ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง 336-339

ตอนที่ 336 เจ้าไม่อาจแต่งงานกับเขา

 

“สูญเสียความทรงจำ?” สาวน้อยคลำดูศีรษะ นางขมวดหัวคิ้วกระพริบตาที่มีประกายราวดวงดาว


 


 


ว่าแล้ว นางก็เขยิบเข้าไปใกล้ เชยคางของเขาขึ้นมาพิจารณา “หน้าตาก็หมดจรดงดงามมิสู้ตามข้ากลับบ้าน หาเรื่องหาราวทำไป ดีกว่าหิวตายอยู่ในป่าลึกเช่นนี้?”


 


 


บุรุษผู้นั้นสีหน้าเย็นชา แสดงกริยาขัดขืนออกมาทางร่างกาย


 


 


เขาเป็นถึงฮ่องเต้ผู้ก่อตั้งแคว้นต้าโจว หากไม่ใช่เพราะว่าร่างกายขยับไม่ได้ ไหนเลยจะยอมถูกลบหลู่ถึงเพียงนี้?


 


 


“ไม่เต็มใจ?” มือของสาวน้อยที่เชยคางเขาเอาไว้มิได้ปล่อย ดวงตายังคงเป็นประกายดุจดวงดาว “เจ้าเองก็เห็นแล้ว ที่นี่มีสัตว์ร้ายมากมาย ยังจะไม่ยินยอมติดตามข้ากลับไปอีกหรือ?”


 


 


พูดแล้ว นางก็ยักหัวไหล่ เหลือบไปมองดูดวงตามากมายในป่าทึบด้านหลังด้วยประกายตาแวววาว


 


 


บุรุษผู้นั้นไม่ยอมขยับ แต่เจ้าท้องที่ไม่รักดีนั้นกลับร้องออกมา ส่งเสียงโครกครากที่ฟังดูแปลกประหลาด


 


 


เขาพึ่งจะอ้าปาก หมั่นโถนุ่มๆ ชิ้นหนึ่งก็ถูกยัดเข้ามาในปาก อุดปากที่มีริมฝีปากแห้งกรังนั้นเอาไว้


 


 


สาวน้อยผู้นั้นคลี่ยิ้มให้กับเขาอย่างงดงาม “ไม่ต้องขอบคุณข้าหรอกนะ ช่วยชีวิตคนสร้างกุศลยิ่งกว่าเจดีย์เจ็ดชั้น”


 


 


บุรุษผู้นั้นขบเคี้ยวหมั่นโถในปาก ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดความรู้สึกอ่อนไหวบางประการเกิดขึ้นในหัวใจของเขา


 


 


ตู๋กูซิงหลันมองดูภาพตรงหน้าด้วยความเหม่อลอยอยู่บ้าง


 


 


หากว่านางเดาไม่ผิดละก็นี่คือการพบกันของปฐมฮ่องเต้กับองค์หญิงเย่ว


 


 


ที่แท้พวกเขาก็ได้พบกันเพราะเหตุนี้เองหรือ?


 


 


ประกายแสงจากลูกแก้วในมือของนางยังคงส่องสว่างไม่หยุด พอภาพเบื้องหน้าเลือนหาย ทุกอย่างรอบกายของนางก็แปรเปลี่ยนไปอีกครั้ง


 


 


……………….


 


 


รอบกายมีแต่ดอกไห่ถางผลิบานเต็มไปหมด สายลมโชยพาเอากลีบดอกโปรยปรายลงมาเรื่อยไม่มีหยุด ภายใต้ฉากหลังที่งดงามตระการตา คนทั้งสองในชุดสีดำปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง


 


 


บุรุษองอาจงดงาม สตรีสวยสคราญปานเทพธิดา


 


 


ดูเหมือนนางจะชมชอบสวมใส่กระโปรงสีดำ บนชุดกระโปรงปักดอกไห่ถางด้วยเส้นไหมสีแดงงดงามดึงดูดสายตาอย่างยิ่ง


 


 


คราวนี้ นางดูงดงามสูงส่ง แต่งหน้าอย่างปราณีต ปักปิ่นงดงามล้ำค่า ริมฝีปากทาชาดหน้าผากแต้มลายบุปผา คลุมหน้าด้วยผ้าโปร่งผืนบาง


 


 


บุรุษยืนมองอยู่ใต้ต้นไห่ถาง ช่วยนางป้อนหญ้าม้า รถน้ำต้นไม้


 


 


เขาคิดไม่ถึงเลยว่า สาวน้อยที่ช่วยเขากลับมาในวันนั้น ก็คือองค์หญิงของแคว้นกู่เย่ว—เจียงเย่ว


 


 


นางไม่เหมือนกับเหล่าองค์หญิงที่เขาเคยได้พบพานมาก่อน……….


 


 


อาการบาดเจ็บของเขาหายดีแล้ว สายตาที่มองดูนางก็เปลี่ยนไปมาก ทั้งร้อนแรงและคลั่งไคล้หลงใหล


 


 


ตู๋กูซิงหลันมองลงไปเหมือนหนึ่งเป็นดวงตาจากสรวงสวรรค์ จากสายพระเนตรของปฐมฮ่องเต้ยังสามารถมองเห็นความต้องการเป็นเจ้าของที่เก็บกดเอาไว้


 


 


หลังจากที่ถูกองค์หญิงเย่วลากกลับมา พอนานวันเข้าพระองค์ก็บังเกิดความรักขึ้น


 


 


เป็นฮ่องเต้ผู้ก่อตั้งแคว้นองค์หนึ่ง กลับยินดีถูกใช้แรงงานทำงานหนักเหน็ดเหนื่อยเพื่อนาง โดยไม่ปริปากบ่นแม้สักครึ่งคำ


 


 


นอกจากจะเพราะหลงรักเข้าแล้ว ตู๋กูซิงหลันเดาไม่ถูกว่ายังจะมีเงื่อนไขใดได้อีก


 


 


“อาจ้าน อีกเพียงเจ็ดวัน ข้าก็จะแต่งงานแล้ว เจ้าดีใจกับข้าหรือไม่?” เจียงเย่ววิ่งมาบอกเขา ในมือของนางกอดชุดแต่งงานสีแดงดุจโลหิตเอาไว้


 


 


ด้านบนมีวิหคเพลิงที่ยังปักไม่เสร็จดีตัวหนึ่ง


 


 


ภายใต้แสงสว่าง ด้ายทองเป็นประกายระยิบระยับเกินสิ่งใด ทั้งเจิดจ้าและบาดตา


 


 


อาจ้าน เป็นชื่อที่นางตั้งให้กับเขา นางหวังว่าสุนัขป่าน้อยที่นำกลับมาจะเติบโตอย่างกล้าหาญและแข็งแกร่งเหมือนดั่งเทพสงครามของแคว้นกู่เย่ว


 


 


นี้เป็นคำอวยพรที่นางมอบให้แก่เขา


 


 


เขากำหมัดเอาไว้แน่นจนสั่นสะท้านเบาๆ ใบหน้าเคลือบเอาไว้ด้วยความเหน็บหนาวเย็นชา “องค์หญิง ข้าไม่ดีใจเลย”


 


 


เจียงเย่วมองดูเขา ขมวดคิ้วน้อยๆ นางกระชับชุดแต่งงานสีแดงในมือ “ก็ใช่อยู่ เจ้ามักจะสงบนิ่งเย็นชาอยู่ตลอด ราวกับคนที่ไร้อารมณ์ใดๆ อยู่เสมอ นับตั้งแต่ที่ข้าพาเจ้ากลับมา เจ้าไม่เคยหัวเราะไม่เคยร้องไห้ แล้วจะให้ดีใจได้อย่างไร”


 


 


“แต่ว่าข้าดีใจมากเลย” หัวคิ้วของนางคลายออกราวดวงอาทิตย์ไร้หมู่เมฆ ส่งยิ้มหวานให้กับเขา “ข้ากับฟ่านอิงเติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก หมั้นหมายกันมาตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดาแล้ว สามารถแต่งให้กับเขาเป็นเรื่องที่ข้ามีความสุขที่สุดเลย”


 


 


ฟ่านอิง……สองคำนี้ ทำให้ดวงตาของเขามีประกายขุ่นเคืองลุกโชน


 


 


“องค์หญิง เขาไม่เหมาะสมกับท่าน” สักพักใหญ่ เขาถึงได้คลายกำหมัดลงได้ เขาขยับเพียงไม่กี่ก้าวก็พุ่งเข้ามาถึงตรงหน้านาง


 


 


เจียงเย่วตะลึงไปนางตัดสินใจก้าวถอยหลังไปก้าวหนึ่ง


 


 


จนถอยไปพิงเข้ากับต้นไห่ฮางที่อยู่ด้านหลัง


 


 


เขายื่นมืออกมาข้างหนึ่ง เอื้อมผ่านข้างใบหูของนางไปทาบลงบนลำต้น ดวงตาคู่นั้นจดจ้องนางอย่างรุกไล่ “เจียงเย่ว เจ้าไม่อาจแต่งให้กับเขา”


 


 


พูดแล้ว เขาก็กวาดตามองดูชุดแต่งงานในมือของนางครั้งหนึ่ง “เจ้าเกิดมาเพื่อเป็นหงส์ฟ้า ย่อมไม่อาจแต่งให้กับบุรุษเช่นนั้น”


 


 


เจียงเย่วตกตะลึงไปด้วยความไม่เข้าใจสักเท่าไร นางกอดชุดแต่งงานในมือเอาไว้แนบแน่น เงยหน้าขึ้นมองดูเขา “อาจ้าน ข้าเพียงแต่อยากจะเป็นคนธรรมดาที่มีความสุข หงส์ฟ้าแม้จะงดงาม แต่เบื้องหลังความงดงามนั้นมีราคาที่ข้าไม่อาจรับได้”


 


 


“ต่อไปภายหน้า ข้าเพียงต้องการอยู่กับฟ่านอิงไปชั่วชีวิต ปกป้องดูแลสิ่งที่พวกเราสมควรดูแล แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว”


 


 


ว่าแล้ว นางก็ขยับตัววูบหนึ่ง คิดจะลอดใต้วงแขนของเขาออกไป


 


 


พึ่งจะขยับเท้าไปได้ก้าวหนึ่ง ก็ถูกเขาลากกลับมาในอ้อมแขนอีกครั้ง มือข้างหนึ่งของเขาจับด้านหลังกระหม่อมของนางเอาไว้ ส่งจูบหนึ่งประทับลงมา


 


 


เป็นความคลั่งใคล้อย่างที่สุด คลั่งใคล้ประหนึ่งจะรัดเอาเจียงเย่วเข้าไปในร่างกาย


 


 


เจียงเย่วมิใช่สตรีอ่อนแอ ย่อมไม่ยินยอมให้เขาบังคับจูบตนเอง


 


 


นางชะงักไปเล็กน้อย กำหมัดข้างหนึ่งชกลงไปบนอกเขา


 


 


หมัดนี้เขากลับยอมรับเข้าไปเต็มๆ เพียงส่งเสียฮึมเบาๆ แต่ยังคงจับเจียงเย่วเอาไว้แน่น


 


 


ดวงตาคู่นั้นผุดเส้นเลือดขึ้นมา จับจ้องนางอย่างแน่วแน่น คว้าข้อมือของนางเอาไว้มั่น


 


 


“เจียงเย่ว เจ้าชาญฉลาดแต่ทำเป็นเลอะเลือน เจ้ารู้ดี ว่าข้าชอบเจ้า”


 


 


เจียงเย่วตื่นตะลึงจนชะงักไปทั้งร่าง นางลืมตาโตขึ้นมองดูเขาด้วยความไม่อยากจะเชื่อ


 


 


คนที่ไม่เคยยิ้มไม่เคยร้องไห้ท่าทางเหมือนไม่ได้รู้จักเจ็บปวด จะหลงรักผู้อื่น?


 


 


ผ่านไปอีกพักใหญ่นางค่อยได้สติขึ้นมา กล่าวเสียงเข้มประโยคหนึ่ง “อาจ้าน เจ้าอย่าได้ล้อเล่น”


 


 


“เจียงเย่ว เจ้าคิดว่าข้าเป็นคนที่ชอบพูดเล่นหรือ?” เขาจับจ้องนางอย่างจริงจัง “ข้าบอกว่าชอบเจ้า ด้วยความจริงใจ ไม่ยอมให้เจ้าแต่งกับฟ่านอิงก็เป็นเรื่องจริง”


 


 


“ข้าชอบเจ้า ไหนเลยจะยอมอยู่เฉยๆ มองดูเจ้าแต่งกับผู้อื่นได้”


 


 


เจียงเย่วขมวดคิ้วแน่น การสารภาพรักที่มาอย่างกระทันหันทำให้นางไม่รู้ว่าควรจะทำเช่นไรดี


 


 


“อาจ้าน ขอบคุณที่เจ้าชอบข้า” พักใหญ่ต่อมาเจียงเย่วถึงได้ตอบออกไป “เจ้าอายุยังน้อย ไม่เข้าใจกระจ่างในเรื่องของความรักชายหญิง ที่เจ้าชอบข้าอาจจะเป็นแค่เพราะว่าข้ามีบุญคุณช่วยชีวิตเจ้าเท่านั้น”


 


 


เจียงเย่วใช้กำลังผลักเขาออกไป สีหน้าค่อยๆ กลับคืนสู่ความเป็นปกติ “อย่าว่าแต่คนที่ข้าชอบจะอย่างไรก็มีแต่ฟ่านอิงเพียงคนเดียว ชั่วชีวิตนี้จะแต่งให้กับเขาเท่านั้น”


 


 


พอได้ยินแค่ประโยคเดียวก็ทำให้ความอดทนอดกลั้นทั้งหมดของเขาระเบิดออกมาในทันที


 


 


“ฟ่านอิงผู้นั้นมีอะไรดี? นอกจากเรื่องเติบโตมาพร้อมกับเจ้าแล้ว เขามีตรงไหนที่เทียบกับข้าได้กัน?”


 


 


“เจียงเย่ว ไม่แต่งกับเขาได้หรือไม่? อยู่กับข้า ข้าจะดีกับเจ้าไปจนชั่วชีวิต”


 


 


เขาไม่เคยชอบหญิงใดมาก่อน จึงได้ทั้งเร่งร้อนและจริงจังถึงเพียงนี้


 


 


เจียงเย่วชะงักไปอยู่นาน ก็ได้แต่ส่ายศีรษะออกมา นางโอบกอดชุดแต่งงานในอ้อมแขนแนบแน่นกว่าเดิม “อาจ้าน ใต้หล้านี้ย่อมไม่ใช่เพราะว่าเจ้าชอบใครสักคน คนอื่นก็จะต้องชอบเจ้าด้วย ความรู้สึกนี้เจ้าเก็บเอาไว้ให้ผู้อื่นเถอะ กับเจ้า ข้าไม่มีความรู้สึกผูกพันฉันท์ชายหญิงด้วย”


 


 


 


 


——


 


 


ไรท์: ท่านย่าก็ปฏิเสธเด็ดขาด ตัดบัวไม่เหลือใยเลยนะ


 


 


จีจ้าน: “…….”


 


 


ตอนต่อไป “ต้นแบบของผู้นำแต่โบราณ” 

 

 


ตอนที่ 337 ต้นแบบผู้นำยุคโบราณ

 

เมื่อบุรุษที่ตอนนั้นพากลับมาเพราะเกิดความเมตตาสงสาร เกิดความรักต่อตนเองขึ้นมา การปฏิเสธของเจียงเย่วก็รวบรัดชัดเจน


 


 


นี่ทำให้นางตกอยู่ในปัญหาเสียแล้ว


 


 


นางใช้แรงขัดขืนเพื่อหลุดพ้นจากเขา และรีบไปให้พ้นจากสายตาของเขาให้เร็วที่สุด


 


 


นั่นกลายเป็นความทรงจำดำมืดที่เขาไม่กล้าแตะต้องไปอีกชั่วชีวิต


 


 


เขาหันหน้าไป ทอดสายตามองดูกลีบดอกไห่ถางที่ปลิวไปทั่วท้องฟ้า แต่กลับหานางไม่เจอแม้แต่เงา ในตอนนั้นเอง ที่ทั่วทั้งร่างกายของเขาระเบิดความมืดมนที่ไร้ขอบเขตออกมา


 


 


ตู๋กูซิงหลันที่มองดูอย่างปวดฟัน


 


 


นิสัยที่ชอบอวดอำนาจหยิ่งผยองของจีเฉวียน เกรงว่าคงจะได้รับมาจากท่านปู่ของเขานั่นเอง


 


 


ดูจากท่าทางประหนึ่งว่าต้องการได้เจ้ามาให้ได้ ต่อให้ไม่ได้ก็ต้องได้ นี่มันเป็นแบบฉบับของผู้นำที่บ้าอำนาจชัดๆ


 


 


ดวงพักตร์นั้นของปฐมฮ่องเต้ ช่างคล้ายคลึงกับจีเฉวียนมากไปแล้ว


 


 


นางเพียงมองดูแวบเดียวก็ลากฮ่องเต้สุนัขผู้นั้นเข้ามาเปรียบเทียบ….จากนั้นก็ครุ่นคิดกลับไป จีเฉวียนไม่เคยใช้กำลังบีบบังคับนาง คล้ายกับว่าจะดีกว่าท่านปู่ของเขาอยู่หน่อย


 


 


ตอนนี้ปล่อยปฐมฮ่องเต้องค์นั้นวางไว้ก่อน ที่ตู๋กูซิงหลันยิ่งสนใจมากกว่าก็คือผู้ที่มีนามว่าฟ่านอิงผู้นั้น


 


 


คงจะเป็นคู่หมั้นขององค์หญิงเย่วกระมัง เช่นนั้นทำไมต่อมานางถึงไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่าองค์หญิงเย่วเคยมีคู่หมั้นมาก่อน


 


 


คนผู้นั้น มีความเป็นมาเช่นไรกันแน่?


 


 


ขณะที่นางกำลังครุ่นคิดอย่างมีสมาธิอยู่นั้น แสงจากลูกแก้วในมือก็ลดทอนลงไปกว่าครึ่ง


 


 


แสงจากลูกแก้วที่งดงามดึงนางกลับสู่ความเป็นจริง พิธีฝังศพที่เชิงเขาฝูซางซานกำลังดำเนินไปแล้วครึ่งหนึ่ง จีเฉวียนประทับยืนอยู่เบื้องหน้าสุสานที่ยังไม่ได้ทำการกลบฝังด้วยสายพระเนตรเย็นยะเยือก


 


 


ใบหน้านั้นทำให้ตู๋กูซิงหลันรู้สึกถึงความสมจริงที่พึ่งได้เห็น สมองของนางยังวนเวียนอยู่แต่กับเรื่องของปฐมฮ่องเต้กับองค์หญิงเย่ว จนแทบจะไม่อาจดึงสติกลับมา


 


 


พอนางก้มหน้าลงมองดูลูกแก้วที่อยู่ในมือ ก็ยิ่งเห็นว่าแสงของลูกแก้วไม่สว่างเหมือนเดิมอีกแล้ว


 


 


นางถึงได้นึกรู้ขึ้นมาว่า ลูกแก้วลูกนี้ได้ผนึกความทรงจำของเจียวเย่วเอาไว้


 


 


ยามที่อยู่ในโลกปัจจุบันนั้น นี่เป็นวิชาลับแขนงหนึ่ง ที่สามารถดึงเอาความทรงจำที่ไม่ต้องการออกมา เก็บเอาไว้ในวัตถุบางอย่าง


 


 


ลูกแก้วลูกนี้ก็คือส่วนหนึ่งในความทรงจำของเจียวเย่ว และความทรงจำส่วนนี้คล้ายกับว่าเกือบทั้งหมดจะเกี่ยวข้องกับปฐมฮ่องเต้แห่งต้าโจว


 


 


ตู๋กูซิงหลันดูมาถึงตรงนี้ ก็คิดไปถึงเรื่องที่สุดท้ายแล้ว แคว้นกู่เย่วก็ล่มสลาย ในใจก็บังเกิดความเหน็บหนาวขึ้นมา


 


 


ฝูซางซานคือหลุมฝังศพของชาวกู่เย่ว แรงแค้นลึกล้ำเกินบรรยาย เกรงว่าคงเพราะเหตุนี้ถึงได้กระตุ้นให้ความทรงจำของเจียงเย่วที่อยู่ในลูกแก้วเคลื่อนไหว จนเปิดเผยออกมา


 


 


และเพราะว่าร่างนี้คือหลานสาวแท้ๆ ของเจียงเย่ว ดังนั้นนางจึงสามารถมองเห็นความทรงจำของเจียงเย่วได้


 


 


ตู๋กูซิงหลันได้แต่ถอนใจเบาๆ ขณะเดียวกันก็เห็นว่าหมอกสีแดงที่เชิงเขาฝูซางซานเข้มข้นหนาแน่นกว่าเดิม ทั้งยังมีเสียงภูติผีร่ำร้อง


 


 


ตู๋กูซิงหลันเงยหน้ามองขึ้นไป ก็เห็นว่าในหมอกสีแดงทึบนั่นมีวิญญาณแค้นอยู่นับไม่ถ้วน แต่ละตนต่างก็แยกเขี้ยวยิงฟันมองลงมาที่ภูเขา


 


 


สายตาของเหล่าวิญญาณแค้นทั้งหลายตกอยู่บนร่างของจีเฉวียน เมื่อได้เห็นใบหน้านั้น ต่างก็อยากจะกลืนกินเขาลงไปทั้งเป็น


 


 


แต่น่าเสียดายที่บนร่างของวิญญาณแค้นเหล่านี้ต่างก็มีโซ่สีแดงตรึงเอาไว้ แม้จะเป็นเพียงเส้นบางๆ แต่ก็แข็งแกร่งอย่างยิ่ง


 


 


พอพวกมันเคลื่อนไหว โซ่เหล่านั้นก็รัดแน่นขึ้นมาคล้ายกับว่าจะบาดลึกลงไปในร่างของวิญญาณแต่ละตัว


 


 


วิญญาณทมิฬที่พึ่งจะตื่นขึ้นมาต้องน้ำหลายไหล อยากกินจนหยดติ๋งๆ


 


 


“หลันหลัน เจ้าช่วยจับลงมาสักหลายร้อยตัวให้ข้ากินได้ไหม?” วิญญาณทมิฬมองดูตู๋กูซิงหลัน ดวงตากลมโตของมันเปล่งประกาย


 


 


วิญญาณทมิฬพึ่งจะกล่าวจบ เงาสีแดงกลุ่มหนึ่งก็พุ่งเข้ามาในรถม้า กลายเป็นคนผู้หนึ่ง


 


 


เส้นผมสีเงินโบกโบย คาดเอาไว้ด้วยผ้าคาดสีแดงเส้นหนึ่ง ฉู่เจียงปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้าตู๋กูซิงหลันโดมมิได้คาดหมาย ดวงตาสีมรกตคู่นั้นจับจ้องมาจนวิญญาณทมิฬต้องขนลุกซู่


 


 


ฉู่เจียงเหลือบตาดูมันแวบหนึ่ง ก็ยิ้มเย็นออกมา “เจ้าตัวแสบ สิ่งของของเราเจ้าก็กล้าแตะต้อง?”


 


 


 


 


วิญญาณทมิฬกอดชายกระโปรงของตู๋กูซิงหลันเอาไว้ แอบอยู่ด้านหลังของนาง โผล่ศีรษะออกมาดูฉู่เจียงเพียงครึ่งเดียว “วิญญาณแค้นเหล่านี้ล้วนเป็นชาวเมืองของแคว้นกู่เย่ว ไหนเลยจะเป็นสิ่งของของท่านได้กัน?”


 


 


“ฮึ ข้าคือราชาของเขาฝูซางซานแห่งนี้ ต้นหญ้าทุกต้น ดอกไม้ทุกดอกในที่นี้ล้วนแล้วแต่เป็นของข้า แล้วเจ้าว่าวิญญาณแค้นเหล่านั้นเป็นของข้าหรือไม่เล่า?”


 


 


ฉู่เจียงกล่าวจบแล้วก็มาถึงข้างกายตู๋กูซิงหลัน เขานั่งลงที่ฝั่งตรงข้ามตู๋กูซิงหลัน ไอหยินจากร่างของเขากำจายออกมาจนทั่ว


 


 


พอสายตาของเขาเหลือบไปเห็นลูกแก้วความทรงจำที่อยู่ในมือขอนาง ก็ต้องหรี่ตาลง


 


 


เขามองดูลูกแก้วลูกนั้น ก็เอ่ยออกมาเพียงสองคำ “เจียงเย่ว”


 


 


เรื่องที่ฉู่เจียงรู้จักเจียงเย่ว ตู๋กูซิงหลันมิได้แปลกใจเลย เพราะอย่างไรเขาก็อยู่ที่ภูเขาฝูซางซานนี้มานานหลายปี ยามที่เจียงเย่วอยู่ในเมืองกู่เย่ว ก็มักจะมาที่ภูเขาอยู่บ่อยๆ ฉู่เจียงย่อมต้องเคยพบเห็น


 


 


“ความทรงจำถูกดึงออกมาแล้ว ยังจะเก็บเอาไว้ทำไม?” เขาหัวเราะอย่างเย้ยหยัน จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมาดูตู๋กูซิงหลันแวบหนึ่ง “เจ้าเป็นหลานสาวของนาง?”


 


 


ตู๋กูซิงหลันไม่ตอบคำถาม เพียงมองสบตาฉู่เจียงครั้งหนึ่ง “ยมราชฉู่เจียงถึงกับมาเยือนด้วยตนเอง มิทราบว่ามีธุระอันใด?”


 


 


“ท้องที่ของข้า ข้าย่อมสามารถไปได้ทุกที่” ฉู่เจียงพูดต่อไป หมอกสีแดงในมือก็ถูกผลักเข้าไปภายในลูกแก้วที่เหลือแสงสว่างเพียงครึ่งเดียวลูกนั้น


 


 


ทันใดนั้นเอง ลูกแก้วลูกนั้นก็เรืองแสงส่องสว่างขึ้นมาอีกครั้ง บรรยากาศโดยรอบของพวกเขาก็เปลี่ยนแปลงไป


 


 


เสียงขลุ่ยไผ่ร่าเริง ดอกไม้สดและผ้าแดงถูกประดับประดาไปทั่วเมืองหลวงของแคว้นกู่เย่ว


 


 


ประชาชนบนถนนต่างก็พากันพูดถึงการแต่งงานครั้งนี้ด้วยความชื่นชมยินดี


 


 


วันนี้คือวันที่องค์หญิงจะทรงอภิเษก องค์หญิงและใต้เท้าฟ่านอิงคือคู่ครองที่สวรรค์สร้าง


 


 


ผู้คนทั้งหลายต่างก็จับตามองด้วยความเฝ้ารอ รอคอยที่จะได้เป็นพยานในการลงเอยของคนทั้งสอง


 


 


……………………………


 


 


ดอกไห่ถางภายในวัง ไม่เคยผลิบานมากมายเพียงนี้มาก่อนเลย


 


 


บนต้นไม้แขวนโคมและผ้าไหมประดับสีแดงสด ใต้ต้นไม้ก็ปูพรมแดงยาวงดงามบาดตา


 


 


องค์หญิงเย่วคือพระธิดาที่ฝ่าบาททรงโปรดปรานที่สุด ขบวนเจ้าสาวในวันนี้ตกแต่งอย่างงดงามหรูหรา บนท้องฟ้าปรากฏสายรุ้งมวลหมู่วิหคส่งเสียงขับขาน ต่างก็มาเพื่อแสดงความยินดีในงานแต่งงานขององค์หญิง


 


 


เจียงเย่วสวมชุดแต่งงานสีแดงเพลิง วิหคเพลิงสีทองบนชุดแต่งงานตัวนั้นปักเสร็จแล้ว มันโผบินขึ้นสูงกางปีกราวกับมีชีวิต


 


 


นางในวันนี้งดงามอย่างที่สุด ดูราวกับเทพธิดาที่อยู่ในนิทาน เจิดจ้าจนบาดตา


 


 


ริมฝีปากอวบอิ่มแดงวาวงดงามราวกลีบบุปผา รอยยิ้มน่าดึงดูดดจนใครก็ต้องเหลียวหลังกลับมามอง


 


 


“องค์หญิงเพคะ ใต้เท้าฟ่านอิงตระเตรียมทุกอย่างมาเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้ถึงเวลาที่จะมารับท่านออกไปแล้ว”


 


 


นางกำนัลที่สวมใส่ชุดมงคลเข้ามาส่งข่าว


 


 


ดวงหน้าของเจียงเย่วเปลี่ยนเป็นแดงก่ำ นางหยิบพัดมงคลขึ้นมาบังใบหน้าพลางพยักหน้าน้อยๆ


 


 


มีแต่ยามที่อยู่เบื้องหน้าฟ่านอิงเท่านั้น นางถึงได้มีท่าทีเขินอายออกมา


 


 


นางกับฟ่านอิงเติบโตมาด้วยกันแต่เล็ก ผูกพันลึกล้ำดุจท้องทะเล การลงเอ่ยของทั้งสองเหมือนดั่งคู้สร้างที่สวรรค์เลือกไว้ ไม่มีสิ่งใดจะมาแทรก ไม่มีการบังคับขัดแย้ง


 


 


เสมือนดั่งสายน้ำที่รินไหล เรียบง่ายสงบเย็น สำหรับนางเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว


 


 


หลังจากวันนี้เป็นต้นไป นางก็คือภรรยาของฟ่านอิงแล้ว


 


 


อีกไม่นานในอนาคต พวกนางก็จะได้มีลูกหลานของตนเอง มีชีวิตที่สงบสุขเรียบง่ายเช่นนี้ไปชั่วชีวิต


 


 


เจียงเย่วรู้สึกว่า นี่ช่างดีเหลือเกิน


 


 


ขบวนรับตัวยังมาไม่ถึง เหล่านางกำนัลต่างก็เข้ามาช่วยเหลือนางแต่งตัวในช่วงสุดท้าย


 


 


เจียงเย่วมองดูตนเองในกระจกทองแดง ทั้งดวงตาและคิ้วโค้งมน ทันใดนั้นเองในกระจกทองแดงก็สะท้อนใบหน้าอีกผู้หนึ่งขึ้นมา


 


 


“เจียงเย่ว” บุรุษที่อยู่ด้านหลังส่งเสียงเรียกนางเบาๆ


 


 


เจียงเย่วขมวดคิ้ว พลางหันกลันไป


 


 


 


 


——


 


 


ตอนต่อไป “ฝันร้ายของเจียงเย่ว” 

 

 


ตอนที่ 338 ฝันร้ายของเจียงเย่ว

 

ที่นางเผชิญอยู่ก็คือสายตาที่โศกเศร้าลึกซึ้งคู่หนึ่ง


 


 


เขาดูราวกับคนที่ปีนออกมาจากขุมนรกอย่างไรอย่างนั้น ดวงตาทั้งสองมีแต่เส้นเลือด ใต้ตาเขียวช้ำเบ้าตาลึก ไม่ได้โกนหนวดเครามาหลายวันแล้ว ทั่วทั้งร่างแฝงความเจ็บช้ำ


 


 


เนิ่นนาน เจียงเย่วค่อยเอ่ยเรียกเขาขึ้นมา “อาจ้าน”


 


 


นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา เขาก็หายตัวไป นางเคยไปตามหาเขาแต่กลับไม่พบ ราวกับว่าหายวับไปจากโลกนี้เสียแล้ว คิดไม่ถึงว่าพอได้พบกัน ก็เป็นวันมงคลสมรสของนาง


 


 


“ข้านึกว่าเจ้าจากไปเสียแล้ว” เจียงเย่วมองดูเขา รักษาระยะห่างที่ปลอดภัยเอาไว้


 


 


ช่างห่างเหิน


 


 


เขามองดูนาง ในสายตามีแต่นางเท่านั้น


 


 


เขาเคยคิดเอาไว้อยู่แล้วว่ายามที่เจียงเย่วสวมใส่ชุดเจ้าสาวจะต้องงดงามอย่างยิ่ง


 


 


“วันนี้เจ้าสวยมาก” เขายื่นมือออกไปปักปิ่นดอกไห่ถางลงไปบนมุ่นผมของนาง


 


 


“ปิ่นนี้ข้าทำเองกับมือ ขอมอบให้เจ้า”


 


 


เจียงเย่วไม่ทันได้มองเห็นชัดว่าปิ่นหน้าตาเป็นอย่างไร นางได้แต่ผงกศีรษะตามมารยาท “ขอบคุณ”


 


 


เสียงดนตรีดั่งแว่วมาจากด้านนอก นางกำนัลผู้หนึ่งรีบเข้ามารายงาน “องค์หญิงเพคะ ขบวนรับตัวมาถึงหน้าประตูวังแล้ว ลุกขึ้นเถอะเพคะ”


 


 


เจียงเย่วมองออกไปด้านนอก


 


 


สายตาที่เฝ้าคอยของนางเหมือนดั่งคมดาบปลายแหลมที่แทงเข้าไปในหัวใจของเขา


 


 


“คุณชาย ขอท่านโปรดหลีกทาง ท่านกำลังขวางทางองค์หญิงอยู่” เห็นเขายังยืนขวางอยู่เบื้องหน้าขององค์หญิง นางกำนัลอดไม่ได้ที่จะเร่งเร้า


 


 


“หากช่วงเวลามงคลผ่านพ้นไปก็จะไม่เป็นมงคลแล้ว”


 


 


“ใช่ ไม่เป็นมงคล” เขาเก็บมือที่อยู่เหนือศีรษะของเจียงเย่วกลับมา ยิ้มจางๆ


 


 


พลางหมุนตัวกลับ ถอยไปด้านข้างก้าวหนึ่ง เปิดทางให้กับเจียงเย่ว


 


 


เจียงเย่วพึ่งจะก้าวเท้าออกไปได้ก้าวหนึ่งก็ได้ยินเสียงของเขาพูดขึ้นมาว่า “เจ้าปักใจจะแต่งงานกับเขาจริงๆ?”


 


 


เจียงเย่วมิได้หยุดเท้า นางพยักหน้ารับ “ใช่แล้ว”


 


 


“แล้วข้าล่ะ?” เขาถาม “เจ้าจะไม่ยอมให้โอกาสใดๆ กับข้าเลยสักนิดหรือ?”


 


 


“อาจ้าน ยามที่เจ้าบาดเจ็บสาหัสมา ข้าช่วยชีวิตของเจ้าเอาไว้” เจียงเย่วหยุดเท้าลง หับกลับมามองดูเขา “เพื่อช่วยเจ้า ข้านำสมบัติลับออกมาใช้ ฝ่าฝืนข้อห้าม ตอนนั้นฟ่านอิงได้ช่วยรับไว้แทน เขาก็ถือเป็นผู้มีพระคุณของเจ้าเช่นกัน”


 


 


“ดังนั้นเจ้าโปรดอวยพรให้กับพวกเรา”


 


 


ตอนนั้นเจียงเย่วปฏิเสธออกไปอย่างเด็ดขาด ไม่มีความลังเลแม้แต่น้อย


 


 


เขาไม่ตอบอะไร เพียงแต่มองดูนางก้าวเดินออกไปทีละก้าว ขณะที่นางกำลังก้าวเท้าออกไปจากห้องส่วนตัว ดาบสั้นในมือของเขาก็แทงเข้าไปในร่างของนางกำนัลที่ทำหน้าที่นำทาง


 


 


หนึ่งดาบที่แทงลงไป นางกำนัลผู้นั้นยังไม่ทันได้ส่งเสียงคร่ำครวญออกมา ก็เห็นเขาชักดาบสั้นออกมาตวัดผ่านลำคอของนางกำนัลผู้นั้นจนราบเรียบไปในดาบเดียว


 


 


นางกำนัลล้มลงไปบนกองเลือด


 


 


กลิ่นคาวของเลือดสดฟุ้งกระจายไปทั่วทั้งห้อง เจียงเย่วเองก็ตกตะลึงไปแล้ว


 


 


นางกำนัลที่เหลือ พากันตื่นตระหนกจนแตกตื่นไปทั่วทุกทิศทุกทาง


 


 


เขากลับไม่ยอมหยุดมือ คว้านางกำนัลที่อยู่ใกล้ที่สุดเอาไว้ เชือดคอนางส่งขึ้นสวรรค์ไปในดาบเดียว


 


 


“อาจ้าน เจ้าทำอะไรลงไป?” นางถลาเข้ามาก้าวหนึ่ง คว้าข้อมือของเขาเอาไว้ และเพราะนางใช้แรงมากเกินไปมงกุฏหงส์ที่อยู่บนศีรษะโยกคลอนจนส่องประกาย


 


 


“เจ้าฆ่าคน!” นางแทบไม่อยากจะเชื่อสายตาของตนเอง!


 


 


ในวันมงคลสมรสของนาง บุรุษที่นางช่วยชีวิตเอาไว้ด้วยตนเอง กลับสังหารนางกำนัลของนาง


 


 


“อาเย่ว ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าแต่งงานกับคนอื่น” เขาพลิกมือมาเกาะกุมมือนางเอาไว้ “ใครที่กล้าขัดขวางข้า ข้าก็จะให้มันตายเสีย”


 


 


“เจ้าบ้าไปแล้ว!” เจียงเย่วขัดขืน นางพลิกมือจะตบหน้าเขา คนผู้นี้กำลังไม่ปกติ นางจะต้องเรียกสติเขากลับมา!


 


 


“ใช่ ข้าบ้าไปแล้ว หากไม่ได้เจ้าก็ต้องเป็นบ้า!”


 


 


ทันทีที่สิ้นเสียงของเขา องครักษ์ลับมากมายก็โผล่ออกมาจากด้านหลัง ทันทีที่เขาขยับมือ องครักษ์ลับเหล่านั้นก็สังหารนางกำนัลที่มีอยู่เต็มเรือนจนหมดสิ้น


 


 


เลือดสดไหลนองทั่วเรือน เหล่านางกำนัลล้วนตาไม่หลับ กลิ่นคาวคละคลุ้งไปในอากาศ


 


 


งานอภิเษกที่ยิ่งใหญ่ กลับถูกชโลมไปด้วยเลือด


 


 


เจียงเย่วไม่เคยคิดมาก่อนเลย ว่าเขาจะทำเรื่องเช่นนี้ขึ้นมาได้


 


 


นางพยายามต่อสู้ขัดขืน ถึงได้พบว่าที่แท้เขามีพละกำลังมากมาย


 


 


ข้อมือของนางถูกจับเอาไว้อย่างแน่นหนา ดวงตาทั้งคู่ของเขาเสมือนหนึ่งพันธนการที่หนาแน่นที่สุด ที่กักขังนางเอาไว้ ไม่ยอมให้นางได้ขัดขืนแม้แต่น้อย


 


 


ใต้ฝ่าเท้ามีแต่กองเลือดของนางกำนัล ย้อมรองเท้าแต่งงานของนางจนชุ่มโชก ความหนาวเย็นเกาะกุมแก่นกระดูกจนสั่นสะท้านราวกับว่านางได้กลืนเอาน้ำแข็งในขุมนรกลงไป


 


 


“เจียงเย่ว เจ้าต้องแต่งงานกับข้าเท่านั้น” เขาจดจ้องมองนางอย่างดุดัน ท่ามกลางกลิ่นคาวโลหิตที่คละคลุ้งไปทั่วห้อง ฝ่ามือของเขาก็ฉีกกระชากชุดแต่งงานของนางออกมา


 


 


แขนเสื้อของนางขาดวิ่น เปิดเผยท่อนแขนขาวผ่องราวหิมะ


 


 


“เจ้ามันบ้าไปแล้วจริง!” เจียงเย่วเกรี้ยวกราด “เจ้ารู้หรือไม่ว่าตนเองทำอะไรลงไป?”


 


 


“ข้ารู้ดี” สายตาของเขาอึมครึมอย่างที่สุด ขณะที่ฉีกกระชากเสื้อผ้าของนางออก


 


 


เหล่าองครักษ์ลับทิ้งทั้งสองไว้เพียงลำพัง พอจัดการกับซากศพของเหล่านางกำนัลจบก็พากันจากไป


 


 


ก่อนจากไปยังไม่ลืมปิดประตูลง


 


 


จากนั้นก็ได้ยินเสียงเสื้อผ้าขาดวิ่นออกจากกัน และเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดของหญิงสาว


 


 


อาจ้านที่คลุ่มคลั่ง ไร้ความปราณี


 


 


ท่ามกลางกองเลือดท่วมห้อง เขาบังคับครอบครองนาง


 


 


เจียงเย่วกรีดร้องและร่ำไห้ด้วยความโกรธเกรี้ยวจนเสียงขาดหาย แล้วสูญเสียสติ


 


 


ในสายตาของนางมีแต่สีแดงของเลือด พร่าเลือนเต็มไปหมด


 


 


เห็นเพียงมุมหนึ่งในรอยแยกของผ้าม่าน ที่แหวกให้เห็นภายนอก…..


 


 


ด้านนอก……เลือดไหลเป็นท้องธาร ซากศพกระจัดกระจายอยู่ทุกที่


 


 


โคมไฟและผ้าแดงที่แขวนเอาไว้ชุ่มโชกไปด้วยเลือด พรมสีแดงใต้ต้นไม้กลาดเกลื่อนไปด้วยร่างไร้วิญญาณ


 


 


แต่ว่าบุรุษผู้นั้นกลับไม่ยอมหยุด น้ำเสียงที่ทั้งเย็นยะเยือกและคลุ้มคลั่งกระซิบอยู่ที่ริมหูของนาง “อาเย่ว ในที่สุดเจ้าก็เป็นของข้าแล้ว”


 


 


“ข้าจะรับผิดชอบเจ้าเอง นับจากวันนี้ไป ข้าจะพาเจ้ากลับไปยังต้าโจว เจ้าจะเป็นสตรีที่เราโปรดปรานที่สุด”


 


 


“อาเย่ว……อาเย่ว…..”


 


 


ในดวงตาของเจียงเย่วมีแต่สีของโลหิต หูได้ยินแต่คำว่า ‘เรา’


 


 


นางไม่เลยคิดเคยฝันมาก่อนว่า บุรุษผู้นี้ก็คือฮ่องเต้แห่งต้าโจว


 


 


“นับจากวันนี้ไป จะไม่มีแคว้นกู่เย่วอีกแล้ว ฟ่านอิงไม่อาจคุ้มครองเจ้าได้ เขาจะต้องตายอย่างอนาถกว่าใครทั้งหมด”


 


 


“มีเพียงแต่เรา เราจึงจะเป็นที่พึ่งเพียงหนึ่งเดียวของเจ้า”


 


 


“อาเย่ว เรารักเจ้า รักเจ้าจากใจจริง”


 


 


“อาเย่ว เราจะมีลูกกับเจ้า”


 


 


บนร่างของเจียงเย่วมีแต่เสื้อผ้าที่ขาดวิ่น มงกุฏหงส์ตกลงมาหล่นลงไปบนกองเลือดบนพื้น ส่งเสียงกรุ๊งกริ๊งอยู่ในกองเลือด


 


 


ที่ด้านนอกหน้าต่าง นอกจากซากศพมากมายก่ายกองแล้ว ก็คือองครักษ์ของเขา


 


 


นางหันศีรษะออกไป เห็นคู่หมั้นของตนเองสวมชุดสีแดงถือกระบี่อยู่ในมือ พุ่งเข้ามาตามพรมแดง เขากำลังบุกเข้ามา เข่นฆ่าจนดวงตาเป็นสีโลหิตมาตลอดทาง


 


 


กว๊านรัดผมของเขาหลุดกระเด็นไปแล้ว เส้นผมสีดำรุ่ยร่ายลงมา แต่ไม่อาจเห็นหน้าของเขาได้อย่างชัดเจน


 


 


เห็นแต่ดวงตาคู่นั้น ที่เปี่ยมไปด้วยความคับแค้นและโกรธเกรี้ยว


 


 


“อาเย่ว!” ฟ่านอิงตะโกนร้องอย่างคลุ้มคลั่ง รำกระบี่ในมือบุกเข้ามา


 


 


เจียงเย่วอ้าปาก กำลังจะส่งเสียงออกไป ริมฝีปากของนางก็ถูกจีจ้านตะครุบเอาไว้ เขายิ่งกล่าวดุดันโหดเ**้ยม “อาเย่ว เจ้าดูให้ดี ดูให้ดีสิว่าเขามันไร้ความสามารถเพียงไร แค่จะปกป้องเจ้าก็ยังทำไม่ได้! บุรุษเช่นนี้จะเหมาะสมกับเจ้าได้อย่างไร!”


 


 


เขาจูบนางพลางหันศีรษะของนางออกไป ให้นางได้มองเห็นสภานการณ์ที่นอกหน้าต่างอย่างชัดเจน


 


 


“เจ้าชอมมันมากไม่ใช่หรือ? เราจะให้เจ้าได้เห็นกับตาว่ามันตายลงตรงหน้าเจ้า ชายผู้นี้เดิมทีไม่จำเป็นต้องตายอย่างอนาถถึงเพียงนี้!”


 


 


 


 


——


 


 


ตอนต่อไป “จีจ้านก็คือจอมมาร!” 

 

 


ตอนที่ 339 จีจ้านก็คือจอมมาร!

 

“ทั้งหมดนี้ก็เป็นเพราะว่าเจ้าชอบมัน ดังนั้นมันจึงต้องตายอย่างอนาถกว่าผู้ใด!”


 


 


เขาพูดกรอกลงไปในหูของนางทุกประโยค


 


 


ที่จริงแล้วเจียงเย่วเองก็มิใช่หญิงอ่อนแอ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าของจีจ้าน นางกลับไม่อาจขัดขืนแม้แต่น้อย


 


 


นางอ้าปากหอบหายใจ เห็นฟ่านอิงต่อสู้อยู่เพียงลำพัง แต่เขาก็ไม่อาจต้านทานศัตรูจำนวนมากได้


 


 


ชุดแต่งงานของเขาขาดวิ่น ทั่วทั้งร่างมีแต่บาดแผล หลั่งเลือดจนเป็นสีเดียวกับชุดแต่งงาน


 


 


ถึงแม้จะบาดเจ็บอย่างสาหัสแต่เขาก็ยังหอบเอาลมหายใจสุดท้ายเข่นฆ่าเข้ามาจนถึงห้องส่วนตัวของเจียงเย่ว


 


 


จีจ้านมิได้หลบหลีก เขาสะบัดแขนเสื้อเปิดประตูออกไป กดตัวเจียงเย่วเอาไว้ ให้เขาได้เห็นทุกอย่างทั้งหมดนี้


 


 


วันมงคลสมรส แต่คู่หมั้นกลับถูกผู้อื่น…..ต่อหน้าต่อตาของตนเอง สำหรับบุรุษผู้หนึ่งแล้วนี่เป็นความเจ็บปวดที่ไม่อาจทนทานได้


 


 


“อาเย่ว!” ฟ่านอิงแทบจะคลุ้มคลั่งไปแล้ว กระบี่ที่อยู่ในมือของเขาปราศจากเรี่ยวแรงใดๆ


 


 


“หากว่าเจ้าอยากให้มันยังมีชีวิตล่ะก็ ทางที่สุดก็บอกมันไป ว่าเจ้าไม่เคยชอบมันมาก่อนเลย คนที่เจ้ารักก็คือข้า” จีจ้านยกตัวขึ้นมา กระซิบลงเบาๆ ที่ข้างหูของเจียงเย่ว “หากเจ้ายอมพูด ข้าก็จะไว้ชีวิตของมันสักครั้ง”


 


 


เจียงเย่วแทบจะสลบตายไปแล้ว นางเจ็บปวดไปทั้งร่าง ราวกับว่านี่มิใช่ร่างกายของตนเอง


 


 


น้ำตาเหือดแห้งไปแล้ว นางมองไปที่ฟ่านอิง ขณะที่กำลังลังเลอยู่นั้น ก็เห็นองครักษ์ลับผู้หนึ่งตวัดดาบลงมา ตัดแขนของเขาขาดฉับออกไป


 


 


“อ๊าก!” เจียงเย่วกรีดร้อง นางปิดตาลงเอ่ยด้วยความเจ็บปวดรวดร้าวว่า “เจ้าไปเสียเถอะ ข้าไม่เคยชอบเจ้ามาก่อนเลย คนที่ข้ารักก็คือ….ฮ่องเต้…ต้าโจว”


 


 


เพียงประโยคเดียว เจียงเย่วก็อยากจะกัดลิ้นของตนเองให้ขาดออกไป


 


 


ไปเสียเถอะ ฟ่านอิง ไปให้ไกลที่สุด ข้าเพียงขอให้เจ้ามีชีวิตอยู่ มีชีวิตอยู่ต่อไป


 


 


และเพราะประโยคนั้น ทำให้ฟ่านอิงสูญสิ้นพลังใจที่จะเอาชีวิตรอด


 


 


กระบี่ที่เขากุมเอาไว้ตกลงไปบนพื้น สายตาเปลี่ยนเป็นความว่างเปล่า


 


 


วันนี้เดิมทีสมควรจะป็นวันที่สวยสดงดงามที่สุดในชีวิตของเขา ……แต่ว่าทุกอย่างกลับเปลี่ยนไปแล้ว


 


 


การโจมตีที่ถูกวางแผนเอาไว้ล่วงหน้าอย่างดี ทำให้พวกเขารับมือไม่ทัน


 


 


กู่เย่วกับต้าโจว ทำสงครามที่แนวหน้ามาเกือบเดือนแล้ว ใครก็ไม่มีทางคาดคิดว่า ฮ่องเต้ต้าโจวจะปลอมเป็นคนสูญเสียความทรงจำที่ไร้พิษภัยมาเข้าใกล้อาเย่ว ทำลายความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างพวกเขา ……ในขณะที่พวกเขาไม่ทันได้ระวังตัวที่สุดนั้น ก็บดขยี้พวกเขาจนไร้หนทาง


 


 


“ไปเสีย!” เจียงเย่วเห็นเขาทิ้งดาบ ก็ตะโกนร้องจนเสียงแตก “ชั่วชีวิตนี้ข้าไม่ต้องการจะได้เห็นเจ้าอีกแล้ว เจ้าไปซะ!”


 


 


เจียงเย่วถูกจีจ้านกอดรัดเอาไว้ทั้งตัว ไม่รู้เพราะเหตุใด แต่กระดูกทั้งร่างของนางกลับปราศจากเรี่ยวแรงใดๆ


 


 


คิดๆ ดูแล้วนางก็ไม่นับว่าอ่อนแอ แต่เมื่อเผชิญกับจีจ้านกลับไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะขัดขืน ที่แท้ก็เป็นเพราะ…..


 


 


ทันใดนั้นนางก็คิดไปถึงปิ่นปักผมดอกไห่ถาง


 


 


ก่อนหน้านี้นางก็รู้สึกอยู่ว่ากลิ่นหอมจากปิ่นดอกไม้นั่นเข้มข้นอยู่บ้าง …..พอตอนนี้คิดขึ้นมาถึงได้รู้ว่า เขาได้ใส่ลูกเล่นบางอย่างเอาไว้ในปิ่นปักผมนั่น


 


 


ยาพิษ นี่จึงทำให้นางสูญเสียพละกำลัง


 


 


“อาเย่ว ใบหน้าของเจ้าแดงมากเลย เพราะชื่นชอบความสุขที่เราปรนเปรอให้เจ้าใช่หรือไม่?” มุมปากของจีจ้านมีรอยยิ้ม เขาเหมือนกับจอมมารที่ผุดขึ้นมาจากขุมนรก ไม่เพียงทรมานร่างกาย แต่ยังทำร้ายจิตใจ


 


 


“วางใจเถอะ ต่อไปทุกๆ วัน เราจะทำให้เจ้ามีความสุขเอง” คำพูดทั้งหมดของจีจ้านย่อมตั้งใจตรัสออกไปให้ฟ่านอิงฟัง


 


 


“เจ้าฮ่องเต้สุนัข ข้าจะฆ่าเจ้า!” ฟ่านอิงถูกเขายั่วยุสำเร็จ เขายกกระบี่ที่หล่นลงไปขึ้นมาอีกครั้ง


 


 


ยามที่กระบี่นั้นพุ่งเข้าใส่พระศอของพระองค์ จีจ้านก็มิได้หลบหลีก พระองค์เพียงแต่กอดเจียงเย่วเอาไว้ในอ้อมพระพาหา เชยคางของเจียงเย่วขึ้นมา ให้นางได้เห็นกระบี่ของฟ่านอิงที่พุ่งเข้ามา


 


 


ขณะที่กระบี่นั้นห่างจากพระศอออกไปเพียงแค่หนึ่งเมตรก็จะสามารถแทงละทุได้แล้วนั้น


 


 


ดาบอีกเล่มหนึ่งก็พุ่งออกมาด้วยความเร็วที่สูงกว่ากระบี่ของฟ่านอิง ตัดฉับลงไปบนลำคอของเขา


 


 


เลือดสดๆ สาดกระเด็นใส่ใบหน้าของเจียงเย่ว ศีรษะคนหล่นลงมา


 


 


แม้ตาย ฟ่านอิงก็ยังต้องการฆ่าจีจ้านให้ได้ ศีรษะที่ถูกตัดลงมานั้น …..ตายตาค้าง


 


 


“อาเย่ว เจ้าดูสิ เขาจะฆ่าเราให้ได้ เดิมทีเราจะให้ทางรอดสายหนึ่งแก่เขา” จีจ้านคลายพระหัตถ์ที่จับคางเจียงเย่วเอาไว้ กระซิบข้างหูนางด้วยน้ำเสียงเสียใจราวกับถูกกระทำ “เจ้าคงจะไม่โทษว่าเราใช่ไหม?”


 


 


เจียงเย่วตัวแข็งทื่อไปแล้วดาบนั้นทำให้ภาพในสมองของนางว่างเปล่าไปหมด แม้แต่จีจ้านกล่าวอะไรก็ไม่ได้ยินอีกแล้ว


 


 


เลือดที่กระเด็นโดนใบหน้ายังคงอุ่นอยู่ แต่หัวใจของนางกลับแข็งตัวไปแล้ว


 


 


ครู่ใหญ่นางถึงได้กรีดร้องขึ้นมาด้วยความคลุ้มคลั่ง “อ๊าก!”


 


 


นางเกลียดจีจ้าน แต่เกลียดตนเองยิ่งกว่า!


 


 


เกลียดที่ตนเองช่างโง่เขลา เกลียดที่ตนเองพาสุนัขป่ากลับเรือน เกลียดตนเองรู้ทั้งรู้ถึงความละโมบโลภมากของเขา แต่กลับมิได้ใส่ใจ


 


 


ยามนี้เจียงเย่วคิดแต่จะติดตามฟ่านอิงไป


 


 


นางกัดลิ้นลงไปในทันที แต่จีจ้านกลับรู้ทันความคิดของนาง พระองค์ยื่นพระหัตถ์เข้าไปในปากของนาง


 


 


การกัดครั้งนี้ของเจียงเย่วใช้ออกด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมด นางกัดลึกลงไปในเนื้อจนกัดได้เนื้อหลังพระหัตถ์ออกมาคำหนึ่ง


 


 


เจียงเย่วคลั่งไปแล้ว ครั้งเดียวไม่สำเร็จนางก็กัดลงไปอีก กัดลงไปจนสุดแรง


 


 


จีจ้านกลับรับเอาไว้โดยมิได้ส่งเสียง


 


 


ถึงนางกัดติดต่อกันหลายครั้งเข้า พระองค์ค่อยตรัสว่า “เจียงเย่ว หากว่าเจ้ากล้าตาย เราจะประหารครอบครัวทั้งหมดของเจ้า แม้แต่ชาวกู่เย่วทั้งหมดก็ต้องตายจนหมดสิ้น มอดไหม้เพื่อเจ้า”


 


 


เจียงเย่วเจ็บใจจนปวดร้าว หัวใจที่กำลังเกรี้ยวกราดเหมือนถูกแทงลงไปอีกครั้ง


 


 


“จีจ้าน เจ้ามันไม่ใช่คน ไม่ใช่คน อ๊ากกกก!” นางกรีดร้องอย่างเกรี้ยวกราดอยากจะฆ่าเขาด้วยมือของตนเอง


 


 


“เราเป็นประมุขของแคว้นต้าโจว ผู้ที่เป็นฮ่องเต้จะมีสักกี่คนที่เป็นคนดี” จีจ้านยังคงกอดนางเอาไว้


 


 


ที่จริงพระองค์ถอดฉลองพระองค์ตัวนอกออกไปแล้ว จึงนำมาห่อตัวนางเอาไว้อย่างแนบแน่น


 


 


“เจ้าเป็นองค์หญิงของกู่เย่ว แบกภาระและความรับผิดชอบเอาไว้บนร่าง เพื่อประชาชนของเจ้า เจ้าย่อมต้องคิดให้ดี ด้วยเพราะชีวิตของเจ้านี้ มีค่าอย่างยิ่ง”


 


 


เจียงเย่วนอกจากจะเจ็บปวดจนหัวใจสลายแล้ว ก็ยังสำนึกเสียใจอย่างที่สุด ความหวังทั้งหมดของนางกลายเป็นเถ้าถ่าน


 


 


ในวันอภิเษกของนาง นางกลับถูกคน….. คู่หมั้นถูกฆ่าต่อหน้า บ้านของนาง แคว้นของนางล่มสลายในชั่วพริบตา


 


 


จากสาวน้อยที่บริสุทธิ์ไร้เดียงสาผู้หนึ่ง กลายเป็นทาสเชลยจากแคว้นที่ล่มจม


 


 


ทั้งหมดนี้เป็นเพราะนางทำตัวเอง ที่แคว้นกู่เย่วต้องเป็นเช่นนี้ก็เพราะนางชักศึกเข้าบ้าน


 


 


นางมองออกไป เห็นศพที่แข็งทื่อไปแล้วของฟ่านอิง หัวใจของนางก็ตายไปด้วย


 


 


หัวใจตายไปแล้ว แต่ร่างกายไม่อาจตายไปด้วย….


 


 


นางต้องการล้างแค้น นางต้องการให้จีจ้านไม่ตายดี!


 


 


น้ำตาไหลจนเหือดแห้ง ลำคอแหบแห้งจบไร้เสียง ร่างของนางเหมือนกับศพที่จีจ้านแบกออกไป ในตอนนั้นดวงตาของนางมีแต่ความชิงชังอย่างรุนแรง


 


 


ภาพตรงหน้ามีแต่เลือดเต็มไปหมด


 


 


ภายในรถม้า ลูกแก้วบนมือของตู๋กูซิงหลันไร้แสงจนหมดแล้ว


 


 


หัวใจของนางเหมือนกับถูกก้อนหินใหญ่กดทับเอาไว้อย่างแน่นหนา


 


 


แม่เอ๋ย!


 


 


จีจ้านผู้นั้นคือจอมมารอย่างแท้จริง!


 


 


เมื่ออยู่ในความทรงจำของเจียงเย่ว นางย่อมสามารถรับรู้ได้ถึงความรู้สึกเจ็บปวดทุกข์ระทมที่เจียงเย่วได้รับ


 


 


ขณะที่จมดิ่งอยู่ในความทรงจำนี้ ตู๋กูซิงหลันเกือบจะพุ่งเข้าไปถอดรองเท้าตบตีจีจ้านสักรอบ


 


 


ต้องมาเผอิญเจอจอมมารเช่นนี้ ถือเป็นความซวยที่สั่งสมมาแล้วแปดชาติหรือไม่?


 


 


แม้แต่วิญญาณทมิฬยังทนดูต่อไปไม่ได้ เมื่อได้เห็นความทรงจำขององค์หญิงเย่ว มันย่อมต้องรู้สึกว่า เจ้าฮ่องเต้สุนัขก็ไม่ได้เลวร้ายเท่าไรนัก


 


 


แถมยัง….ออกจะน่ารักอยู่บ้างเสียด้วยซ้ำ


 


 


 


 


——


 


 


ไรท์: เป็นตอนที่ดาร์คมากจริงๆ อย่าว่าแต่คนอ่านเลย คนแปลก็จะหายใจไม่ออก


 


 


ตอนต่อไป “เจ้ามารชั่วช้าลามก! ไปให้พ้นนะ!”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)