ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง 331-335
ตอนที่ 331 สตรีผู้นั้น.....นางคือ?
“ข้าอยู่ที่นี่มาตั้งแต่เมื่อพันปีก่อนแล้ว” สายตาของฉู่เจียงนิ่งงัน สายลมพัดผ่านเส้นผมของเขาจนแม้แต่ผ้าคาดผมสีแดงก็ยังปลิวขึ้นมาเช่นกัน
“สิบยมราชคงอยู่ในทุกโลกมิติ ที่ใดมีจิตวิญญาณที่นั่นก็มียมราช”
ใช่แล้ว ยมราชทั้งสิบต่างก็มิได้คงอยู่ในช่วงเวลาเดียวกันหรือกระทั่งมิติเดียวกัน
ตัวอย่างเช่นเสินฟางผู้นั้น เป็นผู้ที่อยู่ในโลกปัจจุบัน ฉู่เจียงผู้นี้ บางทีแต่เดิมเขาอาจจะเป็นของโลกใบนี้ก็เป็นได้
“ออกไปไม่ได้หรือ?” ตู๋กูซิงหลันพิงร่างอยู่กับต้นขาของฮ่องเต้ ปลายคางแทบจะจมลงไปในเนื้อของจีเฉวียน
เมื่อนางเอื้อนเอ่ยออกมา ปลางคางก็ขยับอยู่บนขาของจีเฉวียนจนคันยุบยิบ
พระหัตถ์ใหญ่โตของเขาเกร็งขึ้นมา อดไม่ได้ที่จะจับเอวของนางให้แน่นขึ้นอีกหลายส่วน
สตรีผู้นี้เกรงว่าคงจะไม่ได้รู้ตัว ท่าทางและกริยาที่นางทำเช่นนี้เป็นการปลุกเร้าคนถึงเพียงไหน
ฉู่เจียงชะงักไปเล็กน้อย แต่ละประโยคของตู๋กูซิงหลันล้วนแทงเข้าไปในใจของเขา
เขาได้แต่หัวเราะออกมา แววตามีแต่ความเหงาอย่างไม่อาจจะทำเช่นไรได้ “ก็เป็นอย่างที่เจ้าเห็น เมืองกู่เย่วนี้ก็คือกรงขังขนาดใหญ่ ชั่วชีวิตนี้ข้าไม่อาจก้าวออกไปได้แม้แต่ครึ่งก้าว”
นอกเสียจากว่า ……
คนผู้นั้นจะกลับมา
แต่นี่จะเป็นไปได้อย่างไร …..จิตวิญญาณของเขาแตกดับไปแล้ว แม้แต่เศษเสี้ยวของดวงจิตสักเล็กน้อยก็ยังไม่หลงเหลือ สลายไปจนหมดตั้งนานแล้ว
“บนแผ่นดินนี้ยังจะมีผู้ใดที่มีพละกำลังมากมาย สามารถทำให้เจ้ากลายเป็นเช่นนั้นได้อีก?”
ตู๋กูซิงหลันออกจะประหลาดใจอยู่บ้าง ตอนที่ฉู่เจียงประมือกับจีเฉวียนก็มิได้ใช้พลังออกมาจนหมด
ยมราชเช่นนี้กลับถูกกักขังเอาไว้ในพื้นที่เพียงมณฑลหนึ่ง เช่นนั้นพลังของผู้ที่อยู่เบื้องหลังย่อมต้องยิ่งใหญ่และพิศดารเพียงไรย่อมเป็นที่คาดคิดได้
จีเฉวียนเองก็หรี่ตาลง พระองค์เองก็ทรงรู้สึกได้ว่า ฉู่เจียงเป็นผู้เข้มแข็งผู้หนึ่ง
ในดินแดนแห่งนี้ผู้ที่สามารถมีพลังเหนือกว่าฉู่เจียงเกรงว่าคงมีอยู่เพียงไม่กี่คน คนที่สามารถกักขังเขาเอาไว้ในที่นี่ ไม่อาจออกไปได้แม้เพียงครึ่งก้าว สำหรับพระองค์แล้ว ถือเป็นปัญหายุ่งยากประการหนึ่ง
“แม่นางน้อย ถึงแม้ว่าเจ้าจะพอมีความสามารถอยู่บ้าง แต่เรื่องนี้เกี่ยวพันอย่างกว้างขวางมากเกินไป” มุมปากของฉู่เจียงขยับยิ้มเย็นชา “ในโลกใบนี้ยังมีเรื่องที่ทั้งยุ่งเหยิงและโหดเ**้ยมที่เจ้าคาดไม่ถึง กลับไปฝึกฝนวิชาเซียนของเจ้าให้ดี อย่าได้สอดมือให้มาก”
ฉู่เจียงทั้งตักเตือนและโน้มน้าว
“เรื่องที่นางอยากรู้ย่อมต้องทำให้กระจ่างแจ้ง” จีเฉวียนที่กลายโรคบ้าปรนเปรอคนรักถึงกับไม่สนใจเวลาสถานการณ์ไม่มีขอบเขตใดๆ ไปแล้ว
“เมื่อมีเราอยู่ นั่นจึงเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดให้กับซิงซิง”
ฉู่เจียง “……” ในใจของเขาอยากจะถามพวกบรรพชนของพระองค์บ้างจริงๆ
นับตั้งแต่ได้กลับมาพบกับจีเฉวียน ตู๋กูซิงหลันก็เหมือนกับโดนหยอกเย้าอย่างบ้าคลั่งอยู่ตลอดเวลา
ถ้อยคำหวานหูของจีเฉวียนที่ส่งออกมาเป็นชุดๆ หากว่าเป็นสาวน้อยที่ไม่รู้ตื้นลึกหนาบางเกรงว่าก็คงจะทุ่มตัวลงไปตั้งแต่แรกแล้ว
“ฮ่องเต้ต้าโจว ข้าเกรงแต่ว่าพวกเจ้าจะมีชีวิตได้ฟังเรื่องราวเก่าแก่เหล่านั้น แต่ไม่อาจมีชีวิตรอดต่อไป” ฉู่เจียงเชิดจมูกขึ้น
มาทำเป็นพลอดรักกันต่อหน้าเขาหรือ?
ความรักของพวกเขาหากเปรียบเทียบกับที่ตนได้เคยเห็นมา นับว่าเป็นอะไรได้กัน?
ก็แค่ฮ่องเต้ที่กำลังเรืองอำนาจผู้หนึ่งจี๋จ๋ากับแม่นางน้อยผู้หนึ่งเท่านั้น เขายังไม่อยากจะใส่ใจหรอก
“เจ้าก็มาลองดูสิว่าเรากับซิงซิงจะทำได้หรือไม่” กระบี่ในพระหัตถ์ของจีเฉวียนขยับเพียงเบาๆ จิตกระบี่สายหนึ่งก็ทะยานออกไป
ฉู่เจียงถอยหลังไปก้าวหนึ่ง จิตกระบี่นั้นก็แฉลบผ่านหัวไหล่ของเขาออกไป ทำให้ผิวหนังถูกบาดไปแผลหนึ่ง
สีหน้าของฉู่เจียงเคร่งขรึม มิได้กล่าววาจาให้มากความอีก
ในชั่วขณะนั้นเอง ด้านล่างก็กำลังต่อยตีกันอย่างร้อนระอุ
เหลียงจวิ้นอ๋องกับหลงเซียวปะทะกันอีรุงตุงนังผมเผ้ายุ่งเหยิง บนร่างกายของทั้งสองต่างก็มีบาดแผล เหลียงจวิ้นอ๋องจะอย่างไรก็มีอายุมากแล้ว พละกำลังพื้นฐานไม่อาจสู้คนหนุ่มอายุน้อยได้ ตอนนี้จึงหอบหายใจอย่างหนัก
เขาไม่คิดจะพัวพันกับหลงเซียวอีกต่อไป จึงหันเหสายตาไปยังทิศทางที่จีเฉวียนอยู่
จับโจรพึงจับหัวหน้า [1] หากยังต่อสู้กับหลงเซียวต่อไป คนที่ต้องพ่ายแพ้ก็คือเขา
พอคิดได้เช่นนี้ เหลียงจวิ้นอ๋องก็กระชับหอกในฝ่ามือ สะกิดปลายเท้ากระโดดขึ้นไปบนหลังของเมียเมีย
ร่างของเขาเคลื่อนไหวอย่างว่องไว หอกในมือมิได้พุ่งเป้าไปที่จีเฉวียน หากแต่ว่าเล็งไปที่ตู๋กูซิงหลันตั้งแต่แรกแล้ว
เขาทุ่มเทพละกำลังแทบทั้งหมดออกไป ปลายหอกพุ่งเข้าใส่กระหม่อมของตู๋กูซิงหลัน
ฉู่เจียงที่ชั่วร้าย ไม่เพียงแต่ถอยออกมาเปิดตำแหน่งให้กับเหลียงจวิ้นอ๋อง ฝ่ามือก็ยังรวมกำลังขุมหนึ่งผนึกเข้าสู่ร่างของเหลียงจวิ้นอ๋อง ส่งเขาขึ้นไปอีกแรง
พลังของฝ่ามือนี้เมื่อใช้ออกไป ก็ราวกับฉีกกระชากท้องฟ้ายามราตรี
พลังทำลายล้างยังไม่ทันไปถึงตู๋กูซิงหลัน เส้นผมทั้งหมดของนางก็ปลิวกระจายขึ้นมา
โฉมหน้าที่สคราญหมดจดล้ำเลิศในโลกหล้าถูกเปิดเผยขึ้นมาเบื้องหน้าเหลียงจวิ้นอ๋อง
ในพริบตานั้นเอง เหลียงจวิ้นอ๋องก็ชะงักงันไปทั้งร่าง จนเมื่อเขาได้สติกลับมา หอกในมือก็จ่อเข้าไปที่กระหม่อมของตู๋กูซิงหลันแล้ว
เหลียงจวิ้นอ๋องกระชากหอกอย่างรวดเร็ว คนกระชากตัวเหาะกลับหลังออกไป
แต่ว่าสายไปเสียแล้ว พลังแฝงที่รุนแรงเช่นนั้น แม้ปล่อยมือแล้วก็ยังเพียงพอจะทำลายคนให้แหลกเป็นผุยผง
ตู๋กูซิงหลัน “…..”
สถานการณ์ที่นางกำลังเผชิญอยู่ในตอนนี้ ตนเองยังเอนนอนอยู่ในอ้อมแขน หอกกลับพุ่งลงมาจากฟากฟ้า
ซวยแล้ว!
นางก็คิดจะหลบ แต่ว่าหอกเล่มนั้นกลับมีพลังหยินที่สุดแข็งแกร่งแฝงมาอยู่ด้วย
ต่อให้หลบอย่างไรก็หลบไม่พ้น
พอลืมตามองขึ้นไป ก็เห็นมือขนาดใหญ่ข้างกายคว้ามันเอาไว้ หยุดหอกเล่มนั้นเอาไว้อย่างมั่งคงด้วยระยะห่างเพียงหนึ่งในพันเท่านั้น
นางยังสามารถได้ยินเสียงของหอกที่พุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วที่บาดลึกลงไปในกล้ามเนื้อบนฝ่ามือนั้นได้อย่างชัดเจน
จากนั้นเลือดก็ไหลนองหยดติ๋งๆ ลงบนหัวคิ้วของนาง
เป็นจีเฉวียน
พระองค์คว้าหอกเล่มนั้นเอาไว้ด้วยท่วงท่าองอาจ เส้นเลือดที่หลังมือปูดโปน สายพระเนตรมีแต่ความเย็นชาถึงขีดสุด
ในขณะที่ตู๋กูซิงหลันยังไม่ทันได้มีปฏิกริยาใดๆ ออกไปนั้น หอกเล่มนั้นก็ถูกเขากระชับเอาไว้ ทันทีที่เขาใช้กำลังออกไป ก็พลิกหอกเล่มนั้นพุ่งย้อนกลับไป
ปลายหอกทะยานออกไป ทะลวงเข้าสู่ช่องท้องของเหลียงจวิ้นอ๋อง
ในขณะที่เขาถูกหอกเล่มนั้นแทงทะลวง คนก็ลอยถอยหลังไปทั้งร่าง หลังจากนั้นพลังแฝงที่รุนแรงและแข็งแกร่งอย่างยิ่งยังปักเขาจมลงไปในกำแพงหนาของจวนจวิ้นอ๋อง
“ตู้ม!” เสียงกระแทกดังสนั่น แม้แต่ตัวกำแพงยังทะลายลงมา
ทำให้ทุกคนต่างตกตะลึงไป
โดยเฉพาะพวกที่กำลังต่อสู้อยู่นั้น ต่างก็กวาดตามองไปเป็นทางเดียวกัน
จึงเห็นว่าเหลียงจวิ้นอ๋องแม้จะจมอยู่ใต้กำแพงทั้งร่าง แต่สายตาของเขายังคงจับจ้องไปที่ตู๋กูซิงหลัน
กระดูกทั่วทั้งร่างหักสะบั้นหมดแล้ว เขากระแอมไอออกมาติดๆ กัน อ้าปากกระอักเลือดออกมาคำโต
ในเลือดสดยังมีลิ่มเลือด เกรงว่าแม้แต่อวัยวะภายในก็คงแหลกเหลวหมดแล้ว!
แต่ถึงกระนั้น ดวงตาทั้งสองของเขาก็ยังไม่ได้คลาดไปจากร่างของตู๋กูซิงหลันเลยสักนิด
เขายื่นมือออกไปอย่างยากลำบาก ประคองลมหายใจเอาไว้ เอ่ยด้วยน้ำเสียงเหนื่อยแรงว่า “องค์หญิง…”
หากมิใช่เพราะว่าเมื่อครู่เขามัวแต่ตื่นตะลึงกับรูปโฉมของนาง….ก็คงไม่ถึงกับถูกจีเฉวียนแทงทะลุในหอกเดียว
กระดูกทั่วทั้งร่างหักหมดแล้ว แต่ว่าหัวใจดวงหนึ่งยังเต้นอยู่
สาวน้อยนางนั้น นางคือ?
เสียงที่เรียกหาองค์หญิง คนทั้งหมดในที่นี้ล้วนได้ยินแล้ว
ตู๋กูซิงหลันเองก็เช่นเดียวกัน นางมองไปยังเหลียงจวิ้นอ๋อง นางเห็นบนหอกในร่างของเขามีหมอกสีดำทมึนกลุ่มหนึ่ง
เมื่อครู่จีเฉวียนพิโรธแล้ว ดังนั้นจึงลงมือสังหาร
ขณะที่คนผู้นี้ทำการก่อกบฏอยู่นั้น เขายังไม่ได้คิดจะสังหารคน แต่เมื่อตัวนางตกอยู่ในอันตราย เขาก็ลงมือสังหารโดยไม่มีความลังเล
เพียงหอกเดียวก็เรียกชีวิตของเหลียงจวิ้นอ๋องได้
“องค์หญิง…. ท่านกลับมาแล้วใช่ไหม?” เหลียงจวิ้นอ๋องในตอนนี้แม้จะกระอักเลือดออกมามากมายก็ยังไม่ยอมละสายตาไปจากร่างของตู๋กูซิงหลันเลยสักนิดเดียว
——
[1] 擒贼先擒王 (qínzéiqínwáng)
射人先射马,擒贼先擒王 มาจากคำภีร์《前出塞》มาจากประโยคเต็มที่ว่า “ยิงคนยิงม้าก่อน จับโจรพึงจับหัวหน้า” เป็นหนึ่งในกลยุทธ์สายโจมตีในสามสิบหกกลยุทธ์ มุ่งเน้นจับกุมหรือสังหารผู้นำของฝ่ายตรงข้าม เพื่อทำลายขวัญกำลังใจของกองทัพศัตรู
ไรท์: กำลังมันเลยง่ะ เรื่องหน้าไรท์ควรไปสายบู๊ไหม หรือตลกต่อไป?
ตอนต่อไป “วัวแก่กินหญ้าอ่อน?”
ตอนที่ 332 วัวแก่กินหญ้าอ่อน?
เนื่องเพราะร่างกายที่บาดเจ็บสาหัสเป็นเหตุ ทำเอาแม้แต่สมองของเขาก็พลอยมึนงงและสับสนไปด้วย
ถึงได้เห็นว่าสาวน้อยผู้นั้นมีความคล้ายคลึงกับองค์หญิงเย่วอยู่หลายส่วน ยิ่งมองดู ก็ยิ่งรู้สึกว่านางกลับมาแล้ว
ตลอดหลายปีมานี้ เขาไม่เคยหลุดพ้นจากการแอบรักในครั้งนั้นเลย
ดังนั้นตลอดวันเวลาที่อาศัยอยู่ในเมืองกู่เย่วนี้ ในใจของเขาจึงคิดแต่จะล้างแค้นให้นางอยู่ตลอด
บ้านแตกสาแหรกขาด จับขังจองจำ ทั้งยังถูกทำให้เป็นมลทินอย่างน่าอับอาย
แต่ละเรื่องๆ เขาล้วนต้องการคิดบัญชีกลับไปทั้งสิ้น
ทั้งๆที่ก็รู้อยู่ว่านางมิได้รับรู้เลยว่าในโลกนี้ยังมีคนผู้หนึ่งที่หลงรักนางมากถึงเพียงนี้
“องค์หญิง เหลียงป๋อมีเรื่องหนึ่งที่คิดจะบอกท่านมานานหลายปีแล้ว” เหลียงจวิ้นอ๋องกระอักเลือดอยู่ตลอด สองมือเ**่ยวย่นของเขาเหมือนดังหนอนไหมที่ตายแล้วสั่นสะท้านไม่ยอมหยุด
“ขุนเขามีแมกไม้ พืชพันธุ์มีกิ่งก้าน ในใจข้ามีท่าน ไหนเลยเคยรู้[1]”
“สิบกว่าปีมานี้ ตั้งแต่แรกแล้ว ก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลง”
เขาไม่ใช่คนอย่างปฐมฮ่องเต้ หากไม่ได้มาก็บังคับครอบครอง
ยิ่งไม่เหมือนกันตู๋กูถิง ได้รับไปแล้วก็ไม่รู้จักถนอมเอาไว้ ยังจะแต่งลูกสาวบุญธรรมของตระกูลเจียงมาเป็นเมียน้อยอีก
หากว่าองค์หญิงเย่วยอมเคียงคู่อยู่ร่วมกับเขา เช่นนั้นชั่วชีวิตนี้ เขาจะมีนางเพียงผู้เดียว ไม่ว่าในสายตาหรือว่าในหัวใจ ก็ไม่อาจรองรับหญิงอื่นใดได้อีกแล้ว
แต่ชายทั้งสองคนนั้น….กลับทำร้ายนาง รังแกนาง!
ยิ่งคิดหัวใจของเหลียงจวิ้นอ๋องก็ยิ่งไม่ยอมสงบ
คำพูดเมื่อครู่ทุกคนต่างก็ได้ยินหมดแล้ว แต่ละคนล้วนต้องสูดลมหายใจเข้าไปอย่างเหน็บหนาว
“อ้ายย่าห์เจ้าข้าเอ๋ย นี่ยังไม่ใช่วัวแก่กินหญ้าอ่อนหรืออย่างไร?” ชือหลีไม่ได้เข้าใจสักนิดเลยว่าองค์หญิงที่เหลียงจวิ้นอ๋องเรียกนั้นที่จริงแล้วคือผู้ใด
นางเพียงคิดว่าเขาตกหลุมรักตู๋กูซิงหลันเข้าแล้วนั่นเอง
ก็ตู๋กูซิงหลันงดงามสคราญล้ำโลกเสียขนาดนั้น แถมตนยังเคยได้ยินมาว่า บิดาของจีเฉวียนยังตายเพราะความงามของนาง
ดังนั้นตอนนี้ที่เหลียงจวิ้นอ๋องจะเกิดความหลงใหลจนวิญญาณหลุดลอยก็เป็นเรื่องที่สามารถเข้าใจได้อยู่
“จะไม่ใช่ได้อย่างไร?” วิญญาณทมิฬหันไปตอบนาง “เกิดมารูปโฉมงดงามถือเป็นเคราะห์กรรมอย่างหนึ่ง แม้แต่ไอ้เฒ่ายังหลงใหลจนหัวปักหัวปำ”
ตู๋กูซิงหลัน “…..”
สีพระพักตร์ของฮ่องเต้เองก็ไม่ดีสักเท่าไหร่ พระองค์ชักพระหัตถ์ที่ถูกหอกทำร้ายจนเนื้อแหลกเละกลับมา ซ่อนเอาไว้ด้านหลัง ดวงเนตรหงส์ทั้งสองจับจ้องไปที่เหลียงจวิ้นอ๋องด้วยความเย็นชา
“เจ้าจำคนผิดแล้ว”
คนในดวงใจโดดเด่นเกินไป คนที่หลงใหลมีเป็นร้อยเป็นพันแต่ละคนล้วนไม่ธรรมดา แม้แต่ไอ้แก่อย่างเหลียงป๋อยังกล้ามาแย่งชิงกับเขา?
ถึงกับกล้าสารภาพรักออกมาต่อหน้าเขา เพราะไม่คิดจะมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกแล้วสินะ
“ข้าไม่ใช่องค์หญิง” ตู๋กูซิงหลันเองก็พยักหน้า ไม่รู้เพราะเหตุใดอยู่ๆนางถึงได้รู้สึกว่าเหลียงจวิ้นอ๋องผู้นี้ช่างน่าเห็นใจ
องค์หญิงที่เขาเรียกหา….ทำให้นางคาดเดาออกบางประการ
“ไม่ใช่หรือ….” เหลียงจวิ้นอ๋องประคองลมหายใจเอาไว้จดจ้องมองนาง
เมื่อครู่เขาสับสนไปแล้ว ตอนนี้พอมองดูให้ละเอียด…..ก็ไม่เหมือนกันจริงๆ
เพียงแต่ว่ามีความคล้ายคลึงกันหลายส่วน….
องค์หญิงเย่วดูอ่อนโยนกว่า แม้แต่สายตาก็เปี่ยมไปด้วยความเห็นอกเห็นใจผู้คน มิได้เหมือนดวงตาดอกท้อคู่นี้ ที่ดูลึกล้ำจนไร้ก้นบึ้ง
แต่พวกนางก็คล้ายคลึงกันมาก….เป็นความรู้สึกที่บอกไม่ถูก
ตอนนั้นที่องค์หญิงสุดท้ายก็เลือกที่จะอยู่กับตู๋กูถิง
ได้ยินมาว่าองค์หญิงมีหลานสาวแท้ๆอยู่ผู้หนึ่ง มีนามว่าตู๋กูซิงหลัน ซึ่งก็คือไทเฮาในปัจจุบัน
สาวน้อยผู้นี้…..
มีความใกล้ชิดกับจีเฉวียน…..
เหลียงจวิ้นอ๋องพลันคิดไปถึงความเป็นไปได้ประการหนึ่ง
‘นางมาร’ ที่เขาเรียกหาจนติดปาก คงจะเป็นไทเฮาน้อยแล้วกระมัง?
เช่นนี้ ก็สามารถอธิบายได้แล้วว่าทำไมนางถึงได้มีส่วนคล้ายคลึงกับองค์หญิงเย่ว
“อะเฮอะ อะเฮอะ….” เหลียงจวิ้นอ๋องยิ้มออกมาอย่างขมขื่น “ทำไมข้าถึงได้คิดไม่ถึง ว่าเจ้าเป็นหลานสาวของนางน่ะเอง…..”
หัวเราะไป น้ำตาของเขาก็รินไหลลงมาด้วยความชอกช้ำปนลงไปกับเลือด
“หากเจ้าเปิดเผยฐานะแต่แรก ข้าไหนเลยจะทำให้เจ้าต้องลำบาก….”
——
[1] 山有木兮木有枝,心悦汝兮汝不知
“ขุนเขามีแมกไม้ พืชพันธุ์มีกิ่งก้าน ในใจข้ามีท่าน ไหนเลยเคยรู้”
= บนภูเขามีต้นไม้ ต้นไม้แตกกิ่งก้านใบ (ความสมบูรณ์ สำเร็จงดงาม) ใจของข้าแอบหลงรักท่าน แต่ท่านกลับไม่เคยรู้เลย
กลอนบทนี้มาจากเพลงเรือของชาวเย่ว (หรือชาวจ้วง) (越人歌; Yuèrén Gē) ตำนานเล่าว่า ครั้งหนึ่งองค์ชายเออร์(鄂)เสด็จประพาสทางเรือ คนพายเรือผู้นี้ได้มีโอกาสพายเรือถวาย จึงร้องเพลงด้วยภาษาเย่วพึ่งบ่งบอกความในใจ แน่นอนว่าเจ้าชายที่มาจากต่างถิ่นฟังไม่รู้เรื่อง แต่ก็เกิดความประทับใจในท่วงทำนอง เมื่อกลับไปจึงให้เสาะหาคนมาแปลให้ฟัง พอเจ้าชายทราบว่าคนพายเรือแอบชอบพระองค์ ก็ให้คนมารับไปอยู่ด้วยกัน กลายเป็นตำนานรักของชายกับชายที่เก่าแก่ที่สุดของจีนเลยจ้า
ไรท์: อยากฟังเพลง? ตามไปดูYOUTUBE ฉากการแสดงที่ใส่หน้ากากสีขาวในหนังเรื่อง THE BANQUET 「夜宴」ได้เลยจ้า ค้นหาด้วย “夜宴 越人歌” อันนี้เลย
ตอนที่ 333 โอกาสที่ผ่านพ้น
เขาแอบหลงรักองค์หญิงเย่วมานานปี หากรู้ว่าเป็นหลานสาวของนาง เขามีรึจะทำร้ายนางได้ลง?
มีแต่จะรักถนอมนางเฉกเช่นเดียวกับเซิงเซิงต่างหาก?
เห็นอยู่ว่าเหลียงจวิ้นอ๋องกระอักเลือดไม่ยอมหยุด เหล่าลูกน้องของเขาก็ร้อนใจขึ้นมา
“ท่านอ๋อง!”
ผู้คนพากันรายล้อมเข้าไป ค่อยๆ ประคับประคองเขาออกมาอย่างระมัดระวัง
ใครจะไปคิดว่า เหลียงจวิ้นอ๋องผู้เก่งกล้าองอาจหนึ่งในห้าแม่ทัพผู้ก่อตั้งแคว้นต้าโจว พอถูกฮ่องเต้ซัดหอกเข้าใส่ครั้งหนึ่งก็จะมีสภาพกลายเป็นเช่นนี้?
สภาพของเหลียงจวิ้นอ๋องในตอนนี้ ทำให้เหล่าทหารทั้งหลายหมดความคิดจะตอบโต้อีกต่อไป เดิมทีก็เสียเปรียบอยู่แล้ว มาตอนนี้ทั้งหมดยิ่งเท่ากับว่าถูกมัดมือมัดเท้าจำต้องยอมแพ้
ตอนนี้ความหวังที่จะชนะได้จบสิ้นไปแล้ว
หากเปรียบเทียบกับฮ่องเต้แล้ว พวกเขาก็เป็นเพียงแค่ปลายแขนที่ไม่มีทางยิ่งใหญ่ได้เท่าต้นขา
ตอนนี้หัวใจของเหลียงจวิ้นอ๋องทั้งดวงจดจ่ออยู่ที่ตู๋กูซิงหลันเท่านั้น พอเขาถูกพวกลูกน้องประคองออกมา ก็ก้าวไปข้างหน้าอีกหลายก้าว
หลงเซียวรีบถลันเข้ามาใช้กระบี่น้ำแข็งในมือสกัดขวางเขาเอาไว้
ก่อนหน้านี้ตอนที่ปล่อยให้เหลียงจวิ้นอ๋องเข้าใกล้ฝ่าบาทได้….เป็นความตั้งใจของเขาเอง ภรรยาของหมอหลวงซุนได้สั่งสอนเอาไว้ ในช่วงเวลาที่สำคัญจะต้องสร้างโอกาสให้ฝ่าบาทได้เป็นผู้กล้าพิทักษ์หญิงงาม
เช่นนี้ ก็จะสามารถได้หัวใจของหญิงงามมาครอบครอง
ดังนั้นในตอนที่เหลียงจวิ้นอ๋องกระโดดโผขึ้นไปนั้น เขาไม่เพียงแต่ไม่ได้รั้งตัวเอาไว้ ซ้ำยังถอยให้อีกก้าวเล็กๆ
เป็นไง…..ฝ่าบาททรงเป็นผู้กล้าช่วยเหลือหญิงงามได้สำเร็จสวยงามเห็นไหมเล่า
เพียงแต่ว่าเรื่องเช่นนี้มีหนึ่งแต่ไม่อาจมีได้เป็นครั้งที่สอง รอบนี้ตนไม่อาจแกล้งเผลอปล่อยเขาเข้าไปได้อีกแล้ว
พอพึ่งจะขวางคนเอาไว้ ก็เห็นจีเฉวียนอุ้มตู๋กูซิงหลันเหาะลงมาจากหลังเมียเมียพอดี
พระองค์ใช้พระหัตถ์ข้างเดียวโอบเอวของตู๋กูซิงหลันเอาไว้ แล้วก็ลอยลงมาอย่างช้าๆ ต่อหน้าผู้คนทั้งหลายจนถึงเบื้องหน้าเหลียงจวิ้นอ๋อง
ทันทีที่ถึงพื้นดิน ไม่รู้ว่าเหล่าองครักษ์ลับไปหาบัลลังค์มังกรมาจากที่ใด วางเอาไว้ด้านหลังของพระองค์อย่างเหมาะเจาะพอดิบพอดี
ฮ่องเต้ทรงโอบกอดหญิงงามเอาไว้ กวาดพระชงฆ์ทั้งสองออกกว้างประทับนั่งลงบนบัลลังก์
ตอนนี้ตู๋กูซิงหลันถูกพระองค์อุ้มเอาไว้ จับให้นั่งบนพระเพลา
ที่ด้านหลังยังมีแสงเพลิงลุกโชน แสงสะท้อนมายังคนทั้งสองที่ดูคล้ายดั่งทรราชและนางสนมปีศาจ
“เหลียงป๋อ ก่อกบฏ ลอบปลงพระชนม์ มิว่าจะเป็นความผิดข้อใดก็เพียงพอจะให้เราประหารเจ้าเก้าชั่วโคตรได้แล้ว” พระหัตถ์ของจีเฉวียนวางลงบนร่างของตู๋กูซิงหลัน ช่วยทัดปอยผมให้กับนาง สายพระเนตรเหลือบมองดูเหลียงจวิ้นอ๋องอย่างเย็นชา
จากนั้นก็เห็นมุมพระโอษฐ์บางขยับยกน้อยๆ เย้ยหยันอย่างเย็นชา “เราเห็นแก่ความดีความชอบที่เจ้าร่วมติดตามปฐมฮ่องเต้ก่อตั้งประเทศ จะเมตตาให้เจ้าได้มีศพที่ครบถ้วน เจ้ายังมีเรื่องใดจะสั่งเสียอีกหรือไม่?”
เหลียงจวิ้นอ๋องตกตะลึงไปเล็กน้อย ในเมื่อเรื่องนี้ล้มเหลวแล้ว ย่อมต้องรู้ว่าตนเองไม่มีหนทางที่จะหลบหนี
จีเฉวียนใช้เพียงแค่หอกเดียวก็สามารถทำให้เขาบาดเจ็บหนัก เขาไหนเลยยังจะสามารถเป็นคู่มือของคนรุ่นหลังผู้นี้อีก?
ทั้งใบหน้าและทั่วทั้งร่างกายของเขามีแต่เลือดไหลท่วม ในร่างยังมีหอกคู่กายของเขาคาอยู่อีกเล่มหนึ่ง
“ข้าพ่ายแพ้ให้กับเจ้าแล้ว ไม่มีอะไรจะพูด”
เหลียงจวิ้นอ๋องพูดจบ ก็กำหอกเล่มนั้นเอาไว้แน่น ได้ยินเสียงเค้นกำลังดึงหอกเล่มนั้นออกมา
เลือดสดๆ ไหลรินออกจากช่องท้อง หยดเลือดไหลลงไปบนพื้นตรงหน้า
หน้าผากของเหลียงจวิ้นอ๋องมีแต่เม็ดเหงื่อเย็นๆ เต็มไปหมด แต่เขากลับทำเหมือนไร้ซึ่งความเจ็บปวด เพียงเงยหน้าขึ้นมามองดูตู๋กูซิงหลัน สายตานั้นพอกวาดมองขึ้นไปก็เหมือนว่าได้มองเห็นองค์หญิงเย่วในตอนนั้นอีกครั้ง
ใช่นางนั่นเอง…..ช่างดีเหลือเกิน
เขาขยับมือออกไป ในฝ่ามือมีแต่เลือดเปรอะเปื้อน สายตาที่มองดูตู๋กูซิงหลันนั้นแสนจะอ่อนโยน
“ก่อนตายข้ามีคำขอประการหนึ่ง มิทราบว่าแม่นางจะยินดีช่วยให้ข้าสมประสงค์ได้หรือไม่?” น้ำเสียงของเขาแหบพร่าทั้งยังแฝงแววขอร้องอยู่หลายส่วน
คนเราจะยังมีความเป็นอริศัตรูหรือไม่ แค่ดูจากบรรยากาศรอบตัวของเขาก็สามารถบอกได้แล้ว
“ท่านบอกมาเถอะ” นางขยับปลายนิ้ว พอสิ้นเสียงก็เห็นเหลียงจวิ้นอ๋องขยับเข้ามาใกล้นางอีกเล็กน้อย
“ข้ารู้ฐานะของแม่นางแล้ว ใบหน้านี้ของเจ้าบ่งบอกทุกสิ่งออกมา” พอห่างจากตู๋กูซิงหลันเพียงก้าวเดียว เหลียงจวิ้นอ๋องก็หยุดเท้าลง
ตู๋กูซิงหลันเองก็มิได้ตื่นตระหนก นางหรี่ตาลงมองดูเขา ก็เห็นถึงความเจ็บปวดที่ไม่อาจบรรยายออกมาได้ของเหลียงจวิ้นอ๋อง
เขาพยายามคุกเข่าลงข้างหนึ่งที่เบื้องหน้าของนาง ยื่นฝ่ามือที่มีแต่เลือดชโลมอยู่ออกมาอีกครั้ง “แม่นางพอจะกรุณา….จับมือของข้าได้หรือไม่ ถือเสียว่าเป็นคำขอร้องสุดท้ายของคนที่กำลังจะตาย”
ไม่มีใครเข้าใจความหมายในการกระทำของเหลียงจวิ้นอ๋อง ก่อนจะตายแท้ๆ กลับไม่กล่าวอะไรถึงเซิงเซิงที่เป็นหลานสาวของตนเองสักคำ คิดแต่จะให้เด็กสาวคนหนึ่งจับมือของเขา?
นี่เป็นเพราะแค่ว่าสาวน้อยคนนั้นหน้าตางดงาม? พอจวิ้นอ๋องท่านได้เห็นก็ตกหลุมรักขึ้นมาจริงๆ?
“เราไม่อนุญาต” จีเฉวียนตรัสเสียงเย็นชา คิดจะแตะต้องซิงซิงต่อหน้าต่อตาพระองค์เนี่ยนะ?
เหลียงจวิ้นอ๋องคงจะเบื่อที่มีชีวิตอยู่นานไปแล้วจริงๆ
ตรัสแล้ว พระองค์ก็ทอดพระเนตรไปทางเหลียงจวิ้นอ๋องครั้งหนึ่ง ขณะที่เงียบงันกันอยู่นั้น ก็ทรงยื่นพระหัตถ์ของพระองค์ออกไป
“เห็นแก่ที่เจ้ามีผลงานร่วมก่อสร้างแคว้น เราจะให้เจ้ากุมเอาไว้”
อย่าได้มาพูดว่าฮ่องเต้เช่นพระองค์ไม่มีน้ำจิตน้ำใจ กับคนที่ก่อกบฏสร้างความวุ่นวายในบ้านเมือง ก่อนตายยังได้รับการตอบรับคำขอถึงเพียงนี้ ต้องถือว่าเป็นพระกรุณาอย่างที่สุดแล้ว
ตู๋กูซิงหลันอยากจะคุกเข่าให้กับพระองค์บ้างแล้ว ก็แค่จับมือไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายสักหน่อย….
ยิ่งไปกว่านั้น นางก็อยากจะรู้เรื่องราวบางอย่างจากเหลียงจวิ้นอ๋องอีกด้วย
ขณะที่จีเฉวียนทรงยื่นพระหัตถ์ออกไปนั้น ตู๋กูซิงหลันก็โน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย ฝ่ามือเล็กๆ ที่ทั้งขาวและละเอียดนุ่มถูกส่งออกไป
เหลียงจวิ้นอ๋องคว้าเอาไว้แน่นอย่างไม่สนใจอะไรทั้งนั้น
นี่เป็นมือที่อบอุ่นเหลือเกิน
ความอบอุ่นสายหนึ่งซึมซาบสู่ก้นบึ้งหัวใจของเขา
ชั่วขณะนั้นเอง ในสมองของเขาก็ย้อนกลับไปหาภาพมากมายเมื่อหลายสิบปีก่อน
สายตาของเขาพร่าเลือนอยู่บ้าง นี่มันผ่านมานานกี่ปีแล้วนะ?
ตอนนั้นทั้งเขา ปฐมฮ่องเต้ และตู๋กูถิงยังคงหนุ่มแน่นเหมือนดั่งจีเฉวียนในยามนี้
เขาและตู๋กูถิงต่างก็เป็นแม่ทัพคู่ใจของปฐมฮ่องเต้
ปฐมฮ่องเต้ทรงเป็นผู้ที่มีพระทัยทะเยอทะยานมาแต่ไหนแต่ไร ก่อนที่จะขึ้นครองราชย์ก็หมายมั่นปั้นมือในสมบัติล้ำค่าของแคว้นกู่เย่วอยู่แล้ว
ภายใต้การวางแผนยุทธการณ์อย่างรอบคอบ ในช่วงที่ดอกไห่ถางกำลังผลิบานนั้น พวกเขาได้ลอบเข้าไปในแคว้นกู่เย่ว
น่าเสียดายที่โชคชะตาทำร้ายผู้คน สถานการณ์ในเมืองกู่เย่วกลับซับซ้อนกว่าที่พวกเขาคาดคิดเอาไว้มากมาย
ทุกสิ่งในที่นี่อยู่เหนือความคาดหมาย เพียงแค่ในป่าก็มีสัตว์อสูรภูติผีปีศาจนับไม่ถ้วน
ท่ามกลางการต่อสู้ที่ชุลมุน พวกเขาพลัดหลงกับปฐมฮ่องเต้ที่บาดเจ็บสาหัส
และเพราะการบาดเจ็บสาหัสในครั้งนี้ ทำให้ปฐมฮ่องเต้ทรงได้พบกับองค์หญิงเย่ว
ภายหลังจากนั้น กว่าที่เขาและตู๋กูถิงตามหาปฐมฮ่องเต้พบ พระองค์ก็อยู่ข้างกายองค์หญิงเย่วแล้ว
เขายังจำได้ วันนั้นมีฝนตกเบาๆ นางสวมใส่ชุดกระโปรงสีดำทั้งชุด แต่ว่ากลับดูงดงามดึงดูดสายตาอย่างที่สุด
ตั้งแต่พริบตานั้น ก็รั้งเขาเอาไว้จนชั่วชีวิต
………………..
ตอนนี้ ดวงตาของเหลียงจวิ้นอ๋องเกลื่อนไปด้วยประกายน้ำตา เขาเกาะกุมมือของตู๋กูซิงหลันเอาไว้แน่น สำลักหายใจอย่างยากลำบาก
“องค์หญิง………ผ่านมานานหลายปีแล้ว …….ในที่สุดข้าก็จะได้ไปพบท่านที่ปรโลกเสียที”
คนที่จะตาย แม้แต่ลมหายใจสุดท้ายก็ยังยื้อเอาไว้ไม่ได้
ตู๋กูซิงหลันปล่อยให้เขายึดเอาไว้
เหลียงจวิ้นอ๋องผ่อนลมหายใจ พยายามฝืนรวบรวมกำลังอย่างที่สุดเพื่อส่งลูกแก้วบนคอของเขาให้ตู๋กูซิงหลัน “นี้เป็นขององค์หญิงเย่ว ข้าคิดว่า ควรมอบให้เจ้า”
ว่าแล้ว เขาก็กระอักเลือดออกมาอีกคำโต
แต่ถึงสุดท้ายแล้วก็ยังไม่ยอมปล่อยมือของตู๋กูซิงหลัน เขามองไปที่จีเฉวียน “ฝ่าบาท ขอทรงเห็นแก่ที่กระหม่อมติดตามปฐมฮ่องเต้ไปทุกที่ ทั้งยังไม่เคยกระทำเรื่องให้เกิดผลร้ายต่อแคว้นต้าโจว เมื่อกระหม่อมตายแล้ว โปรดละเว้นทางรอดให้แก่เซิงเซิง”
——
ตอนต่อไป “ภักดีต่อฝ่าบาทจนตัวตาย”
ตอนที่ 334 ภักดีต่อฝ่าบาทจนตัวตาย
ที่สุดแล้วเขาก็มิได้เหลวไหล ยังคงคำนึงถึงหลานสาวที่บริสุทธิ์ไร้เดียงสาของตนอยู่
เมื่อเขาตายไป ในโลกนี้ก็จะไม่มีใครรู้เรื่องเซิงเซิงคือสายเลือดที่หลงเหลืออยู่ของเชื้อพระวงศ์แคว้นกู่เย่ว
ต่อให้จีเฉวียนที่เฉลียวฉลาดรู้แล้ว……แต่ตู๋กูซิงหลันเองก็เป็นทายาทขององค์หญิงเย่ว ในเมื่อเขารักนางถึงเพียงนั้น ก็คงจะเว้นทางรอดไว้ชีวิตเซิงเซิงเช่นกัน?
เขามองดูจีเฉวียนด้วยสายตาวิงวอน หอบเอาลมหายใจสุดท้ายคุกเข่าลงเบื้องพระพักตร์
สายพระเนตรของจีเฉวียนเย็นชา “นางเป็นกุ้ยเฟยของเรา เราย่อมไม่ทำอะไรกับนาง”
หากจะนับกันไปแล้ว เหลียงเซิงเซิงก็เป็นญาติผู้น้องของซิงซิง อย่างน้อยๆ ก็มีความผูกพันกันทางสายเลือด เขาย่อมไม่อาจกวาดล้างได้
เมื่อมีคำสัญญาของจีเฉวียน เหลียงจวิ้นอ๋องก็สามารถวางใจได้แล้ว
“กองทัพทั้งหมดฟังคำสั่ง เรื่องทั้งหมดในวันนี้เป็นการหาเรื่องใส่ตัวของข้าแต่เพียงผู้เดียว พวกเจ้าไม่อาจโกรธแค้นฝ่าบาท นับจากวันนี้เป็นต้นไปจะต้องทุ่มเทชีวิตและจิตใจรับใช้ฝ่าบาท ปกป้องต้าโจวจนตัวตาย!”
เขาสั่งออกมาเพียงประโยคเดียว ทหารทั้งหมดก็พากันคุกเข่าลงไป
มิว่าอย่างไรพวกเขาก็ติดตามเหลียงจวิ้นอ๋องมานานปี ย่อมมีความเคารพในตัวท่านอ๋องอย่างสุดใจ
ถึงแม้ว่าตอนนี้จะถูกองครักษ์ลับของฮ่องเต้ล้อมเอาไว้ แต่หากว่าจวิ้นอ๋องสั่งให้พวกเขาสู้จนตัวตาย พวกเขาก็พร้อมจะมอบชีวิตออกไป
ตอนนี้จวิ้นอ๋องต้องการให้พวกเขาถวายความจงรักภักดีต่อฮ่องเต้
เมื่อมองดูฮ่องเต้ที่ทรงประทับนั่งอยู่บนบัลลังก์อย่างองอาจในใจของแต่ละคนก็พลันเกิดความเคารพยำเกรงขึ้นมา
คิดๆ ดูแล้ว ฝ่าบาทก็ทรงให้หน้าแก้จวิ้นอ๋องมากแล้ว
หากมองจากมุมมองของพระองค์ จวิ้นอ๋องถือเป็นกบฏ สมควรจะต้องประหารเก้าชั่วโคตร แต่ว่าฝ่าบาทกลับไม่ได้ทรงบีบคั้นเขา ทั้งยังรับปากจะไว้ชีวิตคุณหนูเซิงเซิง
น้ำพระทัยที่กว้างขวางเช่นนี้ เหมาะสมกับฐานะของเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินอย่างยิ่ง
“ภักดีต่อฝ่าบาทด้วยชีวิต ปกป้องต้าโจวจนกว่าจะหาไม่!”
ไม่รู้ว่าผู้ใดตะโกนขึ้นมาก่อน เหล่าทหารทั้งหมดชะงักไปเล็กน้อย ก็พร้อมใจกันตะโกนออกมา
และท่ามกลางเสียงตะโกนสัตย์สาบานนี้เอง เหลียงจวิ้นอ๋องก็ได้ขาดลมหายใจไป
มือของเขากำหอกเอาไว้ คุกเข่าลงข้างหนึ่งให้กับจีเฉวียน ก้มศีรษะลงไป หลั่งเลือดจากช่องท้อง
ดั่งวีรบุรุษผู้ถดถอยไปตามกาลเวลา เป็นภาพที่โศกเศร้าจนไม่อาจจะบรรยายออกมาได้
เขาคุกเข่าอยู่ตรงนั้น อย่างไร้สำเนียงใดๆ อีกตลอดกาล
จีเฉวียนมองดูเขา ที่สุดแล้วยังต้องถือว่าเหลียงป๋อมีน้ำใจการุณ ก่อนตายก็ได้หาทางรอดเอาไว้ให้กับกองทัพเมื่องกู่เย่ว
ให้พวกเขาทั้งหมดศิโรราบต่อพระองค์ นี่คือทางรอดที่เหลียงป๋อให้กับพวกเขา
จีเฉวียนเองก็ทรงเป็นฮ่องเต้ที่มีพระเมตตาปราณี ย่อมไม่ทำอะไรกับพวกเขาเพราะเหลียงจวิ้นอ๋องเป็นเหตุ เพียงแต่ว่าทหารของกองทัพนี้ คงหมดโอกาสจะได้รับหน้าที่สำคัญไปชั่วชีวิต
…………………….
ฉู่เจียงเองก็ยืนอยู่ไม่ไกลออกไป เหลียงจวิ้นอ๋องตายไปแล้ว เขาไม่ได้รู้สึกสบายใจสักเท่าไร
ไอ้แก่นั่นอย่างไรก็เป็นปู่ของเหยื่อตัวน้อย
หากว่าเหยื่อตัวน้อยอารมณ์ไม่ดี กินเข้าไปก็จะไม่ค่อยอร่อย
คืนนี้เกิดเรื่องขึ้นมากมาย ทำเอาเขาเกือบจะลืมจุดมุ่งหมายไปเสียแล้ว
แต่เมื่อกวาดตามองไปโดยรอบ จะอย่างไรก็หาเหยื่อตัวน้อยไม่พบ
………………………….
ในเมืองกู่เย่ว บนหอสูง สีหน้าของต้าจี้ซือเองก็ไม่ดีสักเท่าไร
“ท่านประมุข ดูท่าเรื่องราวจะไม่ได้เป็นไปตามที่คาดไว้” ฉางซุนซิ่วยืนอยู่ข้างกายเขา ดวงตาทั้งสองเปี่ยมไปด้วยประกายเย็นยะเยือก
ใครจะไปคิดว่าอยู่ดีๆ จะถูกเหลียงจวิ้นอ๋องเข้ามาแทรกแซง ไม่เพียงแต่จีเฉวียนจะปลอดภัยไร้เรื่องราวเท่านั้น แต่กองทหารทั้งหมดของเมืองกู่เย่วยังยอมศิโรราบต่อเขา
เมื่อไม่มีหินขวางเท้าอย่างเหลียงจวิ้นอ๋อง เส้นทางที่จะครอบครองความยิ่งใหญ่ของจีเฉวียนก็ยิ่งสะดวกสบายมากขึ้น
ที่ยิ่งน่าเสียดายก็คือ ตู๋กูซิงหลันถึงกับยังไม่ตาย?
ตอนนั้นเขามั่นใจเลยว่า ช่องว่างของมิติเวลาพังทลายลงมา นางสมควรถูกแรงกดดันนั่นบีบคั้นจนร่างและกระดูกแหลกเหลว
คิดไม่ถึงว่านางจะมีชะตาเข้มแข็ง ไม่ตายก็แล้วไปเถอะ แต่ยังปีนกลับออกมาหาฮ่องเต้ได้
จีเฉวียน……ทั้งๆ ที่เป็นคนที่ถูกทอดทิ้งแท้ๆ แต่กลับกอดนางอย่างใกล้ชิดสนิทสนม
พระองค์มันช่างไร้ค่าเสียจริงๆ คนที่มิว่าอ้อนวอนอย่างไรก็ยังไม่สนใจ กลับถูกพระองค์วางเอาไว้เป็นยอดดวงใจ
พระองค์ลืมไปแล้วหรือ อาการบาดเจ็บทั่วทั้งพระวรกายของพระองค์ เขาได้ ‘แลก’ มาไว้บนร่างของตนเอง?
ฉางซุนซิ่วเออร์กำหมัดขึ้นมา บนร่างมีแต่ความกรุ่นโกรธ
สายตาของต้าจี้ซือเองก็มีแต่ความเย็นยะเยือก ประการแรกเรื่องราวไม่ได้เป็นไปอย่างที่เขาวางแผนเอาไว้
เขาคิดไม่ถึงว่า แม่ทัพของต้าโจวคนนั้นจะเคยแอบหลงรักเย่วเอ๋อร์มาก่อน
ใต้หล้านี้บุรุษที่หลงใหลนางมีมากมายเกินไปแล้ว…แม้แต่เขายังจนจำได้ไม่หมด
ประการที่สอง คือสาวน้อยในอ้อมแขนของจีเฉวียนผู้นั้น….
สำหรับพวกเขาที่ฝึกฝนบำเพ็ญมาจนถึงขั้นนี้แล้ว ถึงแม้ว่าจะอยู่ห่างกันไกลถึงเพียงนี้ แต่ก็ยังสามารถเห็นคนได้อย่างชัดเจน
และเพราะใบหน้านั้นทำให้ต้าจี้ซือต้องนิ่งงันไปเนิ่นนาน
“นางคือใครกัน?” พักใหญ่ ต้าจี้ซือถึงได้ถามออกมาคำหนึ่ง
“ตู๋กูซิงหลัน หลานสาวของตู๋กูถิง”
ฉางซุนซิ่วเอ๋อร์หัวเราะเสียงเย็นชาคำหนึ่ง “เป็นเพราะสตรีผู้นี้ ที่ทำให้แผนการณ์ทั้งในทางลับและในที่แจ้งของท่านประมุขจึงถูกทำลายไป”
“ตู๋กูซิงหลัน….” ต้าจี้ซือทบทวนชื่อของนางเบาๆ ครั้งหนึ่ง
เมื่อใช้แซ่ตู๋กูสองคำนี้ก็ยิ่งทำให้สีหน้าของเขาย่ำแย่กว่าเดิม
เขาไม่เพียงชิงชังราชวงศ์โจว ยิ่งเกลียดชังตระกูลตู๋กูยิ่งกว่า
ฉางซุนซิ่วเอ๋อร์ไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องที่ในร่างของนางเป็นจิตวิญญาณอีกดวงหนึ่งออกไป เนื่องเพราะเขาติดตามท่านประมุขมานานหลายปี จะมากจะน้อยย่อมรู้เรื่องที่เกี่ยวเนื่องกับท่านประมุขอยู่บ้าง
คนที่เกี่ยวพันกับตระกูลตู๋กู ทั้งยังก่อกวนแผนการของท่านประมุขอยู่หลายหน ท่านประมุขมีหรือจะยอมปล่อยนางไปง่ายๆ
คราวนี้ ต้าจี้ซือก็ไม่ได้กล่าวอะไรอีก หากแต่จับจ้องมองดูสาวน้อยในอ้อมแขนของจีเฉวียน
เห็นหางตาและหัวคิ้วของนางคล้ายคลึงกับเย่วเอ๋อร์อยู่หลายส่วน หัวใจที่เปี่ยมไปด้วยความแค้นมานานหลายปี ก็ต้องกระตุกขึ้นมาในทันที
หลานสาวแท้ๆ ของเย่วเอ๋อร์ เติบโตถึงเพียงนี้แล้ว
หากว่าตอนนั้นไม่ได้เกิดเรื่องราวพวกนั้นขึ้นมาละก็….สาวน้อยผู้นี้ เดิมทีสมควรจะเป็นหลานสาวของเขา
“ท่านประมุข กำลังสนใจอันใดหรือขอรับ?” ฉางซุนซิ่วเอ๋อร์เห็นเขาไม่พูดอะไรอยู่พักหนึ่งแล้ว จึงไม่เข้าใจอยู่บ้าง “วันนี้จีเฉวียนกลับได้ประโยชน์ไปอีกแล้ว หากว่ายังคงเป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าฐานกำลังของเขาจะยิ่งเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ ถึงตอนนั้น เมื่อท่านประมุขจะจัดการกับเขา เกรงว่าจะเป็นเรื่องยากแล้ว”
พอพูดจบ หมอกสีดำของต้าจี้ซือก็เพิ่มพูนขึ้นมา
ฝ่ามือหนึ่งตวัดลงไปบนใบหน้าของฉางซุนซิ่วเอ๋อร์ “ในสายตาของเจ้า ประมุขเช่นข้าถึงกับไร้ความสามารถเพียงนั้น?”
ฉางซุนซิ่วเอ๋อร์รับฝ่ามือไปเต็มๆ ใบหน้าที่งดงามประดุจเนื้อหยกมีเส้นเอ็นสีดำผุดขึ้นมาทั่วในทันที
ใบหน้าของเขาถูกตบจนหันไปข้างหนึ่ง แต่สีหน้ากลับไร้ความรู้สึกใดๆ เพียงกล่าวออกมาประโยคหนึ่ง “ท่านประมุขย่อมแข็งแกร่งที่สุดแล้ว”
เนื่องเพราะ…..บุรุษที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขานี้ก็เป็นเพียงร่างแบ่งแยกของท่านประมุขเท่านั้น
ร่างจริงของเขา คงอยู่ที่ตำหนักซิวหลัวเตี้ยนกระมัง?
เพียงแค่ร่างแยกร่างเดียวก็สามารถล่มทุกผู้ทุกนามในที่นี้ได้แล้ว อย่าว่าแต่ร่างจริงของเขาเลย
ต้าจี้ซือมิได้สนใจเขาอีก เพียงสลายร่างกายเป็นหมอกสีดำสายหนึ่งจากไป
บนหอสูง สายตาของฉางซุนซิ่วเอ๋อร์ยิ่งทวีความเคียดแค้นมากกว่าเดิม
……………
สามวันหลังจากนั้น
ขณะที่ผู้คนต่างก็กำลังคาดการณ์ว่าฝ่าบาทคงจะให้ห่อศพของเหลียงจวิ้นอ๋องด้วยเสื่อฟาง โยนลงไปในสุสานไร้ญาตินั้น เหลียงจวิ้นอ๋องกลับได้รับการทำพิธีกลบฝังอย่างสมเกียรติที่สุสานในเขาฝูงซางซาน
ทำพิธีเฉกเช่นท่านโหวผู้หนึ่ง
ผู้คนต่างเปลี่ยนแปลงมุมมองที่มีต่อฮ่องเต้พระองค์นี้ ทรงยอมให้ขุนนางกบฏผู้หนึ่งได้รับการทำพิธีกลบฝังเฉกเช่นโหวผู้หนึ่ง น้ำพระทัยนี้ทำให้ผู้คนต้องเคารพยกย่องแล้ว
ข่าวใหม่กระจายไปทั่งทั้งเมืองกู่เย่ว ก่อนหน้านี้ผู้คนต่างเคยได้ยินว่าฮ่องเต้ทรงร้ายกาจมีน้ำพระทัยเย็นชา ตอนนี้ดูแล้ว ที่จริงทรงมีพระเมตตาไพศาล
——-
ตอนต่อไป “ความทรงจำของเจียงเย่ว”
ไรท์: ไฮ้ย่าห์ ความทรงจำของท่านย่ามาแล้ว งานนี้ต้องมีคนเละแน่ๆ
ตอนที่ 335 ความทรงจำของเจียงเย่ว
ใต้ภูเขาฝูซางซาน รอบด้านล้วนมีแต่หมอกสีแดงอบอวล
พิธีฝังเริ่มขึ้นในยามเช้า ขณะที่ดวงอาทิตย์ยังไม่ทันขึ้นมา เชิงเขาฝูงซางซานก็มีผู้คนรออยู่มากมายแล้ว
ที่นี่คือลานประหัตประหารที่ทหารต้าโจวเข่นฆ่าชาวเมืองกู่เย่ว แรงแค้นเข้มข้น พลังต่อต้านมากล้น
คนเป็นที่พลัดหลงเข้ามาในเขาฝูงซาง โดยมากมาได้แต่กลับไปไม่ได้
สถานที่ฝังร่างของเหลียงจวิ้นอ๋องอยู่ลึกเข้าไปข้างใน ทำให้คนรู้สึกลำบากใจอยู่บ้าง
ยังดีที่เป็นเพียงแค่เชิงเขาฝูซางซาน ไม่ถือว่าอันตรายเท่าใด
เพียงแต่บรรยากาศอึดอัด ทึมทึบ ทำให้ผู้คนรู้สึกไม่สบายตัว
ตู๋กูซิงหลันติดตามจีเฉวียนมาด้วยกัน นั่งอยู่ภายในรถม้า ไม่ได้เปิดเผยโฉมหน้าออกมา
ทุกผู้คนต่างก็รู้ว่า ฝ่าบาททรงถูกนางมารผู้หนึ่งล่อลวงจนหลงใหล ตลอดหลายวันนี้เป็นต้องให้นางมารน้อยผู้นั้นติดตามอยู่ข้างพระวรกายอยู่เสมอ ไม่เคยห่างแม้ชั่วครู่ชั่วยาม
เหล่าองครักษ์ลับจากต้าโจวล้วนรู้ดีว่านางมารน้อยผู้นี้ก็คือไทเฮาผู้ไร้เทียมทาน
แต่ชาวเมืองกู่เย่วกลับไม่ทราบเรื่องราวใดๆ
เมื่อมาถึงเชิงเขาฝูซางซาน ทั้งไอหยินและแรงแค้นที่อัดแน่นจนเข้มข้น ทำเอาแม้แต่ตู๋กูซิงหลันก็ยังต้องตื่นตะลึงไป
ก่อนที่เหลียงจวิ้นอ๋องจะตายได้มอบลูกแก้วลูกหนึ่งให้กับนาง นางรับมาแล้วก็เก็บเอาไว้ในกระเป๋า
แต่พอมาถึงเชิงเขาแห่งนี้ ลูกแก้วลูกนั้นก็เรืองแสงขึ้นมา เป็นแสงสว่างจ้าจนทำให้คนต้องแสบตา
ตู๋กูซิงหลันนั่งอยู่ในรถม้าเพียงลำพัง ทันทีที่เกิดประกายแสงว่างขึ้น บรรยากาศรอบกายของนางก็พลันเปลี่ยนไป
สิ่งที่ปรากฏสู่สายตาคือป่าลึกผืนหนึ่ง
สกุณากาเหว่าส่งเสียงร้อง แม้แต่ในอากาศก็ยังมีกลิ่นหอมของดอกไม้
แสงอาทิตย์ลอดผ่านใบไม้ลงมา ส่องลงบนลำต้นของต้นไฮ่ถางขนาดใหญ่ต้นหนึ่ง
ใต้ต้นไม้ต้นนั้นเอง มีบุรุษผู้หนึ่งหลั่งเลือดชโลมกาย
เขาสวมใส่เสื้อผ้าสีทองทั่วทั้งร่าง แผ่นหลังพิงอยู่กับลำต้น เส้นผมรุ่ยร่ายเห็นใบหน้าเพียงครึ่งเดียว
ใบหน้านั้น…..คล้ายคลึงกับจีเฉวียน
แต่กลับให้ความรู้สึกที่แตกต่าง
มิได้เย็นชาเช่นจีเฉวียน ทั้งไม่ได้ยโสเท่า หัวคิ้วของเขาขมวดมุ่น ดูท่าทางกำลังอ่อนแอออย่างยิ่ง
เสื้อผ้าสีทองขาดวิ่นจนมีแต่รูโหว่ ทั่วทั้งร่างของเขามีแต่บาดแผลที่หนักหนา
ริมฝีปากแห้งผาดจนหลุดลอก คล้ายกับว่าไม่ได้รับน้ำสักหยดมาหลายวันแล้ว
แสงอาทิตย์จับลงบนใบหน้าของเขา ที่ปราศจากสีเลือดอย่างสิ้นเชิง
ในป่าทึบที่มีแสงสว่างรำไรดวงตาลึกลับหลายคู่กำลังจดจ้องอยู่ แต่ละตัวจับจ้องไปที่เขา แต่ก็ไม่กล้าผลีผลามเข้าไป
ก็แค่มนุษย์ที่แข็งแกร่งมากกว่าธรรมดาเพียงคนเดียว สำหรับพวกมันแล้วย่อมเป็นแรงดึงดูดใจอย่างมหาศาล
ในที่สุดย่อมต้องมีตัวที่ทนไม่ไหวอีกต่อไป
สุนัขป่าตัวใหญ่กว่าสองเมตรตัวหนึ่ง มันค่อยๆ กางเล็บบนอุ้งเท้าออกมา คำรามแผ่วเบาก็กระโจนเข้าไปหาคนในวูบเดียว
ขณะที่มันกระโจนเข้าไปนั้น ในป่าทึบกลับมีอสรพิษสีแดงขนาดใหญ่พุ่งออกมา อสรพิษฉกใส่ร่างของหมาป่าเลื้อยรัดมันไว้ด้วยความรวดเร็ว เพียงแค่ช่วงเวลาสั้นๆ ก็บีบจนกระดูกแตกแหลกเหลวหมด
จากนั้นมันก็แลบลิ้นออกมาเลื้อยเข้ามาหาบุรษผู้นั้น
มันอ้าปากที่ภายในเป็นสีแดงออกกว้าง แต่ด้านหลังกลับมีนกแร้งขนาดใหญ่กระพือปีกโฉบลงมา
นกแร้งตัวนั้นวาดปีกออกกว้างมีความยาวห้าถึงหกเมตร ทันทีที่มันโผลงมาก็ตระครุบลงไปบนจุดเจ็ดนิ้วของอสรพิษตัวนั้น จากนั้นก็ฉีกงูเป็นสองท่อนในทันที
พอเจ้างูนั่นตัวเย็นเฉียบไปแล้ว ดวงตาของนกแร้งก็สาดประกายเย็นยะเยียบ กรงเล็บที่แหลมคมตวัดขึ้นมาเตรียมจะแทงลงไปในเนื้อของชายหนุ่ม
ชั่วขณะนั้นเอง ลูกศรที่เย็นเฉียบดอกหนึ่งพุ่งออกมาจากในป่า พุงเข้าใส่ลำคอของนกแร้ง
นกแร้งขยับปีกหลบออกไป มันโกรธเกรี้ยวขึ้นมา หันหัวกลับไปทางยังทิศทางที่ลูกศรพุ่งออกมา
มันกระพือปีกขึ้นโกงคอร้อง กรงเล็บที่แหลมคมกรีดลงไปบนพื้น
ขณะเดียวกัน สายลมหอบหนึ่งพัดมา สาวน้อยในชุดกระโปรงสีดำผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้นใต้ต้นไม้
นางมีผ้าโปรงคลุมหน้า เปิดเผยเพียงดวงตาอบอุ่นอ่อนโยนที่น่ามอง
บนหลังของนางมีคันธนูสีทองขนาดใหญ่ รูปร่างที่เล็กและบอบบางถึงเพียงนี้กลับสามารถน้าวคันธนูนั้นได้จนสุด ทั้งยังยิงลูกศรติดต่อกันสามดอกใส่นกแร้ง
ลูกศรแหวกอากาศออกมา ส่งเสียงเฟี้ยวๆๆ ติดกัน
ครั้งนี้พลังยังรุนแรงกว่าครั้งก่อน ศรสามดอกพุ่งออกไป ก็แทงเข้าไปในหัวของนกแร้งตัวนั้นทันที
ขนสีขาวบนหัวนกแร้งร่วงลงมา นางขยับร่างเพียงวูบเดียวก็มาถึงข้างกายนกแร้ง ในมือเพิ่มกริชที่ล้วงออกมาจากอกเสื้อเล่มหนึ่ง สะบัดออกไปเพียงสองที่ก็ตัดกรงเล็บของนกแร้งออกมา
จากนั้นก็ไปที่อสรพิษที่ขาดเป็นสองท่อน ล้วงเอาดีงูของมันออกมา
สุดท้ายค่อยหันไปหาหมาป่าตัวใหญ่ ถอนเขี้ยวของมันออกมา
ทุกขั้นตอนรวดเร็วลื่นไหล สำเร็จลงไปอย่างรวดเร็วในช่วงเวลาอันสั้น
บนหลังของนางสะพายธนูคันใหญ่ ในมือถือเขี้ยวหมาป่า ดีงูและกรงเล็บนกแร้งเอาไว้ พลางเดินเข้ามาหาบุรุษหนึ่งทั้งๆ ที่มีเลือดหยดเป็นทาง
พอมาถึงข้างกายเขา ก็หยุดมองอยู่ครู่หนึ่งค่อยคุกเข่าลง มือข้างหนึ่งคว้าลำคอของเขาเอาไว้ พลางแนบจมูกลงมาสูดดม
ดมดูซิว่าตายหรือยัง
พอถูกคนสัมผัส บุรุษผู้นั้นค่อยลืมตาขึ้นมา
สมองของเขางุนงงอยู่ครู่หนึ่ง จมูกของตนเองแทบจะชนกับจมูกหญิงสาวผู้นั้น
ดวงตาทั้งสี่ตาประสานกัน ในดวงตาของเขาเห็นแต่เพียงนางเท่านั้น
สาวน้อยชะงักไปชั่วครู่ “เจ้ายังไม่ตาย?”
พูดแล้วนางก็ยิ้มออกมา ถึงแม้ว่าจะมีผ้าปิดหน้าแต่ก็ยังสามารถมองเห็นดวงตาที่ยิ้มอย่างดีใจจนโค้งมนของนางได้
นายคลายมือจากบุรุษผู้นั้น สะบัดของรางวัลจากการล่าที่อยู่ในมือ “เจ้าน่าอร่อยมากหรือ? พวกมันล้วนอยากจะกินเจ้า”
บุรุษผู้นั้นชะงักไปเล็กน้อย เขาหลุบตาลงมองดูบาดแผลบนร่าง กล่าวอย่างเย็นชาว่า “เนื้อมนุษย์ไม่อร่อย”
สาวน้อยได้ยินแล้ว ก็กัดลงไปบนหัวไหล่ของเขาครั้งหนึ่งทันที ในปากของนางได้รสเข้มข้นของคาวเลือด ทำให้รู้สึกไม่ดีเท่าไหร่
นางขมวดคิ้วส่ายศีรษะ “ไม่อร่อยจริงๆ ด้วย”
“ในเมื่อเจ้าไม่อร่อย ก็จะปล่อยเจ้าไป” พูดแล้ว นางก็ลุกขึ้นยืน
เดินไปได้สองก้าวก็หันหลังกลับมา ถอดเสื้อผ้าครึ่งบนออกจนหมดสิ้น
“เจ้าจะทำอะไร?” บุรุษหนุ่มสีหน้าเย็นชา เขาบาดเจ็บหนักจนไม่อาจต่อต้าน
“จัดการกับเจ้า” สาวน้อยพูดแล้วก็จับคางของเขาขึ้นมา ง้างปากออก ยัดเม็ดยาเม็ดหนึ่งลงไป
จากนั้นค่อยล้วงเอาแถบผ้าและยาทาแผลออกมาจากถุงสะพายหลัง
“ข้ามักจะมาล่าสัตว์บนภูเขาฝูซางซาน แต่ไม่ค่อยได้เจอคนเป็นบนภูเขานี้สักเท่าไหร่ ในเมื่อเจ้าไม่ตายแสดงว่าชะตาแข็ง ได้พบเจอข้าก็ยิ่งถือว่ามีโชค”
นางพูดพลางก็เทเหล้าลงไปบนร่างของเขา ถอนพิษและใส่ยาลงบนบาดแผลกระทั่งพันแผลให้จนเสร็จเรียบร้อย
“เจ้าชื่ออะไร? เป็นคนแคว้นใด มาที่เขาฝูงซางซานเพื่ออะไร?”
บุรุษผู้นั้นมิได้ตอบคำถามนาง สาวน้อยที่อยู่ๆ ก็โผล่ออกมาเพียงลำพังบนภูเขาฝูซางซาน ……บางที่อาจจะไม่ใช่มนุษย์ก็เป็นได้
พักใหญ่ต่อมา เขาก็ส่ายศีรษะ “จำไม่ได้แล้ว”
“ขนาดตนเองเป็นใครก็จำไม่ได้?” สาวน้อยออกจะประหลาดใจอยู่บ้าง นางยื่นมือเข้าไปในเส้นผมของเขา ตรวจดูศีรษะอย่างละเอียดละออ “หัวก็ใหญ่ถึงขนาดนี้ คงไม่ได้ปัญญาอ่อนไปแล้วละมั้ง…..?”
“ไม่ได้ปัญญาอ่อน แค่จำไม่ได้ว่าตนเองเป็นใคร” บุรุษผู้นั้นกล่าวเบาๆ นิสัยเย็นชาเช่นนี้เหมือนกับจีเฉวียนไม่มีผิด
เขาขมวดคิ้ว ไม่ชอบความรู้สึกที่ศีรษะของตนเองถูกคนลูบคลำเท่าใดนัก
——
คุยกันนิดนึง: ว่าด้วยเรื่องการล้างแผล
ไรท์: เรามักจะได้เห็นนิยาย/หนังจีนชอบใช้เหล้าแรงๆ ล้างแผล นัยว่าสะอาด หาง่าย ใกล้มือ ฆ่าเชื้อโรคได้ ไรท์ขออนุญาตขยายความนิดหนึ่งว่า เหล้าของชาวจีนนั้นหมักจากข้าว หรือธัญพืช และผลไม้ แอลกอฮอลล์ที่ได้จึงเป็นแบบที่กินก็ได้ ฆ่าเชื้อโรคก็ดี แต่ไม่ควรเทใส่แผลโดยตรงเพราะจะทำลายโปรตีนในเนื้อเยื่อ ทำให้เกิดเนื้อตาย และแผลหายช้า แสบร้อน ระคายเคือง ควรใช้เช็ดรอบๆ แผลเพื่อฆ่าเชื้อโรคไม่ให้เข้าสู่ปากแผลเท่านั้นจ้า
*เวลาล้างแผล =น้ำสะอาดหรือน้ำเกลือพอ (#แม่พลาดมาเยอะ)
ตอนต่อไป “เจ้าไม่อาจแต่งกับเขา”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น