หมอดูยอดอัจฉริยะ 333-338
ตอนที่ 333 การเดิมพันที่สูงขึ้น
โดย
Ink Stone_Fantasy
ภายในงานประมูล ก้อนหินก้อนนี้ยังถูกจัดว่าเป็นเศษก้อนหิน ไกลเกินกว่าที่เยี่ยเทียนคาดไว้ ในมุมมองของเขา หยกที่ขนาดใหญ่เท่ากำปั้น ราคาสามล้านก็ถือว่ายังไม่คุ้มค่า
“สิบล้านดอลลาร์ฮ่องกง ฉันขอประมูลสิบล้าน”
ยิ่งทำให้เยี่ยเทียนคิดไม่ถึงเลยก็คือ เหวินหลนสงที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็ลงมืออีกแล้ว อีกทั้งยังประมูลราคาที่สูงขึ้นมาถึงสองจุดห้าล้าน เมื่อราคานี้ประมูลออกไป ภายในงานก็เงียบสงัดขึ้นมาทันที
หินก้อนนั้นที่ยังไม่ได้ผ่านการแปรรูปเปลือกของมันเป็นลายงูเหลือมที่ผุกร่อน แต่ว่าครั้งแรก ที่ใช้มีด ตัดแบ่งแยกส่วนออกแล้ว ราคามันก็หดค่าลงครึ่งหนึ่ง เหวินหลนสงประมูลราคาสิบล้าน ในสายตาของคนอื่นเขาคือคนที่ชอบผลาญเงิน แต่กลับไม่มีใครกล้าประมูลสู้ราคากับเขา
“ตกลง สิบล้านดอลลาร์ฮ่องกง ก้อนหินใหญ่มหึมาก้อนนี้ตกไปอยู่ในมือของคุณชายเหวินแล้ว”
หลังจากสอบถามไปสองครั้งก็ไม่มีใครเสนอราคา พิธีกรประมูลก็เคาะค้อนดังขึ้นมา การซื้อขายก้อนหินในวันนี้ดำเนินมาถึงช่วงสุดท้าย ข้างนอกพวกเราเตรียมอุปกรณ์เอาไว้ผ่าก้อนหินแล้ว เพื่อน ๆ คนไหนสนใจอยากร่วมชมการผ่าก้อนหิน ก็เชิญเตรียมตัวให้พร้อม
การประมูลเสร็จสิ้น บรรยากาศภายในงานก็ค่อย ๆคลายลง ลำดับถัดไปคือการตัดแยกก้อนหิน ถือว่าเป็นช่วงที่น่าตื่นเต้นที่สุด มีร้านอัญมณีบางร้านที่ไม่สามารถรอได้ หลังจากที่โอนเช็คสำเร็จ ก็เดินออกไปข้างนอกกันหมดแล้ว
จั่วเจียจวิ้นลุกขึ้นมา พูดว่า “เยี่ยเทียน ไปกันเถอะ การตัดแยกก้อนหินถือว่าเพิ่งเริ่มแล้ว”
หลังจากที่เดินตามจั่วเจียจวิ้นไปในลานกว้าง ก้อนหินที่ยังไม่ได้ทำการแปรรูปถูกวางปนกันอยู่ที่พื้น กำลังถูกคนงานแบ่งแยกออกเป็นกอง ๆ จัดเป็นระเบียบเรียบร้อย ตอนแรกที่อยู่ข้างในทำการประมูลนั้น ที่นี้ก็ยุ่งอยู่แล้ว
“ศิษย์พี่ นี้ ก้อนหินนี้จะผ่าอย่างไร จะตัดพวกมันออกอย่างไร”
เมื่อเยี่ยเทียนได้เห็นก็รู้สึกเลอะเลือน นี้คือครั้งแรกในการตัดแบ่งหินของเขา ในหัวของเขาไม่เข้าใจอะไรเลย ยังคงคิดอยู่ว่า หรือว่าจะเอาหินก้อนนี้กลับไปบ้านแล้วใช้ง้าวจันทร์เสี้ยวผ่ามันดี
เมื่อจั่วเจียจวิ้นได้ยินก็หัวเราะออกมา บุ้ยปากไปมารอบๆ พูดว่า “นั่น ที่นั่นจะมีเครื่องผ่าก้อนหิน”
“คือพวกเครื่องจักรใหญ่ที่มีฟันเฟืองเหล่านั้นหรือ?”
หลังจากที่ได้ยินคำพูดของจั่วเจียจวิ้น เยี่ยเทียนเพิ่งสังเกตว่า ในลานกว้างมุมทั้งสี่ มีเครื่องมือตัดพร้อมฟันเฟืองขนาดใหญ่ตั้งอยู่หกตัว นอกจากนั้นก็จะมีพวกอุปกรณ์เล็กๆ เครื่องเจียระไน ที่เหมาะจะใช้สำหรับพวกก้อนหินที่มีขนาดเล็ก
“ใช่ แต่ว่าเครื่องตัดหินพวกนั้นเธอใช้มันไม่ได้ เยี่ยเทียน นี้คือก้อนหินที่เธอซื้อ” จั่วเจียนจวิ้นยิ้มแล้วส่ายหัวหยิบก้อนหินที่ขนาดเท่ากำปั้นที่ยังไม่ได้แปรรูปส่งมันให้กับเยี่ยเทียน
ของเล่นแค่นี้ก็เสียเงินไปตั้งสองหมื่นดอลลาร์ฮ่องกง เยี่ยเทียนได้รับก้อนหินที่สีดำไม่เรียบไม่เงา ฝืนยิ้มแล้วพูดว่า “ศิษย์พี่ เงินนี้จะใช้คืนให้นะ”
จั่วเจียจวิ้นสายตาจ้องมองขึ้นมา พูดด้วยความโมโหว่า “พูดอะไรกันนะ ศิษย์พี่ซื้อให้เธอเล่น อย่ามาพูดถึงเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆอะไรนั้นอีก”
จั่วเจียจวิ้นคือคนกันเอง ไม่ได้ถือสาว่าต้องมีน้ำใจหรือไม่มีน้ำใจ เยี่ยเทียนไม่ใช่ไว้ตัว หัวเราะแล้วพูดว่า “ได้ ถ้าอย่างนั้นฉันก็จะรับไว้นะ”
มองไปรอบ ๆ เยี่ยเทียนสังเกตว่าพวกคนที่เพิ่งซื้อก้อนหินไป กำลังนั่งยอง ๆ สังเกตอย่างละเอียดที่ก้อนหินที่ตัวเองเพิ่งซื้อไป ระมัดระวังมากกว่าตอนก่อนที่จะซื้อ เยี่ยเทียนสงสัยก็ถามว่า “ศิษย์พี่ ไม่ใช่ว่าต้องผ่าแบ่งก้อนหินหรือ ทำไมไม่เอาไปผ่าทุกอันละ”
การผ่าหินจำเป็นต้องใช้ฝีมือ ต้องวาดออกเป็นเส้นตามลายของงูเหลือม ถ้าไม่อย่างนั้นก็จะกระทบกับ หยกที่อยู่ข้างในได้ ทางนั้นแค่ลองไปมั่ว ๆ ซั่ว ๆก็สามารถลงมือตัดได้แล้ว
จั่วเจียจวิ้นรู้ว่าศิษย์น้องของตัวเองไม่เข้าใจจุดสำคัญอะไรเกี่ยวกับก้อนหินนี้เลย มีความอดทนพอ ที่จะอธิบายให้เยี่ยเทียนฟัง โชคดีว่าลูกสาวและลูกเขยของเขา มีความเข้าใจเกี่ยวกับก้อนหินดีมาก จึงไม่จำเป็นต้องให้เขาไปทำงาน เกี่ยวกับการวาดเส้นเหล่านี้
“ทำไมมันยุ่งยากอะไรขนาดนี้”
หลังจากที่ได้ยินคำพูดของจั่วเจียจวิ้น เยี่ยเทียนทำเสียงจั๊กจั๊ก ถ้าเกิดว่าลงมีดนี้ลงไปแล้วเกิดตัดเอียงขึ้นมา แต่เดิมของที่มีมูลค่าหนึ่งล้านก็จะกลายเป็นแค่ราคาหนึ่งแสน ไม่แปลกใจว่าทำไมคนพวกนั้นถึงต้องระวังเป็นพิเศษ
“ถ้าพวกเขาไม่ผ่ามันออก ฉันจะไปผ่าเอง”
เยี่ยเทียนวันนี้ที่ผ่านมา เป็นเรื่องที่เขาไม่สนใจ ถึงอย่างไรก็ก้อนหินราคาสองหมื่นกว่านี้ ศิษย์พี่เป็นคนซื้อให้ เขาไม่มีความกดดันแม้แต่น้อย ในมือของเขาถือก้อนหินไว้เดินเข้าไปหาเครื่องผ่าก้อนหินที่ใกล้ที่สุด
“เฮ้ จะผ่าหินออกแล้ว”
“ไป ไปดูกัน หินก้อนแรกวันนี้ไม่รู้ว่าจะสามารถเพิ่มมูลค่าได้ไหม”
“เด็กหนุ่มคนนี้คือใครอะเหมือนไม่เคยเจอมาก่อนเลย”
“ปรมาจารย์จั่วก็เดินตามอยู่ อาจเป็นรุ่นน้องของเขา”
การเคลื่อนไหวของเยี่ยเทียน จั่วเจียจวิ้นต้องคอยติดตาม แค่จั่วเจียจวิ้นเคลื่อนไหว ก็ดึงดูดความสนใจคนจำนวนมาก คนจากร้านอัญมณีที่กำลังสังเกตก้อนหิน ทันใดนั้นก็ล้อมวงเข้ามา
“ศิษย์พี่ แค่ตัดแบ่งเท่านั้นก็ได้แล้วหรอ”
เยี่ยเทียนเอาก้อนหินที่ขนาดเท่ากำปั้นวางไว้บนเครื่องผ่า คนงานที่อยู่ข้าง ๆก็มีความชำนาญมากในการใช้เครื่องมือ ใช้แท่งเหล็กค่อย ๆคีบไว้ตรงกลาง
“ก้อนหินเล็กขนาดนี้ จะตัดเอาส่วนไหนดีละ”
จั่วเจียจวิ้นถึงกับมึนเมื่อได้ยินเยี่ยเทียนถาม หินทรายดำก้อนนี้เขาได้มาจากเหมืองหม่าเหมิงของประเทศพม่า เหมืองแห่งนี้เป็นแหล่งผลิตหินที่ใหญ่ที่สุด และมีหลายขนาดให้เลือกเพื่อใช้พนันหิน
โดยทั่วไปของหินหยก สามารถดูลักษณะเฉพาะได้จากผิวของมัน แต่ว่าหินทรายดำจะมีเปลือกนอกสีดำหุ้มอยู่อีกชั้น เรียกได้ว่านี่เป็นจุดสำคัญในพนันหิน ทั้งนี้เพราะหากเส้นใยภายในหินสามารถกลายสภาพเป็นหยก หากมีความชื้นเข้าไป ก็จะเปลี่ยนเป็นหยกสีเขียวได้
แม้ว่าก้อนหินก้อนที่เยี่ยเทียนซื้อมาจะราคาถูก แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะผ่าอย่างไรก็ได้ ถ้าเกิดว่าเยี่ยเทียนทำแบบนั้น ก็จะโดนคนที่อยู่ในลานหัวเราะเยาะได้
“เจ้าหนุ่มนี้ไม่เข้าใจการผ่าหินหรือ”
“ก็คือ วัสดุเล็กขนาดนี้ยังจะผ่าอีก ไม่ใช่ว่าจะทำลายมันหรือ”
“ไปกันเถอะ ปล่อยมันไป หินทรายดำธรรมดา ไม่ได้มีอะไรน่าสนใจ”
เยี่ยเทียนกับจั่วเจียจวิ้นพูดคุยกันถึงแม้ว่ามันจะไม่ดังมาก แต่ก็มีคนมากมายได้ยินมัน หนึ่งคือหินก้อนนี้มันเล็กเกินไป สังเกตดูแล้วก็ไม่มีอะไร สองคือเยี่ยเทียนก็ยังเป็นมือใหม่ คนที่ล้อมวงกันอยู่ในเวลานั้นก็ค่อย ๆสลายตัวไปครึ่งหนึ่ง
“น้องเยี่ย หินก้อนนี้ไม่ต้องผ่ามัน เธอแค่เช็ดผิวชั้นนอกของมันออก ก็สามารถมองเห็นได้ว่ามีหรือไม่มีหยก” เหวินหลนสงเห็นเยี่ยเทียนเสียหน้า หัวเราะแล้วเอาเครื่องผ่ามา บอกวิธีการใช้งานมันให้กับเยี่ยเทียน
“ขอบคุณพี่เหวิน ฉันรู้แล้ว”
วิธีการผ่านั้นง่ายมาก แต่จะยากที่จะต้องคอยควบคุมความร้อนระหว่างตัดให้ดี ฟังเหวินหลนสงอธิบาย เยี่ยเทียนก็เข้าใจขึ้นมา
“แค่เช็ดชั้นผิวนิดหน่อย ก็รู้แล้วว่าข้างในมีอะไร นี้ถือว่าเป็นการเดิมพันที่แท้จริง”
เยี่ยเทียนพยักหน้า แล้วก็ไม่ได้ลังเลใจ เปิดเครื่องผ่าก้อนหิน หมุนวนไปรอบ ๆชั้ นผิวสีดำขัดเงาอย่างรวดเร็ว
“คา คาคา” เสียงที่ไม่น่าฟังก็ดังขึ้นมา เศษผงหินสีดำปลิวหลุดออกมา
“ปรมาจารย์จั่ว น้องเยี่ยมีมือที่มั่นคงมาก”
เพราะว่าก้อนหินชิ้นนี้ซื้อมาด้วยราคาที่ถูก เลยยากที่จะทำให้คนรู้สึกตื่นเต้นไปกับมัน ขณะที่เยี่ยเทียนกำลังผ่าหิน เหวินหลนสงก็พูดคุยกับจั่วเจียจวิ้นอยู่ข้าง ๆ
ถึงแม้ว่าจะเป็นครั้งแรกในการผ่าหิน แต่ว่ามือของเยี่ยเทียนทั้งสองข้างนิ่งมากขณะที่ใช้เครื่องมือเจียระไนหินอยู่นั้น เหวินหลนสงที่ชอบผ่าหินด้วยตัวเองแค่มองก็ดูออก
“ฮ่าฮ่า เขาดูชำนาญกว่าฉันเยอะเลย”
เมื่อได้ยินเหวินหลนสงพูดชมเยี่ยเทียน จั่วเจียจวิ้นกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่ เหวินหลนสงได้ยินก็ประหลาดใจ เขาสามารถฟังออกว่า จั่วเจียจวิ้นเองบางครั้งก็ไม่ได้สุภาพอย่างที่คิด
“เฮ้ ศิษย์พี่ ข้างในนี้เหมือนจะมีสีเขียว” ขณะที่จั่วเจียจวิ้นที่กำลังพูดคุยกับเหวินหลนสง เสียงของเยี่ยเทียนดังขึ้นมา
“อะไรนะ? สีเขียวออกมาแล้ว จั่วเจียจวิ้นรีบเดินเข้าไปใกล้ มองดูอยู่พักหนึ่ง เขาก็นิ่งอึ้งไปเลย
เหตุผลที่จั่วเจียจวิ้นนิ่งอึ้งนั้น ไม่ใช่หมายถึงว่าความเขียวของมันสะดุดตาแค่ไหน แต่ที่ตกใจคือความเร็วในการผ่าหินของเยี่ยเทียน
ในช่วงเวลาสั้น ๆ ยังไม่ถึงสองนาที เยี่ยเทียนสามารถผ่าหินที่มีขนาดเท่ากำปั้นแบ่งออกหนึ่งในสามของปริมาณ และเครื่องเจียระในเองใบมีดของมัน ก็เสียหายสภาพดูไม่ได้เลย
เยี่ยเทียนมือหนักขนาดไหน ถ้าหากไม่กลัวว่าจะทำให้เครื่องเจียระไนสึกใช้งานไม่ได้ เยี่ยเทียนคงบดหินนี้ให้กลายเป็นผงได้
“ศิษย์พี่ นี้เท่ากับว่าชนะการเดิมพันหรือยัง” เห็นจั่วเจียจวิ้นที่เงียบไม่พูดอะไร เยี่ยเทียนก็สะกิดเขาทีหนึ่ง
“หา? ถ้าออกมาเป็นสีเขียวก็ได้ราคาเพิ่มขึ้นแล้ว”
จั่วเจียจวิ้นหันหลังกลับ รีบใช้น้ำล้างให้สะอาด หยิบเอาไฟฉายแบบฟลูออเรสเซนต์ขึ้นมาเปิดแล้วส่องอย่างใกล้ชิดกับผิวหน้าของหิน
เดิมจะเห็นสีเขียวเพียงผิวหน้าของหินเท่านั้น หลังจากถูกแสงไฟส่องเข้าไปสีเขียวข้างในก็ส่งประกายออกมา มีสีอื่นปนอยู่เล็กน้อย ดูแล้วสวยงามมาก
“ถ้าไม่ดูลายน้ำ แต่ดูความเขียวของมัน หินก้อนนี้ถือว่ามีค่าเกินคาด”
“รีบแยกออกเร็ว มาดูว่าข้างในกันว่า หยกมีขนาดใหญ่แค่ไหน คุณภาพเป็นยังไง”
จั่วเจียจวิ้นส่งเสียงที่สูงขึ้น ทำให้ดึงดูดความสนใจคนรอบข้าง ปกติแล้ว ราคาของหินทรายดำจะไม่ค่อยสูงมาก แต่ถ้าผ่าออกมาแค่มีสีเขียว แคนี้ก็ทำให้มูลค่าของมันเพิ่มขึ้นอย่างมาก
“น้องเยี่ย ไม่เลวเลย ดวงในการเดิมพันของเธอนี้ถือว่าใช้ได้เลยนะ ปรมจารย์จั่ว ท่านผ่ามันต่อไปเถอะ”
เหวินหลนสงพูดออกมาทำให้เยี่ยเทียนชอบใจขึ้นมา ที่เขาเดิมพันก้อนหินนี้ไม่ใช่ต้องการจะเพิ่มราคา แค่อยากได้ความรู้สึกพอใจเมื่อขัดหยกออกมาแล้ว
“เยี่ยเทียน เธอมาทำสิ ระวังหน่อยนะ พยายามอย่าถูโดนหยกสีเขียว แค่เอาผลึกรอบ ๆของมันออกก็พอแล้ว”
จั่วเจียจวิ้นเปลี่ยนเครื่องเจียระไนหิน แล้วส่งให้เยี่ยเทียน มือซ้ายของเขาบาดเจ็บไม่สามารถช่วยเขาได้ ปีนี้คงจะพลาดโอกาสในการผ่าหินแล้ว
“นี้ก็ถือว่าชนะพนันแล้ว”
ในหัวเยี่ยเทียนตอนนี้ก็รู้สึกยังไม่ค่อยเข้าใจ เขาก็ไม่รู้ว่าราคานี้จะเพิ่มสูงขึ้นเท่าไหร่ หลังจากที่รับเครื่องเจียระไนมาจากจั่วเจียจวิ้น เสียงเครื่องเจียระไน ก็ดังสนั่นขึ้นมาอีก
เยี่ยเทียนกำลังเจียระไนก้อนหินอย่างสุดกำลัง แต่ความชำนาญในการเจียระไนถือว่าสุดยอดมาก ตอนที่เจียระไนเข้าไปถึงชั้นหยก เขาสามารถยั้งแรงกลับมาได้ ไม่ได้กระทบถึงเนื้อในของหยกแม้แต่น้อย
ครั้งนี้มีคนมามุงดูมากกว่าปกติ ดูท่าทางของเยี่ยเทียนแล้ว ทุกคนต่างพยักหน้าแล้วยอมรับว่า ถ้าหากไม่รู้ว่านี้คือครั้งแรกที่เยี่ยเทียนผ่าหิน ทุกคนก็ต่างคิดว่าเขาคือผู้มีความเชี่ยวชาญและรู้วิธีในการผ่าหิน
……
ตอนที่ 334 เสียเงิน
โดย
Ink Stone_Fantasy
เวลาคนอื่นกะเทาะเปลือกหินออกจากหยกนั้น จะค่อยๆ เลาะไปอย่างประณีตระมัดระวัง เพราะกลัวจะไปโดนหยกที่อยู่ภายในจนเสียหาย ซึ่งจะทำให้มูลค่าของมันตกลงไปมากก
แต่เยี่ยเทียนกลับทำตรงกันข้าม เครื่องเจียระไนที่ถืออยู่ในมือนั้นไม่ได้หยุดเคลื่อนไหวเลย จนคนที่ดูอยู่ข้างๆ ผวาไปตามๆ กัน เพราะกลัวว่าเขาจะเผลอไปขูดโดนผิวของหยกนั้นเข้า
แต่มือของเยี่ยเทียนก็มั่นคงดั่งขุนเขาตั้งแต่ต้นจนจบ หลังจากเปลี่ยนใบมีดเจียระไนไปสองแผ่น เศษหินกระจายเต็มพื้นแล้ว หยกเม็ดหนึ่งซึ่งมีขนาดเล็กกว่าไข่ไก่เล็กน้อย ก็ปรากฏอยู่บนฝ่ามือของเยี่ยเทียน
“หยกนี่ก็พอมีปราณวิเศษอยู่เหมือนกัน ถ้าทำเป็นหยกแขวนก็จะเล็กไปหน่อย แต่น่าจะแกะเป็นจี้เล็กๆ ได้หลายอันอยู่”
หลังจากพิจารณาดูหยกที่ถืออยู่ เยี่ยเทียนก็ครุ่นคิดขึ้นมาในใจ เขาชื่นชมดูหยกด้วยมุมมองที่แตกต่าง จากคนอื่นอย่างสิ้นเชิง จะเป็นคุณภาพหยกหรือเนื้อหยกเขาก็ไม่ดูทั้งนั้น สนใจอยู่แต่ว่าในหยกนั้น มีปราณวิเศษมากน้อยแค่ไหน
เมื่อเห็นหยกถูกกะเทาะออกมาแล้ว จั่วเจียจวิ้นก็เอ่ยขึ้น “เยี่ยเทียน เอามาให้ศิษย์พี่ดูหน่อยซิ”
“ศิษย์พี่ หยกนี่จะคิดเป็นเงินได้สักเท่าไหร่หรือครับ?” เยี่ยเทียนยื่นหยกให้อีกฝ่ายดู ตอนที่เขากะเทาะเปลือกหินเมื่อครู่นี้ ก็มีคนตะโกนพนันขันแข่งกันอยู่ไม่ขาด เยี่ยเทียนได้ยินแล้วก็รู้สึกสงสัยขึ้นมา
“เนื้อหยกไม่เลวเลย เป็นของดีนะเนี่ย!”
เมื่อจั่วเจียจวิ้นรับมาดู ปากก็พูดชมเชยขึ้นมา “เยี่ยเทียนนายนี่โชคดีจริงๆ เลยนะ นายดูสิ หยกเม็ดนี้ทั้งที่ยังไม่ได้เจียระไน ก็ดูใสเหมือนน้ำแข็งแล้ว หยกแบบนี้น่ะเรียกว่าชนิดเนื้อน้ำแข็ง เป็นรองก็แต่แบบเนื้อผลึกแก้วเท่านั้นแหละ นับว่าเป็นหยกชั้นเยี่ยมเลยทีเดียว”
“แล้วมันจะมีค่าสักกี่หยวนล่ะครับศิษย์พี่?”
เยี่ยเทียนรู้จักเนื้อน้ำแข็ง เนื้อผลึกแก้ว อะไรนั่นที่ไหนกัน? เขาสนใจแต่ราคาของหยกนี่เท่านั้น ขายแพงก็ต้องเป็นของดีอยู่แล้วละ ไม่อย่างนั้นก็เหมือนสูญเงินไปเปล่าๆ
“หยกน้ำดีจริงๆ นะเนี่ย อีกนิดเดียวก็จะเป็นชนิดเนื้อผลึกแก้วแล้ว”
เมื่อได้ยินเยี่ยเทียนถาม จั่วเจียจวิ้นก็ส่ายหน้าอย่างเสียดาย “ความเขียวของตัวหยกก็ยังถือว่าไม่เลว คงเจียระไนเป็นหัวแหวนได้สักสิบเม็ด น่าจะขายได้ระหว่างล้านห้าถึงสองล้านนี่แหละมั้ง?”
ตลาดหยกในปี 1998 นั้น หยกที่ไม่เหมือนกันก็มักจะมีราคาแตกต่างกันราวฟ้ากับเหวเลยทีเดียว หยกชั้นเยี่ยมมักจะขายได้ราคาหลายแสนไปจนถึงหนึ่งล้าน ส่วนหยกจำพวกเนื้อขุ่นหรือเนื้อคล้ำ ซึ่งถือว่าด้อยกว่าแบบเนื้อน้ำแข็งไปเพียงนิดเดียวนั้น ราคากลับต่ำลงไปมากเลยทีเดียว
อันที่จริงจั่วเจียจวิ้นก็ไม่ได้สนใจเกี่ยวกับธุรกิจของบริษัทเพชรพลอยมาหลายปีแล้ว จึงไม่ได้รู้ราคาในตลาดของหยกเท่าไรนัก ราคาที่บอกมานี้ก็ยังถือว่าต่ำไปหน่อย ราคาที่ถูกต้องนั้น หากนำหยกนี้ไปผลิตเป็นเครื่องประดับเรียบร้อยแล้ว ก็น่าจะขายได้ราคาสูงถึงสามล้านหยวน
นอกจากนี้ เนื่องจากเหมืองหยกแห่งเดิมที่พม่าค่อยๆ ร่อยหรอไปเรื่อยๆ ความแตกต่างของราคานี้จึงค่อยๆ ลดลงไปเช่นกัน หยกระดับธรรมดาๆ มากมายในยุคหลังๆ ก็สามารถขายได้ในราคาสูงลิ่วกันทั้งนั้น ซึ่งแน่นอนว่า การโฆษณาก็เป็นส่วนสำคัญที่จะขาดไปไม่ได้เลย
“เท่าไหร่นะ? ขายได้สองล้านเลย?” พอได้ยินคำตอบของจั่วเจียจวิ้น เยี่ยเทียนก็ตะลึงจังงังไปทันที
ตามที่เขาคาดคะเนไว้ หยกที่มีขนาดเท่านี้ อย่างมากที่สุดก็คงได้ราคาสักแสนกว่าๆ ไม่ว่าอย่างไรเยี่ยเทียนก็นึกไม่ถึงเลยว่า ราคาที่จั่วเจียจวิ้นตั้งมานี้ จะสูงกว่าที่เขาคาดคะเนไว้ถึงสิบกว่าเท่า
“หยกนี่มันมีมูลค่าขนาดนี้เลยรึ?”
เยี่ยเทียนกลืนน้ำลายลงไปหลายอึก ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยเห็นเงินมาก่อน แต่เงินที่ถังเหวินหย่วนโอนเข้าบัญชีให้เขา กับเงินที่หามาได้กับมือตัวเองนั้น เป็นความรู้สึกที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
ก็เหมือนกับเวลาที่ใครคนหนึ่งถือบัตรเอทีเอ็มที่มีเงินในบัญชีอยู่หนึ่งล้าน ก็คงจะไม่ได้รู้สึกพิเศษอะไรนัก แต่ถ้ามีเงินสดหนึ่งล้านมาวางอยู่ตรงหน้า หัวใจก็จะต้องเต้นเร็วขึ้นมามากแน่ๆ
“ไม่ใช่ว่าหยกมีมูลค่าหรอก แต่ต้องเป็นหยกชั้นเยี่ยมด้วยถึงจะมีมูลค่า!”
เมื่อเห็นท่าทางของเยี่ยเทียน จั่วเจียจวิ้นก็หัวเราะ
“เมื่อก่อนคุณหนูสามของตระกูลซ่งคนนั้นก็เคยมีสร้อยหยกชั้นเยี่ยมอยู่ชุดหนึ่ง ว่ากันว่ายังไม่ถึงระดับเนื้อผลึกแก้วเลย ราคาก็ปาเข้าไปเป็นร้อยล้านแล้ว นายว่ามันมีมูลค่าไหมล่ะ?”
ระหว่างที่เยี่ยเทียนกำลังนิ่งอึ้งอยู่นั้น ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งก็ตรงรี่เข้ามาหา “นี่น้องชาย หยกก้อนนี้คุณจะขายไหม? ผมจ่ายให้สองล้าน ขายต่อให้ผมก็ได้นะ”
หลายปีมานี้ที่ฮ่องกงกำลังนิยมแหวนที่มีหัวแหวนเป็นหยกเม็ดโตๆ เถ้าแก่มากมายต่างก็ชื่นชอบเป็นที่สุด และก็ยินดีจ่ายเงินไม่อั้นด้วย อย่างหยกก้อนนี้ถ้าตัดแบ่งอย่างประณีตสักหน่อย ถึงจะตั้งราคาไว้สองล้าน ก็ยังมีโอกาสที่จะหากำไรได้เกือบหนึ่งล้าน
“คุณจะซื้อรึ? ขอโทษนะ ไม่ขาย!”
เยี่ยเทียนฟังภาษาฮ่องกงของชายคนนั้นไม่ค่อยออก แต่คำว่าสองล้านนั้นยังพอฟังออกอยู่ เขาส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ผมไม่รู้เรื่องพวกนี้เลย ศิษย์พี่ หยกก้อนนี้น่ะซื้อมาด้วยเงินของพี่ พี่รับไปดีกว่านะครับ!”
หยกแกรไฟต์ชิ้นนี้แม้จะนับว่าไม่เลว แต่ปราณวิเศษภายในยังไม่ถึงระดับที่ เยี่ยเทียนต้องการจะนำไป ปลุกเสกเป็นเครื่องรางของขลัง แต่ถ้าเอาไปใช้ทำค่ายกลก็จะเล็กเกินไปอีก เยี่ยเทียนจึงไม่รู้จะจัดการกับมันอย่างไรต่อไปดี
และเยี่ยเทียนเองก็ไม่ได้หน้าด้านถึงขนาดที่จะขายมันทิ้งไปแบบนี้ เพราะถึงแม้หยกชิ้นนี้จะชื่อว่าเป็นของเขา แต่จั่วเจียจวิ้นเป็นคนออกเงินซื้อมา
ถ้าที่กะเทาะออกมาได้ไม่ใช่หยกก็ว่าไปอย่าง แต่ตอนนี้เมื่อได้หยกชั้นเยี่ยมออกมา ถ้าเอาไปขายให้คนอื่น ก็จะดูเหมือนเขาโลภมากเกินไป และเยี่ยเทียนเองก็จะรู้สึกผิดต่อศิษย์พี่ด้วย
“อย่าเลยน่าเยี่ยเทียน ศิษย์พี่จะเอาเปรียบนายแบบนี้ได้ยังไงกัน” พอได้ยินเยี่ยเทียนบอก จั่วเจียจวิ้นก็รีบส่ายหน้า
“มัวเกี่ยงกันแบบนี้อายเขานะครับศิษย์พี่ พี่เอาไปเถอะน่า” เยี่ยเทียนมองซ้ายมองขวา แล้วกระซิบเบาๆ “ขนาดเครื่องรางนั่นผมยังยกให้ติงติงไปแล้วเลย นับประสาอะไรกับหยกนี่ละครับ?”
“งั้น…งั้นก็ได้ เยี่ยเทียน ไว้พอนายจะออกจากฮ่องกงแล้ว ศิษย์พี่จะหาของมาให้นายบ้างนะ”
จั่วเจียจวิ้นคิดดูแล้วก็เป็นเช่นนั้นจริง เครื่องรางของเยี่ยเทียนนั้นถ้านำมาขายในแวดวงอภิมหาเศรษฐีฮ่องกงเหล่านี้ ถึงจะตั้งราคาสิบล้านก็ต้องมีคนแห่กันมาซื้อแน่ๆ ราคานั้นไม่ใช่ระดับที่หยกชิ้นนี้จะเทียบได้เลย
ขณะนั้นมีคนกำลังมุงดูอยู่มากมาย สองชายจะมัวเกี่ยงกันไปมาก็กระไรอยู่ จั่วเจียจวิ้นจึงรับหยกเม็ดนั้นมา ส่วนในใจก็ตัดสินใจว่า เมื่อถึงตอนที่เยี่ยเทียนจะออกจากฮ่องกง ตนจะต้องให้ของขวัญชิ้นใหญ่แก่อีกฝ่ายบ้าง
“คังกั๋ว ดูแล้วเป็นยังไงบ้าง? ถ้าเสร็จแล้วก็เอามากะเทาะดูนะ!”
เมื่อเห็นเยี่ยเทียนประเดิมได้หยกดีแบบนี้ จั่วเจียจวิ้นก็อยากจะอาศัยจังหวะที่กำลังมีโชคอยู่ กะเทาะดู หินดิบที่ตนซื้อมาเหล่านั้นดูบ้าง จึงได้ตะโกนเรียกลูกเขย
“เกือบแล้วครับพ่อ กะเทาะได้แล้วครับ!” เมื่อได้ยินพ่อตาร้องเรียก หลิวคังกั๋วก็พาเจ้าหน้าที่หลายคนลำเลียง หินดิบสิบกว่าก้อนที่พวกเขาซื้อไว้ครั้งนี้มา
จั่วเจียจวิ้นมองดูหินดิบที่ลูกเขยวาดเส้นไว้เรียบร้อยแล้ว แล้วพยักหน้า “คังกั๋ว มือพ่อคงใช้ไม่ได้ วันนี้ให้นายเป็นคนกะเทาะก็แล้วกันนะ”
ตอนแรกจั่วเจียจวิ้นก็อยากจะให้เยี่ยเทียนช่วยกะเทาะเปลือกหินให้ แต่เมื่อนึกถึงการกะเทาะหินอันดุเดือด ของเยี่ยเทียนแล้ว สุดท้ายจึงล้มเลิกความคิดนี้ไป
เพียงแต่จั่วเจียจวิ้นไม่รู้ว่า เยี่ยเทียนสามารถควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกายได้หมดทุกรายละเอียดมานานแล้ว ตอนที่กะเทาะหินเมื่อครู่นี้แม้จะดูเหมือนใจร้อนดุดัน แต่ที่จริงทุกอย่างล้วนอยู่ในการควบคุมของเขาหมด
หลิวคังกั๋วกะเทาะหินอย่างระมัดระวังกว่าเยี่ยเทียนมากนัก ต้องหยุดพิจารณาก่อนแทบทุกครั้งที่จะลงมีด แม้ว่าในสายตาของคนอื่นๆ นี่จะเป็นวิธีการกะเทาะหินที่ถูกต้องแล้ว แต่เยี่ยเทียนดูแล้วเกือบจะหาวออกมา
“ศิษย์พี่ครับ พวกพี่กะเทาะกันไปนะ ผมจะไปเดินดูทั่วๆ หน่อย” หลังจากดูอยู่ครู่หนึ่ง เยี่ยเทียนก็เริ่มจะเบื่อ เมื่อมองออกไปแล้วเห็นว่า อาติงก็กำลังอุ้มหินก้อนหนึ่งคุยกับเหวินหลวนสงอยู่ไม่ไกลนัก ก็ยิ้มออกมาแล้วเดินเข้าไปหา
เยี่ยเทียนเข้าไปตบไหล่อาติงแล้วพูดว่า “อาติง แกก็จะพนันหินกับเขาด้วยเหรอ?”
“นายน้อย ไหนๆ ก็มาแล้วนี่ครับ ผมก็เลยลองซื้อเล่นดูบ้าง”
เมื่อเห็นเยี่ยเทียน อาติงก็หัวเราะแฮ่ๆ ขึ้นมา นอกจากเรื่องตีรันฟันแทงแล้ว สิ่งที่เขาชอบที่สุดก็คือการพนันนี่แหละ ตั้งแต่เลิกเล่นพนันไปเมื่อสิบปีที่แล้ว เขาก็ไม่ได้ไปเกาะมาเก๊าอีกเลย วันนี้พอได้เห็นการพนันหินลักษณะนี้ จึงอดคันไม้คันมือขึ้นมาไม่ได้
“น้องติง คุณ…คุณเรียกเยี่ยเทียนว่าอะไรนะ?”
พอเหวินหลวนสงที่อยู่ข้างๆ ได้ยินอาติงเรียกเยี่ยเทียนอย่างนั้น ก็ตะลึงตาค้างไปเลย ควรทราบว่า ถังเหวินหย่วนปฏิบัติต่ออาติงเหมือนเป็นลูกหลาน แม้แต่เขาเองก็ยังไม่กล้าเสียมารยาทกับอาติงเลย
“ฮ่ะๆ พี่เหวิน ผมกับอาติงมีความเกี่ยวข้องกันทางอื่นอยู่ เขาเลยเรียกไปตามลำดับอาวุโสน่ะครับ”
เยี่ยเทียนหัวเราะ แล้วก็ไม่ได้อธิบายอะไรอีก ทำให้เหวินหลวนสงมีความคิดสับสนไปหมด เขาพบว่ายิ่งตัวเองรู้มากขึ้นเท่าไหร่ ก็ยิ่งดูชายหนุ่มตรงหน้าผู้ไม่ทราบที่มาคนนี้ไม่ออก
“นายน้อย วันนี้มือขึ้นจังเลยนะครับเนี่ย ลองดูให้ผมหน่อยสิครับว่าเป็นยังไงบ้าง?” เพราะอาติงเห็นเยี่ยเทียนพนันได้กำไรไปเมื่อครู่นี้ ถึงได้รีบอุ้มก้อนหินของตัวเองมาเตรียมกะเทาะเปลือกบ้าง
เยี่ยเทียนมองหน้าอาติงอย่างถี่ถ้วน แล้วหัวเราะตอบว่า “อาติง วันนี้ตาแกมีลายเป็นเส้นๆ เหมือนเส้นขน นัยน์ตาเหมือนข้าวฟ่าง จะเป็นวันซวยเสียทรัพย์ …”
“อะไรนะ? นายน้อย คุณ…คุณทำไมไม่บอกตั้งแต่แรกล่ะครับ?” พอได้ยินคำตอบของเยี่ยเทียน อาติงก็ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ขึ้นมาทันที
เยี่ยเทียนตอบอย่างไม่สบอารมณ์ “ก็แกไม่ได้บอกฉันนี่ว่าจะพนันด้วย ทำไม ไม่เชื่อฉันงั้นรึ? งั้นแกก็ไปลองผ่าดูสิ”
“ก็ซื้อมาแล้วนี่ ก็ต้องผ่าอยู่แล้วสิครับ”
อาติงทำหน้ามุ่ยพลางอุ้มก้อนหินขนาดเท่าลูกฟุตบอลนั้นไปที่เครื่องตัดหินเครื่องหนึ่ง แต่พอเยี่ยเทียนพูดมาอย่างนั้น เขาก็ไม่มีอารมณ์จะไปเช็ดขัดหินแล้ว เดินเครื่องให้ฟันจักรอัลลอยเริ่มทำงาน แล้วผ่าลงไปตรงกลางเลย
“เฮ้อ ชวดซะแล้ว…” บรรดาคนที่มุงดูอยู่ข้างๆ ต่างถอนใจออกมาเป็นเสียงเดียวกัน
“นายน้อย คราวหน้าคุณต้องทักเตือนอาติงล่วงหน้าด้วยนะครับ…”
อาติงทิ้งหินดิบที่ถูกผ่าเป็นสองซีกนั้นลงไปกับพื้น แล้วรี่เข้าไปถึงหน้าเยี่ยเทียน แต่สีหน้ากลับไม่ได้ดูเศร้าเสียใจเลยสักนิด เพราะถึงอย่างไรเงินแสนกว่าดอลล่าร์ฮ่องกงนี่ ก็ไม่ได้เป็นตัวเลขมากมายอะไรสำหรับเขาอยู่แล้ว
“ต่อไปแกอย่ามายุ่งเรื่องพวกนี้เลยจะดีกว่า…” เยี่ยเทียนขึงตาใส่อาติงอย่างขุ่นเคือง ด้วยสถานะของเยี่ยเทียนแล้ว จะไปมีเวลาว่างมาดูโหงวเฮ้งให้เขาว่ามีโชคพนันไหมได้ยังไงกัน?
“น้องเยี่ย แล้วพี่ล่ะวันนี้จะเป็นยังไงบ้าง?”
ทางนี้เยี่ยเทียนเพิ่งจะดุอาติงไป เหวินหลวนสงกลับถามคำถามเดียวกันออกมาอีก ทำให้เยี่ยเทียนทั้งขำทั้งนึกฉุน ทำไมเจ้าพวกนี้ถึงไม่กล้าเข้าไปถามจั่วเจียจวิ้นดูบ้างเล่า?
“พี่เหวิน อยากจะฟังความจริงรึเปล่าล่ะครับ?” เมื่อครู่นี้เพิ่งจะพนันได้หยก เยี่ยเทียนจึงกำลังอารมณ์ดี และคร้านจะต่อปากต่อคำกับสองคนนี้แล้ว
“ก็ต้องอยากฟังความจริงอยู่แล้วละ!” เหวินหลวนสงรีบพยักหน้า อันที่จริงแล้วที่เขาถามไปนั้น เป็นเพราะอยากจะกระชับไมตรีกับเยี่ยเทียนต่างหาก
“ได้ งั้นผมขอพูดตรงๆ ละนะ”
เยี่ยเทียนจ้องดูเหวินหลวนสงครู่หนึ่ง แล้วบอกว่า “พี่เหวิน ที่คางพี่มีสิวขึ้นเม็ดนึง เป็นลักษณะของผู้ที่จะเสียทรัพย์ ส่วนตาข้างขวานั้นตาขาวก็เห็นเส้นเลือดหนายาวชัดเจน เป็นลักษณะของผู้ที่ทรัพย์จะรั่วไหล ผมว่าวันนี้พี่ก็ไม่ได้ดีไปกว่า อาติงเท่าไหร่หรอกครับ!”
……
ตอนที่ 335 การเงินรั่วไหล (1)
โดย
Ink Stone_Fantasy
“เอ่อ…เอ่อคือน้องเยี่ยเทียน นี่ล้อกันเล่นรึเปล่าเนี่ย?” พอได้ฟังคำทำนายของเยี่ยเทียน เหวินหลวนสงก็จ้องไป ที่เยี่ยเทียนอย่างกับเห็นสัตว์ประหลาด
เหวินหลวนสงเป็นคนดวงแข็งมาตั้งแต่สมัยหนุ่ม แม้ว่าจะประสบกับวิกฤตการณ์การเงินในเอเชียครั้งนี้ ก็ไม่ได้รับความเสียหายอะไรมาก ดังนั้นเมื่อเยี่ยเทียนบอกว่าวันนี้เขาจะทั้งเสียทรัพย์ แล้วยังมีทรัพย์รั่วไหลอีก เหวินหลวนสงจึงไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ
คนแบบเหวินหลวนสงนั้น ถึงจะเชื่อเรื่องฮวงจุ้ยอยู่ แต่กลับเชื่อมั่นในตัวเองยิ่งกว่า ถ้าคำทำนายนี้เปลี่ยนให้จั่วเจียจวิ้นเป็นคนพูด เหวินหลวนสงก็อาจจะพอเชื่ออยู่สักหกเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ แต่เมื่อเยี่ยเทียนเป็นคนพูดออกมา เขากลับเห็นเป็นเรื่องตลกขบขันไปเลย
เยี่ยเทียนหัวเราะฮ่าๆ “พี่เหวิน คำพูดที่เป็นความจริงนี่…มันก็มักจะไม่น่าฟังเสมอแหละนะ ผมก็บอกไปหมดแล้ว เชื่อไม่เชื่อก็เป็นเรื่องของพี่แล้วละนะ”
เยี่ยเทียนก็ไม่ได้รู้จักมักจี่อะไรกับเหวินหลวนสง เขาจะดีจะร้ายอย่างไรก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเยี่ยเทียนอยู่แล้ว วันนี้ที่ดูโหงวเฮ้งให้ก็ถือว่าให้เกียรติเขามากแล้ว
“ความจริงชนะคำพูดเสมอ น้องเยี่ยจะมาดูพี่กะเทาะหินหน่อยไหมล่ะ?”
เหวินหลวนสงได้ยินอย่างนั้นก็หัวเราะออกมาเช่นกัน ด้วยสถานะของเขาย่อมไม่ไปถือสาเยี่ยเทียนอยู่แล้ว และจะว่าไป เขาก็เป็นคนไปขอฟังคำทำนายเอง จริงๆ
“ดีครับ ไหนๆ ก็กำลังว่างอยู่ ผมขอดูพี่เหวินกะเทาะหินหน่อยแล้วกัน” เยี่ยเทียนพยักหน้า คนเต็มสนามที่นี่ ถ้าไม่ใช่กำลังพนันหิน ก็กำลังกะเทาะหินกันทั้งนั้น ไม่ดูแล้วจะให้ไปทำอะไรล่ะ?
เหวินหลวนสงไม่ได้มาคนเดียว เขายังพาผู้เชี่ยวชาญด้านการพนันหินมาด้วยคนหนึ่ง เมื่อครู่นี้ผู้เชี่ยวชาญก็ร่างเส้นเป็นแนวที่จะตัดไว้บนหินเรียบร้อยแล้ว เหวินหลวนสงเพียงแค่ต้องตัดไปตามเส้นนี้เท่านั้น
เหวินหลวนสงเป็นลูกค้ารายใหญ่ของงานในวันนี้ เมื่อเขาจะกะเทาะหิน ก็ต้องทำให้ฝูงคนแห่กันเข้ามา ชมดูเป็นธรรมดา แม้แต่จั่วเจียจวิ้นก็เข้ามาดูด้วย ถึงอย่างไรเขาก็ได้ตกลงพนันกับเหวินหลวนสงไว้แล้ว
“ครืด…ครืดๆ…”
เมื่อเสียงแหลมเสียดหูที่เกิดจากโลหะเลื่อยลงไปบนหินดังขึ้นมา ผิวชั้นนอกก็ถูกเหวินหลวนสงผ่าออกไปแล้ว วิธีการตัดหินของเขาคล้ายกับเยี่ยเทียนอยู่มาก โดยลงมีดไปทีเดียวอย่างรวบรัดหมดจด
“ได้…ได้กำไรแล้ว”
“จริงด้วย เห็นหยกแล้ว!”
“เร็ว เอาน้ำมาล้างดูหน่อยซิ!”
ทันทีที่หินครึ่งหนึ่งหล่นลงบนพื้น คนที่ตาดีมองเห็นหน้าตัดก็ร้องฮือฮากันขึ้นมาทันที เนื่องจากบรรยากาศพาไป ถึงตัวเองจะไม่ใช่คนที่พนันหินได้กำไร แต่ก็ยังอดตื่นเต้นจนเลือดลมสูบฉีดไม่ได้
อาจารย์พนันหินที่เหวินหลวนสงเชิญมานั้นชำระล้างเศษหินที่หน้าตัดออก ถือไฟฉายที่มีกำลังความสว่างสูง ส่องเข้าไปข้างใน แล้วหันหน้ามาบอกเหวินหลวนสงว่า “เนื้อหยกธรรมดา กำไรก็ถือว่าได้อยู่ แต่ไม่เยอะเท่าไร”
มองจากผิวชั้นนอกก็ดูดีอยู่ แต่เนื้อหยกกลับคุณภาพต่ำไปหน่อย จัดอยู่แค่ประเภทเนื้อน้ำมันสีคล้ำเท่านั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ ถึงข้างในจะมีหยกอยู่เป็นจำนวนมาก แต่ราคาก็คงยากที่จะสูงกว่าหยกก้อนที่เยี่ยเทียนกะเทาะออกมาได้
“ไม่เป็นไรครับอาจารย์หลิว คุณไปทางโน้นกะเทาะเอาหยกออกมานะ เดี๋ยวผมจะผ่าต่อเลย!”
เหวินหลวนสงโบกมืออย่างไม่ได้ติดใจอะไร เพราะเขาก็ไม่ได้สนใจอยู่แล้วว่าจะได้เงินเท่าไร และตอนนี้เขาก็มีกำลังใจฮึกเหิมอยู่พอดี เยี่ยเทียนบอกว่าเขาจะเสียทรัพย์ แล้วทรัพย์ก็จะรั่วไหล แต่เถ้าแก่เหวินไม่เชื่อคำทำนายเพี้ยนๆ นี่หรอก!
เหวินหลวนสงแบกก้อนหินทรงรี หนักประมาณเจ็ดแปดสิบชั่งขึ้นไปไว้บนเครื่องตัดหินเป็นก้อนถัดไป แล้วเริ่มเดินเครื่องจักร ฟันเลื่อยอัลลอยอันคมกริบปล่อยเสียง “วื้ดๆ” ออกมาพร้อมเริ่มหมุนด้วยความเร็วสูง
เปลือกนอกของหินดิบก้อนนี้ดูดีอย่างยิ่ง เห็นสีสันและประกายชัดเจน ลายเส้นมังกรแผ่คลุมไปบนหินมากกว่าครึ่งค่อน เหวินหลวนสงต้องจ่ายเงินไปตั้งแปดล้านถึงจะซื้อหินดิบก้อนนี้มาได้
และลายเส้นที่ร่างไว้บนเปลือกชั้นนอกนี้ก็เป็นฝีมือคาดคะเนของเหวินหลวนสงเอง เขาร่างเส้นไว้ที่มุมซ้ายบน ซึ่งเป็นส่วนที่นูนปูดออกมาพอดี ดูคล้ายกับหน้าผากของเทพเจ้าแห่งความอายุยืนยาว
โดยทั่วไปแล้ว ตำแหน่งลักษณะนั้นมักจะไม่เกิดหยกขึ้นมาข้างใน ถ้าลงมีดตรงนี้ ก็มีความเป็นไปได้สูงที่จะผ่าโดน ส่วนเชื่อมต่อระหว่างหินกับหยกพอดี การที่เหวินหลวนสงร่างเส้นไว้ตรงนี้ก็ถือว่าถูกต้องตามหลักการแล้ว
“ครืด…ครืดคราด!” เสียงแหลมเสียดหูที่เกิดจากโลหะเสียดสีกับหินดังขึ้นมา แล้วหินก้อนนั้นก็ถูกผ่าออกเป็นสองส่วน ส่วนที่ปูดออกมานั้นร่วงลงไปบนพื้นอย่างหนักหน่วง
“กำไร…กำไรอีกแล้ว…”
คนที่ยืนอยู่ใกล้ที่สุดนั้น มองเห็นสีเขียวหย่อมหนึ่งปรากฏที่หน้าตัดอย่างชัดเจน แต่ทันทีที่กำลังจะ กู่ก้องร้องป่าวออกไปนั้นก็กลับพบว่า บนหน้าตัดของหินก้อนที่หล่นลงไปบนพื้นนั้น ก็เหมือนจะมีสีเขียวด้วยเช่นกัน
“นี่…หรือว่าตัดเสียไป?!” คนที่ตะโกนออกมาเมื่อครู่นั้น พอเห็นหินส่วนที่อยู่บนพื้นก็รีบหุบปากลงทันที
โดยปกติแล้ว ในบรรดาเครื่องประดับที่ทำจากหยกนั้น ถือว่ากำไลมีมูลค่ามากที่สุด กำไลหยกชั้นดีอาจขายได้ราคามากกว่าสิบล้าน สาเหตุก็เป็นเพราะว่า กำไลต้องใช้หยกมากและต้องเป็นหยกชิ้นใหญ่ด้วย และจะต้องทำจากหยกที่มีคุณภาพเสมอกันอย่างสมบูรณ์ตลอดทั้งชิ้น
ถ้าหยกที่จะใช้ทำกำไลถูกผ่าแตกไป ก็จะสามารถนำไปทำได้เพียงของจำพวกจี้ห้อยเล็กๆ ทำให้ราคาอาจตกลงไปมากถึงราวๆ หนึ่งล้าน ซึ่งนับว่าแตกต่างกันไม่น้อยเลย
ดังนั้นในการพนันหินหยนั้น ไม่ใช่ว่าพอกะเทาะออกมาแล้วเห็นสีเขียวก็จะแปลว่าได้กำไร แต่ยังต้องรักษาหยกที่อยู่ภายในหินให้มีสภาพสมบูรณ์อีกด้วย หากลงมีดไม่ถูกจุด แล้วผ่าแยกหยกก้อนนั้น ออกเป็นสองซีกไปละก็ อย่างนั้นราคาก็จะต่างกันราวฟ้ากับดินเลยทีเดียว
“ตัดเสียไปจริงๆ ด้วยสิ…”
“เฮ้อ น่าเสียดาย นี่มันน่าจะเอาไปทำเป็นกำไลได้ตั้งสองคู่เลยนะ!”
“นั่นน่ะสิ แถมเนื้อหยกยังดีมากด้วย จัดเป็นแบบหยกเฝยชุ่ยได้เลย ถ้าเอาไปทำเป็นกำไลละก็ อย่างน้อยๆ ก็ต้องได้ราคาไม่ต่ำกว่าสามล้านเลยละ!”
หลังจากผ่าหินออกมาแล้ว คนที่มารอชมก็ทยอยกันมุงเข้ามา แล้วแต่ละคนก็มีสีหน้าเศร้าเสียดาย หยกที่มีมูลค่าเกือบสิบล้านก้อนนี้ ตอนนี้อย่างมากก็คงเหลือแค่สามสี่ล้านเท่านั้น
หยกชิ้นนี้แม้จะเป็นหยกเฝยชุ่ย แต่สีเขียวกลับดูไม่ค่อยบริสุทธิ์นัก ความเข้มอ่อนของสีกระจาย อย่างไม่สม่ำเสมอกัน หากทำเป็นกำไลก็คงเหมาะอยู่ แต่ถ้านำไปเจียระไนเป็นหัวแหวน ก็คงจะได้มูลค่าต่ำกว่า หยกก้อนที่เยี่ยเทียนกะเทาะออกมามาก คงได้แต่นำไปแกะสลักเป็นจี้หลายๆ ชิ้นแล้วนำไปขายเท่านั้น
เหวินหลวนสงในตอนนั้น ก็ประสบกับสถานการณ์อย่างที่กล่าวมาข้างต้นนี้เอง หยกอย่างดีก้อนหนึ่งถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน มูลค่าจึงลดฮวบลงไปในทันที
“เฮ้อ ถ้ารู้แต่แรกจะได้ขัดเปลือกนอกดูก่อน นี่หยกก็อยู่ใกล้เปลือกหินมาก ขัดเดี๋ยวเดียวก็เห็นแล้วแท้ๆ!”
นี่ลงมีดไปแค่ครั้งเดียวก็สูญเงินไปเกือบสี่ล้านแล้ว แม้ว่าเหวินหลวนสงจะมั่งคั่งร่ำรวย แต่ก็ยังรู้สึกเจ็บใจอยู่ดี หลังจากพิจารณาดูหยกที่ถูกตัดออกไปชิ้นนั้น ในใจก็รู้สึกคับแค้นเสียดายอย่างยิ่ง
เมื่อเหวินหลวนสงเหลือบตาขึ้นมาเห็นเยี่ยเทียนกำลังอมยิ้มอยู่ก็ใจหายวาบ นี่…นี่มันตรงกับที่เยี่ยเทียนบอกว่าจะเสียทรัพย์เลยนี่นา?
“เจ้าหนุ่มคนนี้นี่ไม่ธรรมดาจริงๆ แฮะ!”
ยามนั้นเหวินหลวนสงไม่กล้าดูถูกเยี่ยเทียนอีกแล้ว ในระหว่างการผ่าหินต่อจากนั้นก็ระวังแล้วระวังอีก เพียงแต่ดูเหมือนว่าวันนี้เขาจะโชคไม่ดีนัก หยกที่ได้ออกมาจึงมีแต่คุณภาพธรรมดาๆ ทั้งนั้น
เหวินหลวนสงไม่ได้ทำธุรกิจเพชรพลอย หินที่เขากะเทาะออกมาได้ปกติจะขายทิ้งไปในงานนั้นเลย และก็มีคนคอยคำนวณราคาให้อยู่ข้างๆ ตอนนี้หยกที่เหวินหลวนสงผ่าออกมาได้ทั้งหมด รวมแล้วก็เป็นมูลค่าประมาณ สี่สิบล้านเหรียญฮ่องกง
วันนี้เหวินหลวนสงจ่ายเงินไปแล้วทั้งหมดหกสิบล้านกว่าเหรียญฮ่องกง หักลบดูแล้วขาดทุนไปถึงยี่สิบล้าน ยิ่งทำให้คำทำนายของเยี่ยเทียนที่ว่าจะเสียทรัพย์นั้นแม่นเข้าไปใหญ่
แต่ยังดีที่ว่า ทางฝ่ายจั่วเจียจวิ้นก็ไม่ได้ผ่าเจอหยกชั้นเลิศอะไรออกมาเหมือนกัน ทั้งสองฝ่ายต่างก็กะเทาะได้หยกเนื้อน้ำแข็ง เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว หยกของเหวินหลวนสงก็นับว่ามีมูลค่าสูงกว่าเล็กน้อย
เรื่องนี้ก็พอจะช่วยปลอบใจเถ้าแก่เหวินได้บ้าง แม้จะเสียหายไปยี่สิบล้าน แต่ก็ยังสามารถชนะที่ท้าพนันกับ จั่วเจียจวิ้นไว้ว่า ถ้าตนชนะจะต้องช่วยพยากรณ์ให้หนึ่งครั้ง ซึ่งก็ถือว่าคุ้มแล้ว
ควรทราบว่า การเสี่ยงทายหรือพยากรณ์ให้คนเล่นหุ้นนั้น จะต้องใช้พลังจิตอย่างมาก อย่างที่เรียกกันว่าทำให้ อายุสั้นลงนั่นเอง ดังนั้นแม้เหวินหลวนสงจะเคยขอร้องหลายครั้งแล้ว แต่จั่วเจียจวิ้นก็ไม่ได้ตอบตกลง นี่จึงไม่ใช่ปัญหาที่เงินจะสามารถแก้ไขได้
แต่ถ้าเยี่ยเทียนได้รู้ความคิดในใจของเหวินหลวนสง ก็คงจะด่าเขาเป็นการใหญ่ว่าเป็นตัวล้างผลาญตระกูล จากนั้นก็เสนอให้บริการเสียเอง อย่างสมัยที่เขาเปิดบริษัทที่เมืองปักกิ่ง บริการพยากรณ์ชะตาครั้งหนึ่งก็คิดแค่ห้าหมื่นเท่านั้น
ตอนนี้เหวินหลวนสงได้กะเทาะหินดิบที่ซื้อมาหลายสิบก้อนนั้นไปจนหมดแล้ว ซึ่งก็คงจะมีแต่คนนอกวงการ อย่างเขาที่กล้าทำแบบนี้ ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่น อย่างน้อยๆ ก็ต้องเหลือไว้ในคลังบ้างสักเจ็ดแปดก้อน
“ขนหินก้อนสุดท้ายนั่นมาเลย!” ขณะนั้นฝูงชนกำลังจะแยกย้าย เพราะคาดไม่ถึงเลยว่า เหวินหลวนสงจะยังเหลือหิน อยู่อีกก้อนหนึ่ง ซึ่งก็คือหินดิบที่เปลือกแตกไปบ้างแล้ว และมีขนาดใหญ่ที่สุดในงานครั้งนี้นี่เอง
รถตักดินคันหนึ่งขับเข้ามาเสียงดังครืนๆ หินก้อนใหญ่สุดเปรียบปานก้อนนั้นวางอยู่บนที่ตักของรถตักดิน เจ้าหน้าที่เจ็ดแปดคนต้องช่วยกันถึงจะจัดวางหินก้อนนั้นลงไปบนเครื่องตัดหินได้
“ก้อนนี้น่ะดูแล้วไม่น่ามีหยกหรอก!”
“ใช่ๆ ดูหน้าตัดนั่นสิ แม้แต่ลายหมอกหรือผลึกแก้วก็ไม่เห็นจะมีเลยสักนิด นี่มันของไม่มีราคาชัดๆ เลย”
“มันก็พูดยากอยู่นะ บนหินก้อนนี้ก็ยังมีลายเส้นมังกรอยู่หมือนกัน แสดงว่าเคยมีหยกก่อตัวขึ้นมาแล้ว!”
เมื่อเห็นหินดิบใหญ่มหึมาก้อนนี้ บรรดาคนที่มุงดูอยู่ก็เริ่มวิพากษ์วิจารณ์กันขึ้นมา หินก้อนนี้มีราคาประมูลสูงถึงสิบล้าน ถ้าไม่ได้หยกเฝยชุ่ยออกมาสักสามสี่ชั่งเป็นอย่างต่ำละก็ อย่างนั้นก็ถือว่าขาดทุนแน่แล้ว
เยี่ยเทียนที่ยืนอยู่ข้างๆ เครื่องตัดหินเห็นหินดิบก้อนนี้ ก็อดหรี่ตาพิจารณาดูไม่ได้ คนอื่นๆ ต่างก็ไม่รู้ว่า ในใจเขารู้ดีว่าหินดิบก้อนนี้มีหยกขนาดเท่ากำปั้นซ่อนอยู่ภายใน
ถึงเยี่ยเทียนจะไม่รู้เลยว่าอะไรคือหยกคริสตัล หรือหยกเฝยชุ่ย แต่เขาสามารถรับรู้จากไอปราณได้ว่า ปราณวิเศษแฝงที่แฝงอยู่ในหยกขนาดเท่ากำปั้นก้อนนั้น เหมือนจะบริสุทธิ์ยิ่งกว่าก้อนที่เขาเพิ่งจะกะเทาะออกมาได้มากนัก
“หรือว่าเหตุทรัพย์รั่วไหลของเหวินหลวนสงจะเกิดขึ้นที่ตัวเขาเอง?”
เมื่อเหลือบไปเห็นเหวินหลวนสงจับคันโยกควบคุมเลื่อยของเครื่องตัดหินไว้แล้ว ในใจเยี่ยเทียนก็กระจ่างแจ้งขึ้นมาทันที และอดยิ้มออกมาไม่ได้ เถ้าแก่เหวินนี่โชคไม่ค่อยดีจริงๆ ที่มาเจอกับเขา
“ครืด…ครืดๆ…”
ระหว่างที่เสียงตัดหินดังขึ้นมาไม่หยุด หินดิบก้อนโตก้อนหนึ่งก็ร่วงลงไปบนพื้น แต่แล้วผู้คนที่อยู่ในเหตุการณ์ก็กลับถอนใจออกมาเป็นเสียงเดียวกัน
ไม่ต้องถามก็รู้ว่า การลงมีดครั้งนี้ประสบความล้มเหลว อย่าว่าแต่หยกเลย แม้แต่ผลึกใสที่กลายสภาพ มาจากสิ่งมีชีวิต ซึ่งมักจะพบพร้อมกับหยกก็ยังไม่มีเลย
“ตัดอีก!”
เหวินหลวนสงให้เจ้าหน้าที่หมุนเปลี่ยนทิศทางของหินก้อนนั้น เพื่อลองตัดอีกด้านหนึ่งดูบ้าง หินดิบก้อนนี้หนักถึงพันชั่ง ขนาดใหญ่พอๆ กับคนคนหนึ่ง ต่อให้ผ่าไปสองสามครั้งแล้วยังไม่เจอหยก ก็ยังไม่ถือว่าเป็นปัญหาอะไร
และเหวินหลวนสงก็จำที่เยี่ยเทียนบอกว่าเขาจะทรัพย์รั่วไหลได้เป็นแม่นมั่น หินดิบก้อนอื่นก็กะเทาะไปหมดแล้ว ถ้าเขาจะมีเหตุทรัพย์รั่วไหล ก็คงต้องเกิดได้แต่กับหินก้อนนี้แล้วละ
……
ตอนที่ 336 การเงินรั่วไหล (2)
โดย
Ink Stone_Fantasy
เสียงดัง “แคร้ก” ของก้อนหินที่ถูกฟันเฟืองหั่นลง เหวินหลวนสงตัดหินทั้งชิ้นจนแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ
คนที่มุงดูอยู่ต่างก็ทนดูต่อไปไม่ได้แล้ว การเดิมพันตัดหินเป็นวิธีการที่ใช้อยู่ประจำ แต่หินก้อนนี้เนื้อในไม่ได้มี ผลึกคริสตัลแต่อย่างใด แสดงว่าไม่ใช่หยกเฝยชุ่ยเนื้อไหมแน่นอน
อย่างที่เหวินหลวนสงยืนหยัดที่จะตัดหินต่อไป แม้มองจากภายนอกจะมีลายเส้นมังกรอยู่ใน เนื้อหยกแต่องค์ประกอบภายในทุกคนเห็นกันชัดเจนว่าไม่มีเนื้อไหม
ถ้าเป็นคนอื่นเกรงว่าจะไม่กล้าตัดหินต่อแล้ว ควรจะนำกลับบ้านไปบดเป็นหินกรวด อย่ามัวแต่มาทำขายหน้า อยู่ตรงนี้เลย
แต่เดิมเหวินหลวนสงไม่ใช่คนในวงการอัญมณี เขาเพียงทำเพื่อความสนุกเท่านั้น ไม่ได้สนใจว่าคนอื่นจะคิดอย่างไร ยังคงนำหินหยกก้อนที่ใหญ่หน่อยพวกนั้นออกมาตัดต่อเรื่อยๆ
อาจจะเพราะกลัวคำทำนายของเยี่ยเทียนที่ว่าการเงินของเขาจะรั่วไหลแล้ว เหวินหลวนสงยังคงใช้มีดหั่นลงไปบนหินก้อนนั้นลึกสิบเซนติเมตร เกือบจะถึงตำแหน่งขอบลายเมฆของเนื้อคริสตัล
หากพบขอบรอยเมฆ เหวินหลวนสงจะไม่ยอมปล่อยหินชิ้นนั้นหลุดมือไปเด็ดขาด ดูจากรอยตัดมันไม่ต่างอะไรกับก้อนหินทั่วไป เขาโยนหินก้อนขนาดเล็กกว่าลูกฟุตบอลหน่อยลงไปที่พื้น
ผู้ที่มุงอยู่ต่างเป็นมืออาชีพ พอมีการตัดหินออกก้อนหนึ่งก็มุงเข้าไปดูกันทีหนึ่ง รอยตัดเรียบของเนื้อหิน กลับไม่มีวี่แววของหยกเฝยชุ่ยเลย หินที่น่าสงสารถูกโยนส่งๆลงไปที่พื้นใต้เครื่องจักรก้อนแล้วก้อนเล่า
“คุณเหวิน หินก้อนนี้เสียแล้ว อย่าตัดเลย?”
“นั่นนะสิ เสียเงินเดิมพันไปสิบล้านก็ไม่ใช่ครั้งแรกนะ คุณเหวินช่างมันเถอะ!”
“คุณหวังพูดถูก ปีที่แล้วการเสนอราคาหยกของส่วนกลางในพม่า หินก้อนนั้นที่ราคาตั้งสามสิบหกล้าน ก็ไม่ใช่ว่าเสียไปเหมือนกัน?”
ผู้ชมโดยรอบมองดูเหวินหลวนสงตัดหินชิ้นแล้วชิ้นเล่าอย่างรำคาญใจ คิดว่าเขาคงจะเสียดายเงินที่ซื้อไปในราคา สิบล้านหยวนฮ่องกง ผู้ชมโดยรอบคอยแต่พูดเตือนให้เขาหยุดเสียที
คนที่ตอนแรกได้เสนอราคาสู้ ตอนนี้ต่างพากันโล่งใจ ดีที่เมื่อครู่เถ้าแก่เหวินแย่งซื้อไปหมด ไม่เช่นนั้นคนที่ใจเสียอยู่ตอนนี้คงจะเป็นตัวเอง
“หินพวกนี้ถูกตัดออกหมด ไม่มีร่องรอยหยกเฝยชุ่ยสักนิด งั้นนายก็พูดผิดแล้ว!” เหวินหลวนสงตัดหินเพิ่มอีกแล้ว ส่ายศีรษะปล่อยมือออกจากเครื่องตัดหิน
ความจริงแล้วเหวินหลวนสงไม่ได้เสียดายเงินสิบล้านหรอก สนใจแต่สิ่งที่เยี่ยเทียนพูดว่าเขาจะทรัพย์รั่วไหลมากกว่า
เหวินหลวนสงมองดูเศษหินที่ถูกตัดกระจัดกระจายอยู่บนพื้น เขาเริ่มสงสัยขึ้นมาว่าในเมื่อหินถูกตัดละเอียดขนาดนี้ แล้วทำไมเยี่ยเทียนยังว่ามีหยกเฝยชุ่ยอยู่อีก?
เยี่ยเทียนเห็นเหวินหลวนสงหยุดแล้ว เขาสะกิดจั่วเจียจวิ้นที่ยืนอยู่ข้างๆ “ศิษย์พี่ เศษหินพวกนี้จัดการยังไงต่อ?”
“เสียแล้วก็ทิ้งสิ ยังทำอะไรได้อีก?” จั่วเจียจวิ้นงงในคำถาม เศษหินพวกนี้หมดประโยชน์แล้ว ยังจะเอาไปทำอะไรได้อีก?
“ผมขอได้ไหม?” เยี่ยเทียนพูดเสียงต่ำอย่างมีเลศนัย กลัวว่าคนอื่นจะได้ยิน
“เอ่อ…” จั่วเจียจวิ้นขมวดคิ้วตอบว่า “ยังไงก็ยังเป็นหินของเหวินหลวนสง แต่นายขอซื้อต่อจากเขาได้ เยี่ยเทียน นี่มันเสียหมดแล้ว นายยังจะเอาไปทำอะไร?”
เมื่อสักครู่จั่วเจียจวิ้นเข้าไปดูมาแล้ว ไม่มีเฝยชุ่ยจริงๆ ทั้งยังโดนตัดเสียไม่เหลือชิ้นดี แม้แต่คนเก็บของเก่ายังไม่เอาเลย
“งั้นก็ดี…” เยี่ยเทียนก้าวออกไป เอ่ยถามว่า “พี่เหวิน หินพวกนี่พี่ยังจะตัดอีกไหม?”
“หืม?” ฟังคำถามของเยี่ยเทียนจบ เหวินหลวนสงตกใจ หรือในเศษหินพวกนี้ยังจะมีหยกเฝยชุ่ยอยู่จริง?
“ไม่ตัดแล้ว มันเสียแล้ว…”
มองดูเศษหินเต็มพื้น เหวินหลวนสงถอดใจ จากหินก้อนใหญ่ เขาตัดจนมันเป็นหินเล็กแปดสิบก้อนได้ ถ้าขืนตัดต่อไปคงได้ขายหน้ามากกว่านี้
เยี่ยเทียนเอ่ยอย่างไม่อ้อมค้อมว่า “พี่เหวิน ในเมื่อเป็นอย่างนี้ ผมอยากจะขอซื้อเศษหินพวกนี้จากพี่ พี่จะยอมขายไหม?”
“นายบ้าไปแล้วเหรอ? ซื้อขยะพวกนี้ไปทำไม?”
“อาจจะมีหลุดรอดไปบ้าง แต่ไม่ดูเลยว่าหินพวกนี้กลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยแล้ว ยังมีอะไรหลงเหลืออยู่อีก?”
“เจ้าหนุ่มคงอยากจะได้กำไรฟรี รอให้เขาขาดทุนก่อนแล้วจะรู้เอง!”
คำพูดของเยี่ยเทียนทำให้ผู้ชมรอบข้างต่างวิพากษ์กันขึ้นมา จะหาหยกเฝยชุ่ยจากกองเศษหินที่เสียแล้วนั้น อาจเป็นไปได้ ถ้าในเศษหินยังมีส่วนที่ปนคริสตัลอยู่ ก็อาจจะมีหยกเฝยชุ่ยอยู่จริง
จากหินชิ้นใหญ่ ตัดออกมามีแต่หินทั้งนั้น อย่าว่าแต่คริสตัลเลย แม้แต่รอยขอบเมฆยังไม่เห็นเค้า หินนี้เป็นแค่ก้อนหินที่ได้จากการขุดแร่ก้อนหนึ่งเท่านั้น
“นายอยากได้เศษหินพวกนี้?” เหวินหลวนสงมองเยี่ยเทียนอย่างสงสัย ไม่ใช่ว่าเยี่ยเทียนสามารถทำนายได้ว่า ในกองหินพวกนี้จะมีหยกเฝยชุ่ยอยู่จริง?
เยี่ยเทียนพยักหน้า “ใช่ ผมอยากจะตัดมันอีกที ถ้าโชคดี ก็อาจจะมีหยกเฝยชุ่ยหลงเหลืออยู่”
“เจ้าหนุ่ม นายเข้าใจเรื่องการตัดหินสักแค่ไหนกัน หินก้อนนี้ไม่มีหยกแน่นอน!” คนที่ดูอยู่คนหนึ่งพูดออกมาอย่างอดไม่ได้ วงการอัญมณีในฮ่องกงทำไมถึงมีคนโง่เง่าได้ขนาดนี้?
“เฮ้อ คุณลุงพูดตรงประเด็นเลย ผมไม่เข้าใจจริงๆ การเดิมพันหินนี้ ผมเพิ่งจะเคยได้ยินเป็นครั้งแรก”
เยี่ยเทียนหัวเราะออกมา “ผมแค่อยากจะลองดู ตัดแล้วไม่มีก็ไม่เป็นไร ถ้าเกิดมีขึ้นมา ผมก็โชคดีใช่ไหม?”
“เอ่อ…คือ…” ชายคนนั้นถูกเยี่ยเทียนตอกกลับก็อึ้งไป เยี่ยเทียนยอมรับอย่างใจจริงว่า ไม่เข้ารู้เรื่องในวงการนี้ เขายังจะพูดอะไรต่อได้?
“พี่เหวิน ขายไม่ขาย? ไม่อย่างนั้นพี่ตัดหินต่อผมจะดูเอาสนุกละกัน” เยี่ยเทียนไม่ได้สนใจชายที่ทักท้วงคนนั้น เขาหันมาพูดกับเหวินหลวนสง
“น้องเยี่ย ถ้านายอยากจะเอาไปตัดเล่นก็เอาไปเถอะ ส่วนเงินน่ะไม่ต้อง”
เหวินหลวนสงยิ้มเศร้าพลางส่ายหัว หินก้อนใหญ่เขาตัดเสียไม่เหลือชิ้นดีแล้ว เศษหินนี่จะเอาไปปูถนนก็ไม่ได้ เอาไปเผาเป็นถ่านหินก็ไม่ได้ ถ้าเยี่ยเทียนอยากใช้เงินซื้อ เถ้าแก่เหวินคงไม่กล้าขายให้
“ไม่เอาน่า พี่เหวิน ถ้าเกิดผมได้หยกเฝยชุ่ยขึ้นมาจริงๆ แล้วจะให้หยกเป็นของใครล่ะ?” เยี่ยเทียนโบกมือปฏิเสธ คนที่ดูอยู่โดยรอบต่างงุนงง
คนใหญ่คนโตในฮ่องกงอย่างเหวินหลวนสงพูดแล้วต้องไม่คืนคำแม้แต่จั่วเจียจวิ้นยังทนดูต่อไปไม่ได้ รั้งเยี่ยเทียนมากระซิบว่า “ศิษย์น้อง นายทำอะไรของนาย?”
“ผมก็จะตัดหินน่ะสิ” เยี่ยเทียนหันไปพูดกับเหวินหลวนสงอย่างจริงจังว่า “พี่เหวิน ให้ราคามาเลย หินนี่จะได้เป็นของผมอย่างชอบธรรม!”
“หนุ่มนี่คงจนซะจนบ้าไปแล้ว?” ผู้ชมรอบข้างต่างก็คิดแบบนี้
เหวินหลวนสงชักโมโหขึ้นมา เยี่ยเทียนจะขอซื้อเศษหินเสียพวกนี้ด้วยเงิน ไม่เท่ากับว่าตบหน้าเขาอย่างแรงเลยเหรอ? จึงตอบกลับว่า “ไม่เป็นไร น้องเยี่ย ต่อให้นายตัดเจอก้อนทอง ก็ถือเป็นความสามารถของนาย ฉันจะไม่ข้องเกี่ยวใดๆ ต่อหน้าคนมากมายขนาดนี้ ฉันจะผิดคำพูดได้เหรอ?”
เหวินหลวนสงอยากจะรู้เหมือนกันว่าต่อหน้าผู้ชมมากมาย เยี่ยเทียนจะสามารถตัดเศษหินพวกนี้ ให้เป็นหยกเฝยชุ่ยได้อย่างไร? ถ้าเยี่ยเทียนทำได้จริง คนอย่างเหวินหลวนสงคงต้องยอมศิโรราบ
“ได้ ขอบคุณพี่เหวินมาก” เยี่ยเทียนพยักหน้ายิ้ม ไม่มีความเกรงใจใดๆ เยี่ยเทียนกำลังจะให้โชคลาภอยู่แล้วเชียว ไม่ยอมรับเอง ถ้าเห็นหยกเฝยชุ่ยเข้าก็อย่ามาเสียดายทีหลังแล้วกัน
ตอนแรกเป็นเพียงการตัดหินธรรมดา แต่ถูกเยี่ยเทียนทำให้งานคึกคักขึ้น ผู้ที่กำลังจะออกไปก็ไม่ไปแล้ว ส่วนผู้ที่กำลังตัดหินของตัวเองอยู่ก็วางมือจากงานมาร่วมมุงดูด้วย
เยี่ยเทียนกวักมือเรียกพนักงานคนหนึ่ง “มา ช่วยผมวางหินบนแท่น ผมจะตัดเอง ส่วนคุณเปลี่ยนหินทีละก้อน!”
“ได้ครับ!” แม้พนักงานคนนั้นจะดูถูกเยี่ยเทียนที่พูดภาษาจีนกลาง แต่ด้วยหน้าที่ ต้องทำตามที่เยี่ยเทียนสั่ง นำหินขนาดเท่ากำปั้นวางบนแท่นตัดหินทีละก้อน
“อะแฮ่ม หินก้อนแค่นี้ ยังจะตัดได้อีกเหรอ?”
พอเยี่ยเทียนจะเริ่มตัด ทุกคนในที่นั้นเงียบเสียงลง เศษหินหลายสิบก้อนบนพื้นพวกนี้ ต้องใช้เวลานานแค่ไหนถึงจะตัดครบทุกก้อน?
แต่ความเร็วในการตัดหินของเยี่ยเทียนนั้นเร็วจนน่าแปลก เขาไม่ได้ตรวจดูรอยหินหรือวาดเส้นใดๆ เพียงแต่นำหินวางบนแท่นแล้วสับลงมาดัง”แคร้ก” หินก็ขาดเป็นสองท่อน
ถึงเศษหินจะไม่เล็กมาก แต่ผ่านไปสิบกว่านาที เศษหินเกือบทุกก้อนได้ถูกเยี่ยเทียนตัดจนหมด เป็นเพียงความหวังลมๆแล้งๆ ไม่มีปรากฏหยกเฝยชุ่ยแต่อย่างใด
“เยี่ยเทียน ช่างมันเถอะ ไป ไปดูศิษย์พี่ตัดหินดีกว่า ยังมีหินอีกสองก้อนยังไม่ได้ตัดเลย”
จั่วเจียจวิ้นลากเยี่ยเทียนออกไป พูดเน้นเสียงคำว่าศิษย์พี่อย่างชัดเจนเป็นพิเศษ เพราะไม่อยากให้คนอื่นดูถูกศิษย์น้องของเขา จึงตั้งใจเปิดเผยสถานะของตัวเองกับเยี่ยเทียน
คำพูดของจั่วเจียจวิ้นทำให้คนที่กำลังเหน็บแนมเยี่ยเทียนอยู่เงียบปากลง โบราณว่าไว้ ไม่ไว้หน้าพระสงฆ์แต่ต้องไว้หน้าพระพุทธ ถ้าขืนพูดต่อไปหาเรื่องจั่วเจียจวิ้นเข้า อาจจะเดือดร้อนภายหลังได้
“ศิษย์พี่ เดี๋ยวก่อน ยังมีอีกชิ้นแหนะ”
เยี่ยเทียนส่ายหัว บอกพนักงานว่า “เอาหินที่อยู่ใต้เครื่องออกมาวางสิ”
“มันก็เหมือนเดิมอีก?” พนักงานทำตามอย่างไม่สบอารมณ์ พลางอุ้มก้อนหินขนาดเท่าลูกฟุตบอลขึ้นไป วางบนแท่นตัดหิน
“แคร้ก!”
เยี่ยเทียนง้างโยกคันชักขึ้นเตรียมตัดหิน แต่ครั้งนี้เขาวางแนวการตัดเบี้ยวไปทางขอบด้านข้างเล็กน้อย แล้วสับฟันเฟืองใบเลื่อยสับลงมา
ตอนที่ 337 การเงินรั่วไหล (3)
โดย
Ink Stone_Fantasy
ตอนนี้ไม่มีใครสนใจดูเยี่ยเทียนตัดหินแล้ว เอาเวลาตัดเศษหินไร้ประโยชน์พวกนี้มาใช้คิดถึงหินที่ตัวเองซื้อมาดีกว่า ตอนที่เยี่ยเทียนลงมีดสับหิน มีคนเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่เฝ้าดูอยู่
“ตัด…ตัดออกแล้ว?”
ผู้ที่เฝ้าดูอยู่เป็นใครไปไม่ได้นอกจากเหวินหลวนสงเพราะเขาอยากจะรู้เหลือเกินว่าคำทำนายของเยี่ยเทียนที่ว่าเขาจะ เสียทรัพย์นั้นจริงหรือไม่
คำตอบเกิดขึ้นตามมาเมื่อเยี่ยเทียนฟันมีดลง อย่าเพิ่งพูดถึงคุณภาพของหยกเลย หินทั้งหมดเหวินหลวนสง ยกให้เยี่ยเทียนไปแล้ว เพราะฉะนั้นคำทำนายว่าจะเสียทรัพย์การเงินรั่วไหลนั้นเป็นจริงอย่างไม่ต้องสงสัย
“เขียวมากเลย เป็นหยกเนื้อดีจริง!”
“เร็วๆ ล้างเสร็จแล้วเอามาดูหน่อย…”
เสียงของเหวินหลวนสงเรียกให้คนเข้ามามุงดูอีกครั้ง การเดิมพันหินนั้นคุณอาจจะตัดหินเป็นร้อยเป็นพันครั้ง แต่ไม่เป็นที่จดจำถ้าสิ่งที่คุณได้มานั้นไม่มีค่า แต่หากตัดได้ของดีแค่เพียงครั้งเดียวคุณก็จะมีชื่อเสียงขึ้นมาได้
“นายน้อย เขียว…เขียวสะท้อนตาจริง!…”
ยังไม่ทันรอคนงานลงมือ อาติงยกอ่างน้ำเดินดุ่มเข้ามา ค่อยๆนำหินที่มีรอยตัดนั้นลงล้างในน้ำ
“ให้ฉันดูหน่อย…”จั่วเจียจวิ้นดันอาติงหลบไป แล้วเปิดไฟฉาย นำไฟฉายส่องแนบกับรอยตัดบนหิน
“ว้าว!”
ตอนนี้ฟ้ามืดแล้ว ผู้คนต่างมุงรอบเบียดเสียดเข้ามา แสงไฟมืดเกินไป เมื่อจั่วเจียจวิ้นใช้ไฟฉายส่องเข้าไปในเนื้อหิน ผู้ชมต่างอุทานขึ้นเป็นเสียงเดียวกัน
แต่ละคนในที่นั้นเดินบนเส้นทางนี้มากว่าห้าปี แต่ภาพที่ปรากฎตรงหน้ากลับไม่เคยเห็นมาก่อน
ตรงที่แสงไฟฉายจ่อกับรอยตัดหิน มีก้อนหยกสีเขียววาววับตา ยิ่งมีแสงสว่างจากไฟฉายส่องประชิด ยิ่งช่วยขับความแวววาวทอประกายสีเขียวสาดส่องลงไปบนมือขวาของจั่วเจียจวิ้น
“นี่…นี่มันหยกเฝยชุ่ยอะไร?”
เห็นวงแสงสีเขียวแล้วจั่วเจียจวิ้นตกตะลึง เขาเดิมพันหินมาเป็นสิบๆปี ยังไม่เคยเห็นหยกชิ้นไหน เป็นของแท้บริสุทธิ์เท่าชิ้นนี้มาก่อน
ชายชราอายุประมาณเจ็ดสิบปีผู้มีผมขาวทั้งหัวตะโกนขึ้นมาว่า “หรือ…หรือนี่จะเป็นมรกต?!”
สิ้นเสียงของชายชรา ทุกคนในที่นั้นสงบเสียงลงแล้วหันมามองเป็นตาเดียวที่หินบนแท่นตัดหินนั้น
“ศิษย์พี่ มรกตคืออะไรเหรอ?”
เยี่ยเทียนไม่เข้าใจที่ชายชราพูด คำศัพท์เฉพาะบางคำเช่นหินเนื้อคริสตัลแก้วกับหยกเฝยชุ่ยก็เพิ่งจะได้เรียนรู้วันนี้ เขาจะไปรู้ได้ยังไงว่ามรกตคืออะไร
“เดี๋ยวค่อยว่ากัน คังกั๋ว เอาเครื่องเจียระไนมาให้ฉัน”
จั่วเจียจวิ้นโบกมือ ยื่นมือข้างที่ดีออกไปหาลูกเขย เมื่อรับเอาเครื่องเจียระไนมาแล้ว จั่วเจียจวิ้นนึกได้ว่า มีบาดแผลที่แขน ยิ้มแหย “เยี่ยเทียน นายทำเถอะ ต้องระวังให้มากนะ!”
“ของสิ่งนี้มีมูลค่าสูงมาก?” เยี่ยเทียนสั่นศีรษะ แล้วรับเอาเครื่องเจียระไนมา
“ไม่ใช่เรื่องมูลค่าสูงไม่สูง แต่ไม่สามารถวัดมูลค่าได้ด้วยเงินต่างหาก นายระวังหน่อยแล้วกัน!” จั่วเจียจวิ้นเห็นท่าทีไม่ใส่ใจของเยี่ยเทียนจึงกล่าวเตือน
“คุณจั่ว เปลี่ยนคนเถอะ ถ้าเกิดทำพลาดจะยิ่งน่าเสียดาย!”
“ไม่งั้นฉันทำเอง? รับรองว่าจะไม่ให้พลาดสักนิด”
“ให้ฉีเหล่าทำดีกว่า เขาไม่เคยตัดพลาดเลย”
ท่าทางการตัดหยกของเยี่ยเทียนเมื่อครู่แล้วดูไม่น่าเชื่อถือ พอเยี่ยเทียนถือเครื่องเจียระไนทำท่าจะเจียรลงไป ทุกคนต่างทักท้วงกันใหญ่
ชายชราเมื่อครู่พับแขนเสื้อขึ้น เตรียมจะรับเครื่องเจียระไนจากเยี่ยเทียน แต่เยี่ยเทียนไม่ได้สนใจชายชราแม้แต่น้อย เยี่ยเทียนถือเครื่องเจียระไนเดินตรงไปที่หินชิ้นนั้น
“หินของผม ผมจะตัดยังไงก็เรื่องของผม ไม่ต้องให้พวกคุณช่วยหรอก?”
เยี่ยเทียนเบ้ปากตอบ กดปุ่มเปิดเครื่องเจียระไน ลงมือโดยไม่ได้ตรวจดูให้ละเอียดเลย เสียง”แคร้ก แคร้ก”ของหินแตก
“เบาๆหน่อย อย่าตัดเสีย!”
“เฮ้อ…คนหนุ่มใจร้อนเสียจริง!”
การเคลื่อนไหวของเยี่ยเทียนทำให้ผู้ชมอกสั่นขวัญหาย ถ้าหากเป็นมรกตจริง แล้วเกิดเยี่ยเทียนตัดเสีย คนอื่นๆคงต้องคิดอยากจะฆ่าเขาแน่
เยี่ยเทียนเหมือนไม่ได้ยินคำเตือน ไม่ชะงักมือช้าลงเลย เจ็ดแปดนาทีผ่านไป ใบมีดเจียไรเนียถูกตัดจนทื่อ
อาศัยจังหวะที่เยี่ยเทียนเปลี่ยนใบมีด ผู้ชมโดยรอบเบียดเสียดยื่นหน้าเข้ามาดูผลงานของเขา พบว่าเทคนิคการเจียระไนนั้นดีมาก ส่วนเกินถูกเจียออกจนเห็นรอยขอบสีขาวชั้นนอกที่ห่อหุ้มหยกชั้นในไว้อย่างไม่เสียหาย
“ฝีมือสุดยอด นี่ถึงจะเรียกว่าคมในฝัก!”
เยี่ยเทียนวางงานลง เปลี่ยนใบมีดอีกครั้ง ตอนนี้ไม่มีใครกล้าวิจารณ์เขาอีก ทุกคนกลั้นใจรอหยกชั้นเลิศ ที่เจียระไนเสร็จแล้วว่าจะสวยงามขนาดไหน
การเจียรหินไม่เหมือนกับตัดหิน การเจียรหินต้องค่อยๆเจียรเอาขอบนอกออก เป็นงานละเอียดอ่อน จากหินก้อนเท่าลูกฟุตบอลถูกเจียรออกจนเหลือแต่เนื้อหยก ถ้าเป็นมืออาชีพยังต้องใช้เวลาสามถึงห้าชั่วโมง
ดังนั้นแม้แต่เยี่ยเทียนที่ใช้การคำนวณจากแรงมือ ใช้ใบมีดตัดไปอีกเจ็ดแปดอัน กินเวลาอีกเกือบหนึ่งชั่วโมง จึงจะได้หยกเฝยชุ่นขนาดเท่ากำปั้นออกมา
เวลาผ่านไป ฟ้ามืดสนิทลง ไม่มีใครได้รับประทานอาหาร ต่างก็หิวท้องกิ่วกันทั่ว ทุกคนจับตามองหยกชิ้นนั้น ในอุ้งมือของเยี่ยเทียน แสงสีของหยกได้ย้อมมือของเขาให้เป็นสีเขียว
“สีมรกต!”ไม่ผิดแน่ ต้องเป็นหยกจักรพรรดิแน่นอน…”
ฉีเหล่าผู้มีผมขาวโพลนใช้แว่นขยายส่องดูหยกนานถึงครึ่งชั่วโมง กล่าวต่ออย่างตื่นเต้นว่า “เนื้อผลึกแก้ว สีเขียวมรกต ตั้งแต่ผมเกิดมาเคยเห็นแค่เพียงสองครั้งเท่านั้น!”
ฉีเหล่าแตกต่างจากคนค้าขายอัญมณีอื่นทั่วไป เพราะเขาคร่ำหวอดอยู่ในวงการมาทั้งชีวิต เป็นผู้เชี่ยวชาญ ด้านหยกตัวจริง
ปลายยุคปี 40 เพิ่งได้มาถึงฮ่องกงไม่นาน หลายสิบปีที่ผ่านมา ฉีเหล่าไปมาฮ่องกงพม่าบ่อยครั้ง เพื่อส่งเสริมการค้าเครื่องประดับหยก การที่เครื่องประดับหยกได้รับความนิยมในฮ่องกงเป็นผลงานของฉีเหล่าไม่น้อย
ดังนั้นเมื่อฉีเหล่าประกาศออกมาว่าหยกนี้เป็นหยกจักรพรรดิ ซึ่งเป็นเรื่องแน่นอนอยู่แล้ว คนที่อยู่ในที่นั้นต่างมอง ด้วยความอิจฉา
ส่วนเจ้าของคนเก่าอย่างเหวินหลวนสงตอนนี้สีหน้า น่าดูทีเดียว
ถ้าเยี่ยเทียนตัดออกมาเป็นแค่หยกทั่วไปเหวินหลวนสงจะไม่สนใจเลย แต่นี่เป็นถึงหยกจักรพรรดิ ซึ่งมีเงินมากแค่ไหนก็ซื้อไม่ได้ ถ้าได้หยกมามอบให้คนรู้ใจแล้วละก็ คงจะเป็นที่ถูกใจคนที่รักใคร่ชอบพอเป็นที่สุด
แต่ต่อหน้าคนมากมาย เถ้าแก่เหวินได้แต่กัดฟันทน คำพูดที่พูดไปแล้วไม่อาจกลับคำ ไม่ว่ายังไงเขาก็ไม่มีหน้าจะไปขอหยกคืนมา
เห็นสายตาหลงใหลจากผู้คนที่รายล้อมอยู่นั้น เยี่ยเทียนหันไปถามจั่วเจียจวิ้นว่า “ศิษย์พี่ หยกจักรพรรดินี่มันเป็นยังไง อธิบายให้ผมฟังหน่อย!”
หยกชิ้นนี้สำหรับเยี่ยเทียนถือว่าใช้ได้ แต่ก็แค่ใช้ได้เท่านั้น เพราะมันไม่ได้ถูกบ่มเพาะด้วยพลังหยินหยางมงคล แม้จะสวยงามแต่ไม่มีความศักดิ์สิทธิ์ นำมาติดตัวไว้ก็ไม่สามารถป้องกันภัยหรือเรียกโชคลาภได้
หยกเฝยชุ่ยเป็นหยกที่ดูดซับพลังธรรมชาติได้มากกว่าหยกทั่วไป เยี่ยเทียนจะแกะสลักมันทำเป็นเครื่องเรือน ประดับแขวนไว้ในเรือนสี่ประสานของตัวเอง ดูซิว่าจะต้องใช้เวลากี่ปีจึงจะกลายเป็นเครื่องรางได้?
“เยี่ยเทียน หยกจักพรรดิ ความหมายตรงตัวเลย แปลว่าหยกของพระราชาไง หยกจักรพรรดิเป็นสีที่ดีที่สุด ราคาสูงที่สุดในบรรดาหยกทั้งหมด…”
จั่วเจียจวิ้นยิ้มอธิบายให้เยี่ยเทียนฟัง “หยกจักรพรรกิคือหยกที่มีสีเขียวสดแบบพิเศษ นายดูสิ สีเขียวของมันเหมือนจะหยดออกมาเป็นหยดน้ำเลย…”
“งั้นมันก็มีค่ามากน่ะสิ?!”
เยี่ยเทียนฟังที่จั่วเจียจวิ้นพูดจบถึงเข้าใจว่าหยกจักรพรรดินั้นหมายถึงหยกที่มีสีเขียวมรกต แต่หยกเฝยชุ่ยที่มีสีเขียวทั่วไปนั้น ไม่ใช่หยกจักรพรรดิ
ต้องเป็นหยกเนื้อแก้วเท่านั้น และจะต้องมีสีเขียวแบบเขียวมรกตจึงจะเรียกว่าหยกจักรพรรดิได้
แต่ด้วยสองเงื่อนไขนี้ การจะหาหยกจักรพพรดิได้นั้นยากมาก แม้แต่ชุดเครื่องประดับหยกของ คุณนายสามพี่น้องตระกูลซ่ง ยังไม่ใช่หยกจักรพรรดิเลย
หยกเฝยชุ่ยนั้นได้รับความนิยมมาเป็นร้อยปี แต่การปรากฎของหยกจักรพรรดินั้นมีเพียงไม่กี่ครั้ง ทุกครั้งที่ปรากฎขึ้นต้องเกิดการต่อสู้แย่งชิงอย่างบ้าคลั่ง อีกทั้งผู้ที่ได้ครอบครองก็จะเก็บรักษาไว้อย่างดี ไปหาตามท้องตลาดไม่มีแน่นอน ไม่อย่างนั้นคนอย่างเหวินหลวนสงคงไม่เสียใจภายหลังขนาดนี้
เยี่ยเทียนดูจะยังไม่ค่อยเข้าใจ จั่วเจียจวิ้นจึงพูดต่อว่า “เยี่ยเทียน หยกชิ้นนี้จะเจียระไนเป็นเม็ดหรือจะแกะสลัก เป็นของประดับก็เป็นของหายาก เป็นสมบัติตกทอดในวงตระกูลก็ว่าได้!”
จั่วเจียจวิ้นพูดยังไม่ทันขาดคำ ผู้เฒ่าฉีเหล่าเอ่ยแทรกขึ้นมาว่า “น้องชาย หยกชิ้นนี้ นายพอจะขายต่อได้ไหม?”
“ใช่ ใช่ น้องชาย ฉันให้ยี่สิบล้านแลกกับหยกชิ้นนี้ นายว่ายังไง?”
“ยี่สิบล้าน อย่าเอาเปรียบคนอื่นสิ? น้องชาย ฉันให้สามสิบห้าล้าน ยกให้ฉันเถอะ?”
“ฉันให้ห้าสิบล้าน ขายให้ฉัน!”
ผู้ที่ล้อมรอบอยู่ต่างหมายปองหยกในมือของเยี่ยเทียน เมื่อมีคนเสนอราคาขึ้น คนอื่นๆเริ่มต่อรองให้ราคาสูงกว่า ชั่วพริบตาเดียวก็มีคนให้ราคาสูงถึงห้าสิบล้าน
ความจริงแล้วเครื่องประดับหยกจักรพรรดิเวลาขายทอดตลาด ราคาไม่ได้สูงขนาดนี้
แต่เพราะไม่ค่อยมีหยกจักรพรรดิในท้องตลาดมากนัก อีกทั้งหยกชิ้นนี้ของเยี่ยเทียนเป็นหยกดิบ ซึ่งผู้ที่ได้ไปจะนำไปแกะสลักเป็นอะไรก็ได้ ดังนั้นราคาจะถูกประมูลให้สูงขึ้นๆ
“อะแฮ่ม เยี่ยเทียน ไม่อย่างนั้น…ฉันให้แปดสิบล้านเลย นายยกหยกชิ้นนี้ให้ฉันเถอะ”
เหวินหลวนสงที่เงียบมานานกระแอมขึ้น ราคาที่เขาเสนอทำให้คนอื่นหุบปากลงทันที
……
ตอนที่ 338 เสี่ยงทาย
โดย
Ink Stone_Fantasy
ราคาที่เหวินหลนสงเสนอออกมา ทำให้ทุกคนร้องเสียงหลง แม้ว่าหยกจักรพรรดิจะหายาก แต่ราคาของหยกที่สูงมากในวันนี้ ก็ยังมีราคาไม่สูงถึงเพียงนี้…หรืออาจจะพูดได้ว่าเป็นราคาที่สูงที่สุดในใต้หล้าก็ว่าได้
“แปดสิบล้าน? พี่เหวิน พี่กำลังล้อเล่นใช่ไหม?” หลังจากได้ยินราคาที่เสนอแล้ว หัวใจของเยี่ยเทียนก็ “เต้บตุบๆ” ขึ้นมาทันที
ต้องรู้ก่อนว่า ในปีหนึ่งพันเก้าร้อยเก้าสิบแปดอัตราในการแลกเปลี่ยน เงินดอลลาร์ฮ่องกง นั้นมีค่าสูงกว่าเงินหยวนนิดหน่อย และเงินแปดสิบล้านดอลลาร์ฮ่องกง ก็ใกล้เคียงกับเงินแปดสิบห้าล้านหยวน?
เยี่ยเทียนไม่ใช่เทวดา เขาก็เป็นเหมือนคนทั่วไปที่จำเป็นต้องกินต้องใช้ และเงินทองก็เป็นสิ่งของล่อใจ ที่เขายากจะต้านทานได้เหมือนกัน และเนื่องจากผลจากการฝึกวรยุทธ์นั้น เยี่ยเทียนจึงมีความกระหาย ในเรื่องเงินทองมากกว่าบุคคลธรรมดาทั่วไปอยู่บ้าง
เมื่อเห็นหยกจักรพรรดิเป็นมันวาวเย็นยะเยือกอยู่ในมือ เยี่ยเทียนจึงตกอยู่ในความลังเล เพียงแค่เขาพยักหน้า เงินแปดสิบล้านก็จะสามารถเข้ากระเป๋าเขาได้เลย บวกกับเงินจำนวนหนึ่งที่ถังเหวินหย่วนให้กับเขา ก็จะทำให้ตัวเองกลายเป็น มหาเศรษฐีทันที
แต่หลังจากฟังคำพูดของจั่วเจียจวิ้นแล้ว ทำให้เยี่ยเทียนรู้ว่า หยกจักรพรรดิแบบนี้ ใช่ว่าเจอแล้วจะเรียกร้องมันมาได้ หากวันนี้ขายไป ต่อมาภายหลังถ้าอยากจะตามหาอีก เกรงว่าจะยากมาก
และแท้จริงแล้วเยี่ยเทียนก็อยากเก็บหยกชิ้นนี้เอาไว้เพื่อเจียระไนเป็นสิ่งของบางอย่างแล้วหล่อเลี้ยงไว้ภายในเรือนสี่ประสาน ถ้าหากโชคดี หลังจากสองสามปีผ่านไปก็จะสามารถสร้างเครื่องรางของขลังออกมาสองสามชิ้นก็เป็นได้
“พ่อหนุ่ม แปดสิบล้านไม่น้อยนะ นอกจากคุณเหวินแล้ว ก็ไม่มีใครกล้าเสนอราคานี้!”
“ถึงแม้หยกจักรพรรดิจะมีน้อย แต่ก็ขายไม่ได้ราคาสูงขนาดนี้หรอก ถือว่าคุณเหวินใช้เงินเยอะมากจริงๆ…”
ตอนที่เยี่ยเทียนกำลังใช้ดุลพินิจพิจารณาผลได้และผลเสียนั้น พวกคนที่อยู่ข้างๆ ต่างก็พูดโน้มน้าวกันยกใหญ่ ความจริงพวกเขาไม่ได้อยากช่วยให้ เหวินหลนสงได้หยกชิ้นนั้นหรอก แต่มีเจตนาอย่างอื่น
ต้องรู้ก่อนว่า ถ้าอยากสร้างกระแสให้หยกแข็งกลายเป็นอัญมณีเกรดเดียวกันกับเพชรนั้น จำเป็นต้องใช้ เงินจำนวนมากในการซื้อขายถึงจะได้ และการเสนอราคาของเหวินหลนสงนั้นก็เป็นการสร้างกระแสที่ยอดเยี่ยมที่สุด
ขอเพียงเยี่ยเทียนขายหยกชิ้นนี้ พรุ่งนี้ก็จะมีรายงานพาดหัวข่าว “หยกราคาสูงเทียมฟ้า” ปรากฏบนหน้าหนังสือพิมพ์รายใหญ่ต่างๆ ของฮ่องกง เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็จะทำให้หยกแข็งพัดกระพือฮือโหม ไปทั่วฮ่องกงระยะหนึ่ง และคนที่ได้ประโยชน์ก็คือพวกพ่อค้าเครื่องประดับที่อยู่ในเหตุการณ์เหล่านี้นั่นเอง
แน่นอนว่า ต่อให้เยี่ยเทียนไม่ขาย พวกเขาก็ยังสามารถสร้างกระแสได้เหมือนเดิม และมีบางคนแม้แต่ หัวข้อก็คิดไว้เรียบร้อยแล้ว “เจ้าพ่อแห่งวงการตลาดหุ้นเสนอเงินซื้อหยกเนื้อดีชั้นหนึ่ง ราคาแปดสิบล้านดอลลาร์ฮ่องกง แต่ไม่สามารถซื้อได้” และคาดว่าหัวข้อแบบนี้จะสามารถดึงดูดสายตาผู้คนได้แน่นอน
หลังจากครุ่นคิดอยู่ในใจนานครึ่งวัน ในที่สุดเยี่ยเทียนจึงเงยหน้า และเอ่ยปากพูด “พี่เหวินครับ หยกชิ้นนี้ผมก็ชอบมากเหมือนกัน ผมอยากจะเจียระไนหยกออกมาด้วยมือผมเอง พี่ดูสิครับ…”
เยี่ยเทียนยังเป็มหนุ่ม จึงไม่กลัวว่าจะหาเงินไม่ได้ในอนาคต แต่หยกชั้นดีที่สามารถนำมาทำเป็นของขลัง ได้แบบนี้ใช่ว่าจะหาเจอได้ง่าย ดังนั้นหลังจากที่พิจารณาซ้ำแล้วซ้ำอีก สุดท้ายเขาจึงปฏิเสธราคาที่เสนอมาของเหวินหลนสง
หลังจากได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียน เหวินหลนสงจึงถอนหายใจยาว พลางโบกมือพูด “ไม่เป็นไร พี่เหวินคนนี้เป็นคนที่ เล่นแล้วรู้จักยอมแพ้ ศิษย์น้องเยี่ย จะว่าไปแล้วระดับในการดูโหงวเฮ้งของนายไม่อยู่ในแบบของศิษย์พี่เลยนี่นา!”
ตอนแรกเหวินหลนสงรู้สึกสงสัยในตัวของเยี่ยเทียน นั่นเป็นเพราะเขาเป็นศิษย์น้องของจั่วเจียจวิ้น แต่ตอนนี้เขาเลื่อมใสเยี่ยเทียนอย่างสุดจิตสุดใจ หลังได้เจอหน้ากันและสังเกตสีหน้าแล้ว ก็สามารถดูออกมาว่า ตัวเองเป็นคนชอบใช้เงิน แม้แต่ “ศิษย์พี่จั่ว” ก็ยังไม่มีความสามารถนี้
“พี่เหวินครับ หยกแข็งนี้ได้รับมอบเป็นของขวัญจากพี่ เยี่ยเทียนก็รู้สึกละอายใจ เอาอย่างนี้แล้วกัน รอให้เจียระไนออกมาเสร็จแล้ว ผมจะมอบให้พี่หนึ่งชิ้นครับ!”
เมื่อเห็นความใจกว้างของเหวินหลนสงแล้ว ในใจของเยี่ยเทียนจึงรู้สึกดีกับเขาขึ้นมาไม่น้อย ไม่ว่าจะพูดอย่างไร แท้จริงแล้วหินหยกนี้ก็เป็นของเหวินหลนสง และถือว่าเยี่ยเทียนได้รับน้ำใจของเขาไว้แล้วกัน
เยี่ยเทียนลองคำนวณนิดหน่อย พลางคิดว่าหยกแข็งขนาดเท่ากำปั้นนี้ สามารถทำเป็นกำไลมือได้สองอัน กับจี้อีกสิบกว่าอัน ถึงตอนนั้นเขาจะมอบให้เหวินหลนสงหนึ่งอัน เพื่อเป็นการคืนน้ำใจของเขา
“ไม่ต้อง น้องเยี่ย น้องพูดแบบนี้พี่รู้สึกไม่ดีเลย”
เหวินหลนสงโบกมือปัดเป็นระวิง เพราะก่อนที่จะแกะหยกออกมานั้นเยี่ยเทียนได้เตือนเขาก่อนหน้าแล้ว แต่ตัวของเขาไม่เชื่อว่ามีหยกอยู่ในหิน ตอนนี้พอแกะออกมาแล้วเป็นหยกจริงๆ จึงสามารถพิสูจน์ได้ว่าเขามีตาหามีแววไม่ ฉะนั้นจะมีหน้าเรียกเอาเครื่องประดับหยกจักรพรรดิฟรีๆ จากเยี่ยเทียนได้อย่างไร?
“พี่เหวิน เรื่องนี้ค่อยว่ากันอีกทีนะครับ…”
เยี่ยเทียนมองเห็นคนอื่นยังโอบล้อมกันอยู่ จึงอดขมวดคิ้วไม่ได้ พลางหันไปถามจั่วเจียจวิ้น “ศิษย์พี่ หยกแข็งของพี่ตรงนั้นแกะออกได้หรือยังครับ?”
จั่วเจียจวิ้นพยักหน้าแล้วพูด “เกือบแล้ว คังกั๋วกำลังมองอยู่ เอาเป็นว่า….พวกเราไปหาสถานที่ดื่มน้ำชากันก่อนดีไหม อีกสักพักท้องก็เริ่มหิวแล้ว!”
การพนันหยกแข็งในครั้งนี้ได้ดำเนินมาหนึ่งวันเต็ม และตอนเช้าทุกคนต่างก็ทานของกินไปนิดหน่อย เมื่อได้ยินจั่วเจียจวิ้นพูดเช่นนี้ ทำให้ทุกคนรู้สึกท้องร้อง “จ๊อกๆ” ขึ้นมาทันที
“วันนี้น้องชายคนนี้ได้แกะหยกจักรพรรดิสำเร็จ ถือว่าเป็นความโชคดีสำหรับการทำธุรกิจเครื่องประดับ และหยกในฮ่องกงของพวกเรา เอาอย่างนี้แล้วกัน ให้ทางสมาคมเป็นเจ้าภาพ แล้วพวกเราก็ไปทานข้าวด้วยกันดีไหมครับ?”
หลังจากได้ยินคำพูดของจั่วเจียจวิ้นแล้ว ทีมผู้จัดงานการซื้อขายในครั้งนี้จึงยืนขึ้น เดิมทีพวกเขาได้จัดงานเลี้ยง ตอนกลางคืนไว้แล้ว เพียงแต่ทุกคนต่างก็ยุ่งอยู่กับการแกะหยกแข็งจึงไม่ได้ไปร่วมเท่านั้นเอง
“ให้คุณจั่วเป็นเจ้าภาพดีกว่า และขอให้เพื่อนๆ ได้โปรดรับคำเชื้อเชิญไปด้วยกันจะเป็นพระคุณยิ่ง!”
หากนี่เป็นการพนันอยู่บนเกาะที่อยู่ตรงข้ามอย่างแท้จริง เยี่ยเทียนก็คงจะต้องเอาเงินใส่ซองแล้ว ในฐานะศิษย์พี่ของเยี่ยเทียน แน่นอนว่าจั่วเจียจวิ้นไม่สามารถให้พวกร้านค้าขายเครื่องประดับเป็นเจ้าภาพอยู่แล้ว ดังนั้นเขาจึงเหมาเอาไว้ที่ตัวเองทั้งหมด
“ได้ ถ้าปรมาจารย์จั่วเป็นเจ้าภาพก็จะต้องไปอย่างแน่นอน!”
“ถูกแล้ว ทุกคนต้องไป เรื่องนี้คุ้มค่าที่จะเฉลิมฉลอง!”
พลังในการเรียกร้องของจั่วเจียจวิ้นนั้นมีมากกว่าทีมผู้จัดงานเสียอีก เพียงแค่ร้องเรียก ทุกคนที่อยู่ในงานต่างก็ตกลงทันที และมีบางคนเริ่มห่อหยกแข็งที่ยังไม่ได้แกะเอาไปใส่ในรถแล้ว
พ่อค้าที่มาร่วมงานการซื้อขายอัญมณีและเครื่องประดับนั้นส่วนมากจะพาลูกน้องที่เชื่อใจมาด้วยอยู่แล้ว บวกกับการช่วยเหลือของพนักงานที่อยู่ในงาน ทำให้หยกแข็งที่เป็นของตัวเองถูกจัดใส่รถอย่างรวดเร็ว จากนั้นขบวนรถหรูหรานับสิบคันก็ได้เคลื่อนตัวไปยังเขตเมืองฮ่องกงอย่างโอฬารพันลึก
ถึงแม้พ่อค้าอัญมณีเหล่านี้จะไม่ใช่มหาเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดในเกาะฮ่องกง แต่ก็มีฐานะระดับหนึ่ง ตอนที่จั่วเจียจวิ้นเหมาห้องจัดเลี้ยงทั้งหมดในโรงแรมฟูราม่านั้น ถือว่าเป็นการช่วยเยี่ยเทียนจัดเงินใส่ซองแล้ว
ชาวฮ่องกงชอบดื่มชา สามารถดื่มชาตั้งแต่ตอนเช้าถึงบ่ายจนกระทั่งตอนกลางคืนก็ยังดื่มได้ หลังจากนั่งลงแล้ว ขนมและของว่างต่างๆ ก็จัดวางอยู่บนโต๊ะ ทำให้บรรยากาศดูคึกคักขึ้นมาทันที
เยี่ยเทียนกับจั่วเจียจวิ้น หลิวติงติง รวมทั้งเหวินหลนสงแล้วก็ยังมีคู่หนุ่มสาวเพื่อนรักของหลิวติงติง นั่งอยู่โต๊ะเดียวกัน หลังจากทานของไปนิดหน่อยแล้ว จั่วเจียจวิ้นจึงพูดกับเหวินหลนสงว่า “อาสง พี่แพ้การพนันในวันนี้ หลังจากหนึ่งเดือนผ่านไป นายค่อยมาหาพี่นะ!”
จั่วเจียจวิ้นเลือกหินหยกในครั้งนี้เลือกไม่เจอเนื้อดีเท่าไร แต่ไม่สามารถนับหยกจักรพรรดิชิ้นนั้นของเยี่ยเทียนได้ ทว่ามูลค่ารวมทั้งหมดแล้วยังสู้หยกที่แกะแล้วของเหวินหลนสงไม่ได้ ดังนั้นจั่วเจียจวิ้นจึงพูดเช่นนี้
“ขอบคุณปรมาจารย์จั่วครับ!”
หลังจากได้ยินคำพูดของจั่วเจียจวิ้นแล้ว เรื่องที่เหวินหลนสงกลุ้มใจในวันนี้จึงหายไปทันที เขาขอร้องจั่วเจียจวิ้นมาหนึ่งปีเต็มก็ยังไม่เคยได้รับคำตอบที่ชัดเจน ไม่คิดว่าวันนี้จะสามารถเอาเปรียบจั่วเจียจวิ้นได้
“ศิษย์พี่ครับ แผลของพี่เกรงว่าจะต้องใช้เวลารักษาสามถึงห้าเดือน ช่วงนี้พี่อย่าเพิ่งทำนายโชคชะตาให้คนอื่น ไปก่อนนะครับ”
เมื่อได้ยินบทสนทนาของทั้งสองคน เยี่ยเทียนกลับขมวดคิ้วขึ้นมา พลางคิดว่าเขาเป็นคนฉลาดระดับไหน ถึงรู้ว่าจั่วเจียจวิ้นกำลังใช้วิธีเช่นนี้เพื่อชดเชยให้กับเหวินหลนสงที่เสียหายของที่นี่ให้ตัวเองอยู่
จั่วเจียจวิ้นโบกมือ พลางยิ้มพูด “ไม่เป็นไร แผลแค่นี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ไม่เสียเวลาหรอก”
“ไม่ได้ครับ ถ้าไม่ระวังแผลของพี่ ก็อาจจะบาดเจ็บถึงแก่นแท้ได้นะครับ”
เยี่ยเทียนส่ายหน้า แล้วจึงหันหน้าไปหาเหวินหลนสง พลางพูด “เอาอย่างนี้ดีไหมครับ พี่เหวิน ผมจะเป็นคนทำนายโชคชะตาให้พี่เองเอาไหมครับ? อย่างอื่นไม่กล้าพูด แต่ผมสามารถทำนายโชคชะตา อีกยี่สิบปีข้างหน้าให้พี่ได้ครับ!”
“นายจะเป็นคนทำนายเหรอ?!” จั่วเจียจวิ้นกับเหวินหลนสงพูดด้วยน้ำเสียงที่ตกใจตื่นออกมาพร้อมกัน พลางเบิกตาโตจ้องมองเยี่ยเทียน
ถึงแม้วันนี้เยี่ยเทียนจะเผยฝีมือตอนที่อยู่กับเหวินหลนสงไปแล้ว โดยบอกถึงโชคชะตาของเขาในวันนี้ แต่ใบหน้าที่ยังหนุ่มของเยี่ยเทียนเมื่อเทียบกับอำนาจและชื่อเสียงของจั่วเจียจวิ้นที่สั่งสมมานานกว่าสิบปี ทำให้เขายังเชื่อมั่น “ปรมาจารย์จั่ว” มากกว่า
ส่วนจั่วเจียจวิ้นนั้น เขารู้ว่าวรยุทธ์ของเยี่ยเทียนนั้นอยู่ในขั้นสูงสุด แต่วิชาการโจมตีทุกแขนง กับการเสี่ยงทายทำนายโชคชะตานั้นมีความแตกต่างกัน ฉะนั้นเขาจึงไม่รู้ว่าในวิชานรลักษณ์ศาสตร์ ของเยี่ยเทียนมีระดับความลึกซึ้งแค่ไหน
หลังจากมองเห็นสีหน้าของทั้งสองคนแล้ว เยี่ยเทียนจึงหัวเราะพลางพูด “ทำไมครับ ศิษย์พี่ ไม่เชื่อใจผมเหรอ? สำนักเสื้อป่านของพวกเรามีชื่อเสียงในเรื่องการเสี่ยงทายพยากรณ์ หรือแม้แต่สิ่งนี้ผมก็ไม่เป็น?”
“ไม่…ไม่ ศิษย์น้อง วิชาของนายมีความแข็งแกร่งมากกว่าของพี่เป็นร้อยเท่า ดังนั้นเรื่องการเสี่ยงทายทำนายโชคชะตา ก็ต้องเชี่ยวชาญอยู่แล้ว”
หลังจากได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนแล้ว จั่วเจียจวิ้นจึงรีบโบกมือทันที และหันไปพูดกับเหวินหลนสง “อาสง พี่ขอพูดอย่างไม่ปิดบัง เยี่ยเทียนคือลูกศิษย์ที่ได้รับการถ่ายทอดวิชาความรู้มาจากอาจารย์ของพี่โดยตรง มีตำแหน่งที่สูงกว่าพี่ เขายอมทำนายโชคชะตาให้นาย ถือว่าเป็นความโชคดีของนายมากนะ!”
ถึงแม้ไม่รู้ว่าความสามารถในด้านนี้ของเยี่ยเทียนจะเป็นอย่างไรกันแน่ แต่จั่วเจียจวิ้นก็ไม่ทำให้ศิษย์น้อง เสียหน้าอยู่แล้ว และคำพูดเหล่านี้จึงทำให้ในใจของเหวินหลนสงเกิดความลังเลขึ้นมา เพราะแท้จริงแล้วในใจของเขา อยากจะให้จั่วเจียจวิ้นช่วยทำนายโชคชะตาให้เขามากกว่า
แต่เมื่อนึกถึงเยี่ยเทียนที่ได้ดูโหงวเฮ้งให้เขาก่อนหน้านี้ ในที่สุดเหวินหลนสงก็ตัดสินใจ แล้วพูด “อย่างนั้นรบกวนน้องเยี่ยด้วยนะครับ ไม่ทราบว่าน้องเยี่ยจะว่างเมื่อไหร่ครับ?”
เยี่ยเทียนพูดอย่างสบายๆ “อันนี้ไม่ต้องอาบน้ำถือศีลกินเจครับ ตอนนี้ก็ทำได้เลย”
“ตอนนี้ก็ได้?” เหวินหลนสงตกตะลึงเล็กน้อย
“แน่นอนว่า จะต้องหาห้องส่วนตัวที่เงียบๆ ห้องหนึ่ง ผมก็สามารถดูดวงให้พี่ตอนนี้ได้เลยครับ” เยี่ยเทียนพยักหน้า เพราะการที่ได้รับหยกแข็งเนื้อดีชั้นหนึ่งที่มีมูลค่านับร้อยล้านหนึ่งชิ้นในวันนี้ กับการช่วยเหวินหลนสงดูดวง ก็ถือว่าไม่ได้รับของของเขามาฟรีๆ
“ได้ อย่างนั้น…อย่างนั้นพี่จะไปจัดการ!”
เหวินหลนสงรีบลุกขึ้นยืน แล้วจึงเรียกพนักงานเข้ามาให้พาพวกเขาสองสามคนเข้าไปในห้องส่วนตัวห้องหนึ่ง แน่นอนว่าหลิวติงติงและคนอื่นๆ ก็เดินตามเข้าไปเช่นกัน
หลังจากเข้าไปนั่งข้างในแล้ว เยี่ยเทียนจึงพลิกมือขวาขึ้น แล้วจึงเห็นเหรียญเหลืองอันหนึ่งปรากฏอยู่ในฝ่ามือของเขา เขามองไปที่เหวินหลนสงแล้วพูด “พี่เหวินครับ ช่วยแจ้งวันเดือนปีเกิดของพี่ด้วยครับ”
“พี่เกิดปีหนึ่งพันเก้าร้อยห้าสิบเอ็ด…” เมื่อเห็นเยี่ยเทียนพกเหรียญกษาปณ์ทองแดงที่ใช้ในการเสี่ยงทายติดตัวมาด้วย ทำให้เหวินหลนสงเริ่มเชื่อมั่นในตัวเขามากขึ้น
แต่เถ้าแก่เหวินกลับไม่รู้ว่า เหรียญต้าฉีทงเป่าเป็นสิ่งของที่เยี่ยเทียนพกติดตัวตลอดเวลา เและนำมาใช้ในการเสี่ยงทายอย่างครั้งนี้น้อยมาก
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น