ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น 335-350
ตอนที่ 335 ไม่อยากเต้นรำ
ในชาตินี้หรือชาติที่แล้วอู่เหมยไม่เคยเรียนเต้นรำเลย ด้วยการแนะนำของเฮ่อเหวินจิ้ง เธอบิดเอวอย่างไม่ตั้งใจ มือโบกไปมา ไม่นึกเลยว่าจะให้เธอทำท่าฉีกขามาตรฐานแบบสบายๆ ไม่ได้อีกแล้ว
สยงมู่มู่จ้องด้วยความประหลาดใจ ต้องบอกได้เลยว่าอู่เหมยทำบุญมาดี จึงบอกให้เธอฉีกขาอีกครั้ง
อู่เหมยทำเสียงฮึดฮัด ลากเท้าฉีกขาออกไป เหยียดตรงสวยงาม ยังเหยียดขาสวยกว่านักเต้นมืออาชีพอีก
“โอ้โห! อดทนอีกนิดเดียวเองก็จะได้แล้ว ถ้าเธอทำสะพานโค้งเก้าสิบองศาได้นะ ฉันก็จะยอมรับเธอ!”
สยงมู่มู่มองจ้องเขม็งอู่เหมยด้วยความอิจฉา ยายตัวดีตัวอ่อนขนาดนี้ เวลาปกติก็ไม่เคยฝึกฝน ไม่คิดเลยว่าจะฉีกขาได้สบายๆ คิดว่าปีก่อนนั้นเขาฝึกฉีกขาอยู่หนึ่งเดือนเต็ม ขาแทบหักจนรู้สึกปวดมาก!
ตอนนั้นเขาร้องไห้ราวกับน้ำตาเป็นแม่น้ำเลย!
อู่เหมยรู้สึกไม่มั่นใจ เธอไม่เคยทำท่าสะพานโค้งเช่นกัน แม้แต่วิธีพื้นฐานของท่าสะพานโค้งก็ยังไม่รู้ เฮ่อเหวินจิ้งสาธิตให้เธอดู อู่เหมยก็รู้สึกมีความมั่นใจ
เธอรู้สึกว่าการทำท่าสะพานโค้งไม่ยากเลยสักนิด เธอคงจะทำได้ ไม่รู้ว่าทำไม เธอถึงมีความมั่นใจขนาดนี้
อู่เหมยสูดหายใจลึก เธอค่อยๆ โน้มตัวไปทางด้านล่าง ท่ามกลางเสียงร้องอุทานของทุกคน เธอยกสะโพก แอ่นเอวจนเป็นสะพานโค้งได้อย่างง่ายดาย เอวโค้งเก้าสิบองศา ตัวอ่อนอย่างไม่น่าเชื่อ เหมือนกับไม่มีกระดูกเลย
อู่เหมยยกตัวขึ้นช้าๆ จู่ๆ ก็โดนจ้าวอิงหนานกอด แล้วหอมที่หน้าเธอหลายครั้ง
“โอ้โห เหมยเหมยเธอนี่มีพรสวรรค์ในการเต้นรำ เห็นท่าทางตัวเล็กๆ อย่างนี้ ยืนอยู่บนเวทีก็คือทายาทที่จะสืบสานการเต้นคลาสสิกที่เหมาะสม อยู่ในทัศนียภาพอันงดงามสดใส”
แม้ว่าจ้าวอิงหนานไม่เคยเรียนเต้น แต่เธอกลับมีสายตาเฉียบแหลม มองแวบเดียวก็มองเห็นพรสวรรค์ของอู่เหมย
หัวใจดวงเล็กๆ ของอู่เหมยเต้นตุบๆ หรือว่าเธอมีพรสวรรค์ในการเต้นจริง ?”
ก่อนหน้านี้ครูเฮ่อยังบอกว่าเธอมีพรสวรรค์ในการวาดรูป ความประหลาดใจและดีใจที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ทำให้อู่เหมยไม่อยากจะเชื่ออยู่บ้าง เหมือนกับอยู่ในความฝัน
เฮ่อเหวินจิ้งตื่นเต้นกว่าจ้าวอิงหนาน เพราะเธอศึกษาการเต้นมาโดยเฉพาะ จึงมีสายตาเฉียบแหลมยิ่งกว่า เธอตะโกนบอกอู่เหมย “เหมยเหมย เธอเป็นคนโปรดของพระเจ้าจริงๆ โอ้สวรรค์! ฉันไม่เคยเห็นเด็กผู้หญิงคนไหนที่ตัวอ่อนกว่าเธอเลย”
แม้ว่าสยงมู่มู่ก็ดีใจกับอู่เหมยมาก แต่รู้สึกไม่สบายใจ ยายตัวดีนี่มีพรสวรรค์จริงๆ แถมดันมีหน้าตาสวยอีก น่าอิจฉา!
สองพี่น้องเฮ่อเหวินจิ้งกับจ้าวอิงหนานเหมือนกับได้กินยาบำรุงหัวใจ ลองให้อู่เหมยเต้นท่าพื้นฐานหลายท่า
เห็นๆ อยู่ว่าเป็นแค่ท่าเต้นคลาสสิกพื้นฐานที่สุด
แต่อู่เหมยเต้นออกมาให้ความรู้สึกที่แตกต่างออกไป อาจจะเป็นเพราะใส่ชุดอยู่บ้าน หากเปลี่ยนเป็นชุดเต้นรำ ต้องน่าตื่นตาตื่นใจกว่านี้อีก
เด็กผู้หญิงคนนี้เกิดมาเพื่อแสดงบนเวที
“แต่หนูยังชอบวาดรูปอยู่ดีค่ะ เต้นมันเหนื่อยเกินไป!” อู่เหมยพูดตามความจริง สยงมู่มู่อารมณ์เสีย จ้องอู่เหมยด้วยสีหน้าจริงจังเพราะอยากให้เต้น
เขาชอบเต้นรำ แต่ไม่มีพรสวรรค์ ตัวแข็ง ความสมดุลก็ไม่ดี ทำได้แค่ทิ้งการเต้นไป ยายตัวดีโชคดี มีพรสวรรค์ขนาดนี้ยังไม่รักษาให้ดี ไม่คิดเลยว่าจะกล้าบ่นว่าเหนื่อย!
แล้วทำไมเธอไม่บ่นว่ากินข้าวก็เหนื่อยล่ะ?
“นายเองก็เหมือนกัน รู้ทั้งรู้ว่าสามารถสอบได้ที่หนึ่งสบายๆ ดันไม่สอบซะงั้น นายมีสิทธิ์อะไรมาว่าฉัน?” อู่เหมยตะโกนออกไป
สยงมู่มู่เงียบกริบทันที ในเวลานี้เขาเข้าใจอารมณ์ก่อนหน้านี้ของอู่เหมยทันที ให้ตายเถอะ ครั้งนี้ถึงตาเขาแล้ว
จ้าวอิงหนานยังรู้สึกเสียดายเล็กน้อย แต่เห็นอู่เหมยโกรธลูกชายเช่นนี้ เธออารมณ์ดีขึ้นมาทันที ส่วนอู่เหมยจะยอมเต้นหรือไม่ยอมเต้นนั้น ก็แล้วแต่ตัวเธอเองจะตัดสินใจเถอะ!
ไม่ว่าพรสวรรค์ดีแค่ไหน แต่ถ้าเจ้าตัวไม่ชอบก็ไม่มีประโยชน์ สุดท้ายแล้วสิ่งสำคัญคือความสนใจ หากไม่สนใจแล้วเรื่องอื่นก็ไร้ประโยชน์
…………………………………………………………………….
ตอนที่ 336 เหมยซูหานมาถึงบ้าน
แม้ว่าเฮ่อเหวินจิ้งก็รู้สึกเสียดาย แต่เธอรู้ว่าจะจับปลาสองมือไม่ได้ อู่เหมยเรียนวาดรูปอยู่แล้ว หากไปเรียนเต้นรำอีก กลับกลายเป็นว่าจะได้ไม่คุ้มเสีย สู้รวบรวมสมาธิเรียนสาขาเดียวจะดีกว่า
“คิดว่าการแข่งขันครั้งนี้มั่นใจว่าเหมยเหมยจะชนะไหม?” จ้าวอิงหนานถามเฮ่อเหวินจิ้ง
เฮ่อเหวินจิ้งยังมีความมั่นใจมาก เธอพยักหน้า “ขอเพียงการแข่งขันในวันนั้นเหมยเหมยแสดงตามปกติ หากเป็นไปตามคาดก็สามารถติดสามอันดับแรก”
จ้าวอิงหนานก็เข้ามากอดอู่เหมยและหอมหลายครั้ง ใบหน้ารูปไข่ที่ทั้งขาว ทั้งอ่อนนุ่มของยายตัวดี นิ่มเด้งมาก เด้งกว่าพุดดิ้งเสียอีก จ้าวอิงหนานทนไม่ไหวจึงหยิกแล้วหยิกอีก หน้ารูปไข่ของอู่เหมยโดนหยิกจนแดงไปหมด
สยงมู่มู่มองด้วยความรู้สึกคันไม้คันมืออยากจะหยิก เขาอาศัยจังหวะที่คนไม่ได้สังเกตก็ยื่นแขนออกไป เขาหยิกแก้มป่องๆ ของอู่เหมย เขารู้สึกพอใจมาก ไม่แปลกใจเลยที่แม่ไม่เลิกหยิก รู้สึกดีจริงๆ!
เพื่อนนักเรียนสยงที่หยิกจนสมใจ ก็หยิกแรงโดยไม่รู้ตัว “โอ๊ย”!
อู่เหมยเจ็บจนร้องขึ้นมา พอหันหน้าไปมอง ไม่คิดว่าจะเป็นเจ้าตัวแสบสยงมู่มู่ที่ฉวยโอกาสช่วงที่คนไม่ได้สังเกตรังแกเธอ อู่เหมยโกรธก็ดึงมือสยงมู่มู่ขึ้นมากัด ทิ้งรอยฟันแหลมเล็กที่สวยงามอยู่บนมือของสยงมู่มู่
สยงมู่มู่สูดปากด้วยความเจ็บ แต่ก็ไม่กล้าด่าอู่เหมย ใครให้เขาไปรังแกเธอล่ะ!
จ้าวอิงหนานและพ่อสยงต่างมองหน้ากันด้วยความยิ้มกริ่ม หน้าตาดูสนุก ไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดกับมือของลูกชายตัวเองเลยสักนิดเดียว
หลังจากเฮ่อเหวินจิ้งฟังเค้าโครงการแสดงของสยงมู่มู่ เธอก็คิดท่าเต้นออกมาหนึ่งชุดทันที ไม่ยากมาก ถึงอย่างไรอู่เหมยเพิ่งจะเรียนเต้นรำ ถึงแม้จะมีพรสวรรค์แค่ไหน ก็มีบางท่าไม่ใช่เรียนแค่ประเดี๋ยวเดียวก็เต้นได้
ยังดีที่หน้าตาของอู่เหมยพอที่จะเสริมสิ่งอื่นๆ ที่เขาขาดไปได้ เฮ่อเหวินจิ้งสนใจการแสดงนี้มาก สนใจยิ่งกว่าพวกอู่เหมยเอง จึงบอกให้อู่เหมยไปฝึกซ้อมเต้นที่บ้านเธอทุกวันหลังจากเลิกเรียน เพื่อจะสามารถเต้นรำชุดนี้ได้คล่องแคล่วได้ภายในหนึ่งเดือน และก็แสดงในงานปีใหม่ของโรงเรียนให้ทุกคนตกตะลึง
พออู่เหมยกลับมาถึงบ้าน ก็เห็นเหมยซูหาน เธอประหลาดใจ รู้สึกเหมือนกับว่านานมากแล้วที่ไม่ได้เจอเหมยซูหาน ดึกปานนี้แล้วเขามาทำอะไร?
เหมยซูหานยังคงท่าทางเหมือนเดิม สวมยูนิฟอร์มที่ขาดซีดของโรงเรียน รอยยิ้มอบอุ่นบนใบหน้ายังคงเหมือนเดิม หากกล่าวถึงบุรุษผู้งามดั่งหยกก็คือเขานี่แหละ
แต่อู่เหมยไม่อยากเห็นหยกชิ้นนี้แม้แต่นิดเดียว เธอรู้สึกเสียใจที่กลับมาบ้านเร็วเกินไป ถ้ารู้ว่าเหมยซูหานมาที่บ้าน เธอก็จะกลับช้ากว่านี้
“เหมยเหมยกลับมาแล้วเหรอ!”
เหมยซูหานมองอู่เหมยพลางยิ้ม ในแววตามีความอ่อนโยนและเอ็นดู ทำให้อู่เหมยรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเอง
อู่เหมยไม่กล้าเงยหน้ามองเหมยซูหาน
เธอขานรับเสียงเบา กำลังจะกลับห้องของตัวเอง
เหมยซูหานเห็นอู่เหมยยังคงเย็นชาเหมือนปกติ เขารู้สึกรันทดใจเล็กน้อย เขาอยากจะบอกความจริงกับอู่เหมยจริงๆ ว่าชาติที่แล้วพวกเขาเป็นคู่รักกัน!
แต่เขาก็กลัวว่าจะทำให้อู่เหมยตกใจ ถึงอย่างไรตอนนี้ยายตัวดียังเด็ก แม้กระทั่งเรื่องราวความรักก็ยังไม่รู้เลย!
แต่ทุกครั้งที่อู่เหมยเย็นชาแบบนี้ เหมยซูหานรู้สึกปวดใจมาก ว่ากันว่าระยะทางที่ไกลที่สุดในโลกคือการห่างกันระหว่างความเป็นและความตาย แต่เขากลับไม่คิดอย่างนั้น ยังจะมีอะไรที่ทำให้เขายิ่งห่างจากอู่เหมยในตอนนี้ได้อีกหรือ?
เหมยซูหานมาเยี่ยมอู่เจิ้งซือ ช่วงนี้เขายุ่งกับการรับซื้อกระดาษใช้แล้ว แม้แต่บาสเกตบอลก็ไม่ได้เล่น ทุกวันยุ่งจนไม่สามารถปลีกตัวออกมาได้ แต่ผลลัพธ์ที่ได้มาก็น่ายินดี แค่พยายามมุมานะไม่ถึงครึ่งเดือน เขาก็หาเงินได้สองร้อยหยวน ยังมากกว่าเงินเดือนที่ไปทำงานอีก
โรงเรียนของเมืองจินมีเยอะแยะมากมาย จำนวนกระดาษข้อสอบและเอกสารที่ทิ้งทุกวันก็มีนับไม่ถ้วน ในเวลานี้ไม่มีใครอยากจะไปรับซื้อกระดาษใช้แล้วสักนิด
เหมยซูหนานขอร้องให้อู่เจิ้งซือช่วยพูดให้ ขอเหมารับซื้อกระดาษใช้แล้วของหลายโรงเรียน ธุรกิจของเขาเฟื่องฟูมาก ทุกวันพอเลิกเรียนก็รีบไปทำงาน จนเขาไม่ได้รู้เลยว่าตระกูลอู่เกิดเรื่องใหญ่ขึ้น
…………………………………………………………………
ตอนที่ 337 หวังว่าแม่เหมยมีอายุยืนยาวถึงร้อยปี
ช่วงหลายวันมานี้เหมยซูหานก็ไม่เห็นอู่เจิ้งซือไปสอน พอทราบข่าวถึงได้รู้ว่าครอบครัวอู่เกิดเรื่อง และยังรู้เรื่องเคราะห์ร้ายที่อู่เหมยประสบในช่วงนี้อีกด้วย เขารู้สึกสลดใจอย่างยิ่ง ดังนั้นเขารู้ดีว่าอู่เจิ้งซือไม่อยู่บ้าน แต่เขาก็ยังมา เพราะมาดูอู่เหมย ดูว่าเธอเป็นอย่างไรบ้าง!
บาดแผลบนใบหน้าของอู่เหมยใกล้หายแล้ว ยังมีรอยแผลจางๆ เล็กน้อย หากมองไม่ละเอียดก็มองไม่เห็น แต่เหมยซูหานสายตาไม่เลว แค่มองก็ดูออกแล้ว เขายิ่งรู้สึกเจ็บปวดและยิ่งรู้สึกมีอคติต่อเหอปี้อวิ๋นมากขึ้น
เหมยซูหานเคารพเหอปี้อวิ๋นบนพื้นฐานที่เขาเคารพอู่เจิ้งซือ เพราะว่าเขาเคารพนับถืออู่เจิ้งซือ ดังนั้นจึงมีความเคารพต่อเหอปี้อวิ๋น แต่ว่าตอนนี้เหอปี้อวิ๋นทำร้ายอู่เจิ้งซือที่เขาเคารพนับถือมากที่สุด แล้วยังปฏิบัติอย่างโหดเหี้ยมกับอู่เหมยที่เขาอยากจะปกป้องมากที่สุด ความเคารพนับถือที่เขามีต่อเหอปี้อวิ๋นก็อันตรธานไปหมด
ทว่าเขาคิดอย่างล้ำลึก และไม่แสดงออกสิ่งที่เขาคิดอยู่ในใจออกมา เขายังคงเคารพนับถือเหอปี้อวิ๋น และไม่สามารถแสดงสิ่งที่ไม่ใช่ออกมาได้
“เหมยเหมยรินน้ำชาให้พี่ซูหานสิ”
เหอปี้อวิ๋นสั่งอู่เหมย มองเหมยซูหานอย่างยิ้มแย้ม เธอชอบเหมยซูหานจริงๆ เขาหน้าตาดี แถมยังมีความรู้ และยังมีความเคารพเธอเป็นพิเศษ น่ามองกว่าเหยียนหมิงซุ่นเป็นไหนๆ
อู่เหมยเดินไปถึงหน้าประตูห้องนอนแล้ว ก็ต้องเดินกลับมา เธอรินน้ำชายื่นให้เหมยซูหาน แต่เธอได้ยินเหอปี้อวิ๋นถามเรื่องแม่ของเหมยซูหาน เธออดไม่ได้ที่จะหยุดก้าวขานั่งฟังอยู่ข้างๆ
ท่านแม่เฒ่าที่อ่อนโยนและมีเมตตากรุณา เมื่อชาติที่แล้วเป็นคนเดียวที่ดีกับเธอมากที่สุด เดิมทียังมีเหมยซูหาน แต่เขาทรยศเธอแล้ว!
“เมื่อไม่นานมานี้ผมพาแม่ไปโรงพยาบาลมา หมอบอกว่าทำงานหนักเป็นเวลานานจนมีโรคติดตัว แต่ไม่มีปัญหาอะไร ทำได้แค่ค่อยๆ ดูแล รักษากันไป ยังไงก็ต้องขอบคุณมากครับที่ห่วงอาจารย์แม่” เหมยซูหานพูดด้วยความนอบน้อม
พอเพิ่งจะหาเงินได้ เขาก็พาแม่ไปตรวจที่โรงพยาบาลในเมืองจิน พวกเพื่อนบ้านบอกว่าแม่เป็นโรคเรื้อรัง ไปหาแพทย์แผนจีนจะเหมาะสมกว่า จริงๆ แล้ว ผลการรักษาของแพทย์แผนจีนก็ไม่เลว เพิ่งกินยาได้ห้าแผ่น อาการไอของแม่ก็ลดน้อยลงไปมาก ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่ไอช่วงกลางคืน ไม่ได้นอนรวดเดียวตลอดทั้งคืน
แต่หมอยังบอกว่า หากสามารถมีโสมดีๆ มาเสริม ร่างกายของแม่จะฟื้นตัวเร็วขึ้น แต่เสียดายที่ตอนนี้โสมดีๆ ก็ให้ผู้มีอิทธิพลเก็บสะสมหมด ส่วนใหญ่ที่มีขายอยู่ในตลาดเป็นแบบที่คุณภาพรองลงมา ดีขึ้นมาหน่อยก็ขึ้นราคาสูงหลายพัน ตอนนี้เขาซื้อไม่ไหว ต้องหาเงินให้มากกว่านี้ถึงจะซื้อได้
อู่เหมยอดถามไม่ได้ “พี่ซูหานคะ แม่พี่เป็นโรคอะไรเหรอคะ?”
เหมยซูหานตะลึงเล็กน้อยที่ได้รับความสนใจอย่างไม่คาดคิด ไม่นึกเลยว่าอู่เหมยจะพูดกับเขาก่อน เขายิ้มร่า เหมยซูหานพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ก็ไม่ใช่โรคร้ายแรงอะไร คือว่าเมื่อก่อนแม่พี่ลำบากเกินไป ร่างกายเลยไม่ไหว”
อู่เหมยนิ่วหน้า ใบหน้าที่เมตตาและอ่อนโยนของท่านแม่เฒ่าตอนนี้ปรากฏอยู่ในหัว
ผมหงอกขาว หลังงอเป็นประจำ ไอไม่หยุด แต่ท่านแม่เฒ่ายิ้มออกมาจะอ่อนโยนและเมตตาเป็นพิเศษ อบอุ่นไปถึงก้นบึ้งหัวใจของเธอ
ถึงแม้เธอจะอยู่กับแม่เหมยไม่ถึงสองปี แต่เธอก็รักแม่ของเหมยซูหานมาก และหวังว่าชีวิตที่ไม่เรียบง่ายของผู้หญิงที่จิตใจดีคนนี้ จะมีสุขภาพที่แข็งแรง ใช้ชีวิตสงบสุข อายุยืนถึงร้อยปีในชาตินี้
“ฉันได้ยินว่ายาบำรุงกำลังก็สู้อาหารเสริมไม่ได้ ยากินเยอะแค่ไหนก็ไม่สู้กินอาหารดีๆ ไม่อย่างนั้นพี่ซูหานตุ๋นพวกซุปปลา ซุปไก่ให้คุณป้าดื่มสิคะ ไม่แน่คุณป้าก็อาจจะอาการดีขึ้นมา” อู่เหมยแนะนำ
เหอปี้อวิ๋นกล่าวตำหนิ “แกรู้ดีกว่าหมอรู้อีกเหรอ? กลับห้องแกไปเลย ซูหาน เธออย่าไปเชื่ออู่เหมยพูดไร้สาระเลยนะ เด็กน้อยจะไปเข้าใจอะไร!”
อู่เหมยไม่อยากจะเถียงกับเหอปี้อวิ๋น เธอลุกขึ้นกลับห้องไป เหมยซูหานหันไปยิ้มให้เธอ ปากพูดโดยไม่ออกเสียง “ขอบใจนะ เหมยเหมย!”
อู่เหมยยิ้มตามมารยาท จริงๆ แล้วริมฝีปากเธอแค่ขยับเล็กน้อยและผ่านไปทันที แต่เหมยซูหานก็พึงพอใจมากแล้ว
เหมยเหมยพูดกับเขาก่อน แถมยังยิ้มให้เขา หมายความว่าความหวาดระแวงของอู่เหมยที่มีต่อเขาค่อยๆ หายไปแล้วใช่หรือไม่?
…………………………………………………………………………………
ตอนที่ 338 เกลียดไม่ลงจริงๆ
หลังจากอู่เหยมกลับห้องไปได้ไม่นาน เหมยซูหานก็ขอตัวกลับ ขณะที่กำลังจะไป เขาเคาะประตูห้องของอู่เหมย เหอปี้อวิ๋นก็ไม่ได้คิดมาก เธอคิดว่าเหมยซูหานขอตัวกลับกับอู่เหมยเพื่อเป็นการแสดงมารยาท เธอจึงไปห้องน้ำเพื่อซักผ้า สองวันก่อนเธอจิตใจว้าวุ่น ก็เลยไม่มีอารมณ์ทำงานบ้าน เสื้อผ้าสกปรกที่เปลี่ยนใส่สะสมไว้จนได้หนึ่งถัง
“เหมยเหมย ลูกอมรสนมผสมถั่วลิสงถุงนี้เธอเก็บไว้กินนะ”
เหมยซูหานหยิบลูกอมรสนมผสมถั่วลิสงหนึ่งถุงออกมาจากกระเป๋านักเรียน ขนาดมีกระดาษคราฟต์ห่ออยู่ก็ยังได้กลิ่นหอมของนม อู่เหมยกำลังจะเอ่ยปากปฏิเสธ เหมยซูหานก็ยิ้มพลางพูด “หากเหมยเหมยไม่กินลูกอมนี้ พี่ก็คงจะต้องทิ้ง เพราะพี่กับแม่ไม่กินขนม”
คำพูดนี้เป็นความจริง เหมยซูหานไม่ชอบกินขนม ส่วนแม่เหมยเพราะปัญหาสุขภาพจึงกินขนมไม่ได้ ขนมที่วางอยู่ในบ้านเธอเป็นคนกินทั้งหมด
อู่เหมยไม่อยากรับสิ่งของของเหมยซูหานจริงๆ เธอไม่คิดจะเกี่ยวข้องกับคนนี้ เหมยซูหานเห็นเธอลังเล ก็เลยเอาลูกอมยัดใส่มือเธอเสียเลย อู่เหมยต้องรับเอาไว้อย่างจนใจ เธอไม่รู้จะปฏิเสธอย่างไรจริงๆ
“ตอนนี้ฉันไม่ชอบกินขนม พี่ซูหานเก็บเงินไว้ซื้อของดีๆ ให้คุณป้ากินเถอะค่ะ” อู่เหมยพูดอย่างจริงใจ ครอบครัวเหมยซูหานไม่ได้มีเงินทอง ขนมเหล่านี้เธอกินแล้วก็รู้สึกไม่สบายใจ
‘อู่เหมย ก็ไม่รู้ว่าเธอคิดยังไง ทั้งๆ ที่เธอควรจะเกลียดเหมยซูหานถึงจะถูก แต่ทำไมกลับเกลียดเขาไม่ลง?’
มีความแค้นใจ ความรู้สึกอยากต่อว่า และความเจ็บปวด แต่ก็ไม่เกลียด!
อาจจะเป็นเพราะว่าเหมยซูหานในชาติก่อนดีกับเธอมากเกินไปมั้ง!
เหมยซูหานดีกับเธอมากจริงๆ ตามใจเธอทุกอย่าง ขอเพียงเธอร้องขอ เหมยซูหานก็จะหาทางทำให้เธอพอใจ การใช้ชีวิตอยู่กับเหยซูหานในตอนนั้น อู่เหมยรู้สึกว่าเธอเหมือนกับเป็นเจ้าหญิงจริงๆ ใช้ชีวิตอยู่ในปราสาทที่เหมยซูหานสร้างเพื่อเธอ ไม่รู้ความยากลำบากของโลกภายนอก และก็ไม่รู้ว่าจิตใจของคนนั้นไม่อาจคาดเดาได้
ช่วงนี้อู่เหมยก็คิดมาตลอด ปีนั้นเพราะเหมยซูหานเชื่อคำพูดของอู่เยวี่ย จึงได้ขอเธอแต่งงาน คนที่เขารักคืออู่เยวี่ย ดังนั้นอู่เยวี่ยให้เขาทำอะไร เขาก็ทำตามทุกอย่าง ดังนั้นเธอจึงกลายเป็นคุณนายเหมย
เพราะว่าความรักทั้งหมดของเหมยซูหานมอบให้อู่เยวี่ยจนหมด ดังนั้นเขาสามารถให้เธอได้ทุกอย่าง นอกจากความรัก
หากชาติที่แล้วไม่ใช่ความมึนเมาที่เป็นอุบัติเหตุในครั้งนั้น ระหว่างเธอกับเหมยซูหานก็ไม่มีอะไรบริสุทธิ์ใจไปกว่านี้แล้ว แทนที่จะบอกว่าชาติที่แล้วพวกเขาเป็นสามีภรรยากัน สู้บอกว่าพวกเขาเป็นพี่น้องต่างนามสกุลที่อยู่ด้วยกันจะดีกว่า
เหมยซูหานรับรู้ได้ถึงความห่วงใยของอู่เหมย เขารู้สึกอบอุ่นในใจ เขาอดไม่ได้ก็เล่าประวัติการเริ่มทำธุรกิจของเขากับเธอ
“เหมยเหมยไม่ต้องกังวลนะ ตอนนี้พี่กำลังรับซื้อกระดาษใช้แล้ว ทำเงินได้มากทุกเดือนเลย การใช้ชีวิตไม่มีปัญหาเลย ดีกว่าไปทำงานเสียอีก มีเงินให้เธอไปซื้อขนมไม่ขาดแคลนเลยล่ะ”
อู่เหมยมองเหมยซูหานอย่างประหลาดใจ ไม่นึกเลยว่าเขากำลังรับซื้อกระดาษใช้แล้ว?
ทั้งๆ ที่ ชาติที่แล้วเหมยซูหานไม่เคยทำเรื่องเหล่านี้ เหมยซูหานในเวลานี้ยากจนมาก บ้านไม่มีอะไรเลย ยากจนข้นแค้นแม้กระทั่งค่าใช้จ่ายเข้ามหาวิทยาลัยก็ได้รับการสนับสนุนจากอู่เจิ้งซือจนกระทั่งเข้ามหาวิทยาลัย ทุกเดือนเขาได้รับเงินช่วยเหลือเป็นค่าเลี้ยงชีพยี่สิบหยวน เหมยซูหานจึงมีเงินเหลือนิดหน่อย ทุกเดือนเขาประหยัดเงินเพื่อส่งเงินกลับมายังครอบครัว ทุกวันตัวเขาเองใช้กินอย่างประหยัด
กระเพาะของเหมยซูหานในชาติที่แล้วเลยไม่ค่อยดีนัก สาเหตุมาจากการทานอาหารสามมื้อที่ไม่แน่นอนทำให้เขาปวดท้อง ซึ่งก็เป็นเพราะการใช้ชีวิตที่อัตคัดขัดสนในชาติที่แล้ว แต่ตอนนี้ เขาเพิ่งอยู่ชั้นม.5 มีเงินได้อย่างไร?
“เหมยเหมยเป็นอะไรหรือเปล่า?” เสียงเหมยซูหานดังขึ้น
อู่เหมยส่ายหน้าทันที เธอไม่พูดอะไร จนกระทั่งเหมยซูหานกลับไป เธอก็ยังไม่เข้าใจ เหมือนกับว่าในชาตินี้กับชาติที่แล้วไม่เหมือนกันเลยน่ะสิ!
………………………………………………………………………….
ตอนที่ 339 กระเป๋าของฉิวฉิว
อู่เหมยเก็บลูกอมรสนมผสมถั่วลิสงถุงนั้นไว้ให้ฉิวฉิวกิน เธอไม่ค่อยอยากกินของของเหมยซูหาน เพราะยังข้ามผ่านความเจ็บปวดในใจไปไม่ได้ อีกอย่างขนมของเหยียนหมิงซุ่นที่ให้มาครั้งที่แล้วก็ยังกินไม่หมดเลย!
อู่เหมยแกะลูกอมป้อนฉิวฉิว เจ้าตัวน้อยตัวแห้งหมดแล้ว กลับมาเป็นขนฟูปุกปุยเหมือนเดิม อู่เหมยอุ้มฉิวฉิวมาไว้ในอ้อมแขน เธอบ่นพึมพำกับตัวเอง “ฉิวฉิว แกคิดไหมว่าทำไมชาตินี้กับชาติที่แล้วถึงไม่เหมือนกัน? อย่างนี้ฉันจะยังเป็นฉันคนเดิมอยู่ไหม?”
สมองของฉิวฉิวที่ไม่ใหญ่ไปกว่าถั่ววอลนัทเท่าใดนัก จะไปคิดปัญหาที่ลึกลับซับซ้อนนั้นออกได้อย่างไร เขาสะบัดหางใหญ่ และกลิ้งลูกอมถั่วลิสงที่เหมยซูหานให้ที่วางอยู่บนโต๊ะเข้ามา ครู่เดียวก็กินไม่เหลือ
เหมยเหมยจ้องมองห่อลูกอมถั่วลิสงหายไปอย่างน่าประหลาดต่อหน้าต่อตาตัวเอง เหมือนกับว่าละลายหายวับไปในอากาศอย่างไร้วี่แวว
เธอจับฉิวฉิวหงายท้องขึ้นมา หนังท้องสะอาด แม้แต่กระดาษห่อลูกอมก็ไม่มี และลูกอมถั่วลิสงถุงนี้กับตัวของฉิวฉิวก็มีขนาดไม่ต่างกัน ถึงแม้เขาอยากจะซ่อนไว้ก็ซ่อนไว้ไม่ได้ ตกลงลูกอมถุงนี้หายไปไหนกันแน่?
“ฉิวฉิว นายเอาลูกอมไปไว้ไหนแล้ว?”
อู่เหมยหาจนทั่วห้อง ก็ไม่พบอะไรเลย ฉิวฉิวสะบัดหางอย่างภาคภูมิใจ บนโต๊ะกลับมีกระดาษลูกอมวางอยู่สามแผ่น เหมือนกับเจ้าตัวน้อยเล่นมายากล เพียงกะพริบตาก็กินลูกอมไปแล้วสามเม็ด แต่ถุงลูกอมนั้นกลับไร้ร่องรอย
ด้วยบริการการนวดของอู่เหมย ในที่สุดเจ้าฉิวก็แสดงความเมตตา เขาหยิบถุงลูกอมออกมา ไม่ว่าอู่เหมยจะจ้องตาไม่กะพริบ แต่เธอยังหาจุดที่ซ่อนลูกอมในตัวฉิวฉิวไม่เจอ เธอเห็นเพียงในอากาศมีการขยับขึ้นลง เหมือนกับผิวน้ำที่สงบนิ่งมีการกระเพื่อม ทันในนั้นลูกอมถุงนั้นก็ปรากฏออกมา
พอฉิวฉิวแกะลูกอม ถุงลูกอมที่อยู่ตรงหน้าอู่เหมย ก็หายแวบไปอีกครั้ง
ครั้งนี้อู่เหมยเห็นชัดเจน ตามการขยับขึ้นลงของอากาศ ถุงลูกอมเหมือนกับน้ำตาลกรวดที่หล่นลงไปในหม้อซุป ที่หายไปในไม่ช้า และละลายรวมกับน้ำซุป
ฉิวฉิวกะพริบตากลมอย่างภูมิใจ หางตั้งขึ้นอีกครั้ง กล่องดินสอที่อยู่บนโต๊ะกลิ้งมา ครั้นแล้วกล่องดินสอก็ละลายหายไปในอากาศเหมือนกับถุงลูกอม
อู่เหมยมองฉิวฉิวอย่างงุนงง ในเวลานี้ถ้าเธอไม่เข้าใจอีก เธอก็คงจะโง่เหมือนหมูจริงๆ แต่จู่ๆ เธอก็นึกถึงกระเป๋าหน้าท้องของโดราเอมอน มีสิ่งของมีค่าหมดทุกอย่างอยู่ในนั้น ใส่อะไรลงไปก็ได้ทั้งนั้น
“ฉิวฉิว ที่แท้แกคือโดราเอมอนใช่ไหม?” แกเปลี่ยนมันเป็นไอศกรีมฮาเก้น-ดาสได้ไหม? แกเปลี่ยนมันเป็นมัตฉะมูสได้ไหม?”
อู่เหมยถามคำถามไม่หยุด ตาจ้องที่หน้าท้องของฉิวฉิวไม่กระพริบ เธอทนไม่ไหวก็ยื่นมือไปลูบท้องนุ่มๆ ของเจ้าตัวน้อย เธออยากหากระเป๋าบนหน้าท้องให้เจอ แต่ลูบไปตั้งนาน นอกจากท้องน้อยๆ กะจิ๊ดริดแล้ว ก็ไม่มีอะไรปรากฎเลย
ฉิวฉิวอับอายและแค้นเคือง แยกเขี้ยวแหลมเล็กด้วยความโกรธแค้น นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่เจ้านายตัวน้อยๆ แอบเห็นจุดส่วนตัวของเขา แต่ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้อีกแล้ว!
‘ฉิวฉิว ทำไมแกต้องโมโหด้วย? แล้วทุกวันที่อยู่ข้างนอก ก็ไม่ได้ให้คนอื่นมาเห็นแกนี่นา ยกเว้นเสียแต่ว่าแกใส่กางเกงในตัวเล็กๆ’ อู่เหมยคิดอย่างนั้น เขาตัวเล็กกระจิ๋วหลิวไม่ใหญ่ไปกว่าหมอนปักเข็มเท่าไหร่ เธอตาโตขนาดนี้ แต่กลับมองข้ามไปได้ง่ายจริง ๆ
แต่คำพูดเช่นนี้จะพูดต่อหน้าฉิวฉิวไม่ได้ เจ้าตัวน้อยก็มีเกียรติเช่นกัน จะพูดโจมตีเขาไม่ได้!
เขาทนไม่ไหวกับความวุ่นวายของอู่เหมยจริงๆ ฉิวฉิวจึงต้องเอากระเป๋าออกมา ไม่นึกว่าจะอยู่ในปากของเขา ฉิวฉิวแค่อ้าปาก ในอากาศก็มีการขยับ ถุงลูกอมก็หล่นลงมาเช่นกัน พออ้าปากอีกครั้ง ของก็จะหล่นเข้าไป
…………………………………………………………
ตอนที่ 340 อู่เจิ้งซือกลับบ้านแล้ว
ทว่ากระเป๋าของฉิวฉิวเล็กไปหน่อย ใส่ของได้ไม่มาก มีพื้นที่ว่างขนาดเท่าลิ้นชัก ฉิวฉิวใส่ของกินเต็มไปหมดแล้ว พื้นที่เหลือนิดหน่อยก็ช่วยอู่เหมยเก็บของสำคัญอย่างเงินกับสัญญาซื้อบ้าน
ในโลกนี้จะมีที่ไหนปลอดภัยกว่ากระเป๋าของฉิวฉิวนะ?
“ฉิวฉิว แกนี่สุดยอดจริงๆ แกต้องเป็นเทพเจ้าแห่งสรวงสวรรค์จุติลงมาใช่ไหม? แกอยากกินอะไร ฉันซื้อให้กินทุกอย่างเลย”
เหมยเหมยทั้งกอดทั้งหอมฉิวฉิว เธอมีความสุขมากจริงๆ เมื่อก่อนเธอบ่นเทวดาที่ไม่ให้พลัง ไม่ให้ของวิเศษอะไรแก่เธอ แต่ความจริงเธอกลับมีฉิวฉิว ของล้ำค่าที่ดีขนาดนี้ ถึงแม้จะเอาน้ำพุศักดิ์สิทธิ์ล้ำค่ามาแลก เธอก็ไม่ยอม
ฉิวฉิวดึงภาพวาดออกมาจากกระเป๋า เขาร้องจิ๊กจิ๊กหลายครั้ง ตอนนี้อู่เหมยเดาความหมายของเจ้าตัวน้อยนี้ได้อย่างง่ายดาย ฉิวฉิวอยากไปถนนหนานสุ่ยอีกครั้งเหรอ!
“งั้นรอสุดสัปดาห์นี้ค่อยไปได้ไหม? ฉิวๆ แกอยากซื้อของใช่ไหม?” อู่เหมยถาม
ฉิวฉิวพยักหน้าเบาๆ ขวดโหลหนึ่งกระปุกทำให้เขาฟื้นพลังได้เยอะ หากสามารถหาของล้ำค่าที่คล้ายกันได้อีก เขาก็จะสามารถฟื้นตัวได้เร็วยิ่งขึ้น พื้นที่ก็จะใหญ่ขึ้น หากฟื้นตัวได้สมบูรณ์ ใส่ของเยอะแค่ไหนก็ไม่มีปัญหา และยังของล้ำค่ามากมายที่เมื่อก่อนเขาเก็บไว้อีก สามารถเอาออกมาใช้ได้อีกเยอะเลยล่ะ!
อู่เหมยเดาถูกเรื่องการขยายกระเป๋าของฉิวฉิวด้วย มันต้องเกี่ยวข้องกับของล้ำค่าที่ซื้อกลับมาเมื่ออาทิตย์ที่แล้วแน่นอน บอกแล้วว่าของโบราณมีจิตวิญญาณ ฉิวฉิวก็ดูดเอาจิตวิญญาณของของโบราณเหล่านี้เอาไว้ ถึงได้มีกระเป๋าขึ้นมา
อู่เหมยที่อารมณ์ดีฝันดีทั้งคืน ในฝันฉิวฉิวโตขึ้นมาก กระเป๋าก็ใหญ่ขึ้นมาก สามารถเก็บบ้านได้ ที่เก็บอยู่ในนั้นทั้งหมดคือของล้ำค่าที่เธอเก็บมา เธอซื้อบ้านและร้านค้าหลายหลัง หนึ่งเดือนมีสามสิบวัน ปล่อยให้เช่าต่อวันได้ค่าเช่ามาทุกวันไม่ซ้ำกัน ก็สามารถใช้ชีวิตครอบครัวเล็กๆ ได้อย่างสวยงาม!
อู่เหมยตื่นขึ้นมาในตอนเช้าอย่างอารมณ์ดี เธอหัวเราะคิกๆ ไม่หยุด ความรู้สึกในการเก็บค่าเช่านั้นดีมาก แต่น่าเสียดายเป็นแค่ความฝันที่ไม่มีวันเป็นจริง
อู่เหมยมองห้องเล็กๆ ของตัวเอง เธอก็ตื่นจากความฝัน กลับสู่ความเป็นจริงทันที
วันต่อมาอู่เหมยไปหาเฮ่อเหวินจิ้งเพื่อฝึกเต้นทุกวันหลังเลิกเรียน ดูเหมือนว่าเธอมีพรสวรรค์ในการเต้นจริงๆ มีหลายท่าที่เรียนครั้งเดียวก็เต้นเป็น และอธิบายได้อย่างสมบูรณ์
ความสามารถในการทำความเข้าใจของอู่เหมยนั้นเกินความคาดหมายของเฮ่อเหวินจิ้ง เธอค่อยๆ เพิ่มความยากให้อู่เหมย เธอออกแบบท่าเต้นได้อย่างสมบูรณ์แบบตามนักเต้นมืออาชีพ อู่เหมยยังไม่เข้าใจสิ่งนี้ อย่างไรซะเฮ่อเหวินจิ้งสอนอะไร เธอก็เต้นอย่างนั้น นอกจากแค่รู้สึกว่าท่าเต้นยากขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ปรับตัวได้
อาการบาดเจ็บของอู่เจิ้งซือดีขึ้นมาก เขากลับไปสอนที่โรงเรียนแล้ว ขาดสอนไปหนึ่งอาทิตย์กว่า อู่เจิ้งซือเจ็บปวดยิ่งกว่าการโดนทุบหัว ความสุขุมรอบคอบครึ่งค่อนชีวิตของเขาถูกเหอปี้อวิ๋นทำลายหมด
เหอปี้อวิ๋นมาที่นี่ทุกวัน ช่วยท่านแม่เฒ่าอู่ทำกับข้าว ทำความสะอาด ซักผ้าห่มบ้าง ทำงานบ้านอย่างไม่กระตือรือร้นจนเกินไป และยังคงมีใบหน้ายิ้มแย้ม เวลาผ่านไปนานเข้า ท่านผู้เฒ่าอู่และท่านแม่เฒ่าอู่ก็เกรงใจไม่อยากหน้าเฉยเหมยใส่เหอปี้อวิ๋น จึงทำหน้ายิ้มแย้มเล็กๆ น้อยๆ
อู่เหมยรู้ว่ายายของเธอ แม่เฒ่าเหอคอยให้คำแนะนำแก่เหอปี้อวิ๋นแน่นอน ในปีนั้นท่านแม่เฒ่าเหออยู่ในหมู่บ้านแต่มีชื่อเสียงมาก เหอปี้อวิ๋นไม่ได้รับถ่ายทอดความแข็งแกร่งและความฉลาดหลักแหลมของท่านแม่เฒ่ามาเลยสักนิด แต่นิสัยความขี้โมโหของท่านแม่เฒ่าเหอเธอได้มาทั้งหมด
เหอปี้อวิ๋นทำท่าทางเสแสร้งเช่นนี้ ในที่สุดอู่เจิ้งซือก็กลับบ้าน และอีกอย่างอาการบาดเจ็บของเขาก็ดีขึ้นมากแล้ว จะอยู่ในบ้านให้พ่อแม่ดูแลทุกวันก็ไม่ดี!
……………………………………………………………………………
ตอนที่ 341 การแข่งขันเริ่มขึ้นแล้ว
อู่เจิ้งซือกลับมาที่บ้านแล้ว แน่นอนว่าอู่เยวี่ยจะอยู่ที่บ้านของคุณปู่ต่อไม่ได้ จึงจำต้องกลับบ้านมาด้วย ภายในบ้านยังคงเป็นปกติอย่างเช่นเคย แต่ก็มีบางอย่างที่ดูไม่ปกติ
ระหว่างอู่เจิ้งซือกับเหอปี้อวิ๋นไม่มีความรู้สึกดีๆ ต่อกัน และเขายังเยือกเย็นราวกับน้ำแข็ง เหอปี้อวิ๋นเองก็มักจะยิ้มให้อู่เจิ้งซืออยู่เสมอ แต่กลับเป็นอู่เจิ้งซือเองที่ไม่สนใจไยดีต่อเธอเลย เงินเดือนก็ถือว่าเขาเป็นคนหักเอง ค่าใช้จ่ายรายเดือนของทุกเดือนเขาจะจ่ายให้เธอเพียงแค่สี่สิบหยวน
แม้บรรยากาศในบ้านจะดูแปลกไป แต่อู่เหมยกลับรู้สึกดีที่เป็นแบบนั้น ดีเสียอีกที่ทุกวันนี้อู่เจิ้งซือทะเลาะกับเหอปี้อวิ๋น แค่หวังว่าจะยื้อเวลาไปได้อีกสักพัก เพราะเหอปี้อวิ๋นน่าโมโห
เวลาค่อยๆ ผ่านไปในแต่ละวันคืน นอกจากอู่เหมยจะได้เรียนเต้นรำเพิ่มแล้ว เธอยังใจจดใจจ่อต่อการเรียนวาดรูปมากขึ้นอีกด้วย การแข่งขันวาดรูปของเด็กและเยาวชนประจำเมืองซึ่งจะจัดขึ้นก่อนการแสดงของงานวันขึ้นปีใหม่ และนั่นก็ถือเป็นการแสดงเนื่องในวันขึ้นปีใหม่ด้วย สิ่งสำคัญสำหรับเธอคือการแข่งขัน แต่การเต้นรำเป็นเพียงแค่ตัวช่วยอย่างหนึ่งสำหรับเธอก็เท่านั้น
การแข่งขันในครั้งนี้เป็นการวาดรูปจริงบนเวที เพราะฉะนั้นการแสดงออกถึงความสามารถในสถานการณ์จริงถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ครูเฮ่อให้อู่เหมยฝึกที่บ้านให้มากขึ้น โดยใช้วิธีการวาดที่เป็นเอกลักษณ์ของเธอเอง และเธอเชื่อว่าอู่เหมยจะสามารถแสดงฝีมือการวาดรูปออกมาได้เต็มที่ต่อหน้าคนจำนวนมากแน่นอน
เวลาผ่านไปเร็วมากจนตอนนี้ใกล้ถึงช่วงกลางเดือนธันวาคมแล้ว การแข่งขันวาดรูปของเด็กและเยาวชนของเมืองจินจัดขึ้นที่ห้องเรียนเยาวชน ทั้งครอบครัวของจ้าวอิงหนานก็ได้มาให้กำลังใจอู่เหมย และยังมีเหยียนหมิงซุ่น เขาเองก็แอบมาให้กำลังใจอยู่เงียบๆ ไม่ได้ไปอยู่รวมกับครอบครัวของสยงมู่มู่
การแข่งขันจะจัดแข่งภายในห้องเรียน แต่ด้านนอกกลับเต็มไปด้วยบรรดาผู้ปกครอง พวกเขาดูจะตื่นเต้นยิ่งกว่าเด็กๆ ที่เข้าแข่งขันเสียอีก คอยทอดสายตามองเข้าไปด้านในตลอดเวลา และหวังอยากจะรู้ผลการแข่งขันของเด็กๆ โดยเร็ว
ก่อนการแข่งขันจะเริ่มขึ้น เหยียนหมิงซุ่นได้ไปเจอกับอู่เหมยมาก่อน เขาได้ยัดลูกกวาดเข้าไปในปากของอู่เหมย ซึ่งกลิ่นหอมๆ ของลูกกวาดรสนมถั่วลิสงได้หอมเข้าไปถึงโพรงจมูก ในชั่วพริบตาก็สามารถทำให้จิตใจที่ร้อนรนของอู่เหมยสงบและใจเย็นลงได้
“อย่าใส่ใจถึงผลของการแข่งขันเกินไป เหมยเหมยแค่เธอทำให้เต็มที่ก็พอแล้ว อย่างมากในปีหน้าก็ค่อยบอกกับครูอู่เรื่องวาดรูป” เหยียนหมิงซุ่นพูดออกมานิ่งๆ
คำพูดในครึ่งแรกของประโยคฟังดูแล้วช่างดูอบอุ่น แต่ครึ่งหลังของประโยคกลับทำให้อู่เหมยรู้สึกกังวล หากจะต้องแอบหลบๆ ซ่อนๆ ไปอีกตั้งหนึ่งปี นั่นทำให้เธอรู้สึกอึดอัดเป็นที่สุด อู่เหมยเถียงกลับไปโดยไม่คิด “ไม่ได้ ยังไงปีนี้ฉันจะต้องบอกเรื่องนี้ให้ได้ ฉันจะต้องได้รางวัล!”
“ถ้าอย่างนั้นก็ตั้งใจวาดล่ะ เหมยเหมยหากว่าเธอได้รางวัลที่ดี ฉันจะพาเธอไปหาของมีค่าในที่ที่น่าสนใจและสนุกกว่าเดิม” ในดวงตาของเหยียนหมิงซุ่นสื่อด้วยรอยยิ้ม แม้วิธีการที่เขาใช้จะดูเก่าและโบราณไปบ้าง แต่ผลลัพธ์กลับดีราวกับใช้มาเป็นเวลานาน
ในตาของอู่เหมยลุกวาวเป็นประกาย ในเมืองจินนอกจากตลาดหนานสุ่ยแล้วยังมีที่อื่นให้หาของอีกเหรอ?
ครั้งนี้เธอจะหาของมีค่ามาให้กับฉิวฉิว เหยียนหมิงซุ่นเป็นเหมือนคนที่ยื่นหมอนมาให้ในช่วงที่เธอสัปหงกง่วงนอน และเขาก็เข้ามาได้ทันท่วงทีมาก ต่อให้ไม่ได้ทำเพื่อตัวเธอเอง แต่หากเพื่อฉิวฉิวละก็ เธอจะต้องได้รางวัล
“ค่ะ พี่หมิงซุ่นรอฟังข่าวดีจากฉันได้เลย!”
เมื่ออู่เหมยได้พูดคำพูดที่มั่นใจและหนักแน่นออกไปแล้ว เธอจึงเดินสะบัดผมหางม้าที่ถูกถักเปียไว้ เดินเข้าห้องเรียนไปอย่างสง่าผ่าเผย และพร้อมด้วยความมั่นใจ
ตรงระเบียงเต็มไปด้วยผู้คนมากมายซึ่งล้วนแต่เป็นผู้ปกครอง แม้ว่าเหยียนหมิงซุ่นจะมีร่างกายกำยำสูงใหญ่ แต่เขาก็ไม่สามารถเบียดเสียดเข้าไปได้ เขาจึงตัดสินใจหันหลังกลับและเดินไปยังหลังห้องเพื่อหาต้นการบูร จากนั้นเขาได้ปีนขึ้นไปนั่งบนกิ่งไม้อย่างผ่อนคลายและอิสระ แค่มองปราดเดียวก็เห็นสภาพในห้องเรียนได้อย่างชัดเจน
เขามองเห็นอู่เหมยได้อย่างง่ายดาย ซึ่งขณะนี้เธอกำลังใจจดใจจ่ออยู่กับการวาดรูป ข้างๆ เธอก็มีกลุ่มเด็กที่กำลังตั้งใจวาดรูปยืนอยู่ กรรมการผู้คุมไพล่มือไว้ด้านหลังและเดินไปเมา มีเด็กบางคนที่เขาจะเหลือบมองแค่แวบเดียว แต่ก็มีเด็กบางคนที่เขาตั้งใจหยุดเดินและยืนมองอยู่พักหนึ่ง เหยียนหมิงซุ่นสนใจต่อกรรมการผู้คุมที่ยืนอยู่ด้านหลังของอู่เหมยได้สักพักใหญ่ๆ มุมปากของเขาปรากฏให้เห็นรอยยิ้มจางๆ
เหยียนหมิงซุ่นกระตุกยิ้มตรงมุมปากขึ้นเล็กน้อย และหันไปผิวปากให้กับนกระจอกสองตัวที่อยู่ข้างๆ เขา น่าเสียดายที่เจ้านกน้อยไม่สามารถรับรู้ได้ถึงความตื่นเต้นหรือดีอกดีใจของช่วงวัยเยาว์ ที่สามารถวิ่งเตลิดไปทั่วทุกทิศแม้แต่เงาหรือร่องรอยก็ไม่เหลือให้เห็น
…………………………………………………………………………………………..
ตอนที่ 342 ต้องได้รางวัลแน่นอน
ระยะเวลาของการแข่งขันคือหนึ่งชั่วโมงครึ่ง อู่เหมยใช้เวลาไปเพียงหนึ่งชั่วโมงก็วาดเสร็จ และเธอก็รู้สึกว่าดีมาก ที่ในเวลาอันน้อยนิดก็ทำได้สำเร็จ สายน้ำและภูเขา เธอไม่เคยวาดได้ลื่นไหลขนาดนี้มาก่อน เธอใช้เวลาที่เหลืออยู่นี้เหลือบมองผู้เข้าแข่งขันด้านข้าง ทุกคนกำลังจดจ่อกับการวาดรูปอยู่ ปลายจมูกเต็มไปด้วยเหงื่อเม็ดเล็กๆ ซึ่งบ่งบอกได้ว่าเด็กกลุ่มนี้มีความตั้งใจขนาดไหน
ใบหน้าของอู่เหมยขึ้นสีแดงระเรื่อ เธอเกิดรู้สึกละอายใจ หญิงสาววัยสามสิบกว่าปีอย่างเธอมาเข้าร่วมการแข่งขันนี้ จริงๆ แล้วมันดูเป็นการรังแกพวกเด็กกลุ่มนี้!
ต่อให้เธอชนะก็ไม่ได้ชนะอย่างห้าวหาญ!
อู่เหมยหันกลับมาปลอบใจตัวเอง เธอเองอายุมากกว่าแค่ยี่สิบกว่าปี หากพูดถึงระยะเวลาในการเรียนวาดรูปแล้ว เธอยังเทียบไม่ได้กับพวกเด็กๆ ที่เรียนมานานเลย หากคิดแบบนี้ถึงจะดูยุติธรรมขึ้นมาหน่อย!
เป็นอีกครั้งที่เธอตรวจดูภาพวาดอย่างละเอียด และนั่นก็ยิ่งทำให้เธอชอบมากขึ้น เมื่อครู่ที่เธอวาดภาพภาพนี้อยู่ เธอมีความรู้สึกเหมือนกับเลือดลมทั้งสองในกายทะลุเชื่อมหากันได้อย่างพูดไม่ออกบอกไม่ถูก แต่ถ้าหากให้เธอเริ่มลงมือวาดอีกครั้ง แน่นอนว่าอาจจะไม่ได้ให้ความรู้สึกแบบนี้ออกมา
อู่เหมยที่พึงพอใจต่อผลงานวาดของตัวเองก็ได้เขียนชื่อลงไปและยกมือขึ้นเพื่อจะส่งผลงานวาด ยังเหลือเวลาอีกยี่สิบกว่านาทีจะสิ้นสุดการแข่งขัน ทว่าเธอเป็นคนแรกที่ส่งภาพ กรรมการผู้คุมได้เดินเข้ามาเก็บภาพวาดของเธอไปและยังมองอู่เหมยอยู่พักหนึ่ง
เด็กคนนี้น่าตาดีใช้ได้ แถมยังวาดรูปสวยอีก ทั้งสวยทั้งมีพรสวรรค์ ผู้หญิงแบบนี้ถ้าอยากจะมีชื่อเสียงไม่ยากเลย!
อู่เหมยเดินออกมาจากห้องเรียน ทั้งจ้าวอิงหนานและทุกคนต่างพากันห้อมล้อมเข้ามาถามสารทุกข์สุขดิบ พ่อสยงก็ได้ถือลูกเกาลัดร้อนๆ มาด้วยหนึ่งถุง เขาเองเพิ่งไปซื้อมาจากร้านในตลาด ทั้งหอมและเหนียวแบบที่อู่เหมยชอบกิน
“ขอบคุณค่ะพ่อสยง!”
ในใจของอู่เหมยรู้สึกอบอุ่นเป็นอย่างมาก ทำให้ขอบตาของเธอมีน้ำตาคลอขึ้นมา ในเวลาแบบนี้มีคนคอยเป็นห่วงเป็นไยมันช่างรู้สึกดีจริงๆ ราวกับการอาบน้ำอยู่ภายใต้แสงแดดในฤดูหนาว ทั้งร่างดูอ่อนปวกเปียกไปหมด
พ่อสยงใช้มือลูบและแตะเบาๆ ที่หัวของยัยตัวแสบ เด็กคนนี้ช่างหัวอ่อนจริงๆ ก็แค่เกาลัดถุงเดียวต้องซาบซึ้งถึงขนาดนั้น ดูก็รู้ได้ว่าแต่ก่อนชีวิตของเธอขาดความรักขนาดไหน!
“อย่ากินเยอะเกินล่ะ เดี๋ยวจะถึงเวลาอาหารมื้อเที่ยงแล้ว วันนี้พวกเราไปทานข้าวที่ภัตตาคารจุ้ยเซียนกัน เถ้าแก่เนี้ยเลี้ยงเอง” พ่อสยงยิ้มตาหยีและพูดออกมา เถ้าแก่เนี้ยที่เขาพูดถึงมองเขาอย่างกระเง้ากระงอดด้วยความระอา ใบหน้าขึ้นสีแดงอมชมพู
ตั้งแต่อู่เหมยออกมาจากห้องเรียน จ้าวอิงหนานและคนอื่นๆ ไม่ได้ถามเธอเกี่ยวกับเรื่องการแข่งขันเลย แม้แต่คำเดียวก็ไม่ถามขึ้น และนั่นทำให้อู่เหมยทนไม่ได้และพูดขึ้นมาเอง “วันนี้หนูรู้สึกดีมากๆ เลย คิดว่าต้องได้รางวัลแน่ๆ”
จ้าวอิงหนานและคนอื่นๆ ต่างพากันนิ่งตะลึง พลางถอนหายใจอย่างโล่งใจและยิ้มให้ด้วยความพึงพอใจ สยงมู่มู่ยืดอกและตบอกอย่างเกินเบอร์ “โถ่เอ๊ย ถ้าอู่เหมยเธอรู้สึกดีทำไมไม่พูดให้เร็วกว่านี้ ทำเอาพี่ต้องแบกใจไว้ตั้งนาน อึดอัดแทบตาย!”
อู่เหมยมองไปทางจ้าวอิงหนาน ทั้งสองสามีภรรยาก็มีท่าทีไม่ต่างกัน
เธอจึงอดไม่ได้ที่จะพูดออกไป “พอฉันออกมาก็กินแต่เกาลัดนี่ จะให้เอาเวลาไหนมาพูดล่ะ? อีกอย่างทุกคนก็ไม่ถามนี่!”
จ้าวอิงหนานใช้มือหยิกแก้มตุ่ยๆ ของอู่เหมยที่เต็มไปด้วยเกาลัดและหัวเราะออกมา “ดูปากเล็กๆ นี่แทบยัดเข้าไปไม่ได้แล้ว แน่นอนสิว่าถึงพูดอะไรออกมาไม่ได้!”
สยงมู่มู่ยับยั้งมือของตัวเองเอาไว้ รอยกัดที่อู่เหมยทำไว้ครั้งก่อนเพิ่งจะหายไปเอง แน่นอนว่าเขาไม่กล้าเข้าไปแหย่แม่เสือร้ายตัวนี้แน่
แต่แก้มตุ่ยๆ ของเธอมันช่างน่าหยิกเสียจริง!
เฮ่อเหวินจิ้งวิ่งเข้ามาด้วยความตื่นเต้น แม้ว่าต้องรอผลหลังการแข่งขันสิ้นสุดไปหลังจากนี้หนึ่งสัปดาห์ แต่เธอมีความสัมพันธ์กับคนภายในนี่นา หนึ่งในกรรมการที่รู้ข้อมูลเบื้องลึกนั้นคือคนที่เธอรู้จัก แค่เธอเข้าไปถามก็คงจะรู้คร่าวๆ ได้
“พี่หนาน พี่เขย อู่เหมยวาดรูปได้เยี่ยมมาก หากไม่พลาดละก็ ที่หนึ่งถึงที่สามต้องได้มาสักรางวัลแน่!”
คำพูดของเฮ่อเหวินจิ้งทำให้ทุกคนรู้สึกสบายใจขึ้น ทุกคนต่างพากันดีใจกับอู่เหมย เธอเริ่มเรียนวาดรูปได้เพียงแค่สองเดือนก็ได้รับรางวัลในการแข่งระดับเมืองแล้ว ไม่ง่ายเลยที่คนธรรมดาๆ จะทำได้
แต่ที่น่าตลกก็คงจะเป็นฝั่งอู่เจิ้งซือสองสามีภรรยานั่นที่เอาแต่เห็นกงจักรเป็นดอกบัว ทอดทิ้งและรังเกียจสิ่งล้ำค่า ที่พวกเขาทำเหมือนมันเป็นรองเท้าที่สึกหรอ ดูเถอะ ต่อไปพวกเขาจะต้องเสียใจ!
…………………………………………………………………………………………..
ตอนที่ 343 แม่เสือสาว
ทุกคนมุ่งหน้าไปยังภัตตาคารจุ้ยเซียน แต่เฮ่อเหวินจิ้งกลับปฏิเสธที่จะไป เธออ้างว่าจะต้องอยู่ต่อเพื่อทักทายผองเพื่อน จ้าวอิงหนานจึงไม่ได้บังคับฝืนใจเธอ แต่พูดประโยคหนึ่งออกมาอย่างสื่อความหมาย “มีเพื่อนบางคนที่เราควรจะทักทาย แต่กับเพื่อนบางคนเธออย่าสนใจเลยจะดีกว่า!”
สีหน้าของเฮ่อเหวินจิ้งเปลี่ยนไปเล็กน้อย เธอฝืนยิ้มออกมา “พี่หนานวางใจเถอะ ในเมื่อฉันรับปากพี่แล้ว แน่นอนว่าต้องทำให้ได้อย่างที่พูด”
จ้าวอิงหนานมองเธออยู่ครู่หนึ่ง แต่กลับไม่ได้พูดอะไรอีก อู่เหมยที่ได้ฟังก็เกิดความสงสัย นี่มันหลักสัจธรรมของลัทธิไหนกัน?
แต่เธอรู้ดี ว่าที่จ้าวอิงหนานพูดว่าเพื่อนบางคนก็อย่าไปสนใจ แน่นอนว่าเธอหมายถึงจี้เจี้ยนโป ตั้งแต่ที่จี้เจี้ยนโปอาละวาดกับคุณตาในครั้งนั้น อู่เจิ้งหงได้เปลี่ยนไปราวกับคนละคน จากที่เคยชอบใช้อำนาจบาตรใหญ่ ตอนนี้กลับเริ่มอ่อนโยนขึ้นมา แม้ว่าบุคลิกของเธอยากที่จะทำในสิ่งที่ดูเรียบร้อยอ่อนหวานได้นั้น แต่เมื่อเทียบกับแต่ก่อนแล้ว เธอดีขึ้นมาเยอะมาก
ในช่วงนั้นที่เฮ่อเหวินจิ้งกลับไปทำงานที่ห้องเรียนเยาวชน อู่เจิ้งหงไม่เคยมาอาละวาดเลยแม้แต่ครั้งเดียว ชีวิตในทุกๆ วันยังคงเป็นปกติสุขราวกับไม่เคยเกิดเรื่องอะไรขึ้น และนั่นทำให้อู่เหมยรู้สึกว่าเธอโชคดี แต่เธอก็ยังไม่อยากจะเชื่อว่าเรื่องทั้งหมดจะจบแบบนี้
สยงมู่มู่พูดขึ้นเบาๆ ที่ข้างหูของอู่เหมย “หลังจากหมดเทศกาลวันปีใหม่ น้าจิ้งต้องกลับเมืองหลวงแล้ว แม่ฉันออกคำสั่งให้เธอกลับไป”
อู่เหมยรู้สึกเสียดายเล็กน้อย เพราะเธอเองก็ชอบครูอยู่ไม่น้อย หากต่อไปเฮ่อเหวินจิ้งกลับเมืองหลวงไปแล้ว ไม่รู้เลยว่าเธอจะต้องเรียนวาดรูปกับใคร?
ครูคนใหม่ก็ไม่รู้ว่าจะดีเหมือนกับครูเฮ่อไหม?
แต่ถึงอย่างไรเธอเองก็ดีใจแทนเฮ่อเหวินจิ้ง เวลาและระยะทางจะเป็นน้ำล้างใจที่ดีที่สุดและจะช่วยให้ลืมได้ เฮ่อเหวินจิ้งห่างกับจี้เจี้ยนโปหลายปีโดยไม่ได้เจอกัน พอเธอได้รู้จักกับเพื่อนใหม่ ต่อให้ความสัมพันธ์จะลึกซึ้งแค่ไหนก็คงจะค่อยๆลืมได้
“เธออย่ากังวลเรื่องของครูเลย น้าจิ้งบอกว่าจะแนะนำครูให้เธอ อาจจะดีกว่าเธอ และเก่งกว่าตัวเธอร้อยเท่า” สยงมู่มู่พูด
อู่เหมยมองเขาอย่างเอือมๆ และพูดอย่างโมโห “ก็ฉันชอบครูเฮ่อ ครูคนอื่นฉันคงชอบไม่ได้”
เฮ่อเหวินจิ้งคือครูคนแรกที่ชมว่าเธอมีพรสวรรค์ ลมปากของครูคนอื่นๆ ก็คงจะมีแต่ว่าเธอว่า ’โง่แบบมีพรสวรรค์’ เฮ่อเหวินจิ้งเป็นทั้งผู้ให้ความรู้และความเมตตากับเธอ ทั้งชีวิตนี้เธอจะไม่มีวันลืม สำหรับเธอแล้วเฮ่อเหวินจิ้งมีความหมายกับเธอมาก ครูคนอื่นยังเทียบไม่ได้เลย
อู่เหมยมองไปรอบทิศ เพื่อจะหาตัวของเหยียนหมิงซุ่น เธออยากจะแบ่งปันความรู้สึกดีๆ นี้ให้กับเหยียนหมิงซุ่น แต่คนเยอะเกินไปทำให้เธอหาเหยียนหมิงซุ่นไม่เจอ
“สยงมู่มู่ นายเห็นพี่หมิงซุ่นไหม?”
“เรียกพี่สิ ถ้าเรียกพี่ฉันจะบอกเธอ” สยงมู่มู่เชิดหน้าขึ้น
อู่เหมยได้แต่ด่าเขาในใจ แต่ก็จำยอมเรียกเขาว่า ‘พี่’
สยงมู่มู่ยกยิ้มอย่างได้ใจ เขาชอบที่จะให้ยัยแสบนี่เรียกตัวเองว่าพี่ ช่างไพเราะเสนาะหูเหลือเกิน!
“ไม่เห็น ฉันไปดูว่าพ่อทำอะไรตรงนั้นดีกว่า?” สยงมู่มู่ส่งเสียงพึงพอใจออกทางจมูก และทำหน้านิ่ง
อู่เหมยโมโหเป็นอย่างมากจึงได้ยกเท้าขึ้นเหยียบเขา ไอ้บ้านี่กล้าดียังไงมาหลอกเธอ เหยียบให้ตายเลย!
สยงมู่มู่ร้องเสียงหลง ต้องยกเท้าหลบไปมา และจ้องอู่เหมยด้วยความโกรธ อู่เหมยเองก็จ้องเขาตาเขม็ง แต่สายตากลับจดจ่อไปที่ด้านหลังของเขาที่มีเหยียนหมิงซุ่น โดยไม่สนใจสยงมู่มู่แม้แต่น้อย เธอเลือกที่จะวิ่งฝ่าคนกลุ่มนั้นไป
“ยัยบ้านี่ขอโทษสักคำก็ไม่มี โถ่เอ๊ย แม่ครับ ยัยบ้าอู่เหมยนี่นับวันยิ่งเหมือนแม่ไม่มีผิด!” สยงมู่มู่ตะโกนออกไปอย่างโกรธเคือง เท้าเขาต้องแล้วบวมแน่ๆ
จ้าวอิงหนานยกมือขึ้นมาตบหัวลูกชายเขาหนึ่งที แต่สายตากลับจับจ้องไปที่อู่เหมยและเหยียนหมิงซุ่น พลางถามด้วยความสงสัย “ทำไมเหยียนหมิงซุ่นถึงมาได้ล่ะ? แล้วอู่เหมยสนิทกับเขาเหรอ?”
สยงมู่มู่ที่โดนฝ่ามือพิฆาตของแม่ตัวเองไป จึงตอบด้วยความโมโห “ถ้าไม่สนิทจะมาได้เหรอ?”
อู่เหมยเงยหน้าขึ้นยิ้มหวานให้กับเหยียนหมิงซุ่น เหยียนหมิซุ่นเองจากที่เคยเย็นชา เขายกยิ้มมุมปากเล็กน้อย มองดูแล้วทำให้รู้สึกอบอุ่นขึ้นมามาก
…………………………………………………………………………………………..
ตอนที่ 344 ชอบความรู้สึกตอนป้อนให้
อู่เหมยพูดขึ้นอย่างดีใจ “พี่หมิงซุ่น ครูเฮ่อบอกว่าฉันต้องได้ที่หนึ่งถึงที่สามแน่ๆ”
“เก่งมาก ปีหน้าอู่เหมยก็สามารถเป็นตัวแทนของเมืองจินเข้าไปแข่งระดับประเทศที่เมืองหลวงแล้ว”
เหยียนหมิงซุ่นแกะลูกเกาลัดหวานๆ และป้อนให้กับอู่เหมย ช่วงนี้เขาชอบที่จะป้อนให้คนตัวแสบบางคน เพราะรู้สึกว่ามันน่าสนใจเสียยิ่งกว่าการป้อนอาหารให้แมวแก่ๆ ที่บ้าน
อู่เหมยพยักหน้ารับและกินเกาลัดอย่างสบายใจ แถมยังแกะเกาลัดเม็ดหนึ่งยื่นให้กับเยียนหมิงซุ่น “พี่หมิงซุ่นก็กินด้วยสิคะ เกาลัดนี้คุณพ่อสยงเป็นคนซื้อมา อร่อยมากเลย ทั้งหวานทั้งมัน”
เหยียนหมิงซุ่นจึงกินเกาลัดจากมือของอู่เหมย แท้จริงแล้วเขาไม่ค่อยชอบกินพวกขนมหรือของกินเล่นสักเท่าไหร่ แต่เม็ดเกาลัดที่ยัยแสบนี่แกะให้รสชาติถือว่าใช้ได้ หอมอย่างเต็มคำ
อู่เหมยรู้สึกร้อนๆ ที่ปลายนิ้วมือ เหมือนว่าเมื่อครู่ปากของเหยียนหมิงซุ่นจะสัมผัสโดนปลายนิ้ว เธอแหงนหน้ามองอย่างตะลึง เหยียนหมิงเองก็ค่อยๆ เคี้ยวเม็ดเกาลัด ลูกกระเดือกขยับขึ้นลงตามจังหวะของการเคี้ยว ช่างดูมีเสน่ห์ ช่างน่าดึงดูด!
ปากและคอรู้สึกแห้งผาก อู่เหมยจึงพยายามกลืนน้ำลายลงไป ฝืนบังคับตัวเองให้ก้มหน้าลง เธอจะมองต่อไม่ได้ ถ้าดูต่อไปเธอคงได้หน้าแตกเป็นแน่
เมื่อเหยียนหมิงซุ่นเห็นท่าทีซื่อๆ บื้อๆ ของยัยตัวแสบก็อดขำไม่ได้ และไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงเอาแต่ก้มหน้าก้มตาอย่างไม่มีสาเหตุ เขาน่ากลัวขนาดนั้นเชียวหรือ?
โธ่เพื่อน ยัยตัวแสบของนายแค่กังวลว่าตัวเธอเองจะทนไม่ได้ต่อความมีเสน่ห์ แล้วกลายร่างเป็นหมาป่าแล้วกระโจนเข้าหาเขาจนล้มต่างหาก
เหยียนหมิงซุ่นมองไปทางจ้าวอิงหนานและคนอื่นๆ เขาจึงเคาะเบาๆ ที่หัวของอู่เหมยและพูดขึ้น “รีบไปเถอะ พวกแม่เขารอเธอนานแล้ว”
อู่เหมยได้แต่พยักหน้ารับ และแกะเม็ดเกาลัดอีกหนึ่งลูกยื่นให้เหยียนหมิงซุ่น “พี่หมิงซุ่นคะ ฉันไปก่อนนะ พี่อย่าลืมพาฉันไปหาของในที่ดีๆ ล่ะ!”
เมื่อเห็นเหยียนหมิงซุ่นพยักหน้า อู่เหมยถึงได้วางใจและวิ่งไปทางฝั่งจ้าวอิงหนาน ไม่นานพวกเขาก็ออกไปจากที่นั่น
เหยียนหมิงซุ่นยกยิ้มมุมปาก ยัดลูกเกาลัดที่อยู่ในมือเข้าปาก แต่กลับรู้สึกว่าเกาลัดเม็ดนี้รสชาติไม่ได้อร่อยเท่าก่อนหน้า เขาเคี้ยวไปไม่กี่ครั้งก็กลืนมันลงไป และเดินออกไปจากห้องเรียนเยาวชน
ครั้งนี้ที่อู่เหมยออกมาร่วมการแข่งขันได้ ทั้งหมดเป็นเพราะจ้าวอิงหนานช่วยเธอโกหก บอกว่าที่บ้านของเธอจะพาอู่เหมยออกไปเที่ยวด้วย เป็นธรรมดาที่อู่เจิ้งซือจะไม่ออกความเห็นใดๆ อู่เหมยและพวกเขาต่างพากันกินข้าวที่ภัตตาคารจุ้ยเซียนอย่างอิ่มหนำสำราญ แต่เหอปี้อวิ๋นกลับยุ่งวุ่นวายอยู่ตรงระเบียง เพราะอู่เจิ้งซือไม่ค่อยจะสนใจเธอสักเท่าไหร่ เหอปี้อวิ๋นเองอยากจะทำอาหารสักสองสามอย่างเพื่อเอาใจสามี แต่พอไม่มีอู่เหมยคอยเป็นลูกมือแบบนี้ ทำให้เหอปี้อวิ๋นจึงยุ่งจนหัวหมุน
ไม่ง่ายเลยกว่าจะทำอาหารมื้อใหญ่เสร็จ ในใจของเหอปี้อวิ๋นเต็มไปด้วยความหวังที่อยากจะให้อู่เจิ้งซือชื่นชมเธอ แต่ถึงอย่างไรฝีมือการทำอาหารของเธอก็แย่กว่าอู่เหมยเป็นเท่าตัว หน้าตาของอาหารก็ไม่ค่อยจะดูดี รสชาติก็ไม่ได้แย่มาก แต่กลับไม่สามารถดึงดูดอู่เจิ้งซือได้
“คุณอู่ ลองชิมปลากระพงนึ่งดูสิคะ คุณชอบทานปลามากไม่ใช่เหรอ?”
เหอปี้อวิ๋นคอยเอาอกเอาใจโดยการคีบเนื้อปลาตรงส่วนท้องให้กับอู่เจิ้งซือ โดยปกติแล้วเนื้อพวกนี้จะเป็นของที่อู่เยวี่ยต้องได้รับ เพราะขนาดอู่เจิ้งซือเองยังมีน้อยครั้งที่จะได้กิน อู่เจิ้งซือคีบเนื้อเข้าปาก เคี้ยวไปได้ไม่กี่ครั้ง หัวคิ้วก็ผูกกันเป็นปม ไม่นานมานี้อู่เหมยเพิ่งจะทำปลากระพงนึ่งให้เขากิน แต่รสชาติดีกว่าที่เหอปี้อวิ๋นทำมาก
ทั้งสดทั้งนุ่ม และยังไม่มีกลิ่นคาวของปลาด้วย คงจะเป็นเพราะเหอปี้อวิ๋นไม่ได้ล้างปลาให้สะอาด อีกเธอคงจะใช้เวลานึ่งนานไปหน่อย เพราะทำให้เนื้อแข็งและมีกลิ่นคาวอ่อนๆ หากไม่มีการเปรียบเทียบก็จะไม่มีความเจ็บปวด พอได้ลิ้มรสปลากระพงนึ่งของอู่เหมยมาก่อน อู่เจิ้งซือจึงไม่ได้ให้ความสนใจต่อปลากระพงตรงหน้าเขาแม้แต่น้อย
จริงๆ แล้วอู่เจิ้งซือไม่เคยรังเกียจอาหารของเหอปี้อวิ๋นเลย เป็นเพราะรสชาติในใจของเขาไม่เคยถูกดึงออกมา ยิ่งแต่ก่อนกินรสมือเธอมาเป็นสิบกว่าปี จะให้รสชาติเปลี่ยนไปในชั่วข้ามคืนได้อย่างไร แต่สาเหตุหลักเป็นเพราะเขาเบื่อเหอปี้อวิ๋นนั่นเอง!
…………………………………………………………………………………………..
ตอนที่ 345 พ่อกินไก่ขอทาน
อู่เจิ้งซือกินเนื้อปลาไปแค่คำเดียวก็ไม่กินอีกเลย ในใจของเหอปี้อวิ๋นมีแต่ความขมขื่น เธอยืนนิ่งไม่พูดอะไรออกมาสักคำ อู่เจิ้งซือก็ยังคงเฉยชา ในหลายต่อหลายครั้งที่เธออยากจะระเบิดอารมณ์ออกมา แต่พอนึกถึงคำพูดของแม่ เธอจำต้องกัดฟันอดทนต่อไป
เมื่ออำนาจในการดูแลบ้านไม่ได้อยู่ในมือ เธอจึงทำได้เพียงแค่อดทนรอให้เงินอยู่ในมือเธอแล้วค่อยว่ากัน เหอปี้อวิ๋นยิ้มพลางเธอคีบหมูน้ำแดงขึ้นมาหนึ่งชิ้นแล้ววางไว้ในจานของอู่เจิ้งซือ “นี่คือหมูสามชั้นสดมากๆ ที่ฉันไปซื้อมาจากตลาดในตอนเช้า คุณอู่ลองทานดูสิ”
อู่เจิ้งซือมองเหอปี้อวิ๋นแค่แวบเดียว และหัวเราะเยาะกับตัวเอง ในใจของเหอปี้อวิ๋นคิดอะไรอยู่เขารู้ดีหมดทุกอย่าง ทำไปเพราะหวังอยากจะได้เงินเดือนของเขาคืนไม่ใช่หรือ?
เหอะ! ฝันไปเถอะ!
ชีวิตนี้เขาจะไม่มีทางยกเงินเดือนให้กับผู้หญิงคนนี้อีกแล้ว แน่นอนว่าเขาคงไม่หย่า แต่เงินเขาก็ไม่ให้เช่นกัน สำหรับผู้หญิงที่หักหลังเขา และยังเป็นผู้หญิงที่คิดร้ายต่อเขา ความอ่อนโยนที่อู่เจิ้งซือเคยมีให้ได้จางหายไปหมดแล้ว หลงเหลืออยู่เพียงแต่ความแค้นเคือง
อู่เยวี่ยมองเห็นความหงุดหงิดของอู่เจิ้งซือ เธอรู้สึกว่าหลังจากที่อู่เจิ้งซือบาดเจ็บตอนนั้น เขาปฏิบัติต่อเหอปี้อวิ๋นต่างไปจากเดิมมาก และนั่นก็ทำให้เธอกระวนกระวายใจ และความว้าวุ่นใจนี้ทำให้อู่เยวี่ยเกิดความสับสน
“พ่อคะ หมูน้ำแดงที่แม่ทำวันนี้อร่อยมากเลย พ่อลองชิมดูสิคะ!”
อู่เยวี่ยยิ้มกว้างออกมา ยัดเนื้อคำโตๆ ที่ติดมันเข้าปากและกลืนลงไปและกินอย่างเอร็ดอร่อย แต่แท้จริงแล้วเธอรู้สึกสะอิดสะเอียนจนแทบทนไม่ไหว น้ำมันที่อยู่ในมันหมูพออยู่ในปากกลับทะลักออกมาไม่หยุด จนให้ความรู้สึกเหมือนเสียดกับลำคอของเธอ เธอไม่รู้สึกถึงรสชาติของความอร่อยของหมูน้ำแดงเลยแม้แต่น้อย แต่กลับต้องแสดงออกมาว่าอร่อย นั่นทำให้อู่เยวี่ยรู้สึกกล้ำกลืนฝืนทน
แม้ว่าอู่เจิ้งซือเองจะรู้สึกผิดหวังต่อตัวอู่เยวี่ยไปบ้าง แต่ถึงอย่างไรเธอก็เป็นลูกสาวแท้ๆ ของเขา เป็นธรรมดาที่จะให้อภัยต่ออู่เยวี่ยได้ เพื่อเป็นการไว้หน้าต่อเหอปี้อวิ๋น เขาจึงกินหมูน้ำแดงชิ้นนั้นเข้าไป และนั่นทำให้เหอปี้อวิ๋นโล่งใจขึ้นมา ถึงได้หันไปสบตากับอู่เยวี่ย
“คุณอู่ลองทานกระดูกหมูนี่ด้วยนะ แล้วดูสิ คุณผอมลงไปมาก ต้องกินของดีๆ เพื่อบำรุงบ้างนะคะ”
เหอปี้อวิ๋นเองอยากจะเอาใจเขาเพื่อให้คืนดีกัน เธอจึงไม่ได้ใส่ใจที่จะกินมากนัก เอาแต่ประจบอู่เจิ้งซือ อู่เยวี่ยเองก็คอยช่วยพูดจาหยอกล้อ ทำให้ใบหน้าของอู่เจิ้งซือปรากฏรอยยิ้ม บรรยากาศก็เริ่มดีขึ้นมาก
“พ่อคะ หนูกลับมาแล้ว”
อู่เหมยวิ่งเข้ามาในบ้านอย่างตื่นเต้น ในมือได้ถือถุงที่ห่อกระดาษน้ำมันไว้ กลิ่นหอมที่ลอยออกมาจากกระดาษช่างน่าดึงดูด อย่าว่าแต่อู่เจิ้งซือเลย ขนาดเหอปี้อวิ๋นและอู่เยวี่ยเองก็ยังถูกกลิ่นหอมยั่วยวนจนน้ำลายแทบหก
“พ่อคะ หนูซื้อไก่ขอทานมาให้พ่อตัวหนึ่งค่ะ จากภัตตาคารจุ้ยเซียนเลยนะ!”
ถุงที่ห่อกระดาษน้ำมันวางไว้บนโต๊ะและแกะห่อกระดาษออก กลิ่นหอมโชยมาแตะจมูก อู่เจิ้งซือดวงตาลุกวาว ไก่ขอทานของภัตตาคารจุ้ยเซียนถือเป็นอาหารขึ้นชื่อของประเทศ แน่นอนว่าราคาก็ไม่ธรรมดา
“เหมยเหมย เธอเอาเงินไหนมาซื้อไก่ขอทาน?” อู่เยวี่ยถามออกมาในสิ่งที่อู่เจิ้งซืออยากถาม
อู่เหมยไม่แม้แต่จะมองเธอ เธอหันไปยิ้มให้กับอู่เจิ้งซือและพูด “พ่อคะ วันนี้แม่ของสยงมู่มู่เป็นคนเลี้ยง พวกหนูไปทานข้าวกันที่ภัตตาคารจุ้ยเซียน แม่เขาเป็นคนสั่งให้หนูห่อกลับมาให้พ่อเพื่อแสดงความกตัญญูค่ะ พ่อรีบกินตอนร้อนๆ สิคะ”
แท้จริงแล้วอู่เหมยเป็นคนซื้อไก่ขอทานด้วยเงินของเธอเอง เพราะการแข่งขันเสร็จสิ้นเร็ว พวกเขาทานข้าวเสร็จยังไม่ถึงสิบเอ็ดโมงด้วยซ้ำ จ้าวอิงหนานและพ่อสยงเองได้ขอตัวกลับบ้านไปก่อน อู่เหมยอยู่เล่นข้างนอกกับสยงมู่มู่ต่อสักพักถึงได้กลับมา แน่นอนว่าเธอได้ห่อไก่หลนใบบัวกลับมาสองตัว ตัวหนึ่งเอาไว้ให้ฉิวฉิว อีกห่อหนึ่งเอาไว้ติดสินบนต่ออู่เจิ้งซือ
อู่เจิ้งซือที่ได้รู้ว่าเป็นจ้าวอิงหนานให้มา ก็รู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างมาก แน่นอนว่าเขาไม่ได้ดีใจเพราะเขาได้กินไก่ขอทาน แต่ที่ดีใจที่ตำแหน่งในใจของจ้าวอิงหนานยังมีอู่เหมยอยู่ จ้าวอิงหนานออกไปข้างนอกยังไม่ลืมที่จะพาอู่เหมยออกไปด้วย อีกทั้งยังไม่ลืมครอบครัวของเขา แต่ทำให้เห็นถึงสิ่งที่จ้าวอิงหนานปฏิบัติกับอู่เหมยเหมือนเป็นลูกสาวคนสำคัญ
นั่นแหละถึงเป็นเหตุผลที่ทำให้อู่เจิ้งซือดีใจ!
…………………………………………………………………………………………..
ตอนที่ 346 จะต้องทำลายความภาคภูมิใจของอู่เยวี่ย
ไก่ขอทานของภัตตาคารจุ้ยเซียนมีรสชาติที่ดี โดยเฉพาะไก่ในยุคสมัยนี้เป็นไก่บ้านแท้ๆ คุณภาพเนื้อทั้งสดและนุ่ม กัดเข้าไปหอมนุ่มเต็มคำ อร่อยจนสามารถทำให้ลิ้นของคนเราเพี้ยนได้ เมื่อมีไก่หลนที่รสชาติดีจนเทียบไม่ติด อู่เจิ้งซือก็ไม่สนใจต่ออาหารทั้งโต๊ะที่เหอปี้อวิ๋นทำอีกเลย เขาเอาแต่กินไก่หลน
เหอปี้อวิ๋นรู้สึกใจเต้นอย่างเจ็บแปลบขึ้นมา จากตอนแรกที่ทุกอย่างกำลังไปได้ดี แต่ทั้งหมดกลับถูกยัยบ้าอู่เหมยทำลายลง เพราะในสายตาของอู่เจิ้งซือในตอนนี้มีเพียงแค่ไก่ขอทานตัวนั้น อาหารที่เธอทำเขาไม่แม้แต่จะชายตามองเลย
“คุณอู่อย่าเอาแต่กินไก่สิคะ กินน้ำซุปด้วยนะ!”
เหอปี้อวิ๋นตักน้ำซุปถ้วยหนึ่ง ยื่นไปให้อู่เจิ้งซือ ใบหน้าของเธอยิ้มแย้มอย่างฝืนทน ตัวเธอเองไม่ได้เป็นผู้หญิงที่อ่อนโยนเพียบพร้อม เพราะไม่เช่นนั้นเธอคงไม่คิดจะเอาที่ทับกระดาษมาตีหัวอู่เจิ้งซือ หลายต่อหลายครั้งแล้วที่อู่เจิ้งซือไม่ไว้หน้าเธอ นั่นจึงทำให้เธอระเบิดอารมณ์ออกมาจากความอดทนในเส้นแบ่งเขตที่มีอยู่
อู่เหมยเหลือบมองแวบเดียวและหัวเราะออกมา “พ่อคะ น้ำซุปเย็นหมดแล้ว หนูเอาไปอุ่นให้นะคะ!”
เธอพูดจบก็ยกถ้วยน้ำซุปเดินออกไปนอกระเบียง และเทน้ำซุปถ้วยนั้นกลับไปในหม้อ ซึ่งน้ำซุปเป็นถ้วยเดียวกับที่เหอปี้อวิ๋นตักเอง อู่เจิ้งซือไม่ได้รู้สึกถึงความผิดปกติใดๆ แต่เหอปี้อวิ๋นกลับรู้สึกโมโหมาก เธอรู้ดีว่ายัยเด็กนี่มีเจตนาอะไรและตั้งใจจะทำลายความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับอู่เจิ้งซือ
อู่เยวี่ยมองออกว่าเหอปี้อวิ๋นเริ่มจะทนไม่ไหว เธอจึงหันไปส่ายหน้าไปมาส่งให้กับเหอปี้อวิ๋น เพื่อเตือนไม่ให้เธอทำอะไรวู่วาม เหอปี้อวิ๋นเองก็นึกถึงคำพูดของแม่ตัวเองขึ้นมาได้ เธอพยายามสูดหายใจเข้าลึกๆ และค่อยๆ กลืนความโมโหลงไป
อู่เจิ้งซือปฏิบัติต่อเธอราวกับคลื่นใต้น้ำที่ไร้ความรู้สึก เขาฉีกเนื้อไก่ตรงส่วนน่องแล้วยกให้อู่เยวี่ย “เยวี่ยเยวี่ยกินน่องไก่สิ รสชาติดีมากๆ เลยนะ”
“ขอบคุณค่ะพ่อ”
อู่เยวี่ยไม่ได้อยากกินไก่ เพราะไก่ขอทานนี้เป็นของที่อู่เหมยห่อกลับมา อีกทั้งเป็นไก่ที่จ้าวอิงหนานซื้อให้กับอู่เหมย และต่อให้เป็นของที่หาได้ยากขนาดไหนเธอก็กินไม่ลง
เพียงแต่ชั้นเชิงการเอาตัวรอดของเธอสูงกว่าเหอปี้อวิ๋น ต่อให้เบื่อหน่ายก็ต้องกินอย่างเอร็ดอร่อย เธอพูดชมออกมาและยังตะโกนพูดขอบคุณอู่เหมยที่อยู่ตรงระเบียง “เหมยเหมย พี่ฝากขอบคุณครูจ้าวด้วยนะ!”
อู่เหมยคิ้วผูกกันแน่นเป็นปม เธอรู้สึกว่าอู่เยวี่ยเปลี่ยนไป เปลี่ยนไปมากจนทำให้มองไม่ออกว่าเธอเป็นคนแบบไหน ต่อให้เธอพูดอะไร อู่เยวี่ยไม่เคยแสดงออกถึงความรู้สึกใดๆ ทางสีหน้าเลย มีเพียงแค่รอยยิ้มแสนอ่อนโยนที่ทำให้คนคิดไม่ตก
ลักษณะของอู่เยวี่ยเหมือนกับเธอตอนที่โตแล้วไม่มีผิด เพียงแต่อู่เยวี่ยในตอนนั้นได้โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว แต่ตอนนี้เธอมีอายุเพียงสิบสี่ปี คงไม่ได้เป็นเพราะผลกระทบที่เกิดขึ้นติดต่อกันไม่กี่ครั้ง ได้ทำให้อู่เยวี่ยโตเร็วขึ้นกว่าเดิมหรอกใช่ไหม?
อู่เหมยคิดว่าเป็นเช่นนั้น เธอจึงเอาแต่เงียบไป อายุแค่สิบสี่ปีจะมีชั้นเชิงขนาดนั้นเลยหรือ ยิ่งต่อไปถ้าเธอโตขึ้นไม่รู้ว่าจะต้องรับมือกับเธอยากขนาดไหน!
ดังนั้นเธอจะต้องถือจังหวะและโอกาสนี้ทำลายความภาคภูมิใจทั้งหมดของอู่เยวี่ยที่มีอยู่ คนคนหนึ่งต่อให้ฉลาดแค่ไหน หากขาดความเชื่อมั่นและภาคภูมิใจในตัวเองไปแล้ว ก็ไม่สามารถดิ้นรนอะไรออกมาได้
อู่เหมยนำซุปกระดูกหมูที่อุ่นเสร็จเทใส่ถ้วยไว้ และเดินไปยังฝั่งอู่เจิ้งซืออย่างยิ้มแย้ม พร้อมกับพูดขึ้น “พ่อรีบกินเถอะค่ะ หนูอุ่นซุปมาให้แล้ว แม่ใส่กระดูกน้อยไป แต่ใส่หัวไชเท้าเยอะเกิน ทำให้น้ำซุปเสียรสชาติ พ่อก็กินๆ ไปก่อนเถอะนะคะ”
เหอปี้อวิ๋นรู้ตัวว่าเริ่มทนต่อไปไม่ไหวแล้ว ไม่อย่างนั้นยัยเด็กบ้านี่จะพูดอะไรออกมาอีกก็ไม่รู้!
“หน้าหนาวต้องกินหัวไชเท้า หน้าร้อนต้องกินขิงสด ตอนนี้ในฤดูแบบนี้กินหัวไชเท้าย่อมดีต่อร่างกาย อู่เหมยแกไม่เข้าใจอะไรก็อย่าพูดมั่วๆ หน่อยเลย!” เหอปี้อวิ๋นใช้เสียงต่ำพูดตำหนิ
แน่นอนว่าเธอไม่อาจจะยอมรับออกมาได้ว่าไม่กล้าซื้อกระดูกหมู ในเดือนๆ หนึ่งเงินเดือนก็มีอยู่แค่นั้น จะให้กินเนื้อกินปลาทุกวันหรือ จะทำแบบนั้นได้อย่างไร?
อู่เจิ้งซือเหลือบมองในถ้วยน้ำซุป ซึ่งมีกระดูกหมูอยู่แค่ไม่กี่ชิ้น แต่ทั้งถ้วยเต็มไปด้วยหัวไชเท้า บนผิวน้ำซุปไม่มีแม้แต่คราบของหยดน้ำมันที่ลอยขึ้น ในเวลานี้จึงทำให้เขาไม่มีความอยากอาหาร อีกอย่างคือเขาได้กินไก่ขอทานอิ่มแล้วด้วย
“หัวไชเท้านี่เธอเก็บไว้ค่อยๆ กินเองเถอะ!”
อู่เจิ้งซือลุกขึ้นและเดินกลับเข้าห้องไป ไก่ขอทานก็ถูกเขากินไปแล้วครึ่งตัว และยังเหลือน่องไก่อีกครึ่งหนึ่งไว้ให้อู่เหมย อู่เหมยถือจังหวะที่เหอปี้อวิ๋นวางตะเกียบลง เพื่อที่จะได้กินน่องไก่อย่างรวดเร็ว เธอกัดกินคำโตๆ ทีละคำ
…………………………………………………………………………………………..
ตอนที่ 347 ฉิวฉิวเกือบถูกจับได้
อู่เหมยกินไก่ครึ่งตัวที่เหลือไปจนหมดจนทำให้เรอออกมา และท้องเล็กๆ ของเธอก็ดูป่องๆ หากรวมกับไก่ครึ่งตัวที่กินในภัตตาคารจุ้ยเซียนตอนเที่ยง ก็เท่ากับว่าเธอกินไก่ไปแล้วทั้งตัว
ไม่อิ่มสิถึงจะแปลก!
กระเพราะของเธอยัดต่อไปไม่ได้แล้ว อู่เหมยกินเหลือแต่ส่วนหัวกับเท้าของไก่ เนื้อตรงส่วนตัวเธอกินเข้าไปหมดแล้ว จึงได้หันไปยิ้มตาหยีและพูดกับอู่เยวี่ย “พี่คะ อันนี้ให้พี่หมดเลย อร่อยมากเลยนะคะ”
อู่เยวี่ยข่มอารมณ์โกรธเอาไว้ และมองไปยังด้านบนของกระดาษน้ำมันที่หลงเหลือแต่เศษส่วนหัวกับเท้าไก่ เธอหยิบขึ้นมาแทะมันพร้อมทั้งพูดขึ้น “อร่อยจริงๆ ด้วย ขอบใจนะอู่เหมย”
อู่เหมยเตือนสติตัวเอง ปรับเปลี่ยนความคิดในฉับพลัน เธอแสร้งทำเป็นห่วงใยและถามขึ้น “พี่ใกล้จะถึงช่วงสอบรายเดือนแล้วใช่ไหมคะ? พี่อย่าตื่นเต้นเกินไปล่ะ ต่อให้สอบได้แย่บ้างก็ไม่เป็นไรหรอก คุณปู่เองก็ไม่ได้ต้องการให้พี่สอบให้ได้ที่หนึ่งอยู่แล้ว!”
เหอปี้อวิ๋นทนเก็บอารมณ์โกรธไม่อยู่จึงตำหนิออกมา “แกพูดบ้าอะไร พี่แกต้องสอบได้ที่หนึ่งอยู่แล้ว ยังไม่รีบเอากับข้าวไปเก็บอีก!”
อู่เหมยเบะปากอย่างไม่สนใจเหอปี้อวิ๋น และเดินกลับไปยังห้องของตัวเอง ในตอนนี้ขนาดอู่เจิ้งซือเองยังไม่อยากจะเห็นหน้าผู้หญิงคนนี้เลย แล้วเธอจำเป็นต้องสนใจด้วยหรือ?
อู่เยวี่ยพยายามสัมผัสเหอปี้อวิ๋นที่กำลังโกรธเป็นฟืนเป็นไฟอย่างเบาๆ พลันชี้ไปยังห้องที่มีอู่เจิ้งซืออยู่ พร้อมทั้งส่ายหน้าเป็นเชิง เพื่อให้เหอปี้อวิ๋นใจเย็นและไม่วู่วาม แม้ว่าตัวเธอเองจะโกรธมากก็ตาม แต่ในตอนนี้พวกเธอทำได้เพียงแค่อดทน จะบุ่มบ่ามปะทะกับอู่เหมยอย่างโจ่งแจ้งไม่ได้
ภายในห้องมีฉิวฉิวที่กำลังนอนแทะไก่หลนใบบัวอยู่ ฉิวฉิวที่โตขึ้นมาเล็กน้อย แต่ต่อมรับอาหารของมันกลับไม่ได้น้อยตาม ไก่หนึ่งตัวที่มีขนาดใหญ่กว่าตัวของมัน มันยังสามารถกินเข้าไปได้อย่างเกลี้ยงเกลา แม้แต่กระดูกก็ไม่เหลือ
“แกดูขนบนตัวแกสิ มันไปหมดแล้ว พี่จะอาบน้ำให้แกเอง!”
อู่เหมยมองดูขนมันๆ บนตัวของฉิวฉิวอย่างไม่ชอบใจ เธอจึงรีบวิ่งออกไปตวงน้ำหนึ่งกะละมังเข้ามาในห้องเพื่อเตรียมอาบน้ำให้กับฉิวฉิว เพราะคืนนี้เธอจะต้องรบกวนให้คุณชายฉิวไปพรมน้ำหอมให้กับอู่เยวี่ย!
เป็นเพราะใกล้จะถึงช่วงสอบประจำเดือนนี้แล้ว!
อู่เยวี่ยเดินออกจากห้องมา เป็นจังหวะเดียวกับที่เห็นอู่เหมยกำลังยกน้ำเดินเข้าไปในห้อง เธอเกิดรู้สึกถึงความไม่สบายใจและอดไม่ได้ที่จะมองเข้าไปยังห้องของอู่เหมย แอบอยู่ตรงหน้าประตู และนั่นเป็นการกระทำภายใต้จิตสำนัก แต่นั่นกลับทำให้เธอได้ยินเสียงของอู่เหมยกำลังพูดกับใครบางคนจากในห้อง
“ฉิวฉิวเป็นเด็กดี เราจะอาบน้ำให้ตัวหอมๆ แบบนั้นถึงจะทำให้มีกระรอกตัวเมียสวยๆ เข้ามาชอบแก!”
อู่เหมยเกลี้ยกล่อมคุณชายฉิวเสียงเบา เจ้าแสบไม่ชอบอาบน้ำเลยสักนิด ทุกครั้งที่อาบน้ำจะต้องพูดจาดีๆ ด้วย และมีเพียงแค่คำพูดแบบนี้ที่จะทำให้มันยอมได้ ขนาดลูกกวาดอร่อยๆ ยังไม่สามารถทำให้คุณชายฉิวยอมได้
อู่เยวี่ยทำเป็นหูตั้ง แต่ก็ได้ยินไม่ชัดว่าเธอพูดอะไรกันแน่ เธอกำลังเตรียมจะผลักประตูเข้าไปดูให้แน่ชัด แต่ประตูด้านในกลับถูกดึงเปิดออก อู่เหมยยืนอยู่หน้าประตูและมองเธออย่างเย็นชา “พี่มาทำอะไรหน้าประตูห้องของฉัน? จะมาขโมยของอีกเหรอ?”
“ฉันแค่จะเข้ามาคุยกับเธอก็เท่านั้น อู่เหมยเธออย่าพูดจาไม่น่าฟังแบบนี้สิ เราสองคนเป็นพี่น้องกันแท้ๆ!”
อู่เยวี่ยพูดจาดีอย่างมีกริยาท่าทาง สายตาเธอสอดส่องเข้าไปในห้องตลอดเวลา แต่ในห้องกลับไม่มีใครอยู่ และกะละมังที่ใส่น้ำใบนั้นก็วางอยู่บนโต๊ะ
“เหมยเหมยเธอเอาน้ำมาทำอะไร?” อู่เยวี่ยอดไม่ได้ที่จะถาม
“ฉันเอามาเช็ดโต๊ะ ทำไมเหรอ พี่อยากช่วยฉันเช็ดเหรอ?” อู่เหมยใช้มือทั้งสองข้างกอดอกไว้ และมองอู่เยวี่ยอย่างเยาะเย้ย
แน่นอนว่าอู่เยวี่ยไม่มีทางจะช่วยเธอเช็ดโต๊ะ ขนาดโต๊ะของเธอเองยังต้องให้เหอปี้อวิ๋นเป็นคนเช็ดให้ เธอชักแม่น้ำทั้งห้ามาพูดได้สักพักก็ทนไม่ได้ จึงต้องกลับห้องตัวเองไป อู่เหมยคุยกับใครกันแน่?
อู่เหมยรู้สึกโล่งใจมาก โชคดีที่หูของฉิวฉิวดีมากราวกับหูทิพย์ ไม่เช่นนั้นอู่เยวี่ยต้องเจอตัวฉิวฉิวแน่ อันตรายมาก!
…………………………………………………………………………………………..
ตอนที่ 348 ยินดีด้วย
หนึ่งสัปดาห์ต่อมา ผลของการแข่งขันวาดรูปออกมาแล้ว ไม่เกินคาดจากที่เฮ่อเหวินจิ้งเดาไว้ อู่เหมยได้คะแนนดีจนได้รางวัลชนะเลิศอันดับสอง อันดับที่หนึ่งและสามต่างตกเป็นของนักวาดมืออาชีพที่มีประสบการณ์มากกว่าสิบปี อู่เหมยเองถือว่าเป็นม้ามืดเลยล่ะ หลายๆ คนต่างก็อยากรู้ว่าคนที่ได้รางวัลอันดับสองเป็นลูกศิษย์คนเก่งของใคร
จริงๆ แล้วโอกาสที่อู่เหมยจะได้รางวัลที่สองมีอยู่สูงมาก ในช่วงที่ตัดสินลำดับ ผู้คุมแข่งต่างแบ่งความเห็นออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรกคัดค้านที่จะให้อู่เหมยได้ตำแหน่ง แต่อีกกลุ่มหนึ่งกลับสนับสนุนให้อู่เหมยได้รับรางวัล
เหตุผลที่คัดค้านเป็นเพราะลายเส้นของอู่เหมยดูเกินวัย แค่ดูก็รู้ว่าเป็นบุคคลที่เรียนวาดรูปมาได้ไม่นาน ส่วนอีกกลุ่มที่สนับสนุนอู่เหมยบอกว่าอู่เหมมยมีไหวพริบดี ลายเส้นที่ใช้สามารถพัฒนาได้ แต่ไหวพริบนั้นคือสิ่งที่มีมาแต่กำเนิด หน่ออ่อนที่มีความสามารถจะต้องรักษาไว้ให้ดี
สำคัญที่สุดคือ ภาพวาดของอู่เหมยมีความเป็นเอกลักษณ์ ต่างจากผู้เข้าแข่งขันรายอื่นที่เอาแต่วาดในแบบเดิมๆ แม้ว่าลายเส้นจะดูถนัดและวาดออกมาได้สวย แต่ขาดความเป็นเอกลักษณ์ ซึ่งเห็นได้ชัดเจน
การลงความเห็นของผู้คุมทั้งหลายถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ เกือบจะทำให้ต้องทะเลาะกันขึ้นมา โชคดีที่มีผู้คุมที่มีประสบการณ์อย่างลึกซึ้งคนหนึ่งอยู่ฝั่งที่สนับสนุน ซึ่งผู้คุมคนนี้ก็คือเพื่อนคนนั้นของเฮ่อเหวินจิ้ง ตัวของเขาเองก็ชื่นชอบต่อภาพวาดของอู่เหมย และอีกอย่างก็เพราะเห็นแก่หน้าของเฮ่อเหวินจิ้งด้วย รางวัลที่สองที่อู่เหมยได้มาก็เพราะเหตุผลนี้
ที่อู่เหมยเข้าร่วมการแข่งขันไม่ใช่เพียงแค่อู่เจิ้งซือไม่รู้ ขนาดทางโรงเรียนเองก็ไม่รู้ จนเมื่อทางกระทรวงการศึกษาได้มอบเกียรติบัตรให้ ทางโรงเรียนทดลองถึงได้ทราบเรื่อง ฝั่งผู้อำนวยการดีใจจนยิ้มไม่หุบ และได้เข้าไปสอบถามต่อทางรองผู้อำนวยการว่าอู่เหมยเป็นใครมาจากไหน ทำไมถึงได้วาดรูปเก่ง ก่อนหน้านี้เธอต้องเคยเข้าร่วมการแข่งขันเล็กๆ น้อยๆ มาแล้วแน่ๆ เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีชื่อเสียงในโรงเรียนเลย
และก็เป็นเช่นนั้นจริง อู่เหมยเธอเป็นที่รู้จัก เป็นแค่นักเรียนบ๊วยที่ทำเรื่องน่าทึ่งให้คนต้องประทับใจ ผู้อำนวยการเองก็มีความทรงจำต่ออู่เหมยอยู่บ้าง เธอเป็นถึงลูกสาวของอู่เจิ้งซือนี่ และยังเป็นคนที่มีลักษณะเพี้ยนๆ แปลกๆ และคงแปลกมากถ้าหากเขาจะจำไม่ได้!
“ว่าแล้วเชียว ผมก็คิดอยู่ว่าครูอู่จะไม่มีของดีเหลืออยู่ได้ยังไง ที่แท้เขาก็อยากจะเลี้ยงดูลูกสาวคนเล็กให้กลายเป็นหญิงสาวที่มีความสามารถด้านศิลปะ ไม่เลวๆ เรียนไม่เอาไหนแต่วาดรูปได้ดีเยี่ยม สมแล้วที่ครูอู่เป็นหนึ่งในครูต้นแบบดีเด่นของเมือง ความคิดหลักแหลมยิ่งกว่าคนธรรมดา!”
ผู้อำนวยการรู้สึกชื่นชมและศรัทธาต่อตัวอู่เจิ้งซือเป็นอย่างยิ่ง เมื่อก่อนในวงการศึกษาต่างพากันหัวเราะเยาะอู่เจิ้งซือ แต่เขากลับไม่ได้รับผลกระทบใดๆ แอบอบรมสั่งสอนลูกสาวคนเล็กอยู่ที่บ้านเงียบๆ นี่ยังไม่เรียกว่าเป็นเรื่องน่าทึ่งอีกหรือ?
สายตาของใครหลายๆ คนแทบจะทะลุออกมาแล้ว!
ในทุกๆ ปีผู้อำนวยการมักจะเข้าประชุมหารือพร้อมกับอู่เจิ้งซือ และบางครั้งพวกเขาก็นั่งด้วยกัน แม้ว่าจะไม่ได้สนิทสนมอะไรกัน แต่ความสัมพันธ์อันดีก็ถือว่ายังพอมีบ้าง ยิ่งเขาชื่นชมในตัวอู่เจิ้งซือ ก็ยิ่งอยากจะรู้จักมากขึ้น อู่เจิ้งซือเป็นถึงครูดีเด่น พ่อและพี่ชายคนโตของเขาก็เป็นถึงศาสตราจารย์ของมหาวิทยาลัยจิน ในแวดวงของการศึกษาตระกูลนี้ก็ถือว่าเป็นที่รู้จักพอสมควร หากได้คลุกคลีอยู่ร่วมกับคนประเภทนี้มีแต่จะดีขึ้นไปเรื่อยๆ
อู่เจิ้งซือที่เพิ่งสอนเสร็จและออกมาจากห้องเรียนได้กลับมายังห้องพักครู บนหน้าผากของเขามีแผ่นยาแปะอยู่ นั่นถือเป็นการทำลายภาพลักษณ์ดีๆ ของเขาไปเสียหมด และช่วงนี้ก็ได้เกิดเรื่องขึ้นในบ้านตระกูลอู่ คำพูดติฉินนิทาในโรงเรียนก็ยังไม่ได้หายไป อู่เจิ้งซือเองก็เงียบไปกว่าปกติมาก ทุกๆ วันทำได้เพียงแค่เข้าสอนและตรวจข้อสอบ ไม่ยอมคุยกับใครเลย
เสียงโทรศัพท์ในห้องพักครูดังขึ้น อู่เจิ้งซือจึงกดรับสาย อีกฝั่งแนะนำตัวว่าเป็นสายตรงจากผู้อำนวยการของโรงเรียนทดลอง ในใจของอู่เจิ้งซือเต้นอย่างไม่เป็นจังหวะ คิดว่าคงเกิดเรื่องอะไรกับอู่เยวี่ยอีก ในครั้งก่อนที่อู่เยวี่ยมีกลิ่นเต่า ก็เป็นเวลาเดียวกันกับตอนนี้ที่มีสายเข้ามา
“ครูอู่ ยินดีด้วยครับ!”
น้ำเสียงหนักแน่นและมีพลังพร้อมเสียงหัวเราะร่าเริงถูกส่งมาจากปลายสาย ทำให้อู่เจิ้งซือรู้สึกโล่งใจ อย่างน้อยก็ไม่ได้เกิดเรื่องอะไรขึ้น
…………………………………………………………………………………………..
ตอนที่ 349 ความภาคภูมิใจของอู่เจิ้งซือ
“ผู้อำนวยการหยวน มีเรื่องอะไรดีๆ เหรอครับ? ”
อู่เจิ้งซือหัวเราะและถามกลับ เขาคิดว่าคะแนนสอบรายเดือนของอู่เยวี่ยออกมาแล้ว แต่คิดดูดีๆ กลับไม่ใช่ เพราะการสอบรายเดือนคือวันพรุ่งนี้!
ผู้อำนวยการหยวนหัวเราะอย่างร่าเริงและตอบ “สมกับที่ครูอู่เป็นครูดีเด่นจริงๆ เลยนะครับ อบรมสั่งสอนลูกได้ดีมาก ต่อไปผมคงต้องได้เชิญให้ครูอู่มาให้เป็นวิทยาการเพื่ออบรมชี้แนะต่อผู้ปกครองในโรงเรียนของเราแล้วล่ะ จะได้ถ่ายทอดประสบการณ์ต่างๆ ให้กับบรรดาผู้ปกครอง”
แม้ว่าอู่เจิ้งซือจะฟังแล้วเกิดความสับสน แต่ใบหน้าของเขากลับเต็มไปด้วยรอยยิ้ม นั่นทำให้บรรดาครูที่อยู่ในห้องพักครูต่างมองอย่างแปลกใจ ตั้งแต่ที่เขาถูกภรรยาตีหัว อู่เจิ้งซือก็เงียบขรึมไปเป็นครึ่งเดือน หรือจะมีเรื่องอะไรดีๆ หรือ?
“ผู้อำนวยการหยวนก็พูดเป็นเล่นไป ผมไม่ได้มีประสบการณ์ดีๆ อะไรในการสอนลูกหรอกครับ ลูกคนโตเองก็เกือบจะสอบไม่ผ่าน ส่วนคนเล็กเองก็เอาแต่ทำตัวให้ผู้ปกครองต้องเป็นกังวลใจ!” อู่เจิ้งซือพูดอย่างถ่อมตัว
แน่นอนว่าไม่ถึงกับถ่อมตัวมาก ช่วงนี้อู่เยวี่ยทำตัวได้แย่มาก นั่นทำให้อู่เจิ้งซือไม่พึงพอใจ แม้ว่าอู่เหมยจะพัฒนาขึ้นมาบ้าง แต่คะแนนของเธอก็ยังถือว่าอยู่ในระดับกลางๆ มากกว่านั้นยังเทียบไม่ได้ ซึ่งแน่นอนว่าไม่สามารถทำให้อู่เจิ้งซือพึงพอใจได้
เพราะฉะนั้นเขาถึงได้รู้สึกกลัดกลุ้มใจ แล้วสายจากผู้อำนวยการหยวนหมายความว่าอย่างไร?
ผู้อำนวยการหยวนเข้าใจว่าอู่เจิ้งซือแค่ถ่อมตัว จึงยิ่งเกิดความศรัทธาในตัวเขา และหัวเราะชอบใจใหญ่ “ครูอู่ก็ถ่อมตัวเกินไป กับอู่เยวี่ยผมจะไม่พูดถึงละกัน แม้ว่าคะแนนสอบรายเดือนของครั้งนี้จะไม่เป็นอย่างที่คิดไว้ แต่คะแนนในช่วงปีก่อนๆยังอยู่ในเกณฑ์ ยิ่งได้คนเก่งๆ อย่างครูอู่มาช่วยชี้แนะ การพลาดท่าถือเป็นเหตุสุดวิสัย การสอบประจำเดือนนี้อู่เยวี่ยจะไม่ทำให้พวกเราต้องผิดหวังอีกแน่”
อู่เจิ้งซือได้ฟังคำพูดนี้ยังถือว่าเป็นประโยชน์ เพียงแค่ว่ารู้สึกสดชื่นยิ่งกว่าการได้ดื่มน้ำบ๊วยแช่เย็นเปรี้ยวๆ ในช่วงเริ่มต้นฤดูร้อนเสียอีก แต่ปากกลับต้องพูดจาสุภาพออกไป “คุณก็ชมเกินไปครับ หวังเพียงแค่เยวี่ยเยวี่ยไม่ทำให้ท่านผู้อำนวยการหยวนผิดหวังก็พอ!”
ผู้อำนวยการหยวนหัวเราะอย่างอารมณ์ดี และสับเปลี่ยนคำพูดในทันที เขาข้ามไปพูดถึงอู่เหมยแทน เพราะนั่นเป็นเป้าหมายหลักที่ทำให้เขาโทรเข้ามา!
“เรามาพูดถึงอู่เหมยดีกว่า ช่วงนี่เธอพัฒนาได้ไวจนเป็นที่จับตามองของทุกคน สามารถพูดได้ว่ารวดเร็วราวกับจรวด แต่นั่นก็แล้วกันไป ผมนึกไม่ถึงเลยว่าอู่เหมยจะเป็นสาวน้อยที่มากด้วยพรสวรรค์ ครูอู่นี่ไม่ธรรมดาจริงๆ เมื่อก่อนไม่คิดจะแสดงออกหรือเผยอะไรเลย แต่ครั้งนี้ทำให้ผมตกใจอยู่ไม่น้อย!” ผู้อำนวยการหยวนพูดอย่างสนใจ
อู่เจิ้งซือฟังอย่างสับสนและมึนงง อู่เหมยเป็นสาวน้อยที่มากด้วยพรสวรรค์?
หรือว่าตอนเที่ยงผู้อำนวยการหยวนจะกินเยอะไป?
แต่ดีที่เป็นจังหวะเดียวกับที่ผู้อำนวยการหยวนเปิดเผยคำตอบและพูดออกมาเสียงดัง “อู่เหมยได้เข้าร่วมการแข่งขันวาดรูปรุ่นเยาวชนประจำเมืองจินที่จัดขึ้นในครั้งนี้ และได้รับรางวัลชนะเลิศอันดับสอง ตอนนี้เกียรติบัตรอยู่ในมือผม อีกสักครู่ผมจะประกาศชื่นชมทางวิทยุกระจายเสียง เอ่อใช่ ในช่วงฤดูใบไม้ผลิของปีหน้าอู่เหมยจะต้องเป็นตัวแทนของเมืองจิน เข้าประกวดระดับประเทศที่เมืองหลวง นี่ช่างเป็นเกียรติที่ยิ่งใหญ่เสียจริง ครูอู่ ผมรู้สึกอิจฉาคุณจริงๆ เลี้ยงดูลูกสาวให้มีอนาคตที่ดีได้ขนาดนี้!”
อู่เจิ้งซือแทบไม่รู้สึกเนื้อรู้สึกตัวว่าวางสายไปตอนไหน
เขารู้สึกมึนงงไปทั่วทั้งตัว ราวกับกำลังฝันอยู่
อู่เหมยได้รับรางวัลจากการวาดรูป?
รางวัลชนะเลิศอันดับสองของเมือง?
และยังเป็นตัวแทนของเมืองจินเข้าประกวดระดับประเทศที่เมืองหลวง
อู่เจิ้งซืออดไม่ได้ที่จะส่งนิ้วมือเข้าปากเพื่อออกแรงกัด เจ็บจนแทงไปถึงขั้วหัวใจ แต่กลับดีใจอย่างหยุดไม่ได้
เป็นเรื่องจริง!
อู่เหมยพัฒนาขึ้นแล้วจริงๆ!
“ครูอู่มีเรื่องอะไรดีๆ พูดให้พวกเราได้รับรู้บ้างสิคะ อย่าเอาแต่เก็บไว้แล้วดีใจไปคนเดียวสิ!” ครูคนอื่นๆ พูดล้อเล่น
“อู่เหมยของเราเข้าร่วมแข่งวาดรูปรุ่นเยาวชนประจำเมืองจินแล้วได้รางวัลชนะเลิศอันดับสอง ในช่วงฤดูใบไม้ผลิของปีหน้าอู่เหมยจะต้องเป็นตัวแทนของเมืองจินเข้าประกวดระดับประเทศที่เมืองหลวงน่ะครับ” อู่เจิ้งซือพูดด้วยรอยยิ้ม พร้อมด้วยท่าทางพึงพอใจอย่างมาก แม่เจ้า อึดอัดมานาน ในที่สุดก็สามารถปลดปล่อยอารมณ์ได้เสียที!
เป็นอย่างที่อู่เจิ้งซือคิดไว้ไม่มีผิด ครูคนอื่นๆ ต่างแสดงออกถึงความอิจฉาริษยาและเกลียดชังเขา แม้ปากจะพูดแสดงความยินดี แต่ในใจไม่รู้ว่าจะเป็นทุกข์มากแค่ไหน!
แต่สิ่งที่อู่เจิ้งซือต้องการคือความรู้สึกแบบนี้ เขาชอบที่จะให้คนอื่นพากันมาอิจฉาริษยาเขา น่าพึงพอใจยิ่งนัก!
…………………………………………………………………………………………..
ตอนที่ 350 ชื่นชมผ่านวิทยุกระจายเสียง
ในเวลานี้เป็นคาบเรียนกายบริหารของโรงเรียนทดลอง ครูและนักเรียนทุกคนต้องเข้าร่วม ทุกคนยืนจัดแถวกันอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยอยู่ในสนาม ทำกายบริหารตามเสียงจากวิทยุกระจายเสียง ฝ่ายมัธยมและประถมแบ่งออกเป็นสองส่วน อู่เหมยได้ยืนอยู่กับอู่เซา โดยที่คนหนึ่งยืนอยู่ด้านหน้าอีกคนอยู่ด้านหลัง
แต่วันนี้วิทยุกระจายเสียงไม่ได้เปิดเพลงทำกายบริหารตั้งแต่แรกเริ่ม แต่กลับมีเสียงฮึกเหิมและตื่นเต้นของผู้อำนวยการ “นักเรียนทุกคน วันนี้ครูมีข่าวดีจะมาแจ้งให้ทราบ อู่เหมยนักเรียนชั้นประถมปีที่ห้าห้องสาม เข้าร่วมการแข่งขันวาดรูปรุ่นเยาวชนประจำเมืองจิน ได้รับรางวัลชนะเลิศอันดับสอง อีกทั้งในช่วงฤดูใบไม้ผลิของปีหน้าอู่เหมยจะต้องเป็นตัวแทนของเมืองจินเข้าประกวดระดับประเทศที่เมืองหลวง ขอแสดงความยินดีกับอู่เหมยด้วย!”
ทั้งครูและนักเรียนต่างพากันนิ่งไปพักใหญ่ และตามมาด้วยเสียงกึกก้องกังวานจากการปรบมือ ราวกับเสียงฟ้าผ่าที่ได้ยินในช่วงฤดูใบไม้ผลิ
อู่เซาหมุนตัวและหันกลับมามองอู่เหมยอย่างรู้สึกทึ่ง กระแอมเบาๆ และถามขึ้น “เหมยเหมยเธอได้รับรางวัลแล้ว!”
อู่เหมยเองก็กระแอมขึ้นและตอบกลับ “ฉันได้ยินแล้ว ฉันไม่ได้หูหนวก!”
แม้ว่าจะเตรียมใจมาก่อนแล้ว แต่พอได้มาฟังข่าวดีว่าตัวเองได้รับรางวัล กลับทำให้อู่เหมยตื่นเต้นมาก เธอสัมผัสและรับรู้ได้ถึงสายตาของคนรอบข้างที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น และยังมีรอยยิ้มที่แสดงออกถึงการชื่นชมของครูหลายๆ คน ถ้าเป็นเมื่อก่อนทั้งหมดนี้มันเป็นของอู่เยวี่ย
แต่ตอนนี้มันเป็นของเธอ!
สายตานับร้อยพันของคนอื่นมันช่างทำให้รู้สึกสบายใจจริงๆ อู่เหมยรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะลอย และเหมือนกับลอยขึ้นสูงด้วย ใจที่เต้นแรงเป็นอย่างมาก รู้สึกถึงใบหน้าที่ร้อนผ่าว ร่างทั้งร่างราวกับไร้ซึ่งเรี่ยวแรง เธอภาวนาให้เสียงเพลงของการทำกายบริหารดังขึ้นเร็วๆ เธออยากจะเต้นกายบริหารเพื่อระบายอารมณ์ความรู้สึกที่ตื่นเต้นนี้ออกไป
ในขณะเดียวกันที่อู่เหมยตื่นเต้นดีใจอีกด้านหนึ่งที่ถูกเปรียบเทียบก็คืออู่เยวี่ย เธออยู่ในกลุ่มของเด็กมัธยม เช่นเดียวกันที่ได้ยินวิทยุกระจายเสียงจากผู้อำนวยการ ราวกับเธอได้ตกลงไปในอุโมงค์กักเก็บน้ำแข็ง อู่เหมยไปเรียนวาดรูปตอนไหน?
อีกทั้งยังได้รับรางวัลดีๆ แบบนี้ด้วย?
แถมยังได้เป็นตัวแทนของเมืองจินเข้าประกวดระดับประเทศที่เมืองหลวงอีก?
นี่ถือเป็นเกียรติอย่างมาก แล้วทำไมถึงได้เป็นของยัยโง่อู่เหมย?
“อู่เยวี่ย น้องสาวของเธอเก่งมาก ถ้าฉันมีน้องสาวที่เก่งขนาดนี้บ้างก็คงจะดีนะ!”
นักเรียนหญิงรอบข้างต่างพากันพูดขึ้นอย่างอิจฉา แม้ว่าในตอนนี้ทุกคนจะมองว่าการเรียนเป็นที่หนึ่ง แต่การร้องเพลง เต้น วาดรูปนั้นก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ เพียงแต่ต้องพัฒนาให้ถึงในระดับเมืองระดับประเทศ แต่นี่เธอทำได้ในระดับเมืองและยังได้รับรางวัล อีกทั้งยังได้เป็นตัวแทนเข้าร่วมการแข่งขันระดับประเทศ ถือเป็นความสามารถที่มีความต่างอยู่มาก!
นักเรียนคนอื่นๆ ต่างพากันเห็นด้วยตาม ทุกคนต่างอิจฉาอู่เยวี่ยที่มีน้องสาวเก่งแบบนี้ เดิมทีเป็นเพราะวันดีคืนดีบนตัวอู่เยวี่ยมักจะมีกลิ่นเหม็น ทำให้นักเรียนหลายคนต่างตีตัวออกห่างและเว้นระยะห่างจากเธอ แต่พออู่เหมยได้รับรางวัล เด็กนักเรียนร่วมชั้นถึงได้เริ่มกลับมาสนิทใกล้ชิดเธออีกครั้ง
แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่อู่เยวี่ยต้องการ แม้ว่าเธอต้องการจะสนิทกับเพื่อนๆ อีกครั้ง แต่เธอไม่ได้ต้องการด้วยวิธีแบบนี้ เพราะนั่นทำให้เธอรู้สึกถึงความอัปยศอดสู
คนอย่างอู่เยวี่ยจำเป็นต้องพึ่งพาคนโง่ๆ อย่างอู่เหมยตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?
แต่ก่อนทุกคนต่างพูดว่า ‘อู่เหมย พี่สาวของเธอเก่งมาก ถ้าฉันมีพี่สาวที่เก่งขนาดนี้บ้างก็คงดี!’
แต่ในตอนนี้เธอกับอู่เหมยต่างกลับกันไปหมด ความต่างที่เห็นได้ชัดนี้ทำให้รอยยิ้มที่ปรากฏอยู่บนใบหน้าของอู่เยวี่ยเริ่มจางหายไป แต่เธอพยายามฝืนยิ้ม จะให้ใครรู้ไม่ได้ว่าความรู้สึกในตอนนี้ของเธอมันย่ำแย่มาก อีกทั้งเธอเองต้องคิดไปในทางที่มีผลประโยชน์ อย่างน้อยอู่เหมยก็ได้ช่วยเธอไว้ ได้ทำให้เธอและเพื่อนๆ กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง
อู่เยวี่ยทำได้เพียงแค่ปลอบใจตัวเองอยู่แบบนั้น เธอหวังเพียงแค่ขอให้วันพรุ่งนี้มาถึงเร็วๆ ต่อให้พรุ่งนี้จะท้องเสีย หรือบนตัวจะมีกลิ่นเหม็น เธอจะไม่สนใจต่อผลกระทบนี้อีก แต่จะทำแค่ตั้งใจสอบ
เธอจะต้องเอาที่หนึ่งกลับมา เธอจะเอาความภาคภูมิใจในวันวานกลับคืนมา!
…………………………………………………………………………………………..
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น