กระบี่จงมา 331.2-333

 บทที่ 331.2 ข้ามน้ำข้ามภูเขา พบเหยาจึงหยุด

ProjectZyphon

เจ้ากรมผู้เฒ่าบอกความลับอีกเรื่องหนึ่งด้วยความปรารถนาดี “จ้วงหยวน (จอหงวน) เด็กหนุ่มสองคนซึ่งมีชาติกำเนิดเป็นเด็กอัจฉริยะของราชวงศ์ก่อน สามารถสอบเคอจวี่ได้อย่างราบรื่นดุจผ่าลำไม้ไผ่ ทว่ากลับมีชื่อเสียงในวงการขุนนางไม่ดีนัก คนหนึ่งในนั้นก็ยิ่งชีวิตล้มเหลวในช่วงบั้นปลาย เป็นเหตุให้ราชสำนักมีข้อห้ามอย่างมากในเรื่องนี้ คราวนี้เจ้าพลาดตำแหน่งซิ่วไฉ ไม่ใช่ฝีมือของพี่ใหญ่เจ้า เขาไม่ได้จิตใจอำมหิตขนาดนั้น แล้วก็ไม่กล้าด้วย ข้ายังไม่ตายสักหน่อย อันที่จริงเป็นความต้องการของข้าเอง เพื่อสยบข่มและเคี่ยวกรำสภาพจิตใจเจ้า วันหน้าเมื่ออยู่ในวงการขุนนางจะได้มีประสบการณ์ สืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้ว วงการขุนนางไม่ใช่การเล่นหมากล้อม ชิงมือลงก่อนอย่างงดงามก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะเป็นเรื่องดีสำหรับราชวงศ์นี้”


หลังจากที่เด็กหนุ่มซึ่งอยู่ในอารมณ์ตื่นเต้นจากไปแล้ว ผู้เฒ่าก็หมุนตัวไปหยิบตำราอีกเล่มออกมา ในนั้นก็มีรอยกดทับอยู่เหมือนกัน แต่กลับไม่มีเหรียญอยู่ด้านใน ทว่าประโยคที่อยู่ตรงรอยกลบทับคือคำสอนของอริยะปราชญ์ที่บอกว่า ‘ผู้สูงส่งคือวิญญูชน เชี่ยวชาญการแลกเปลี่ยนความรู้ ขัดเกลานิสัยและคุณธรรมให้ยิ่งดีงาม’


เพราะว่ามีเหรียญเงินแค่เหรียญเดียว เด็กหนุ่มจึงได้ยึดครองโชควาสนาทั้งหมดไปโดยไม่รู้ตัว


คล้ายกับว่านี่เป็นเจตนารมณ์สวรรค์ซึ่งคนไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า


นี่ทำให้เจ้ากรมผู้เฒ่าที่ปรารถนาอยากฝึกวิชาเซียนมาโดยตลอดถึงขั้นไม่กล้าแย่งชิง


ผู้เฒ่าที่อยู่ในวงการขุนนางซึ่งผู้คนคอยแต่จะแก่งแย่งความดีความชอบกันมาเกินครึ่งชีวิตพูดสะท้อนใจแฝงไว้ด้วยความเลื่อมใสและนับถือจากใจจริง “ยอดฝีมือนอกโลกช่างมีฝีมือของเทพเซียนจริงๆ”


……


ระหว่างที่เดินทางอยู่บนเส้นทางภูเขา เฉินผิงอันทำหีบไม้ไผ่ใบใหญ่ให้ตัวเองหนึ่งใบ ตามหลักแล้ว นอกจากใส่ห่อผ้าฝ้ายห่อนั้น ยังสามารถใส่สิ่งของได้อีกไม่น้อย ทว่าเฉินผิงอันยังคงให้เผยเฉียนสะพายห่อผ้า รวมไปถึงถือคันเบ็ดไม้ไผ่ นอกจากนี้เขายังทำไม้เท้าอันเล็กเหมาะมือให้กับนางอีกอันหนึ่ง


หลังจากนั้นเส้นทางภูเขาและแม่น้ำยาวไกล ดูเหมือนว่าจากแต่เดิมที่เฉินผิงอันรีบเร่งเดินทาง ร้อนใจอยากออกไปจากใบถงทวีป กลับบ้านเกิดที่แจกันสมบัติทวีปโดยเร็วที่สุด ตอนนี้กลับเปลี่ยนมาเป็นสงบจิตสงบใจได้แล้ว เพียงแต่น่าสงสารเด็กหญิงเผยเฉียนที่ต้องเหน็ดเหนื่อยไปด้วย นางบ่นด้วยความคับแค้นใจตลอดเวลา เพียงแต่ว่าเมื่อเทียบกับคำพูดคำจาโผงผางทำร้ายจิตใจคนอย่างตอนที่เพิ่งรู้จักกันแล้ว ไม่รู้ว่าเป็นเพราะได้เริ่มเรียนหนังสือมาบ้าง หรือเป็นเพราะกลัวว่าเฉินผิงอันจะโมโหแล้วทิ้งนางไปไม่สนใจใยดี ต่อให้จะบ่น เผยเฉียนก็หัดรู้จักพูดอ้อมค้อมบ้างแล้ว


สำหรับคำบ่นของนาง เฉินผิงอันฟังเป็นลมที่พัดผ่านข้างหู นั่นยิ่งทำให้เผยเฉียนไม่พอใจเข้าไปใหญ่


การเดินทางในภายหลังคนทั้งสองได้พบเห็นทัศนียภาพมากมาย ทำให้เผยเฉียนได้เปิดโลกทัศน์ ยกตัวอย่างเช่นมีครั้งหนึ่งได้เห็นหิ่งห้อยจำนวนนับไม่ถ้วนยามกลางดึกของฤดูใบไม้ร่วง คล้ายโคมไฟดวงเล็กๆ ที่แขวนไว้เต็มม่านฟ้า ฉวยโอกาสตอนที่เฉินผิงอันไม่สนใจ นางใช้ไม้เท้าตบพวกมันดังเพี๊ยะๆๆ ศพกลาดเกลื่อนไปทั่ว เฉินผิงอันหันหน้ามามอง นางก็รีบหยุดมือทันที แสร้งทำเป็นก้มหน้าก้มตาเดินทาง


พวกเขายังเคยเดินผ่านผืนป่ารกครึ้มที่แปลกประหลาดอย่างถึงที่สุดแห่งหนึ่ง ผืนป่าแห่งนี้มีดินที่อุดมสมบูรณ์ ทว่ากิ่งก้านต้นไม้ที่แผ่ออกมาด้านนอกกลับเต็มไปด้วยซากแห้งของพวกนกและสัตว์ป่า


เผยเฉียนตกใจรีบดึงชายแขนเสื้อของเฉินผิงอันเอาไว้ ถึงได้กล้าเดินต่อ ก่อนจะเข้าไปในป่า เฉินผิงอันหยิบยันต์ปราณหยางส่องไฟออกมาหนึ่งแผ่น โยนเข้าไปในผืนป่า พบว่ายันต์ที่เขียนบนกระดาษธรรมดาแผ่นนั้นพลันติดไฟ เพียงแต่ว่าเผาไหม้อย่างเชื่องช้า เฉินผิงอันจึงเดินตรงเข้าไปด้านใน เผยเฉียนขอร้องเฉินผิงอันว่าให้มอบยันต์หนึ่งแผ่นให้นางไว้คุ้มกันกาย เฉินผิงอันทำเป็นไม่ได้ยิน บอกนางว่าหากกลัวตัวประหลาดพวกนั้นก็ให้ท่องหนังสือเสียงดังๆ เพราะหลักการของอริยะปราชญ์สามารถขับไล่สิ่งชั่วร้ายได้


เผยเฉียนเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ยังคงกำชายแขนเสื้อของเฉินผิงอันไว้แน่น ขณะเดียวกันก็พยายามท่องเนื้อหาในตำราไปด้วย


อันที่จริงตำราลัทธิขงจื๊อเล่มนั้นบางมาก นางรู้จักตัวอักษรทั้งหมดที่อยู่บนนั้นแล้ว แล้วก็อ่านจบแล้ว ก่อนหน้านี้เผยเฉียนก็เคยขอเปลี่ยนเล่มใหม่ บอกเฉินผิงอันว่าให้นางเลิกอ่านหนังสือเล่มเดียวซ้ำไปซ้ำมาได้แล้ว น่าเบื่อยิ่งนัก แต่เฉินผิงอันกลับไม่ยอมอนุญาต เขาบอกให้นางอ่านซ้ำหลายๆ รอบ อีกทั้งยังไม่ใช่แค่อ่านเท่านั้น ยังต้องอ่านออกเสียงด้วย ยามเช้าตรู่เมื่อเขาฝึกท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลู นางก็จะต้องเริ่มอ่าน ยามสนธยา เขายังคงฝึกยืนนิ่ง นางก็ยังต้องอ่าน ถึงท้ายที่สุดนางจึงท่องทุกบทความที่อยู่ในนั้นจนขึ้นใจได้จริงๆ


รอจนคนทั้งสองเดินออกจากป่าลึกก็ยังไม่มีความเคลื่อนใดๆ


เผยเฉียนเหงื่อแตกเต็มศีรษะ เป็นเพราะท่องหนังสือจนเหนื่อย คอนางแหบแห้งไปหมดแล้ว


จนกระทั่งคนทั้งสองเดินออกไปได้สิบกว่าลี้ ต้นไม้ใหญ่หลายต้นถึงได้เริ่มส่ายสะบัดอย่างบ้าคลั่งคล้ายกำลังระบายความโกรธแค้น


จากนั้นคนทั้งสองยังผ่านหุบเขาแห่งหนึ่ง ข้างแอ่งน้ำใต้น้ำตกมีผีเสื้อหลากสีบินระบำจนคนมองตาพร่าลาย


เผยเฉียนฉวยโอกาสตอนที่เฉินผิงอันกำลังหุงข้าวฆ่าผีเสื้อไปหลายสิบตัวด้วยความเร็วดุจฟ้าร้องฉับพลันจนคนไม่ทันได้ยกมือป้องหู อีกทั้งนางยังเลือกเฉพาะตัวที่สวยที่สุด ตบเพี๊ยะหนึ่งที ผีเสื้อถูกหนีบอยู่ในหน้าหนังสือ ผลคือถูกเฉินผิงอันเขกมะเหงกใส่เน้นๆ หนึ่งที ทำเอานางเจ็บจนทรุดนั่งกุมหัวร้องโหยหวน หน้าผากบวมเป่ง ตอนกินข้าวก็ยังหน้าตาบูดบึ้ง


คนทั้งสองยังเจอคนตัดไม้ที่ตัดฟืนเสร็จแล้วลงมาจากภูเขา ยังกินข้าวของเขาไปหนึ่งมื้อ เฉินผิงอันคิดอยากจะจ่ายเงิน แต่ครอบครัวที่มีนิสัยซื่อๆ ครอบครัวนั้นกลับไม่ยอมรับไว้ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ยอมตอบรับ เฉินผิงอันจึงได้แต่ถอดใจ ก่อนจะเดินออกมาจากลานบ้านที่ถูกล้อมไว้ด้วยไม้ไผ่แห่งนั้น เขาก็หันมาบอกให้เผยเฉียนเอ่ยขอบคุณครอบครัวนั้น เผยเฉียนที่กินข้าวของคนอื่นไปไม่น้อยกลับไม่ใคร่จะเต็มใจนัก แต่พอเหลือบไปเห็นสายตาของเฉินผิงอันโดยบังเอิญจึงรีบโค้งตัวเอ่ยขอบคุณอย่างว่าง่ายทันที


คนทั้งสองเดินออกมาจากภูเขาใหญ่ที่ทอดตัวยาว แล้วก็เจอเข้ากับแม่น้ำสายใหญ่อีก นี่เป็นครั้งแรกที่เผยเฉียนได้เห็นคนลากจูงเรือที่ลากเรือลำใหญ่ขนาดนี้ ภายใต้แสงแดดแผดเผา บุรุษเหล่านั้นตะโกนร้องส่งสัญญาณอย่างพร้อมเพรียงกัน ทำเอานางที่มองดูอยู่ปากอ้าตาค้าง แล้วก็ให้ชอบใจนัก ดูเหมือนว่าคนที่น่าเวทนาใต้หล้านี้จะมีไม่น้อยเลยจริงๆ เพียงแต่ไม่นานนางก็หุบยิ้ม หากเจ้าหมอนั่นเห็นเข้า นางต้องถูกเล่นงานอีกแน่ คราวก่อนก็แค่ตนเก็บฝืนมาได้น้อยเท่านั้น เขายังอนุญาตให้ตนที่ท้องร้องด้วยความหิวโหยกินข้าวถ้วยเล็กๆ แค่ถ้วยเดียว เฮ้อ เฉินผิงอันผู้นี้ปรนนิบัติยากซะจริง นายท่านใหญ่ที่มีเงินต้องกวนโอ้ยน่าเตะแบบนี้ด้วยหรือไง รอให้นางใช้ไม้เท้าในมือแอบฝึกวิชากระบี่ล้ำโลกได้ก่อนเถอะ นางจะต้องตีให้เขาร้องหาพ่อหาแม่เลยทีเดียว ถึงเวลานั้นคอยดูสิว่าเขาจะยังกล้าถลึงตามองตนอีกไหม


อยู่กับภูเขากินจากภูเขา อยู่กับน้ำกินจากน้ำ


เดินทางอยู่ริมแม่น้ำ จู่ๆ นางก็นึกอยากตกปลา จึงบอกให้เฉินผิงอันช่วยทำคันเบ็ดตกปลาให้นางคันหนึ่ง ทว่าเขาไม่สนใจนาง เผยเฉียนจึงได้แต่หยิบมีดผ่าฟืนไปฟันต้นไผ่ที่ลำต้นหนาใหญ่ด้วยตัวเอง พอฟันต้นไผ่โค่นลงถึงตระหนักได้ว่านี่ใช่คันเบ็ดเสียที่ไหน เอามาทำไม้พายยังพอว่า จากนั้นนางที่หน้าหงอยจึงไปเลือกหาไม้ไผ่ต้นบางๆ ยังดีที่คนขี้งกทาสเฝ้าทรัพย์อย่างเฉินผิงอันผู้นี้ไม่ได้ทำเกินกว่าเหตุนัก เขายอมมอบตะขอและเส้นเอ็นตกปลาให้นาง เพียงแต่ว่าคนทั้งสองตกปลาเหมือนกัน นั่งอยู่ห่างกันไม่ไกล แต่เฉินผิงอันกลับตกปลาได้เป็นระยะ แถมยังตกได้ปลาหลีตัวใหญ่ที่ยาวเท่าแขนของนางตัวหนึ่ง ทว่านางกลับไม่มีแม้แต่กุ้งมากินเหยื่อ หรือว่าเจ้าพวกที่อยู่ในน้ำก็เลือกคนที่จะยอมเป็นอาหารให้ ใช้ตาสุนัขมองคนต่ำด้วย? นางอยากจะกระโดดลงไปในน้ำแล้วใช้คันเบ็ดฟาดให้ปลากุ้งทั้งหมดที่อยู่ในแม่น้ำตายไปซะให้หมด


ทว่าแกงปลาหม้อใหญ่คืนนั้นทำให้เผยเฉียนยิ้มหน้าบานเป็นกระด้ง ขอข้าวถ้วยที่สามจากเฉินผิงอันอย่างกล้าๆ กลัวๆ บอกว่าวันนี้ตกปลาใช้พละกำลังของนางไปสิ้นแล้ว จำต้องชดเชยด้วยข้าวถ้วยใหญ่ ส่วนแกงปลานางจะกินให้น้อยหน่อย จะไม่แย่งเขากินแล้วกัน เดิมทีนางนึกว่าอีกฝ่ายจะไม่ยอม คิดไม่ถึงว่าเจ้าหมอนั่นกลับยอมตักข้าวเพิ่มให้ มื้อนี้มีน้ำแกงปลาราดบนข้าวสวย บนโลกไม่มีอาหารใดที่หอมหวนเอร็ดอร่อยเท่านี้อีกแล้ว นางกินซะพุงกาง


ภายหลังนางก็ตกปลากับเฉินผิงอันอีกครั้งหนึ่ง ยังคงขว้างคันเบ็ดและดึงขึ้นอย่างมั่วซั่วอยู่เหมือนเดิม สรุปก็คือบนคันเบ็ดของนางยังคงไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ


กลับเป็นเจ้าหมอนั่นที่ตกได้ปลาดำตัวใหญ่มากตัวหนึ่ง ลำพังแค่แข่งงัดข้อกับปลาตัวนั้นก็ใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งเค่อ มองดูเฉินผิงอันวิ่งไปวิ่งมาอยู่บนชายฝั่ง นางก็กลอกตามองสูงทันที เจ้าเป็นทั้งวิชากระบี่และวิชาตระกูลเซียน กลับปล่อยให้ตัวเองถูกปลาโง่ๆ ตัวหนึ่งปั่นหัวแบบนี้ ไม่ลดสถานะตัวเองไปหน่อยหรือไง?


มองคันเบ็ดตกปลาของตนที่ ‘มั่นคงดุจภูผา’ บ่นเจ้าพวกที่หลบอยู่ใต้น้ำซึ่งไม่ยอมเห็นแก่หน้านางแม้แต่น้อย แล้ว เผยเฉียนก็ถอนหายใจหนักๆ รู้สึกเสียดายความสามารถที่มีอยู่เต็มตัว จนใจที่สวรรค์ไม่ทำให้คนสมใจปรารถนา นางเลยไม่มีพื้นที่ให้ใช้ความสามารถนั้นเลย


ดังนั้นนางวางแผนว่าชั่วชีวิตนี้จะไม่ตกปลาอีกแล้ว ต้องใช้ความอดทนและเรี่ยวแรงมากมายขนาดนั้น แต่กลับไม่ได้ผลเก็บเกี่ยวมา ยังจะทำมันไปทำไม?


อาหารกลางวันของวันนั้น เฉินผิงอันบอกเคล็ดลับการตกปลาบางข้อแก่นางอย่างที่หาได้ยาก


หลักการนั้นนางฟังเข้าใจ แต่เผยเฉียนก็ยังไม่เต็มใจจะเรียนตกปลากับเฉินผิงอัน ทว่าพอเขาบอกว่าตกปลาคราวหน้า เขาจะสอนนางด้วยตัวเอง นางถึงยังไม่โยนคันเบ็ดตกปลานั่นทิ้ง


นางถามหยั่งเชิงไปหนึ่งประโยค “แกงปลาอร่อยก็จริง แต่หากต้องกินทุกวันก็ออกจะเลี่ยนไปหน่อย พวกเราลองเปลี่ยนไปกินอย่างอื่นดูบ้างดีไหม?”


เฉินผิงอันตอบนางกลับมาว่า “ดีสิ ถ้าอย่างนั้นเจ้าไปหาของกินมา”


เผยเฉียนแกล้งโง่ “ข้าอายุยังน้อย มีใจแต่ไร้กำลัง”


ตกปลาวันที่สอง เฉินผิงอันไม่ได้ใช้คันเบ็ดของเขา แต่เอาของเผยเฉียนมาใช้แทน รออยู่ครึ่งวัน ไม่สนใจปลาเล็กปลาน้อยที่มาตอดเหยื่อ แต่พอปลาใหญ่หนักประมาณเจ็ดแปดจินตัวหนึ่งงับตะขอ เขาก็พลันยกคันเบ็ดขึ้น เส้นเอ็นตกปลาถูกดึงตึงเป็นวงโค้งที่งดงาม ทุกอย่างพอดิบพอดีไปหมด เผยเฉียนที่นั่งหาวอยู่ข้างๆ มาครึ่งวันเบิกตากว้างทันที เฉินผิงอันบอกให้นางรีบมารับคันเบ็ดไป ให้นางรับมือกับปลาใหญ่ตัวนี้ด้วยตัวเอง เผยเฉียนกระโดดผลุงขึ้นมา พอรับคันเบ็ดไปแล้ว ภาพเหตุการณ์ต่อมาก็ทำเอาเฉินผิงอันมองตาค้าง


สองมือของนางกำคันเบ็ดไว้แน่น อาศัยลำไม้ไผ่ที่หนาและแข็งแกร่งจนไร้เหตุผลนั่น เด็กหญิงเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน ไม่พูดไม่จาก็เริ่มกระชากมันไปด้านหลังสุดชีวิต เคล็ดลับทั้งหลายที่เฉินผิงอันถ่ายทอดให้ก่อนหน้านี้อย่างเช่น ค่อยๆ เลี้ยงปลาเอย เก็บสายปล่อยสายเอย หรืออย่ารีบให้ปลาใหญ่เห็นแสง ต้องค่อยๆ ลดทอนกำลังของปลา ต้องให้มันสำลักน้ำหลายๆ ครั้งอะไรพวกนั้น เผยเฉียนฟังไม่เข้าหูแม้แต่ประโยคเดียว คิดแต่จะใช้เรี่ยวแรงมหาศาลกระชากมันขึ้นมาบนฝั่งท่าเดียว


การตกปลาดีๆ ที่เดิมทีควรจะผ่อนคลายสบายอารมณ์ กลับถูกเผยเฉียนทำให้เหมือนการแข่งชักคะเย่ออย่างไรอย่างนั้น


ปลาตัวไม่เล็ก อีกทั้งยังอยู่ในน้ำ แถมยังเป็นปลาดำที่มีแรงมากอีกด้วย หันกลับมามองเผยเฉียนที่เรี่ยวแรงไม่มาก พอไม่ทันระวัง เด็กหญิงผอมแห้งจึงเซถลาไปหลายก้าว ทั้งคนทั้งคันเบ็ดต่างก็ถูกปลาใหญ่กระชากลงไปในน้ำ นางเคยหัวเราะเยาะว่าเฉินผิงอันพูดจาเหลวไหล ใต้หล้านี้ไหนเลยจะมีหลักการที่ปลาสำลักน้ำ คราวนี้กลายเป็นเผยเฉียนที่ต้องสำลักน้ำบ้างแล้ว นางว่ายน้ำไม่เป็น แต่พอโมโหขึ้นมา ให้ตายนางก็ไม่ยอมปล่อยมือ


สุดท้ายยังคงเป็นเฉินผิงอันที่ต้องไปหิ้วนางขึ้นมาจากน้ำ คันเบ็ดถูกปลาใหญ่กระชากจากไปแล้ว


คราวนี้เผยเฉียนไม่ได้ร้องไห้โฮอย่างเจ็บปวดเจียนจะขาดใจ เด็กหญิงที่สภาพเหมือนลูกเจี๊ยบตกน้ำยืนอยู่บนชายฝั่ง อ้าปากกว้าง ร้องไห้ไร้เสียง


ปลาไม่มีแล้ว แกงปลาของคืนนี้ก็ไม่มีแล้ว คันเบ็ดไม่มีแล้ว ต่อให้จะรู้ว่ายังมีอาหารแห้ง นางไม่มีทางหิว ยังมีข้าวให้กิน แต่ตัวนางเองก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้เสียใจขนาดนี้


เฉินผิงอันช่วยเช็ดน้ำตาและน้ำบนหน้าให้นาง แต่กลับไม่ได้เอ่ยปลอบใจนาง


เขาแค่นึกถึงตัวเองตอนเป็นเด็ก ตอนนั้นยังไม่ได้เจอกับหลิวเสี้ยนหยางที่เชี่ยวชาญการตกปลา ไม่รู้เคล็ดลับของการตกปลา ไม่รู้จักเลือกช่วงเวลา ไม่รู้จักเลือกสถานที่ เวลาไปตกปลาจึงมักจะกลับมามือเปล่า หน้าร้อนที่ร้อนระอุ อากาศช่วงบ่ายสามารถแผดเผาให้ผิวคนปวดแสบปวดร้อน ก็คงจะเป็นความรู้สึกประมาณนี้กระมัง


อาหารมื้อนั้น แน่นอนว่ามีแค่ผักดองและข้าวสวยเท่านั้น


เข้าไปเปลี่ยนชุดใหม่ในกระโจมหลังเล็ก ตอนกินข้าว เผยเฉียนก็ยังอารมณ์ไม่ดี เฉินผิงอันถามยิ้มๆ ว่า “ทำไมอยู่ดีๆ ถึงใจกล้าขึ้นมา ไม่กลัวว่าจะจมน้ำตายหรือ?”


เผยเฉียนที่นั่งอยู่ด้านข้างก้มหน้าก้มตาพุ้ยข้าว น้ำเสียงที่พูดจึงไม่ชัดเจน “ก็มีเจ้าอยู่ด้วยไม่ใช่หรือไง”


เฉินผิงอันเขกมะเหงกใส่นาง เผยเฉียนพลันเงยหน้าขึ้น พูดเสียงขุ่นเคือง “ทำไมต้องตีข้าด้วย? ข้าเสียใจจะตายอยู่แล้วนะ!”


เฉินผิงอันยิ้ม “กินข้าวของเจ้าไป”


เผยเฉียนแค่นเสียงเย็น หันหน้าไปมองแม่น้ำ คันเบ็ดที่กว่าตนจะทำได้ไม่ใช่ง่ายๆ ตอนนี้ถูกน้ำพลัดหายไปแล้ว นางรู้สึกเสียใจเล็กน้อย


เฉินผิงอันเอ่ยขึ้น “คันเบ็ดอันนั้นของข้า ยกให้เจ้า”


เผยเฉียนกังขาเล็กน้อย เห็นว่าเขาไม่เหมือนล้อเล่นจึงยิ้มกว้าง “ถ้าอย่างนั้นวันหน้าข้าจะให้เจ้ายืมไปตกปลาบ่อยๆ แล้วกัน ข้าใจกว้างนักล่ะ”


เฉินผิงอันหัวเราะอย่างฉิวๆ


นางฉลาดหัวไวถึงเพียงนี้ เหตุใดถึงไม่เอาไปใช้กับการเรียนหนังสือหรือเขียนตัวอักษรบ้างนะ


มีเพียงช่วงกลางดึกที่นางนอนหลับสนิทแล้ว เฉินผิงอันถึงได้ฉวยโอกาสตอนเฝ้ายามฝึกท่าเดินนิ่งหกก้าวและคัมภีร์เวทกระบี่ที่แท้จริงเงียบๆ


พวกเขาเดินทางผ่านเมืองเล็กแห่งหนึ่งจึงแวะซื้อเสบียงเพิ่มเติม เฉินผิงอันซื้อชุดใหม่ให้นางหนึ่งชุด เผยเฉียนชื่นชอบอย่างยิ่ง คืนนั้นนอนพักที่โรงเตี๊ยมเล็กๆ แห่งหนึ่ง เผยเฉียนไม่ได้นอนบนเตียงมานานมากแล้ว นางกลิ้งตัวไปมาบนเตียงอย่างมีความสุข แต่จู่ๆ นางก็สังเกตเห็นว่าตรงหน้าต่างมีแมวขาวตัวหนึ่งนอนขดตัวอยู่ และมันกำลังจ้องมองตน


เผยเฉียนกระโดดลงจากเตียง โวยวายเสียงดังว่า “คิดจะก่อกบฏรึ บังอาจจ้องมองข้า” คว้าไม้เท้าที่วางเอียงๆ ไว้ข้างโต๊ะได้ก็ทิ่มไปที่แมวขาว


แมวขาวเป็นอย่างที่นางพูดจริงๆ มันคิดจะก่อกบฏ ไม่เพียงแต่ไม่ตกใจหนีไป กลับกันยังกระโดดลงมาจากหน้าต่าง หลบพ้นการโจมตีจากไม้เท้าได้ครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างว่องไวปราดเปรียว บางครั้งยังส่งเสียงขู่ฟ่อใส่เผยเฉียน เผยเฉียนโมโหหนัก เอามือยันไม้เท้าไว้กับพื้น ถลึงตากว้าง “ปีศาจจากที่ใด?! จงรีบบอกชื่อแซ่มาเดี๋ยวนี้ แล้วข้าจะละเว้นชีวิตเจ้า!”


แน่นอนว่าเผยเฉียนต้องการหยอกมันเล่น


ทว่าแมวขาวตัวนั้นกลับ ‘ปรายตา’ มองนาง แล้วพูดภาษาคนกลับมาว่า “นังเด็กบ้า สมองเจ้ามีปัญหาหรือไง?”


แล้วมันก็หมุนตัวกลับ กระโดดผลุงหนึ่งครั้ง จากไปทั้งอย่างนี้


ทำเอาเผยเฉียนตกใจรีบทิ้งไม้เท้า วิ่งไปเคาะประตูห้องที่อยู่ติดกันอย่างแรง


บทที่ 331.3 ข้ามน้ำข้ามภูเขา พบเหยาจึงหยุด

ProjectZyphon

พอเฉินผิงอันเปิดประตู เผยเฉียนก็พูดเสียงสั่นว่า “เมื่อครู่นี้มีแมวตัวหนึ่ง พูดภาษาคนได้ด้วย!”


เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ข้าได้ยินแล้ว”


เห็นว่าเฉินผิงอันไม่มีท่าทางตกใจ เผยเฉียนก็พูดอย่างเหม่อลอย “ที่นี่ไม่ใช่ในภูเขาเสียหน่อย ยังมีปีศาจได้ด้วยหรือ?”


เฉินผิงอันกลับไปนั่งที่ข้างโต๊ะ พลิกเปิดตำราเทพเซียนที่ซื้อมาจากภูเขาห้อยหัวเล่มนั้นต่ออีกครั้งพลางพยักหน้ากล่าวว่า “ในหมู่ชาวบ้านร้านตลาด มีภูตผีปีศาจอยู่มากมาย ไม่ใช่เรื่องแปลก ส่วนใหญ่แล้วพวกมันจะไม่ออกมารังควานคนบนโลกมนุษย์ ตระกูลใหญ่บางตระกูลยังเลี้ยงภูตที่น่าสนใจไว้หลายชนิด ยกตัวอย่างเช่นสตรีที่มีฐานะร่ำรวยบางคนจะต้องมีเจ้าตัวน้อยหลายชนิดอยู่รวมในสินเจ้าสาว บ้างก็เป็นภูตมีปีกที่สามารถบินอยู่กลางอากาศ คอยช่วยหวีผมแต่งหน้าให้กับเจ้านายเหมือนสาวใช้”


เผยเฉียนนั่งลงฝั่งตรงข้าม ฟุบตัวลงบนโต๊ะ พูดอย่างน้อยใจ “ไม่ทำให้คนตกใจตายหรอกหรือ? เมื่อครู่นี้ข้าเกือบขวัญกระเจิงเลยนะ”


เฉินผิงอันเอ่ยยิ้มๆ “หนึ่งโลกธาตุขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยความมหัศจรรย์ รอให้เจ้าเดินทางผ่านแม่น้ำและภูเขามากกว่านี้ก็จะเคยชินไปเอง”


เผยเฉียนพูดอย่างสะท้อนใจ “เป็นอย่างนี้เองหรือ”


เฉินผิงอันชวนคุย “ผู้เฒ่าที่ต้มชาอยู่ตรงน้ำพุบนยอดเขา และยังมีหญิงสาวที่สระผมอยู่ริมลำธารที่พวกเราเห็นก่อนหน้านี้ อันที่จริงก็เป็นภูตเหมือนกัน แต่พวกเขากลับไม่มีความคิดจะทำร้ายผู้คน กลับกันยังอยากใช้ชีวิตเหมือนมนุษย์ทั่วไปบนโลก เจ้าก็พูดคุยกับพวกเขาอย่างถูกคอไม่ใช่หรือ?”


เผยเฉียนเบิกตากว้างอ้าปากค้าง


ไม่เพียงแต่ผู้เฒ่าที่ใจดีน่าใกล้ชิด พี่สาวคนสวยคนนั้นที่พอสระผมเสร็จแล้ว ยังหยิบเอาใบไม้มาเป่าเป็นเพลงให้นางฟังด้วย


เผยเฉียนยู่หน้าด้วยความอกสั่นขวัญผวา


เฉินผิงอันพูดยิ้มๆ “มีแค่พวกเขาที่ไม่ใช่คน คนอื่นๆ ที่เจอล้วนไม่ต่างจากพวกเรา”


ตลอดทางที่ผ่านมานี้ อันที่จริงยังเจอกับขุนนางท้องถิ่นที่คอยควบคุมเร่งรัดให้ชาวบ้านปูถนนสร้างสะพาน ลูกหลานคนรวย นักประพันธ์และปัญญาชนที่เดินทางท่องเที่ยวอยู่ตามภูเขาและแม่น้ำ รวมไปถึงหญิงคณิกาผู้มีชื่อเสียงที่ทำให้เผยเฉียนตาเป็นประกาย อีกฝ่ายแต่งตัวเต็มยศหรูหราราวกับห้อยเงินไว้เต็มร่าง และยังมีจอมยุทธ์ที่ท่องไปในยุทธภพด้วยหนึ่งคนหนึ่งม้า นั่งอยู่บนหลังม้าตัวสูง ถามทางจากพวกเฉินผิงอันด้วยสีหน้าเย่อหยิ่ง ทำเอาเผยเฉียนโมโหไม่น้อย


เผยเฉียนพลันถามขึ้นว่า “เจ้าตัวน้อยนั่นล่ะ?”


ที่นางพูดถึงคือคนจิ๋วดอกบัว


เฉินผิงอันพูดกลั้วหัวเราะ “มันไม่อยากพบเจ้า”


เผยเฉียนลุกขึ้นยืน กลับไปที่ห้องตัวเอง หยิบเอาหนังสือเล่มนั้นออกมาจากในห่อสัมภาระ แล้วกลับมาหาเฉินผิงอัน มาอ่านหนังสืออยู่กับเขา


ตอนนี้นางยังไม่กล้าไปอยู่ที่ห้องตัวเอง กลัวว่าแมวขาวตัวนั้นจะกลับมาแก้แค้น นางยังฝึกวิชากระบี่ไม่ได้เรื่อง คิดจะกำจัดปีศาจปราบมาร ย่อมไม่มีความมั่นใจถึงเพียงนั้น


เฉินผิงอันปิดหนังสือ หยิบม้วนภาพแผ่นนั้นออกมาเงียบๆ ตอนนี้เขาทุ่มเงินฝนธัญพืชไปเก้าเหรียญแล้ว แต่กลับยังไม่สามารถทำให้ฮ่องเต้บุกเบิกแคว้นหนันเยวี่ยนผู้นี้เดินออกมาจากภาพวาดได้ นี่ทำให้เฉินผิงอันรู้สึกจนใจเล็กน้อย


เฉินผิงอันคลี่ม้วนภาพออก ในมือถือเงินฝนธัญพืชไว้หนึ่งเหรียญ


เหรียญสุดท้าย หากยังไม่ได้ผลก็คงต้องตัดใจแล้ว


ใช้เงินฝนธัญพืชไปเติมเต็มถ้ำที่ไร้ก้น เงินของเขาเฉินผิงอันไม่ได้ร่วงลงมาจากฟ้าเสียหน่อย


ทว่าหลังจากที่เฉินผิงอัน ‘โยน’ เงินเข้าไปในภาพวาดแล้ว ก็ยังคงเป็นเหมือนรูปปั้นวัวดินที่จมลงสู่มหาสมุทร มีไอหมอกลอยขึ้นมาก็จริง แต่ก็แค่นี้เท่านั้น


เผยเฉียนวางหนังสือที่ค่อนข้างจะยับย่นและเสียหายแล้วเล่มนั้นลง ขยับมายืนอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน สำหรับเรื่องนี้ เขาไม่ได้จงใจจะปิดบัง ดังนั้นเผยเฉียนจึงเห็นภาพที่ม้วนภาพสามารถกินเงินได้มาหลายครั้งแล้ว เห็นว่าเฉินผิงอันต้องผิดหวังอีกครั้ง นางก็หัวเราะคิกคัก “หากข้าเปลี่ยนมาใช้แซ่เจิ้งจะดีกว่าเดิมไหม?”


เผยเฉียน ชดใช้เงิน เจิ้งเฉียน ได้เงิน (เจิ้งที่เป็นแซ่ ออกเสียงใกล้เคียงกับคำว่าเจิง เจิงเฉียนแปลว่าได้เงินที่มาจากการทำงาน)


เฉินผิงอันถอนหายใจ เตรียมจะเก็บม้วนภาพลงไป


แต่แล้วเขาก็หันขวับไปมองทางหน้าต่างที่เปิดอ้าเพื่อให้ลมพัดเข้ามา ตรงนั้นมีแมวขาวตัวหนึ่งยืนอยู่ มันไม่ได้มองเฉินผิงอัน แต่พูดเยาะเย้ยเผยเฉียนว่า “นังเด็กน้อย เจ้ากินขี้ไปซะเถอะ”


หลังจากนั้นมันก็พุ่งตัวไปขี้ทิ้งไว้บนโต๊ะของห้องข้างๆ


เผยเฉียนงงงัน แต่เฉินผิงอันกลับไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี แมวตัวนี้จดจำความแค้นได้ดีจริงๆ นิสัยเหมือนเผยเฉียนเปี๊ยบเลย


ทันใดนั้นเฉินผิงอันก็ต้องตกตะลึงอยู่ในใจ รีบลุกขึ้นยืนแล้วลากเผยเฉียนไปไว้ด้านหลังตัวเอง


นักพรตน้อยคนหนึ่งที่แบกน้ำเต้ายักษ์สีทองนั่งอยู่บนหน้าต่าง ยิ้มตาหยีมองมาทางเฉินผิงอัน แมวขาวกระโดดขึ้นไปบนไหล่เขาแล้วขดตัวนอน


ตอนอยู่เมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยน เฉินผิงอันเคยมองเห็นนักพรตน้อยอยู่ไกลๆ ภายหลังเมื่อได้พูดคุยกับจ้งชิวจึงพอจะรู้ตัวตนของเจ้าหมอนี่คร่าวๆ นักพรตผู้เฒ่าที่เขาเรียกว่า ‘นายท่านผู้เฒ่าของข้า’ คือคนที่รับผิดชอบการตีกลองบินทะยานของพื้นที่มงคลดอกบัว


นักพรตน้อยชำเลืองมองน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ตรงเอวของเฉินผิงอันแล้วหลุดหัวเราะพรืด “ระดับขั้นธรรมดา ไม่ถือว่าโดดเด่นที่สุด ห่างไกลกับน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลูกนี้ของข้าหนึ่งแสนแปดพันลี้”


เฉินผิงอันถามสีหน้าไร้อารมณ์ “มาหาข้ามีธุระอะไร?”


นักพรตน้อยยังคงพูดกับตัวเองต่อไป “แจกันสมบัติทวีปของพวกเจ้ามีน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ที่ดีที่สุดแค่สองลูกไม่ใช่หรือ เหตุใดถึงไม่ได้อยู่ในมือเจ้าเล่า?”


ก่อนหน้าที่เทพธิดาซูเจี้ยแห่งภูเขาตะวันเที่ยงจะตกต่ำ นางเคยครอบครองน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ม่วงทองลูกหนึ่ง


เว่ยจิ้นเซียนกระบี่พสุธาแห่งศาลลมหิมะก็มีน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่สีเงินอยู่หนึ่งลูก ภายหลังได้ตกไปอยู่ในมือของอาเหลียง แล้วอาเหลียงก็มอบให้หลี่เป่าผิงอีกที


นักพรตน้อยยันฝ่ามือสองข้างไว้บนขอบหน้าต่าง แกว่งเท้าไปมา “บนโลกมีน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่เจ็ดลูกที่มาจากเถาน้ำเต้าเส้นหนึ่งที่มรรคาจารย์เต๋าเป็นผู้ปลูกเองกับมือ ล้ำค่ามากที่สุด กระบี่บินที่ฟูมฟักออกมาได้มีจำนวนมากที่สุด เป็นรูปเป็นร่างเร็วที่สุด แข็งแกร่งทนทานมากที่สุด คมกริบไร้เทียมทานมากที่สุด สามารถหล่อเลี้ยงร่างกายและจิตวิญญาณของเจ้าของได้ดีที่สุด กระบี่บินเล็กที่สุด เรียกได้ว่าปลิดชีพคนไม่ทิ้งร่องรอยอย่างแท้จริง ส่วนลูกสุดท้ายก็อยู่บนหลังข้านี่ไง รู้ไหมว่ามันมีความลี้ลับอะไร?”


เฉินผิงอันไม่ตอบ


เผยเฉียนหลบอยู่ด้านหลังเฉินผิงอัน แม้จะสงสัยใคร่รู้ แต่ไม่กล้ายื่นหน้าออกมา


นักพรตน้อยเห็นว่าเฉินผิงอันเงียบเหมือนคนใบ้ก็รู้สึกเบื่อหน่าย เขาที่บนไหล่มีแมวขาวนอนขดตัวอยู่กระโดดลงมาจากหน้าต่างอย่างปราดเปรียว เดินมาหยุดอยู่ข้างโต๊ะ ชี้ภาพที่ม้วนอยู่พลางกล่าวว่า “นายท่านผู้เฒ่าของข้าให้ข้านำความมาบอกเจ้าว่า คนห้าคนที่ช่วยเจ้าเลือก รวมไปถึงเรื่องที่รีบร้อนไล่เจ้าออกมา ทำให้เขารู้สึกผิดเล็กน้อย จึงยอมแหกกฎให้ข้ามาบอกเรื่องบางอย่างกับเจ้า นั่นคือร่มกระดาษน้ำมันคันนั้นจงเก็บไว้ให้ดี อย่าทิ้งส่งเดช มีมันอยู่ข้างกาย เจ้าจะสามารถอำพรางลมปราณบนร่างได้ สองคือภาพแรกที่เจ้าเลือก ข้าจะเตือนเจ้าหนึ่งครั้ง แค่ครั้งเดียวเท่านั้น นั่นคือจะบอกถึงจำนวนเงินฝนธัญพืชที่ต้องใช้กับภาพนั้นแก่เจ้าโดยตรง ยกตัวอย่างเช่นภาพนี้ที่มีเว่ยเซียนอยู่ด้านใน ก็คือ…”


เขายิ้มแล้วยื่นมือออกมาสองมือ


แมวขาวที่อยู่บนไหล่ยื่นกรงเล็บออกมาหนึ่งข้าง นักพรตน้อยจึงยิ้มพูดว่า “ก็คือสิบเอ็ดเหรียญ”


กล่าวมาถึงตรงนี้ นักพรตน้อยรู้สึกเสียดายเล็กน้อย แต่ขณะเดียวกันก็มีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น เกี่ยวกับจำนวนรวมของเงินฝนธัญพืชที่ต้องใช้กับภาพวาดทั้งสี่ นักพรตเฒ่าเป็นคนกำหนด ทว่าแบ่งแยกให้แต่ละภาพต้องใช้กี่เหรียญ กลับเป็นเขาที่เป็นคนจัดการ เรื่องวงในเหล่านี้ เฉินผิงอันย่อมไม่มีทางรู้ เดิมนักพรตน้อยนึกว่าเฉินผิงอันจะต้องเลือกจูเหลี่ยนคนบ้าวรยุทธ์อย่างแน่นอน ถ้าอย่างนั้นเฉินผิงอันก็ต้องเจอกับความยากลำบากแล้ว


นึกไม่ถึงว่าเจ้าคนจิ๋วดอกบัวนั่นจะเป็นจระเข้ขวางคลอง ช่วยเฉินผิงอันเลือกเว่ยเซี่ยนโดยบังเอิญ


เฉินผิงอันถาม “ถ้าอย่างนั้นทำไมเจ้าเพิ่งมาบอกจำนวนข้าตอนนี้?”


นักพรตน้อยหัวเราะคิกคัก “มีเพียงช่วงก่อนที่เจ้าจะโยนเหรียญสุดท้ายเข้าไป ข้ามาบอกคำตอบแก่เจ้าถึงจะไม่ผิดกฎ แล้วนายท่านผู้เฒ่าของข้าก็จะไม่กล่าวโทษ”


นักพรตน้อยเห็นว่าเฉินผิงอันไม่มีสีหน้าอับอายจนพานเป็นความโกรธอะไรก็ยิ่งเบื่อหน่าย จึงโบกมือ “แค่นี้แหละ หวังว่าวันหน้าพวกเราสองคนจะไม่มีโอกาสได้พบกันอีกแล้ว เห็นหน้าเจ้าแล้วหงุดหงิดชะมัด”


เฉินผิงอันไม่ถือสาเขา ถามว่า “ช่วงนี้มีเรือข้ามฟากตระกูลเซียนที่สามารถเดินทางไปยังแจกันสมบัติทวีปบ้างหรือไม่?”


นักพรตน้อยไม่เต็มใจจะบอกเฉินผิงอันเลยสักนิด แต่พอนึกถึงนิสัยของนายท่านผู้เฒ่าของตัวเองจึงจำต้องบอกสถานที่แก่อีกฝ่าย ไม่กล้าเล่นแง่


นักพรตน้อยเห็นศีรษะเล็กๆ ที่โผล่ออกมาด้านหลังเฉินผิงอันก็แค่นเสียงเย็นราวกับไม่พอใจอย่างมาก ไม่เต็มใจจะมองนางให้นานไปมากกว่านี้ จึงถอยกรูดไปด้านหลัง พาแมวขาวที่อยู่บนไหล่หายตัวไปจากตรงหน้าต่าง


เฉินผิงอันเปิดม้วนภาพวาดออกอีกครั้ง โยนเงินฝนธัญพืชเหรียญที่สิบเอ็ดลงไป


อย่างไม่มีความลังเลใจ


ไอหมอกแผ่อบอวลปกคลุมไปทั่วทั้งห้อง


เฉินผิงอันดึงเผยเฉียนถอยไปข้างหลัง ขยับออกห่างจากโต๊ะไปประมาณห้าหกก้าว ชูอีกับสืออู่ที่อยู่ในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ก็ตั้งท่าพร้อมรับมือกับศัตรู


มีผู้ชายร่างเล็กเตี้ยสวมชุดคลุมมังกรคนหนึ่ง ‘กระโดดทะยาน’ ออกมาจากในม้วนภาพวาด เขายืนอยู่บนโต๊ะ จากนั้นก็เดินลงไปบนม้านั่ง แล้วค่อยขยับลงไปยืนบนพื้น พอเห็นเฉินผิงอัน ฮ่องเต้ผู้บุกเบิกแคว้นหนันเยวี่ยนผู้นี้ก็พูดหน้าเคร่งว่า “เว่ยเซียนคารวะนายท่าน วันหน้าหากต้องการสังหารศัตรู นายท่านโปรดสั่งมาได้เลย”


เฉินผิงอันพยักหน้ารับ


จากนั้นคนทั้งสองที่มองหน้ากันต่างก็พากันเงียบ บรรยากาศชะงักค้าง ค่อนข้างกระอักกระอ่วน


เว่ยเซี่ยนพลันกล่าวว่า “นายท่านมีกลิ่นอายแห่งความเด็ดขาดของราชาเข้มข้นนัก”


เฉินผิงอันไร้คำพูดโต้ตอบ


เผยเฉียนรู้สึกว่าได้เปิดโลกทัศน์แล้ว มารดามันเถอะ ไอ้หมอนี่หน้าไม่อายเกินไปหน่อยไหม?


เว่ยเซี่ยนกวาดตามองรอบด้านแล้วเอ่ยอย่างเชื่องช้าว่า “นายท่านมีเสื้อผ้าที่ไม่สะดุดตาสักชุดหรือไม่ ข้าอยากเปลี่ยนชุด คืนนี้จะออกไปเดินดูข้างนอก ทำความรู้จักกับแม่น้ำและภูเขาของใต้หล้าไพศาลสักหน่อย เมื่อใดที่นายท่านออกเดินทางต่อ ข้าจะปรากฏตัวเอง”


เฉินผิงอันหยิบชุดใหม่เอี่ยมชุดหนึ่งให้เขา เว่ยเซี่ยนถอดชุดคลุมมังกร เปลี่ยนมาสวมเสื้อผ้าสะอาดของเฉินผิงอัน เอามือข้างเดียวยันบนขอบหน้าต่าง กระโดดออกไปข้างนอก จากนั้นก็กระโดดขึ้นบนหัวกำแพง แล้วหายไปท่ามกลางสีของรัตติกาล


เผยเฉียนถาม “ดึกดื่นขนาดนี้ จะไปดูแม่น้ำภูเขาอะไร?”


เฉินผิงอันกล่าวอย่างจนใจ “ข้าจะรู้ได้ยังไงว่าเขาคิดอะไรอยู่”


หนึ่งคืนผ่านไปอย่างสงบสุข


เผยเฉียนกลับไปที่ห้องของตัวเอง มองเห็นขี้แมวกองนั้น นางก็บดฟันด้วยความโมโห


ออกเดินทางวันต่อมา เว่ยเซี่ยนก็มาปรากฏตัวด้านนอกโรงเตี๊ยมจริงๆ


หลังจากนั้นมาเว่ยเซี่ยนก็ไม่พูดอะไรอีก


เว่ยเซี่ยนตัวเตี้ยกว่าเฉินผิงอันเสียอีก ยากจะจินตนาการได้ว่านี่คือฮ่องเต้ผู้บุกเบิกแคว้นท่านหนึ่ง อีกทั้งยังเป็นปรมาจารย์อันดับหนึ่งแห่งใต้หล้าของยุคสมัยนั้น วิชาการต่อสู้เลิศล้ำ ถูกคนรุ่นหลังขนานนามให้ว่า ‘ตกอยู่ในวงล้อมบนสมรภูมิรบ หมื่นศัตรูก็มิอาจต่อกร’


นานวันเข้าเผยเฉียนก็เคยชินกับการดำรงอยู่ของเว่ยเซี่ยน เพราะแค่คิดว่าเขาไม่มีตัวตนก็ได้แล้ว


ปลายฤดูหนาว คนทั้งสามขยับเข้าไปใกล้เมืองเล็กริมชายแดนแห่งหนึ่ง หากขยับขึ้นเหนือไปอีกนิดก็คือราชวงศ์ต้าเฉวียนซึ่งค่อนข้างจะมีอิทธิพลในใบถงทวีปแล้ว และท่าเรือข้ามฟากตระกูลเซียนที่นักพรตน้อยพูดถึงก็อยู่ทางเหนือสุดของราชวงศ์ต้าเฉวียนแห่งนี้


เดินทางอยู่บนเขตชายแดน ก่อนจะมองเห็นเมืองเล็ก เผยเฉียนก็ขอร้องเฉินผิงอันว่า “ให้ยันต์ข้าอีกแผ่นหนึ่งเถอะ แผ่นที่ส่องแสงสีทองนั่นน่ะ ฟิ้วทีเดียวก็ขัดขวางควายยักษ์สีดำตัวนั้นไว้ได้แล้ว”


เฉินผิงอันยังคงตกอยู่ในภวังค์ความคิดของตัวเอง


เผยเฉียนไม่ยอมเลิกราง่ายๆ “ไม่ได้ขอให้เจ้ายกให้ข้าเลยเสียหน่อย ข้าแค่จะเอามาแปะไว้บนหัว จะได้เดินได้เร็วอย่างไรล่ะ ขอร้องเจ้าล่ะ พวกเรากำลังเร่งเดินทางกันอยู่ไม่ใช่หรือ เจ้าไม่อยากให้ข้าเดินเร็วๆ กลับไปถึงหลงเฉวียนต้าหลีอะไรนั่นไวๆ หรือไง?”


เสียงเพี๊ยะดังขึ้น


ยันต์มาแปะอยู่บนหน้าผากของเผยเฉียนอย่างที่นางปรารถนา


ยังคงแปะแบบเอียงๆ ไม่บดบังการมองเห็นของนาง


เผยเฉียนคลี่ยิ้มดุจดอกไม้ผลิบานทันที แล้วก็เดินเร็วเหมือนบินดังที่บอกไว้


บนหัวของตัวเองแปะบ้านหลังใหญ่ในเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนไว้หลังหนึ่งเชียวนะ จะรู้สึกเหนื่อยได้อย่างไร? แปะมันไว้เวลาเดินทางก็เหมือนตนกำลังเดินเล่นอยู่ในบ้านหลังใหญ่


เว่ยเซี่ยนที่เดินอยู่ด้านหลังคนทั้งสองมองเผยเฉียน คาดว่าอารมณ์ของเขาคงไม่ต่างจากแมวขาวตัวนั้นสักเท่าไหร่ นั่นคือรู้สึกว่านังหนูนี่สมองมีปัญหา


ตรงเอวของเฉินผิงอันห้อยกระบี่ยาวชือซินและดาบแคบหยุดหิมะ เขาปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลงมาดื่มเหล้าหนึ่งคำ


ตอนแรกเว่ยเซี่ยนที่อยู่ด้านหลังก้าวเดินด้วยฝีเท้าที่ค่อนข้างหนักแน่น ทว่าตอนนี้กลับผ่อนคลายเป็นตัวของตัวเอง เผยเฉียนมองเบาะแสอะไรไม่ออก แต่เฉินผิงอันกลับกระจ่างชัดอยู่ในใจ


เมื่อคนทั้งสามเดินขึ้นไปบนเนินเขาแห่งหนึ่งก็พบว่าห่างไปไม่ไกลมีฝุ่นกลุ่มใหญ่คลุ้งตลบ ทหารม้าร้อยกว่านายทั้งรบทั้งถอยไปในคราวเดียวกัน บนพื้นมีศพอยู่หลายสิบศพแล้ว ดูเหมือนว่าทหารม้าเหล่านั้นจะสู้สุดชีวิตเพื่อปกป้องผู้เฒ่าคนหนึ่ง


สายตาของเฉินผิงอันจับจ้องไปยังผู้ฝึกลมปราณสองคนที่ไล่ฆ่าเหล่าทหารม้า ซึ่งมีคนหนึ่งเป็นผู้ฝึกกระบี่


ส่วนเว่ยเซี่ยนกลับให้ความสนใจกับทหารกองนั้น ในสายตาของเขามีแววชื่นชม พูดพึมพำกับตัวเองว่า “ทหารร้อยศึก ลงจากหลังม้าคือทหารกล้าผู้ชาญศึก ขึ้นขี่หลังม้าคือกองทัพม้าเหล็ก นี่น่าจะเป็นกองทัพชายแดนของตระกูลเหยาแห่งราชวงศ์ต้าเฉวียนแล้ว”


ตอนนี้เผยเฉียนไม่กลัวบุรุษร่างเล็กเตี้ยผู้นี้แล้ว นางกล่าวอย่างไม่เข้าใจว่า “เจ้ารู้เรื่องพวกนี้ได้ยังไง ปกติเวลาเจ้าเตร็ดเตร่ไปทั่วก็เพราะไปสืบข่าวเรื่องพวกนี้มาหรือ?”


เว่ยเซี่ยนแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน สายตาของเขาฉายประกายเร่าร้อน


แคว้นหนันเยวี่ยนเคยมีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วหล้าจากกองทัพม้าเหล็ก พวกเขาโจมตีให้กองทัพม้าของทุ่งราบถอยกลับออกไปนอกด่าน อีกนิดเดียวก็เกือบจะทำให้พวกเขายอมส่งบรรณาการเรียกตนเป็นข้ารับใช้แคว้นหนันเยวี่ยน


ทั้งหมดนี้คือคุณความชอบของเว่ยเซี่ยนคนเดียว


เฉินผิงอันพลันหันกลับมา ถามเสียงทุ้มหนัก “กองทัพชายแดนตระกูลเหยา? แน่ใจรึ?”


เว่ยเซี่ยนสีหน้าเคร่งขรึม ไม่คิดจะพูดให้เปลืองน้ำลายของตัวเอง


เนินเขาพลันสั่นสะเทือน เฉินผิงอันทะยานร่างขึ้นสูง พลิ้วกายลงมาจากฟากฟ้า ขัดขวางอยู่ระหว่างสองฝ่ายอย่างกองทัพม้าที่กำลังหลบหนีและผู้ฝึกลมปราณสองคนพอดี


เขาเคยรับปากอาจารย์ฉี หรือควรจะพูดอีกอย่างว่าเคยรับปากใบไหวเพียงใบเดียวที่เต็มใจร่วงหล่นลงมาบนมือของเขา


ดังนั้นวันนี้เขาจึงหยุดเมื่อพบเหยา


บทที่ 332.1 ใบไหวเหยา

ProjectZyphon

ทั้งสองฝ่ายคุมเชิงกัน เพียงแต่ว่าฝ่ายของม้าเหล็กตระกูลเหยาเปลี่ยนมาเป็นเฉินผิงอันที่ร่วงลงมาจากฟากฟ้า


ผู้ฝึกกระบี่พูดเบาๆ สองคำว่าไม่ต้องรีบร้อน ‘ข้ารับใช้’ ผู้นั้นจึงข่มกลั้นอารมณ์เอาไว้ ใช้ปลายเท้าปาดลงไปบนพื้นดินด้วยความเบื่อหน่าย


ผู้ฝึกกระบี่วัยกลางคนสวมชุดผ้าป่านสีขาว การเข่นฆ่าที่ศักยภาพของสองฝ่ายแตกต่างกันมากทำให้บนร่างของเขาไม่มีคราบเลือดเลยแม้แต่จุดเดียว


บุรุษหน้าตาหล่อเหลา เพียงแต่ว่าดวงตาแคบยาว ริมฝีปากบางเฉียบ เป็นเหตุให้ลักษณะของเขาดูเหมือนคนโหดเหี้ยม เขาไม่ได้พกกระบี่ กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของเขามีระดับความยาวเท่ากับกระบี่พกของมือกระบี่ เวลาที่ออกจากช่องโพรงในร่างมาสังหารศัตรูก็เหมือนมังกรเพลิงนอนขดตัว เพียงแค่ดาบและทวนของกองทัพม้าเหล็กตระกูลเหยาสัมผัสโดนก็ไม่อาจต้านทานได้เลยแม้แต่น้อย ราวกับมีดหั่นเต้าหู้อย่างไรอย่างนั้น


ข้ารับใช้ที่อยู่ข้างกายของเขาคือผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวร่างกำยำคนหนึ่ง เขาสวมเสื้อเกราะเทพรับน้ำค้าง หรือก็คือเสื้อเกราะน้ำค้างหวานที่คนบนภูเขาเรียกกัน


เม็ดเสื้อเกราะของสำนักการทหารนี้ไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่สำหรับเฉินผิงอัน เขาเคยเก็บมาจากร่างของราชครูแคว้นกู่อวี๋หนึ่งเม็ด ตอนอยู่ภูเขาห้อยหัวก็ได้ซื้อเสื้อเกราะน้ำค้างหวานที่ผุพังแต่ระดับขั้นสูงมากมาชิ้นหนึ่ง ภายหลังได้ลู่ไถช่วยซ่อมแซมให้จนเหมือนใหม่ แต่ไม่เคยมีโอกาสได้สวมใส่ เพราะถึงอย่างไรชุดคลุมอาคมจินหลี่บนร่างของเฉินผิงอันก็หาได้ยากยิ่งกว่า


คนทั้งสองร่วมมือกันอย่างคุ้นเคย ผู้ฝึกกระบี่บังคับกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตให้สังหารศัตรู ผู้ฝึกยุทธ์ปกป้องอยู่ข้างกายผู้ฝึกกระบี่ คอยป้องกันพวกปลาที่หลุดลอดจากแหของกองม้าเหล็กตระกูลเหยาไม่ให้เข้ามาต่อสู้ประชิดตัวผู้ฝึกกระบี่ รวมไปถึงช่วยผู้ฝึกกระบี่ป้องกันลูกธนูจากมือธนูที่มาจากเหล่าทหาร หลายครั้งที่องศาการยิงของลูกธนูเหล่านี้เล็งเข้าจุดสำคัญ ผู้ฝึกยุทธ์คนนี้ก็จะใช้ร่างกายบดบังวิถีโคจรของลูกธนูโดยตรง สุดท้ายลูกธนูก็แค่ทำให้เกิดประกายไฟเล็กๆ บนพื้นผิวของเสื้อเกราะน้ำค้างหวานสีขาวหิมะ การเผาผลาญปราณวิญญาณที่เก็บสะสมไว้ในเสื้อเกราะตัวนี้ เกรงว่าคงไม่ถึงหนึ่งเหรียญเงินเกล็ดหิมะเลยด้วยซ้ำ ทว่าฝ่ายตรงข้ามกลับต้องจ่ายค่าตอบแทนด้วยชีวิตของคนเป็นๆ


ผู้ฝึกตนอิสระในป่าเขาชื่นชอบการเสี่ยงอันตรายเพื่อแสวงหาความร่ำรวยมากที่สุด หากพบเจอโชควาสนาก็กล้าจะเดินเข้าหาความเสี่ยง พื้นที่ลับเล็กใหญ่อย่างกระท่อมของเจินเหรินบรรพกาล จวนตระกูลเซียน พื้นที่สวรรค์ถ้ำมงคลที่แตกแล้วร่วงลงมาซึ่งถูกค้นพบ ถูกขุดค้นเหล่านั้น พอปรากฏสู่สายตาชาวโลกก็จะต้องมีผู้ฝึกตนอิสระกรูกันเข้าไปหา เพื่อช่วงชิงวัตถุวิเศษหรือสมบัติอาคมมาให้ได้สักชิ้น ตีกันจนสองฝ่ายสมองเละแตกกระจาย เพื่ออะไร? ก็ไม่ใช่เพื่อความรู้สึกสาแก่ใจที่สามารถบดขยี้คนอื่น หากไม่อาศัยศาสตราวุธคมกริบสังหารผู้คน ก็อาศัยสมบัติอาคมป้องกันกาย ฟันแทงไม่เข้า คาถาอาคมมิอาจรุกราน มองดูศัตรูสิ้นหวังหรอกหรือ


ผู้ฝึกกระบี่ก้าวเดินอยู่ในสนามรบอย่างผ่อนคลาย กระบี่บินหนึ่งเล่มลากตวัดแสงกระบี่เจิดจ้าเป็นเส้นๆ ไว้ในรัศมีหนึ่งร้อยจั้ง


ผู้ฝึกยุทธ์คอยตามติดดุจเงา ป้องกันรอบด้านของผู้ฝึกกระบี่วัยกลางคนไว้อย่างแน่นหนา


ผู้ฝึกกระบี่วัยกลางคนเป็นเหมือนกระบี่ของเขาที่ปราดเปรียวว่องไว ไม่เคยกระทำการใดๆ ที่เกินความจำเป็นเลยแม้แต่น้อย


ทว่าผู้ฝึกยุทธ์ร่างกำยำผู้นั้นกลับไม่เหมือนกัน นิสัยของเขาดุร้าย แต่กลับไม่สามารถไล่ตามไปเข่นฆ่ากองทัพม้าเหล็กได้อย่างสาแก่ใจ ดังนั้นทุกครั้งที่ผู้ฝึกกระบี่สามารถทำร้ายทหารกล้าตระกูลเหยาให้บาดเจ็บสาหัส พลัดตกลงมาจากหลังม้า ไม่ว่าจะตายคาที่หรือไม่ ขอแค่อยู่บนเส้นทางเดียวกับที่คนทั้งสองผ่านไป ก็จะต้องถูกเขาเหยียบกะโหลกจนแตก หรือไม่ก็กระทืบหน้าอกของทหารม้าให้ยุบยวบ ทั้งเสื้อเกราะที่ปริแตกและเนื้อหนังยุบรวมเข้าด้วยกัน สภาพนั้นน่าสังเวชจนแทบทนมองไม่ได้


บนฟ้ามีคนร่วงลงมา?


ผู้ฝึกกระบี่วัยกลางคนมองคนที่มาขวางทางแล้วหยุดเดิน เอ่ยถามยิ้มๆ ด้วยภาษากลางของทวีปหนึ่ง “เจ้าคือข้ารับใช้ใหม่ของสกุลหลิวต้าเฉวียนอย่างนั้นรึ?”


ในใบถงทวีปมีภูเขาและแม่น้ำมากมายขวางกั้นสถานที่ต่างๆ ตามบันทึกในหนังสือเทพเซียน เมื่อเทียบกับแจกันสมบัติทวีปแล้วก็ยิ่งสิบลี้ต่างสำเนียง ร้อยลี้ต่างประเพณี ดังนั้นบุคคลในระดับสูงของแต่ละประเทศจึงมักจะเชี่ยวชาญภาษากลางของใบถงทวีป โดยเฉพาะพวกขุนนางในกรมพิธีการ


บุรุษร่างกำยำผู้นั้นกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “อาจารย์จะมัวเสียเวลาพูดกับเขาทำไม ฆ่าเขาซะก็สิ้นเรื่อง ก็แค่ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตต่ำกว่าขั้นเจ็ด ฆ่าผู้มีพรสวรรค์ในการฝึกตนที่หนุ่มขนาดนี้สิถึงจะสาแก่ใจ”


ผู้ฝึกกระบี่เอ่ยยิ้มๆ “มีปลาตัวใหญ่เพิ่มมาอีกหนึ่งตัว ก็ไม่ได้ตรงกับความต้องการของข้าพอดีหรอกหรือ?”


แม้ว่าผู้ฝึกกระบี่จะหยุดเดินเพื่อพูดคุยกับเฉินผิงอัน แต่กระบี่บินเล่มนั้นของผู้ฝึกกระบี่กลับลอยอยู่ด้านหน้าสุดของทิศทางที่พวกทหารม้าเหล็กตระกูลเหยาหนีไป


การไล่ฆ่าครั้งนี้ นอกจากก่อนหน้านั้นที่สองคนร่วมมือกันลอบโจมตี จนกระทั่งสังหารผู้ฝึกตนที่ติดตามกองทัพม้าเหล็กของตระกูลเหยาไปได้อย่างสุ่มเสี่ยงแล้ว หลังจากนั้นผู้ฝึกกระบี่ก็คอยควบคุมกระบี่บินอยู่ตลอดเวลา เขาเลือกสังหารกองทหารม้าเหล็กตระกูลเหยาที่อยู่รอบนอกสุดก่อน ฆ่าคนที่หลุดพ้นจากวงล้อมมาให้ได้ก่อน นี่ก็คือกฎในการเล่นเกมของเขา


เสื้อเกราะที่ผู้เฒ่าสวมอยู่ไม่ได้ต่างจากของทหารม้าที่อยู่รอบกาย นี่น่าจะเป็นเกราะเบาที่ทหารชายแดนของราชวงศ์ต้าเฉวียนสวมใส่ เขาเอามือกุมท้อง ระหว่างร่องนิ้วมีแต่เลือดสด แม้ว่าสภาพจะอเนจอนาถ แต่ผู้เฒ่ากลับมีสีหน้าเป็นปกติ ไม่มีความห่อเหี่ยวหรือขลาดกลัว ต่อให้ทหารกล้าใต้บังคับบัญชาที่ปกป้องเขาจะบาดเจ็บล้มตายกันไปมาก เหล่าผู้กล้าไม่ได้หวนกลับคืนบ้านเกิดอย่างงดงาม ถึงขั้นไม่ได้ตายในสนามรบชายแดนอย่างยิ่งใหญ่เกรียงไกร แต่ต้องมาตายอยู่ท่ามกลางการแก่งแย่งชิงดีที่สกปรกของราชสำนัก


จุดลึกในดวงตาของผู้เฒ่ามีความละอายใจและเสียใจ แต่เขากลับไม่ได้แสดงออกมาทางสีหน้าแม้แต่น้อย


ใช้ชีวิตอยู่บนหลังม้ามาหลายสิบปี เห็นความเป็นความตายมาจนเคยชิน บวกกับที่คนใจอ่อนมิอาจควบคุมกองทัพได้ แม่ทัพผู้เฒ่าที่มีอำนาจอยู่ทางชายแดนทิศใต้ผู้นี้จึงมีนิสัยสุขุมลุ่มลึกผิดจากคนปกติทั่วไป


ทหารม้าเหล็กตระกูลเหยาที่เหลืออยู่ร้อยกว่าคนให้การปกป้องผู้เฒ่าอย่างเต็มกำลัง ไม่มีใครเกิดความหวาดกลัวเพียงแค่เพราะเจอกับนักฆ่าที่ฝีมือแข็งแกร่ง


ตระกูลเหยาปกครองทหารด้วยกฎระเบียบที่เข้มงวด


ยกตัวอย่างเช่นลูกหลานสกุลเหยาที่ไม่ว่าจะเป็นบุตรภรรยาเอกหรือบุตรอนุภรรยา ตอนเป็นเด็กก็เชี่ยวชาญการขี่ม้าและยิงธนูแล้ว หลังอายุสิบห้าต่างก็ต้องเข้าร่วมกองทัพ ต้องเริ่มจากเป็นทหารสอดแนมที่ระดับขั้นต่ำที่สุด บุรุษตระกูลเหยาที่ตายไปในสนามรบของชายแดนมีมากมายจนนับไม่ถ้วน


เป็นเหตุให้คำกล่าวขานถึงหญิงหม้ายสกุลเหยาโด่งดังไปหลายแคว้น


เฉินผิงอันไม่ได้หันหน้าไปมองกองทัพม้ากองนั้น แต่ถามแม่ทัพผู้เฒ่าด้วยคำถามที่ประหลาดมาก “ท่านแม่ทัพแซ่เหยา? บรรพบุรุษของท่านมีความเกี่ยวข้องกับสกุลเหยาของราชวงศ์ต้าหลีที่อยู่ทางเหนือของแจกันสมบัติทวีปหรือไม่?”


ผู้เฒ่าขมวดคิ้ว “ราชวงศ์ต้าหลี? ไม่เคยได้ยินมาก่อน”


แม่ทัพผู้เฒ่าลังเลอยู่เล็กน้อยก็กล่าวว่า “แต่บรรพบุรุษผู้ก่อตั้งสกุลเหยาในต้าเฉวียนมาจากแจกันสมบัติทวีปจริงๆ ทว่ามาจากจุดใดในแจกันสมบัติทวีปกันแน่ บรรพบุรุษกลับเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ ตอนนั้นที่สั่งให้คนเขียนบันทึกลำดับวงศ์ตระกูลก็บอกแค่ว่ามีชาติกำเนิดจากเตาเผามังกร รวมไปถึงเขียนขนบธรรมเนียมบางอย่างของบ้านเกิดไว้เท่านั้น อีกอย่างยังบอกอย่างชัดเจนว่าไม่อนุญาตให้ลูกหลานรุ่นหลังไปค้นหาต้นตระกูลที่แจกันสมบัติทวีป”


เฉินผิงอันถามอีก “บรรพบุรุษของท่านแม่ทัพเคยพูดถึงชื่อของตรอกอะไร หรือ…ต้นหลิ่วใหญ่ที่มีใบหนาครึ้มบ้างหรือไม่?”


แม้ผู้เฒ่าอยากจะตอบว่าเคย เพราะบางทีหากมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับคนประหลาดผู้นี้ ไม่แน่ว่าอาจจะมีโอกาสเอาชีวิตรอด แต่นิสัยเปิดเผยตรงไปตรงมาของเขากลับไม่อนุญาตให้เขาทำเช่นนั้น อีกทั้งนี่ยังเกี่ยวพันไปถึงภูมิลำเนาเดิมของบรรพบุรุษ เขาที่เป็นลูกหลานรุ่นหลังจะพูดถึงส่งเดชได้อย่างไร จึงกล่าวเสียงหนักว่า “ไม่ได้พูดถึงตรอกอะไร แล้วก็ไม่ได้พูดถึงต้นหลิ่วอะไรด้วย พูดแค่ว่ากลิ่นหอมของดอกไหวที่บ้านเกิดไม่เลวเลย บ้านบรรพบุรุษสกุลเหยาของข้าในต้าเฉวียนจึงมีต้นไหวเก่าแก่อยู่ต้นหนึ่งที่อายุเป็นพันปีแล้ว”


เฉินผิงอันถึงได้หันหน้ากลับมาส่งยิ้มพลางพยักหน้าให้ผู้เฒ่า “เข้าใจแล้ว”


ผู้เฒ่ายิ่งสงสัยมากกว่าเดิม เจ้าเด็กคนนี้หมายความว่ายังไงกันแน่?


ดูเหมือนผู้ฝึกกระบี่เองก็กำลังรอข้อมูลอะไรบางอย่าง หางตาของเขาจึงหลุกหลิกอยู่ไม่นิ่งตลอดเวลา และดูเหมือนว่าจะได้คำตอบที่ต้องการแล้ว จึงพูดสัพยอกว่า “พวกเจ้าสองคนพูดคุยถามไถ่กันจบแล้วหรือยัง? คุยจบแล้วพวกเราจะได้ทำเรื่องเป็นการเป็นงานกันสักที”


มือทั้งสองข้างของเฉินผิงอันกดลงบนด้ามกระบี่ชือซินและด้ามดาบหยุดหิมะ เอ่ยถามว่า “มีคนจ่ายเงินจ้างคนดุร้ายมาฆ่าคน? ส่วนพวกเจ้าก็คือคนที่รับเงินแล้วช่วยดับทุกข์ให้คนอื่นสินะ?”


ผู้ฝึกกระบี่วัยกลางคนพูดด้วยสีหน้าจนใจ “เจ้านี่พูดมากจริงๆ”


เฉินผิงอันยิ้ม “ไม่ได้เป็นบ่อยหรอก เพิ่งจะมาเป็นกับพวกเจ้านี่แหละ”


 ท่ามกลางกองทัพม้าเหล็กตระกูลเหยามีนายทหารเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่หน้าตาคล้ายแม่ทัพผู้เฒ่าอยู่หลายส่วน เขามองผู้ฝึกกระบี่ที่นิสัยโหดเหี้ยมดุร้าย ฆ่าคนเหมือนเกี่ยวต้นข้าว แล้วก็หันไปมองคนหนุ่มชุดขาว สองชายแขนเสื้อมีลมเย็นคนนั้น เด็กหนุ่มที่อยู่ในกองทัพชายแดนก็รู้สึกเหมือนสมองจะไม่ค่อยแล่นนัก


นายกองหนุ่มคนหนึ่งที่อายุห่างจากแม่ทัพผู้เฒ่าสองรุ่น ในที่สุดก็มีโอกาสได้หายใจหายคอ ได้พูดคุยกับผู้บัญชาการณ์สองสามคำ ก่อนหน้านี้ได้แต่หลบหนีอย่างเดียว ทั้งต้องทนมองสหายร่วมรบคนแล้วคนเล่าตายไปภายใต้คมกระบี่บิน สภาพพวกเขาแต่ละคนอเนจอนาถอย่างยิ่ง บนใบหน้าของนายกองหนุ่มที่อายุเพียงยี่สิบปีผู้นี้ถูกกระบี่บินของผู้ฝึกกระบี่กรีดเป็นร่องเลือด เนื้อหนังปริแตก น่าสังเวชนัก ทว่าคนหนุ่มกลับไม่แยแสเลยแม้แต่น้อย เพียงแค่ถามเบาๆ ว่า “ท่านแม่ทัพ ดูจากวิชาอภินิหารกระบี่บินที่ผู้ฝึกกระบี่ชั่วช้าคนนั้นร่ายออกมา คงไม่มีทางปล่อยให้พวกเราปล่อยสัญญาณให้กับนายท่านสามและท่านหญิงเก้าแน่”


ผู้เฒ่าจ้องมองแผ่นหลังของจอมยุทธ์พเนจรคนนั้นอยู่ตลอดเวลา ได้ยินคำถามจากคนสนิทข้างกายก็หัวเราะเสียงหยันว่า “พวกเราเป็นทั้งหนึ่งในเป้าหมาย แล้วก็ยิ่งเป็นทั้งเหยื่อล่อ”


เห็นได้ชัดว่านายกองหนุ่มเป็นญาติสายตรงของกองทัพม้าเหล็กตระกูลเหยา จึงรู้เรื่องวงในหลายอย่างของทางกองทัพและทางราชสำนัก เขาถามอย่างระมัดระวังว่า “ถ้าอย่างนั้นก่อนหน้านี้ที่ราชสำนักแอบโยกย้ายผู้ฝึกตนในกองทัพของพวกเราไปเกินครึ่ง ก็เพื่อให้เข้าร่วมการต่อสู้ระหว่างเจ้าเมืองจินหวงและเทพวารีแห่งทะเลสาบซงเจิน?”


แม่ทัพผู้เฒ่าพูดปลงอนิจจังเสียงเบา “นี่ก็ถือเป็นแผนการอย่างโจ่งแจ้งของคนที่อยู่เบื้องหลัง ทั้งสามารถเผาผลาญพลังต้นกำเนิดในแคว้นศัตรูทางทิศใต้ ยังสามารถวางแผนลอบโจมตีพวกเราในครั้งนี้ได้ด้วย ย่อมไม่ใช่สิ่งที่สกุลหม่าฝานลู่จะทำได้…”


เฉินผิงอันหันกลับมาถาม “ขอถามท่านแม่ทัพผู้เฒ่าสกุลเหยา เหตุใดถึงถูกสองคนนี้ไล่ฆ่า?”


ผู้เฒ่าเอ่ยยิ้มๆ “คงเป็นเพราะความแค้นบนสนามรบกระมัง”


แผนการชั่วร้ายในครั้งนี้เกี่ยวพันไปถึงเรื่องน่าอายซึ่งเป็นความลับของราชวงศ์ต้าเฉวียน ผู้เฒ่าย่อมไม่เต็มใจจะพูดมาก


แต่ไหนแต่ไรมากองทัพชายแดนของตระกูลเหยาก็จงรักภักดีต่อฮ่องเต้สกุลหลิวมาทุกยุคทุกสมัย อยู่ห่างไกลจากการแก่งแย่งชิงดีในราชสำนัก ใครเป็นฮ่องเต้ก็เชื่อฟังคำสั่งคนนั้น ไม่เข้าร่วมกับมรสุมครั้งใดๆ


แต่สิบปีล่าสุดที่ผ่านมานี้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันอย่างหนึ่งที่ทำให้ผู้คนจนใจ


ตามกฎของตระกูล หญิงสาวสกุลเหยาจะไม่แต่งให้กับตระกูลใหญ่นอกพื้นที่ แต่จะแต่งงานเชื่อมความสัมพันธ์กับคนในท้องที่เท่านั้น


ทว่าปีนั้นบุตรสาวคนเล็กของผู้เฒ่าได้ตกหลุมรักกับคนหนุ่มคนหนึ่งที่เดินทางมายังชายแดน ฝ่ายชายเองไม่ว่าจะเป็นด้านนิสัยหรือด้านความรู้ความสามารถก็ล้วนมีครบถ้วน คนทั้งสองยังเคยต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ ร่วมเป็นร่วมตายกันมาก่อน เดิมทีนี่ควรเป็นเรื่องดีที่คู่รักได้แต่งงานกัน กลายเป็นคู่รักเทพเซียนที่ผู้คนอิจฉา เพียงแต่ตอนนั้นผู้เฒ่ายึดมั่นในกฎของตระกูล จึงไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ บุตรสาวของเขาก็ไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นสตรีสกุลเหยา นางยอมเก็บความรักครั้งนี้ไว้ในใจเงียบๆ เขียนจดหมายสะบั้นความสัมพันธ์ให้แก่คนผู้นั้น นึกไม่ถึงว่าบุรุษผู้เป็นลูกหลานตระกูลอันดับต้นๆ ของราชวงศ์ต้าเฉวียนจะเดินทางมาที่ชายแดนอีกครั้ง ในวันที่หิมะตกหนัก บุตรชายคนโตของขุนนางกรมขุนนางที่ยิ่งใหญ่กลับมานั่งคุกเข่าอยู่นอกศาลบรรพชนสกุลเหยาหนึ่งวันหนึ่งคืน คนทั้งบนและล่างตระกูลเหยาไม่มีใครไม่หวั่นไหว สุดท้ายเป็นเพราะไม่สามารถแยกคู่ยวนยางคู่นี้ออกจากกันได้จริงๆ ผู้เฒ่าจึงรับปากเรื่องงานแต่งงานของบุตรสาว แต่คนรุ่นของผู้เฒ่ากลับไม่มีใครไปร่วมงานแต่งงานที่เมืองหลวง และหลังจากนั้นบุตรสาวของเขาก็ได้กลับมาบ้านเดิมแค่ครั้งเดียว


กับทางครอบครัวของลูกเขยที่มีอำนาจยิ่งใหญ่ ควบคุมเรื่องการเลื่อนขั้นของขุนนางในใต้หล้าเอาไว้ในมือ ผู้เฒ่าก็ยิ่งไม่เคยเขียนจดหมายติดต่อกัน


แต่ต่อให้ ‘แล้งน้ำใจ’ ขนาดนี้ก็ยังคงปฏิเสธความจริงเรื่องที่บุตรสาวแซ่เหยาไม่ได้


การแหกกฎแค่ครั้งเดียว สิบปีให้หลังกลับนำมาซึ่งหายนะล้มล้างตระกูล


บทที่ 332.2 ใบไหวเหยา

ProjectZyphon

แรกเริ่มก็เป็นเจ้ากรมญาติบ้านดองของแม่ทัพผู้เฒ่า ที่ถูกสกุลหม่าฝานลู่ซึ่งเป็นศัตรูคู่อาฆาตในราชสำนักแอบบงการให้ขุนนางทัดทานถวายคำร้องเรียนอย่างกำเริบเสิบสาน เจ้ากรมแห่งกรมขุนนางถูกฮ่องเต้ที่กริ้วหนักตำหนิตักเตือนอย่างรุนแรงไปรอบหนึ่ง ทำเอาเขาตกใจกลัวมาก พอกลับถึงบ้านก็รีบจับพู่กันเขียนฎีกาหนึ่งฉบับ ถ้อยคำที่ใช้น่าสงสารอย่างยิ่ง ‘ร่างกายอ่อนแอ แก่ชราเต็มที สู้พวกเด็กๆ ไม่ได้ ฟันเหลืออยู่แค่สองสามซี่ อยู่ห่างไกลกับคำว่า ‘สดใหม่’ มานานมากแล้ว’ หลักๆ แล้วก็คือต้องการลาออกกลับบ้านเกิด


ฮ่องเต้ไม่อนุญาต แต่ชื่อเสียงของเจ้ากรมผู้เฒ่าในที่ว่าการกรมขุนนางกลับดิ่งลงเหว


เพียงแต่ว่าคราวนี้นอกจากการแข่งขันในราชสำนักที่หยั่งรากลงลึกแล้ว จุดที่เป็นปัญหาอย่างแท้จริงยังเกี่ยวพันไปถึงตำแหน่งรัชทายาท อีกทั้งในเมืองหลวงยังมีคนต่างถิ่นที่ไม่ตามกฎเกณฑ์เพิ่มขึ้นเยอะมาก พวกเขาต้องการตำแหน่งสูงในราชสำนักเพื่อคอยผลักดันคลื่นลม ที่น่าสนใจก็คือ องค์ชายทั้งสามท่านต่างก็โดดเด่นอย่างมาก ต่างคนต่างมีความเชี่ยวชาญเป็นของตัวเอง ไม่ว่าจะเอาไปวางไว้ในรัชสมัยใดๆ ของต้าเฉวียนก็ล้วนเป็นตัวเลือกที่เหมาะกับการเป็นรัชทายาทอย่างไม่ต้องสงสัย


การเปลี่ยนแปลงขึ้นๆ ลงๆ ของขุนนางในเมืองหลวง แม่ทัพชายแดนถูกโยกย้ายไปเหนือใต้ออกตก ทำให้คนมองตาลาย


แม้แต่กองทัพม้าเหล็กตระกูลเหยาที่อยู่ไกลถึงชายแดนใต้ก็ยังไม่สามารถเอาตัวออกมาอยู่นอกสถานการณ์ได้ ความอันตรายที่ซ่อนอยู่ในคลื่นใต้น้ำตลอดระยะเวลาหลายปีมานี้ของราชวงศ์ต้าเฉวียน แค่คิดก็พอจะรู้ได้


การเข่นฆ่าสังหารของผู้ฝึกกระบี่เกิดขึ้นแค่ในชั่วพริบตาเท่านั้น


กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตที่หยุดนิ่งอยู่นอกวงล้อมหน้ากองทัพม้าเหล็กตระกูลเหยาพุ่งผ่านใจกลางของกองทัพม้า ยังดีที่เพื่อแสวงหาความเร็วขั้นสูงสุด ผู้ฝึกกระบี่วัยกลางคนจึงเลือกเส้นทางที่เร็วที่สุดซึ่งไม่มีอุปสรรคกีดขวาง หาไม่แล้วกระบี่เล่มเดียวนี้คงตัดหัวคนไปหลายคนแล้ว


เฉินผิงอันผลักกระบี่ออกจากฝัก นิ้วสองข้างประกบกันเป็นท่ามุทรากระบี่ บังคับกระบี่อาคมชือซินที่โต้วจื่อจือต้องทุ่มทรัพย์สินจนหมดตัวกว่าจะซื้อมาได้ให้ต้านทานกระบี่บินของผู้ฝึกกระบี่ที่พุ่งมาถึงจากด้านหลังอย่างรวดเร็ว


ใจของผู้ฝึกกระบี่ร่วงดิ่งทันที แขกไม่ได้รับเชิญที่อายุน้อยคนนี้ไม่เพียงแต่เป็นอาจารย์กระบี่คนหนึ่ง กระบี่ที่เขาพกเล่มนั้นกลับยังสามารถต้านทาน ‘แสงเทียน’ กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของตนได้ด้วย? หรือว่านั่นคือสมบัติอาคมที่อำพรางตัวได้อย่างลึกล้ำชิ้นหนึ่ง? หาไม่แล้วด้วยความคมของแสงเทียน ศาสตราวุธคมกริบที่เรียกขานกันในยุทธภพก็แทบไม่มีชิ้นไหนต้านทานการโจมตีจากกระบี่บินแสงเทียนได้เลย ทว่ากระบี่เล่มนั้นกลับไม่มีความเสียหายแม้สักเสี้ยว


ข้ารับใช้ร่างกำยำกล่าวอย่างมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น “อาจารย์ ยังไม่รีบร้อนอีกไหม?”


ผู้ฝึกกระบี่วัยกลางคนไม่ได้โกรธเคือง เพียงยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ลองหยั่งเชิงความตื้นลึกของคนผู้นี้ ถือซะว่าเล่นเป็นเพื่อนเขาสักครู่ ข้าย่อมมีปัญญารักษาตัวรอดอยู่แล้ว”


“แบบนั้นย่อมดีที่สุด!”


ผู้ฝึกยุทธ์ที่สวมเสื้อเกราะน้ำค้างหวานหัวเราะเหี้ยมเสียงดัง กระทืบเท้าหนึ่งครั้งก็เกิดเป็นแอ่งใต้ฝ่าเท้า เขาพลันกระโจนออกไปเบื้องหน้า ปล่อยหมัดเข้าใส่คนหนุ่มผู้นั้นขณะอยู่ห่างไปห้าหกจั้ง พายุหมัดรุนแรง ลมพายุขนาดหนาเท่าปากชาม


เฉินผิงอันเอามือหนึ่งไพล่หลัง ซ่อนมือไว้ในชายแขนเสื้อ ในขณะที่บังคับชือซินให้ต้านทานกระบี่บินของผู้ฝึกกระบี่ครั้งแล้วครั้งเล่า เขาก็ยกมือขึ้น ใช้ฝ่ามือรับพายุหมัดที่พุ่งมาหาด้วย


แล้วพลันขยุ้มนิ้วทั้งห้า


พายุหมัดถูกเฉินผิงอันขยี้จนแหลกไปโดยตรง


ข้ารับใช้ร่างกำยำหัวเราะฮ่าๆ ไม่มีสีหน้าลนลานแม้แต่น้อย เดิมทีนี่ก็เป็นหมัดที่เขาใช้หยั่งเชิงอยู่แล้ว ใช้แรงไม่ถึงห้าส่วนด้วยซ้ำ “อาจารย์ ตบะของคนผู้นี้ไม่ถือว่าตื้นเขินแล้ว! ส่วนข้อที่ว่าลึกเท่าไหร่นั้น…”


ชายฉกรรจ์ที่สวมชุดเกราะสีขาวหิมะร้องตวาดเบาๆ หนึ่งที แล้วพลันเพิ่มความเร็วพุ่งตัวไปด้านหน้า พริบตาเดียวก็มาหยุดอยู่ห่างจากเบื้องหน้าเฉินผิงอันไปแค่ไม่กี่ก้าว เขาเหวี่ยงควงมือขวา เนื่องจากออกหมัดไวราวสายฟ้าแลบ ขณะที่ปล่อยหมัดนี้ออกไปตลอดทั้งไหล่ฝั่งขวาของชายฉกรรจ์จึงเกิดเป็นแสงสีขาวโพลนที่ส่องสว่างเจิดจ้า


เสียงปังดังหนึ่งครั้ง


เฉินผิงอันยังคงใช้ฝ่ามือต้านรับหมัดจากชายฉกรรจ์สวมเสื้อเกราะ


ในสายตาของนักฆ่าผู้นี้ฉายแววไม่เข้าใจเสี้ยวหนึ่ง เหตุใดชายหนุ่มที่อยู่เบื้องหน้าถึงไม่ขยับเขยื้อนเลย?


แม้ว่าจะสงสัย แต่ก็ไม่ได้ถ่วงรั้งการยกขาขึ้นตีเข่าอย่างแรงของเขา การเข่นฆ่าของผู้ฝึกยุทธ์ โดยเฉพาะศึกระหว่างยอดฝีมือที่ความคิดต้องแล่นฉับไว ขณะเดียวกันทุกครั้งที่ออกหมัดก็ล้วนต้องอาศัยสัญชาตญาณ ถึงขั้นที่ต้องไวกว่า ‘ความคิดและจิตใจ’ นี่ต่างหากถึงจะเรียกว่าผู้เชี่ยวชาญอย่างแท้จริง


เฉินผิงอันเอามือข้างที่ไพล่อยู่ด้านหลังออกมาจากชายแขนเสื้อ ปัดเข่าของข้ารับใช้เสื้อเกราะขาวที่พุ่งมาตรงหน้าเบาๆ หนึ่งที จากนั้นก็ตีศอกใส่หน้าอกของคนผู้นี้


ผู้ฝึกยุทธ์ร่างกำยำที่สวมเสื้อเกราะน้ำค้างหวานถูกตีศอกจนปลิวกระเด็นออกไปด้านหลัง


เพียงแต่ว่าหมัดนั้นยังคงถูกเฉินผิงอันกุมไว้ในฝ่ามือ ร่างของเขาจึงถูกกระชากกลับมา แล้วเฉินผิงอันก็ปล่อยหมัดต่อยลงไปบนเสื้อเกราะน้ำค้างหวานด้านนอกตรงตำแหน่งหัวใจของคนผู้นั้น


ชายฉกรรจ์ร่างกำยำกระเด็นลิ่วออกไป ตกกระแทกลงบนพื้นที่ห่างไปไกลสิบกว่าลี้


แม้ว่าร่างกายที่สวมเม็ดเสื้อเกราะของสำนักการทหารจะได้รับบาดเจ็บน้อยมาก ทว่าลมปราณในร่างกลับกระเพื่อมแรงไม่น้อย เลือดสดหนึ่งเส้นไหลมาจากมุมปาก


ใช้ฝ่ามือค้ำยันพื้น ชายฉกรรจ์ลุกขึ้นยืนได้ใหม่อีกครั้ง ถ่มน้ำลายที่มีเลือดปนออกมาทิ้ง แสยะปาก บ่นอย่างไม่ใคร่จะพอใจนัก “อาจารย์ ไอ้หมอนี่แม่งเป็นอาจารย์กระบี่ หรือว่าปรมาจารย์วิชาหมัดนอกที่หล่อหลอมเรือนกายและจิตวิญญาณกันแน่?”


ผู้ฝึกกระบี่วัยกลางคนมายืนอยู่ข้างหลังเขา คลี่ยิ้มคลุมเครือ “เจ้าจะไม่ยอมให้คนที่มีพรสวรรค์ด้านการฝึกยุทธ์มีความสามารถควบคู่สองอย่างเลยหรือ?”


ชายฉกรรจ์สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งที หันหน้าไปมองเว่ยเซี่ยนที่อยู่บนเนินเขา แล้วอารมณ์ของเขาก็ไม่ผ่อนคลายอีกต่อไป หันไปพูดกับผู้ฝึกกระบี่ว่า “ถ้าอย่างนั้นเจ้าเด็กนี่ก็สมควรตายจริงๆ อาจารย์ ท่านเล่นสนุกพอแล้วหรือยัง พวกเราจะปล่อยให้แผนการล้มเหลวในช่วงสุดท้ายไม่ได้นะ ไอ้หมอนี่ไม่ได้มาคนเดียวด้วย”


ผู้ฝึกกระบี่พยักหน้ารับ “ความสัมพันธ์ควันธูประหว่างสกุลหลิวต้าเฉวียนกับผู้เฒ่าเหยาน่าจะมีเพียงแค่นี้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็รวบแหได้แล้ว”


ผู้ฝึกกระบี่ผิวปากเสียงแหลมดังอย่างถึงที่สุด


ครู่หนึ่งต่อมา ผู้ฝึกกระบี่ก็ห้อตะบึงไปด้านข้างด้านหนึ่งอย่างว่องไว กวักมือหนึ่งครั้ง กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตก็ไม่โรมรันอยู่กับอาจารย์กระบี่หนุ่มผู้นั้นอีก แต่เปลี่ยนจากของจริงเป็นภาพมายาที่ผลุบหายเข้าไปตรงหน้าอกเขา เหมือนปลาที่จมลงไปในบ่อลึก พริบตาเดียวก็หายวับไป กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตกลับไปยังช่องโพรงที่หล่อเลี้ยงมันด้วยความอบอุ่นอีกครั้ง


ผู้ฝึกยุทธ์ที่สวมเสื้อเกราะน้ำค้างหวานผู้นั้นอึ้งตะลึงไปชั่วครู่ ก่อนจะเริ่มหนีตามผู้ฝึกกระบี่ไป


แม้เฉินผิงอันจะไม่รู้ว่าเหตุใดนักฆ่าสองคนนี้ถึงได้หนีไปทั้งอย่างนี้ แต่เขาก็ไม่ได้ขัดขวาง


กองทัพม้าเหล็กตระกูลเหยาที่โชคดีรอดพ้นจากความตายมาได้ก็ยิ่งมึนงง หันมามองหน้ากันเอง


แม่ทัพผู้เฒ่าชั่งน้ำหนักอยู่ชั่วครู่ก็พลิกตัวลงจากหลังม้า ออกคำสั่งแก่นายกองหนุ่มข้างกายที่ช่วยประคองเขา “ส่งกองสอดแนมกองหนึ่งออกไปสืบสถานการณ์ คนอื่นให้พักผ่อนอยู่ที่เดิม”


ทหารสอดแนมห้านายกระจายตัวกันออกไป ควบม้าห้อตะบึงไปสี่ด้านแปดทิศเหมือนหว่านแห


เฉินผิงอันเดินช้าๆ เข้าไปหาเว่ยเซี่ยนและเผยเฉียน


แม่ทัพผู้เฒ่าเหยาทำท่าจะพูด แต่สุดท้ายก็ไม่ได้เอ่ยออกมา เขาอยากจะเอ่ยขอบคุณ แต่เพิ่งจะอ้าปากก็เจ็บแปลบที่บาดแผลตรงท้อง จึงได้แต่หุบปาก ทว่ากุมหมัดคารวะทิศทางที่คนหนุ่มนั้นจากไปอยู่ไกลๆ ถือว่าเป็นการขอบคุณอย่างไร้เสียงแล้ว


อีกฝ่ายให้ความช่วยเหลืออย่างมีคุณธรรม ใช้กำลังของตัวเองคนเดียวขัดขวางนักฆ่าสองคนที่กุมชัยชนะไว้ได้อย่างมั่นคง ก็ถือว่าเขามีน้ำใจมากแล้ว ผู้เฒ่าจึงไม่มีหน้าจะเรียกร้องอะไรเพิ่มเติมเหมือนคนได้คืบแล้วจะเอาศอก


ครึ่งก้านธูปต่อมา กองทหารม้ากองหนึ่งก็ควบตะบึงมาถึง นอกจากทหารตระกูลเหยาสิบกว่านายที่ทั่วร่างโชกไปด้วยเลือดแล้วยังมีคนแปลกหน้าเพิ่มมาอีกยี่สิบกว่าคน หากไม่ใช่ผู้ฝึกลมปราณที่ดวงตาสองข้างฉายประกายเจิดจ้า ผิวพรรณใสสว่างราวกับหยก ก็เป็นปรมาจารย์วิถีวรยุทธ์ที่แผ่พลังอำนาจไพศาล คนเหล่านี้เป็นเหมือนดาวล้อมเดือนที่ปกป้องบุรุษสวมชุดผ้าแพรคนหนึ่งไว้อย่างแน่นหนา คนผู้นี้อายุประมาณสามสิบกว่าปี หน้าตาหล่อเหลา เห็นได้ชัดว่าเป็นเจ้านายของยอดฝีมือเหล่านี้


พอขยับเข้ามาใกล้กองทหารตระกูลเหยาของผู้เฒ่า คนผู้นี้ก็โบกมือ เพียงไม่นานทหารม้ากองนั้นก็แยกตัวกันออกไป บุรุษควบม้าออกมาเพียงลำพัง พอมาถึงก็ดึงบังเหียนม้าให้หยุด หัวเราะเสียงดังกังวาน “แม่ทัพผู้เฒ่าเหยา โชคดีที่ข้าไม่ได้มาช้าไป”


แม่ทัพผู้เฒ่ากำลังจะลุกขึ้นตอบ คนผู้นั้นก็พลิกตัวลงมาจากหลังม้า โบกมือข้างที่ถือแส้เฆี่ยนม้าเป็นพัลวัน “แม่ทัพผู้เฒ่าบาดเจ็บ ไม่จำเป็นต้องมากพิธี”


ผู้เฒ่ายังคงดึงดันจะลุกขึ้นต้อนรับ


เขาจูงม้าก้าวเร็วๆ มาหยุดอยู่ข้างหน้าผู้เฒ่า เอ่ยเบาๆ ว่า “หายนะครั้งนี้ของสกุลเหยา สืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้ว สาเหตุล้วนมาจากข้ากับหลี่ซีหลิง ในเมื่อครั้งนี้ข้าเองก็อยู่ที่ชายแดนพอดี ย่อมไม่มีเหตุผลให้นิ่งดูดาย หวังว่าแม่ทัพผู้เฒ่าจะเข้าใจ หากไม่เป็นเพราะสถานการณ์คับขัน ข้าก็ไม่มีทางเผยโฉมเด็ดขาด”


แม่ทัพผู้เฒ่าเปลี่ยนหัวข้อพูด เขากล่าวเสียงหนัก “พระวรกายขององค์ชายล้ำค่าดุจทองคำ จะมาเสี่ยงอันตรายง่ายๆ ได้อย่างไร”


บุรุษเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ในฐานะที่แม่ทัพเหยาเป็นแม่ทัพใหญ่ผู้พิทักษ์ชายแดนใต้ คือขุนนางระดับสองชั้นเอกของต้าเฉวียนข้า ใช้ชีวิตเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายมาหลายสิบปี จะไม่มีค่าเลยหรือ?”


ผู้เฒ่ายิ้มเจื่อน “องค์ชาย!”


บุรุษโบกมือ เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “มาก็มาแล้ว ทำก็ทำไปแล้ว คำสั่งสอนของแม่ทัพเหยา ข้าก็รับฟังไปแล้ว ได้เวลากลับกันแล้วหรือยัง? ไม่แน่ว่านักฆ่าพวกนี้อาจยังมีแผนการอื่นรออยู่”


แม่ทัพผู้เฒ่ายิ้มอย่างจนใจ “ทุกอย่างทำตามคำสั่งขององค์ชาย”


บุรุษพลันยื่นแส้ม้าในมือชี้ไปยังเนินเขาฝั่งตรงข้าม “คนกลุ่มนั้นคือ?”


ผู้เฒ่าอธิบาย “หากไม่เป็นเพราะพวกเขาช่วยถ่วงเวลาไว้ให้ ข้าก็คงทนได้ไม่ถึงตอนนี้ เขามีบุคลิกท่วงท่าเหมือนจอมยุทธ์พเนจรสำนักโม่ องค์ชายไม่ต้องทรงคิดมาก พบเจอกันโดยบังเอิญ พวกเราอย่าวาดงูเติมขาเลย”


บุรุษพยักหน้ารับ


แล้วจู่ๆ เขาก็ตบศีรษะตัวเอง รีบหยิบขวดกระเบื้องใบเล็กใบหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ ดึงฝาจุกออก ทันใดนั้นกลิ่นหอมก็ตลบอบอวล เทยาเม็ดสีเขียวเข้มเม็ดหนึ่งมาไว้กลางฝ่ามือ ยื่นส่งให้ผู้เฒ่า “นี่คือยาลับรักษาบาดแผลที่ถูกเก็บไว้อย่างดีในวังหลวง แม่ทัพผู้เฒ่าแค่กินลงไปก็พอ”


ผู้เฒ่าไม่สงสัยในตัวเขา จึงเอ่ยขอบคุณองค์ชายคนนี้แล้วยัดยาใส่ปาก กลืนลงท้องอย่างไม่ลังเล


รอยยิ้มของบุรุษจึงยิ่งเข้มข้น ช่วยประคองผู้เฒ่าเดินไปยังรถม้าคันหนึ่งที่เขานำมาด้วยตัวเอง


บนเนินเขา เฉินผิงอันมองส่งพวกเขาจากไป


เขาหยิบเม็ดเสื้อเกราะเม็ดนั้นออกมายื่นส่งให้เว่ยเซี่ยน ฝ่ายหลังไม่ได้รีบรับไปในทันที


เฉินผิงอันจึงอธิบายว่า “นี่คือเม็ดเสื้อเกราะของสำนักการทหาร มีชื่อว่าเสื้อเกราะเทพรับน้ำค้าง กรอกลมปราณที่แท้จริงเข้าไปก็สามารถสวมเสื้อเกราะตัวนี้ไว้บนร่างได้แล้ว เหมือนกับเสื้อเกราะของผู้ฝึกยุทธ์คนเมื่อครู่นี้ สามารถต้านทานดาบกระบี่และวิชาอาคมได้ด้วยตัวเอง เว้นเสียจากว่าถูกแทงทะลุเสื้อเกราะในครั้งเดียว หรือถูกทุบตีตรงจุดเดิมซ้ำไปซ้ำมา โดยทั่วไปแล้วก่อนที่ปราณวิญญาณจะเผาผลาญหมดสิ้น ก็ถือว่าเป็นยันต์คุ้มกันกายชิ้นหนึ่ง มีประสิทธิภาพที่โดดเด่นในการรับมือกับกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของผู้ฝึกกระบี่”


ระดับสูงต่ำของเม็ดเสื้อเกราะมักจะเกี่ยวข้องโดยตรงกับข้อที่ว่ามีปราณวิญญาณสะสมมากหรือน้อยเสมอ


ดังนั้นมันจึงแบ่งคร่าวๆ ได้สามชนิด ถูกคนบนภูเขาเรียกเล่นๆ ว่าเสื้อเกราะแอ่งน้ำ เสื้อเกราะบ่อน้ำและเสื้อเกราะทะเลสาบใหญ่


เสื้อเกราะเทพรับน้ำค้างอยู่ในอันดับที่สาม แทบจะเป็นระดับของเสื้อเกราะแอ่งน้ำทั้งหมด ทว่าเสื้อเกราะที่หอหลิงจือของภูเขาห้อยหัววางขายชิ้นนี้กลับพิเศษอย่างถึงที่สุด มีความเป็นไปได้มากว่าจะเป็นเสื้อเกราะบรรพบุรุษ เป็นเสื้อเกราะน้ำค้างหวานรุ่นแรกสุด ซึ่งถูกสร้างขึ้นอย่างตั้งใจเพื่อมอบให้แก่ปรมาจารย์ใหญ่สำนักการทหาร เรียกได้ว่าหายากยิ่ง


เว่ยเซี่ยนผลักมือของเฉินผิงอันกลับคืน กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ไร้คุณความชอบมิอาจรับของรางวัล ค่อยมอบให้ข้าตอนที่ข้าสร้างความชอบครั้งแรกก็ยังไม่สาย”


เฉินผิงอันจึงเก็บลงไปด้วยรอยยิ้ม


เผยเฉียนกล่าวด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความรอคอย “เขาไม่ต้องการก็มอบให้ข้าสิ?”


เฉินผิงอันไม่สนใจนางเลยแม้แต่น้อย


หลังจากนั้นเส้นทางของคนทั้งสามก็ไม่ใช่ทางเดียวกับกองทัพม้าเหล็กตระกูลเหยาอีก พวกเขาเดินทางมุ่งหน้าไปยังเมืองเล็กริมชายแดนที่พอจะมองเห็นเค้าโครงได้รางๆ แห่งนั้น


ระหว่างที่เดินกันไป เว่ยเซี่ยนพูดหลายคำอย่างที่หาได้อย่าง


เขาถามคำถามสามข้อในรวดเดียว


“คุณชายอยากเป็นอริยะผู้มีคุณธรรม ยึดมั่นในหลักสามอมตะหรือ?” (สามอมตะได้แก่สร้างคุณธรรม สร้างคุณประโยชน์และรังสรรค์ถ้อยคำ สามอย่างนี้แม้เนิ่นนานก็ไม่เสื่อมสลาย จึงเรียกว่าสามอมตะ)


เฉินผิงอันหลุดหัวเราะอย่างอดไม่อยู่ “ย่อมไม่ใช่อยู่แล้ว”


หากเขามีปณิธานเช่นนี้จริง ตอนนั้นเฉินผิงอันก็คงยอมรับเหวินเซิ่งซิ่วไฉเฒ่าเป็นอาจารย์ไปแล้ว และพอได้เดินทางมาเยือนใบถงทวีปครั้งนี้ก็ยิ่งทำให้เฉินผิงอันยืนกรานในความคิดของตัวเอง


เว่ยเซี่ยนถามอีกว่า “ถ้าอย่างนั้นคุณชายต้องการอำนาจยิ่งใหญ่ ตั้งตนเป็นราชา เป็นผู้พิชิต?”


เฉินผิงอันหลุดหัวเราะพรืด ชี้มาที่ตัวเอง “อย่างข้าเนี่ยนะ?”


เว่ยเซี่ยนถามคำถามข้อสุดท้าย “ถ้าอย่างนั้นก็รักษาผลประโยชน์แห่งตน พิสูจน์มรรคาแห่งความเป็นอมตะ?”


เฉินผิงอันถามกลับ “เจ้าถามคำถามพวกนี้ไปทำไม?”


เว่ยเซี่ยนไม่ตอบ


เฉินผิงอันเองก็ไม่อยากพูดอะไรอีก หลังจากนั้นคนทั้งสามจึงเดินทางกันต่อไปด้วยความเงียบเช่นนี้


บทที่ 333 พบเจอโดยบังเอิญ

ProjectZyphon

ก่อนจะเข้าไปในเมืองเล็กริมชายแดนได้ผ่านโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยว นอกร้านแขวนป้ายกระดาษชื่อร้านที่ยับย่นและเก่าขาด


เฉินผิงอันแกว่งน้ำเต้าบรรจุเหล้าของตัวเองแล้วตัดสินใจว่าจะไปเติมเหล้า รสชาติของเหล้าดีหรือเลว เฉินผิงอันแค่ดื่มก็รู้ได้ เหล้าลืมทุกข์ของพื้นที่มงคลหวงเหลียง เหล้าหมักของเกาะกุ้ยฮวา เขาล้วนเคยดื่มมาก่อน เหล้าในร้านเหล้าข้างถนนก็ยิ่งเคยซื้อมาไม่น้อย เขาจึงไม่ได้คิดเล็กคิดน้อยอะไรขนาดนั้น


ด้านนอกโรงเตี๊ยมมีสุนัขพันธ์พื้นบ้านที่ผอมแห้งราวกับท่อนไม้ตัวหนึ่งนอนหมอบอยู่กลางแดด พอเห็นพวกเฉินผิงอันสามคนก็ลุกขึ้นวิ่งกลับไปกลับมา แยกเขี้ยวเห่าใส่


นี่คือการรับแขกแบบใดกัน?


เด็กหนุ่มขาเป๋คนหนึ่งถือมีดวิ่งออกมา ใช้ปลายมีดชี้ไปที่สุนัขตัวนั้น พูดขู่อย่างดุดัน “หากยังเสียงดังอีก ข้าจะตัดหัวสุนัขของเจ้าซะ!”


สุนัขพันธ์พื้นบ้านกลับลงไปนอนหมอบอยู่บนพื้นอย่างอ่อนระโหยโรยแรงอีกครั้ง


เด็กขาเป๋เงยหน้าขึ้นก็เห็นแขกสามคนที่พบเห็นได้ยาก จึงรีบซ่อนมีดไว้ด้านหลัง พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ลูกค้าอย่าได้กลัว พวกเราไม่ใช่ร้านเถื่อน รับรองว่าทำการค้าตรงไปตรงมาอย่างที่คนบริสุทธิ์โปร่งใสทั่วไปทำ!”


ราวกับกังวลว่าลูกค้าจะหนีไป เด็กหนุ่มร่างผอมแห้งที่ขาพิการจึงชิงลงมือก่อนเพื่อความได้เปรียบ เขาหันหน้าตะโกนไปทางห้องโถงใหญ่ “เถ้าแก่เนี้ยะ ลูกค้ามาแล้ว รีบเช็ดโต๊ะให้สะอาด มีคุณชายหล่อเหลาแบบที่ท่านชอบที่สุดด้วย แถมยังเป็นบัณฑิตด้วยนะ!”


หลังจากลูกจ้างร้านแจ้งข่าวที่น่ายินดีแก่เถ้าแก่เนี้ยะแล้วก็รีบหันหน้ากลับมา โค้งตัวผายมือเชื้อเชิญ “เชิญลูกค้าเข้าไปนั่งข้างในก่อน เหล้าบ๊วยที่สืบทอดวิธีต้มมาจากบรรพบุรุษของเถ้าแก่เนี้ยะ และแกะย่างที่อาจารย์ของข้าปรุงเองล้วนอร่อยที่สุด ในเขตชายแดนพันลี้นี้มีแค่ร้านเราร้านเดียวเท่านั้น!”


เฉินผิงอันสามคนเดินเข้าไปในโรงเตี๊ยม


ห้องโถงใหญ่ชั้นหนึ่งซึ่งเป็นสถานที่ดื่มเหล้ากินข้าวมีโต๊ะไม่มากนัก คิดดูแล้วสาเหตุคงเป็นเพราะกิจการซบเซา ส่วนชั้นที่สองเป็นห้องพัก เวลานี้ในห้องโถงใหญ่ไร้ลูกค้า มีสตรีแต่งงานแล้วอยู่คนเดียว เท้าข้างหนึ่งของนางเหยียบอยู่บนม้านั่งตัวยาว กำลังแทะเมล็ดแตงโม นางชำเลืองตามามองบัณฑิตที่เจ้าเป๋น้อยพูดถึง ตอนแรกนางก็ไม่ได้หวังอะไรมาก เพราะเดิมทีเจ้าเป๋น้อยก็เป็นพวกหนอนน้อยในฟองใหญ่ของหลุมขี้อยู่แล้ว จะมีความรู้ประสบการณ์อะไรมากนัก ชั่วชีวิตนี้เขาคงไม่มีทางรู้เลยว่าสองคำว่าหล่อเหลานั้นเขียนอย่างไร


สตรีแต่งงานแล้วสวมชุดคลุมยาวผ่ากลาง แขนกว้าง ด้านล่างชุดเป็นสีแดง ด้านบนเป็นลายดอกไม้สีเหลือง เนื้อผ้าของชุดคลุมนี้ไม่ธรรมดา รูปแบบก็งดงาม เพียงแต่ว่าค่อนข้างจะเก่าแก่จึงเป็นมันเลื่อมคล้ายทาน้ำมันทับลงไปหนึ่งชั้น


ใบหน้าของสตรีแต่งงานแล้วอิ่มเอิบแดงปลั่ง เรือนกายอรชร เดิมทีคนที่ผิวขาวดูอย่างไรก็ไม่อัปลักษณ์ แล้วนับประสาอะไรกับที่นางไม่ใช่คนขี้เหร่ เป็นสตรีที่อายุสามสิบกว่า แต่กลับไม่แพ้ให้เด็กสาวงดงามอายุสิบห้าสิบหกคนใดเลย


ดวงตาของนางพลันเป็นประกาย ร้องโอ๊ะโออย่างมีจริตจะก้าน โยนเปลือกเมล็ดแตงในกำมือทิ้งลงบนพื้น แล้วใช้รองเท้าปักลายดอกไม้ปัดกวาดเข้าไปใต้โต๊ะ เดินส่ายเอวอ้อนแอ้นเหมือนงูเลื้อยเข้าหาเฉินผิงอัน ยื่นฝ่ามือมาวางลงบนไหล่ของคุณชายน้อยหน้าตาหล่อเหลาที่สวมชุดขาวคนนี้เบาๆ ถือโอกาสบีบไหล่อีกฝ่ายไปด้วย มองไม่ออกเลยแหะ ไม่นึกเลยว่าข้าจะเก็บได้ของดี หนุ่มน้อยนี่ไม่เพียงหน้าตาดี นึกไม่ถึงว่าบนร่างจะมีกล้ามเนื้อหนั่นแน่น ไม่ใช่พวกหมอนปักลายบุปผาที่ท่าดีทีเหลว


เฉินผิงอันเห็นว่านางได้คืบแล้วยังจะเอาศอก ทำท่าจะตบมาที่หน้าอกของตนก็ขยับเบี่ยงไปด้านข้างหนึ่งก้าว ทำให้นางตบลงบนความว่างเปล่า เขาเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “เถ้าแก่ ข้าต้องการซื้อเหล้าสามถึงห้าจิน ไม่กินข้าว ไม่นอนพัก ซื้อเหล้าเสร็จแล้วก็ไป ได้ยินลูกจ้างร้านบอกว่าที่นี่มีเหล้าบ๊วยที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษ ไม่ทราบว่าราคาเท่าไหร่?”


สตรีแต่งงานแล้วหดมือกลับอย่างไม่พอใจ “คุณชายรีบร้อนจะไปเมืองหูเอ๋อร์นั่นหรือ? ข้าไม่ได้ข่มขู่คุณชายเพราะอยากทำการค้าหรอกนะ แต่ที่นั่นมักจะมีผีและปีศาจอาละวาดอยู่เป็นประจำ พวกมันสามารถมอมเมาจิตใจผู้คน ปีนี้ก็ยิ่งร้ายกาจ พวกพ่อค้าและนักท่องเที่ยวหลายคนต่างก็โดนเล่นงาน ไม่เคยมีคนตายก็จริง แต่พวกคนที่เป็นบ้าเสียสติอยู่ในเมืองแห่งนั้น นับรวมกันสองมือยังได้ เพราะฉะนั้นคุณชายท่านพักอยู่ที่โรงเตี๊ยมเราจะดีกว่า เหล้าบ๊วยต้องการกี่ไหเราก็มีให้ ไม่แพงหรอก เหล้าหมักที่ดีที่สุดคือห้าปี สองกาก็แค่ตำลึงเดียวเท่านั้น นอกจากนั้นลองสั่งแกะย่างทั้งตัวมากิน กินดื่มอิ่มหนำสำราญแล้ว ตอนกลางคืนก็พักอยู่ที่นี่ ถึงเวลานั้น…”


กล่าวมาถึงตรงนี้ สตรีแต่งงานแล้วก็เลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ เผยเสน่ห์เย้ายวนใจดุจสาวน้อยวัยแรกแย้ม “พี่สาวอย่างข้าจะยกน้ำล้างเท้าไปให้คุณชายด้วยตัวเอง”


เผยเฉียนที่อยู่ข้างๆ น้ำลายไหล พอได้ยินคำว่าแกะย่างทั้งตัวก็เดินไปไหนไม่ไหวอีก


นางเช็ดปาก กระตุกชายแขนเสื้อของเฉินผิงอันเบาๆ


เฉินผิงอันคิดแล้วก็หันไปถามเว่ยเซี่ยน “ดื่มเหล้าได้ไหม?”


เว่ยเซี่ยนพยักหน้ารับ “คอแข็งมาก”


เฉินผิงอันจึงหันหน้าไปส่งยิ้มให้เถ้าแก่เนี้ยะคนนั้น “คงไม่พักค้างคืนแล้ว แต่จะกินข้าวมื้อหนึ่งที่โรงเตี๊ยม นอกจากเหล้าที่ยกมาบนโต๊ะแล้ว เตรียมเหล้าบ๊วยไว้ให้ข้าต่างหากอีกห้าจิน ข้าจะเอาไปด้วย”


สตรีแต่งงานแล้วหันไปโบกมือให้เด็กหนุ่มขาเป๋คนนั้น “ไปเลือกแกะให้ตาเฒ่าหลังค่อมอาจารย์ของเจ้าตัวหนึ่ง จำไว้ว่าต้องเลือกตัวที่อ้วนๆ ตั้งใจหน่อย วันๆ อย่าเอาแต่คิดว่าอาจารย์ที่หล่นมาจากฟ้าของเจ้าจะถ่ายทอดสุดยอดวิชายุทธ์ให้แก่เจ้า เรื่องดีๆ แบบนี้ไม่หล่นลงมาบนหัวเจ้าหรอก รีบไสหัวไป”


เด็กหนุ่มตะโกนรับคำแล้ววิ่งปรู๊ดจากไป


คนทั้งสามเดินไปนั่งบนโต๊ะซึ่งเป็นม้านั่งยาวตัวหนึ่งที่ว่างอยู่พอดี ส่วนสตรีแต่งงานแล้วเดินไปทางโต๊ะคิดเงิน หยิบกับแกล้มกินเล่นสองสามจานมาวางให้บนโต๊ะ จากนั้นก็นั่งลงตรงข้ามกับเฉินผิงอัน “ฟังจากสำเนียงของคุณชายแล้ว ไม่เหมือนคนต้าเฉวียนพวกเรา? คือบัณฑิตที่ทัศนาจรผ่านมากระมัง? มาจากทางเป่ยจิ้นหรือ?”


เฉินผิงอันเอ่ยยิ้มๆ “ขยับไปทางใต้ยิ่งกว่านั้น”


สตรีแต่งงานแล้วโน้มตัวมาด้านหน้า เอื้อมมือมาหยิบผลไม้แห้งที่ซื้อมาจากเมืองหูเอ๋อร์ หน้าอกหนักล้นของนางจึงกดทับลงบนโต๊ะ สังเกตเห็นว่าคุณชายผู้นั้นคลี่ยิ้มมองใบหน้าของตนตลอดเวลา ดวงตาใสกระจ่าง นี่ทำให้สตรีแต่งงานแล้วประหลาดใจเล็กน้อย ใต้หล้านี้ยังมีแมวที่ไม่กินของคาวอยู่อีกหรือ? นางพลันคลี่ยิ้มหวานถามว่า “พวกเรามาดื่มเหล้าระหว่างรออาหารกันก่อนดีไหม? ข้าสามารถดื่มเหล้าเป็นเพื่อนคุณชายได้เล็กน้อย รอจนแกะย่างถูกยกมาแล้ว พวกเราก็กำลังกรึ่มๆ พอดี ถึงเวลานั้นฉีกน่องแกะเหลืองกรอบมันเยิ้มออกมากิน รสชาตินั้นยอดเยี่ยมนักล่ะ”


เฉินผิงอันพยักหน้ารับตอบตกลง


สตรีแต่งงานแล้วจึงไปหยิบเหล้าหนึ่งไหและถ้วยขาวใบใหญ่สี่ใบที่วางทับซ้อนกันออกมา แกะผนึกดินออก เทเหล้าลงในชาม เหล้าบ๊วยเป็นสีอำพัน ใสสะอาดเป็นพิเศษ ไม่มีความขุ่นมัวเลยแม้แต่น้อย หากมองปราดๆ ต่อให้เป็นคนที่ดื่มเหล้าเก่งก็น่าจะเมามายได้เลย สตรีแต่งงานแล้วค่อนข้างภูมิใจในตัวเอง นางยิ้มพลางอธิบายถึงเหล้าบ๊วยที่สืบทอดวิธีทำมาจากบรรพบุรุษนี้ บอกว่าเหล้าบ๊วยแบ่งเป็นเหล้าที่หมักครึ่งปี หมักสามปี หมักห้าปี ที่แย่ที่สุดคือหมักครึ่งปี เคยมีจอมยุทธ์จากเมืองหลวงคนหนึ่งเดินทางมาเที่ยวที่นี่ เขาจูงม้าตัวใหญ่มาด้วย พอดื่มเหล้าไปแล้วก็ยกนิ้วโป้งให้พร้อมเอ่ยชมไม่หยุด บอกว่าขนาดเมืองหลวงต้าเฉวียนก็ยังไม่เคยมีเหล้ารสเลิศขนาดนี้


เผยเฉียนถามด้วยสีหน้าไร้เดียงสา “คนที่มาจากเมืองหลวงดื่มเหล้าที่หมักแค่ครึ่งปีน่ะหรือ?”


สตรีแต่งงานแล้วสะอึกอึ้ง ก่อนจะรีบแก้ไขคำพูดเสียใหม่ “ตอนแรกจอมยุทธ์ท่านนั้นแค่ลองชิมรสชาติดูก่อน ทว่าภายหลังก็ทำเหมือนคุณชายคือซื้อเหล้าบ๊วยหมักห้าปีไปหลายจิน”


เผยเฉียนหน้ายิ้มใจไม่ยิ้ม แสร้งทำเป็นว่าเข้าใจกระจ่างแจ้ง “ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง คนเมืองหลวงต้าเฉวียนขี้เหนียวซะจริง ซื้อเหล้าแค่นิดหน่อยยังต้องขอชิมก่อนด้วย ไม่เหมือน…พ่อของข้า ถ้าจะซื้อก็ซื้อเหล้าหมักห้าปีที่แพงที่สุดไปเลย…”


เฉินผิงอันเขกมะเหงกใส่นาง ทำเอาเผยเฉียนต้องยกสองมือกุมหัว


เฉินผิงอันขยับถ้วยเหล้าบ๊วยใบใหญ่ที่วางตรงหน้าเผยเฉียนไปให้เว่ยเซี่ยนที่นั่งอยู่อีกฝั่งหนึ่ง ให้ฮ่องเต้ผู้บุกเบิกแคว้นหนันเยวี่ยนที่บอกว่าตัวเอง ‘คอแข็งมาก’ คนนี้ดื่มคนเดียวสองชาม แค่สองชามเท่านั้น คิดดูแล้วน่าจะถือว่าเล็กน้อยสำหรับเขา


เผยเฉียนนวดคลึงศีรษะตัวเอง พูดอย่างน้อยใจ “ขอข้าดื่มแค่คำเล็กๆ ไม่ได้หรือ? เดินทางมาไกลขนาดนี้ ข้ากระหายน้ำ แทบจะมีควันผุดออกมาจากคออยู่แล้ว!”


เด็กหญิงริมฝีปากแห้งผากจนแทบจะมีเลือดซึมออกมา หากไม่เป็นเพราะบนหน้าผากแปะยันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจเอาไว้ นางจึงแสดงพละกำลังกายที่น่าตะลึงออกมาได้ นางก็คงไม่สามารถทนเดินมาจนถึงโรงเตี๊ยมแห่งนี้เป็นแน่


มีเงินก็จ้างผีให้โม่แป้งได้ มียันต์ช่วยให้นางเดินทางได้เร็ว สรุปแล้วก็ยังคงเป็นเพราะเงิน


เฉินผิงอันเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ใครบอกเจ้าว่าดื่มเหล้าสามารถแก้กระหายได้? ขอน้ำเปล่าถ้วยหนึ่งจากเถ้าแก่เนี้ยะเองสิ”


เผยเฉียนชำเลืองตามองสตรีที่แต่งกายเฉิดฉันแล้วแค่นเสียงเย็นในลำคอ ยกสองแขนกอดอก สะบัดหน้าไปทางอื่น ไม่มองสตรีแต่งงานแล้วคนนั้น


สตรีแต่งงานแล้วไม่ถือสา ลุกขึ้นไปยกน้ำชามาถ้วยหนึ่ง วางลงตรงหน้าเผยเฉียนเบาๆ “ดื่มเถอะ ไม่คิดเงิน”


เผยเฉียนรีบยกสองมือจับถ้วย ดื่มอึกๆๆ รวดเดียวหมด


ไม่ดื่มก็เสียเปล่าน่ะสิ แม้นางจะรังเกียจหญิงแก่ผู้นี้ แต่ไม่ได้รังเกียจน้ำชาตรงหน้าถ้วยนี้สักหน่อย


เฉินผิงอันมองสบตากับเว่ยเซี่ยน


แล้วถอนหายใจหนึ่งที ในใจคิดว่าเถ้าแก่คนนี้ไม่ใช่ตะเกียงประหยัดน้ำมันเลย นิสัยอาฆาตแค้นไม่น้อยไปว่าเผยเฉียน เมื่อครู่นี้ตอนที่นางหันหลังให้คนทั้งสามก็เพิ่งจะแอบถุยน้ำลายลงไปในถ้วยน้ำชา เขย่าข้อมือเล็กน้อยให้น้ำชาแกว่งเบาๆ ยกมาวางบนโต๊ะก็ไร้ร่องรอยให้คนจับได้แล้วไม่ใช่หรือ


แต่รสชาติของเหล้าบ๊วยกลับสุดยอดจริงๆ นอกจากไม่มีปราณวิญญาณอยู่ด้านในแล้ว ด้านอื่นก็ไม่ด้อยไปกว่าเหล้าหมักกุ้ยฮวาบนเรือข้ามฝากที่เป็นเกาะแห่งนั้นเลย หลังจากนี้จะต้องเอาใส่ไว้ให้เต็มน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ หากยังน้อยไปก็จะให้เว่ยเซี่ยนช่วยพกไปอีกสักสองสามไห ในเมื่อกล้าพูดว่าคอแข็งก็แสดงว่าต้องเป็นพวกชอบดื่มเหล้า


เฉินผิงอันจิบเหล้าบ๊วยที่แค่ได้ชิมก็ชื่นชอบคำเล็กๆ เหล้าบ๊วยนี้ไหลลงคอร้อนแผดเผาราวกับไฟ ไหลลงท้องกลับอุ่นซ่าน อารมณ์เขาพลันดีตามไปด้วย จึงถามว่า “เถ้าแก่ เคยได้ยินเรื่องของกองทัพชายแดนตระกูลเหยาบ้างไหม?”


สตรีแต่งงานแล้วตอบง่ายๆ “แน่นอนอยู่แล้ว ใช้ชีวิตอยู่ในชายแดน ใครบ้างที่ไม่รู้จักบารมีของกองทัพม้าเหล็กตระกูลเหยา ไม่ใช่ว่าข้าคุยโวให้คุณชายฟัง แต่โรงเตี๊ยมของข้าแห่งนี้เคยมีแม่ทัพน้อยแซ่เหยาคนหนึ่งพาผู้ติดตามกลุ่มหนึ่งมากินแกะย่างแล้วถึงได้จากไป ทิ้งเงินก้อนใหญ่ไว้บนโต๊ะ ทว่าทหารที่รบทัพจับศึกพวกนี้ ต่อให้แค่มากินข้าวดื่มเหล้าก็ยังน่ากลัวอยู่ดี ขนาดข้ายังไม่กล้าเข้าใกล้ เพราะรู้สึกว่าบนร่างของพวกเขามีปราณสังหาร”


สตรีแต่งงานแล้วตบหน้าอกตัวเองเบาๆ สงสารก็แต่เสื้อชุดนั้นของนางที่เดิมทีก็รัดรึงมากแล้ว พอโดนตบก็ยิ่งรับภาระหนักเข้าไปอีก


เฉินผิงอันถาม “ชื่อเสียงของกองทัพชายแดนตระกูลเหยาดีมากเลยหรือ?”


สตรีแต่งงานแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ดีหรือไม่ดี ชาวบ้านอย่างพวกเราจะรู้ได้อย่างไร เดิมทีก็ไม่มีโอกาสได้คบค้าสมาคมกับผู้สูงศักดิ์เหล่านั้นอยู่แล้ว เพียงแต่ว่า ชื่อเสียงของพวกเขาก็ไม่ถือว่าแย่ ถึงอย่างไรโรงเตี๊ยมแห่งนี้ของข้าก็เปิดมาสิบกว่าปีแล้ว ไม่เคยได้ยินข่าวว่าคนตระกูลเหยารังแกใคร ที่ได้ยินบ่อยที่สุดก็คือ ใครๆๆ ในตระกูลเหยาสร้างคุณความชอบครั้งใหญ่ ใครๆๆ ได้รับรางวัลจากทางราชสำนัก ได้เลื่อนขั้นเป็นขุนนางใหญ่ ใครๆๆ ตายอยู่ตรงไหนของแคว้นเป่ยจิ้นที่อยู่ทางชายแดนใต้ และภรรยาของพวกเขาก็กลายเป็นหญิงหม้ายจริงๆ ส่วนใหญ่ก็มีแต่ข่าวเล็กๆ ประมาณนี้ ฟังไปฟังมาหลายรอบ ฟังจนเอียน”


เฉินผิงอันพยักหน้ารับ พอจะมีความเข้าใจคร่าวๆ ต่อสกุลเหยาสายนี้ที่ย้ายจากถ้ำสวรรค์หลีจูมายังใบถงทวีปบ้างแล้ว


เว่ยเซี่ยนดื่มเหล้าถ้วยใหญ่หมดไปถ้วยหนึ่งแล้ว ตอนนี้กำลังดื่มถ้วยที่สอง ใบหน้าของเขาแดงก่ำ แต่ดวงตากลับสว่างแจ่มใส “ทหารชายแดนทั้งไม่รบกวนชาวบ้านและไม่สร้างชื่อเสียง ชัดเจนว่าเป็นการแสดงท่าทีต่อฮ่องเต้ว่าไม่มีความคิดจะแยกตัวตั้งตนเป็นอิสระ นี่คือการกระทำที่ฉลาด ไม่อย่างนั้นฮ่องเต้ที่คิดว่านอกตั่งเตียงล้วนเป็นบ้านเกิดของตนจะกล้าวางใจได้อย่างไร”


สตรีแต่งงานแล้วอึ้งตะลึง “นายท่านผู้นี้ ท่านพูดอะไรน่ะ?”


เว่ยเซี่ยนดื่มเหล้าหนึ่งคำแล้วตบโต๊ะ “ที่ใดที่กีบเท้าม้าย่ำไปถึง ล้วนเป็นผืนแผ่นดินของบ้านเมือง เหล้านี่รสชาติดีเยี่ยม!”


หลังจากพูดประโยคห้าวเหิมจบแล้ว ฮ่องเต้แคว้นหนันเยวี่ยนที่บอกว่าตัวเองคอแข็งก็เมาเละ ฟุบโต๊ะหมดสติไปทันที กรนเสียงดังสนั่นดุจเสียงฟ้าร้อง


คราวนี้จะไม่ค้างในโรงเตี๊ยมก็คงไม่ได้แล้ว


หลังจากนั้นเด็กหนุ่มขาเป๋และผู้เฒ่าหลังค่อมคนหนึ่งก็ช่วยกันยกแกะย่างทั้งตัวขึ้นมาวางบนโต๊ะ หาได้ยากนักที่เฉินผิงอันจะกินอิ่มขนาดนี้ เผยเฉียนก็ยิ่งกินอิ่มจนเกินอิ่ม ถึงท้ายที่สุดต้องเรียกว่าฝืนใจฉีกเนื้อแกะยัดใส่ปาก ส่วนเฉินผิงอันเคี้ยวละเอียด กินช้ามาก เหล้าก็ดื่มไม่เร็ว


เถ้าแก่เนี้ยะไปนั่งตรงโต๊ะคิดเงิน ก่อนหน้านี้เฉินผิงอันชวนนางให้กินข้าวด้วยกัน แต่นางปฏิเสธอย่างละมุนละม่อม ดื่มเหล้าเล็กๆ น้อยๆ เป็นเพื่อนได้ไม่มีปัญหา แต่หากทำหน้าหนากินข้าวกับแขกก็ออกจะไม่เหมาะไม่ควร ไม่มีกิจการโรงเตี๊ยมที่ไหนทำการค้ากันอย่างนี้ เผยเฉียนกินจนต้องยืดพุง ลุกขึ้นยืนแล้วเริ่มเดินวนไปรอบโต๊ะ ไม่อย่างนั้นต้องอึดอัดตายแน่


เฉินผิงอันขอห้องพักสามห้องที่อยู่ติดกัน เผยเฉียนพักอยู่ห้องตรงกลาง จากนั้นก็ช่วยกันประคองเว่ยเซี่ยนขึ้นไปชั้นบน โยนเขาลงบนเตียง ยังดีที่ถึงแม้จะคออ่อน แต่สภาพหลังจากเมามายนับว่ายังดี เมาแล้วก็แค่หลับ ไม่อาละวาดบ้าคลั่ง ไม่พูดเพ้อเจ้อ เผยเฉียนไปที่ห้องของตัวเอง ปิดประตูแล้วก็เริ่มเรอดังเอิ้กๆ เฉินผิงอันปลดหีบไม้ไผ่วางไว้ในห้องของตัวเองเรียบร้อยก็ออกจากห้อง เตรียมจะลงไปชั้นล่างเพื่อสืบข่าวเรื่องขนบธรรมเนียมของราชวงศ์ต้าเฉวียนจากเถ้าแก่เนี้ยะเพิ่มเติมอีกนิด


เฉินผิงอันค้นพบว่ามีลูกค้าคนหนึ่งเข้ามาในโรงเตี๊ยม คนผู้นี้สวมชุดคลุมยาวสีเขียว หนวดเฟิ้มรุงรัง อายุประมาณสามสิบปี เขานั่งอยู่บนโต๊ะตัวหนึ่ง มองมาทางสตรีแต่งงานแล้วที่ทำหน้าเย็นชาอยู่ตรงโต๊ะคิดเงินด้วยรอยยิ้มโง่งม บนโต๊ะไม่มีเหล้าหรือกับแกล้มใดๆ แม้แต่อาหารกินเล่นจานเล็กๆ สักจานก็ยังไม่มี เด็กหนุ่มขาเป๋ลูกจ้างร้านคนนั้นนั่งอยู่ตรงหน้าบันไดที่เชื่อมต่อกับชั้นล่าง มองไปยังบุรุษผู้นั้นด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความรังเกียจ


ตรงผ้าม่านที่แขวนห้อยไว้หน้าประตูเชื่อมระหว่างห้องโถงใหญ่กับห้องครัว ผู้เฒ่าหลังค่อมนั่งไขว่ห้างสูบยาอยู่บนม้านั่งยาว


เฉินผิงอันไม่รีบร้อนลงไป เขายืนฟุบพิงราวระเบียง


ก่อนหน้านี้ตอนที่ขัดขวางนักฆ่าสองคนซึ่งไล่ล่ากองทัพชายแดนตระกูลเหยา เห็นได้ชัดว่าผู้ฝึกกระบี่หนึ่งในนักฆ่ายังมีแผนการรับมือรออยู่เบื้องหลัง เฉินผิงอันสัมผัสได้ถึงลมปราณความดุร้ายผลุบๆ โผล่ๆ ที่อยู่ห่างออกไปไกล น่าจะเป็นปีศาจใหญ่ตัวหนึ่งที่ตบะไม่ตื้นเขิน อย่างน้อยที่สุดก็น่าจะมีขอบเขตเท่าเทียมกับผู้ฝึกกระบี่ เพียงแต่ว่าสุดท้ายแล้วมันที่ปรากฏตัวกะทันหันกลับหายวับไปในทันทีเช่นกัน เพราะถูกลมปราณที่ยิ่งใหญ่เที่ยงธรรมขุมหนึ่งสยบกำราบ ดังนั้นผู้ฝึกกระบี่วัยกลางคนถึงได้รีบร้อนหนีไป ผู้ฝึกยุทธ์ที่สวมเสื้อเกราะน้ำค้างหวานซึ่งเป็นข้ารับใช้ของเขาจึงได้แต่เผ่นหนีตามไปด้วย


เฉินผิงอันเห็นบุรุษสวมชุดเขียวที่ยับยุ่งเหยิงแล้ว ความรู้สึกแรกของเขาก็คือ คนผู้นี้น่าจะเป็นคนที่ซ่อนตัวอยู่ซึ่งสังหารปีศาจใหญ่ตนนั้นไปในชั่วพริบตา หากไม่ใช่ผู้ฝึกตนที่มีพรสวรรค์จากสำนักใหญ่ในใบถงทวีป ถ้าอย่างนั้นก็ต้อง…เป็นเหมือนโจวจวี้หรันที่มีชาติกำเนิดจากสำนักศึกษาลัทธิขงจื๊อ!


ทว่าเพียงไม่นานเฉินผิงอันก็เริ่มไม่มั่นใจ เพราะคนผู้นี้ถูกเถ้าแก่เนี้ยะรังเกียจ ถูกเด็กขาเป๋มองตาขวางใส่ ถูกผู้เฒ่าหลังค่อมเมินเฉย อีกทั้งกระเป๋าเงินยังฟีบแบน ประเด็นสำคัญคือคนในโรงเตี๊ยมต่างก็รู้ฐานะของเขาดี คิดจะตบหน้าตัวเองให้ดูเป็นคนอ้วนก็ยังไม่มีโอกาส ทันใดนั้นเขาก็ทำหน้าเศร้าสร้อย มองไปทางสตรีแต่งงานแล้วพลางพูดอย่างคนลุ่มหลงในรัก “จิ่วเหนียง ข้าไม่รังเกียจที่เจ้าเป็นแม่หม้าย ทั้งยังมีลูกติด จริงๆ นะ…”


เฉินผิงอันตบหน้าผากตัวเอง ยังไม่ต้องพูดถึงตัวตนและตบะของคนผู้นี้ พูดแค่เรื่องความสัมพันธ์ชายหญิง เขายังสู้ตนไม่ได้เลยด้วยซ้ำ สมควรแล้วที่ไม่ได้รับการต้อนรับจากคนในโรงเตี๊ยม มีใครเขาพูดแบบนี้กับผู้หญิงกันบ้าง? นี่มันใช่คำหวานรื่นหูซะที่ไหน เห็นๆ กันอยู่ว่าเป็นการหยิบมีดแทงกลางใจของสตรีแต่งงานแล้วต่างหาก


แล้วก็จริงดังคาด สตรีแต่งงานแล้วที่เดิมทีแค่ทำสีหน้าเย็นชา ตอนนี้กลับเงยหน้าขึ้น จ้องคนสารเลวผู้นั้นเขม็ง เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันพูด “เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะไปเอาขี้แกะในคอกมาเทใส่หัวเจ้าเดี๋ยวนี้?!”


เฉินผิงอันเหลือบตามองสตรีแต่งงานแล้ว


บุรุษชุดเขียวนอนฟุบลงไปบนโต๊ะ ป่ายมือป่ายเท้าเป็นพัลวัน โดยเฉพาะมือสองข้างที่ปัดป่ายเหมือนผ้าเช็ดโต๊ะ เขากล่าวอย่างเสียใจว่า “จิ่วเหนียง ทำไมเจ้าถึงได้ใจร้ายขนาดนี้ แบบนี้จะให้ข้ามีชีวิตอยู่ต่ออย่างไร ข้าก็แค่จนไม่ใช่หรือ แต่คนที่มีพรสวรรค์ทางวรรณกรรมมักชะตารันทดและถูกคนริษยาอยู่เสมอ บัณฑิตจะไม่ยากจนไม่ได้หรอกนะ ไม่อย่างนั้นก็เขียนบทประพันธ์พันปียอดเยี่ยมสุดวิเศษออกมาไม่ได้…”


เจ้าเด็กขาเป๋ขากน้ำลายแล้วถุยทิ้งแรงๆ “บทประพันธ์พันปีกับปู่ทวดเจ้าน่ะสิ กลอนเลี่ยนๆ พวกนั้นของเจ้า ขนาดข้าที่ไม่เคยเรียนหนังสือมาก่อน แค่ฟังก็ยังรู้สึกขนลุกอยากจะอ้วก”


ผู้เฒ่าหลังค่อมเองก็สำลักเพราะคำพูดของอีกฝ่าย เห็นได้ชัดว่าเขาเองก็หวาดผวากับบทประพันธ์พันปีของคนผู้นั้นอยู่เช่นกัน


บุรุษสวมชุดเขียวทำท่าเหมือนสติปัญญาถูกเปิดโล่ง เขาพลันนั่งตัวตรง คลี่ยิ้มมองสตรีแต่งงานแล้ว “จิ่วเหนียง คงไม่ใช่เพราะเจ้ากลัวว่าจะถ่วงรั้งอนาคตอันรุ่งโรจน์ของข้า ก็เลยไม่เต็มใจใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับข้าหรอกนะ? ไม่เป็นไร ข้าไม่สนใจสายตาของคนในโลก…”


สตรีแต่งงานแล้วทนไม่ไหวอีกต่อไป พูดเสียงเย็นว่า “เจ้าเป๋น้อย ตาเฒ่าหลังค่อม หยิบมีดมา ใครฟันเขาตายได้ ข้าจะให้เงินคนผู้นั้นสิบตำลึง!”


ผู้เฒ่าหลังค่อมไม่ได้ขยับตัว แต่เด็กหนุ่มขาเป๋กลับวิ่งปรู๊ดไปหยิบมีดที่ห้องครัวแล้ว


บุรุษชุดเขียวลุกขึ้นยืน ขยับจัดอาภรณ์ให้เป็นระเบียบ จากนั้นก็หมุนตัววิ่งหนีไปอย่างว่องไว


เฉินผิงอันไม่ลงไปข้างล่างอีก เขากลับไปที่ห้องของตัวเอง พอปิดประตูลงแล้วก็หยิบม้วนภาพม้วนที่สองออกมาวางบนโต๊ะ เป็นภาพของจูเหลี่ยน คนบ้าคลั่งวรยุทธ์


—–

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)