กระบี่จงมา 335-338.2

 บทที่ 335 โลกมนุษย์หนทางคับแคบ จอกเหล้ากว้าง

ProjectZyphon

หลังจากพระอาทิตย์ลับหายไปทางภูเขาทิศตะวันตกแล้ว แสงสนธยาก็ยิ่งเข้มข้น อาศัยช่วงที่แสงสุดท้ายยังอาวรณ์โลกมนุษย์ บุรุษชุดเขียวที่วิ่งไล่กวดอยู่กับเด็กหนุ่มขาเป๋พลันหยุดวิ่ง มองไปยังสุดปลายของถนนเส้นที่อยู่ทางทิศใต้ เด็กหนุ่มขาเป๋ฉวยโอกาสต่อยไหล่เขาหนึ่งที ร่างของบัณฑิตตกอับโงนเงน แต่ไม่ได้ให้ความสนใจเขา เด็กหนุ่มขาเป๋รู้สึกประหลาดใจจึงมองไปทางทิศใต้ตามสายตาของบัณฑิตผู้นี้ แต่เขามองไม่เห็นอะไร เลยนึกว่าบัณฑิตจงใจทำให้เขาเสียสมาธิจึงเตรียมจะป้อนหมัดให้อีกฝ่ายต่ออีกครั้ง วันหน้าเขาจะได้ไม่กล้ามาลามปามเถ้าแก่เนี้ยะของตนอีก


ทว่าทันใดนั้นเด็กหนุ่มพลันใจสั่น รีบทรุดตัวลงนอนหมอบ เอาหูแนบพื้นสีหน้าเคร่งเครียด นั่นเป็นเสียงของทหารม้ากองหนึ่ง แถมจำนวนยังไม่น้อย เมืองหูเอ๋อร์นอกจากทหารของจุดพักม้าที่อาจจะผ่านทางมาเป็นครั้งคราวแล้วก็ไม่เคยมีกองทัพใหญ่ปรากฎตัวมาก่อน พวกคนหนุ่มสาวในเมืองหูเอ๋อร์ชื่นชมบารมีของกองทัพม้าเหล็กตระกูลเหยาจึงมักจะรวมกลุ่มกันไปยังเมืองกว้าเจี่ยจวินที่อยู่ห่างไปไกล พวกเขาถึงจะพอมีโอกาสได้เห็นกองทัพใหญ่อยู่ไกลๆ บ้าง


ในสายตาของลูกหลานตระกูลคนยากจนในเมืองหูเอ๋อร์ เกราะเหล็ก ม้าศึก หน้าไม้ มีดดาบ ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นสิ่งที่แสดงความองอาจของบุรุษได้ดีที่สุดในใต้หล้า


เด็กหนุ่มขาเป๋เองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น เพียงแต่ว่าคนวัยเดียวกันในเมืองหูเอ๋อร์ไม่ชอบพาเขาไปเล่นด้วย


เวลานี้เด็กหนุ่มขาเป๋ทิ้งลูกค้าชุดเขียวให้อยู่คนเดียว ส่วนตัวเองเข้าไปแจ้งข่าวกับเถ้าแก่เนี้ยะในห้องโถงใหญ่ สตรีแต่งงานแล้วที่กำลังอ้าปากหาวตอบแค่ว่ารู้แล้ว ทหารพวกนี้ไม่มีทางสนใจโรงเตี๊ยมของพวกเราและเมืองหูเอ๋อร์แน่นอน มีความเป็นไปได้เกินครึ่งว่าจะเป็นทหารที่เร่งเดินทางยามค่ำคืน มุ่งหน้าไปยังเมืองกว้าเจี่ยจวินที่อยู่ทางเหนือ ไม่จำเป็นต้องสนใจ


เด็กหนุ่มขาเป๋ร้องอ้อรับหนึ่งทีแล้วรีบวิ่งออกจากโรงเตี๊ยม ปีนขึ้นไปบนหลังคา ยกมือบังไว้ตรงหว่างคิ้ว เขม้นสายตามองไปไกล ฉวยโอกาสตอนที่ท้องฟ้ายังไม่มืดสนิท ยังพอจะมองเห็นได้อย่างเลือนราง เขาคิดอยากจะมองการแต่งตัวของกองทัพม้าเหล็กชายแดนในระยะใกล้สักหน่อย วันหน้าที่เถ้าแก่เนี้ยะสั่งให้เขาไปซื้อพวกข้าวสาร น้ำมันในเมืองหูเอ๋อร์จะได้เอาไปโอ้อวดกับคนวัยเดียวกัน


ห่างออกไปไกลบนเส้นทางพอจะมองเห็นฝุ่นคลุ้งตลบได้รางๆ แรงสั่นสะเทือนอื้ออึงส่งมาจากพื้นดิน ยิ่งนานก็ยิ่งชัดเจน


ทว่าสีท้องฟ้าไม่รอคอยคน เด็กหนุ่มขาเป๋รู้สึกร้อนใจเล็กน้อย เขารีบปีนลงมาจากหลังคา เข้าไปในห้องโถง ถามเถ้าแก่เนี้ยะว่าแขวนโคมไฟเลยได้ไหม สตรีแต่งงานแล้วถลึงตาใส่ แขวนโคมไฟเร็วขนาดนี้ ใครจะเป็นคนจ่ายค่าเทียน? เด็กหนุ่มขาเป๋ตบอกบอกว่าข้าจ่ายเอง หากไม่ไหวจริงๆ ก็จดไว้ในบัญชีของผู้เฒ่าหลังค่อมก่อน สตรีแต่งงานแล้วพยักหน้ารับ เด็กหนุ่มขาเป๋จึงเอาโคมใหญ่สองดวงไปแขวนไว้นอกโรงเตี๊ยมด้วยความเบิกบาน เพิ่งจะเตรียมปีนขึ้นไปบนหลังคาก็สังเกตเห็นว่ามีม้าตัวหนึ่งอ้อมออกจากทางหลวงมาปรากฏอยู่นอกโรงเตี๊ยมอย่างเงียบเชียบ คนบนหลังม้าสวมเสื้อเกราะแวววาวที่งดงามอย่างยิ่ง ไม่ใช่เสื้อเกราะรูปแบบธรรมดาทั่วไปที่ทหารชายแดนตระกูลเหยาสวมใส่กัน ทหารม้านายนั้นปลดหมวกเกราะลงมาถือไว้ตรงหน้าอก ถามด้วยสีหน้าเฉยเมยว่า “มีเหล้าบ๊วยขายใช่ไหม?”


เด็กหนุ่มขาเป๋กลืนน้ำลาย ตอบด้วยความอกสั่นขวัญแขวน “ตอบท่านทหาร มีเหล้าบ๊วยขาย”


ทหารม้าคนนั้นกล่าวเสียงหนัก “ภายในหนึ่งก้านธูป บอกให้เถ้าแก่ทำโรงเตี๊ยมให้ว่าง จากนั้นเตรียมอาหารห้าโต๊ะ เอาเหล้าบ๊วยที่ดีที่สุดออกมา ค่าใช้จ่ายทั้งหมดจะจ่ายให้พวกเจ้าโดยไม่ขาดไปแม้แต่อีแปะเดียว หากเหล้าบ๊วยอร่อยจริงสมคำเล่าลือยังจะมีรางวัลก้อนโตให้อีก! จำไว้ว่าเมื่อเข้าไปในโรงเตี๊ยมแล้ว พวกเราจะส่งคนไปตรวจสอบห้องทั้งหมด หากยังมีคนตกค้างอยู่ในห้องจะถูกสังหารโดยไม่มีข้อยกเว้น เมื่อพวกเราจากไปแล้ว แขกที่เข้าพักทุกคนสามารถกลับเข้าไปพักได้ใหม่”


ทหารม้าสวมหมวกเกราะกลับลงไปบนศีรษะอีกครั้ง แล้วจึงหันหัวม้ากลับหลังควบตะบึงจากไป


เด็กหนุ่มขาเป๋สีหน้าแข็งทื่อ แขกชุดเขียวนั่งยองอยู่หน้าประตูโรงเตี๊ยมเพียงลำพัง หมาตัวนั้นกลับบ้านของตัวเองไปแล้ว แต่เขากลับยังไม่มีที่พักค้างแรม เห็นว่าเด็กหนุ่มยังยืนเหม่อก็เอ่ยเตือนว่า “รีบไปบอกจิ่วเหนียงเร็วเข้า หากทำให้คนสูงศักดิ์ในเมืองหลวงพวกนี้โมโห โรงเตี๊ยมคงเปิดกิจการต่อไปไม่ได้อีก”


เด็กหนุ่มขาเป๋รีบวิ่งแผล็วเข้าไปในห้องโถงใหญ่ เห็นว่าสตรีแต่งงานแล้วไปหาผู้เฒ่าหลังค่อม กำลังปรึกษากันอยู่ พอเด็กหนุ่มขาเป๋ไปถึงเลยต้องรับหน้าที่เป็นทัพหน้า ให้เขาเป็นคนไปแจ้งสถานการณ์ให้พวกแขกรู้อย่างชัดเจน รบกวนให้พวกเขารีบออกจากโรงเตี๊ยมไปก่อน จะได้ไม่ต้องมีใครเสียเลือดเสียเนื้อ


เด็กหนุ่มขาเป๋รู้สึกลำบากใจเล็กน้อย สตรีแต่งงานแล้วโบกมือหนึ่งครั้ง บอกว่าจะไม่คิดค่าเทียนทั้งหมดแล้ว เด็กหนุ่มขาเป๋รีบพุ่งไปที่ชั้นสองทันที ห้องพักแรกเป็นห้องของเฉินผิงอัน เด็กหนุ่มขาเป๋แจ้งข่าวแก่แขกที่มาเปิดประตู เฉินผิงอันฟังแล้วก็ไม่มีปัญหาอะไร ยังบอกด้วยรอยยิ้มว่าแขกในอีกสองห้องที่เหลือเขาจะไปบอกเอง ให้เด็กหนุ่มไปแจ้งคนที่พักอยู่ห้องอื่นได้เลย เด็กหนุ่มขาเป๋เอ่ยขอบคุณแล้วรีบร้อนจากไป


เผยเฉียนเปิดประตู ตะเกียงน้ำมันบนโต๊ะถูกจุดแล้ว หนังสือเล่มหนึ่งวางแบไว้ด้านข้าง นางยิ้มพูดว่าข้ากำลังอ่านหนังสืออยู่น่ะ


เฉินผิงอันไม่ได้เปิดโปงแผนการเล็กๆ น้อยๆ ของนาง อันที่จริงเผยเฉียนกำลังเงี่ยหูฟังความเคลื่อนไหวในห้องของจูเหลี่ยนกับเว่ยเซี่ยน พอได้ยินเสียงเคาะประตูถึงรีบหยิบหนังสือออกมาจากห่อสัมภาระ แล้วเอามาจัดวางให้เฉินผิงอันเข้าใจว่านางกำลังอ่านหนังสือ


เฉินผิงอันบอกให้นางเก็บสัมภาระ เพราะจำเป็นต้องออกไปจากโรงเตี๊ยมชั่วคราว


ห้องที่อยู่ติดกัน จูเหลี่ยนเปิดประตูห้องออกมาแล้ว เขาพูดกับเฉินผิงอันด้วยรอยยิ้มว่า “หลังจากเว่ยเซี่ยนมาเปิดประตูให้ก็หลับไปอีกครั้ง ข้าไปปลุกเขาให้นายน้อยดีไหม?”


ตอนที่จูเหลี่ยนกำลังจะหมุนตัวกลับ เว่ยเซี่ยนที่กลิ่นเหล้าคลุ้งไปทั่วร่างก็ลุกขึ้นมานั่งแล้ว เขานวดคลึงหว่างคิ้ว พูดกับคนทั้งสองว่า “ตื่นแล้ว”


มือปราบสามคนของเมืองหูเอ๋อร์ซึ่งรวมถึงตัวหม่าผิงเอง พอได้ยินว่าจะมีกองทัพทหารม้าผ่านมาก็เอะอะโวยวาย แต่สุดท้ายก็ยอมออกไปจากห้องพักแต่โดยดี


เด็กสาวผูกผมหางม้ายืนอยู่ตรงระเบียงนอกห้อง นางพักห้องที่ตั้งอยู่สุดปลายทางของระเบียงชั้นสอง เวลานี้กำลังถลึงตามองไปยังสตรีแต่งานแล้วที่อยู่ในห้องโถงใหญ่ชั้นหนึ่ง “โรงเตี๊ยมของเจ้ารับรองแขกกันแบบนี้หรือ? ช่างเปิดหูเปิดตาให้ข้าจริงๆ ไม่นึกเลยว่าในชายแดนแห่งนี้จะยังมีคนที่กล้าทำตัวไร้เหตุผลภายใต้เปลือกตาของกองทัพม้าเหล็กตระกูลเหยา ข้าอยากจะเห็นนักว่าเป็นเทพเซียนจากที่ใด ถึงได้สามารถไล่คนทั้งหมดออกจากโรงเตี๊ยมด้วยคำพูดประโยคเดียว!”


เด็กสาวใช้มือข้างเดียวเท้าราวระเบียงแล้วกระโดดลงไปจากชั้นสองโดยตรง ทำเอาพวกหม่าผิงสามคนที่มองอยู่หนังตากระตุก นังหนูบ้านไหนถึงมีฝีมือได้ขนาดนี้


สตรีแต่งงานแล้วยิ้มเจื่อน ขยับปากจะพูดแต่ก็ไม่ได้พูด


ผู้เฒ่าหลังค่อมถือกระบอกสูบยา คิดแล้วก็เอ่ยว่า “ข้าไปคุยให้เองแล้วกัน พวกเราเปิดโรงเตี๊ยมต้อนรับแขก จะแบ่งแยกคนจนคนรวยได้อย่างไร”


ผู้เฒ่าเดินดิ่งออกจากโรงเตี๊ยม เรือนกายหายไปท่ามกลางแสงราตรีอันกว้างใหญ่


สตรีแต่งงานแล้วหันไปเอ่ยขออภัยแขกสองกลุ่มที่อยู่บนชั้นสอง “อีกเดี๋ยวพวกเจ้าแค่อยู่ในห้องของตัวเองก็พอ เรื่องในคืนนี้เป็นโรงเตี๊ยมของพวกเราที่ผิดต่อทุกท่าน หลังจบเรื่องจะมอบเหล้าบ๊วยหมักห้าปีให้พวกเจ้าคนละหนึ่งไห”


เด็กสาวทะยานตัวกลับมาที่ชั้นสอง ปิดประตูห้องตามหลังดังปัง


พวกหม่าผิงสามคนก็กลับห้องไปอย่างขุ่นเคือง


เฉินผิงอันบอกให้เว่ยเซี่ยนและจูเหลี่ยนไปนั่งที่ห้องเขาก่อนสักครู่หนึ่ง ส่วนเผยเฉียนก็แน่นอนว่าไม่ต้องพูดให้มากความ


สตรีแต่งงานแล้วบอกให้เด็กหนุ่มขาเป๋ออกไปข้างนอก ไปบอกให้บัณฑิตแซ่จงคนนั้นเลือกห้องพักที่ชั้นสอง อย่าป้วนเปี้ยนอยู่ข้างนอกให้เกะกะสายตาของคนอื่น


บัณฑิตชุดเขียวเลือกห้องพักที่ชั้นสองได้แล้วก็มายืนฟุบตัวอยู่บนราวระเบียง สตรีแต่งงานแล้วยื่นนิ้วชี้มาทางเขา “ไสหัวเข้าไปในห้อง”


บัณฑิตกล่าวอย่างเป็นกังวล “จิ่วเหนียง เจ้าหน้าตางดงามถึงเพียงนี้ ทหารนิสัยหยาบกระด้างพวกนั้นจะคิดชั่วกับเจ้าหรือไม่ พอดื่มเหล้าเข้าไปแล้วก็ยิ่งง่ายที่จะทำตัวเหลวไหล…”


สตรีแต่งงานแล้วเอ่ยยิ้มๆ “ถึงเวลานั้นเจ้าก็จะได้เป็นวีรบุรุษช่วยเหลือสาวงามพอดีไม่ใช่หรือ หากข้าตาบอดขึ้นมา ไม่แน่ว่าอาจจะมอบชีวิตตอบแทนเจ้าก็ได้”


เขาโบกมือปฏิเสธ “ฉวยโอกาสตอนที่คนอื่นอ่อนแอ มิใช่การกระทำของวิญญูชน จิ่วเหนียงเจ้าวางใจเถอะ บัณฑิตอย่างพวกเรามีปราณแห่งความเที่ยงธรรมอยู่เต็มร่าง บวกกับหลักการอริยะปราชญ์ที่มีอยู่เต็มท้อง ขอแค่ข้ายืนอยู่ตรงนี้ เชื่อว่าต่อให้พวกเขาจะดื่มมากแค่ไหนก็ไม่มีทางเกิดความคิดชั่วร้ายได้แน่นอน…”


ไม่รอให้สตรีแต่งงานแล้วกล่าวอะไร เด็กสาวแซ่เหยาที่อยู่ในห้องห่างไปไกลก็เปิดประตูออกมา ชักดาบออกจากฝักมาครึ่งหนึ่งจนเกิดเสียงโลหะเสียดสีดังกังวาน ตวาดใส่บัณฑิตเสียงกร้าว “เจ้าบ้ากาม หุบปากเดี๋ยวนี้!”


เห็นได้ชัดว่าดาบของเด็กสาวใช้ได้ผลกว่าหมัดและเท้าของเด็กหนุ่มขาเป๋มาก บัณฑิตรีบเดินเข้าไปในห้องทันที ไม่กล้าแม้แต่จะผายลมด้วยซ้ำ


ยิ่งเป็นเช่นนี้ เด็กสาวยิ่งผิดหวังในตัวของสตรีแต่งงานแล้วที่อยู่ชั้นล่าง ตลอดทั้งปีเอาแต่มั่วสุมอยู่กับผู้ชายพวกนี้ นั่งดื่มนั่งกิน แตกต่างจากสตรีในหอโคมเขียวตรงไหน?


เข้าไปในห้อง เด็กสาวนอนฟุบตัวอยู่บนโต๊ะ อารมณ์เศร้าใจตีตื้นขึ้นมาจึงเริ่มร้องไห้สะอึกสะอื้น


สตรีแต่งงานแล้วยืนอยู่หลังโต๊ะคิดเงิน ถอนหายใจหนึ่งที เทเหล้าบ๊วยให้ตัวเองหนึ่งชาม


เสียงตุ้บดังขึ้น


สตรีแต่งงานแล้วเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นว่าบัณฑิตกระโดดจากชั้นสอง ร่วงตกลงมาบนพื้น พอลุกขึ้นยืนก็เดินมาทางโต๊ะขึ้นเงินแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “จิ่วเหนียง คิดซะว่าข้าเป็นคนทำบัญชีก็แล้วกัน อยู่ห่างเจ้าเกินไป ข้าไม่วางใจ”


บัณฑิตคลี่ยิ้มอ่อนโยน


สตรีแต่งงานแล้วอึ้งตะลึง ก่อนจะตอบกลับไปว่า “แต่เจ้าขี้เหร่ขนาดนี้ อยู่ใกล้เจ้าเกินไป ข้าสะอิดสะเอียน”


บัณฑิตรู้สึกเหมือนถูกฟ้าผ่า ทรุดตัวนั่งยอง ยกมือกุมหัว


ที่แท้คำพูดออดอ้อนกระหนุงกระหนิงของบุรุษมากความสามารถกับสตรีงดงามในนิทาน คำรักรื่นหูของชายหญิงที่เคยเห็นเคยอ่านมาล้วนเป็นเรื่องโกหก ใช้ไม่ได้ผลเลยสักนิดเดียว


ผู้เฒ่าหลังค่อมเดินนำเข้ามาในโรงเตี๊ยมก่อน


ด้านหลังมีคนกลุ่มหนึ่งติดตามมา น่าจะเป็นเพราะอีกฝ่ายค่อนข้างมีเหตุผลจึงไม่ได้ไล่แขกที่พักบนชั้นสองออกไป แล้วก็ไม่ได้กรูกันเข้ามานั่งเต็มโต๊ะห้าตัวในคราวเดียว


คนที่เป็นผู้นำคือชายวัยกลางคนสวมชุดสีแดงหลายหม่าง (ชุดลายงูเหลือมหรือมังกรสี่เล็บ) ใบหน้าขาวไร้หนวดเครา พลังอำนาจเฉียบคมน่ายำเกรง


คนสองคนด้านหลังบุรุษชุดหม่าง คนหนึ่งสวมเสื้อเกราะสีเงินที่สลักลายเมฆ เวลาก้าวเดินเกราะเหล็กบนร่างจะส่องแสงแวววาว และยังมีอีกคนหนึ่งที่อายุประมาณเจ็ดสิบปี สวมชุดผ้าแพร บนศีรษะสวมกวานสูง ลักษะท่าทางเหมือนเซียน


คนเจ็ดแปดคนด้านหลังน่าจะเป็นข้ารับใช้คนสนิท


พวกบุรุษชุดหม่างสามคนนั่งลงตรงโต๊ะตัวหนึ่ง ข้ารับใช้คนอื่นๆ นั่งลงบนโต๊ะอีกสองตัว ในบรรดาผู้ติดตามมีคนหนุ่มหน้าตาไม่สะดุดตาอยู่คนหนึ่ง ตรงเอวห้อยหยกประดับหนึ่งชิ้น พอเห็นสตรีแต่งงานแล้วก็คลี่ยิ้ม


นอกโรงเตี๊ยมคือทหารม้าเจ็ดแปดร้อยนาย ยังมีรถม้าอีกหลายสิบคัน ในรถม้าทุกคันต่างก็มีนักโทษอยู่หนึ่งคน รวมไปถึงคนสองคนที่ยืนเฝ้าอยู่ด้านข้าง ทุกคนที่เฝ้ายามล้วนเป็นผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตกลางของราชวงศ์ต้าเฉวียนโดยไม่มีข้อยกเว้น


ผู้เฒ่าหลังค่อมยู่หน้า


ผู้เฒ่านึกไม่ถึงจริงๆ ว่าจะเป็นคนพวกนี้


ลูกค้ากลุ่มนี้ไม่ได้เห็นแก่หน้าของตาแก่มอซออย่างเขา แต่เห็นแก่หน้าของตระกูลเหยาเท่านั้น ทว่าหน้าของกองทัพม้าเหล็กตระกูลเหยาแปดหมื่นนายและหน้าของแม่ทัพใหญ่ผู้กรีฑาทัพลงใต้กลับใหญ่ได้แค่แลกคนสามโต๊ะจากห้าโต๊ะเท่านั้นเอง ส่วนเรื่องที่ว่าเหตุใดถึงไม่ขับไล่แขกบนชั้นสองไป ก็เพราะผู้ติดตามหนุ่มคนหนึ่งในนั้นพูดขึ้นว่า หากคนมากก็ครึกครื้น ดื่มเหล้าถึงจะสนุก ขันทีชุดหม่างที่มีท่าทางยโสโอหังจึงตอบรับด้วยรอยยิ้ม


แม่ทัพบู๊ที่สวมชุดเกราะสีเงินมองมาทางสตรีแต่งงานแล้ว เอ่ยสั่งความว่า “เอาเหล้าบ๊วยมาก่อนแล้วรีบยกอาหารตามมา”


ผู้เฒ่าหลังค่อมเลิกผ้าม่านเข้าไปง่วนอยูในครัว


เด็กหนุ่มขาเป๋เริ่มเดินเอาเหล้าไปส่งที่โต๊ะทั้งสาม


บรรยากาศของชั้นหนึ่งในโรงเตี๊ยมค่อนข้างเคร่งเครียด


รอบด้านเงียบสงัดจนแทบจะได้ยินเสียงเทเหล้า


แล้วทันใดนั้นก็มีคนยกมือขึ้นพูดกับสตรีแต่งงานแล้วด้วยรอยยิ้มว่า “เถ้าแก่เนี้ยะ รบกวนท่านรินเหล้าให้เหล่าพี่น้องด้วยตัวเอง ได้ยินว่าเหล้าบ๊วยสืบทอดวิธีทำมาจากบรรพบุรุษของท่าน แล้วท่านก็เป็นคนหมักเองกับมือ แน่นอนว่าต้องให้ท่านรินเหล้าด้วยตัวเองถึงจะถูก”


เมื่อมีคนหนุ่มพูดเปิดงาน ผู้ติดตามโต๊ะนี้ก็พลันหัวเราะครื้นเครงอย่างไม่เหลือความกังวลอีกต่อไป


สตรีแต่งงานแล้วยกเหล้าบ๊วยมาไหหนึ่ง คลี่ยิ้มเตรียมจะเดินไปรินให้ลูกค้า


เพียงแต่ไม่รู้ว่าทำไมร่างกายของสตรีแต่งงานแล้วถึงแข็งเกร็ง เปิดโรงเตี๊ยมมานานหลายปี สามสำนักเก้าสาขาในยุทธภพล้วนพบเจอมาหมด ต่อให้เป็นผู้ฝึกลมปราณเทพเซียนบนภูเขาก็ยังเจอมาไม่น้อย แต่เมื่อนางประสานสายตากับผู้ติดตามหนุ่มคนนั้นกลับเกิดความรู้สึกหวาดกลัว ราวกับคนธรรมดาทั่วไปที่เจอกับคนชั่วร้าย เหมือนคนเจอผีตอนกลางคืน เป็นความรู้สึกไร้เรี่ยวแรงที่ผุดขึ้นมาจากส่วนลึกของหัวใจ


บุรุษชุดเขียวพลันคว้ามือของสตรีแต่งงานแล้วเอาไว้ พูดกลั้วหัวเราะเสียงดังว่า “วันนี้ร่างกายของจิ่วเหนียงไม่ค่อยจะดี ข้าที่เป็นคนคิดบัญชีจะรินเหล้าให้เหล่าแขกผู้มีเกียรติด้วยตัวเอง ได้ไหม?”


ผู้ติดตามหนุ่มคนนั้นเหมือนได้ยินเรื่องที่ตลกที่สุดในใต้หล้า เขากวาดตามองไปรอบด้าน “พี่น้องทั้งหลาย พวกเจ้าว่าได้หรือไม่?”


ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าไม่ได้


ผู้ติดตามหนุ่มถึงได้มองมาทางบัณฑิตชุดเขียว “ไม่ได้ จะทำอย่างไรล่ะ? ไม่อย่างนั้นก็ให้เถ้าแก่เนี้ยะรินเหล้าอย่างเดิมดีไหม? แค่รินเหล้าเท่านั้น ไม่ได้บอกให้จิ่วเหนียงของเจ้าไปที่เมืองกว้าเจี่ยจวินเป็นเพื่อนพวกเราสักหน่อย ถูกไหม?”


ขันทีที่สวมชุดหม่างสีแดงแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน


ส่วนเซียนซือผู้เฒ่าที่สวมกวานสูงกลับเบี่ยงหน้ามายิ้มบางๆ


เด็กสาวเหยาหลิ่งจือเปิดประตูออกมาด้วยสีหน้าเขียวคล้ำ “ไม่ได้!”


ผู้ติดตามหนุ่มลุกขึ้นยืน ทำให้เขาดูโดดเด่นเหมือนนกกระเรียนในฝูงไก่


เขาเงยหน้าขึ้น ถามด้วยรอยยิ้ม “ทำไมล่ะ?”


เพียงแค่มองประสานสายตากับคนผู้นี้ ในใจเด็กสาวก็รู้สึกหวาดหวั่น นางเอื้อมมือไปจับด้ามดาบตามจิตใต้สำนึก พูดออกไปอย่างไม่คิดว่า “ที่นี่คือถิ่นของตระกูลเหยา!”


เหยาหลิ่งจือไม่รู้เลยว่าวินาทีที่นางจับด้ามดาบ ผู้ติดตามทุกคนที่อยู่ในชั้นหนึ่งล้วนเกิดจิตสังหารขึ้นมาแล้ว


แม่ทัพเกราะเงินที่นั่งอยู่ด้านข้างขันทีชุดหม่างและเซียนซือกวานสูงก็ยิ่งแผ่ปราณสังหารเข้มข้น


ผู้ติดตามหนุ่มยืดคอมองมาทางชั้นสองอยู่ตลอดเวลา แต่กลับเหมือนว่าเห็นความเคลื่อนไหวทั้งหมดในชั้นหนึ่งอยู่ในสายตา จึงยื่นมือข้างหนึ่งออกมากดลงเบาๆ บอกเป็นนัยแก่ทุกคนว่าอย่าได้วู่วาม จากนั้นถึงยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ทว่าตลอดทั้งราชวงศ์ต้าเฉวียนล้วนเป็นถิ่นของตระกูลข้านี่นา ทำอย่างไรดี? หรือว่าตระกูลเหยาของพวกเจ้าคิดจะก่อกบฏ?”


สตรีแต่งงานแล้วหิ้วกาเหล้าเดินออกมาจากหลังโต๊ะคิดเงิน นางหันไปพูดเสียงหนักกับเด็กสาวก่อน “หลิ่งจือ กลับเข้าห้องไป!”


แล้วจึงยอบตัวคาระผู้ติดตามหนุ่มผู้นั้น “จิ่วเหนียงจะรินเหล้าให้คุณชายเดี๋ยวนี้”


ผู้ติดตามหนุ่มกระตุกมุมปากขึ้น จ้องเขม็งไปที่ใบหน้าของสตรีแต่งงานแล้ว ก่อนชี้ไปทางเด็กสาวที่อยู่ชั้นสอง “พวกเจ้าสองแม่ลูกมาพร้อมกันเลย ดีไหม?”


สตรีแต่งงานแล้วหน้าซีดเผือด


ประตูห้องบนชั้นสองเปิดออก คนหนุ่มชุดขาวคนหนึ่งเดินออกมา “ข้าคิดว่าไม่ดี”


ผู้ติดตามหนุ่มหันไปมองคนผู้นั้น สายตาฉายแววคลุมเครือ “อ้อ? เจ้าคือหอมต้นไหนล่ะ?” (คือวลีฮิตในอินเตอร์เน็ต มีความหมายในเชิงดูถูก เพราะต้นหอมเป็นอาหารที่ขาดไม่ได้ในชีวิตประจำวันจึงถือว่ามีความสำคัญ ประโยคนี้จึงเหมือนถามว่า คิดว่าตัวเองสำคัญนักหรือไง? หรือคิดว่าตัวเองเป็นใคร?)


คราวนี้ชั้นหนึ่งมีคนช่วยตอบแทนเฉินผิงอัน “แล้วเจ้าล่ะคือหอมต้นไหน?”


คือบัณฑิตตกอับแซ่จงคนนั้น


ผู้ติดตามหนุ่มทอดถอนใจอย่างเศร้าใจ “เอาล่ะ คืนนี้แต่ละคนล้วนจงใจหาเรื่องข้า ไม่เต็มใจไล่แขกไปจากโรงเตี๊ยม เถ้าแก่เนี้ยะที่ไม่เต็มใจรินเหล้าให้ เด็กสาวตระกูลเหยาที่อ้าปากได้ก็พูดจาสามหาว คนต่างถิ่นสวมชุดขาวที่คิดว่าตัวเองคือเซียนกระบี่ บัณฑิตสวมชุดเขียวที่คิดว่าตัวเองคืออริยะปราชญ์ลัทธิขงจื๊อ…”


เขาพลันหันไปมองสตรีแต่งงานแล้ว ก่อนจะมองเด็กสาวที่อยู่ชั้นบนแล้วเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ไม่เป็นไร คืนนี้พวกเจ้าสองคนลองพยายามช่วยตระกูลเหยาดูได้ หากข้าอารมณ์ดี ไม่แน่ว่าอาจจะช่วยดึงตระกูลเหยาขึ้นมาจากหลุมไฟก็ได้”


สตรีแต่งงานแล้วสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้งคล้ายตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาด นางหันหน้าไปพูดกับบัณฑิตตกอับว่า “จงขุย เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า ข้ารู้ว่าเจ้าเองก็พอจะมีความสามารถ ดังนั้นหลังจากนี้หากเจ้าหนีไปได้ก็หนีไปซะ ไม่ต้องสนใจพวกเรา”


จากนั้นนางก็เงยหน้ามองไปทางเฉินผิงอัน กำลังจะเปิดปากพูด


เฉินผิงอันกลับถามด้วยรอยยิ้มว่า “เถ้าแก่เนี้ยะ คำพูดก่อนหน้านี้ของเจ้า พูดว่าอย่างไรแล้วนะ?”


สตรีแต่งงานแล้วรู้สึกสงสัย จึงเงียบไปพักหนึ่ง


เฉินผิงอันจึงพูดกับตัวเองว่า “บนโลกมนุษย์หนทางคับแคบ แต่จอกเหล้ากว้าง”


หนทางคับแคบ ดังนั้นถึงได้บังเอิญเจอกับคนตระกูลเหยาที่เกี่ยวข้องกับใบไหว


หนทางคับแคบ ดังนั้นจึงได้พบเจอกับคนกลุ่มนี้ที่ต้องการให้คนอื่นตายไปทั้งหมด


แต่ไม่เป็นไร เหล้าบ๊วยของที่นี่อร่อยมาก


เฉินผิงอันเอ่ยเบาๆ ว่า “วันนี้คงต้องรบกวนทั้งสี่ท่านแล้ว”


ภายใต้การจับจ้องมองมาของทุกคน ในห้องด้านหลังของคนหนุ่มชุดขาวที่ยืนอยู่บนชั้นสองมีคนเดินออกมาสี่คน


ฮ่องเต้ผู้บุกเบิกแคว้นหนันเยวี่ยนเดินนำออกมาก่อน เขาพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “ไม่จำเป็นต้องเกรงใจ”


จากนั้นจูเหลี่ยนคนบ้าคลั่งวรยุทธ์ก็ค้อมเอวเดินออกมายืนอยู่อีกฝั่งหนึ่งของเฉินผิงอัน เอามือสองข้างไพล่หลัง พูดกลั้วหัวเราะว่า “คำพูดประโยคนี้ของนายน้อยเกินความจำเป็นแล้ว”


สตรีงามเลิศล้ำคนหนึ่งที่ด้านหลังสะพายกระบี่ ‘ชือซิน’ มายืนอยู่ข้างเว่ยเซี่ยน นางก็คือสุยโย่วเปียนเซียนกระบี่สาวแห่งพื้นที่มงคลดอกบัว นางกล่าวด้วยสีหน้าเย็นชา “ขอบคุณคุณชายที่ให้ยืมกระบี่”


สุดท้ายคือบรรพบุรุษผู้บุกเบิกขุนเขาของลัทธิมารผู้มีเรือนกายกำยำ หลูป๋ายเซี่ยง มือทั้งสองข้างของเขากุมด้ามดาบยืนอยู่ข้างกายจูเหลี่ยน พูดพร้อมยิ้มบางๆ “นายท่าน ดาบนี้ไม่เลวเลย หยุดหิมะ ชื่อก็ดีด้วย”


สุดท้ายและท้ายสุด น้ำเสียงอ่อนเยาว์ขลาดๆ เสียงหนึ่งดังขึ้น “ท่านพ่อ แล้วข้าล่ะ?”


เฉินผิงอันกล่าวอย่างระอาใจ “กลับไปอ่านหนังสือในห้อง!”


เด็กหญิงร่างผอมแห้งร้องอ้อหนึ่งที หลังจากปิดประตูลงเบาๆ แล้วก็เริ่มท่องหนังสือเสียงดัง หลักการของอริยะปราชญ์ที่อยู่ในตำราถูกนางอ่านออกเสียงจนดังสะเทือนเลือนลั่น


บัณฑิตชั้นหนึ่งฟังเสียงท่องหนังสือจากบนชั้นสอง


บนชั้นสองนอกจากเสียงท่องหนังสือแล้วยังมีเฉินผิงอัน เว่ยเซี่ยน จูเหลี่ยน สุยโย่วเปียน และหลูป๋ายเซี่ยง


บทที่ 336.1 การคุมเชิงระหว่างราชสำนักกับป่าเขา

ProjectZyphon

ค่ำคืนนี้ในโรงเตี๊ยมเล็กๆ ริมชายแดนแห่งนี้มีทั้งปลาและมังกรปะปนกัน


หลังจากที่ห้าคนนั้นเดินออกมาจากในห้อง ลมหายใจของเด็กสาวเหยาหลิ่งจือก็เริ่มหนักอึ้ง


นี่ทำให้นางรู้สึกเหลือเชื่อ


ความหวาดกลัวที่ต้องเผชิญหน้ากับผู้ติดตามหนุ่มคนนั้นต้องเรียกว่าเป็นสัญชาตญาณอย่างหนึ่งที่เจือปนไปด้วยอารมณ์หลากหลาย ประหนึ่งหญิงสาวผู้บอบบางเผชิญหน้ากับบุรุษที่มีความคิดชั่วร้าย ดั่งลูกน้องที่เคารพยำเกรงในอำนาจที่มองไม่เห็น ดั่งคนที่มีจิตใจซื่อบริสุทธิ์ซึ่งมักจะหลีกเลี่ยงพวกคนที่จิตใจชั่วร้ายมาตั้งแต่เกิด


ทว่าอาการหายใจติดขัดที่เกิดขึ้นเมื่อเหยาหลิ่งจือมองไปยังคนห้าคนที่อยู่บนชั้นเดียวกันกลับเป็นการหยั่งรู้ที่มาจากส่วนลึกของจิตวิญญาณ


อยู่ในป่าผืนเดียวกัน ดั่งกระต่ายและกวางพบเสือกับหมี อยู่ในแม่น้ำสายเดียวกัน ดั่งกุ้งและปลาพบเจอเจียวกับมังกร


เหยาหลิ่งจือรับหน้าที่หน่วยสอดแนมของกองทัพชายแดนมานานถึงสามปีแล้ว มีอยู่สองครั้งที่ร่วมรบในศึกเป็นตาย ชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้าย ทว่าไม่เคยมีครั้งใดที่เหยาหลิ่งจือคิดอยากจะถอยหนี ตามหลักแล้วก็ไม่ควรมีความรู้สึกแบบนี้ถึงจะถูก


นางคือผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกวรยุทธ์ที่โดดเด่นที่สุดของตระกูลเหยารุ่นนี้ อายุแค่สิบสี่ปีก็เลื่อนสู่ขอบเขตสี่ อีกทั้งยังมีหวังว่าจะฝ่าคอขวดไปได้ ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตห้าตอนอายุสิบห้า หรือเป็นขอบเขตห้าตอนอายุสิบเจ็ด นางก็ล้วนคู่ควรกับคำว่า ‘ผู้มีพรสวรรค์’ ทอดสายตามองออกไปทั่วราชวงศ์ต้าเฉวียน ไม่ว่าจะเป็นในกองทัพหรือในยุทธภพ เหยาหลิ่งจือก็ถือเป็นหยกดิบชั้นเยี่ยม เพียงแค่ผ่านการเจียระไนเล็กน้อยก็สามารถส่องแสงเปล่งประกาย ไม่มีใครสงสัยว่าในอนาคตนางจะสามารถเลื่อนสู่ขอบเขตบังคับลมได้อย่างราบรื่น กลายเป็นปรมาจารย์ผู้ฝึกยุทธ์ที่พิชิตพื้นที่แห่งหนึ่งได้หรือไม่


โดยเฉพาะในข้อที่ว่ายอดฝีมือที่มีชาติกำเนิดมาจากกองทัพ พลังพิฆาตจะรุนแรงมากพิเศษ นี่ก็ยิ่งไม่ต้องสงสัยเลย


ในยุทธภพ การเข่นฆ่าของปรมาจารย์ส่วนใหญ่มักจะเป็นการงัดข้อกับคนในระดับที่ฝีมือสูสีเท่าเทียมกัน บนสนามรบแสวงหาคำว่าหนึ่งคนคือด่านปราการอันแน่นหนา ร้อยศัตรู พันศัตรูมิอาจต่อกร


เหยาหลิ่งจือกำวัตถุชิ้นหนึ่งที่มีลักษณะเหมือนก้อนเงินไว้ในมือแน่น วัตถุชิ้นนี้ก็คือเม็ดเสื้อเกราะสำนักการทหารที่มีมูลค่าควรเมือง อีกทั้งยังเป็นเสื้อเกราะจินอูจิงเหว่ย (จินอูคือนกสามขาในตำนาน จิงเหว่ยหมายถึงเส้นแวงและเส้นรุ้ง) ที่ระดับขั้นสูงยิ่งกว่าเสื้อเกราะน้ำค้างหวานที่ผู้ฝึกลมปราณบนภูเขาเรียกเหน็บแนมว่า ‘เสื้อเกราะแอ่งน้ำ’ คือสมบัติตระกูลเซียนอย่างสมชื่อ แค่นี้ก็รู้แล้วว่ากองทัพชายแดนสกุลเหยาฝากความหวังไว้ที่เหยาหลิ่งจือสูงแค่ไหน


ผู้ติดตามหนุ่มมองห้าคนที่อยู่บนชั้นสองแล้วตบโต๊ะ แสร้งพูดอย่างโมโหว่า “อาศัยว่ามีคนมาก เลยคิดจะข่มขู่ข้างั้นหรือ?”


ตอนที่คนหนุ่มพูดประโยคนี้ คิ้วตาของเขากลับแฝงไว้ด้วยรอยยิ้ม


ในโรงเตี๊ยมมีคนนั่งอยู่เต็มสามโต๊ะ ด้านนอกยังมีทหารม้าอีกหลายร้อยนาย คงเพราะรู้สึกได้ว่าตัวเองไร้ยางอายเกินไปหน่อย เขาจึงหลุดหัวเราะอย่างอดไม่ได้


ทหารกล้าในกองทัพซึ่งแต่งกายเป็นข้ารับใช้ที่นั่งอยู่อีกสองโต๊ะก็พากันหัวเราะตามอย่างครื้นเครง


พวกเขาไม่เห็นความเคลื่อนไหวของคนบนชั้นสองอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย แม้จะบอกว่าพลังอำนาจของคนเหล่านั้นน่าเกรงขามมากพอ ถึงขั้นทำให้จิตใจคนสั่นสะเทือนได้ แต่แล้วอย่างไรเล่า?


ก็แค่พวกคนบุ่มบ่ามในยุทธภพเท่านั้น


คนในยุทธภพของราชวงศ์ต้าเฉวียนถูกตัดกระดูกสันหลังกันไปนานแล้ว เป็นได้แค่สุนัขกลุ่มหนึ่งที่นอนหมอบส่ายหางขอความสงสารเมตตาอยู่หน้าประตูราชสำนักเท่านั้น


และคนที่ลงมือตัด ทุบกระดูกสันหลังของทั้งยุทธภพให้แหลกละเอียดด้วยมือตัวเอง วันนี้ก็นั่งอยู่ในโรงเตี๊ยมพอดี


ผู้ที่เจตนาดีไม่มา ผู้ที่มาเจตนาไม่ดี


เถ้าแก่เนี้ยะที่มีฉายาว่าจิ่วเหนียงไม่ได้รู้สึกโล่งอกเพราะการปรากฏตัวของเฉินผิงอัน กลับกันยังหนักใจมากกว่าเดิม


ก่อนหน้านี้ท่านปู่สามแจ้งชื่อแซ่ของตัวเองไปแล้ว แต่อีกฝ่ายก็ยังบีบบังคับกันถึงขนาดนี้ เห็นได้ชัดว่าตั้งใจมาเพราะคำว่า ‘เหยา’


หากเกิดข้อพิพาทกันขึ้นมา กลัวก็แต่ว่าอีกฝ่ายจะนำเรื่องนี้ไปสร้างความลำบากใจให้กับตระกูลเหยา


ผู้เฒ่าหลังค่อมที่อยู่ตรงผ้าม่านพยักหน้าให้สตรีแต่งงานแล้วเบาๆ


สตรีแต่งงานแล้วยิ้มขื่น เดิมทีอีกฝ่ายก็เหมือนนักประพันธ์ร่ำสุรา แต่ไม่ได้มุ่งเสพรสชาติของสุรา (สุภาษิตที่มีความหมายเปรียบเปรยถึงว่าเจตนาไม่ได้อยู่กับสิ่งที่ทำ แต่อยู่กับสิ่งอื่น หรือมีเจตนาอย่างอื่น) อยู่แล้ว พวกเขาอาจจะกลัวว่าใต้หล้ายังไม่วุ่นวายพอด้วยซ้ำ คงต้องการลากคนทั้งตระกูลเหยาลงน้ำ


ทั้งที่รู้ดีว่าทุกวันนี้ตระกูลเหยาอยู่ท่ามกลางมรสุมที่พัดแปรเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา ทางที่ดีที่สุดคือควรอยู่เงียบๆ ห้ามเคลื่อนไหวทำอะไร และนางกับโรงเตี๊ยมก็ได้แต่ทนแล้วทนอีก ทว่าเวลานี้นางกลับไม่อาจเกลี้ยกล่อมให้ทุกคนบนชั้นสองถอยกลับไป คนเขาหวังดีออกหน้าช่วยเหลือ แต่เจ้ากลับต้องการให้คนเขาทำตัวเป็นเต่าหดหัวในกระดอง สตรีแต่งงานแล้วทำเรื่องแบบนี้ไม่ได้จริงๆ


บัณฑิตชุดเขียวกล่าวอย่างสงสัย “คนพวกนี้คือ?”


สตรีแต่งงานแล้วยิ้มเฝื่อน “ผู้สูงศักดิ์ที่มาจากเมืองหลวง ไม่ควรมีเรื่องด้วย”


บัณฑิตร้องอ้อหนึ่งที ลังเลอยู่ครู่ใหญ่ ขณะที่กำลังจะพูด สตรีแต่งงานแล้วก็เอ่ยอย่างระอาใจเสียก่อน “จงขุย ถือว่าข้าขอร้องเจ้า เลิกก่อกวนได้แล้ว สถานการณ์ในตอนนี้วุ่นวายมาก ข้าไม่มีอารมณ์มาสนใจเจ้าอีก”


บัณฑิตถอนหายใจหนึ่งที แล้วก็ยอมปิดปากเงียบจริงๆ


เฉินผิงอันหลุบตามองต่ำมายังชั้นหนึ่ง ถามว่า “รังแกสตรีคนหนึ่งอย่างเถ้าแก่เนี้ยะ ไม่ค่อยมีคุณธรรมเท่าไหร่กระมัง?”


ผู้ติดตามหนุ่มหัวเราะคิกคัก “ออกมาทำการค้า รินเหล้าให้ลูกค้าแค่ไม่กี่จอก จะเรียกว่ารังแกได้อย่างไร?”


เฉินผิงอันชี้ไปที่หัวใจของชายหนุ่ม “ลองถามใจตัวเองดู”


คนหนุ่มอึ้งตะลึงไปก่อน แต่แล้วก็ยกถ้วยเหล้าขึ้นดื่มเหล้าคำใหญ่ ก่อนจะเช็ดปาก พูดด้วยรอยยิ้ม “หากประโยคนี้ออกมาจากปากของอาจารย์ฉู่แห่งสำนักศึกษา ข้าต้องตั้งใจใคร่ครวญให้ดีอย่างแน่นอน แต่เจ้าน่ะ คู่ควรด้วยหรือ?”


เฉินผิงอันยิ้มตอบ “เหตุผลก็คือเหตุผล ยังต้องแบ่งด้วยหรือว่าออกมาจากปากของใคร? เจ้าชอบรังแกคนที่อ่อนแอ หวาดกลัวคนที่แข็งแกร่งกว่าไม่ใช่หรือ? เชื่อว่าขอแค่เป็นคนที่หมัดแข็งแกร่งกว่าเจ้า จะมีเหตุผลหรือไม่ เจ้าก็คงต้องยอมฟังกระมัง?”


คนหนุ่มพยักหน้ารับ “คำพูดเหล่านี้ ข้ารับฟังไว้แล้ว มีเหตุผลมากจริงๆ”


จากนั้นเขาก็ขว้างถ้วยเหล้าที่อยู่ในมือ ชูแขนขึ้นสูง กางนิ้วทั้งห้าออกแล้วกำเป็นหมัดเบาๆ “ถ้าอย่างนั้นก็มาลองดูว่าหมัดใครแข็งกว่ากัน? ข้าอยากจะเห็นนักว่าในอาณาเขตของต้าเฉวียนแห่งนี้ จะมีสักกี่คนที่กล้างัดข้อกับข้า”


สตรีแต่งงานแล้วกังวลว่าเฉินผิงอันที่ยังเด็กจะใช้อารมณ์นำเหตุผล ชิงลงมือก่อน ถึงเวลานั้นจะเสียเปรียบอย่างหนัก จึงรีบเอ่ยเตือนว่า “คุณชายอย่าได้วู่วาม คนเหล่านี้ได้รับคำสั่งจึงออกมาจากเมืองหลวง มีพระราชโองการของฮ่องเต้อยู่กับตัว หากท่านลงมือก่อน ต่อให้มีเหตุผลก็อธิบายได้ไม่กระจ่าง”


ผู้ติดตามหนุ่มมองไปทางสตรีแต่งงานแล้วด้วยสายตามืดทะมึน “หุบปาก! เป็นแค่แม่หม้ายรองเท้าขาด (รองเท้าขาดเป็นคำด่าผู้หญิงที่มีความสัมพันธ์กับบุรุษไม่เลือกหน้า) มีสิทธิ์อะไรมาสอดปากพูด? รู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร?”


สตรีแต่งงานแล้วหน้าเขียวคล้ำ


ผู้ติดตามหนุ่มชี้ไปยังจิ่วเหนียง แล้วค่อยชี้ไปทางพวกเฉินผิงอันที่อยู่บนชั้นสอง แค่นเสียงเย็นกล่าวว่า “จิ่วเหนียงแซ่เหยาแอบสมคบคิดกับคนในยุทธภพของแคว้นอื่น หวังจะชิงรถนักโทษ มีโทษมหันต์”


สตรีแต่งงานแล้วเดือดดาลอย่างถึงที่สุด ในที่สุดก็หลุดด่าด้วยคำหยาบคาย “ตะพาบน้อยอย่างเจ้าเป็นใครกันแน่?!”


คนหนุ่มชี้ไปที่ตัวเอง พูดด้วยสีหน้าไร้เดียงสา “ข้า? ตะพาบน้อย?!”


เขากระแอมหนึ่งที จัดระเบียบเสื้อผ้าตัวเอง ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “อิงตามคำพูดของเหยาฮูหยินท่านนี้ เกาซื่อเจินก็ต้องเป็นตะพาบเฒ่าสินะ ฮ่าๆ เจ้าว่าตลกหรือไม่? กลับไปบ้านข้าจะต้องเอาเรื่องตลกนี้ไปเล่าให้เกาซื่อเจินฟังสักหน่อย”


จิ่วเหนียงสตรีแต่งงานแล้วกับท่านปู่สามผู้เฒ่าหลังค่อมหันมามองตากัน ต่างคนต่างใจสั่น


เซินกั๋วกง เกาซื่อเจิน!


ท่านกั๋วกงบุคคลผู้มากความสามารถที่หาได้ยากในราชวงศ์ต้าเฉวียน ได้รับความสำคัญจากฮ่องเต้องค์ปัจจุบันอย่างยิ่ง


ต้าเฉวียนสงบสุขมานาน สกุลหลิวสืบทอดแคว้นมาถึงสองร้อยปี ยุคแรกของการก่อตั้งประเทศ คนต่างแซ่ที่ได้รับบรรดาศักดิ์รวมแล้วมีจวิ้นหวังสามคน กั๋วกงเจ็ดคน แต่ผู้ที่สามารถสืบทอดบรรดาศักดิ์มาจนถึงทุกวันนี้กลับมีแค่สายของเซินกั๋วกงสายเดียว คนอื่นๆ ล้วนทุบถ้วยข้าวที่บรรพบุรุษใช้ชีวิตแลกมาทิ้งไปหมดแล้ว และเซินกั๋วกงก็มีบุตรชายอยู่คนเดียว เป็นบุตรชายที่ได้มาตอนเขาอายุมากแล้ว ก็คือกั๋วกงน้อยเกาซู่อี้ อยู่ในเมืองหลวงเจ้าหมอนี่ก็มีชื่อเสียงว่าเป็นลูกหลานเชื้อพระวงศ์ที่กำเริบเสิบสาน โด่งดังไปทั่วราชสำนัก อาศัยร่มเงาของบรรพบุรุษสร้างหายนะใหญ่ครั้งแล้วครั้งเล่า แต่กลับอยู่รอดปลอดภัยมาได้ทุกครั้ง ความใจกว้างที่ฮ่องเต้มีต่อเกาซู่อี้ ไม่ว่าองค์ชายหรือองค์หญิงคนใดก็ไม่อาจทัดเทียมได้


ดังนั้นวงการขุนนางของราชสำนักจึงมีคำกล่าวหนึ่งบอกว่า กั๋วกงน้อยออกจากจวน แผ่นดินไหวภูเขาโยกคลอน


ลูกหลานผู้สูงศักดิ์ที่มีชื่อเสียงฉาวโฉ่ขนาดนี้มาเข้าร่วมการกรีฑาทัพลงใต้ครั้งนี้ได้อย่างไร? แม้ฮ่องเต้จะปฏิบัติต่อสายของเซินกั๋วกงดีเป็นพิเศษ ทว่าด้วยความปรีชาของฮ่องเต้ย่อมไม่มีทางทำเรื่องเหมือนเด็กเล่นขายของแบบนี้เด็ดขาด


คนในราชวงศ์ต้าเฉวียนที่ไม่กลัวว่าจะหาเรื่องให้ไฟลุกลามไหม้ตัวมากที่สุด เกรงว่าคงเป็นเกาซู่อี้ที่ไร้ขื่อไร้แปผู้นี้แล้ว


ซ่งเซียวแม่ทัพใหญ่ที่คุณูปการการต่อสู้เกริกก้อง ควบตำแหน่งเจ้ากรมกลาโหม หลังจากที่หลานชายคนโตถูกเกาซู่อี้รังแก ก็ยังได้แค่ด่าเกาซู่อี้ประโยคหนึ่งว่าไม้กวนขี้


บนชั้นสอง เว่ยเซี่ยนอธิบายถึงภูมิหลังของเซินกั๋วกงให้เฉินผิงอันฟังเบาๆ


เฉินผิงอันพยักหน้ารับ และในขณะที่ทุกคนนึกว่าเขาที่รู้ถึงปัญหาแล้วจะยอมถอยนั้นเอง เขาที่อยู่บนชั้นสองกลับมาปรากฎตัวอยู่ตรงหน้าท่านกั๋วกงน้อยในเวลาเพียงชั่วพริบตา


……


บนถนนด้านนอกโรงเตี๊ยม ทหารม้าคนหนึ่งที่อยู่ด้านหลังสารถีกำลังเคี้ยวอาหารแห้งฝืดคอ บางครั้งก็ยกกาน้ำขึ้นดื่ม


เขาเงยหน้ามองนกพิราบส่งสารตัวหนึ่งที่บินขึ้นไปจากด้านหลังโรงเตี๊ยม แล้วก็มีคนวิ่งตะบึงออกมา รอให้ทหารม้าออกคำสั่ง บนไหล่ของทหารม้าผู้นี้มีนกอินทรีสีขาวปลอดลักษณะสูงสง่าตัวหนึ่งยืนเกาะอยู่ เขาเพียงโบกมือเอ่ยว่า “ไม่ต้องสนใจ”


คนผู้นั้นจึงถอยออกไปเงียบๆ


ทหารม้าก็คือคนที่นำข่าวมาส่งให้โรงเตี๊ยมตอนแรกสุดคนนั้น สารถีที่อยู่ข้างกายเขายืดเอวตั้งตรง ไม่กล้าขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย


มีผู้เฒ่าคนหนึ่งเลิกผ้าม่านเดินออกมา ถามด้วยรอยยิ้มว่า “องค์ชาย เหตุใดถึงไม่เข้าไปในโรงเตี๊ยมด้วยกันเล่า?”


บุรุษยิ้มให้แล้วส่ายหน้า


การควบคุมตัวเองคือความรู้ที่ยิ่งใหญ่อย่างหนึ่ง


สำหรับคนที่เกิดมาในครอบครัวของเชื้อพระวงศ์อย่างพวกเขาแล้ว การควบคุมคนเป็นเรื่องที่ได้รับกล่อมเกลาจากสิ่งที่เห็นและได้ยินมาตั้งแต่เด็ก และการใช้ประวัติศาสตร์มาเป็นกระจกเงาก็ยิ่งไม่ใช่เรื่องยาก


บทที่ 336.2 การคุมเชิงระหว่างราชสำนักกับป่าเขา

ProjectZyphon

ในรถมีผู้ฝึกลมปราณสองคนนั่งขัดสมาธิอยู่ หนึ่งแก่หนึ่งเด็ก รับผิดชอบคอยเฝ้านักโทษคนหนึ่งที่มีความสำคัญสูงสุดคุมตัวไปส่งยังเมืองเซิ่นจิ่งซึ่งเป็นเมืองหลวงของต้าเฉวียน คนที่พูดกับทหารม้าคือผู้เฒ่าแก่หง่อมที่สวมชุดเต๋าสีม่วง สวมกวานหางปลาไว้บนศีรษะ มือข้างหนึ่งถือปลายเชือก มืออีกข้างหนึ่งถือแส้ปัดฝุ่น


นักโทษผมเผ้ายุ่งเหยิง บนตัวเต็มไปด้วยคราบเลือด ก้มหน้าไม่พูดไม่จา มองเห็นหน้าตาไม่ชัด


ชุดคลุมสีทองขาดวิ่นไม่เหลือสภาพดี ตรงข้อมือและข้อเท้าต่างก็ถูกปักตรึงด้วยวัตถุลักษะคล้ายวัชระ


นอกจากนี้บนลำคอยังมีเชือกสีดำรัดพัน ปลายเชือกอีกฝั่งหนึ่งถูกนักพรตผู้เฒ่าถือไว้ในมือ


จุดที่น่าสังเวชที่สุดของนักโทษอยู่ตรงหว่างคิ้วของเขาที่ถูกกระบี่บินเล่มหนึ่งแทงทะลุศีรษะ ปลายกระบี่โผล่ออกมาจากท้ายทอยด้านหลัง ปักคาหัวของเขาอยู่อย่างนี้


นักโทษคนนี้คือเทพแห่งภูเขาและแม่น้ำที่ได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการคนหนึ่ง เคยเป็นผู้ฝึกลมปราณขอบเขตเจ็ดขั้นสูงสุด หากอยู่ในพื้นที่การปกครองของตัวเอง อย่างน้อยก็มีตบะเทียบเท่าขอบเขตแปด อยู่ในแม่น้ำและภูเขาของพื้นที่แถบหนึ่งสามารถเรียกตัวเองเป็นราชาเป็นอริยะ เมื่อเจอกับขอบเขตเก้าโอสถทองก็ยังมีพลังให้ต่อสู้ได้ เพียงแต่ไม่รู้ว่าทำไมถึงตกอยู่ในสภาพเช่นนี้


ในห้องโดยสารนอกจากผู้เฒ่าของลัทธิเต๋าแล้วยังมีหญิงสาวอยู่อีกคน ดวงตาของนางที่มองนายทหารท่านนั้นเปล่งประกายระยิบระยับ แม้จะไม่ได้พูดออกมา แต่ความหมายที่ซ่อนอยู่ภายในกลับฉายชัดโดยไม่ต้องเอื้อนเอ่ย


หน้าตาของหญิงสาวแค่เรียกได้ว่าหมดจดเกลี้ยงเกลาเท่านั้น เพียงแต่บุคลิกกลับโดดเด่น ผิวพรรณขาวเปล่งปลั่งยิ่งกว่าหิมะ เมื่อเทียบกับสาวงามในสายตาของมนุษย์ธรรมดาแล้วก็ยิ่งคู่ควรกับคำว่า ‘นวลเนียนผุดผาด’ ถึงอย่างไรในสายตาของผู้ฝึกตนบนภูเขา หากสืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้ว สาวงามในโลกมนุษย์ก็เป็นแค่เนื้อหนังมังสาที่เน่าเหม็น ผิวพรรณหยาบกระด้าง มีกลิ่นแตกต่างกันออกไป หากมองอย่างละเอียดก็จะเห็นว่าเต็มไปด้วยจุดด่างพร้อย


ทหารม้าพลันหันหน้ามองไปทางโรงเตี๊ยมคล้ายรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย


สีหน้าของผู้เฒ่าเองก็เผยความตกตะลึง “ช่างเป็นพลังอำนาจของผู้ฝึกยุทธ์ที่น่าตะลึงยิ่งนัก อีกทั้งยังมีจำนวนมากขนาดนี้ โรงเตี๊ยมเล็กๆ ริมชายแดนแห่งหนึ่งเป็นถ้ำพยัคฆ์บ่อมังกรได้ขนาดนี้เชียวหรือ? หรือว่ากั๋วกงน้อยทายถูกแล้ว เป็นยอดฝีมือของเป่ยจิ้นที่ทุ่มหมดหน้าตัก หมายจะมาชิงตัวนักโทษ?”


หญิงสาวถามหยั่งเชิง “จะให้ข้าไปเตือนท่านกั๋วกงสักหน่อยไหม?”


ทหารม้าส่ายหน้า กล่าวยิ้มๆ ว่า “ใต้ฝ่าเท้าของพวกเราคือแผ่นดินแคว้นต้าเฉวียน เว้นเสียแต่ว่าตระกูลเหยาคิดจะก่อกบฏ ก็ไม่มีทางมีอันตรายอะไรได้”


ดวงตาของนักพรตเฒ่าชุดเต๋าเปล่งแสงวูบวาบ ไม่ได้เอ่ยคำใด


ครู่หนึ่งต่อมา เซียนซือผู้เฒ่ากำลังจะพูด ทหารม้าคนนี้กลับกระโดดลงจากรถม้า เดินตรงดิ่งเข้าไปในโรงเตี๊ยมแล้ว


หลังจากที่นายทหารม้าจากไป หญิงสาวที่มาจากตระกูลเซียนบนภูเขาคนนั้นก็ถามขึ้นเบาๆ ว่า “อาจารย์ ท่านกั๋วกงน้อยบีบบังคับคนตระกูลเหยาถึงเพียงนี้ อีกทั้งองค์ชายเองก็ไม่ทรงห้ามปราม จะไม่เป็นอะไรจริงๆ หรือ?”


ผู้เฒ่าโบกมือ “ใต้หล้านี้ใครก็อาจก่อกบฏได้ มีแต่ตระกูลเหยาที่ไม่ทำเช่นนั้น เป็นขุนนางผู้ภักดีต่อแคว้นมานานแล้ว…”


มุมปากของผู้เฒ่าคลี่ยิ้มเย็นชา “ก็อาจจะเสพติดไปแล้วจริงๆ”


นักโทษคนนั้นยังคงก้มหน้า แต่กลับพูดกลั้วหัวเราะอย่างสาแก่ใจ “พูดถึงขุนนางผู้ภักดีและเสาหลักที่ช่วยค้ำยันชายแดน กลับใช้คำพูดดูแคลนเห็นเป็นเรื่องตลก ต่อให้ราชวงศ์ต้าเฉวียนของพวกเจ้าจะเรืองอำนาจได้ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง แต่แล้วจะอย่างไรเล่า?”


“ยังกล้าปากดี!”


เซียนซือผู้เฒ่าสะบัดข้อมือหนึ่งครั้ง เชือกเส้นนั้นพลันรัดคอนักโทษแน่น นักโทษสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง กัดฟันแน่น ให้ตายก็ไม่ยอมส่งเสียงใดออกมา


ในโรงเตี๊ยม ภาพเหตุการณ์ประหลาดพลันเกิดขึ้น


คนชุดขาวมาโผล่กลางห้องโถงใหญ่อย่างไม่มีลางบอกเหตุ


กั๋วกงน้อยเกาซู่อี้สัมผัสได้ว่าท่าไม่ดี ขณะที่กำลังจะก้าวถอยหลังอย่างตกใจ กลับรู้สึกว่าตาลายในฉับพลัน และไหล่ก็ถูกคนคว้าจับเอาไว้


คนอีกสามโต๊ะที่เหลือ นอกจากขันทีที่ยังคงดื่มเหล้าอยู่เหมือนเดิม ทำเป็นมองไม่เห็นเหตุการณ์นี้แล้ว


เซียนซือกวานสูงและแม่ทัพเกราะเงินต่างลุกขึ้นยืน คิดจะช่วยเกาซู่อี้ แต่กลับต้องหยุดชะงัก


เพราะมีกระบี่ยาวสีแดงสดเล่มหนึ่งพุ่งจากชั้นสองมาหยุดลอยอยู่ระหว่างโต๊ะสองตัว ปลายกระบี่ชี้ไปที่เซียนซือกวานสูง


ส่วนแม่ทัพเกราะเงินคนนั้น หลังจากหยุดชะงักแล้วก็หันไปมอง เห็นว่ามีคนบนชั้นสองเดินขยับออกมา ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม มือจับด้ามดาบ หยุดหิมะดาบแคบในมือเหมือนจะหลุดมิหลุดจากฝัก


บุรุษร่างเล็กเตี้ยพลิกตัวข้ามราวระเบียง พลิ้วกายลงตรงธรณีประตูของชั้นหนึ่ง ราวกับว่าจะใช้กำลังของตัวเองคนเดียวขัดขวางทหารม้าหลายร้อยนายที่อยู่ข้างนอก


ขันทีวัยกลางคนที่สวมชุดหม่างสีแดงมองเหมือนคนอายุสามสิบ แต่ในความเป็นจริงกลับอายุมากถึงแปดสิบปีแล้ว คือหนึ่งในปรมาจารย์ใหญ่วิถีวรยุทธ์ของราชวงศ์ต้าเฉวียน ได้รับการขนานนามให้เป็นโส่วกงไหว (ชื่อของต้นไหวชนิดหนึ่ง ตอนกลางวันใบจะหุบ ตอนกลางคืนใบจะขยายออก) แห่งวังหลวงต้าเฉวียน หลังจากที่เขามีชื่อเสียงขึ้นมา วังหลวงต้าเฉวียนที่แต่เดิมมักมีข่าวว่าภูตผีออกอาละวาดก็ไม่เคยมีข่าวลือที่แปลกประหลาดอีกเลย ทุกเรื่องเหมือนหายเข้ากลีบเมฆไปหมด


แต่ว่าจุดที่ร้ายกาจอย่างแท้จริงของขันทีใหญ่ท่านนี้อยู่ที่ปีนั้นเขาสามารถซื้อใจพวกลูกสมุนในยุทธภพมาได้กลุ่มใหญ่ ไล่ตัดรากถอนโคนพรรคอันดับต้นๆ ในยุทธภพหลายสิบพรรคที่อยู่ในอาณาเขตของราชวงศ์ต้าเฉวียน ตลอดเวลาสามปี ทั่วทุกหนแห่งในยุทธภพมีแต่ลมคาวฝนเลือด ไม่ว่าจะฝ่ายธรรมะหรือฝ่ายอธรรมก็ล้วนส่งคนมาลอบฆ่าขันทีเฒ่าผู้นี้อยู่หลายครั้ง แต่ทุกครั้งล้วนกลับไปมือเปล่าเหมือนกันอย่างไม่มีข้อยกเว้น


คนสองคนที่นั่งร่วมโต๊ะกับขันทีเฒ่า เซียนซือกวานสูงชื่อว่าสวีถง คือประมุขคนปัจจุบันของอารามฉ่าวมู่ซึ่งเป็นตระกูลเซียนอันดับหนึ่งในอาณาเขตของต้าเฉวียน เชี่ยวชาญวิชาสายฟ้า สามารถออกคำสั่งแก่ภูตผีหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เรียกตัวมาให้ตัวเองใช้งาน อีกทั้งยังเป็นยอดฝีมือด้านวิชาแพทย์ เชี่ยวชาญการหลอมยา ยาที่หลอมออกมาคือสิ่งที่เหล่าผู้สูงศักดิ์ในราชวงศ์ต้าเฉวียนแย่งชิงกันอย่างบ้าคลั่ง


แม่ทัพเกราะเงินสวี่ชิงโจว คือยอดฝีมือสูงสุดที่มีน้อยจนนับนิ้วได้ในกองทัพต้าเฉวียน อายุไม่ถึงสี่สิบปี ทว่ากลับฝึกวิชาเลี่ยนเหิงได้ถึงขั้นสูงสุดแล้ว ‘ต้าเฉี่ยว’ ดาบเล่มใหญ่ที่พกไว้ตรงเอวก็ยิ่งเป็นอาวุธหนักชิ้นสำคัญของสำนักการทหาร ได้ทั้งโจมตีและป้องกัน ทุกครั้งที่ลงสนามรบจะต้องบุกนำเป็นทัพหน้า รุดโจมตีศัตรูอย่างห้าวหาญ


เกาซู่อี้โคจรลมปราณดิ้นรนขัดขืน แต่ก็ไร้ประโยชน์


เขาไม่เพียงแต่ไม่มีความหวาดกลัว กลับยังกดยิ้มลึกกว่าเดิม “ตระกูลเหยาของพวกเจ้าคิดจะก่อกบฏจริงๆ งั้นรึ?”


คนชุดขาวเพิ่มแรงอีกเล็กน้อย เกาซู่อี้ปวดไหล่แปลบเป็นระลอก แต่ก็ยังฝืนรักษารอยยิ้มบนใบหน้าเอาไว้


คนผู้นั้นพูดกับเขาว่า “ข้าเป็นแค่คนผ่านทางมา เจ้าหาเรื่องข้าไม่เลิกแบบนี้ ถ้าอย่างนั้นหลังจากสังหารเจ้าแล้ว ข้าก็แค่หนีไปทางแคว้นเป่ยจิ้น ส่วนตระกูลเหยาอะไรนี่ พวกเจ้าอยากจะสาดน้ำโคลนใส่พวกเขาก็สาดไป ข้าไม่คิดจะสนใจ”


คำพูดหลอกเด็กพวกนี้ ใครจะเชื่อ?


เกาซู่อี้แยกเขี้ยว เหงื่อไหลเต็มหน้าผาก “แน่จริงเจ้าก็ฆ่าข้าสิ”


เฉินผิงอันเขม้นมองเขา


เกาซู่อี้พูดกับเฉินผิงอันด้วยน้ำเสียงที่เบามาก “เจ้ารู้หรือไม่ ข้าถูกใจแม่ลูกคู่นั้น ถือเป็นความโชคดีของพวกนาง หาไม่แล้วหลังจากสกุลเหยาถูกฆ่าล้างตระกูล อีกไม่นานพวกนางก็จะถูกส่งตัวไปที่หน่วยเลี้ยงรับรอง (หน่วยงานของทางการ ทำหน้าที่รับรองแขก ทำการแสดง เล่นดนตรี ขณะเดียวกันก็ถือเป็นหอนางโลมของทางการด้วย) กลายเป็นนางบำเรอที่ต้องรองรับอารมณ์บุรุษไม่เลือกหน้า ถึงเวลานั้นเจ้าก็ลองไปชิมรสชาติของพวกนางดูได้”


กั๋วกงน้อยเพิ่งจะพูดจบ หมัดของเฉินผิงอันก็ส่งมาถึง


ต่อยเข้าที่หน้าผากของเกาซู่อี้โดยตรง


พละกำลังหนักหน่วง ประหนึ่งก้อนหินยักษ์ที่จู่โจมเมือง


ศีรษะของเกาซู่อี้เหวี่ยงไปด้านหลัง แม้ว่าหยกพกตรงเอวจะมีประกายแสงห้าสีสว่างวาบขึ้นมาระลอกหนึ่งแล้วมารวมตัวกันตรงหน้าผากในเสี้ยววินาที แต่เขาก็ยังถูกหมัดนี้ต่อยจนหมดสติกลางอากาศ น้ำลายฟูมปาก


หลังรับพลังจากหนึ่งหมัดมา หยกประดับคุ้มกันกายชิ้นนั้นก็เกิดรอยร้าว


เนื่องจากไหล่ถูกเฉินผิงอันจับไว้ตลอดเวลา ศีรษะของเกาซู่อี้จึงเหวี่ยงไปแล้วเหวี่ยงกลับเหมือนชิงช้า เฉินผิงอันปล่อยหมัดที่สองใส่คนผู้นี้


ดึงผมเส้นเดียวกระตุกทั้งตัว (เปรียบเปรยว่าแม้จะเป็นส่วนที่เล็กมาก แต่กลับส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง คล้ายสำนวนน้ำผึ้งหยดเดียว)


เสียงปังดังลั่น


ขันทีวัยกลางคนวางตะเกียบลงอย่างแรง พูดด้วยเสียงนุ่มนวล “เจ้าหนุ่ม แค่พอหอมปากหอมคอก็พอแล้วกระมัง”


แม้ความประทับใจที่มีต่อกั๋วกงน้อยผู้มีอุบายลึกล้ำจะไม่ถือว่าดีนัก แต่ก็คงปล่อยให้เกาซู่อี้ถูกคนฆ่าตายอยู่ภายใต้เปลือกตาของตนไม่ได้


หลังจากที่ขันทีผู้นี้ส่งเสียง เซียนซือสวีถงและแม่ทัพบู๊สวี่ชิงโจวก็รู้สึกโล่งอก


ทว่าคนผู้นั้นกลับยังไม่ยอมหยุดมือ


หยกประดับที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษของเกาซู่อี้ชิ้นนั้นแตกกระจาย


เมื่อหยกแตกเป็นผุยผง เกาซู่อี้กลับคืนสติ ใบหน้าของเขาแดงก่ำ ดวงตาเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอย พูดด้วยสีหน้าดุดัน “ไอ้ลูกหมา ข้าจะต้องทำให้เจ้าและตระกูลเหยาไร้ที่ฝังร่าง!”


ขันทีชุดหม่างสีแดงสดลุกพรวดขึ้นยืน คำรามเสียงดังสะเทือนเลือนลั่น กี่ปีมาแล้ว ยังมีคนกล้าทำตัวกำเริบเสิบสานต่อหน้าตนแบบนี้อีกหรือ?


เถ้าแก่เนี้ยะกรีดร้องเสียงแหลม “หยุดนะ!”


เฉินผิงอันหันกลับไปมอง สตรีแต่งงานแล้วส่ายหน้าเบาๆ สายตาของนางเต็มไปด้วยความร้อนใจ อยากจะพูดแต่กลับไม่กล้าพูดออกมาอย่างโจ่งแจ้ง ได้แต่เอ่ยอย่างคลุมเครือว่า “คุณชายมีอะไรก็ค่อยๆ พูดกันเถอะ เชื่อว่ากั๋วกงน้อยแค่ล้อพวกเราเล่นเท่านั้น”


ขันทีวัยกลางคนที่อับอายจนพานเป็นความโกรธพูดสรุปเหมือนตอกปิดฝาโลง “ไม่ต้องคุยแล้ว ตระกูลเหยาของพวกเจ้าร่วมมือกับคนของเป่ยจิ้นก่อกบฏ ตายไปก็ไม่น่าเสียดาย!”


ระหว่างที่พูดขันทีก็ประกบนิ้วสองนิ้วเข้าด้วยกัน แล้วปาดลงไปบนโต๊ะหนึ่งครั้ง


ชูอีสืออู่พุ่งออกมาจากน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ตรงเอวของเฉินผิงอัน แยกกันไปทำลายตะเกียบคู่นั้นให้แหลกอย่างรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ


หมัดที่สามต่อยจนร่างทั้งร่างของเกาซู่อี้ปลิวกระเด็นออกไป เว่ยเซี่ยนที่อยู่ตรงหน้าประตูขยับเบี่ยงหลบ ปล่อยให้ศพของกั๋วกงน้อยผู้นี้หล่นไปนอกโรงเตี๊ยม


ทหารม้าผู้นั้นเพิ่งจะเดินมาถึงตำแหน่งที่ห่างจากประตูไปไม่ไกล เห็นศพที่ตกมาอยู่บนพื้น เขาก็ยังไม่ทันคืนสติ เห็นได้ชัดว่าไม่กล้าเชื่อว่านี่คือความจริง


เฉินผิงอันหันไปพูดกับสตรีแต่งงานแล้ว “รู้หรือไม่ว่าทำไมแม่ทัพผู้เฒ่าเหยาถึงเกือบถูกลอบสังหารจนตาย? เพราะพวกเจ้าพูดง่ายเกินไป เห็นๆ กันอยู่ว่ามีคนรู้สึกว่าต่อให้แม่ทัพผู้เฒ่าตายไป ลูกหลานสกุลเหยาทุกคนก็ไม่มีใครกล้าพูด กล้าโมโห”


ดูเหมือนสตรีแต่งงานแล้วจะไม่ได้ยินคำพูดของเฉินผิงอัน สีหน้าของนางเหม่อลอย พูดพึมพำว่า “ตายแล้ว ถูกเจ้าฆ่าตายทั้งอย่างนี้แล้ว เซินกั๋วกงต้องเป็นบ้าแน่ และฮ่องเต้ก็ต้องพิโรธอย่างหนัก สกุลเหยาจบเห่แล้ว”


ผู้เฒ่าหลังค่อมที่ทำหน้าที่เป็นพ่อครัวของโรงเตี๊ยมก็ตื่นตระหนกทำอะไรไม่ถูกเช่นกัน


เด็กสาวเหยาหลิ่งจือก็ยิ่งมีสีหน้าตะลึงพรึงเพริด


ในโรงเตี๊ยม มีเพียงเสียงท่องหนังสืออย่างใส่อารมณ์จากเด็กหญิงที่อยู่บนชั้นสองเท่านั้น


และเวลานี้เอง บัณฑิตตกอับพลันยกมือตบไหล่สตรีแต่งงานแล้ว ทั้งๆ ที่หันหลังให้เฉินผิงอัน แต่กลับมีเสียงของเขาดังขึ้นมาในทะเลสาบหัวใจของเฉินผิงอันอย่างชัดเจน “เจ้าฆ่าให้เต็มที่ ข้าจะช่วยฝังเอง”


บทที่ 337 ย่อมมีช่วงเวลาที่เหตุผลใช้ไม่ได้ผล

ProjectZyphon

สำหรับคำพูดของบัณฑิต เฉินผิงอันเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง


นักพรตเฒ่าเคยพาเขาท่องชมชีวิตคนสารพัดรูปแบบในพื้นที่มงคลดอกบัว เฉินผิงอันจึงพอจะเข้าใจสถานการณ์ในวงการขุนนางได้คร่าวๆ เรื่องเละเทะครั้งนี้ นับตั้งแต่เฉินผิงอันลงมือก็วางแผนไว้แล้วว่าจะหนีไปทางทิศใต้ ไม่แน่ว่าอาจจะถูกผู้ฝึกลมปราณของราชวงศ์ต้าเฉวียนไล่ฆ่าไปไกลนับหมื่นลี้ ต่อให้บัณฑิตตกอับจะมีชาติกำเนิดมาจากสำนักใหญ่ของตระกูลเซียนบนภูเขาในใบถงทวีป อย่างเช่นหนึ่งในสี่กองกำลังใหญ่อย่างสำนักใบถงทวีป สำนักกุยหยก สำนักฝูจีและภูเขาไท่ผิง ก็ยังยากที่เขาจะรับมือกับสภาพการณ์ยากลำบากในครั้งนี้ได้อยู่ดี


ส่วนข้อที่ว่าบัณฑิตมาจากสำนักศึกษาแห่งใดแห่งหนึ่งของลัทธิขงจื๊อหรือไม่ เฉินผิงอันคิดว่าน่าจะไม่ใช่ เพราะในความทรงจำของเขา นักปราชญ์และวิญญูชนของสำนักศึกษา เว้นเสียจากว่าจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวพันถึงระบบสืบทอดของหนึ่งแคว้น ก็จะไม่มีทางเต็มใจ แล้วก็ไม่สามารถยื่นมือเข้าแทรก ‘เรื่องในบ้าน’ ของราชวงศ์โลกมนุษย์เด็ดขาด


ไม่ว่าจะอย่างไร เฉินผิงอันก็น้อมรับความหวังดีของบัณฑิตไว้แล้ว


เพียงแต่เฉินผิงอันไม่ได้บุ่มบ่ามหันไปมองบัณฑิต เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เผยพิรุธออกมา


เพราะคนที่เฉินผิงอันกริ่งเกรงมากที่สุดคือขันทีในวังที่สวมชุดหม่างสีแดงคนนั้น ปราณวิญญาณทั่วร่างของเขามารวมตัวกันได้ถึงระดับ ‘น้ำสักหยดก็มิอาจเล็ดรอด’ อย่างที่กล่าวถึงในตำนาน รวมตัวกันอยู่ตรงจุดตันเถียนเหมือนโคมไฟดวงหนึ่งที่แขวนไว้กลางช่องโพรงลมปราณ ทุกครั้งที่หายใจทอดยาว เดี๋ยวก็มืดเดี๋ยวก็สว่าง แสงสว่างดำรงอยู่อย่างยาวนาน แต่ความมืดมิดนั้นกลับเกิดขึ้นเพียงชั่วเวลาสั้นๆ แม้ว่าจะไม่สามารถส่องแสงสว่างได้ตลอดเวลา แต่ต่อให้ไม่ได้เป็นเซียนดินโอสถทองที่แท้จริงก็เกรงว่าอยู่ห่างแค่เสี้ยวเดียวเท่านั้น


แม้จะบอกว่าห่างหนึ่งก้าวก็แตกต่างราวฟ้ากับเหว มีเพียงผู้ที่สร้างโอสถทองได้สำเร็จเท่านั้นถึงจะเป็นคนรุ่นเดียวกับข้า


ทว่าคำพูดเช่นนี้ต้องเป็นเทพเซียนบนภูเขาที่มีขอบเขตเซียนดินเท่านั้นถึงจะมีคุณสมบัติพูดได้ สำหรับผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตกลางและผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวที่ต่ำกว่าขอบเขตบังคับลมทุกคนแล้ว การดำรงอยู่ของคนที่สร้างโอสถทองได้ครึ่งหนึ่งก็ยังถือว่าสูงส่ง แค่ยกมือหรือขยับเท้าก็มีพลังอำนาจน่าครั่นคร้าม


นอกโรงเตี๊ยม หรือบางทีควรพูดว่าในการมองเห็นของเว่ยเซี่ยนที่ยืนอยู่หน้าประตู


ผู้ฝึกลมปราณคนแล้วคนเล่าพุ่งทะยานมาพลิ้วกายหยุดอยู่ข้างนายทหารม้าหนุ่ม สองคนในนั้นก็คือเซียนซือแก่หง่อมที่อยู่ในห้องโดยสารก่อนหน้านี้ ในมือของเขาถือแส้ปัดฝุ่น และอีกคนคือผู้ฝึกตนสาว


ด้านหลังผู้ฝึกลมปราณหลายสิบคนคือทหารกล้าบนหลังม้าหลายร้อยนายที่กระจายตัวกันจัดวางค่ายกลอย่างรวดเร็ว พวกเขาโอบล้อมโรงเตี๊ยมไว้อย่างแน่นหนาจนน้ำสักหยดก็เล็ดรอดออกไปไม่ได้ ธนูแต่ละคันที่ทางราชสำนักสร้างขึ้นเป็นพิเศษ ทุกครั้งที่นำออกจากคลังสรรพาวุธล้วนจำเป็นต้องรายงานให้ที่ว่าการของกรมกลาโหมทราบ ไม่ว่าจะถูกทำให้เสียหาย ถูกทำลายหรือสูญหายก็ล้วนจำเป็นต้องไล่ตรวจสอบทีละชิ้นอย่างละเอียด


ทหารม้าหนุ่มทรุดตัวลงนั่งยอง สหายที่สนิทกันมาหลายปีตายตาไม่หลับ ดวงตาที่เบิกโพลงเต็มไปด้วยความตะลึงพรึงเพริดและสงสัย ทหารม้าเอามือลูบใบหน้าของกั๋วกงน้อยเบาๆ เพื่อให้เขาได้นอนตายตาหลับ


เห็นได้ชัดว่าเขาต่างหากที่เป็นผู้บงการตัวจริง ศพของเกาซู่อี้ที่จมน้ำในยุทธภพ (ยุทธภพอ่านว่าเจียงหู เจียงหูอีกความหมายหนึ่งคือแม่น้ำและทะเลสาบ) ตายอยู่บนพื้นนี้ แท้จริงแล้วคือสหายร่วมเรียนของคนผู้นี้ และในความเป็นจริงนอกจากเกาซู่อี้แล้ว ในโรงเตี๊ยมยังมีคนหนุ่มอยู่อีกสองคนที่ต่างก็เป็นสหายร่วมเรียนขององค์ชายยามเยาว์ซึ่งไม่มีทั้งตำแหน่งขุนนางและไม่ได้รับเงินเดือน พวกเขาต่างก็มาจากตระกูลของขุนนางผู้สร้างคุณความชอบ นี่ก็เพื่อให้วันใดวันหนึ่ง คำเรียกขานว่าองค์ชายจะเปลี่ยนไปเป็นองค์รัชทายาท หากสามารถเปลี่ยนจากองค์ชายเป็นฮ่องเต้ได้โดยตรงก็ยิ่งดีเข้าไปอีก


นายทหารหนุ่มก็คือหลิวเม่าองค์ชายสามแห่งราชวงศ์ต้าเฉวียน แม้พี่ชายสองคนอย่างองค์ชายใหญ่และองค์ชายรองต่างก็มีชื่อเสียงบารมีอย่างสูงอยู่ในกลุ่มขุนนางฝ่ายบุ๋นและแม่ทัพฝ่ายบู๊ ทว่าหลิวเม่ากลับเป็นองค์ชายที่ได้รับความรักความโปรดปรานมากที่สุด อีกทั้งในหมู่ชาวบ้านยังลือกันว่าตอนเด็กองค์ชายท่านนี้ชอบแอบออกจากวังมาท่องเที่ยวหาประสบการณ์อยู่ด้านนอก ทุกครั้งที่กลับเข้าวังจะต้องเอาเรื่องน่าสนใจในหมู่ชาวบ้านและเรื่องราวในยุทธภพมากมายไปเล่าให้ฮ่องเต้ฟัง ทำให้ฮ่องเต้สำราญพระทัยอย่างยิ่งยวด


บวกกับที่แม่แท้ๆ ของหลิวเม่าเป็นสนมที่โอรสสวรรค์องค์ปัจจุบันรักใคร่มากที่สุด แต่นางกลับป่วยตายจากไป ฮ่องเต้หลิวเจินจึงยิ่งให้การปกป้องดูแลหลิวเม่ามากขึ้น คงจะเป็นเพราะรักใครก็ต้องรักนกที่เกาะชายคาบ้านคนผู้นั้นด้วย พวกเกาซู่อี้ที่เหล่าขุนนางเก่าแก่ส่งให้มาเป็นสหายร่วมเรียนในจวนองค์ชายสามจึงได้รับการปฏิบัติที่พิเศษกว่าคนอื่นไปด้วย


หลิวเม่าลุกขึ้นยืน บอกให้คนมาแบกศพของเกาซู่อี้ออกไป ก่อนจะหันไปพูดกับโรงเตี๊ยมว่า “ข้าประหลาดใจยิ่งนัก ในเมื่อเจ้าคิดจะช่วยสกุลเหยา เหตใดถึงต้องดึงดันสังหารบุตรชายของเซินกั๋วกง? เหตุใดถึงไม่ยอมรอ รอให้นกพิราบส่งสารของโรงเตี๊ยมส่งไปถึงสกุลเหยา ให้แม่ทัพผู้เฒ่าเหยาออกหน้ามาคลี่คลายเรื่องนี้ด้วยตัวเอง? สังหารเกาซู่อี้ไปแล้วยังจะเหลือพื้นที่ให้พูดคุยกันได้อีกงั้นรึ?”


เว่ยเซี่ยนยืนเอียงตัวพิงประตูใหญ่ รู้สึกว่าน่าสนใจไม่น้อย


เหยาเจิ้นแม่ทัพใหญ่เจิงหนันเพิ่งจะถูกลอบสงหาร ได้รับบาดเจ็บไม่เบา ต่อให้ได้ข่าวจากโรงเตี๊ยมก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะเร่งรุดมาที่นี่ด้วยตัวเอง มีความเป็นไปได้มากว่าจะส่งบุตรหลานสายตรงสกุลเหยาหรือไม่ก็คนสนิทมาทำหน้าที่ไกล่เกลี่ยกับเกาซู่อี้ที่เหมือนหมาบ้ากัดคนไม่เลือกหน้า การที่เชื้อพระวงศ์ต้าเฉวียนซึ่งอำพรางตัวอย่างลึกล้ำตรงหน้าผู้นี้จงใจมาหยุดอยู่หน้าโรงเตี๊ยม ใช้ข้ออ้างว่ามาเยือนเพราะได้ยินชื่อเสียงของเหล้าบ๊วยมานาน เห็นได้ชัดว่าต้องการฉวยโอกาสจูงแกะติดมือไป แกะที่เขาต้องการจะจูงไปนั้น แน่นอนว่าต้องเป็นแกะหัวหน้าฝูงของกองทัพม้าเหล็กตระกูลเหยาอย่างเหยาเจิ้นที่อยู่ไกลถึงชายแดน ในมือกุมอำนาจควบคุมกองทัพใหญ่ ความกำเริบเสิบสานของเกาซู่อี้ใช่ว่าจะเป็นการแสดงไปซะทั้งหมด ให้เขากระโดดออกมาทะเลาะกับลูกหลานสกุลเหยาทุกคนที่นอกเหนือจากตัวเหยาเจิ้นเอง ก็ถือว่าเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมพอดี หากเหยาเจิ้นมาเยือนด้วยตัวเอง เกาซู่อี้จะไม่ใช่คนที่เหมาะสมอีกต่อไป ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่เพราะเกาซื่อเจินเซินกั๋วกงอยู่คนละรุ่นกับเหยาเจิ้น แต่เพราะนอกจากเหยาเจิ้นแล้ว ทุกคนล้วนเป็นลูกพลับนิ่มที่เกาซู่อี้สามารถบีบได้ตามใจชอบ ดังนั้นไม่ว่าสกุลเหยาจะส่งคนมามากน้อยเท่าไหร่ก็มีแต่จะมาเพิ่มความสนุกให้ฝ่ายตรงข้ามเท่านั้น ยิ่งเป็นการเผาผลาญพลังต้นกำเนิดของตัวเอง และสถานการณ์ก็มีแต่จะเลวร้ายขึ้นเรื่อยๆ


เว่ยเซี่ยนแน่ใจเลยว่า ฮ่องเต้หลิวเจินที่ปีนี้พลาดงานพิธีใหญ่ไปหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นงานฉลองจ้วงหยวน พิธีบวงสรวงฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วงสองครั้งที่ต่างก็ไม่ได้เผยตัว นี่หมายความว่าหากหลิวเจินไม่ได้ป่วยหนักก็มีความเป็นไปได้สูงว่าเจอกับเหตุไม่คาดฝัน สูญเสียอำนาจในการควบคุมราชสำนักไปอย่างสิ้นเชิง การช่วงชิงตำแหน่งรัชทายาทที่เดิมทีต้องให้องค์ชายแต่ละคนแสดงความสามารถดุจนกยูงรำแพนหางกลับเปลี่ยนมาเป็นการช่วงชิงบัลลังก์มังกรโดยตรง ซึ่งแน่นอนว่าต้องยิ่งดุเดือดโหดร้าย มีแต่กลิ่นคาวเลือดมากกว่าเดิม


หากสกุลเหยาไม่เคยเกี่ยวดองกับตระกูลใหญ่ในเมืองหลวง ไม่เคยมีความสัมพันธ์กับเจ้ากรมขุนนางผ่านทางลูกเขยอย่างหลี่ซีหลิง แต่ทำตามกฎระเบียบที่บรรพบุรุษกำหนดไว้ พวกเขาก็ยังมีโอกาสได้เฝ้าพิทักษ์ชายแดนต่อไปอย่างมั่นคงจริงๆ รอจนการเข่นฆ่าในเมืองหลวงที่เต็มไปด้วยบรรยากาศเลวร้ายสิ้นสุดลง ถึงเวลานั้นหากเหยาเจิ้นไม่ส่งบุตรชายคนโตเข้าเมืองหลวงไปพบฮ่องเต้องค์ใหม่เพื่อแสดงความจงรักภักดี ก็ต้องเป็นฮ่องเต้ที่เสด็จมาเยือนชายแดนใต้เพื่อซื้อใจคนตระกูลเหยาด้วยพระองค์เอง


คำพูดเหล่านี้ขององค์ชายสามหลิวเม่าที่อยู่นอกโรงเตี๊ยม แท้จริงแล้วไม่ได้พูดให้เฉินผิงอันฟัง แต่จงใจพูดให้จิ่วเหนียงและผู้เฒ่าหลังค่อมของโรงเตี๊ยมฟัง


หากอีกฝ่ายฟังเข้าหู ถ้าอย่างนั้นสถานการณ์ในโรงเตี๊ยมก็จะยิ่งน่าสนใจ


เจ้าเฉินผิงอันทุ่มสุดชีวิตเพื่อปกป้องตระกูลเหยา หากตระกูลเหยาไม่รับน้ำใจ กลับยังหันมาตำหนิการกระทำนี้ของเจ้าว่าทำให้ตระกูลเหยากลายเป็นคนเนรคุณ เจ้าเฉินผิงอันที่ลงมือเพราะยึดถือคุณธรรมจะยังรักษาความเลือดร้อนนี้ไว้ได้อีกหรือไม่? จิตใจที่กล้าหาญรักในคุณธรรมทนรับการทำลายล้างจากภูเขามีดทะเลเพลิงได้เสมอ เมื่อพบเจอคนที่ถูกชะตาในยุทธภพ หนึ่งคำพูดมีค่าดุจทองคำ สามารถสละชีวิตเข้าช่วยเหลือ แต่สิ่งเดียวที่ทนรับไม่ได้มากที่สุดก็คือเหล้าหนึ่งจอกของคนเนรคุณ


หลิวเม่าหัวเราะเสียงเย็น “หรือเจ้าคิดจะบีบให้สกุลเหยาก่อกบฏ? บุญคุณความแค้นที่นำพาความสาแก่ใจมาให้แค่ชั่วครู่ชั่วยามจะเรียกว่าเป็นวีรบุรุษในยุทธภพได้จริงๆ หรือ?”


แล้วก็จริงดังคาด


ใจคนมิอาจทนการหยั่งเชิงได้มากที่สุด


อีกทั้งคนบนโลกก็มักจะเป็นเช่นนี้ ในขณะที่เรื่องราวยังไม่เละเทะอย่างสิ้นเชิง ต่อให้ตัวเองตกอยู่ในทางตันก็ยังคงมีความหวังว่าตัวเองจะโชคดีรอดไปได้อยู่เสมอ


แม้ว่าประมุขตระกูลอย่างเหยาเจิ้นจะถูกคนชั่วลอบสังหาร แต่ก็แค่ได้รับบาดเจ็บเท่านั้น ส่วนในหนังสือลาออกที่เจ้ากรมผู้เฒ่าหลี่แห่งกรมขุนนางซึ่งเป็นญาติที่เกี่ยวดองทางการแต่งงานกับสกุลเหยาถวายขึ้นไป ฮ่องเต้ก็เขียนฎีกาตอบกลับมาด้วยประโยคที่ค่อนข้างจะมีอารมณ์ขันว่า ‘ความอ่อนเยาว์และความสามารถหายไปเพียงครึ่งเดียว ลาออกจากตำแหน่งตอนนี้ยังเร็วไป’ จากนั้นฮ่องเต้ก็ออกคำสั่งให้คนนำปลาบรรณาการหลายตัวไปมอบให้จวนตระกูลหลี่


พลังการต่อสู้ของกองทัพม้าเหล็กตระกูลเหยายังคงเป็นที่หนึ่งท่ามกลางกองทัพมากมายของทิศใต้ ใครก็ไม่กล้าดูแคลน


คิดดูแล้วตอนนี้ผู้ฝึกตนติดตามกองทัพของสกุลเหยาที่ได้รับคำสั่งจากทางราชสำนักให้แทรกซึมเข้าไปในอาณาเขตของแคว้นเป่ยจิ้นคงกลับมาอยู่ข้างกายเหยาเจิ้นผู้เป็นประมุขตระกูลแล้ว


หลี่ซีหลิงบุตรเขยตระกูลเหยา ว่ากันว่ามีหวังจะได้เข้าไปอยู่ในสำนักศึกษาต้าฝูของลัทธิขงจื๊อที่ตั้งอยู่ภาคกลางของใบถงทวีป


ตระกูลเหยาและตระกูลหลี่ต่างก็เป็นเสาคานค้ำยันแคว้นของราชสำนักต้าเฉวียน คือตระกูลของขุนนางใหญ่มือสะอาด ต่อให้สองตระกูลแต่งงานกัน พวกชาวบ้านก็ไม่มีทางรู้สึกว่าพวกเขามีใจทะเยอทะยาน แต่กลับรู้สึกว่าเป็นคู่สร้างคู่สม คือการปักดอกไม้บนผ้าแพร ทำให้กองกำลังของแคว้นราชวงศ์ต้าเฉวียนเจริญยิ่งๆ ขึ้นไป คือเรื่องราวงดงามที่คู่ควรให้ผู้คนกล่าวขานถึงอย่างแท้จริง


ในเมื่อเป็นเช่นนี้ จะปล่อยให้คนตระกูลเหยาตายไปง่ายๆ ได้อย่างไร?


จิ่วเหนียงหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย


สีหน้าของผู้เฒ่าหลังค่อมเดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่าง


เหยาหลิ่งจือเด็กสาวบนชั้นสองก็ยิ่งมองไปยังคนชุดขาว บนใบหน้างดงามของนางเผยสีหน้ามืดมะมึนออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ มีทั้งความซาบซึ้งที่ออกมาจากใจจริง แล้วก็มีทั้งความขุ่นเคืองที่ปิดไม่มิด


ไม่ใช่ว่านางรักตัวกลัวตายถึงเกิดความรู้สึกเช่นนี้ แต่เป็นเพราะนับตั้งแต่สกุลหลิวก่อตั้งแคว้นขึ้นมา ในศาลบรรพชนตระกูลเหยาซึ่งเป็นตระกูลแม่ทัพรักษาชายแดน ป้ายวิญญาณที่วางเรียงหลายชั้นแน่นขนัดเหล่านั้น ทุกปีล้วนมีมาเพิ่มอยู่เสมอ แต่ละชื่อล้วนเป็นแซ่เหยา เหล่าบรรพบุรุษที่ตายไปในสนามรบ นอกจากจะมอบความกล้าหาญที่พร้อมกระโจนเข้าสู่ความตายให้แก่คนรุ่นหลังแล้ว ยังมอบความกดดันที่มองไม่เห็นด้วย ความบริสุทธิ์ของสกุลเหยาไม่อาจยินยอมให้อนุชนรุ่นหลังสร้างมลทินด่างพร้อย ไม่อาจปล่อยให้หยกขาวมีตำหนิได้


นี่คืออารมณ์ความรู้สึกของคนปกติทั่วไป


ลูกหลานสกุลเหยาตายได้ แต่ชื่อเสียงของสกุลเหยามิอาจถูกทำลาย หาไม่แล้วพวกเขาจะมีหน้าไปพบเหล่าบรรพบุรุษได้อย่างไร?


ทั้งน่าเศร้าและชวนให้ฮึกเหิม ขณะเดียวกันก็น่าเคารพนับถือ


คำถามทั้งสองครั้งจากหลิวเม่าองค์ชายสาม เฉินผิงอันล้วนไม่ใส่ใจ


หลิวเม่าเปิดปากเป็นครั้งที่สาม “ในเมื่อดูท่าแล้วเจ้าคงไม่มีทางเปลี่ยนใจ ถ้าอย่างนั้นก็ให้ทุกคนในโรงเตี๊ยมที่ไม่เกี่ยวข้องถอยออกมา ตกลงไหม? คนหนุ่มเหล่านี้ล้วนเป็นลูกหลานของอ๋องและโหวสกุลหลิวต้าเฉวียนข้า หลังจากสร้างคุณความชอบแล้วยังไม่ทันได้นอนเสวยสุข กลับต้องพาตัวมาตกอยู่ในอันตราย ตกอยู่ท่ามกลางการเข่นฆ่าของแคว้นศัตรู พวกเขาคือคนที่ไม่สมควรมาตายอยู่ที่นี่มากที่สุด”


ใช้เหตุผลอธิบายให้คนเข้าใจ ใช้ความรู้สึกทำให้คนหวั่นไหว ขณะเดียวกันก็มีหลักคุณธรรมแห่งยุทธภพ


ข้ารับใช้หนุ่มสองคนที่นั่งอยู่บนโต๊ะสองตัวในโรงเตี๊ยมต่างก็หันมามองเฉินผิงอันด้วยความรู้สึกเป็นเดือดเป็นแค้น โดยเฉพาะคนสามคนที่นั่งอยู่บนโต๊ะเดียวกับเกาซู่อี้ที่ดวงตาแทบจะพ่นไฟออกมาได้ ใจนึกอยากหยิบมีดไปปาดคอเฉินผิงอัน วันหน้าจะได้หิ้วหัวของเขาไปขอขมาบนหลุมศพของเกาซู่อี้


เว่ยเซี่ยนหันมามองเฉินผิงอัน รอคอยคำตอบว่าจะให้ปล่อยคน หรือฆ่าคน


เฉินผิงอันเอ่ยสั่งความเว่ยเซี่ยน “ห้ามปล่อยออกไปแม้แต่คนเดียว แต่ขอแค่พวกเขาไม่ขยับเข้าใกล้ประตูใหญ่ ก็ไม่ต้องสนใจ”


เว่ยเซี่ยนพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม


ขันทีชุดหม่างเป็นเพียงคนเดียวที่เมื่ออยู่ต่อหน้าองค์ชายสามหลิวเม่าแล้วยังมีอำนาจในการตัดสินใจด้วยตัวเอง เขาพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลอย่างขันที แต่ถ้อยคำเย็นชาว่า “องค์ชาย คนพวกนี้คือกลุ่มคนที่ไม่รู้จักดีชั่ว ขอองค์ชายโปรดอนุญาตให้บ่าวเฒ่ากับแม่ทัพสวี่และท่านสวีลงมือจับโจรชั่วจากเป่ยจิ้นกลุ่มนี้ ผู้ฝึกกระบี่แล้วอย่างไร ก็แค่มีเศษสวะอย่างกระบี่บินเพิ่มขึ้นมาสองเล่มเท่านั้น”


สตรีแต่งงานแล้วกำลังจะเปิดปากพูด บัณฑิตกลับชิงเอ่ยปลอบใจเสียก่อน “จิ่วเหนียง เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ถึงอย่างไรก็คงไม่แย่ยิ่งไปกว่านี้แล้ว ไม่สู้รอดูการเปลี่ยนแปลงอยู่เฉยๆ จะดีว่า เวลานี้เจ้าพูดอะไรไปก็ไม่มีความหมายแล้ว”


เด็กหนุ่มขาเป๋ที่หลบอยู่ตรงผ้าม่านหน้าประตูห้องครัวพยักหน้ารับแรงๆ “คนแซ่จงผู้นี้ ชั่วชีวิตนี้คงมีประโยคนี้นี่แหละที่พูดจามีเหตุผลที่สุด”


ผู้เฒ่าหลังค่อมหันหน้ากลับมาถลึงตาใส่อย่างดุดัน “เป็นคนขาเป๋แล้ว ยังอยากจะเป็นคนใบ้ด้วยใช่ไหม?!”


เด็กหนุ่มขาเป๋หุบปากฉับ เงียบกริบเป็นจักจั่นในหน้าหนาว


ในโรงเตี๊ยม คนห้าคนซึ่งรวมถึงเฉินผิงอันต่างก็เป็นผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวทั้งหมด เดิมทีพวกเขาก็เชี่ยวชาญการต่อสู้ประชิดตัวอยู่แล้ว


ส่วนฝ่ายตรงข้ามนอกจากแม่ทัพฝ่ายบู๊อย่างสวี่ชิงโจวแล้ว ขันทีชุดหม่างและสวีถงต่างก็เป็นผู้ฝึกลมปราณ คนอีกสองโต๊ะที่เป็นผู้ติดตามของพวกเขามีแต่จะเป็นตัวเกะกะขัดขวาง


เหยาหลิ่งจือที่อยู่บนชั้นสองพลันตะโกนใส่เฉินผิงอัน “เจ้าหยุดฆ่าคนได้แล้ว! ไม่อย่างนั้นตระกูลเหยาของพวกเราคงถูกเจ้าทำร้ายจนตายแน่!”


ประตูห้องชั้นที่สองเปิดออก เผยเฉียนจ้องเด็กสาวเขม็ง พูดเสียงขุ่นอย่างไม่ชอบใจ “ผู้หญิงบ้า หุบปากเหม็นๆ ของเจ้าไปซะ หากยังกล้าชี้ไม้ชี้มือสั่งพ่อข้า ข้าจะใช้วิชากระบี่ล้ำโลกที่พ่อข้าสอนให้แทงเจ้าให้ตาย!”


จากนั้นเด็กหญิงก็ถามมาทางชั้นหนึ่ง “ท่านพ่อ อ่านหนังสือจบไปรอบหนึ่งแล้ว ทำอะไรต่อ?”


เฉินผิงอันหันหลังให้ชั้นสอง “อ่านอีกรอบหนึ่ง”


หลังจากนั้นเฉินผิงอันก็พูดเสริมไปอีกประโยค “หากยังกล้าตะโกนเรียกส่งเดชอีก วันหน้าจะไม่ให้เจ้าอ่านหนังสือ แต่จะให้เจ้ากินหนังสือแทน”


เผยเฉียนพยักหน้ารับอย่างแรง “ได้เลย ท่านพ่อ! ข้าล้วนฟังท่าน”


วินาทีที่เผยเฉียนปิดประตู ทุกคนที่อยู่ในโรงเตี๊ยมต่างก็ลงมือแทบจะพร้อมกัน


สุยโย่วเปียนที่อยู่บนชั้นสองบังคับกระบี่อาคมชือซินให้วาดเป็นวงโค้งพระจันทร์เสี้ยว ปาดไปที่ลำคอของเซียนซือสวีถง


เท้าของสวีถงเหมือนมีพายุลมกรดรองอยู่เบื้องล่าง ขยับว่องไวจนคนมองตาลาย ไม่เพียงแต่สามารถหลบชือซินมาได้ครั้งแล้วครั้งเล่า ยังประกบสองนิ้วทำมุทรา ชายแขนเสื้อสองข้างเต็มไปด้วยปราณวิญญาณ ชุดคลุมอาคมบนร่างปรากฏภาพไอหมอกก้อนเมฆหลากสีลอยขึ้นมา ขณะเดียวกันข้างกายของเขาก็มีแม่ทัพบู๊เกราะเงินคนแล้วคนเหล่าปรากฏตัว พวกมันมีเพียงชุดเกราะที่ว่างเปล่า ข้างในไม่มีเรือนกาย แต่กลับคล่องแคล่วปราดเปรียวผิดปกติ


แม้ว่าชือซินจะสามารถแทงทะลุเสื้อเกราะเหล่านั้นไปได้ แต่ดูเหมือนว่าจะไม่สามารถทำลายพลังการต่อสู้ของนักรบเสื้อเกราะที่เกิดจากยันต์เหล่านี้ได้เลย มีครั้งหนึ่งชือซินแทงทะลุ ‘ใบหน้า’ ของนักรบเสื้อเกราะตนหนึ่ง มันกลับยกสองแขนขึ้น สิบนิ้วกำคมกระบี่เอาไว้แน่นจนประกายไฟกระเด็นออกมาระลอกใหญ่พร้อมส่งเสียงลั่นเปรี๊ยะๆ


สวี่ชิงโจวที่ใช้เม็ดเสื้อเกราะสำนักการทหารคุ้มกันกายประมือกับหลูป๋ายเซี่ยงที่กุมดาบแคบหยุดหิมะไว้ในมือ ในเวลาเพียงชั่วประกายไฟแลบ พวกเขาก้าวเดินมาข้างหน้าพร้อมกัน คมดาบปะทะกัน ปลายดาบของทั้งสองฝ่ายคล้ายมีเส้นใยสีเงินเส้นหนึ่งไหลออกมา หลังจากที่คนทั้งสองแลกดาบกันแล้วก็สับเปลี่ยนตำแหน่งกันทันที


นอกโรงเตี๊ยม อาวุธวิเศษของตระกูลเซียนเจ็ดแปดชิ้นในมือผู้ฝึกลมปราณถูกขว้างเข้าใส่เว่ยเซี่ยนที่ยืนขวางอยู่ตรงหน้าประตูอย่างพร้อมเพรียงกัน ส่องแสงพร่างพราวท่ามกลางม่านราตรี


เว่ยเซี่ยนพลันกุมเม็ดเสื้อเกราะเทพรับน้ำค้างที่อยู่ในฝ่ามือแน่น กรอกปราณที่แท้จริงใส่ไปข้างใน เพียงชั่วพริบตาเสื้อเกราะก็ถูกสวมลงบนกาย ไม่ต่างจากสวี่ชิงโจวแม่ทัพของต้าเฉวียน


หมัดที่เขาปล่อยออกมาประหนึ่งมังกรที่พุ่งทะยานรวดเร็วดุจสายฟ้าแลบ


พายุหมัดหนาข้นทั่วร่างรวมตัวกันคล้ายน้ำตกที่เทกระหน่ำ บวกกับมีเสื้อเกราะน้ำค้างหวานชั้นเยี่ยมช่วยปกป้องเรือนกาย แต่เว่ยเซี่ยนกลับไม่ได้พุ่งปะทะกับอาวุธของเซียนเหล่านั้นโดยตรง เขาแค่ปัดตีให้พวกมันหลบพ้นทาง ระหว่างทั้งสองฝ่ายจึงมีลำแสงเป็นเส้นๆ ที่ถูกชักดึงจากสมบัติอาคมขวางระเกะระกะ ส่งเสียงเหมือนโลหะกระทบกันอยู่เบื้องหน้าเว่ยเซี่ยน


เพียงแค่เสี้ยววินาที เว่ยเซี่ยนก็ถูกลำแสงเหล่านั้นห่อหุ้มไว้ภายใน แต่เว่ยเซี่ยนกลับยิ่งรบยิ่งห้าวหาญ พลังอำนาจทะยานพรวดพราด


ในโรงเตี๊ยม สุยโย่วเปียนเซียนกระบี่สาวจากพื้นที่มงคลดอกบัวมีสีหน้าเฉยเมย เห็นเพียงว่านางยกสองนิ้วของมือข้างหนึ่งประกบกัน ตั้งวางไว้ตรงหน้าอก บังคับกระบี่ชือซินให้โจมตีสวีถง มือเรียวยาวอีกข้างหนึ่งที่ขาวนวลเนียนราวกับไขมันแพะบิดข้อมือเบาๆ ตะเกียบทั้งหลายที่อยู่บนโต๊ะในชั้นหนึ่งเหมือนทหารที่ได้รับคำสั่ง จำนวนเกือบครึ่งกลายมาเป็น ‘กระบี่บิน’ ลอดทะลุผ่านตัวนักรบเสื้อเกราะทั้งหลายบุกไปสังหารสวีถง ที่เหลืออีกครึ่งหนึ่งบินมาหยุดอยู่รอบกายนางบนชั้นสอง รับมือกับวิชาสายฟ้าที่โผล่มาอย่างลับๆ ล่อๆ ของสวีถง ทุกครั้งที่ปะทะกัน จะต้องมีตะเกียบชิ้นหนึ่งระเบิดเป็นผุยผง


คนบ้าวรยุทธ์จูเหลี่ยนนั่งยองอยู่บนราวระเบียงเงียบๆ ไม่พูดไม่จา


ในสายตาของเขามีเพียงสองคนอย่างเฉินผิงอันกับขันทีชุดหม่างที่เป็นคนตัดสินสถานการณ์ในครั้งนี้ได้อย่างแท้จริงเท่านั้นที่แค่ลงมือก็ทุ่มเทเต็มพละกำลัง


ใช้ยันต์ย่อพื้นที่ขยับเข้าใกล้ หมัดแรกของเฉินผิงอันก็คือกระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้า


ส่วนโส่วกงไหวแห่งราชวงศ์ต้าเฉวียนผู้นั้นพลันปล่อยจิตหยินและจิตหยางออกจากร่างมาพร้อมกัน กายธรรมสองตนเป็นภาพมายาเลื่อนลอย แต่กลับมีบารมีน่าเกรงขามดุจทวยเทพ


หมัดของเฉินผิงอันไม่เพียงแต่ถูกขัดขวาง ตรงหัวใจยังถูกเทพหยินตนหนึ่งในนั้นยื่นมือแทงเข้ามา โชคดีที่สวมชุดคลุมอาคมจินหลี่ แม้ว่าความเจ็บปวดราวหัวใจถูกฉีกจะส่งมาเป็นระลอก


แต่เฉินผิงอันกลับยังยืนตระหง่านดุจขุนเขา กระทืบเท้าถอยไปด้านหลังหนึ่งก้าว


จิตวิญญาณแยกจากร่าง ทำให้มีเฉินผิงอันสามคนเช่นกัน อีกสองคนนั้นต่างก็แยกกันใช้กระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าปล่อยหมัดออกไปเป็นแนวเส้นตรง


หนึ่งหมัดผ่านไปก็ตามมาด้วยหมัดอีกนับไม่ถ้วน


บทที่ 338.1 หมัดแข็งเกินไป สุราลงทัณฑ์รสชาติดี

ProjectZyphon

แก่นแท้ของกระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้านั้นอยู่ที่การชักดึงพายุลมกรดระหว่างหมัดทั้งสอง ประหนึ่งดวงอาทิตย์ที่ตกลงและดวงจันทร์ก็ลอยขึ้น ดั่งเกิดแก่เจ็บตายบนโลกมนุษย์ที่เป็นกฎเกณฑ์ยิ่งใหญ่มากและไม่อาจหลีกเลี่ยงได้


เฉินผิงอันที่เลื่อนสู่ขอบเขตห้า เมื่อผ่านศึกบนภูเขากู่หนิวของพื้นที่มงคลดอกบัวมาแล้วก็สามารถแยกจิตวิญญาณออกจากกัน แบ่งหนึ่งเป็นสาม น่าเสียดายที่สามารถยืนหยัดได้แค่เวลาหนึ่งชั่วลมหายใจ แต่ว่าเมื่อนำมาใช้ร่วมกับกระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าที่ไร้เหตุผลแล้ว ขอแค่ปล่อยหมัดเดียวออกไปก็เพียงพอ และเห็นได้ชัดว่าเหลือเฟือ


เมื่อหมัดโจมตีโดนขันทีก็เหมือนเสียงรัวกลองที่ดังขึ้นบนสมรภูมิรบ พริบตาเดียวก็ปล่อยไปสิบกว่าหมัด ทุกหมัดปะทะเนื้อส่งเสียงดังอื้ออึง


จิตของเฉินผิงอันสองคนกลับคืนสู่ตำแหน่งเดิม


ถึงอย่างไรเขาก็ไม่ใช่ผู้ฝึกลมปราณที่แท้จริง จิตวิญญาณแยกออกจากร่างได้ไม่นานนัก ไม่อย่างนั้นจะเป็นการทำลายพลังต้นกำเนิด


หันกลับมามองการลงมือครั้งแรกของขันทีชุดหม่าง พวกจิ่วเหนียงและเหยาหลิ่งจือที่นอกจากจะตกตะลึงกับตบะที่สูงส่งของขันทีใหญ่ท่านนี้ที่สามารถปล่อยจิตหยินจิตหยางออกมาจากช่องโพรงลมปราณได้ในเวลาเดียวกัน เห็นได้ชัดว่าเป็นตบะของเซียนดินแล้ว อันที่จริงคนสกุลเหยายังรู้สึกเหลือเชื่อด้วย ไหนบอกว่าโส่วกงไหวแห่งต้าเฉวียนผู้นี้คือปรมาจารย์ใหญ่วิถีวรยุทธ์อย่างไรเล่า? ทำไมถึงกลายมาเป็นเทพเซียนบนภูเขาที่ฝึกวิชาอมตะขึ้นมาได้?


ขันทีผู้กุมตราประทับกองทหารม้าแห่งราชสำนักต้าเฉวียนคำนวณพลาดไปเรื่องหนึ่ง นั่นคือคิดไม่ถึงว่าชุดคลุมบนร่างของเฉินผิงอันจะมีระดับขั้นสูงถึงเพียงนี้ ถึงขนาดต้านทานจิตหยินของตนไว้ได้ ท่าไม้ตายยื่นมือควักหัวใจทำให้ปรมาจารย์ใหญ่ในยุทธภพตายไปด้วยมือข้างนี้มาหลายคนแล้ว ไม่ได้มีภาพเลือดโชกไหลนองอย่างแท้จริง แต่ท่าไม้ตายนี้จะทำให้ ‘ผืนนาหัวใจ’ ของคนคนหนึ่งแตกระแหง เพียงชั่วพริบตาหลอดเลือดหัวใจก็ถูกตัดขาดการเชื่อมโยงกับช่องโพรงทั้งหมด หลังจากตายไปแล้ว เรือนกายจะเหมือนไม้แห้งเหี่ยว คล้ายคลึงกับวิชาหนึ่งหมัดต่อยสะพานอมตะขาดสะบั้น


การที่ขันทีถูกมองเป็นปรมาจารย์ใหญ่ด้านวิถีวรยุทธ์ หาใช่เพราะคนผู้นี้ใช้เวทอำพรางตาต่ำช้าจงใจตบตาคู่ต่อสู้ไม่ แต่เป็นเพราะคนผู้นี้มีเรือนกายของปรมาจารย์อย่างแท้จริง เลือดลมอุดมสมบูรณ์ เส้นเอ็นและกระดูกแข็งแกร่ง มากพอจะทัดเทียมกับผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวขอบเขตหกขั้นสูงสุดได้


ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้ประชิดตัว การคุมเชิงกันโดยใช้วิชาอาคมบนภูเขา หรือการใช้สมบัติอาคมโจมตีกันอยู่ไกลๆ ขันทีชุดหม่างต่างก็เชี่ยวชาญทั้งสิ้น นี่จึงเป็นเหตุให้เขาไม่กลัวการต่อสู้แลกชีวิตกับคนอื่นมากที่สุด


แต่พอโดนหมัดที่สองเข้าไป ขันทีก็ตระหนักได้แล้วว่าท่าไม่ดี ไม่ใช่เพราะพายุหมัดของฝ่ายตรงข้ามร้ายกาจอะไร แต่เป็นเพราะไม่ควรเลยที่เขาจะหลบไม่พ้น


ห้าหมัดผ่านไป ขันทีใหญ่ก็กระจ่างอยู่ในใจ พอจะไล่เรียงหลักการของหมัดนี้ออกมาได้คร่าวๆ


สิบหมัดผ่านพ้น ดูเหมือนขันทีจะล้มเลิกความคิดหลบเลี่ยงอย่างสิ้นเชิงแล้ว จึงไม่ได้ถอยหนี


แต่เลือกจะใช้การบาดเจ็บแลกมาด้วยการบาดเจ็บ


ในช่วงเวลานี้กระบี่บินชูอีกับสืออู่ต่างก็แยกกันจับจ้องเทพหยินและเทพหยางของขันที


ขันทีชุดหม่างที่มองดูเหมือนผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัว แต่แท้จริงแล้วกลับเป็นผู้ฝึกลมปราณ กับเฉินผิงอันที่มองดูเหมือนผู้ฝึกกระบี่ แต่แท้จริงแล้วคือผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัว


ในพื้นที่แคบๆ เพียงแค่สองช่วงแขน คนทั้งสองต่อสู้กันด้วยกระบวนท่าที่หยาบมาก เมื่อเทียบกับการบังคับกระบี่รับมือศัตรูของสุยโย่วเปียนที่อยู่บนชั้นสอง ประกายแสงดาบวาววับของหลูป๋ายเซี่ยงและสวี่ชิงโจว เว่ยเซี่ยนที่อยู่นอกประตูโรงเตี๊ยมที่ต่อสู้อย่างฮึกเหิมห้าวหาญ รอบกายมีแต่สมบัติอาคมที่ทอแสงเป็นประกายระยิบระยับ สร้างภาพปรากฎการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างหลากหลายแล้ว


การเข่นฆ่าระหว่างเฉินผิงอันกับขันทีแห่งต้าเฉวียน นอกจากคำว่าเร็วแล้วก็ไม่มีอย่างอื่นอีก ไร้รสชาติน่าเบื่อหน่าย แต่กลับอันตรายอย่างถึงที่สุด


ส่วนผู้ติดตามที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะทั้งสองตัวต่างก็ไปหลบอยู่ตรงทางขึ้นบันไดหมดแล้ว พวกเขารู้ดีว่าศึกวุ่นวายในโรงเตี๊ยมครั้งนี้ พวกเขาไม่มีแม้แต่คุณสมบัติจะสอดมือเข้าแทรกด้วยซ้ำ


สำหรับคนเหล่านี้ จูเหลี่ยนที่เป็นคนเดียวที่อยู่ว่างไม่ได้ขัดขวาง แม้แต่จะมองให้เต็มตาสักครั้งยังไม่ทำ


บัณฑิตแซ่จงยืนเอนพิงโต๊ะคิดเงิน สายตาจับจ้องมองเฉินผิงอัน


เขาเดินทางท่องไปทั่วทิศ ไม่เคยเห็นผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวคนไหนปล่อยกระบวนท่าหมัดหนึ่งได้…คล่องแคล่วเหมือนเมฆคล้อยน้ำไหลเช่นนี้มาก่อน


ในเมื่ออายุยังไม่มากก็แสดงว่าคงต้องเคยเดินทางมาไกล เห็นภูเขาสูงและแม่น้ำสายใหญ่มามากมายแล้วกระมัง?


ปราณสังหาร ปราณดุดัน ปราณแห่งความเหี้ยมหาญล้วนไม่มีเลย แม้แต่กลิ่นอายของการช่วงชิงชัยชนะก็ยังไม่เข้มข้น


ทว่าพลังอำนาจของเขากลับเพียงพออย่างมาก


บัณฑิตรู้สึกใคร่รู้นักว่า จุดประสงค์ของวิชาหมัดนี้ของคนหนุ่มคืออะไรกันแน่


แต่คนเราย่อมมีช่วงเวลาที่พละกำลังหมดลง ร่างกายและจิตวิญญาณต้องแบกรับการสะท้อนกลับของปณิธานหมัด เดิมทีนี่ก็เป็นวิธีสังหารศัตรูหนึ่งพัน ตัวเองเสียหายแปดร้อยอยู่แล้ว สำหรับหลี่หลี่โส่วกงไหวแห่งต้าเฉวียนที่ชื่อเสียงเลื่องลือคนนี้ หากคนหนุ่มหยุดวิชาหมัดไว้เพียงเท่านี้ ต่อให้ยอมทนรับอาการบาดเจ็บ หมัดสุดท้ายสามารถ ‘สังหาร’ หลี่หลี่ได้สำเร็จ แต่ก็ยังไม่พอ ยังอยู่ไกลเกินกว่าคำว่าพอมากนัก


ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวไม่ได้รับความสำคัญจากคนในโลก ไม่ได้รับความเคารพนับถือจากคนในราชสำนัก แต่ผู้คนกลับกราบไหว้เลื่อมใสพวกผู้ฝึกตน นั่นเพราะมีเหตุผล


พันหมื่นคาถาอาคม หนึ่งกระบี่ทำลายสิ้น


ประโยคนี้ได้รับความนิยมอย่างมากบนภูเขา หลายคนต่างก็รู้สึกว่าประโยคนี้บอกถึงความกริ่งเกรงที่มีต่อพลังสังหารของผู้ฝึกกระบี่ แต่แท้จริงแล้วไม่ถือว่าถูกทั้งหมด คำว่าพันหมื่นนั้นได้บอกให้รู้ถึงความร้ายกาจของผู้ฝึกตนแล้ว


กระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าหมัดสุดท้ายของเฉินผิงอันสามารถต่อยให้ร่างของขันทีชุดหม่างแหลกสลายได้จริงๆ ถึงขั้นที่ว่าแม้แต่ชุดหม่างสีแดงก็คล้ายกลายเป็นวัตถุมายาเลื่อนลอยไปด้วย


แต่เมื่อเฉินผิงอันสังเกตเห็นว่าไม่มีเลือดสดสาดกระเซ็นออกมา ในใจเขาก็รู้แล้วว่าท่าไม่ดีจึงรีบใช้กระบวนท่าสยบเสินโถวในคัมภีร์เวทกระบี่ที่แท้จริงเปลี่ยนมาเป็นท่าหมัดป้องกัน ถอยแล้วถอยอีก โชคดีที่ชูอีซึ่งโจมตีพลาดอย่างน่าแปลกใจมาโผล่อยู่ตรงหน้า บวกกับชุดคลุมอาคมจินหลี่บนร่างก็น่าจะสามารถช่วงชิงเวลาผลัดเปลี่ยนลมปราณแท้จริงของผู้ฝึกยุทธ์เฮือกใหม่ได้


ใต้หล้าไพศาลไม่ใช่พื้นที่มงคลดอกบัว อยู่ที่นี่ ผู้ฝึกยุทธ์ที่มีระดับขั้นเท่าเทียมกัน รวมไปถึงผู้ฝึกลมปราณทุกคนต่างก็พากันจับจ้องช่วงเวลาที่ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวเปลี่ยนลมปราณเฮือกใหม่เขม็ง


การกระทำนี้ของขันทีหลี่หลี่คล้ายการใช้ยันต์ตัวตายตัวแทนของอาจารย์ผู้จัดวางค่ายกลที่อยู่นอกป้อมอินทรีบินคนนั้น เพียงแต่ว่าหลี่หลี่ใช้การสลายจิตหยางเข้าไปแทนที่เรือนกายที่แท้จริง เปลี่ยนไปอยู่ในตำแหน่งที่กระบี่บินชูอีคุมเชิงอยู่ กระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าที่ปล่อยไปอย่างไม่มีกักเก็บพลังครั้งนี้ของเฉินผิงอันจึงกลายมาเป็นม้าตีนปลายแรงแผ่วแล้ว


และการสลายจิตหยางก็แค่ทำให้โอสถทองที่ยังไม่สมบูรณ์แบบเม็ดนั้นของหลี่หลี่หม่นแสงลงเล็กน้อยเท่านั้น


เทพหยินตนนั้นใช้วิธีควักหัวใจ กางห้านิ้วเป็นตะขอยื่นเข้ามาอีกครั้ง ประหนึ่งหมัดต่อยลงบนกระดาษ ชุดคลุมอาคมจินหลี่เหมือนกระดาษเซวี่ยนจื่อที่มีความยืดหยุ่นทนทานอย่างถึงที่สุด เป็นเหตุให้จิตวิญญาณของเฉินผิงอันไม่ถึงขั้นแหลกสลายไปในคราวเดียว ยังคงปกป้องผืนนาหัวใจเอาไว้ได้ ทว่าด้วยเหตุนี้จินหลี่เองก็ถูกพันธนาการเอาไว้ ไม่เพียงเท่านี้ กระบี่บินชูอีที่อยู่ตรงหน้าเฉินผิงอันก็เหมือนจมลงในบ่อโคลน ถูกกักอยู่ในร่างของจิตหยิน


หลี่หลี่มาโผล่อยู่ข้างกายเฉินผิงอันแล้ว เขาฝาดฝ่ามือหนึ่งตบสลายปณิธานหมัดของท่าสยบเสินโถว เดินมาข้างหน้าหนึ่งก้าว ประกบสองนิ้วทิ่มเข้าที่จุดไท่หยางของเฉินผิงอัน


ร่างทั้งร่างของเฉินผิงอันไถลปลิวออกไปในแนวขวาง


ความแข็งแกร่งของหลี่หลี่ไม่ได้อยู่ที่เขาคือเซียนดินครึ่งตัวซึ่งเหยียบอยู่บนธรณีประตูของขอบเขตโอสถทอง แต่เป็นเพราะเขาได้ทั้งรุกและรับโดยไม่ต้องพึ่งพาวัตถุนอกกาย


ส่วนข้อที่ว่าหลี่หลี่มีสมบัติอาคมก้นกรุหรือไม่ก็ยิ่งบอกได้ยาก


หลี่หลี่ไม่ได้ฉวยโอกาสตามไปโจมตีต่อ เขายืนอยู่ที่เดิม ฝ่ามือที่ก่อนหน้านี้สลายท่าสยบเสินโถวกำเป็นหมัดแล้วคลายออกอย่างรวดเร็ว รอจนฝ่ามือแบออก เส้นลายมือบนฝ่ามือก็เริ่มขยับเคลื่อนไหวอย่างมีชีวิตชีวาเหมือนเส้นด้ายสีแดงสด สุดท้ายกลายมาเป็นยันต์สีชาดแผ่นหนึ่ง ใช้สองนิ้วที่ประกบกันแล้วทิ่มลงตรงจุดไท่หยางของเฉินผิงอันก่อนหน้านี้ปาดผ่านฝ่ามือ พร้อมกับที่หลี่หลี่ท่องในใจสองคำว่า ‘เปิดยันต์’


เฉินผิงอันที่พยายามจะผลัดเปลี่ยนลมปราณรู้สึกเพียงว่ามีขุนเขากดทับลงมาเหนือศีรษะ ชายแขนเสื้อสองข้างและไหล่แต่ละฝั่งของชุดคลุมอาคมจินหลี่ปรากฎยันต์หนึ่งแผ่นที่ส่องประกายแสงศักดิ์สิทธิ์


ตรงจุดของไท่หยางของเฉินผิงอันก็มีเลือดสดไหลลงมาเป็นสาย


“ข้าเองก็มีหนึ่งหมัด ถือซะว่านี่คือของขวัญรับแขกของราชวงศ์ต้าเฉวียนเราก็แล้วกัน”


หลี่หลี่ยิ้มบางๆ พลางเดินมาเบื้องหน้า ระหว่างที่พูดประโยคนี้ ขันทีเฒ่าที่ชายแขนเสื้อกว้างของชุดหม่างสั่นสะเทือนไม่หยุดเอียงก็ศีรษะหลบชูอีที่จู่โจมมาทางท้ายทอยด้านหลังไปด้วย เขาใช้ปลายนิ้วคีบกระบี่บินแล้วขว้างออกไปเบาๆ ชูอีก็ไปกระแทกโดนสืออู่ที่อยู่ห่างไปไม่ไกลพอดี


แค่ก้าวเดียวก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าเฉินผิงอัน


มือซ้ายของหลี่หลี่ที่มียันต์อยู่กลางฝ่ามือวางลงบนหัวใจของเฉินผิงอันอย่างผ่อนคลาย ส่วนมือขวากำเป็นหมัดต่อยกระแทกลงบนหลังมือของตัวเอง


ประหนึ่งค้อนตอกตะปูให้ปักตรึงลงไปในชุดคลุมอาคมจินหลี่อย่างแน่นหนาด้วยพละกำลังหนักอึ้งมหาศาล


เฉินผิงอันถอยกรูดไปหลายก้าว


หลี่หลี่ตามติดเป็นเงา ยังคงใช้หมัดตีฝ่ามือซ้ำไปอีกหนึ่งหมัด ชุดคลุมอาคมจินหลี่บนร่างของเฉินผิงอันโบกสะบัดอย่างรุนแรง ปราณวิญญาณแห่งแม่น้ำและภูเขารวมถึงลมพายุของผู้ฝึกยุทธ์ที่อยู่ในชายแขนเสื้อแตกสลายสาดกระเซ็นในเวลาเดียวกัน


เฉินผิงอันถอยแล้วถอยอีก


คราวนี้หลี่หลี่ไม่ได้ตามไป แค่ยื่นนิ้วออกมาคีบเชือกสีทองเส้นหนึ่งที่โผล่มาตรงลำคอ ออกแรงกระชากหนึ่งครั้ง ตรงลำคอก็ปรากฏเป็นรอยเลือด หลี่หลี่กลับไม่รู้สึกรู้สากับบาดแผลนี้ ปล่อยให้เชือกสีทองที่น่าจะเป็นเชือกพันธนาการปีศาจรัดพันข้อมือ ชายแขนเสื้อชุดหม่างถูกฉีกกระชากจนขาดวิ่น บนแขนถูกรัดเป็นรอยช้ำหลายเส้น หลี่หลี่จุ๊ปากพูด “บนร่างมีของดีเยอะจริงๆ นี่คงเป็นสมบัติอาคมอีกชิ้นหนึ่งสินะ น่าเสียดายที่เจ้าไม่ใช่ทั้งผู้ฝึกกระบี่ และไม่ใช่ทั้งผู้ฝึกลมปราณ เลยใช้พวกมันได้ไม่คล่องมือ ไม่อย่างนั้นหมัดที่สามของข้าคงไม่มีโอกาสส่งไปให้เจ้าเร็วขนาดนี้”


ที่แท้หลังจากที่มือขวาของหลี่หลี่ถูกเชือกพันธนาการปีศาจสีทองรัดพัน มือซ้ายที่มียันต์ก็กำเป็นหมัดอีกครั้งแล้วชี้ไกลๆ มายังหน้าผากของเฉินผิงอัน เพียงเท่านั้นตรงหว่างคิ้วของเฉินผิงอันก็เหมือนถูกโจมตีอย่างรุนแรง ผิวหนังปริแตก เลือดซึมออกมา ศีรษะผงะหงายไปข้างหลัง เพียงแต่ว่าเฉินผิงอันกระทืบเท้าลงบนพื้นหนักๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า ฝืนบังคับตัวเองไม่ให้ล้มหงายลงบนพื้น


จุดลึกในดวงตาของหลี่หลี่มีพยับเมฆอึมครึมวูบผ่าน ด้านหลังของเขาก็คือกระบี่บินชูอีกับสืออู่ที่โรมรันอยู่กับจิตหยินซึ่งออกมาจากช่องโพรงของตนอย่างไม่ยอมเลิกรา


หลี่หลี่แค่นเสียงหัวเราะหยัน “เจ้าตัวน้อยทั้งสองมีใจจงรักภักดีเหมือนสกุลเหยาจริงๆ น่าเสียดายที่พวกเจ้าไม่ใช่วัตถุแห่งชะตาชีวิต พลานุภาพจึงถูกลดทอน หากสามารถกำจัดสติปัญญาของพวกเจ้าได้ ไม่แน่ว่าเมื่อข้านำมาใช้งานอาจจะมีเรื่องน่ายินดีที่คาดไม่ถึง”


ทันใดนั้นจิตหยินของเขาก็พลันมีสามเศียรหกกร ใบหน้าแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง ไม่ใช่หน้าตาของ ‘ขันทีวัยกลางคน’ เหมือนหลี่หลี่ แต่เป็นใบหน้าของสิ่งศักดิ์สิทธิ์สามองค์ในศาลบู๊ของราชวงศ์ต้าเฉวียน แบ่งออกเป็นชายฉกรรจ์เคราดก แม่ทัพฝ่ายบุ๋นลักษณะสุภาพสง่างาม และผู้เฒ่าท่าทางทึ่มทื่อคนหนึ่ง แขนสามคู่แบ่งเป็นถือคทาเหล็กหนึ่งคู่ ขวานหนึ่งคู่และทวนเหล็กหนึ่งด้าม ซึ่งอาวุธเหล่านี้ล้วนเกิดจากการรวมตัวกันของควันธูป


แม้ว่าหลี่หลี่จะต้องแบ่งสมาธิไปจับตามองการ ‘ปะทะ’ กันระหว่างจิตหยินกับกระบี่บินสองเล่ม แต่ก็ไม่ส่งผลต่อการป้องกันเฉินผิงอันของเขา


โส่วกงไหวแห่งต้าเฉวียนซึ่งมีชื่อเสียงเลื่องลือไปในหลายแคว้นภาคกลางของใบถงทวีปผู้นี้ แม้จะพลาดโอกาสการโจมตีครั้งแรกไป แต่ภายหลังกลับยึดครองความได้เปรียบอย่างมั่นคง แต่เขาคิดไม่ถึงว่าเจ้าเด็กนั่นจะทนรับหมัดได้มากขนาดนี้ ตอนนี้ตรงจุดไท่หยางของเขายังมีเลือดไหลออกมาไม่หยุด แต่กลับยังทำท่าเหมือนไม่เป็นอะไร เขาได้รับบาดเจ็บอย่างสาหัส ทว่าจิงชี่เสินที่ลี้ลับมหัศจรรย์ยิ่งกว่าปณิธานหมัดบนร่างของเขากลับไม่เพียงแต่ไม่ทรุดดิ่งลงเหว กลับยังไต่ทะยานขึ้นสูงอีกด้วย?


แต่ก็ไม่เป็นไร หลี่หลี่สามารถใช้มีดทื่อแล่เนื้อคน เขาจะค่อยๆ เผาผลาญรากฐานของคนหนุ่มผู้นี้ไปก็แล้วกัน ต่อให้คนหนุ่มสามารถปล่อยหมัดมั่วซั่วได้อีกชุดหนึ่ง อย่างมากตนก็แค่สูญเสียจิตหยินไปชั่วคราว ทว่าทั้งร่างกายและจิตวิญญาณของคนหนุ่มย่อมไม่มีทางต้านทานได้ไหว ใช่ว่าหลี่หลี่จะไม่อยากรีบรบรีบจบ แต่เขากลับทำแบบนั้นไม่ได้ หากเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเจ็ดหรือผู้ฝึกลมปราณขอบเขตประตูมังกรทั่วไป ป่านนี้คงถูกเขาฆ่าตายไปสองรอบแล้ว


ระหว่างที่หลูป๋ายเซี่ยงประมือกับสวี่ชิงโจวก็ตกเป็นรองเช่นกัน


หนึ่งเพราะหลูป๋ายเซี่ยงไม่เหมือนเว่ยเซี่ยน เขาเพิ่งเดินออกมาจากภาพวาด ยังปรับตัวเข้ากับการกรอกเทปราณวิญญาณสู่ร่างกายของใต้หล้าไพศาลไม่ได้ สองคือบนร่างของสวี่ชิงโจวสวมเสื้อเกราะจินอูจิงเหว่ย หากไม่เป็นเพราะดาบแคบหยุดหิมะในมือคือวัตถุของเซียนดินก่อกำเนิดที่หายสาบสูญไปนานของภูเขาไท่ผิง เกรงว่าหลูป๋ายเซี่ยงคงไม่เหลือพละกำลังให้เอาคืนแล้ว


แม้ว่าตรงหน้าอกและหัวไหล่ของหลูป๋ายเซี่ยงต่างก็มีแผลถูกมีดฟันลึกจนเห็นกระดูกขาว ทว่าบรรพบุรุษผู้บุกเบิกลัทธิมารของพื้นที่มงคลดอกบัวท่านนี้กลับยังมีสีหน้าผ่อนคลายเป็นธรรมชาติ ราวกับว่าเขารู้สึกสนใจวิชาดาบของสวี่ชิงโจวแม่ทัพฝ่ายบู๊ของต้าเฉวียนผู้นี้มากกว่าคิดจะเอาชนะเขา


แม้ว่าสุยโย่วเปียนจะมีชาติกำเนิดเป็นผู้ฝึกยุทธ์ แต่การเข่นฆ่าระหว่างนางกับสวีถงแห่งอารามฉ่าวมู่กลับเหมือนการประมือกันระหว่างผู้ฝึกลมปราณสองคนมากกว่า


เห็นได้ชัดว่าสวีถงคิดว่าสตรีผู้นี้คืออาจารย์กระบี่ ต่อให้รับมือได้ยาก แต่ขอแค่ไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ที่หล่อเลี้ยงกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตได้ นั่นก็ไม่เป็นไร


เว่ยเซี่ยนที่อยู่นอกประตูต่อสู้อย่างเต็มคราบ


ลมพายุหนาข้นและแข็งแกร่งผุดขึ้นต่อเนื่องไม่ขาดสาย บวกกับเสื้อเกราะน้ำค้างหวานที่เฉินผิงอันมอบให้ ส่วนบาดแผลเล็กๆ น้อยๆ ที่มาจากฝีมือของพวกปลาที่หลุดรอดตาข่ายก็ยิ่งไม่เจ็บไม่คันสำหรับเขา


อันที่จริงสองฝ่ายที่เข่นฆ่ากันคอยจับตามองผลแพ้ชนะจากขันทีหลี่หลี่และเฉินผิงอันอยู่ตลอดเวลา


สุยโย่วเปียนเป็นฝ่ายเอ่ยถามก่อน “คุณชาย?”


เฉินผิงอันที่บาดแผลเต็มร่างแค่ส่ายหน้า ไม่ได้พูดอะไร


ปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์เฮือกนั้นได้แต่ปล่อยค้างเติ่งเอาไว้ ไม่กล้าผลัดเปลี่ยน


หลี่หลี่ถามยิ้มๆ “ทำไม มีฝีมือแค่นี้เองหรือ?”


หากเฉินผิงอันไม่ได้สวมจินหลี่ เกรงว่าป่านนี้กลิ่นคาวเลือดจากร่างของเขาคงโชยคลุ้งให้คนทั้งโรงเตี๊ยมได้กลิ่นแล้ว


ยันต์กลางฝ่ามือที่หลี่หลี่ ‘ตอกเข้ามา’ ในหัวใจของเฉินผิงอัน จินหลี่ช่วยสกัดกั้นไว้แค่เกินครึ่งเท่านั้น ยังคงมีอีกเกือบครึ่งที่แทรกซอนเข้ามาในหัวใจ


ความเจ็บปวดนั้นไม่ต่างจากถูกคว้านหัวใจ


หน้าผากผุดพรายไปด้วยเม็ดเหงื่อ พอปะปนกับเลือดบนใบหน้าก็ไหลมาตามโครงหน้าของคนหนุ่ม แล้วหยดติ๋งลงบนพื้น


จิตสังหารในใจหลี่หลี่ยิ่งเข้มข้นมากกว่าเดิม


หลี่หลี่กำลังรอให้ปราณที่แท้จริงของเฉินผิงอันถูกเผาผลาญจนหมดสิ้น หากบอกว่าคนหนุ่มตรงหน้าผู้นี้สามารถอาศัยความเด็ดเดี่ยวฝืนข่มกลั้นความเจ็บปวดจากบาดแผลทางกายไว้ได้ ทว่าขอแค่ปราณแท้จริงแหลกสลาย โอกาสของหลี่หลี่ก็มาถึงแล้ว เขารอได้ แต่เฉินผิงอันรอไม่ได้ ดังนั้นหลี่หลี่จึงไม่คิดได้คืบจะเอาศอกโดยการต่อสู้ประชิดตัวกับเฉินผิงอันอีก แล้วนับประสาอะไรกับที่เดิมทีการควบคุมจิตหยินและจิตหยางให้ออกจากช่องโพรงในเวลาเดียวกันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายอยู่แล้ว หากไม่เป็นเพราะโอสถทองครึ่งเม็ดทำให้รากฐานปราณวิญญาณของหลี่หลี่เหนือกว่าผู้ฝึกตนขอบเขตเดียวกันไปมาก เทพหยินที่อยู่ด้านหลังตนนั้น อย่าว่าแต่จะรักษาสภาพสามเศียรหกกรของอริยะบู๊ไว้ได้เลย แค่ต้องรับมือกับกระบี่บินสองเล่มอย่างชูอีสืออู่ก็อาจจะแหลกสลายไปเอง และกลับคืนมาสู่ร่างจริงของหลี่หลี่นานแล้ว


หางตาของหลี่หลี่ชำเลืองมองไปยังผู้เฒ่าที่นั่งยองอยู่บนราวระเบียงชั้นสอง


เขารู้สึกอัดอั้นเล็กน้อย เหตุใดอีกฝ่ายถึงเอาแต่นิ่งดูดายอยู่ตลอดเวลา


ในช่วงเวลาที่หลี่หลี่ทอดสายตามองไปยังจูเหลี่ยนคนบ้าวรยุทธ์ เฉินผิงอันคล้ายคว้าจับโอกาสที่กำลังจะผ่านเลยไปไว้ได้ เขาเริ่มทำการผลัดเปลี่ยนลมปราณ


หลี่หลี่หัวเราะหยันอยู่ในใจไม่หยุด ดิ้นรนก่อนตาย ทว่าคราวนี้เจ้าแพ้เดิมพันแล้ว


จิตหยินพลันพุ่งมาหยุดอยู่ด้านหน้าเฉินผิงอันแล้วขว้างอาวุธห้าชิ้นที่ถือไว้ด้วยหกมือใส่เขาไม่ยั้ง


ส่วนหลี่หลี่นั้นหันไปรับมือกับกระบี่บินสองเล่มด้วยตัวเอง ปราณวิญญาณสีขาวหิมะจำนวนนับไม่ถ้วนไหลออกมาจากชุดหม่างสีแดง คล้ายรังแมงมุมขนาดใหญ่ยักษ์ที่บดบังขัดขวางทางไปช่วยเจ้านายของชูอีกับสืออู่อย่างสิ้นเชิง แม้ว่าใยแมงมุมสีขาวเหล่านี้จะไม่สามารถกักตัวกระบี่บินไว้ได้ แต่ขอแค่ชะลอความเร็วของพวกมันได้เล็กน้อย หลี่หลี่ก็สามารถมาปรากฎตัวอยู่ใกล้กระบี่บิน จากนั้นก็ใช้นิ้วดีด หรือไม่ก็สะบัดชายแขนเสื้อโจมตีกระบี่บินทั้งสองเล่มได้อย่างง่ายดาย


หลี่หลี่รู้สึกขบขันเล็กน้อย


คนหนุ่มผู้นี้ไม่รู้จักกลัวตายเอาซะเลย ที่แท้เขาไม่ได้ผลัดเปลี่ยนลมปราณ แต่ที่ทำอย่างนั้นก็คงเพราะอยากหลอกให้ตนเข้าไปใกล้ แต่จะมีความหมายอะไรเล่า? วันนี้เขาบุ่มบ่ามออกหน้าให้ตระกูลเหยา ตอนนี้ที่ใช้อุบายเล็กๆ น้อยๆ ก็ยังคงบุ่มบ่ามอยู่ดี คงเป็นเพราะชาติกำเนิดของคนหนุ่มสูงส่งเกินไป อีกทั้งยังมียอดฝีมือเป็นข้ารับใช้ ชั่วชีวิตที่ผ่านมาเจอแต่ความราบรื่นสมหวัง ก็เลยไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ


แต่คู่ต่อสู้ที่มีภูมิหลังน่าตะลึงเช่นนี้ ในเมื่อกลายเป็นศัตรูคู่แค้นกันแล้วก็ควรจะตัดรากถอนโคนให้สิ้นซาก หากปล่อยเสือกลับภูเขา ไม่แน่ว่าตลอดทั้งราชวงศ์ต้าเฉวียนอาจต้องเจอกับปัญหาใหญ่เทียมฟ้า


บทที่ 338.2 หมัดแข็งเกินไป สุราลงทัณฑ์รสชาติดี

ProjectZyphon

เปรียบเทียบกับทุกหมัดปะทะเนื้อของเฉินผิงอันกับหลี่หลี่ก่อนหน้านี้ ตอนนี้การทุบตีจากเทพหยินกลับยิ่งน่าตะลึงพรึงเพริดมากกว่าเดิม


ยังดีที่สิ่งนี้ไม่ได้แปลกใหม่สำหรับเฉินผิงอันนัก ตอนที่อยู่บนภูเขากู่หนิวแล้วต้องรับมือกับกายธรรมร่างทองของติงอิงก็เป็นปรากฎการณ์ภูเขาถล่มพื้นดินปริแตกแบบนี้ไม่ใช่หรือ?


เพียงแต่ว่าคราวก่อนเฉินผิงอันได้แค่ฝืนทนรับเอาไว้ ไม่เหลือเรี่ยวแรงให้เอาคืน ภูเขากู่หนิวทั้งลูกถูกร่างทองของติงอิงทุบตีเสียจนระเบิดแตกกระจาย


ตอนนี้เฉินผิงอันแค่ต้องต่อยตีกับเทพหยิน ‘เล็กๆ’ ตนหนึ่งเท่านั้น ทั้งสองฝ่ายจึงไม่มีใครหลบเลี่ยงใคร


ชุดคลุมอาคมจินหลี่จากที่เป็นสีหิมะขาวโพลนเพราะถูกร่ายเวทบังตาก็กลับคืนสภาพเดิมกลายมาเป็นสีทองแล้ว


หลังจากที่เฉินผิงอันปล่อยกระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าไปสิบหมัด ประกายในดวงตาของหลี่หลี่หม่นมัวลงเล็กน้อย แต่เขากลับยังไม่สนใจ ปล่อยให้คนหนุ่มรัวหมัดใส่ครั้งแล้วครั้งเล่า


เทพหยินสามเศียรหกกรที่มีหน้าตาท่วงท่าเหมือนอริยะในศาลบู๊แหลกสลายดั่งไอหมอก ปราณวิญญาณแผ่กระจายไปสี่ทิศ


ส่วนชุดคลุมอาคมจินหลี่ก็ปรากฏรอยกรีด รอยแตกยับเป็นริ้วๆ ตอนนี้ยังไม่อาจกลับคืนสู่สภาพเดิมได้ อีกทั้งปราณวิญญาณบนชุดยังกระจัดกระจายอย่างยุ่งเหยิงด้วย


หลี่หลี่กระชากชุดหม่างสีแดงสดที่สภาพขาดวิ่นไม่เหลือดีตัวนั้นทิ้งไป มองคนหนุ่มที่หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงอย่างรุนแรง ฝ่ามือและหลังมือทั้งสองข้างต่างก็เปรอะเลอะไปด้วยเลือด เขาพยายามฝืนเบิกตาสองข้างขึ้น ใบหน้ามีเลือดสดไหลนอง ดูเหมือนว่าจะมีเพียงดวงตาคู่นั้นที่ยังคงใสสะอาดกระจ่างแจ้ง


หลี่หลี่เอ่ยกลั้วยิ้ม “น่าเสียดายที่เจ้าเป็นผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัว นี่หมายความว่าเจ้าไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับใบถงทวีปและสำนักกุยหยก ไม่อย่างนั้นข้าคงไม่กล้าฆ่าเจ้าจริงๆ”


เฉินผิงอันหลับตาลงข้างหนึ่ง พูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่าว่า “ร่างจำแลงสองร่างนี้ของเจ้าทนรับการทุบตีไม่ได้เลย เพิ่งจะสิบเจ็ดสิบแปดหมัดก็แตกสลายซะแล้ว เทียบติงอิงไม่ได้ด้วยซ้ำ”


หลี่หลี่ยิ้มบางๆ “แล้วยังไง?”


เฉินผิงอันพูดด้วยน้ำเสียงคลุมเครือ “หลังจากนี้ขอแค่ข้าปล่อยไปอีกสามหมัดก็สามารถแลกชีวิตกับเจ้าได้แล้ว เจ้ากลัวหรือไม่?”


หลี่หลี่ตอบรับด้วยเสียงหัวเราะเย็นชา เห็นได้ชัดว่าไม่เชื่อ


อีกอย่างในฐานะโส่วกงไหวแห่งต้าเฉวียน ผู้ที่สร้างโอสถทองได้ครึ่งเม็ดอย่างเขา จะไม่มีวิธีรับมืออื่นเตรียมรอไว้เลยได้อย่างไร ก็แค่ต้องจ่ายค่าตอบแทนมากหน่อยเท่านั้น


ค่าตอบแทนที่ว่ามากนั้น มากกว่าชีวิตของเขาด้วยซ้ำ


คนทั้งสองต่างก็เงียบงันกันไป ผ่านไปครู่หนึ่ง หลี่หลี่พลันขมวดคิ้ว พูดเสียงเฉียบว่า “เจ้าเป็นผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวคนหนึ่ง เหตุใดถึงใช้วิธีการที่ตรงกันข้าม แอบดึงดูดปราณวิญญาณมาใช้?!”


หลี่หลี่ถอยหลังไปหลายก้าว เข้าใจว่าคนผู้นี้จงใจเปิดประตูใหญ่ให้แก่ช่องโพรงลมปราณแต่ละแห่ง ปล่อยให้ปราณวิญญาณกรอกเทเข้าสู่ร่าง นี่ก็คือโอกาสที่เจ้าเด็กคนนี้ช่วงชิงมาทำให้เขาต้องพินาศวอดวายไปด้วย


เสียสติไปแล้วจริงๆ


บัณฑิตแซ่จงพยักหน้ารับเบาๆ ก่อนจะส่ายหน้า


ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวใช้ปราณวิญญาณหล่อหลอมจิตวิญญาณ ช่างใจกล้ายิ่งนัก แต่ก็อันตรายมากเช่นกัน


ถ้าอย่างนั้นหมัดที่สามก็มีโอกาสส่งออกไปแล้ว


หากหลี่หลี่ประมาทก็ต้องเสียเปรียบครั้งใหญ่


ศึกครั้งนี้ถือว่าไม่เหนื่อยเปล่าสำหรับคนหนุ่ม ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตห้ากำลังตามหาดีแห่งวีรบุรุษก้อนหนึ่ง (ดีสามารถเปรียบเปรยได้ถึงความใจกว้าง ความกล้าหาญ) อย่างยากลำบาก จิตหยินที่แปลกประหลาดของโส่วกงไหวแห่งต้าเฉวียนผู้นี้ก่อกำเนิดขึ้นจากการนิมิตถึงอริยะสามท่านในศาลบู๊พอดี แต่นิมิตนี้เป็นวิธีนอกรีต เป็นที่สงสัยว่าเป็นการหมิ่นประมาททวยเทพ อีกทั้งยังทำลายโชคชะตาฝ่ายบู๊ เท่ากับว่าหลี่หลี่เอาของส่วนรวมมาใช้ส่วนตัว เชื่อว่าคนในราชสำนักต้าเฉวียนก็อาจจะไม่รู้ความจริงเรื่องนี้ ศึกระหว่างคนหนุ่มกับเทพหยิน เมื่อเขาคว้าชัยชนะมาได้แล้วเทพหยินเหล่านั้นก็แตกสลาย อริยะบู๊แห่งราชวงศ์สกุลหลิวสามท่านย่อมต้องสัมผัสได้ถึง ในอนาคตหากคนหนุ่มมีโอกาสเดินทางไปเมืองหลวงต้าเฉวียน เข้าไปในศาลบู๊แห่งนั้น เชื่อว่าต้องได้รับการตอบแทนอย่างดีแน่นอน


แต่ก่อนจะเป็นเช่นนั้นได้ คนหนุ่มกับพวกผู้ติดตามท่าทางประหลาดของเขาต้องรอดชีวิตไปจากโรงเตี๊ยมแห่งนี้ให้ได้เสียก่อน


เขารับปากอีกฝ่ายไว้ว่าจะช่วยเก็บกวาดให้ แต่ไม่ได้บอกว่าจะช่วยปกป้องคนหนุ่มผู้นั้น


ขันทีหลี่หลี่กวาดตามองไปรอบด้านแล้วเดินออกไปสิบกว่าก้าว มาหยุดข้างโต๊ะเหล้าตัวหนึ่ง หยิบจอกเหล้าขึ้นมาดื่มเหล้าแล้ววางลงเบาๆ มองผู้ติดตามหนุ่มทั้งหลายที่อยู่ตรงทางขึ้นบันได คนหนึ่งในนั้นคือท่านโหวน้อย คนหนึ่งคือลูกหลานแม่ทัพหลงเซียง คนอื่นๆ ก็ถือเป็นทหารผู้กล้าแห่งกองทหารรักษาพระองค์ที่อนาคตกว้างไกล


เจ้าเศษสวะสวี่ชิงโจว ไม่เพียงแต่ไม่สามารถจัดการกับเจ้าคนใช้ดาบผู้นั้นได้ กลับกันยังกลายเป็นคนป้อนกระบวนท่าดาบให้อีกฝ่ายดูโดยที่ตัวเองดันไม่รู้ตัว


สวีถงแห่งอารามฉ่าวมู่ยังจมจ่อมอยู่กับพลังอำนาจของวิชาสายฟ้านอกรีตผายลมสุนัข นึกว่าตัวเองจะกุมชัยชนะไว้ได้อยู่มือ แต่กลับไม่รู้เลยว่านังผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่อาจารย์กระบี่ เพียงแค่มีปณิธานแห่งกระบี่แตกหน่อขึ้นในใจประดุจต้นไม้ในฤดูใบไม้ผลิที่มีชีวิตชีวาเท่านั้น พรสวรรค์ของอีกฝ่ายดีเยี่ยมจนสมควรเรียกว่าเป็นตัวอ่อนเซียนกระบี่แล้ว


ส่วนตรงนอกประตูก็ยิ่งตีกันอย่างครึกครื้น ทั้งสองฝ่ายผลัดกันรุกผลัดกันรับ แต่ก็แค่มองดูแล้วคึกคักเท่านั้น


สุดท้ายหลี่หลี่มองไปทางสตรีแต่งงานแล้วกับผู้เฒ่าหลังค่อม เขาไม่สนใจคนทั้งสองแม้แต่น้อย กลับเป็นบัณฑิตตกอับคนนั้นที่หลี่หลี่รู้สึกมองไม่ออก แต่เขาก็ไม่คิดอะไรมาก


ในโรงเตี๊ยม ไม่ว่าจะเป็นศัตรูหรือเป็นคนกันเอง ทุกคนล้วนต้องตายทั้งหมด


หลี่หลี่โบกมือหนึ่งครั้ง ประตูใหญ่ของโรงเตี๊ยมก็พลันปิดลงดังปัง


จูเหลี่ยนเอ่ยเนิบช้า “ระวัง”


หลี่หลี่ยื่นมือมาวางทับไว้ตรงท้องนอกจุดตันเถียนแล้วเริ่มสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่


ทุกครั้งที่พ่นลมหายใจจะต้องมีไอสีแดงสดถูกพ่นออกมาด้วย


เฉินผิงอันกระโจนไปข้างหน้าอย่างเงียบเชียบ


กระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าถูกปล่อยไปเป็นครั้งที่สาม


หมัดนั้นต่อยลงบนหลังมือที่วางแนบติดกับหน้าท้องของขันที


ส่วนหลี่หลี่ก็ปล่อยหนึ่งหมัดต่อยเข้าที่หัวใจของเฉินผิงอัน


แค่หมัดง่ายๆ สองหมัดเท่านั้น


หลี่หลี่หงุดหงิดอย่างถึงที่สุด สภาพจิตใจของเขาเหมือนไม่ใช่จิตใจของเซียนดิน ขันทีในวังลึกผู้กุมกองทัพม้าคอยปกป้องเมืองหลวงอีกต่อไป สีหน้าของเขาพลันเปลี่ยนมาเป็นดุดัน ดวงตาเปลี่ยนเป็นสีแดงฉาน ยกฝ่ามือตบฉาดลงบนจุดไท่หยางของเฉินผิงอัน


ครึ่งร่างของเฉินผิงอันปลิวออกไป มีเพียงสองเท้าที่ปักตรึงอยู่กับพื้น นั่นก็เพื่อปล่อยหมัดครั้งต่อไป


แต่ละหมัดที่ปล่อยออกไปล้วนเร็วกว่าหมัดก่อนหน้า


ส่วนแต่ละหมัดของหลี่หลี่ก็ยิ่งมีพลังอำนาจดุจสายฟ้า


กระบี่บินชูอีกับสืออู่ที่แทงเข้าไปในร่างของคนผู้นี้ แต่กลับเหมือนเข้าไปอยู่ในเขาวงกต พุ่งชนอยู่ท่ามกลางช่องโพรงลมปราณของอีกฝ่ายอย่างสะเปะสะปะ หาทางออกไม่เจอเสียที


กระดูกในร่างของเฉินผิงอันส่งเสียงลั่นแตกเป็นระลอก


บนใบหน้าของหลี่หลี่ที่ผ่านการบำรุงรักษาอย่างดีจึงยังเหมือนคนวัยกลางคนมีเส้นใยลอยขึ้นมา บางจุดปูดนูน บางจุดเว้ายวบลงไปราวกับว่าใบหน้านี้เป็นของปลอม


โอสถทองที่สร้างได้ครึ่งเม็ดระเบิดแตกดังโพล๊ะ


เพียงแต่วาเป็นเพียงชั้นผิวภายนอกเท่านั้นที่ระเบิดแตก เหมือนที่ก่อนหน้านี้หลี่หลี่ถอดชุดหม่างสีแดงคลุมกายทิ้งไป


จูเหลี่ยนถอนหายใจอยู่ในใจ ราวระเบียงใต้ฝ่าเท้าระเบิดแตก พื้นกระดานก็ปริร้าวตามไปด้วย เขาพลิ้วกายลงมายังชั้นหนึ่ง ความเร็วนั้นดั่งพายุลมกรด ย่างก้าวสองสามก้าวเหมือนไม่ใส่ใจ แต่กลับมาหยุดอยู่ข้างกายหลี่หลี่แล้ว เขาดีดปลายเท้าเล็กน้อย ร่างก็ทะยานขึ้นสูง ก่อนจะตีศอกใส่ศีรษะของขันทีเฒ่าที่อายุมากถึงเก้าสิบปีผู้นี้ ส่วนมืออีกข้างหนึ่งชักออกมาอย่างว่องไว ทำมือเป็นมีดที่แทงทะลุเข้าไปยังลำคอของหลี่หลี่


หลี่หลี่ที่เดิมทีควรต้องตายอย่างมิต้องสงสัยกลับยังคงออกหมัดต่อยเฉินผิงอัน พอเขาปล่อยหนึ่งหมัดไปแล้ว เลือดสดก็ไหลทะลักออกมาจากหูทั้งสองข้างของเฉินผิงอันเหมือนน้ำพุพุ่ง


ส่วนจูเหลี่ยนนั้นปลิวกระเด็นออกไปดังตูม ร่างกระแทกเข้ากับผนังที่อยู่ห่างไปไกลจนผนังแตกผัง แล้วหล่นตุ้บลงด้านนอก


หลี่หลี่ที่ลำคอถูกแทงทะลุสีหน้าเฉยเมย ใจคิดแต่ว่าต้องฆ่าคนหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าให้ได้ก่อน ส่วนคนอื่นๆ หลังจากที่เขาเผยร่างแท้จริงแล้ว ต่อให้ร่วมมือกันมาก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา


ร่างของจูเหลี่ยนลอยหวือไปตกท่ามกลางกองทัพทหารม้าที่อยู่ด้านนอก อยู่ดีๆ มีคนคนหนึ่งลอยออกมา ทำเอาพวกทหารตกใจขวัญกระเจิง ในขณะที่กำลังจะล้อมสังหารคนผู้นี้ จูเหลี่ยนกลับถ่มเลือดออกมาหนึ่งคำ กลิ้งตัวไปด้านหลัง พอลุกขึ้นยืนก็เหมือนวานรที่ปีนป่ายอยู่ในป่า และความดุร้ายอำมหิตของคนบ้าคลั่งวรยุทธ์ก็ได้สำแดงออกมาอย่างไม่มีกักเก็บไว้ มือทั้งคู่ของเขาดึงแขนสองข้างของทหารม้าคนหนึ่งกระชากออก ฉีกแขนทั้งสองข้างของคนผู้นั้นไปโดยตรง


ครั้นแล้วจึงใช้ฝ่ามือตบเข้าที่ศีรษะของทหารม้านายนั้น เสียงปังดังสนั่นหวั่นไหว


หมัดหนึ่งต่อยเข้าที่หน้าอกทะลุเรือนกาย เพราะรังเกียจที่ศพนี้ขวางหูขวางตา จึงทำมือเป็นมีดฟันฉับเป็นแนวเฉียงตั้งแต่ไหล่จนถึงหน้าท้อง ศพของคนผู้นั้นถูกผู้เฒ่าหลังค่อมฟันผ่าออกเป็นสองท่อน เลือดสดและไส้ไหลทะลักนองเต็มพื้น


ในโรงเตี๊ยม


สวีถงและสวี่ชิงโจว สุยโย่วเปียนและหลูป๋ายเซี่ยง ต่างฝ่ายต่างหยุดมือพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย


เพราะการเปลี่ยนแปลงของขันทีหลี่หลี่น่าเหลือเชื่อเกินไป


สัญชาตญาณทำให้พวกเขาทุกคนมองหลี่หลี่เป็นศัตรูตัวฉกาจที่สุด


และเวลานี้เอง จิ่วเหนียง ผู้เฒ่าหลังค่อม เด็กหนุ่มขาเป๋และเหยาหลิ่งจือที่อยู่บนชั้นสองต่างก็ตัวอ่อนนอนพังพาบอยู่บนพื้นอย่างน่าประหลาดใจ


ไม่รู้ว่าบัณฑิตตกอับแซ่จงมาปรากฏตัวอยู่ด้านหลังหลี่หลี่ตั้งแต่เมื่อไหร่ เขาเอามือหนึ่งไพล่หลัง อีกมือหนึ่งใช้สองนิ้วคีบยาเม็ดสีแดงสดไว้หนึ่งเม็ด ก้มหน้าลงจ้องมองมันนิ่งๆ พลางพึมพำกับตัวเองว่า “มิน่าเล่า”


บัณฑิตออกแรงเล็กน้อย โอสถทองที่แท้จริงเม็ดนี้ก็ถูกบีบจนแตก


ได้ยินว่าเฉินผิงอันที่อยู่ด้านหลังต่อยหมัดใส่หน้าอกของขันทีที่ตายไปแล้ว และกระดูกมือของเฉินผิงอันก็แตกละเอียดไปหมด บัณฑิตก็หันหน้ากลับมา เนื่องจากยังมีหลี่หลี่ที่ร่างยังไม่ล้มลงขวางอยู่ เขาจึงได้แต่ขยับตัวเบี่ยงออกมา แสยะยิ้มให้เฉินผิงอัน ในดวงตาเต็มไปด้วยความเลื่อมใส “น้องชายคนนี้ เจ้าไม่รู้จักเจ็บหรือไร?”


เฉินผิงอันยังคงจมจ่อมอยู่กับปณิธานหมัดของตัวเอง


อันที่จริงหมัดสุดท้ายไม่ถือว่ามีพลังพิฆาตอะไร มันค่อนข้างจะเบาหวิวด้วยซ้ำ ต้องรู้ว่ากระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าคือวิชาหมัดที่ผู้เฒ่าแซ่ชุยซึ่งเคยยืนอยู่บนยอดสูงสุดของขอบเขตสิบวิถีวรยุทธ์ภาคภูมิใจมากที่สุด และหวังจะนำกระบวนท่าหมัดนี้ไปถามมรรคาจารย์เต๋าว่าสูงหรือต่ำ


ร่างของเฉินผิงอันโงนเงนจะล้มมิล้มแหล่ การมองเห็นพร่าเลือน เขายังพอจะมองเห็นได้ว่าขันทีที่ลำคอแหลกเละผู้นั้นไหล่ลู่คอตก เสียงตุ้บดังหนึ่งครั้ง อีกฝ่ายก็ลงไปนั่งคุกเข่าอยู่กับพื้น เฉินผิงอันสัมผัสไม่ได้ถึงพลังชีวิตของเขา


เฉินผิงอันยืนอยู่ท่าเดิม ยังคงค้างอยู่ในท่าปล่อยหมัด ไม่ได้เก็บหมัดกลับมา นาทีนี้ในหัวของเขามีแค่ความคิดเดียว โชคดีที่หมัดสุดท้ายนี้ไม่ได้ปรากฏอยู่ในสายตาของผู้เฒ่าเปลือยเท้า ไม่อย่างนั้นผู้เฒ่าต้องด่าเขาจนไม่เหลือชิ้นดีแน่


บัณฑิตมองสวีถงและสวี่ชิงโจว กะพริบตาปริบๆ ถามว่า “วิญญูชนขยับปากไม่ขยับมือ คำพูดหลอกเด็กพวกนี้ พวกเจ้าเชื่อจริงๆ หรือ?”


สวีถงกับสวี่ชิงโจวกลืนน้ำลาย


แขนสองข้างของเฉินผิงอันห้อยตกลง นั่งแปะลงไปบนพื้น ขยับขานั่งขัดสมาธิ


ใช้เรี่ยวแรงเฮือกสุดท้ายกำสองมือเป็นหมัดวางลงบนหัวเข่าเบาๆ ได้แต่ลืมตาข้างเดียว


ชุดคลุมอาคมจินหลี่เสียหายอย่างหนัก ปราณวิญญาณบางเบาจนแทบไม่เหลืออยู่ สูญเสียประสิทธิภาพไปชั่วคราว


เลือดสดที่ท่วมร่างเขาเด่นชัดสะดุดตายิ่งกว่าชุดหม่างสีแดงสดที่หลี่หลี่สวมก่อนหน้านี้ซะอีก


บัณฑิตพูดกับคนหนุ่มว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าคู่ต่อสู้ของตัวเองคืออะไร?”


แต่เพราะในโรงเตี๊ยมยังมีคนอยู่อีกมาก บัณฑิตจึงไม่ได้บอกคำตอบออกมา ก่อนที่ตนจะลงมือ ลมปราณของคนหนุ่มได้เปลี่ยนแปลงไป นั่นน่าจะเป็นวิชารักษาตัวรอดที่อีกฝ่ายอำพรางไว้อย่างลึกล้ำ หรือไม่ก็เป็นกระบวนท่าสังหารที่ยิ่งใหญ่ที่สุด บัณฑิตพอจะเดาออกแค่เล็กน้อยเท่านั้น


เฉินผิงอันเงยหน้าขึ้นช้าๆ ยังคงลืมตาได้แค่ข้างเดียว เขายิ้มบางๆ ตอบว่า “เบื้องหน้าไร้คน”


บัณฑิตทรุดตัวลงนั่งยอง ถามยิ้มๆ ว่า “เจ้าชื่ออะไร?”


เฉินผิงอันหลับตาลง


บัณฑิตกลอกตามองสูงใส่


ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ยื่นนิ้วข้างหนึ่งออกมาวาดวงกลมกลางอากาศเหมือนเด็กระบายสี


หลังจากที่เรือนกายและโอสถทองของหลี่หลี่ทยอยกันระเบิดแตก ปราณวิญญาณฟ้าดินในโรงเตี๊ยมก็ค่อยๆ ไหลเข้าหาผู้ฝึกยุทธ์หนุ่ม อีกทั้งตำแหน่งที่มารวมตัวกันยังเป็นช่องโพรงลมปราณที่ปราณกระบี่สิบแปดหยุดของเฉินผิงอันต้องไหลเวียนผ่านพอดี


นอกจากนี้เมื่อเขากวักมือหนึ่งครั้ง ศพของหลี่หลี่ก็หายวับไป แต่ชูอีสืออู่กลับพุ่งพรวดออกมาหยุดลอยอยู่สองข้างไหล่ของเฉินผิงอันอย่างรวดเร็ว ปลายกระบี่ชี้ไปที่บัณฑิต


บัณฑิตแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น เขาเงยหน้าตะโกนขึ้นไปยังชั้นสอง “นังหนูน้อย หยุดอ่านหนังสือได้แล้ว รีบมาดูพ่อเจ้าเร็วเข้า”


เผยเฉียนที่ไม่เหลือเรี่ยวแรงอ่านหนังสืออยู่นานแล้วรีบวิ่งออกมาจากห้อง นางมองไปที่บัณฑิตตกอับก่อน จากนั้นก็ถามอย่างแกล้งโง่ว่า “อะไรนะ? ดูพ่อเจ้า?”


บัณฑิตจุ๊ปากพูด “โอ้โห รู้จักรังแกคนอื่นด้วยหรือนี่”


เผยเฉียนวิ่งปรู๊ดลงมาจากชั้นบน เหยียบลงบันไดเสียงดังตึงๆ


นางมานั่งยองอยู่ข้างบัณฑิตชุดเขียว เผยเฉียนมองเฉินผิงอันแล้วเอ่ยถามคนที่อยู่ข้างกายเบาๆ “คงไม่ได้ตายแล้วหรอกนะ?”


บัณฑิตพยักหน้ารับ “จากไปตั้งแต่ยังหนุ่มแน่น ช่างน่าเสียดายยิ่งนัก”


เผยเฉียนมองซ้ายมองขวา ทำท่าจะพูดแต่ก็หยุดไป


เฉินผิงอันลืมตาขึ้น


เผยเฉียนหันขวับมามองบัณฑิตด้วยสายตาเดือดดาล “ทำไมเจ้าต้องสาปแช่งให้พ่อข้าตายด้วย? พ่อเจ้าต่างหากที่ตาย!”


บัณฑิตทำสีหน้าไร้เดียงสา “พ่อข้าตายไปตั้งนานแล้วนี่นา ทุกปีพอถึงช่วงเทศกาลชิงหมิง (เชงเม้ง) ข้าก็ต้องไปเก็บกวาดสุสาน”


เฉินผิงอันปลดน้ำเต้าลงมาจิบเหล้าบ๊วยคำเล็กๆ ตอนที่ยกมือขึ้น สภาพมือข้างนั้นน่าอเนจอนาถอย่างถึงที่สุด ทำเอาเผยเฉียนที่เห็นเหงื่อแตกพลั่ก คิดเหมือนกับบัณฑิตข้างกายเลยว่า ใต้หล้านี้มีคนที่ไม่กลัวเจ็บขนาดนี้ได้อย่างไร?


บัณฑิตยิ้มถาม “เพื่อตระกูลเหยา เกือบต้องมาตายอยู่ที่นี่ ไม่รู้สึกกลัวในภายหลังบ้างเลยรึ?”


เฉินผิงอันกล่าว “ไม่ใช่เพื่อตระกูลเหยา”


บัณฑิตยิ้มชั่วร้าย “ตระกูลเหยาเจอกับหายนะใหญ่ครั้งนี้ อันที่จริงมีสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากความงาม เชื่อว่าอีกไม่นานเจ้าก็จะได้รู้ ขนาดบุรุษยึดมั่นในรักที่จิตใจแข็งแกร่งดุจหินผาอย่างข้าก็ยังเกือบจะไขว้เขวไป ความงามของสตรีผู้นั้น แค่คิดก็พอจะรู้ได้”


หลูป๋ายเซี่ยงและสุยโย่วเปียน คนหนึ่งสองมือกุมด้ามดาบ อีกคนหนึ่งสะพายกระบี่ไว้ด้านหลัง ต่างก็มายืนอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน


คนหนึ่งใช้เงินฝนธัญพืชสองเหรียญ อีกคนหนึ่งกลับใช้เงินฝนธัญพืชแค่เหรียญเดียว


สี่คนรวมกันก็ใช้เงินฝนธัญพืชที่เฉินผิงอันเก็บสะสมไว้หมดพอดี


นักพรตเฒ่าช่างผลักคนลงหลุมได้ลึกนัก


บัณฑิตพลันถามอย่างสงสัยว่า “เจ้าคงไม่ได้รู้ถึงการดำรงอยู่ของข้า ก็เลยมองศึกเป็นตายครั้งนี้เป็นตัวขัดเกลาตบะวิถีวรยุทธ์หรอกกระมัง?”


เฉินผิงอันเช็ดคราบเลือดบนใบหน้า ไม่ได้ตอบคำถามข้อนี้ แต่ถามยิ้มๆ กลับมาว่า “เจ้าคือ?”


บัณฑิตโบกมือ “ไม่มีค่าพอให้กล่าวถึง”


เฉินผิงอันจึงไม่ถามอะไรต่ออีก


บัณฑิตหันมามองเผยเฉียนที่เบิกตากว้าง เขาจ้องดวงตาคู่นั้นของนาง ดั่งตะวันลอยขึ้นเหนือทะเลบูรพา ดั่งดวงจันทราลอยเหนือภูเขาทักษิณ งดงามจริงๆ


ทว่านิสัยแบบนี้กลับไม่น่าชื่นชอบเอาเสียเลย


บัณฑิตหันไปมองทางประตูใหญ่ “เหยาเจิ้นและคนขององค์ชายอีกท่านหนึ่งใกล้จะมาถึงแล้ว”


สุดท้ายเขาเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้าพักรักษาตัวให้สบายใจก็พอ หลังจากนี้มอบให้ข้าจัดการเอง”


เฉินผิงอันดิ้นรนลุกขึ้นยืน เขากุมหมัดคารวะบัณฑิต เห็นมือทั้งคู่ของเขา บัณฑิตก็รู้สึกชาไปทั้งหนังศีรษะ สุดท้ายเฉินผิงอันหันไปพูดกับหลูป๋ายเซี่ยง “ขอบคุณมาก หากรู้ว่าจะเป็นเช่นนี้ เจ้าน่าจะได้ออกมาเป็นคนแรก”


หลูป๋ายเซี่ยงยิ้มบางๆ


เฉินผิงอันชำเลืองตามองไปยังสุยโย่วเปียน ฝ่ายหลังมองตาเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย


เฉินผิงอันเดินขึ้นไปยังชั้นสอง เผยเฉียนตามติดมาด้านหลัง


ข้ารับใช้หนุ่มเหล่านั้น แต่ละคนหน้าไร้สีเลือด


บัณฑิตมองแผ่นหลังของหนึ่งเด็กหนึ่งผู้ใหญ่แล้วก็เกาหัว คิดไม่ออกว่าเกิดอะไรขึ้นก็เลยไม่คิดให้เปลืองแรงอีก


พอเขาคิดได้ว่าหลังจากผ่านพ้นคืนนี้ไปจะไม่สามารถมาขอกินฟรีอยู่ฟรีที่นี่ได้อีกแล้วก็รู้สึกขุ่นเคืองเล็กน้อย


ดังนั้นอันดับต่อมาบัณฑิตจึงนั่งลงแล้วเริ่มดื่มเหล้า บัณฑิตคนหนึ่งที่ตรงเอวห้อยหยกประดับเดินออกจากประตูไป สำหรับเขาแล้วทุกคนที่อยู่ตรงประตูใหญ่ของโรงเตี๊ยมคล้ายไม่มีตัวตน เขาเงื้อฝ่ามือข้างหนึ่งตบจนองค์ชายคนนั้นพลิกตัวกลิ้งตลบอยู่กลางอากาศหลายรอบ บัณฑิตอีกคนหนึ่งพกกระบี่จำแลงร่างกลายเป็นรุ้งขาวพุ่งจากไปไกล ไปหาองค์ชายต้าเฉวียนอีกคนหนึ่งแล้วเตะอีกฝ่ายจนกลิ้งหลุนๆ ไปบนพื้น ก่อนจะกระทืบลงบนใบหน้าของเขาอย่างแรง


หลังจากที่จิตหยินและจิตหยางของบัณฑิตออกจากช่องโพรงไปแล้ว ในรัศมีพันลี้รอบด้าน ขอแค่เป็นวัตถุหยินหรือภูตผีปีศาจ ต่อให้เป็นทวยเทพของศาลเถื่อนทั้งหลายก็ล้วนก้มลงกราบกรานตัวสั่นอย่างที่มิอาจห้ามตัวเองได้


หมื่นผีบนโลก พบข้าจงขุย ต้องโขกศีรษะให้

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)