถีเงียบสงบอยู่ภายใต้แรงกดดันของเขาครู่หนึ่ง กระทั่งสะเก็ดไฟตกพื้นแตกกระจายออกมา เขาถึงค่อยๆ สูดลมหายใจเข้า มองพื้นก่อนถามว่า “ไม่รู้อาจารย์อามีหลักฐานหรือยังว่าจื่อเย่าคือชายชุดเขียว?”


“ยังไม่มี” ลู่ยาตอบ “แต่ในเมื่อเจ้าบอกว่าไม่ใช่ เช่นนั้นก็เล่าเรื่องของเขาออกมาให้เร็ว”


“ข้าบอกไม่ได้” จุ่นถีมองปลายเท้าเขา ปลายเสียงแผ่วราวกับจนปัญญาอยู่บ้าง


“เช่นนั้นข้าจะช่วยเจ้าพูด!” ลู่ยาเดินเข้าไปใกล้สองก้าว มองเขาอย่างเย็นชา “จื่อเย่าคือชายชุดเขียว เพราะเจ้ายังแค้นเรื่องของเจียอิ่นเมื่อปีนั้นอยู่ ยังคิดหาโอกาสแก้แค้น พอดีกับที่ชายชุดเขียวรู้เรื่องนี้เข้า และพอดีกับที่รู้ว่าอาจิ่วคือศิษย์ของเจ้า ดังนั้นเขาจึงร่วมมือกับเจ้าวางกับดักมากมายเช่นนี้ ล่อลวงนางไปทีละขั้น! เป็นเช่นนี้หรือไม่?”


“อาจิ่วเป็นศิษย์ของข้า ข้าเลี้ยงนางมาตั้งแต่ยังเป็นทารกจนเติบใหญ่ จะทำร้ายนางลงได้อย่างไร” จุ่นถีเหลือบมองเขา กุมมือเดินไปนั่งลงตรงตั่งข้างซ้าย “ไม่ว่าพูดอย่างไร หากมองจื่อเย่าเป็นชายชุดเขียว จนถึงตอนนี้อาจิ่วก็ยังไม่เสียหายอะไร นางต้องสะสมบุญกุศล เรื่องที่ชายชุดเขียวกระทำล้วนเป็นการปูทางให้นาง ความโกรธนี้ของอาจารย์อาออกจะไร้เหตุผลไปเสียหน่อย”


เขารินชาอย่างมั่นคง จิบไปคำหนึ่ง


แสงโคมทำให้ใบหน้าด้านข้างของเขาสว่าง เค้าโครงหน้างดงามยิ่งนัก ความเรียบง่ายในห้องนี้เทียบกับเขาไม่ได้ขึ้นมากะทันหัน


“พูดเช่นนี้ เจ้ายอมรับว่าจื่อเย่าคือชายชุดเขียว?” ลู่ยาเหลือบมองอีกฝ่าย ในดวงตาสว่างวาบ


“ข้าไม่ได้พูดเช่นนั้น” จุ่นถีตอบแล้วนิ่งไปครู่หนึ่ง เขาหันไปมองลู่ยา “จื่อเย่าไม่ใช่ชายชุดเขียว แต่ข้ายืนยันได้ว่าชายชุดเขียวไม่ทำร้ายท่านกับอาจิ่วแน่นอน พวกเราล้วนหวังให้นางขึ้นเป็นเซียนโดยเร็ว เพียงแค่นางกลายเป็นเซียน ปัญหาทั้งหมดถึงจะได้รับการแก้ไข ดังนั้นอาจารย์อาช่วยละมือจากเรื่องนี้ด้วย”


ลู่ยายิ้มเยาะ “ให้ข้าละมือ?ให้ข้าไม่ตามต่อ แล้วให้อาจิ่วต้องแบกรับอันตรายจากพลังวิญญาณที่จะระเบิดออกได้ทุกเมื่อไว้เช่นนั้นหรือ? เสียแรงที่อาจิ่วยกย่องเจ้าไปหมด ตอนนี้เจ้ายังทิ้งนางไม่สนใจนางอีก! เจ้าอยากจะหายไปก็หายไป แล้วไม่ใยดีปล่อยให้นางร้องไห้ไม่หยุดภายใต้สายตาเจ้า แต่ข้าทำไม่ได้!”


“อาจารย์อา…” จุ่นถีลากเสียงยาว แววตาอับจนหนทาง


ลู่ยามองเขาอย่างโกรธแค้น “ข้าจะกลับไปบอกมู่จิ่ว ในใจนางคิดอยู่เสมอว่าทำไมอาจารย์ถึงไม่สนใจ หลบซ่อนจากนาง มองนางร้อนใจจนจะบ้า! เจ้ายังช่วยชายชุดเขียวปกปิด วางกับดักให้นาง! เจ้าบอกว่าชายชุดเขียวไม่ทำร้ายนาง แต่นางกลับเกือบจะถูกพลังวิญญาณของตนเองทำร้ายจนตายที่คุนหลุนตะวันออก!”


“เจ้าคิดว่าการตายครั้งนั้นของนางก็แค่กลับเข้าสู่การเวียนว่ายตายเกิดเท่านั้นหรือ? นั่นจะทำให้นางกลายเป็นเถ้าธุลีต่างหาก! ไม่ว่าเจ้าหรือข้าก็หานางไม่พบอีก นางจะหายไปอย่างสิ้นเชิง! เจ้าที่เป็นอาจารย์ของนางทนได้ แต่ข้าทนไม่ได้! ถึงแม้นางจะต้องพบเจออันตรายอีกเท่าไหร่ ข้าก็จะช่วยนางเอง!”


“อาจารย์อา…”


“อย่าเรียกข้า!”


ลู่ยาระเบิดโทสะ


จุ่นถีกลั้นหายใจมองเขา ไม่ขยับอยู่นาน ก่อนเอ่ยว่า “หรือท่านไม่เคยคิดมาก่อนว่าเรื่องทั้งหมดจะไม่เป็นไปอย่างที่ท่านคิด?”


“เช่นนั้นมันเป็นอย่างไร!” เก้าอี้ข้างโต๊ะล้มคว่ำแล้ว


จุ่นถีถอนหายใจ “ข้าบอกไม่ได้”


“เจ้าต้องบอก!” ลู่ยาพุ่งเข้าไปตรงหน้าเขา


รำคาญคนที่อึกๆ อักๆ เช่นนี้จริงๆ!


เขาตามสืบมานานขนาดนี้ ต้องได้คำตอบ!


เขาสามารถไม่สนใจชายชุดเขียวนั่นได้ รวมถึงจื่อเย่าด้วย แต่เขาต้องรู้เรื่องชาติก่อนของมู่จิ่ว!


หากไม่กระจ่างชัดในเรื่องนี้ เขาก็ไม่มีวันขจัดผนึกในร่างนาง ปลดปล่อยหรือควบคุมพลังวิญญาณได้ตลอดไป!


ขอเพียงพวกเขาเล่าเรื่องชาติก่อนของมู่จิ่วให้ฟัง เขาก็ยินดีแม้แต่จะพ่ายแพ้ภายใต้เงื้อมมือพวกเขา!


เขาเหมือนกับสัตว์ดุร้ายซึ่งหมอบอยู่ตรงหน้าจุ่นถี ท่าทางข่มผู้คน มีไม่กี่คนเท่านั้นที่ต้านทานได้


จุ่นถีคิดถึงตัวเขาที่เชื่อฟังลู่ยาทุกเรื่องในอดีต ดูเหมือนอาจารย์กับเหล่าอาจารย์อาท่านอื่นก็เอาลู่ยาไม่อยู่เช่นกัน


เขาถอนหายใจ ค่อยๆ คลายมือที่กำแน่น ก่อนถาม “อาจารย์อาขาดอาจิ่วไม่ได้หรือ?”


“พูดจาเลอะเทอะอะไร?!” นี่ยังต้องถามอีกหรือ!


“เช่นนั้นอาจารย์อาเคยคิดมาก่อนหรือไม่ ทำไมท่านอยู่มานานขนาดนี้ถึงได้ต้องใจแต่เพียงนาง?” เสียงของจุ่นถีแผ่วเบา แม้แต่ตายังไม่มองเขา


ลู่ยาชะงักเล็กน้อย “เรื่องนี้เกี่ยวอะไรด้วย?”


“เกี่ยวข้องยิ่งนัก” จุ่นถีพูดแผ่ว “หากอาจารย์อาต้องการรู้ความจริง มิสู้รั้งอยู่ที่นี่สักไม่กี่วัน”


ลู่ยาหรี่ตาลง


“ใช่ แค่ไม่กี่วัน” จุ่นถีมองเขา “ข้ารับประกัน ภายในสิบวันจื่อเย่าจะต้องมาแน่ หากท่านต้องการความจริง ความจริงทุกอย่างล้วนอยู่ที่เขา”


ลู่ยามองเขา สายตาคมกริบราวกับมีดเฉือนขึ้นลง


มู่จิ่วคิดไม่ถึงเลยว่าการรอของนางจะกลายเป็นหนึ่งคืนไปแล้ว ลู่ยากลับยังไม่กลับมา


ตอนเช้าตื่นขึ้นมาจากโต๊ะ คอนางแข็งจนจะเป็นหินอยู่แล้ว ดีที่นางเป็นครึ่งเซียน ไม่หลับไม่นอนหลายวันก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่


นี่คือข้อดีของผู้บำเพ็ญเป็นเซียน สบายไปกี่เรื่องกันนะ? ไม่กินไม่ดื่มไม่นอนก็ไม่ตาย การสามารถควบคุมความตายกับโชคชะตาได้ เป็นสิ่งที่ล่อลวงให้คนมาเป็นเซียนมากที่สุดกระมัง?


เวลาอาหารเช้าเสี่ยวซิงเห็นว่าขาดลู่ยากับจื่อจิ้งไป ถึงได้รู้ว่าพวกเขาทั้งสองไม่ได้กลับมา นางไม่ได้คิดอะไร แต่สองตัวน้อยเห็นว่าขาดเพื่อนเล่นไปหนึ่งคนก็เหงาหงอยลงเล็กน้อย จึงกินข้าวอย่างสงบเสงี่ยมยิ่งนัก


…………………………………………


บทที่ 338 เผือกร้อนลวกมือ

โดย

Ink Stone_Romance

และวันนี้ลู่ยาก็ยังคงไม่กลับมา


มู่จิ่วอารมณ์ไม่ใคร่ดีนัก แต่ก่อนหน้านี้เขาก็เคยไม่กลับบ้านติดต่อกันหลายวันบ่อยๆ ดังนั้นจึงไม่ได้ประหลาดใจเท่าไหร่นัก ยิ่งไปกว่านั้น วันนั้นเขาจากไปอย่างเร่งร้อน ย่อมต้องไปจัดการเรื่องสำคัญแน่ หากเป็นเรื่องสำคัญย่อมไม่มีหนทางปลีกตัวมาได้


แต่ถึงเขากลับมาไม่ได้ก็น่าจะส่งข่าวมาได้บ้าง…


ยามค่ำคืนเพิ่งวางตะเกียบลงก็มีข่าวมาดังคาด มีกระเรียนกระดาษบินเข้ามาถึงกลางลาน แจ้งข่าวเรื่องที่เขายังต้องทำธุระอยู่นอกบ้านอีกสักหลายวัน


มู่จิ่ววางใจ ทุกคนต่างก็กลับไปทำงานของตนเองอย่างสบายใจเช่นกัน


วันถัดมามู่จิ่วไปทำงานหลังจากกินข้าวเสร็จ กำลังคิดจะไปรายงานตัวก่อนไปประตูสวรรค์แดนใต้ ใครจะนึกว่าเพิ่งเดินถึงหน่วยก็มีทหารชั้นผู้น้อยพุ่งเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว “ใต้เท้าหลิวมาพบนายพลกัวขอรับ”


มู่จิ่วไม่กล้าชักช้า เดินไปพลางถาม “เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”


“เหมือนกับมีเรื่องสำคัญ ข้าก็ไม่กล้าถามรายละเอียด ท่านนายพลเข้าไปก็จะรู้” เขาพูดจบก็รีบไปทำธุระของตนเอง


มู่จิ่วรีบก้าวเร็วๆ เข้าไปในหน่วยลาดตระเวน เดินผ่านลานตรงใจกลางสุด แต่เพิ่งเดินไปถึงประตูลานก็ได้ยินเสียงคนพูดคุยกันจากด้านใน เมื่อฟังอย่างตั้งใจเหมือนมีเสียงของเซียนหญิงหนึ่งคน น้ำเสียงท่าทางร้อนรน แม้จะฟังได้ไม่ชัดนักว่าพูดถึงเรื่องอะไร แต่เสียงกระจ่างใสมีน้ำหนัก


เมื่อมาถึงประตูใต้ชายคา เสียงก็กระทบเข้าโสตประสาท “…เมื่อข้าคิดดีๆ แล้ว เป็นหลินเจี้ยนหรูนั่นแหละที่น่าสงสัยที่สุด อยากขอร้องให้ใต้เท้าช่วยดำเนินคดี ล้างมลทินให้ลูกสาวข้า ต้องให้เจ้าเดรัจฉานนี่ได้รับโทษ! ทัพทหารสวรรค์เป็นหน่วยงานที่ปกปักรักษาแต่ละภพ ย่อมต้องไม่อยากให้มีเดรัจฉานที่ฆ่าพ่อและน้องสาวตัวเองอยู่!”


หูของมู่จิ่วได้ยินเพียง ‘หลินเจี้ยนหรู’ และ ‘ฆ่าพ่อและน้องสาว’ ก็พุ่งเข้าไปในห้องหลิวจวิ้นทันที


ในห้อง หลิวจวิ้นนั่งอยู่หลังโต๊ะทำงาน ส่วนทางตะวันตกมีชายหญิงนั่งอยู่คู่หนึ่ง ด้านหลังยังมีศิษย์สองคน ทั้งหมดล้วนสวมเสื้อของสำนักแรกพยับ! เมื่อมองหญิงหน้าตาโกรธขึ้งที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ หากนั่นมิใช่จีหมิ่นจวินแม่เลี้ยงของหลินเจี้ยนหรูจะเป็นใครได้อีก?


นางมาที่นี่ทำไม?


คำที่ว่า ‘ฆ่าพ่อและน้องสาว’ หมายถึงอะไร?


ถึงแม้นางจะตัดสัมพันธ์กับหลินเจี้ยนหรูแล้ว แต่กลับยังกังวลใจแทนอยู่ เรื่องนี้ผ่านไปนานแล้ว ทำไมจีหมิ่นจวินถึงรู้ได้?!


“เจ้ามาแล้ว?” หลิวจวิ้นเอ่ย “นั่งลงสิ”


มู่จิ่วตั้งสติตอบรับ แล้วจึงเดินไปนั่งตรงเก้าอี้ทางฝั่งตะวันออก


จีหมิ่นจวินจ้องหน้านางตั้งแต่นางเดินเข้ามา และดวงตายังปรากฏแววคัดค้าน “เจ้ามาทำอะไร?!”


มู่จิ่วขมวดคิ้วไม่สนใจ เชิดคางขึ้น ไม่ได้พูดอะไร


หลิวจวิ้นตอบ “นี่เป็นคนที่มีความสามารถที่สุดคนหนึ่งในหน่วยบัญชาการของเรา ใต้เท้ากัว กัวมู่จิ่ว คดีนี้ของเจ้า ข้าจะให้นางทำ”


เมื่อเขาพูดออกมา ทั้งจีหมิ่นจวินและมู่จิ่วต่างก็ตระหนกพร้อมกัน!


หลิวจวิ้นพูดถึงคดี นางก็เข้าใจทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น จีหมิ่นจวินมาร้องทุกข์นี่เอง!


นางมาร้องทุกข์แทนหลินเซี่ยกับจีหย่งฟางที่ตายไปแล้วปีกว่า หลินเจี้ยนหรูมิใช่ปิดบังเรื่องนี้อย่างดีหรือ? ทำไมนางถึงสงสัยขึ้นมาได้อีก? …เอาเถอะ เรื่องนี้มิใช่เรื่องสำคัญอีกแล้ว สำคัญคือตนเองรู้อย่างชัดเจนว่าเรื่องนี้ใครเป็นคนลงมือ แล้วตอนนี้หลิวจวิ้นก็ผลักคดีนี้มาไว้ในมือนาง? นี่มิใช่โยนนางเข้าไปในกองไฟหรอกหรือ?


ไม่ดีแน่แบบนี้!


“ใต้เท้าโปรดพิจารณาอีกที ตอนนี้ข้ายังมีงานอื่นต้องทำอยู่” นางชิงพูดก่อน “อีกอย่างข้ากับหลินเจี้ยนหรูสนิทกัน มันทำให้ไม่โปร่งใสมิใช่หรือ?”


ให้ตายอย่างไรจีหมิ่นจวินก็ไม่ตกลง กัวมู่จิ่วนั่นกับหลินเจี้ยนหรูก็เป็นคนประเภทเดียวกัน นางจะส่งคดีนี้ให้กัวมู่จิ่วทำได้อย่างไร? คดีนี้ยังจะได้รับความยุติธรรมที่ไหน? ไม่ได้แน่นอน!


เมื่อมู่จิ่วพูดออกมา กล้ามเนื้อใบหน้านางก็ขึงตึง!


“หลักฐานอะไรก็ไม่มี เจ้าเอาอะไรมายืนยันว่าหลินเจี้ยนหรูเป็นคนทำ?”


หลิวจวิ้นหน้านิ่งมองนาง “ยังไม่ทันได้สืบเลย! หากเจ้าบอกว่าหลีกเลี่ยงคำครหา เช่นนั้นมีใครในหน่วยเราบ้างที่ไม่สนิทกับหลินเจี้ยนหรู? ข้าก็สนิทกับเขาเช่นกัน พูดเช่นนี้มิใช่ว่าข้าต้องหลีกเลี่ยงคำครหาเหมือนกันรึ? แบบนั้นก็เหลือเพียงให้ฝ่าบาทกับเหนียงเหนียงลงมาไต่สวนด้วยตนเองแล้ว! เป็นบ้าอะไร คนบอกว่าดำก็ดำหรือ? บอกว่าขาวก็คือขาวหรือ?”


มู่จิ่วจนด้วยคำพูด


ใบหน้าของจีหมิ่นจวินเดี๋ยวเขียวเดี๋ยวแดง คำพูดนี้หลิวจวิ้นพูดกับมู่จิ่ว แต่ความเป็นจริงแต่ละคำพูดนั้นกระทบมาถึงนาง! บอกว่าให้อวี้ตี้กับหวังหมู่ลงมาไต่สวนด้วยตนเอง? พุ่งเป้ามาทางนางชัดๆ มิใช่หรือ!


“ใต้เท้า ท่านพูดอย่างนี้ก็ไม่ถูก หมายวามว่าอย่างไรที่บอกว่าไม่มีหลักฐาน? หรือสิ่งที่ข้ากล่าวไปทั้งหมดมิใช่พยานบุคคล? กัวมู่จิ่วกับหลินเจี้ยนหรูสนิทสนมกันนัก ขอเพียงแค่นางไม่ใช่คนจัดการคดี เปลี่ยนเป็นใครข้าก็ยินดีทั้งนั้น!”


จีหมิ่นจวินพูดเสียงแหลมจนนกอยู่ที่อยู่บนคานล้วนตกใจกลัวบินหนีไปหมด


“เปลี่ยนเป็นใครก็ล้วนยินดี?” หลิวจวิ้นยิ้มเยาะ “ข้าทำงานมานานขนาดนี้ เพิ่งเคยเจอคนที่มาร้องทุกข์เลือกคนทำคดี ทัพทหารสวรรค์ของพวกเราไม่มีกฎนี้ อย่างน้อยพวกเราหน่วยลาดตระเวนก็ไม่มี! หากเจ้าไม่ยอมรับ เช่นนั้นก็ไปร้องทุกข์ที่อื่นเถิด ขอเพียงข้าหลิวจวิ้นยังอยู่ที่หน่วยลาดตระเวน เรื่องของหน่วยนี้ต้องฟังคำสั่งข้าเท่านั้น!”


ถึงแม้มู่จิ่วจะคัดค้านเรื่องที่หลิวจวิ้นให้คดีนี้แก่นาง แต่เมื่อเห็นจีหมิ่นจวินไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงเข้ามาล่วงเกินทัพทหารสวรรค์โดนเขาตบหน้าเช่นนี้ ก็อดเหลือบมองนางไปสักครั้งไม่ได้


จีหมิ่นจวินพลันลุกยืน ชายด้านข้างรีบกดนางให้นั่งลง ก่อนโน้มกายคารวะหลิวจวิ้น “ใต้เท้าโปรดระงับโทสะ ศิษย์น้องไม่ได้หมายความเช่นนั้น พวกเรามาวันนี้เพื่อร้องทุกข์ ย่อมต้องให้ใต้เท้าเป็นคนตัดสินใจ ไม่กล้าแทรกแซงการทำงานของท่านแน่”


“ถ้าเช่นนั้น พวกเจ้าก็ไปลงทะเบียนบันทึกกันก่อน แล้วค่อยตามใต้เท้ากัวไป”


ชัดเจนว่าหลิวจวิ้นไม่อยากยุ่งกับพวกเขาแล้ว จึงเรียกลูกน้องด้านข้างหยิบบันทึกมาส่งให้พวกเขา


มู่จิ่วร้อนใจยิ่งนัก ท่าทางเช่นนี้เขาคงไม่เปลี่ยนใจแล้ว เรื่องนี้อย่างไรก็ทำไม่ได้!


นางรู้เรื่องราวทั้งหมดแล้ว จะให้นางสืบสวนอย่างไร?


แต่ไม่ว่านางจะส่งสายตาอย่างไร หลิวจวิ้นก็ไม่มองสักนิดและเดินออกไปด้านนอก


นางรีบตามไปขวางเขาไว้หน้าประตูรูปขวด “ขอใต้เท้าโปรดถอนคำสั่งด้วย! เรื่องนี้จะตัดสินเช่นนี้ไม่ได้ ท่านก็รู้ว่าข้าสนิทสนมกับหลินเจี้ยนหรูนัก อย่างไรข้าก็วางตัวลำบาก ได้โปรดอย่าส่งเผือกร้อนให้ข้าเลย!”


“เผือกร้อนอะไร?! ทำไมถึงไม่รู้จักน้ำใจคน? ข้าไว้ใจเจ้าขนาดนี้เจ้ากลับโทษข้า?”


หลิวจวิ้นชี้หน้าตัวเอง โมโหอยู่บ้างจริงๆ “หากข้าไม่เห็นว่าเจ้ารีบร้อนสะสมบุญกุศลขึ้นเป็นเซียน ก็คงคร้านจะเรียกเจ้า! เจ้าคิดว่าข้าขอร้องให้เจ้าทำเช่นนั้นหรือ? ไม่คิดบ้างเลยว่าหลายวันก่อนใครกันที่นั่งเบื่อไร้เรี่ยวแรงทั้งวัน? ข้าหวังดีส่งคดีนี้ให้เจ้าทำ กลับโดนเจ้าบ่นไม่พอใจใส่!”


ความร้อนรนของมู่จิ่วถูกตีกลับลงไปทันที


เรื่องนี้จะอธิบายกับเขาอย่างไรดี!


……………………………………………………….


บทที่ 339 แม่เลี้ยงประเภทนี้

โดย

Ink Stone_Romance

“ข้าขอน้อมรับเมตตาของใต้เท้าไว้ แต่ข้ารับคดีนี้ไว้ไม่ได้จริงๆ อยากขอให้ท่านมอบให้คนอื่นไปเถิด!” นางพูดอย่างจริงใจ


“เจ้าประหลาดนัก” หลิวจวิ้นขมวดคิ้วเท้าเอวมองนาง “คนที่มาร้องทุกข์ก็คือแม่เลี้ยงของหลินเจี้ยนหรู ข้าคลับคล้ายคลับคลาว่าแม่เลี้ยงคนนี้ปฏิบัติต่อเขาไม่ดีนัก ตอนนี้นางป่าวประกาศว่าเขาคือฆาตกร เรื่องนี้จะเชื่อได้สักกี่ส่วนกัน? แม้แต่ถามเจ้าก็ไม่ถาม กลับรีบผลักออกจากตัว หรือเจ้าจะรู้เบื้องหลังอะไรมา?”


มู่จิ่วพูดไม่ออกเหมือนสะอึก!


หลิวจวิ้นเหลือบมองนาง เข้าไปใกล้พลางเอ่ย “คงไม่ใช่ว่าข้าเดาถูกเสียหรอกนะ?”


“ไม่ใช่แน่นอนเจ้าค่ะ!” มู่จิ่วรีบปฏิเสธ ใบหน้าแดงขึ้นมาเพราะความร้อนรน นางรีบอธิบาย “ข้าจะรู้เรื่องราวเบื้องหลังได้อย่างไรเจ้าคะ? เรื่องนี้เป็นเรื่องภายในครอบครัว และข้าก็ไม่ได้ติดต่อกับหลินเจี้ยนหรูนานแล้วด้วย!”


“มิใช่ว่าแต่ก่อนพวกเจ้าสนิทกันดีหรอกหรือ? เจ้ายังเคยไปเกาะเป่ยอี๋เป็นเพื่อนเขา อีกคนหนึ่งก็เคยออกตัวรับเรื่องการตายของเฉินผิงแทน ทำไมถึงไม่ได้ติดต่อกันแล้วล่ะ?” แววตาของหลิวจวิ้นสว่างวาบราวกับคบเพลิง ท่าทางคล้ายอยากรู้เรื่องให้ถึงที่สุด “เหมือนข้าจะไม่ได้เห็นพวกเจ้าอยู่ด้วยกันมาพักหนึ่ง ห่างเหินกันแล้ว? เพราะอะไร?”


มู่จิ่วไร้เรี่ยวแรงทัดทาน


มีหัวหน้าที่สอบสวนละเอียด บางครั้งก็ไม่ใช่เรื่องดีจริงๆ!


นางตอบ “ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ เพียงแค่แต่ละคนต่างยุ่ง ไม่ใช่เพราะเรื่องอื่น จะเจอกันโดยที่ไม่มีธุระอะไรได้อย่างไร!”


“หากไม่มีอะไรทำไมถึงไม่รับคดีนี้?” หลิวจวิ้นยังคงเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง


มู่จิ่วอยากให้ตัวเองมีลิ้นงอกขึ้นมาอีกสักหลายอันจริงๆ!


นางยิ่งพูดไม่ค่อยเป็น จะเป็นคู่ปรับเขาได้อย่างไร?


“หากเจ้าไม่มีเหตุผลอื่นแล้วก็จัดการเรื่องไปตามนี้ ในหน่วยงานก็มีกฎของหน่วยงาน เจ้าคิดว่านี่เป็นตลาดผักขายผักให้เจ้าเลือกได้อย่างนั้นหรือ! ข้าละเบื่อคนไม่รู้คุณอย่างเจ้าเสียจริง!”


หลิวจวิ้นเหลือบมองนาง พูดเสียงแข็งก่อนเดินจากไป


มู่จิ่วอ้าปากจะเรียกเขาไว้ แต่อ้าปากอยู่นานก็ไม่รู้จะพูดอะไร จึงล้มเลิกไป


นางจะพูดอะไรได้อีก?


พูดเรื่องจริงออกมาเช่นนั้นหรือ?


สวรรค์ย่อมไม่สนว่าหลินเจี้ยนหรูทำไปเพราะเคยถูกทำร้ายในอดีต เขาเป็นเพียงผู้บำเพ็ญเป็นเซียน แต่หลินเซี่ยเป็นเซียนที่มีสมญานามแล้ว ผู้บำเพ็ญเซียนผู้หนึ่งฆ่าเซียน ทั้งยังเป็นพ่อบังเกิดเกล้าของตนเอง ย่อมไม่ได้รับการให้อภัยแน่นอน หรือพวกเขาจะไปทำความเข้าใจว่าหลินเจี้ยนหรูได้รับความเจ็บช้ำมามากแค่ไหน?


ไม่แน่นอน!


แม้เขากับนางจะเห็นไม่ตรงกัน แต่ย่อมไม่ทำร้ายกันเด็ดขาด


นางถอนหายใจ มุ่งกลับไปยังหน่วยบัญชาการ


พวกจีหมิ่นจวินเดินเข้ามานานแล้ว กำลังนั่งทำหน้าเย็นชาอยู่ในหน่วย


และมู่จิ่วก็อารมณ์ไม่ดีเช่นกัน จะมองสีหน้านางได้หรือ?


นางเดินก้าวใหญ่ๆ เข้าไปด้านใน เมื่อไปถึงหลังโต๊ะทำงานก็โบกมือให้รองหัวหน้าบัญชาการ ส่งสัญญาณให้เขาเริ่มบันทึก


รองหัวหน้าบัญชาการก็สายตาดีมาก เมื่อเห็นแต่ละฝ่ายสีหน้าไม่ค่อยดี ก็รู้ว่าสักแปดส่วนต้องเกิดจากความบาดหมางส่วนตัว แน่นอนว่าต้องยืนอยู่ข้างมู่จิ่วอย่างไร้เงื่อนไข สองมือกอดพู่หางม้า เชิดหน้าขึ้นพูดว่า “ตามที่สหายจีได้อธิบายไว้ สามีของเจ้าหลินเซี่ยได้ตายไปสามปี ลูกสาวของเจ้าก็ตายไปสองปีกว่าแล้ว ในเมื่อเจ้าสงสัยว่าพวกเขาถูกฆ่า ทำไมถึงได้มาร้องทุกข์ล่าช้าเช่นนี้?”


“นั่นเป็นเพราะข้าเพิ่งรู้มาว่าหลินเจี้ยนหรูก้าวหน้าขึ้นมากในช่วงเวลาสั้นๆ เพียงสองปี!” ตอนที่จีหมิ่นจวิ้นตอบ แววตาเคียดแค้นกลับพุ่งมายังมู่จิ่ว “คนผู้นี้ไม่ปกตินัก อีกทั้งข้ายังมองออกว่าพลังวิญญาณของเขาที่เพิ่มขึ้นมาไม่ได้เกิดขึ้นเร็วๆ นี้ ตอนสามีฆ่าตาย ในท้องเขาก็ไม่มียาเสริมพลังวิญญาณให้เลื่อนขั้นที่ใช้กันในสำนักของพวกเรา ข้าสงสัยว่าหลินเจี้ยนหรูเอาไป!”


มู่จิ่วเหลือบมองนาง สีหน้าไม่สบอารมณ์


นางเคยล่วงเกินพวกนางตอนไหน? แค่เพราะนางกับหลินเจี้ยนหรูใกล้ชิดกันหน่อยก็พุ่งเป้ามาทางนาง เห็นได้ว่าจิตใจของคนผู้นี้ผิดปกติ ก็เลยมองอะไรบิดเบี้ยวไปหมด


นางหยิบบันทึกที่รองผู้บัญชาการเขียนขึ้นมาดู ก่อนมองจีหมิ่นจวิน “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าหลินเจี้ยนหรูก้าวหน้ามาก?”


หรือเป็นตอนที่เขากลับสำนักแรกพยับคราวก่อน?


แต่กลับไปสำนักแรกพยับครั้งนั้นจนถึงตอนนี้ก็เป็นเวลานานแล้ว ทำไมนางเพิ่งมาเอาตอนนี้? และที่สำคัญ ถึงแม้นางรู้สถานการณ์แล้ว อันดับแรกมิใช่ว่าต้องบอกหัวชิงแล้วให้เขาจัดการหรือไร? ทำไมถึงมุ่งตรงมาร้องทุกข์ที่สวรรค์เลย? ถึงแม้ต้องการให้ทัพทหารสวรรค์จัดการ ก็ควรจะให้สำนักแรกพยับออกหน้ามิใช่หรือ?


นางปิดบันทึก มองไปทางจีหมิ่นจวิน


จีหมิ่นจวินพูดด้วยสีหน้าตึง “เมื่อคืนวานข้าเห็นเขาขี่เมฆกลับมาสำนักแรกพยับ!”


“แค่เรื่องนี้เช่นนั้นหรือ?” มู่จิ่วยิ้มเยาะ


“มิพอหรือ?” จีหมิ่นจวินกัดฟัน “ไม่เพียงเขาขี่เมฆบินกลับมา แต่หัวชิงยังนำคนจำนวนหนึ่งไปรับเขาถึงประตูสำนัก!”


“หัวชิงนำคนไปรับ?” มู่จิ่วขมวดคิ้ว คราวนี้ไม่อาจไม่มองนางได้ “หมายความว่าอย่างไร?”


จีหมิ่นจวินยิ้มเยาะ “ข้าได้ขึ้นสวรรค์มาร้องทุกข์แล้ว จะมีเหตุผลอะไรต้องโกหกกัน! หากเจ้ายังไม่เชื่อ ก็ไปดูเองที่สำนักแรกพยับว่าตอนนี้หัวชิงยกย่องหลินเจี้ยนหรูอย่างไร?!”


หัวชิงยกย่องหลินเจี้ยนหรู?


นี่มีเหตุผลอะไรกัน? ครั้งก่อนเขากลับไปยังถูกหัวชิงลงโทษอย่างหนัก นี่เพิ่งผ่านไปเท่าไหร่เอง หัวชิงกลับนำคนออกมารับเขาถึงหน้าประตูสำนักแล้ว?


“เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?” มู่จิ่วหน้าตึง “หลินเจี้ยนหรูทำอะไรอีก?”


จีหมิ่นจวินตอบ “เจ้าถามข้าว่าเกิดอะไรขึ้น ข้าก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเหมือนกัน!”


“หลายเดือนมานี้สำนักแรกพยับกำลังอยู่ในช่วงเลือกเจ้าสำนักคนใหม่ หัวชิงเลือกฉางหลิวเป็นผู้สืบทอด สองวันก่อนยังเรียกหูเจียงเต๋อศิษย์ของฉางหลิวกลับสำนักมา ไม่รู้หูเจียงเต๋อพูดอะไรบ้าง หัวชิงกลับมาสวรรค์ด้วยตนเอง หลังจากกลับไปก็ส่งข่าวไปยังยอดเขาบัวมรกต บอกให้จัดห้องพักใหม่ให้หลินเจี้ยนหรู!”


“ข้าไปยังยอดเขาขลุ่ยหยกเพื่อสืบหาความจริง หัวชิงกลับใส่อารมณ์กับข้าราวกับมาร ข้าคุยกับเขาด้วยเหตุผล เขากลับบอกให้ข้าอย่าสามหาว จากนี้จะให้ข้าทำความเคารพหลินเจี้ยนหรู! ตอนนี้นอกจากยอดเขาบัวมรกตแล้ว ทุกคนต่างก็เคารพหลินเจี้ยนหรูตามหัวชิง มองเขาเป็นแขกผู้มีเกียรติกันทั้งนั้น!”


มู่จิ่วพูดอะไรไม่ออกอยู่นาน


นับตั้งแต่เขามาหานาง ตอนนี้ก็ผ่านไปสองสามเดือนแล้ว ในสองสามเดือนนี้หลินเจี้ยนหรูทำอะไร? ไม่ต้องเอ่ยถึงว่าเขาเคยเป็นคนที่ต่ำต้อยที่สุดในสำนักแรกพยับ ถึงแม้เป็นคนทั่วไปก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะผลักดันตัวเองไปอยูในที่สูงขนาดนั้นภายในเวลาสั้นๆ? หรือหังชิงถูกอาคมเข้า?


“เจ้าไม่ได้ไปสืบเรื่องที่เกิดขึ้นหรือ?” นางถาม


“ข้าจะสืบเรื่องของเขาขลุ่ยหยกได้อย่างไร?” จีหมิ่นจวินกัดฟันพูด “หัวชิงเห็นข้าขัดหูขัดตามานาน ตอนสามีข้ายังอยู่เขาจะให้สามีข้าสืบทอดตำแหน่ง ผลคือตอนนี้หลินเซี่ยไม่อยู่แล้ว หัวชิงกลับลืมพวกเราแม่ลูก! ข้าคิดว่าเขาต้องมีส่วนรู้เห็นเรื่องการตายของสามีข้าสักแปดส่วน ไม่เช่นนั้นอยู่ๆ หลินเจี้ยนหรูจะก้าวหน้าไปเร็วขนาดนี้ได้อย่างไร?!”


…………………………………


บทที่ 340 แสดงอำนาจ

โดย

Ink Stone_Romance

มู่จิ่วขมวดคิ้วแน่น “เจ้ามีหลักฐานหรือไม่?”


“ยังต้องมีหลักฐานอะไรอีก? หากไม่มีคนหนุนหลัง หลินเจี้ยนหรูจะก้าวหน้าขึ้นมาอย่างรวดเร็วเช่นนี้ได้อย่างไร? ต้องเป็นหัวชิงแน่ๆ ที่เอามหาโอสถทองให้เขากิน เขาจึงได้เป็นเช่นนี้!” ใบหน้าจีหมิ่นจวินใกล้จะบิดเบี้ยวแล้ว


มู่จิ่วกวาดตามองนาง ไม่ได้เอ่ยคำใด หญิงผู้นี้ถูกความริษยาครอบงำ ทั้งยังถูกความโลภและความระแวงเข้าควบคุม หากหัวชิงถูกอาคม เช่นนั้นนางก็ไม่ได้ต่างกันเสียเท่าไหร่ มู่จิ่วพูด “แม้ว่าสิ่งที่เจ้าพูดจะถูก แต่หัวชิงจะทำเช่นนี้ทำไม? เขาวางแผนอะไรอยู่?”


ไม่ใช่ว่านางออกตัวแทนหัวชิง แต่เพราะหนึ่งนางรู้สาเหตุที่หลินเจี้ยนหรูเลื่อนขั้นพลัง สองคือต้องการจะขจัดอคติต่างๆ ที่จีหมิ่นจวินใส่เข้ามาในหัวนาง และอีกอย่างนางยังสงสัยถึงสาเหตุที่หัวชิงทำเช่นนี้ อยู่ๆ หัวชิงก็ให้ความสำคัญกับหลินเจี้ยนหรู ทั้งยังบอกห้ามจีหมิ่นจวินไม่ให้รังแกเขา ให้นางต้องเคารพเขา หลินเจี้ยนหรูสร้างคุณงามความดีแก่แรกพยับมากมายหรือ?


ถึงแม้มู่จิ่วจะดูออกว่าหัวชิงไม่ถูกกับนางตั้งแต่ที่ชิงชิว แต่เขาก็ไม่ได้เป็นคนที่ทำอะไรเด็ดขาด มิเช่นนั้นจะปล่อยใหห้นางเหิมเกริมจนถึงตอนนี้หรือ? รู้ทั้งรู้ว่านางเป็นคนในราชวงศ์จื่อจิว ทั้งยังมีความแค้นกับหลินเจี้ยนหรู ยังจงใจบังคับให้นางนอบน้อมต่อหลินเจี้ยนหรู เรื่องนี้ทำให้ไม่เข้าใจจริงๆ


“เขาวางแผนอะไรไว้ข้าจะรู้ได้อย่างไร?” จีหมิ่นจวินกล่าวอย่างโมโห “ไม่แน่ว่าเจ้าสารเลวนั่นอาจจะเป็นลูกนอกสมรสของนางชิวกับหัวชิงก็ได้!”


“สามหาว!” มู่จิ่วฟาดที่ทับกระดาษลงบนโต๊ะ “หัวชิงไม่เพียงเป็นเจ้าสำนักแรกพยับของเจ้า ทั้งยังเป็นเซียนที่ขึ้นทะเบียนของสวรรค์ด้วย เจ้าจะมาลามปามได้เช่นนี้หรือ! หรือเจ้ากำลังดูถูกอำนาจของสวรรค์ ดูแคลนบารมีฝ่าบาทและเหนียงเหนียง?!”


ที่ทับกระดาษทุบลงไปโดนพู่กันบนโต๊ะ พู่กันลอยไปโดนเข่าของจีหมิ่นจวินพอดี เข่าของนางอ่อนยวบทรุดลงไปทันที แม้แววตาจะแสดงถึงความโกรธแค้นจนแทบจะพ่นไฟออกมา แต่เมื่อมู่จิ่ววางอำนาจเช่นนี้นางก็ไม่มีคำใดจะตอบโต้!


มู่จิ่วเดินออกจากหลังโต๊ะทำงานมาตรงหน้านาง “การเลื่อนขั้นได้นั้นมีตั้งหลายวิถีทาง เจ้ามั่นใจได้อย่างไรว่าหลินเจี้ยนหรูใช้มหาโอสถทอง? ในเมื่อเจ้าบอกว่าเขากินยาที่หัวชิงให้ไป เช่นนั้นการตายของหลินเซี่ยเกี่ยวพันกันอย่างไร? ข้าจำได้ ก่อนหน้านี้พวกเจ้ามิใช่สืบหาความจริงได้ว่าจีหย่งฟางเป็นฆาตกรฆ่าหลินเซี่ยแล้วหรือ?”


“ไม่มีทางเป็นลูกสาวของข้าแน่!” แววตาของจีหมิ่นจวินเต็มไปด้วยความคั่งแค้น “เด็กสาวผู้หนึ่งจะฆ่าพ่อของตนได้อย่างไร? ไม่มีทางเป็นนางแน่นอน!”


มู่จิ่วตอบ “แต่นางเกือบจะฆ่าน้องชายแท้ๆ ของตนแล้ว ตอนนั้นที่ประตูสวรรค์แดนใต้ หากไม่ใช่เพราะข้าเข้าไปทันเวลา หลินเจี้ยนหรูคงตายด้วยน้ำมือของจีหย่งฟางไปแล้ว กระทั่งน้องชายแท้ๆ ของตนนางยังลงมือได้ ทำไมจะฆ่าพ่อตัวเองไม่ได้?”


ใบหน้าของจีหมิ่นจวินยิ่งแดงคล้ำ พูดด้วยโทสะว่า “หลินเจี้ยนหรูจะนับเป็นน้องชายนางได้อย่างไร! เขาไม่ใช่น้องชายของนาง!”


“ในเมื่อไม่ใช่น้องชาย เช่นนั้นความหมายของเจ้าคือหลินเซี่ยก็ไม่ใช่พ่อของเขา?” มู่จิ่วหยิบที่ทับกระดาษมาไว้ในมือ “ในเมื่อเจ้าไม่รับว่าเขาคือลูกของหลินเซี่ย เช่นนั้นแม้เขาจะเป็นผู้ฆ่าหลินเซี่ยจริง ก็เท่ากับว่าไม่สามารถใช้โทษปิตุฆาตกับเขาได้? ในเมื่อไม่ใช่การฆ่าพ่อ เช่นนั้นเมื่อมองจากสิ่งที่พวกเจ้าทำกับเขาตลอดสองร้อยปีที่ผ่านมาแล้ว ถึงแม้เขาฆ่าหลินเซี่ยไปก็ไม่นับว่าติดค้างต่อกันใช่หรือไม่?”


จีหมิ่นจวินถูกขัดจนพูดไม่ออก!


นางดูไม่ออกเลยว่าเด็กเหลือขอเช่นนางจะร้ายกาจเช่นนี้!


หากเขากับหลินเซี่ยไม่ใช่พ่อลูกกัน เช่นนั้นผู้บำเพ็ญเซียนสังหารคนผู้หนึ่งจะมีอะไรน่าสนใจกัน? หากต้องการร้องทุกข์ก็ต้องสืบสาวเรื่องราวของหลินเซี่ยกับหลินเจี้ยนหรูตั้งแต่ต้นจนจบอย่างชัดเจน ถึงตอนนั้นหลินเจี้ยนหรูก็เป็นต่อแน่! อีกทั้งคนเป็นแม่เลี้ยงอย่างนางก็ต้องโดนร่างแหไปด้วย!


แต่หากเป็นการฆ่าพ่อนั้นก็ไม่เหมือนกัน สำหรับสวรรค์แล้ว ไม่ว่าระหว่างหลินเซี่ยกับหลินเจี้ยนหรูจะเกิดอะไรขึ้น กฎจารีตทำเนียบสามัญยังคงอยู่ อย่างไรพวกเขาก็เป็นพ่อลูก ยังมีบุญคุณที่ให้กำเนิด หลินเจี้ยนหรูผิดเต็มๆ เขาหนีไม่พ้นจารีตฟ้าแน่!


นางมาเพื่อร้องทุกข์เรื่องที่หลินเจี้ยนหรูฆ่าพ่อ! มีเพียงโทษนี้เท่านั้นที่จะเอาชีวิตเขาและตัดรากฐานเซียนของเขาได้!


แต่พอเป็นแบบนี้กลับทำให้มู่จิ่วต้อนจนนางไม่รู้จะพูดอย่างไร!


“เป็นพ่อลูก! เป็นพ่อลูกแน่นอน!” ตอนนี้ชายผู้ฝึกบำเพ็ญที่มากับจีหมิ่นจวินรีบพูดขึ้นมา “ที่ศิษย์น้องพูดเมื่อครู่เป็นเพราะอารมณ์เท่านั้น หวังว่าใต้เท้าจะไม่ใส่ใจ”


มู่จิ่วถือที่ทับกระดาษพลางเหลือบมองเขา ยกริมฝีปากเอ่ย “ในเมื่อยืนยันว่าเป็นพ่อลูกกัน เช่นนั้นคำพูดดูแคลนแม่หลินเจี้ยนหรูกับหัวชิงเมื่อครู่ก็ยิ่งไม่อาจปล่อยผ่านได้ แต่เห็นแก่ที่พวกเจ้าค่อนข้างมีมารยาท ข้าจะไม่รายงานขึ้นไป ส่วนเจ้าก็คุกเข่าอยู่ที่นี่สักหลายชั่วยามเถิด!” พูดจบก็เอาเชือกรัดเซียนมารัดตัวจีหมิ่นจวิน ก่อนเดินจากไป


มู่จิ่วสั่งกับรองผู้บัญชาการหลายคำ จากนั้นออกจากหน่วยมุ่งตรงกลับบ้าน


นางเข้าประตูไปขวางซ่างกวนสุ่นที่หยิบตะกร้าเตรียมจะไปจ่ายตลาดกับเสี่ยวซิง แล้วลากเขาเข้าห้องไป


“เจ้าช่วยข้าสืบทีว่าช่วงนี้เรื่องของหลินเจี้ยนหรูนี้เป็นอย่างไร? หากเป็นไปได้ก็ไปดูที่สำนักแรกพยับจะดีที่สุด”


ซ่างกวนสุ่นไม่สบอารมณ์ “เจ้าเลิกคบหากับเขาแล้วมิใช่หรือ? ไปยุ่งกับเขาอีกทำไม?”


มู่จิ่วจึงต้องเล่าเรื่องคดีของจีหมิ่นจวินให้ฟัง ก่อนเอ่ยว่า “ตอนนี้ข้าสลัดเรื่องนี้ไม่หลุดแล้ว มีแต่ต้องสืบให้แน่ชัดก่อนค่อยว่ากัน เจ้ารีบไปเร็วหน่อย ส่งข่าวกลับมาให้ข้าภายในสองชั่วยาม!”


ซ่างกวนสุ่นถลึงตาใส่นางอย่างอารมณ์เสีย ตบตะกร้าลงบนโต๊ะ จากนั้นหมุนตัวจากไป


มู่จิ่วก็ไม่ได้พัก อ้างว่าไปเยี่ยมบ้าน เมื่อมาถึงหอวิหคแดงก็เดินไปทางถนนทิศตะวันออก


คำพูดของจีหมิ่นจวินก่อนหน้านี้เผยเบาะแสไม่น้อย อย่างน้อยนางก็พูดถึงหูเจียงเต๋อศิษย์ของฉางหลิวเจินเหรินคนนั้น หูเจียงเต๋อผู้นี้ถูกหัวชิงเรียกกลับไป จากนั้นเมื่อหัวชิงถามเขาเสร็จก็มายังสวรรค์อีก เช่นนี้แสดงว่าหูเจียงเต๋อก็เป็นกุญแจสำคัญเช่นกัน


มีชื่อมีแซ่ ย่อมต้องหาได้ง่าย


ไม่นานนางก็พบว่าหูเจียงเจ๋ออยู่ร่วมลานบ้านเดียวกับหลินเจี้ยนหรู!


นางจำได้ว่าเพื่อนร่วมบ้านของหลินเจี้ยนหรูสามคนก่อนหน้านี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับสำนักแรกพยับ ทำไมอยู่ๆ ถึงมีหูเจียงเต๋อเข้ามาได้?


เมื่อถามถึงเวลาที่หูเจียงเต๋อย้ายเข้ามา ก็ห่างจากตอนที่หลินเจี้ยนหรูถูกหัวชิงปล่อยตัวกลับมาไม่นาน…คิดเช่นนี้นางก็เข้าใจแล้ว หลินเจี้ยนหรูไม่อาจปิดบังพลังวิญญาณในร่างได้แม้แต่กับนาง แล้วจะปิดบังหัวชิงได้อย่างไร? แม้นางจะรู้ว่าสุดท้ายหัวชิงปล่อยตัวเขาออกมาได้อย่างไร แต่หูเจียงเต๋อก็คงถูกส่งมาเพื่อจับตามองเขา


แต่ในเมื่อส่งมาจับตามอง ตอนหลังทำไมหูเจียงเต๋อถึงได้กลับไปพูดถึงแต่เรื่องดีๆ ของหลินเจี้ยนหรู ที่จริงเขาพูดอะไรกันแน่ ทำเอาหัวชิงทนไม่ได้ต้องขึ้นมาบนสวรรค์ จากนั้นท่าทีที่มีต่อหลินเจี้ยนหรูก็เปลี่ยนไป?


นางยืนนิ่งใต้ต้นสนอยู่นาน ก่อนพลันเดินไปทางทิศตะวันตก


การเปลี่ยนแปลงทั้งหมดของหลินเจี้ยนหรูเริ่มจากเหลียงชิวฉาน นางต้องรู้แน่นอน!


มู่จิ่วมุ่งไปยังที่พักของเหลียงชิวฉาน เมื่อเข้าไปดูกลับพบว่าห้องทางทิศตะวันออกที่นางพักอยู่ถูกลงกลอนไว้


เหลียงชิวฉานไม่อยู่?


…………………………………………..


บทที่ 341 เขาคือผู้อาวุโส?

โดย

Ink Stone_Romance

“ใต้เท้ากัวมาตามหาคนหรือ?”


เซียนหญิงทางห้องตะวันตกเดินออกมาถาม


มู่จิ่วพยักหน้าตอบรับนาง ก่อนถามกลับ “แม่นางเหลียงล่ะ?”


“นางกลับสำนักแรกพยับไปแล้วเจ้าค่ะ ช่วงนี้นางไม่ต้องเข้าเวรพอดี กลับไปได้สองวันแล้ว”


ไม่ผิดคาด!


หลินเจี้ยนหรูกลับสำนักแรกพยับไปอย่างสง่าผ่าเผย เหลียงชิวฉานก็ตามเขากลับไป ไม่แน่ว่านางอาจจะกำลังก่อเรื่องอะไรอยู่! อย่างน้อยก็ยืนยันได้ว่าระหว่างนางกับหลินเจี้ยนหรูไม่ได้มีความแค้นไม่เผาผีกัน!


หรือเหลียงชิวฉานเป่าหูหัวชิง?


แต่ฐานะของหลินเจี้ยนหรู ถึงแม้เหลียงชิวฉานจะทุ่มแรงเล่นใหญ่ขนาดไหน ก็ไม่น่าจะได้ผลลัพธ์ดีเยี่ยมขนาดนั้น?


นางครุ่นคิดไปครู่หนึ่ง พยักหน้าลาแม่นางคนนั้น ก่อนเดินออกจากประตูไป


ครั้นกลับถึงบ้าน เสี่ยวซิงกลับมาจากการจ่ายตลาดแล้ว มู่จิ่วหยิบรากบัวจากตะกร้าเดินเข้าห้องไป


ลู่ยาไม่อยู่บ้าน ทำได้เพียงพึ่งพาตนเองแล้ว


หัวชิงไม่ใช่คนโง่ ย่อมไม่อาจถูกหลินเจี้ยนหรูกับเหลียงชิวฉานชักจูงได้ เขาทำแบบนี้ได้อย่างไร?


นางสลัดเรื่องนี้ทิ้งไปไม่ได้แล้ว คงต้องไปสำนักแรกพยับถึงจะสืบเรื่องนี้ให้กระจ่างได้


แต่หลังจากรู้เรื่องกระจ่างแล้ว นางควรจะทำอย่างไรต่อไป?


ทำตัวรักความยุติธรรมแล้วคลี่คลายคดีนี้เสีย หรือเห็นแก่ความสัมพันธ์ ปกปิดเรื่องนี้ให้หลินเจี้ยนหรู?


แต่ไม่ว่าเลือกทางไหนก็ล้วนไม่ดีต่อนางทั้งนั้น ตามหลักการนางควรให้หลินเจี้ยนหรูถูกลงโทษไป แต่ด้วยความเป็นเพื่อนนางจะทำลงได้อย่างไร?


ตั้งแต่ใช้ชีวิตมาถึงตอนนี้ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ทำให้นางปวดหัวมากที่สุด


คดีที่ทำให้วิ่งวุ่นแต่ก่อนกลายเป็นเรื่องเล็กๆ ไปเลย!


หลังนั่งร้อนใจอยู่ในห้องสักครู่ นางก็ออกจากห้องไปเดินหมากกับอาฝูและรุ่ยเจี๋ยสักสองกระดาน จากนั้นจึงกลับไปดูที่หน่วยงาน จีหมิ่นจวินยังคงคุกเข่าอยู่ตรงนั้นอย่างสงบเสงี่ยม คนที่ติดตามมาด้วยทั้งสามล้วนยืนอยู่ที่ประตู รองผู้บัญชาการสั่งการคนเฝ้าประตูไว้ว่าห้ามพวกเขาเข้ามา และก็ห้ามไม่ให้ไปเรียกนางมา ดังนั้นจึงจนปัญญาเช่นกัน


ครั้นกลับบ้านไปกินอาหารเย็น กำลังตั้งใจจะกลับห้องไปอ่านหนังสือ ก็พลันได้ยินเสียงลมพัดอยู่ในลานบ้าน เมื่อเปิดหน้าต่างออกไปดู พบว่าซ่างกวนสุ่นกลับมาแล้ว ปีกอันใหญ่โตเกือบจะทำให้ดอกไม้ที่นางเพิ่งปลูกไว้หลุดร่วง!


พอนางเปิดประตู เขาก็กลับคืนร่างคนแล้วเดินเข้ามา


“เหนื่อยจะตายชัก!” เขาพร่ำบ่น จากนั้นดึงเก้าอี้นางมานั่งตามอำเภอใจ


มู่จิ่วมองเขาสองครา ยื่นหน้าออกไปตะโกน “เสี่ยวซิง!”


คนบางคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้นั่งหลังตรงขึ้นมาทันทีราวกับถูกเข็มทิ่ม ยังไม่ทันได้โวยวาย ก็มีเสียงหวานๆ จากนอกประตูลอยเข้ามา “มีอะไรรึ?”


มู่จิ่วมองค้อนเขา กอดอกพูดว่า “ไม่มีอะไร แค่จะถามว่าเจ้าเก็บข้าวไว้ให้ซ่างกวนสุ่นหรือไม่”


“เก็บไว้แล้ว เรียกเขามากินเองเถอะ!” เสี่ยวซิงกวาดพื้นสักหน่อยก็เดินหายไปอีก


ซ่างกวนสุ่นถลึงตาใส่มู่จิ่ว นางยิ้มพลางเอ่ย “เจอหลินเจี้ยนหรูหรือไม่?”


“ไม่เจอ!” ซ่างกวนสุ่นอารมณ์ไม่ดี


“ไม่เจอ?” มู่จิ่วหรี่ตา


ซ่างกวนสุ่นดื่มน้ำก่อนตอบ “ตอนนี้อาคมของเขากับข้าไม่ต่างกันเท่าไหร่ ในเมื่อเจ้าให้ข้าไปแอบสืบ ข้าย่อมต้องไม่เข้าใกล้เกินไปอยู่แล้ว!”


“แม้จะไม่เจอเขา แต่มั่นใจได้ว่าหลินเจี้ยนหรูอยู่ที่สำนักแรกพยับแน่นอน ทั้งยังได้รับการยกย่องจากหัวชิง ไม่รู้ว่าเพราะจีหมิ่นจวินค้านหัวชนฝาหรือไม่ เขาจึงไม่ได้ไปพักที่ยอดเขาบัวหยก แต่ไปอยู่ที่เรือนบนยอดเขาด้านตะวันตกของยอดเขาขลุ่ยหยกแทน”


“เขามีเรือนเป็นของตนเองด้วย?” มู่จิ่วถาม


แม้ว่าแต่ละสำนักจะมีกฎไม่เหมือนกัน แต่ตามปกติมีเพียงเซียนขั้นหัวเสินขึ้นไปเท่านั้นถึงจะมีเรือนส่วนตัว แบบนี้หมายความว่าอาคมของเขาถึงขั้นหัวเสินแล้ว? หัวชิงยอมรับฐานะของเขาในสำนักแรกพยับหรือ?


แต่เดิมนางไม่ค่อยเชื่อ ตอนนี้นางไม่เชื่อไม่ได้แล้ว


ทว่าหัวชิงเปลี่ยนไปมากขนาดนี้ เขาคงไม่ได้วางกับดักไว้กระมัง?


“มีอะไรอีก?” นางถาม


“เหมือนพวกเขาจะให้หลินเจี้ยนหรูเข้าไปแทนที่ตำแหน่งผู้อาวุโสของหลินเซี่ยแล้ว”


ผู้อาวุโส!


นี่ยิ่งน่าตกตะลึงกว่าเดิม! ตำแหน่งผู้อาวุโสในสำนักไม่ใช่ว่าใครจะเป็นก็ได้ จากลูกนอกสมรสที่โดนผู้คนดูถูกกลายเป็นผู้อาวุโส นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย!


และเรื่องใหญ่ขนาดนี้ จีหมิ่นจวินกลับไม่ได้เอ่ยถึง แสดงว่าเรื่องนี้คงเกิดหลังจากที่นางออกมาแล้ว


เช่นนั้นหัวชิงรู้หรือไม่ว่าจีหมิ่นจวินมาที่สวรรค์?


นางรู้สึกว่าอยู่ๆ หัวชิงไม่อาจเปลี่ยนไปได้มากเช่นนี้ แต่ก่อนยังรังแกเขา เพียงพริบตาเดียวก็เป็นเช่นนี้แล้ว เบื้องหลังต้องไม่ธรรมดา


แต่เดิมนางคิดว่าจะปิดคดีนี้อย่างไรให้ดี ตอนนี้กลับกังวลว่าหัวชิงจะวางกับดักทำร้ายหลินเจี้ยนหรู ในเมื่อหัวชิงไม่ถูกกับจีหมิ่นจวิน และตอนนี้ยังดำรงตำแหน่งเจ้าสำนัก เช่นนั้นก็เป็นไปได้ว่าอาจวางกับดักให้จีหมิ่นจวินกระโดดลงไป แล้วจัดการนางกับหลินเจี้ยนหรูไปพร้อมกันทีเดียว


คิดได้เช่นนี้นางก็ยืนขึ้นมา “ให้อาฝูไปหน่วยลาดตระเวนเป็นเพื่อนข้าหน่อย!”


พูดจบนางหยิบกระบี่ขึ้นมา แล้วเดินออกประตูไป


จีหมิ่นจวินที่อยู่ในหน่วยลาดตระเวนไม่คิดเลยว่าจะถูกเด็กสาวกลั่นแกล้ง จึงโกรธเคืองยิ่งนัก แม้นางจะไม่มีเหตุขัดแย้งโดยตรงกับมู่จิ่ว แต่ก็ฟังเรื่องราวของนางจากจีหย่งฟางมามาก จีหย่งฟางถูกมู่จิ่วผลักกระเด็นที่ประตูสวรรค์แดนใต้ เรื่องนี้นางจะปล่อยผ่านได้หรือ? นางเป็นใหญ่อยู่ที่อาณาจักรจื่อจิว ผู้บำเพ็ญเซียนเล็กๆ คนหนึ่งสำหรับนางแล้วนับเป็นอะไรได้? ดังนั้นจึงไมได้มองมู่จิ่วอยู่ในสายตา


แต่ตอนนี้นางกลับทำอะไรมู่จิ่วไม่ได้เลยแม้แต่น้อย นอกจากเป็นเจ้าหน้าที่สวรรค์แล้วยังสั่งสอนนางอีก


มู่จิ่วก็ทำเพื่อลดความทระนงของนางลง เดินเข้าไปในประตูกับอาฝูและซ่างกวนสุ่น ทางซ้ายเป็นเสือขาว ทางขวาเป็นนกต้าเผิง ยิ่งทำให้นางดูน่าเกรงขาม


“เจ้าออกมานานเท่าไหร่แล้ว?” นางเก็บเชือกมัดเซียนกลับมา ก้มหน้าลงถาม


จีหวิ่นจวินอดกลั้นอารมณ์ กัดฟันตอบว่า “สองวันแล้ว!”


มู่จิ่วถาม “เช่นนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่าสองวันนี้สถานการณ์ที่สำนักแรกพยับเป็นเช่นไร? หัวชิงรู้หรือไม่ว่าเจ้าขึ้นสวรรค์มา?”


“ข้าออกมาแล้วจะรู้เรื่องได้อย่างไร! ข้าจะใส่ใจไปทำไมว่าหัวชิงจะรู้หรือไม่?! สุดท้ายคือข้าร้องทุกข์คดีนี้แล้ว เจ้าต้องสืบออกมาให้กระจ่าง!”


นางเป็นท่านหญิงจนเคยตัว มาถึงสวรรค์ก็ยังวางก้าม


มู่จิ่วก็ไม่อยากเปลืองความคิดสอนนางเรื่องมารยาท เพียงโบกมือแล้วเอ่ย “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็กลับไปสำนักแรกพยับกับข้า!”


ไม่สนว่าหลินเจี้ยนหรูกับหัวชิงจะมีแผนการอะไร นางอยากเห็นจีหมิ่นจวินกลับไปยังแรกพยับ อยากเห็นว่าจีหวิ่นจวินที่อยากสับหลินเจี้ยนหรูจนแหลกละเอียด เห็นเขามีตำแหน่งเป็นถึงผู้อาวุโสซึ่งสูงส่งกว่าตนเองจะมีปฏิกิริยาเช่นไร


จีหมิ่นจวินไม่ปฏิเสธ อีกอย่างหากต้องการสืบ จะไม่ไปปดูที่เกิดเหตุได้อย่างไร?


มู่จิ่วเรียกรองผู้บัญชาการหลี่อี้มา และยังพาเจ้าหน้าที่ไปด้วยอีกสี่คน รวมถึงซ่างกวนสุ่นและอาฝูด้วย ทั้งคณะออกเดินทางในยามค่ำคืนสู่สำนักแรกพยับ ใช้เวลาไปหนึ่งชั่วยาม เมื่อถึงสำนัก ทั้งภูเขายังสว่างไสวไปด้วยคบไฟ


มู่จิ่วไม่สนใจสิ่งใด มุ่งไปยังยอดเขาขลุ่ยหยกที่เจ้าสำนักพำนักอยู่ ขณะที่ยังห่างจากปลายทางอีกสามถึงห้าลี้ ในห้องพลันมีเซียนเด็กรับใช้โผล่หน้าออกมา เมื่อเห็นว่าเจ้าหน้าที่ทหารสวรรค์มาเยือน เซียนเด็กรับใช้นิ่งอึ้ง ยิ่งเห็นว่าคนที่ร่วมทางมาด้วยคือจีหมิ่นจวินก็ตกตะลึงไปแล้ว


……………………………


บทที่ 342 ข้าไม่ติดค้างเจ้าแล้ว!

โดย

Ink Stone_Romance

คนที่ยังมีสติถอยกลับเข้าไปรายงาน ที่เหลือก็เลิ่กลั่กเมียงมอง ไม่รู้ว่าควรเข้าไปดีหรือไม่


“ข้าเจ้าหน้าที่หน่วยลาดตระเวนกัวมู่จิ่ว ต้องการขอพบหัวชิงเจินเหริน รบกวนไปรายงานด้วย”


หลี่อี้เป็นคนมีไหวพริบ เพียงมองปราดเดียวก็รู้ว่ามู่จิ่วกับสำนักแรกพยับเคยมีความบาดหมางกันมาก่อน ดังนั้นจึงปฏิบัติไปตามกฎระเบียบ


เหล่าเซียนเด็กรับใช้ได้ยินว่าเจ้าหน้าที่หน่วยลาดตระเวนมาก็ยิ่งตกใจ อยากจะให้มีขางอกออกมาอีกสักสองขา รีบพุ่งเข้าไปรายงานทันที


มู่จิ่วไม่พูดอะไรอีก แล้วเดินตามเข้าไป เมื่อเพิ่งกลางลานก็พบคนจำนวนหนึ่งรีบเดินออกมารับจากห้องโถง คนที่นำมาคือหัวชิง ด้านซ้ายคือซ่านเซียนผู้หนึ่ง ด้านขวาคือหลินเจี้ยนหรูที่ปกปิดความประหลาดใจไว้ไม่มิด คนด้านหลังที่ตามมาก็มองด้วยความสงสัย


หัวชิงเคยพบมู่จิ่วกับซ่างกวนสุ่นมาก่อน แต่ตอนพบกันที่ชิงชิวนางยังเป็นเพียงเด็กสาวที่ไม่โดดเด่นสะดุดตา ตอนนี้นอกจากนางจะมีทหารสวรรค์ติดตามแล้ว ด้านข้างยังมีเสือขาวและนกต้าเผิงมาด้วย นางที่ดูทรงพลังในตอนนี้ช่างไม่เหมือนตอนนั้นเลย


เขาเงียบไปสักครู่ก่อนมองจีหมิ่นจวิน จากนั้นประสานมือทักทายมู่จิ่ว “ขอบังอาจถาม ใต้เท้ากัวมาค่ำมืดเช่นนี้มีเรื่องอันใด?”


มู่จิ่วก็กวาดมองจีหมิ่นจวินคราหนึ่ง ก่อนตอบ “หน่วยข้ามีคนมาร้องทุกข์บนสวรรค์ ร้องทุกข์ว่าการตายของหลินเซี่ยเมื่อสองปีก่อนคือการฆาตกรรม ใต้เท้าหลิวส่งข้ามาทำคดีนี้ ดังนั้นเลยมารบกวนเจินเหรินกลางดึก โปรดอภัย”


พูดจบนางมองหลินเจี้ยนหรูที่อยู่ด้านหลังเขาคราหนึ่ง ถึงค่อยละสายตากลับไป


หลินเจี้ยนหรูเห็นนางกับจีหมิ่นจวินมาด้วยกันกะทันหัน ในใจก็ตื่นตระหนก จนเมื่อนางพูดออกมา ใบหน้าเขาก็ถอดสี!


“ฆาตกรรม?” หัวชิงขมวดคิ้ว แต่ไม่เห็นความประหลาดใจมากนัก เขามองจีหมิ่นจวิน “ศิษย์น้องตายเพราะถูกคนฆ่า มิใช่ว่ารู้นานแล้วหรือ? ฆาตกรก็จับตัวแล้ว เจ้าคิดจะก่อเรื่องอะไรอีก?”


“คนที่ถูกจับคือลูกสาวของข้า ไม่ใช่ว่าจะเป็นฆาตกรที่แท้จริง!”


ใจของจีหมิ่นจวินตอนนี้ว่างเปล่า ปกตินางเป็นคนเกรี้ยวกราดโอหัง แม้ไม่เคยปะทะหัวชิงโดยตรง แต่เมื่อเรื่องบานปลายถึงขั้นนี้ ก็เท่ากับเป็นการหักหน้าหัวชิงแล้ว หากกัวมู่จิ่วสามารถคลี่คลายคดีได้ก็โชคดีไป หากคลี่คลายไม่ได้ พวกนางสามแม่ลูกก็จะใช้ชีวิตอยู่ในสำนักแรกพยับลำบากแล้ว


แต่ไม่ว่าเป็นอย่างไร จนถึงตอนนี้นางไม่อาจถอยได้แล้ว นางเป็นท่านหญิงของอาณาจักรจื่อจิว หากหัวชิงไม่ยอมให้นาง เช่นนั้นอาณาจักรจื่อจิวก็จะไม่อ่อนข้อแรกพยับเช่นกัน! ราชวงศ์จื่อจิวเป็นเผ่าเทพ ไม่ใช่คนธรรมดา!


ในความเป็นจริง มู่จิ่วก็แอบเลื่อมใสนางอยู่เช่นกันที่หาญกล้าเผชิญหน้ากับหัวชิง หากไม่ใช่เพราะนางเห็นว่าชีวิตจืดชืดเกินไป เช่นนั้นก็คงเกรี้ยวกราดจนเคยตัว แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาครุ่นคิดเรื่องนี้ มู่จิ่วพูด “หลินเซี่ยขึ้นได้รับแต่งตั้งเป็นเซียนโดยแท้ หน่วยลาดตระเวนรับคดีมา ข้าก็ไม่อาจไม่ฟังคำสั่ง ตอนนี้ข้าต้องมาอยู่ที่นี่ หวังว่าเจ้าสำนักจะอำนวยความสะดวก”


หัวชิงอดกลั้น พยักหน้าพลางตอบ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ขอเชิญคณะของใต้เท้ากัวไปยังยอดเขาบัวหยกด้วย หลินเซี่ยตายที่นั่น อีกทั้งภรรยาของเขายังเป็นผู้ร้องทุกข์ คิดดูแล้วแบบนี้สะดวกต่อการสืบมากกว่า”


มู่จิ่วไม่มีความเห็น และก็ไม่ได้มองพวกเขาอีก นำคนเดินตามจีหมิ่นจวินไปยังยอดเขาบัวหยก


จีหมิ่นจวินนำไปยังลานบ้านด้านหลัง จัดแจงให้อยู่ที่ลานชั้นสองทางตะวันออกเฉียงเหนือ


ด้านในมีสามห้อง มู่จิ่ว ซ่างกวนสุ่น และอาฝูอยู่คนละห้องพอดี


ส่วนหลี่อี้กับผู้ติดตามอีกสี่คนพักอยู่ด้านนอก


ท้องฟ้ามืดแล้ว แต่ละคนเมื่อได้ห้องก็แยกย้ายไปพักผ่อน


มู่จิ่วไม่รีบร้อน นางพักผ่อน อาบน้ำ รินชา จัดตะเกียงไว้แล้วปลอกเมล็ดสนอยู่ข้างโต๊ะ นางยังต้องครุ่นคิดเรื่องทั้งหมดก่อน


บนสำนักแรกพยับมีต้นสนมากมาย ต้นสนออกลูกเยอะนัก แต่ละลูกใหญ่สมบูรณ์ เด็ดมาไม่สิ้นเปลืองอะไร


เมื่อปลอกไปได้สิบสี่สิบห้าเมล็ด เสียงลมด้านนอกแปลกไปเล็กน้อย ก่อนหน้านี้มีเพียงกิ่งไม้สั่นไหวเบาๆ แต่ตอนนี้กระทบหลังคา


นางรวมพลังไว้ที่ปลายนิ้วก่อนเปิดประตูผ่านอากาศ มีคนผู้หนึ่งยืนหันหลังให้อยู่ตรงนั้น อยากหนีก็หนีไม่ได้


“เจ้ากลายเป็นคนลับๆ ล่อๆ เช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?” มู่จิ่วเหลือบมองด้านนอก สีหน้าเย็นชา


บนใบหน้าของหลินเจี้ยนหรูเจือความตระหนกเล็กน้อย แต่ไม่นานก็กลายเป็นเย็นชาเช่นเดิม


เขาเดินเข้ามานั่งลงที่โต๊ะ ก่อนเอ่ย “ข้าคิดไม่ถึงจริงๆ”


“คิดไม่ถึงว่าจีหมิ่นจวินจะฟ้องร้องเจ้า?” มู่จิ่วไม่มองเขา ยังคงปอกเมล็ดสนไป


“ไม่ คิดไม่ถึงว่าคนที่สืบคดีการตายของหลินเซี่ยจะเป็นเจ้า”


น้ำเสียงของหลินเจี้ยนหรูแม้จะราบเรียบ แต่กลับเนิบนาบในแบบที่มู่จิ่วไม่เคยได้ยินมาก่อน


มู่จิ่วหันมา เหลือบมองเขา “นี่คืองานของข้า ข้าจะไม่มาได้อย่างไร?”


“แต่เมื่อก่อนข้าเคยคิดว่าเราคือเพื่อนกัน” เขาพูด “ข้าเคยคิดว่าแม้เจ้าจะทิ้งเพื่อนเช่นข้า แต่ก็คงช่วยรักษาความลับ ย่อมต้องไม่มีความคิดลากข้ากลับไปลงโทษ แต่การมาของเจ้าในครั้งนี้ มาเพื่อให้ความยุติธรรมแทนเบื้องบน ขุดความผิดของข้าออกมาทั้งหมด จากนั้นไปรายงานสวรรค์ ให้ข้ากระโดดแท่นประหารเซียนเช่นนั้นหรือ?”


มู่จิ่วรู้สึกราวกับมีลมเย็นๆ พัดเข้ามาในใจ มือเท้าเย็นเฉียบ


ถึงแม้นางมีความคิดจะห่างเหินจากเขา ถึงแม้นางรู้ว่าเขาทำอะไรมาบ้าง แต่ก็ไม่เคยคิดจะลากตัวเขาออกมา แม้ครั้งนี้รับทำคดี ก็ไม่ใช่ความตั้งใจของนางแต่แรก คิดไม่ถึงว่าตอนนี้นางยังไม่ทันได้ทำอะไร เขาก็คิดถึงหนทางเลือกของนางแล้ว!


นางหันไปกล่าว “ถึงแม้ข้าจะทำเช่นนี้ ก็ดูเหมือนไม่มีอะไรผิด หรือข้ามีหน้าที่ต้องปกปิดความผิดของเจ้า?”


“ข้าแค่ทำหน้าที่เท่านั้น ช่วยนักโทษปกปิดความผิดข้าก็ต้องรับโทษเช่นกัน หากข้าช่วยเจ้าก็คือรักษาสัมพันธ์ หากไม่ช่วยก็คือทำตามหน้าที่ เจ้าอย่าคิดว่าคนทั้งโลกล้วนติดค้างเจ้า ข้ากัวมู่จิ่วกล้าสาบานต่อสวรรค์ ไม่ว่าข้าตัดสินใจอย่างไร ข้าก็ยังมีหน้ากล้าสู้ฟ้าดิน! และไม่ติดค้างเจ้าสักนิด!”


นางทุบลูกสนลงไปบนโต๊ะ ใบหน้าเย็นชา ยังหนาวเย็นกว่าลมเย็นที่พัดเข้าสู่ใจนางสิบเท่า


คิดจะได้คืบเอาศอกกับนางหรือ? เขาคิดผิดแล้ว!


หลินเจี้ยนหรูไม่เคยเห็นนางเป็นเช่นนี้มาก่อน เดิมทีคิดแผนการไว้ในใจ แต่น้ำเสียงกลับอ่อนลงไปโดยไม่อาจห้าม


เขาลืมไป เบื้องหลังนางยังมีลู่ยา..


เขากระแอมไอ น้ำเสียงอ่อนลง “ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น เพียงแค่พลั้งปากไปหน่อย”


“ข้าไม่สนว่าเจ้าหมายความว่าอย่างไร สรุปคือข้ามาเพื่อทำคดี ข้าเพียงต้องรับผิดชอบต่อหน้าที่ ส่วนเรื่องที่ว่าจะสืบออกมาอย่างไร ข้าจะทำตามหลักเมตตาเท่านั้น” มู่จิ่วมองเขานิ่งๆ ไม่มีความคิดจะคุยด้วยแล้ว


ไม่ผิด ปกตินางเป็นคนยอมคน แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าจะปล่อยให้ใครเอาเปรียบอย่างใดก็ได้


นางจะทำดีกับใคร นางตัดสินใจเอง ไม่ต้องให้ใครมาบังคับ


หลินเจี้ยนหรูในตอนนี้ไม่ใช่คนที่นางรู้จักในตอนแรกแล้ว นางเห็นความร้อนตัวของเขา เห็นความเห็นแก่ตัวเอาแต่ได้ เขาที่มาขอร้องนางแต่ก่อนมักมีท่าทีหวาดกลัว แต่ตอนนี้เขาที่มาซักถามนางถึงที่ แม้กระทั่งเผชิญหน้ากับเรื่องที่ตนเองเคยทำมาก่อนก็ยังสงบนิ่งได้


…………………………..


บทที่ 343 ข้าจะฆ่าเจ้า!

โดย

Ink Stone_Romance

ถึงแม้การฆ่าหลินเซี่ยเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ การใส่ร้ายจีหย่งฟางก็ทำไปเพื่อปกป้องตนเอง กฎสวรรค์ไม่อาจละเว้นใคร นางที่เฝ้ามองเขามาตลอดเข้าใจได้


แต่เรื่องฆ่าคนไม่ใช่เรื่องที่สมควรจะตะโกนโห่ร้องอะไร นางไม่โทษเขา ไม่ดูแคลนเขา แต่เขาก็ไม่อาจคิดว่าเรื่องที่เขาทำนั้นเป็นเรื่องน่ายกย่อง ไม่อาจใช้เหตุผลว่าเขาผ่านเรื่องอยุติธรรมมามากเป็นข้ออ้างคิดว่าเรื่องที่ตนเองทำเหมาะสมแล้ว


เขาฆ่าหลินเซี่ยเพราะความโลภผลักดัน เพราะเขาอยากได้มหาโอสถทองจึงได้ฆ่าบิดา ไม่ใช่เพราะหลินเซี่ยชักกระบี่ขึ้นวางบนลำคอเขาแล้วจนตรอกจนต้องฆ่าอีกฝ่าย แต่เขาฆ่าหลินเซี่ยที่กำลังไร้ทางสู้ ใช้กลอุบายและความโหดเหี้ยมเอาชนะ นี่ไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง


“มู่จิ่ว!” หลินเจี้ยนหรูลุกขึ้นยืน “เจ้าช่วยข้าอีกครั้งไมได้หรือ ช่วยข้าปกปิดอีกสักครั้งเถิด?”


มู่จิ่วก็ยืนขึ้นมา “ข้าได้ยินมาว่าตำแหน่งของเจ้าในแรกพยับสูงขึ้นยิ่งนัก เจ้าทำได้อย่างไร?”


หลินเจี้ยนหรูชะงัก


นางมากะทันหันเกินไป ทุกสิ่งล้วนเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เขายังไม่ทันได้เตรียมตัวเตรียมใจจะรับมือ เขาไม่รู้ว่าจีหมิ่นจวินไปสวรรค์ ยิ่งไม่รู้ว่าคนที่รับทำคดีคือนาง ช่วงนี้หัวชิงยุ่งอยู่กับการต้อนรับเขา จึงไม่ได้สนใจยอดเขาบัวหยกนัก คำถามนี้ของนางเขาจึงไม่รู้จะเริ่มตอบจากตรงไหน และควรจะตอบอย่างไรดี


“เรื่องนี้ยากจะอธิบายด้วยคำสั้นๆ” เขาบอกปัด หวังว่านางจะไม่ซักไซ้ไล่ถามเหมือนยามปกติ “วันหลังข้าค่อยเล่าให้เจ้าฟัง”


“ไม่มีวันหลังแล้ว หลินเจี้ยนหรู ตอนนี้ข้ากำลังสืบคดี คำถามทุกคำถามของข้า เจ้าต้องตอบ”


เสียงของมู่จิ่วเย็นชาดุจน้ำแข็ง นางหันหน้าไปด้านนอกก่อนเรียกซ่างกวนสุ่น จากนั้นหันกลับมา “ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ทุกคำพูดของเจ้าจะมีเจ้าหน้าที่คอยบันทึกไว้ ไม่ว่าโกหกหรือปฏิเสธ เจ้าล้วนต้องเผชิญหน้ากับผลลัพธ์ที่ตามมา เจ้าสามารถเลือกเองได้”


สีหน้าหลินเจี้ยนหรูพลันเปลี่ยน ยังไม่ทันได้พูดอะไร อาฝูกับซ่างกวนสุ่นก็เดินเข้ามาแล้ว


ทั้งสองมายืนอยู่ข้างมู่จิ่ว นางชี้ไปยังชุดหมึกพู่กันที่ด้านข้างก่อนเอ่ย “ตอบเรื่องที่ข้าถามไปเมื่อครู่มาเถิด ทำไมหัวชิงถึงได้ปฏิบัติต่อเจ้าเปลี่ยนไปมากนัก?”


หมัดทั้งสองของหลินเจี้ยนหรูกำแน่น ใบหน้าเริ่มบิดเบี้ยวเล็กน้อย


แต่มู่จิ่วกลับไม่ขยับ เพียงมองเขานิ่งๆ อย่างนั้น


“เจ้าอย่าชักช้า รีบพูดมา!” ซ่างกวนสุ่นเอ่ยเร่ง


หลินเจี้ยนหรูมองเขาก่อนมองมู่จิ่ว กัดฟันตอบว่า “ข้าไม่เคยคิดเลยว่าเจ้าจะทำเช่นนี้กับข้า!”


มู่จิ่วกอดอก “ข้าก็ไม่เคยคิดเหมือนกันว่าเจ้าจะกลายเป็นคนหลอกลวงเช่นนี้ ข้ายังคงยืนยันคำเดิมว่าข้าไม่ได้ติดค้างเจ้า”


ซ่างกวนสุ่นกระแอมไอ


หลินเจี้ยนหรูจับจ้องมู่จิ่ว ใบหน้าที่บิดเบี้ยวค่อยๆ หม่นหมองขึ้น ยามนี้เขาเห็นความแน่วแน่บนสีหน้านาง


เขาสูดลมหายใจเบาๆ แล้วสะบัดชุดคลุมนั่งลง ใบหน้ามองตรงนิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง แววตาพลันเผยความเย็นชา “ที่หัวชิงดีต่อข้ามากขึ้น แท้จริงแล้วไม่มีอะไรเลย เป็นเพราะเขามองข้าเป็นศิษย์ของลู่ยา”


ลู่ยา?


มู่จิ่วที่เย็นชามาตลอด เมื่อได้ยินชื่อนี้ก็อดมองเขาไม่ได้


หลินเจี้ยนหรูยกยิ้ม เอ่ยเสียดสี “เรื่องนี้ต้องเริ่มเล่าจากที่ข้ากลับจากแรกพยับไปยังสวรรค์ครั้งนั้น”


“ครั้งก่อนเหลียงชิวฉานกลับแรกพยับไปฟ้องเรื่องข้า หัวชิงมาสวรรค์เพื่อพาข้ากลับไปรับโทษที่แรกพยับ ข้ารู้ว่ามีความเสี่ยงจึงได้ขัดขืนไป ทำให้หัวชิงเห็นว่าพลังบำเพ็ญของข้าก้าวหน้าไปมาก เขาพาข้ากลับไปแรกพยับเพื่อสอบสวน ข้าตอบไปว่าได้รับวาสนาเซียน เขาไม่เชื่อ จึงทำโทษขังข้าไว้ที่ถ้ำลมหนาว”


“สุดท้ายแม้เขาปล่อยข้าออกมา แต่ไม่ถึงสองวันก็ส่งหูเจียงเต๋อมาจับตาดูข้า เจ้านั่นไม่เพียงมาจับตาดู แต่ยังคิดจะใช้ข้าเป็นสุนัขรับใช้ด้วย ดังนั้นข้าจึงให้เขาลิ้มรสชาติการเป็นสุนัขรับใช้แทน คิดไม่ถึงว่าเขากลับติดใจ นอบน้อมต่อข้ายิ่งนัก พอหัวชิงเรียกกลับไปถามเรื่องข้า เขากลับไปยกยอข้าแทน”


“ข้าเพิ่งรู้ว่ารสชาติของการเป็นเจ้าของสุนัขนั้นหอมหวานยิ่งนัก”


“หัวชิงไม่เชื่อเลยขึ้นสวรรค์มาถามความจริงกับข้า และยังพิจารณาพลังบนร่างข้าอย่างละเอียด ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้เข้าใจไปว่าข้าเป็นผู้สืบทอดของลู่ยา! จากนั้นเขาถามข้าว่าเรื่องเป็นมาอย่างไร แล้วข้าจะเล่าเรื่องจริงได้อย่างไร? บังเอิญข้ารู้มาว่าลู่หยาคู่หมั้นเจ้าก็คือลู่ยา ข้าจึงตามน้ำไปว่าข้ากราบลู่ยาเป็นอาจารย์”


มู่จิ่วหน้าพลันถอดสี! ไม่ต้องไปถามเขาว่าเขารู้ได้อย่างไรว่าลู่หยาคือลู่ยา เพียงเอ่ยถึงว่าเขากลับกล้าโกหกคำโตว่าตนเองเป็นลูกศิษย์ของลู่ยา? ไม่กลัวลู่ยาทุบเขาตายด้วยฝ่ามือเดียวหรือ!


เขาที่เคยสดใสและจิตใจดีงาม วันนี้กลับกลายเป็นคนต่ำทรามไร้ยางอายเสียแล้ว เขาอาศัยการหลอกลวงเพื่อให้ได้ตำแหน่งและ ‘ความเคารพ’ มา อีกทั้งเขายังแอบอ้างชื่อลู่ยาอีก!


นางเดินไปข้างหน้าทั้งแววตาเย็นเยียบ มองเขาอยู่นาน ก่อนพลันยื่นมือออกไปตบลงบนใบหน้า!


“ลู่ยาไม่มีลูกศิษย์จอมหลอกลวงเช่นเจ้า! การเอ่ยชื่อของเจ้าขึ้นมาพร้อมกับลู่ยา ข้ารู้สึกว่าเป็นการลบหลู่เขา! หลินเจี้ยนหรู เจ้าสามารถเลือกทางเดินของเจ้า แต่อย่าได้คิดยืมชื่อลู่ยามาใช้เพื่อให้ได้ในสิ่งที่ต้องการ อย่าแม้แต่จะคิด!”


“…ซ่างกวนสุ่น! เจ้าไปแจ้งหัวชิงที่เขาขลุ่ยหยก เขาไม่ใช่ศิษย์ของลู่ยา ลู่ยาไม่เคยถ่ายทอดอะไรให้เขามาก่อน! เจ้าต้องบอกพวกเขาให้ชัดเจน อย่าได้เพลี่ยงพล้ำกลับมาให้ลู่ยาต้องแบกรับปัญหาเรื่องนี้!”


ซ่างกวนสุ่นถลึงตาใส่หลินเจี้ยนหรูอย่างโกรธแค้น กระทืบเท้าวางพู่กันแล้วเดินออกไป


อาฝูก็โกรธจนร้องคำรามอยู่บนพื้นไม่หยุด


“ช้าก่อน!”


หลินเจี้ยนหรูพลันตะโกนขึ้นมา ปล่อยมือที่กุมหน้าลง มองมู่จิ่วอย่างโกรธแค้น “เหตุใดเจ้าถึงรู้ว่าข้าต้องหลอกลวงผู้อื่น? เจ้ามั่นใจได้อย่างไรว่าพลังของข้าไม่ใช่พลังที่ลู่ยาหรือศิษย์ของเขาให้มาแน่? เจ้าเคยลองตรวจพลังในกายข้าหรือไม่?! เจ้าไม่เคย! แม้แต่เรื่องที่ข้าเคยพบใครมาก่อนเจ้าก็ไม่รู้ เจ้าอาศัยอะไรมากล่าวหาว่าข้ากำลังหลอกลวงผู้คน?!”


“เพราะลู่ยาไม่ได้บ้า! เจ้ากินมหาโอสถทองเข้าไปจนธาตุไฟเข้าแทรกเกือบกลายเป็นมาร ตอนเขาตรวจชีพจรเจ้า เขาคิดจะฆ่าเจ้าทันที! แต่ข้าขอร้องเขาไว้! เขาบอกว่าเจ้ามีรากฐานมาร ต่อไปจะเป็นภัยใหญ่ เป็นข้าเองที่ยืนยันว่าจะไม่เข้าใกล้เจ้าอีก เขาถึงได้ล้มเลิก! ในเมื่อเขารู้ชัดเจนว่าเจ้ามีรากฐานมารแล้ว ย่อมไม่มีทางส่งเสริมเจ้าแน่!”


มู่จิ่วเดินบีบเข้าไปใกล้เขา ไม่ได้ตะโกนและไม่ได้ร้องคำราม ในแววตานางมีเพียงความเย็นชาอย่างที่สุด


นางไม่ยอมให้ใครมาทำให้ลู่ยาแปดเปื้อน อย่างไรก็ไม่ได้!


นางไม่ยอมให้ใครมาเอาเปรียบเขา ทั้งยังกล้าจองหองเกรี้ยวกราดเช่นนี้!


หลินเจี้ยนหรูไม่คู่ควรให้เอ่ยถึงพร้อมกับลู่ยา ถึงแม้ก่อนหน้านี้ครึ่งชั่วยามนางยังกังวลแทนเขาอยู่


แต่ความกังวลของนางที่มีต่อหลินเจี้ยนหรูเทียบไม่ได้กับความรักที่นางมีต่อลู่ยา เขาอย่าได้คิดจะแตะต้องลู่ยาแม้แต่ปลายก้อย!


“หากเจ้ายังกล้ายืนกรานต่ออีกคำ ข้าจะฆ่าเจ้าทันที” นางพูด


………………………………………

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)