กระบี่จงมา 330.3-331.1
บทที่ 330.3 การช่วงชิงแห่งแม่น้ำและภูเขา
ProjectZyphon
เฉินผิงอันปลุกเผยเฉียนตั้งแต่เช้า คนทั้งสองกินอาหารแห้งง่ายๆ อิ่มแล้วก็ออกเดินทางต่อ ตั้งใจเดินอ้อมผ่านทิศทางที่ตั้งของจวนจินหวงแห่งนั้น
เฉินผิงอันดีดตัวกระโดดขึ้นไปบนกิ่งของต้นไม้ใหญ่ตนหนึ่ง ทอดสายตามองไปไกลด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
งานเลี้ยงฉลองแต่งงานของเทพภูเขา เหตุใดถึงกลายเป็นการเข่นฆ่าที่เหมือนไฟลามทุ่งแบบนี้ไปได้?
สนามรบที่อยู่ห่างออกไปสิบกว่าลี้มีบุรุษเกราะทองคนหนึ่งกำลังร่ายเวทคาถา ไอน้ำแผ่อบอวลไปทั่วพื้นดิน เขายืนอยู่บนกระดูกสันหลังสีเขียวขนาดใหญ่ยักษ์ของสัตว์ตัวหนึ่ง ในมือถือทวนเหล็ก
มือกระบี่โครงกระดูกขาวเสียแขนไปข้างหนึ่งแล้ว ต่อให้มันจะพยายามทุ่มอย่างสุดกำลัง อีกทั้งยังเรียกรวมผู้ฝึกลมปราณกลุ่มหนึ่งมาอย่างลับๆ แต่เมื่อเจอกับปีศาจใหญ่แห่งสายน้ำที่สามารถเรียกลมเรียกฝนได้ตนนี้ มันและผู้ใต้บังคับบัญชามากมายของเจ้าเมืองก็ยังตกเป็นรองอยู่ดี เพียงแต่ว่าจวนจินหวงได้เปรียบในเรื่องของชัยภูมิ ดังนั้นทั้งสองฝ่ายต่างจึงล้มตายเสียหายไม่ต่างกัน
บุรุษชุดคลุมสีทองคนหนึ่งเดินออกจากตำหนักหลักที่สถานการณ์โดยรวมมั่นคงดีแล้ว พอเดินออกจากประตูก็ก้าวยาวๆ ไปข้างหน้า ร่างของเขาพลันขยายใหญ่ สองจั้ง สามจั้ง ห้าจั้ง รอจนกระทั่งไปถึงปากทางเข้าหุบเขา ร่างสีทองอร่ามของเขาก็สูงถึงสิบจั้งแล้ว เขาพลันกระโดดตัวขึ้นสูง พริบตาเดียวก็ก้าวผ่านสนามรบที่การต่อสู้เป็นไปอย่างดุเดือด ปล่อยหมัดต่อยไปบนศีรษะของสัตว์ประหลาดที่มีร่างเป็นปลาสีเขียวตัวนั้น
เฉินผิงอันไม่ชมศึกต่ออีก พอพลิ้วกายลงบนพื้นแล้วก็พูดเสียงหนักว่า “ไปกันเถอะ”
เผยเฉียนถามหยั่งเชิง “เหมือนว่าข้าจะได้ยินเสียงฟ้าร้อง ในหูมีเสียงดังครืนๆ อยู่ตลอดเวลาเลย”
เฉินผิงอันคิดแล้วก็หยิบยันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจแผ่นหนึ่งที่เขียนเสร็จนานแล้วออกมา เอามาคีบไว้ด้วยสองนิ้ว แล้วตบลงบนหน้าผากของเผยเฉียนเบาๆ โดยเบี่ยงไปทางขวาเล็กน้อย จึงไม่บดบังการมองเห็นของนาง พลางเอ่ยเตือนว่า “ตั้งใจเดินทางอย่างเดียวก็พอ มันไม่มีทางร่วงลงมา แต่ก็อย่าฉีกมัน เมื่อมีมันอยู่ ภูตผีปีศาจทั่วไป หากเห็นเจ้าแล้วจะถอยห่างไปด้วยตัวเอง”
ทว่าเวลานี้เอง เสียงคำรามดังสะเทือนเลือนลั่นราวฟ้าผ่าพื้นดินแตกแยกก็ดังขึ้น
นางตกใจสะดุ้งโหยง ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ รู้สึกขาอ่อนเดินไม่ไหว พูดเสียงสั่น “ข้ากลัว ขาไม่เชื่อฟัง เดินไม่ไหวแล้ว”
สำหรับภูตผีปีศาจในป่าเขาที่กินเนื้อคนในความรู้สึกของนางเหล่านั้น นางกลัวจริงๆ ตอนนี้จึงไม่ได้แกล้งสำออยให้เฉินผิงอันสงสาร
เฉินผิงอันระอาใจเล็กน้อย ครั้นจึงหยิบยันต์ปราณหยางส่องไฟออกมาอีกแผ่นหนึ่ง บอกให้เผยเฉียนถือไว้ในมือ “ยันต์สองแผ่นนี้ล้วนเป็นสิ่งของของเทพเซียน ปกป้องเจ้าได้แน่นอน”
เผยเฉียนชำเลืองตามองยันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจที่ห้อยต่องแต่งอยู่เบื้องหน้า แล้วค่อยมองยันต์ปราณหยางส่องไฟที่อยู่ในมือแผ่นนั้น พูดเสียงสะอื้น “ให้ยันต์ข้าเพิ่มอีกสักแผ่นเถอะ ข้าจะได้ถือไว้ทั้งสองมือ”
เฉินผิงอันจึงได้แต่หยิบยันต์ปราณหยางส่องไฟออกมาให้นางอีกหนึ่งแผ่น เผยเฉียนที่ถือยันต์ไว้มือละหนึ่งแผ่นเดินไปได้สองก้าวก็โซเซ ยังคงไม่มีเรี่ยวแรง นางตกใจไม่น้อยเลยจริงๆ
เฉินผิงอันพูด “ยันต์สองแผ่นบนมือมีราคามาก ถือไว้ให้ดี แผ่นที่อยู่บนหน้าผากก็ยิ่งล้ำค่า เอาไปซื้อบ้านหลังใหญ่หลังหนึ่งในเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนได้เลย หากเจ้าสามารถเดินได้ด้วยตัวเอง เดินตามข้าไปได้ทัน ข้าก็จะลองพิจารณาดูว่าจะมอบให้เจ้าหนึ่งแผ่น”
เด็กหญิงผอมแห้งน้ำตาคลอเจียนจะหยด ใบหน้าดำเกรียมยับยู่ เต็มไปด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ “ไม่หลอกข้านะ?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ
นางสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง เสียงสวบดังทีหนึ่งก็วิ่งพุ่งออกไป กางแขนทั้งสองข้างออกเหมือนคนหาบน้ำ ในมือกำยันต์ปราณหยางส่องไฟสองแผ่นนั้นไว้แน่น หน้าผากยังมียันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจแปะอยู่ มองดูแล้วน่าตลกอย่างยิ่ง
นางวิ่งไปได้ระยะทางหนึ่งยังไม่เห็นว่าเฉินผิงอันตามมาก็รีบหันหน้ามาพูดเสียงสะอื้น “เจ้าวิ่งเร็วๆ หน่อยสิ! หากพวกเราถูกจับได้ขึ้นมา เจ้าตัวใหญ่ พวกมันต้องกินเจ้าก่อนแน่…”
เฉินผิงอันลูบหน้าตัวเองแล้วเดินตามไปเงียบๆ
ดีนักนะ ชื่อเผยเฉียนนี้ไม่ได้ตั้งมาอย่างเสียเปล่าจริงๆ
คราวนี้เด็กหญิงผอมแห้งไม่กล้าแอบอู้อีก นางวิ่งเร็วมาก แล้วก็ไม่เคยบ่นว่าเหนื่อย
เฉินผิงอันเอาชือซินออกมาห้อยไว้ตรงเอว อีกฝั่งหนึ่งของเอวห้อยน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ หนึ่งซ้ายหนึ่งขวาตรงข้ามกันพอดี
สะพายห่อสัมภาระไว้เฉียงๆ ในมือยังถือเบ็ดตกปลา ก้าวเดินไปตามฝีเท้ายามวิ่งของเผยเฉียน เดินเคียงข้างนางไปตลอดเวลา
อันที่จริงเฉินผิงอันไม่ได้กังวลถึงความอันตราย ขอแค่ไม่เอาตัวไปไว้ในใจกลางของสนามรบก็ไม่เสี่ยงแล้ว
เผยเฉียนก้าวเดินถี่กระชั้น ความเร็วในการวิ่งเดี๋ยวช้าเดี๋ยวเร็ว แต่เพื่อหนีเอาชีวิตรอดก็ดูเหมือนว่านางจะดึงเอาความคล่องแคล่วและสติปัญญาทั้งหมดมาใช้แล้ว ถึงวิ่งไปบนทางภูเขาได้ไกลถึงสองสามลี้ในรวดเดียว ต้องรู้ว่าเส้นทางภูเขานั้นเดินได้ยากกว่าเส้นทางในเมืองมาก หลังจากนั้นนางก็ไม่ได้หยุดพัก แต่เปลี่ยนเป็นท่าก้าวเดินปกติด้วยตัวเองโดยไม่ต้องให้เฉินผิงอันเอ่ยเตือน รอจนคืนสติกลับมาถึงชักขาออกวิ่งอีกครั้ง เป็นอย่างนี้ซ้ำไปซ้ำมา
นี่ทำให้เฉินผิงอันที่แอบสังเกตเด็กหญิงอยู่เงียบๆ อึ้งตะลึงไปนาน
จำต้องยอมรับว่าพรสวรรค์ในการฝึกวรยุทธ์ของนางดีมากจริงๆ
นี่ไม่ใช่สายตาของเฉินผิงอันตอนที่อยู่ในถ้ำสวรรค์หลีจู
แต่เป็นสายตาของเฉินผิงอันที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตห้าหลังจากสังหารติงอิง
ทว่าเรื่องการฝึกตนนี้ก็เหมือนท่าทีที่หร่วนฉงเคยปฏิบัติต่อเฉินผิงอัน ขอแค่ไม่มองว่าเป็นคนบนเส้นทางเดียวกันก็ไม่มีทางถ่ายทอดวิชาให้แม้แต่คำเดียว ไม่อาจเป็นอาจารย์และศิษย์กันได้ ต่อให้เป็นศูนย์ฝึกวรยุทธ์ที่ตั้งอยู่ข้างตรอกจ้วงหยวนพื้นที่มงคลดอกบัวแห่งนั้น แม้อาจารย์ผู้เฒ่าที่สอนวิชาหมัดจะไม่ใช่ยอดฝีมืออะไร แต่ก็ยังยืนกรานว่าหากลูกศิษย์ฝ่ายในไม่มีคุณธรรมในการฝึกวรยุทธ์ก็จะไม่มีทางถ่ายทอดวิชาหมัดอันสูงส่งให้เด็ดขาด แค่ให้ลูกศิษย์สามารถเลี้ยงปากเลี้ยงท้องได้ก็พอแล้ว
เฉินผิงอันก็ยิ่งไม่มีความคิดที่จะถ่ายทอดวิชาหมัดให้เผยเฉียนเลยแม้แต่น้อย
เพราะสภาพจิตใจของนางตามตบะของตัวเองไม่ทัน ฝึกวิชาหมัด เรียนมรรคกถาระดับสูง นอกจากรังแกคนอื่น ก่อกรรมทำชั่ว ตัดสินความเป็นความตายของคนอื่นตามใจตัวเองปรารถนาแล้ว จะยังทำอะไรได้อีก? อวี๋เจินอี้ถูกเขาด่าคำเดียวว่าฟักเตี้ยก็คิดจะสังหารคนแล้ว ผู้สูงส่งอยู่ในตำแหน่งสูง การกระทำง่ายๆ อย่างแค่ดีดนิ้วหรือสะบัดปลายแขนเสื้อของพวกเขา อาจกลับกลายมาเป็นเรื่องใหญ่ที่เกี่ยวพันถึงความเป็นความตายของมนุษย์ธรรมดาที่อยู่ล่างภูเขา
คนเราย่อมมีเวลาที่พละกำลังสิ้นสุดลง ไม่ว่าเผยเฉียนจะมีพรสวรรค์ดีมากแค่ไหน แต่ถึงอย่างไรก็ยังเป็นแค่เด็กอายุเก้าขวบ ร่างกายยังอ่อนแอ พอวิ่งออกไปได้เจ็ดแปดลี้ก็สิ้นเรี่ยวแรง ขยับเดินต่อไม่ไหวอีกแม้แต่ก้าวเดียว นางยืนอยู่ที่เดิม เริ่มคร่ำครวญด้วยความเสียใจ มองชุดคลุมสีขาวของเฉินผิงอันด้วยน้ำตาเอ่อคลอ ความคิดแรกของนางก็คือเจ้าหมอนี่ต้องทิ้งนางไว้ ไม่สนใจนางอีกแล้วแน่ๆ
เอาใจตัวเองไปวัดใจคนอื่น
เผยเฉียนพูดไม่ออกแล้ว
แต่นางกลัวมากว่าคนผู้นี้จะเดินหนีไป
เฉินผิงอันนั่งยองอยู่ข้างกายนาง เผยเฉียนก็รีบฟุบตัวลงบนหลังเขา พอเฉินผิงอันลุกขึ้นยืน นางก็กอดคอเขาไว้ ใบหน้านองไปด้วยน้ำตา
เฉินผิงอันเดินไปบนทางเส้นเล็กระหว่างต้นไม้อย่างเชื่องช้า พูดเสียงเบาว่า “ขอแค่เจ้าไม่ทำเรื่องชั่วร้าย ก็ไม่มีทางที่ข้าจะไม่สนใจเจ้า”
เด็กหญิงพยักหน้ารับอย่างแรง ไม่ต้องวิ่งเองแล้วก็เริ่มมีความกล้า สีหน้าท่าทางของเผยเฉียนดีขึ้นมาหลายส่วน พูดถอนสะอื้น “ตกลง นับจากวันนี้เป็นต้นไปข้าจะเป็นคนดี”
กล่าวจบนางก็เช็ดใบหน้าเล็กๆ ลงบนไหล่ของเฉินผิงอันอย่างแรง พลิกกลับไปกลับมาสองรอบ ในที่สุดก็เช็ดน้ำมูกน้ำตาออกจากใบหน้าได้อย่างหมดจด
เฉินผิงอันแยกเขี้ยว
ฉวยโอกาสที่ตอนนี้เด็กหญิงวางการป้องกันในใจลงชั่วคราว เฉินผิงอันถามยิ้มๆ ว่า “เจ้ามักจะคิดว่าข้ามีเงินแล้วก็ต้องให้เจ้าด้วย นี่เป็นเพราะอะไร? ข้ามีหรือไม่มีเงินเกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วย? ข้ามีภูเขาเงินภูเขาทองลูกหนึ่งก็ต้องให้เงินเหรียญทองแดงเจ้าหนึ่งเหรียญอย่างนั้นหรือ?”
เด็กหญิงตอบอย่างตรงไปตรงมา “ก็ใช่น่ะสิ! ทำไมถึงจะไม่ให้ข้าล่ะ เจ้าเป็นคนดีไม่ใช่หรือ? เจ้าให้เงินข้าแค่ไม่กี่สิบเหรียญ ก็เหมือนว่าถอนเส้นผมบนหัวไปแค่ไม่กี่เส้นไม่ใช่หรือ? ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นคนดี คนดีก็สมควรต้องทำเรื่องดีสิ”
เฉินผิงอันคิดแล้วก็ลองเปลี่ยนวิธีการถามใหม่ “หากเจ้ามีเงินมากๆ แล้ววันหนึ่งข้าไม่มีเงินแล้ว เจ้าก็จะยอมให้เงินข้าฟรีๆ โดยไม่คิดอะไรอย่างนั้นหรือ?”
นางเงียบไม่ยอมตอบ
ในใจคิดว่าข้าไม่ใช้เงินทุ่มทับเจ้าให้ตายก็ดีถมไปแล้ว
จากนั้นค่อยกวาดเอาเงินก้อนใหญ่ๆ ทั้งหลายกลับบ้านไปให้เกลี้ยง เงินทั้งหมดก็จะเป็นของนาง!
แม้แต่ศพก็ไม่ช่วยเก็บให้เจ้า
เพียงแต่ว่าคำพูดในใจเหล่านี้ นางไม่กล้าพูดออกไปต่อหน้าเขา
แต่คิดไปคิดมานางก็เริ่มตระหนักได้ถึงข้อหนึ่งนั่นคือ หากคิดจะเอาเงินมาจากมือเจ้าหมอนี่ฟรีๆ คงไม่น่าจะเป็นไปได้แล้ว
เขาไปเอาหลักการมากมายที่น่ารังเกียจพวกนี้มาจากไหนกันนะ? อ่านเจอจากในตำราจริงๆ หรือ? แต่นางกลับรู้สึกว่าทุกตัวอักษรบนหนังสือล้วนน่าเบื่อ
คนทั้งสองต่างคนต่างเงียบ
ฟุบคว่ำอยู่บนแผ่นหลังที่อบอุ่นของเฉินผิงอัน เผยเฉียนเงียบงันไปนาน ก่อนถามเสียงเบาว่า “เจ้าเป็นคนดี คนดีในใต้หล้าแห่งนี้ก็ล้วนเป็นแบบเจ้า ใช่ไหม?”
เฉินผิงอันไม่ได้ตอบ
มีแรงสั่นสะเทือนส่งมาจากผืนป่าที่ห่างไปไม่ไกล วัตถุขนาดมโหฬารกลิ้งออกมาด้วยพลังอำนาจน่าตกตะลึง เสียงต้นไม้แตกหักดังเป็นระลอก
มันพุ่งตรงมาทางเฉินผิงอันพอดี นั่นคือควายสีดำเขาเดียวที่เขาหัก ร่างโชกไปด้วยเลือด ผิวหนังบนสันหลังปริแตก ระดับความสูงของสันหลังสัตว์เดรัจฉานตัวนี้กลับสูงเกินกว่าบุรุษโตเต็มวัยไปถึงหนึ่งช่วงศีรษะ มันคำรามออกมาด้วยภาษาของมนุษย์ “ไสหัวไป!”
อันที่จริงเฉินผิงอันกะคำนวณทิศทางเส้นทางสายเล็กที่มันต้องผ่านไว้อยู่แล้ว จึงหยุดเดิน
แม้ว่าทั่วร่างของควายตัวนี้จะแผ่ปราณดุร้ายออกมาอย่างท่วมท้น เหมือนมีวิญญาณอาฆาตจำนวนนับไม่ถ้วนรัดพันทั่วเรือนกาย เห็นได้ชัดว่าไม่ได้สั่งสมมาจากการต่อสู้แค่ครั้งเดียว ทว่าตอนนี้เฉินผิงอันยังไม่คิดจะลงมือ
นิสัยดุร้ายของควายพลันกำเริบ มันตาแดงก่ำ อยู่ดีๆ กลับเปลี่ยนเส้นทาง พุ่งเข้าชนเจ้าคนที่เกะกะสายตาผู้นั้นอย่างอำมหิต
ต่อให้เรี่ยวแรงของมันจะเป็นเหมือนม้าตีนปลายแล้ว ทว่าหากมนุษย์ธรรมดาโดนมันชน ร่างย่อมแหลกสลายอย่างแน่นอน
เฉินผิงอันยื่นมืออ้อมผ่านไหล่ไปดึงยันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจมาจากหน้าผากของเผยเฉียน แล้วโยนไปยังสัตว์เดรัจฉานที่ถูกทำร้ายจนกลับคืนสู่ร่างจริงตัวนั้น
จากนั้นก็ชักกระบี่ออกจากฝักในชั่วพริบตา
เงื้อกระบี่ฟันฉับลงไป
ควายสีดำถูกยันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจสยบเอาไว้จึงพุ่งมาข้างหน้าได้อย่างเชื่องช้า ในใจรู้ดีว่าแย่แล้ว ขณะที่กำลังจะหันกลับอ้อมผ่านไปทางอื่น พายุกระบี่เส้นหนึ่งกลับฟันผ่าแสกหน้าลงมา
เสียงปังดังหนึ่งครั้ง วัตถุขนาดมโหฬารเหมือนระฆังทองแดงก็ถูกกระบี่ผ่าออกเป็นสองท่อน
เก็บกระบี่ใส่ฝัก บังคับยันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจที่ไม่เหลือปราณวิญญาณอยู่แล้วแผ่นนั้นให้กลับเข้ามาในมือ แล้วเก็บไว้ในชายแขนเสื้อ
เฉินผิงอันไม่แม้แต่จะชายตามองศพที่ถูกผ่าออกเป็นสองส่วน แบกเด็กหญิงเดินหน้าต่ออีกครั้ง
ห่างออกไปไกล เจ้าเมืองจินหวงที่เร่งรุดเดินทางมาถึงก็มีแต่บาดแผลเต็มร่าง เขาพลันมาหยุดอยู่ใกล้กับศพของเทพวารี ในมือถือทวนเหล็กสมบัติอาคมของปีศาจยักษ์ที่นอนอยู่ข้างฝ่าเท้า เทพภูเขาท่านนี้กลืนน้ำลายลงคอ แม้จะเต็มไปด้วยความตื่นตะลึง แต่กลับไม่มีความหวาดกลัวมากนัก กลับกันยังเกิดความเคารพนับถือจากใจจริงอยู่หลายส่วน เขาประสานมือคารวะด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “น้อมส่งเซียนซือ”
เฉินผิงอันไม่หยุดเดิน แค่หันหน้ามายิ้มโบกมือให้องค์เทพของพื้นที่แถบนี้ที่ทั่วร่างเปี่ยมไปด้วยความเที่ยงธรรม “แค่เรื่องเล็กน้อย ไม่มีค่าพอให้เอ่ยถึง คราวหน้าหากมีงานเลี้ยงแบบนี้อีก จวนพวกเจ้าอย่าได้เชิญคนอื่นส่งเดช แม้จะเกิดจากความหวังดี ทว่าบนเส้นทางของการฝึกตนกลัวเรื่องไม่คาดฝันมากที่สุด แต่หากวันหน้าข้าผ่านมายังที่แห่งนี้อีกจะต้องรบกวนท่านเจ้าเมือง ขอดื่มเหล้าสักจอกจากท่านแน่นอน”
มองดูเหมือนว่าวาสนาและหายนะอยู่บนปลายฝั่งสองด้านที่ห่างไกลกัน แต่อันที่จริงกลับอยู่ใกล้กันแค่ชั่วนกจิกอาหารเท่านั้น
เจ้าเมืองเทพภูเขาท่านนั้นกล่าวอย่างอับอาย “ข้าผู้เป็นเจ้าเมืองจำไว้แล้ว”
เฉินผิงอันแบกเผยเฉียนเดินไปได้อีกหลายสิบลี้ก็วางนางลง หนึ่งคนโตหนึ่งเด็ก หนึ่งสูงหนึ่งเตี้ยจ้องมองตากัน
นางทำหน้าเลื่อนลอยแกล้งโง่
เฉินผิงอันยื่นมือออกมา
นางยู่หน้าเล็กๆ ตบยันต์ปราณหยางส่องไฟสองแผ่นลงบนฝ่ามือของเฉินผิงอัน “ยกให้ข้าแผ่นหนึ่งไม่ได้หรือ? ข้าวิ่งอยู่บนทางภูเขามาตั้งไกลขนาดนั้น สุดท้ายก็วิ่งไม่ไหวจริงๆ นี่นา”
เฉินผิงอันเดินไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้า “ถ้าอย่างนั้นวันหน้าต้องทำให้ดีกว่านี้หน่อย”
เด็กหญิงร้องอ้อหนึ่งทีแล้วเดินตามมาด้านหลังเขาเงียบๆ
คนใจไม้ใส้ระกำ
คนดีอะไรกัน ถุย ข้ามันตาสุนัขมืดบอดจริงๆ
เฉินผิงอันบิดหูของนาง “วันๆ เอาแต่ด่าว่าคนอื่นอยู่ในใจ ไม่ใช่เรื่องดี”
เผยเฉียนเขย่งปลายเท้า ร้องโอ้ยๆๆ เสียงดัง “ไม่กล้าแล้วๆ”
เฉินผิงอันถึงได้ยอมปล่อยมือ
ครู่หนึ่งต่อมา เฉินผิงอันก็บิดหูนางอีก
เด็กหญิงตาแดงก่ำ พูดสาบานเป็นมั่นเป็นเหมาะ “ครั้งนี้ไม่กล้าแล้วจริงๆ!”
เดินไปได้อีกสิบกว่าก้าว เฉินผิงอันเพิ่งจะยื่นมือออกมา เผยเฉียนก็นั่งแปะลงไปบนพื้น ร้องไห้จ้าเสียงดัง
เฉินผิงอันไม่สนใจ ยังคงเดินหน้าต่อไป
นางเห็นว่าเฉินผิงอันไม่มีท่าทีว่าจะหยุดเดินก็รีบหยุดร้อง ลุกขึ้นยืน เดินไปข้างหน้าอย่างกล้าๆ กลัวๆ เพื่อไม่ให้ตัวเองด่าเจ้าหมอนั่นในใจ นางจึงหาวิธีที่สามารถหยุดความคิดของตัวเองได้ นั่นคือเริ่มท่องเนื้อหาในตำราที่ได้เรียนมา สภาพตอนนี้เรียกว่าน่าอนาถจริงๆ
เฉินผิงอันไม่สนใจนางอีก
เดินอยู่ท่ามกลางผืนป่ากว้างขวางที่มีต้นไม้รกครึ้ม
นึกถึงตราประทับตัวอักษรภูเขาชิ้นนั้น เฉินผิงอันก็ยิ่งเงียบงัน
บทที่ 331.1 ข้ามน้ำข้ามภูเขา พบเหยาจึงหยุด
ProjectZyphon
ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือไม่ เฉาฉิงหล่างถึงได้รู้สึกว่ากาลเวลาไหลผ่านไปอย่างรวดเร็ว ก่อนหน้านี้เป็นแม่น้ำสายใหญ่ที่ไหลรินอย่างเชื่องช้า ทว่าทุกวันนี้ลำธารในเทือกเขากลับไหลซู่ๆ ดังถึงขนาดคนได้ยินเสียงน้ำไหล
เพียงชั่วพริบตา ฤดูใบไม้ร่วงก็ผ่านพ้น ฤดูหนาวมาเยือนพร้อมกับหิมะแรกของปี อีกทั้งหิมะแรกนี้ยังตกหนัก หิมะก้อนใหญ่ดุจขนห่านทำให้เฉาฉิงหล่างที่ตื่นนอนตอนเช้าตรู่ นั่งอยู่บนเตียงมองไปยังหิมะขาวโพลนเหม่อลอยไม่กล้าเชื่อ เขารีบสวมเสื้อผ้ารองเท้าแล้วผลักประตูออกไป เรื่องแรกที่นึกถึงคืออยากไปบอกคนคนนั้นว่าหิมะใหญ่ตกแล้ว เพียงแต่พอมองเห็นประตูของห้องด้านข้าง เฉาฉิงหล่างก็เกาหัว ในที่สุดก็นึกขึ้นได้ว่าคนผู้นั้นไปจากที่นี่นานมากแล้ว แต่เขายังคงรู้สึกอยู่บ่อยๆ ว่าคนผู้นั้นยังนั่งอยู่บนม้านั่งตัวเล็กในลานบ้าน ไม่ว่าจะเป็นเช้าตรู่ก็ดี หรือกลางดึกก็ช่าง แค่ออกจากห้องก็จะได้เห็นเขา อีกฝ่ายไม่ได้พูดอะไรมาก เพียงแค่ยิ้มมองตนเท่านั้น
หวังว่านี่จะเป็นหิมะที่เป็นนิมิตหมายว่าปีนี้เป็นปีที่อุดมสมบูรณ์
เฉาฉิงหล่างเป่าลมใส่มือหนึ่งที เขารู้สึกหนาวเล็กน้อย คิดว่าควรต้องใส่เสื้อผ้าเพิ่มขึ้น เขาจึงถอยกลับเข้าไปในห้อง หลังจากใส่เสื้อผ้าหนาชั้นกว่าเดิมแล้วก็นั่งตัวตรงตรงหน้าโต๊ะไม้ตัวเล็กที่บิดาทำให้เขาด้วยตัวเอง เปิดหนังสือเล่มหนึ่ง เริ่มอ่านบทความของอริยะปราชญ์
ช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วง ที่โรงเรียนเปลี่ยนอาจารย์สอนคนใหม่ อาจารย์คนนี้เข้มงวดมากกว่าเดิม ดูเหมือนว่าจะมีความรู้มากด้วย อธิบายหลักการเหตุผลได้เข้าใจชัดเจน ต่อให้เป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนที่ไม่ชอบเรียนหนังสือมากที่สุดก็ยังเข้าใจได้กระจ่างแจ้ง เป็นอาจารย์ที่เก่งมาก
เฉาฉิงหล่างอ่านหนังสือจบก็ถูมือเข้าด้วยกันหาความอบอุ่น เขารู้สึกเป็นกังวลเล็กน้อย เงินในบ้านเหลืออยู่ไม่มากแล้ว
หลังจากที่พ่อแม่เสียไป ทางที่ว่าการก็มอบเงินทำขวัญให้ก้อนหนึ่ง แต่ไม่ได้ให้เขาในครั้งเดียว ทุกๆ เดือนทางที่ว่าการจะนำมามอบให้เขาตามกำหนดเวลา
เฉาฉิงหล่างไม่ได้คิดมาก คิดแค่ว่าที่ว่าการคงทำงานกันเช่นนี้ อีกอย่างเขาไม่มีพ่อแม่แล้ว อีกทั้งยังไม่มีญาติพี่น้องอยู่ในเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยน ก่อนหน้านี้คิดจะกินอะไร ซื้ออะไรก็แค่บอกกับผู้ปกครอง ตอนนี้เขาต้องคิดคำนวณอย่างละเอียดด้วยตัวเอง เงินเหรียญทองแดงทุกเหรียญล้วนถูกนำมาใช้จ่ายอย่างระมัดระวัง รสชาติเช่นนี้ไม่ได้ดีนัก แต่ช่วยไม่ได้ ถึงอย่างไรก็ยังต้องใช้ชีวิตอยู่ต่อไป
ยังดีที่ช่วงเวลาที่ผ่านพ้นไปได้ยากมากที่สุดมีคนผู้นั้นอาศัยอยู่ในบ้าน ทำให้เฉาฉิงหล่างที่ต้องเฝ้าบ้านหลังนี้อยู่เพียงลำพังพอจะคลายความคิดถึงลงไปได้บ้าง
เฉาฉิงหล่างเปลี่ยนมาสวมรองเท้าหนังเลียงผาเหลืองคู่หนึ่งที่เหมาะสำหรับสวมออกจากบ้านในช่วงฝนตกหรือหิมะตก เพียงแต่ว่าตอนที่สวมรองเท้าเฉาฉิงหล่างกลับร้องไห้ รองเท้าคู่นี้ท่านแม่ของเขาซื้อให้เมื่อวันสิ้นปี แล้วของปีนี้ล่ะ?
ยังดีที่เพียงไม่นานเฉาฉิงหล่างก็สงบสติอารมณ์ตัวเองได้ เขาไปหาอะไรกินง่ายๆ ที่ห้องครัว เสร็จแล้วก็เตรียมตัวออกจากบ้านไปโรงเรียน เพียงแต่ว่าตอนที่บรรจุหนังสือใส่ห่อผ้าอยู่ในห้อง เฉาฉิงหล่างเหม่อลอยเล็กน้อย คนผู้นั้นบอกว่าหากมีเวลาว่างจะทำหีบไม้ไผ่ใบเล็กๆ ให้เขา ในตำราบอกว่าวิญญูชนรักษาคำพูด หนึ่งคำพูดมีค่าดุจทองพันชั่ง ถ้าอย่างนั้นเขาคงจะมีธุระด่วนจริงๆ กระมัง เพียงแต่ไม่รู้ว่าคราวหน้าที่พบเจอกันจะเป็นเมื่อไหร่
เฉาฉิงหล่างหยิบร่มกระดาษน้ำมันคันหนึ่งขึ้นมา สะพายห่อผ้าเดินออกจากบ้าน แล้วก็ค้นพบด้วยความตกตะลึงว่าด้านนอกมีคนที่คุ้นเคยคนหนึ่งเดินผ่านไป เขาก็คืออาจารย์จ้งของที่โรงเรียน นี่เป็นแซ่ที่ประหลาดมาก อาจารย์ผู้เฒ่าสวมชุดสีเขียว ในมือของเขาก็ถือร่มกระดาษน้ำมันคันหนึ่งอยู่เช่นกัน พอเห็นเฉาฉิงหล่างก็หยุดเดิน เอ่ยถามว่า “บังเอิญจริง เจ้าพักอยู่ที่นี่หรือ?”
เฉาฉิงหล่างคิดจะวางร่มลงเพื่อคารวะอาจารย์จ้งที่เดินผ่านหน้าบ้านโดยบังเอิญ อาจารย์จ้งกลับโบกมือบอกว่า “ไม่ต้อง หิมะกำลังตกหนัก”
อาจารย์จ้งมีความรู้ลึกล้ำ ทว่าเวลาที่ถ่ายทอดความรู้และไขข้อข้องใจให้ลูกศิษย์กลับไม่ชอบยิ้มแย้ม ทุกคนต่างก็กลัวเขามาก เฉาฉิงหล่างเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น เพียงแต่ว่าเมื่อเทียบกับสหายร่วมห้องแล้วเขามีความเคารพนอบน้อมมากกว่าความกลัวก็เท่านั้น ดังนั้นพออาจารย์ท่านนี้บอกว่าไม่จำเป็นต้องทำความเคารพ เฉาฉิงหล่างจึงเชื่อฟังคำสั่งของผู้เฒ่าแต่โดยดี หลังจากนั้นหนึ่งคนแก่หนึ่งเด็กที่ต่างคนต่างถือร่มก็เดินไปด้วยกันในตรอกเล็กที่หิมะทับถมสูง
แน่นอนว่าอาจารย์จ้งย่อมต้องเคยได้ยินเรื่องราวในครอบครัวของเฉาฉิงหล่างมาก่อน ถึงอย่างไรเด็กหลายคนที่เป็นเพื่อนบ้านของเขาก็คือสหายร่วมห้องและเพื่อนเล่นของเขาในโรงเรียนด้วย สายตาที่พวกเขามองเฉาฉิงหล่างไม่เหมือนมองเด็กคนอื่น รวมไปถึงคำพูดซุบซิบที่คนเหล่านั้นพูดกัน เฉาฉิงหล่างได้แต่แสร้งทำเป็นมองไม่เห็นและไม่ได้ยิน ดังนั้นผู้เฒ่าจึงถามว่า “ตอนนี้ใช้ชีวิตอยู่เพียงลำพัง มีเรื่องยากลำบากอะไรหรือไม่?”
เฉาฉิงหล่างส่ายหน้ายิ้มให้ “ตอบอาจารย์ ไม่มีขอรับ”
คำตอบสั้นกระชับอยู่ในกรอบ ถ้อยคำและท่าทีต่างก็ไม่เหมือนเด็กในตรอกยากจน มิน่าเล่าถึงได้ถูกเด็กหญิงผอมแห้งเรียกอย่างเหน็บแนมว่านักปราชญ์น้อย
ผู้เฒ่าพยักหน้ารับแล้วพูดอีกว่า “ถึงอย่างไรเจ้าก็อายุยังน้อย หากมีอุปสรรคที่ข้ามผ่านไปไม่ได้จริงๆ ก็บอกข้าได้ ไม่จำเป็นต้องรู้สึกลำบากใจ ความยากลำบากในชีวิตคนมีบอกไว้มากมายทั้งในและนอกตำรา อย่าว่าแต่เจ้าเลย ต่อให้เป็นข้า ตอนอายุเท่าเจ้าก็ยังมีช่วงเวลาที่ต้องขอความช่วยเหลือจากคนอื่นอยู่เหมือนกัน”
เฉาฉิงหล่างอืมรับหนึ่งที “อาจารย์ ข้าทราบแล้ว หากมีเรื่องลำบากจริงๆ ข้าจะไปหาอาจารย์”
ลังเลอยู่เล็กน้อย เฉาฉิงหล่างก็กล่าวอย่างอายๆ ว่า “คราวก่อนระหว่างทางที่คนผู้หนึ่งพาข้าไปส่งที่โรงเรียนก็เคยพูดคำพูดที่คล้ายคลึงกับอาจารย์ เขาบอกข้าว่าในอนาคตที่ข้าต้องเรียนหนังสือและหาเลี้ยงชีพ การขอความช่วยเหลือจากคนอื่นเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ หากคนอื่นไม่ช่วยก็ห้ามตำหนิหรือเคียดแค้น หากคนอื่นช่วยเหลือก็จำเป็นต้องจดจำไว้ให้ขึ้นใจ”
อาจารย์จ้งคลี่ยิ้มอย่างที่หาได้ยาก “คนผู้นั้นชื่อเฉินผิงอันกระมัง?”
เฉาฉิงหล่างตะลึงงัน “อาจารย์รู้จักเขาด้วยหรือ?”
อาจารย์จ้งพยักหน้ารับ “ข้ากับเขาเป็นเพื่อนกัน คิดไม่ถึงว่าพวกเจ้าก็จะรู้จักกันด้วย”
เฉาฉิงหล่างพลันยิ้มอย่างอารมณ์ดี
เฉินผิงอันเป็นสหายของอาจารย์จ้งด้วยหรือนี่
อาจารย์จ้งสั่งสอนหน้าเคร่ง “อย่าได้รู้สึกว่าพอมีความสัมพันธ์ชั้นนี้แล้ว เมื่อเจ้าไม่ตั้งใจเรียนแล้วข้าจะไม่ตีเจ้า”
เฉาฉิงหล่างรีบพยักหน้ารับ
หนึ่งคนแก่หนึ่งเด็ก อาจารย์และลูกศิษย์เดินไปบนถนนเส้นใหญ่ที่ทางการซ่อมแซมจนกลับมาราบเรียบเหมือนเดิมแล้ว ก้าวย่างเชื่องช้า เฉาฉิงหล่างใจกล้าขึ้นมาหน่อยจึงถามอาจารย์ว่ารู้จักกับเฉินผิงอันได้อย่างไร อาจารย์จ้งบอกแค่ว่ามีนิสัยคล้ายคลึงกัน แม้จะเพิ่งรู้จักกันได้ไม่นาน แต่กลับเป็นสหายกันได้
หิมะก้อนใหญ่ร่วงกราวลงมายังโลกมนุษย์ไม่ยอมหยุดพัก ทว่าในใจเฉาฉิงหล่างกลับอบอุ่น เขาเดินไปถึงหน้าประตูโรงเรียนพร้อมกับอาจารย์แล้วหันหน้ากลับไปมองด้านหลัง
ครั้งสุดท้ายที่พบกันก็คือการจากลา คนผู้นั้นหยุดยืนอยู่ตรงนั้น พอเอ่ยประโยคนั้นแล้วเขาที่ถือร่มไว้ในมือก็มองส่งตนเดินเข้าไปในโรงเรียน
อาจารย์จ้งที่อยู่ข้างหน้าหันมาถาม “เป็นอะไรไป?”
เฉาฉิงหล่างส่ายหน้า คลี่ยิ้มเจิดจ้า ก่อนจะวิ่งเหยาะๆ เข้าไปในโรงเรียน
หลังจากที่อาจารย์จ้งนั่งลงประจำที่ของตัวเอง รอจนเด็กนักเรียนทุกคนมาครบแล้วจึงเริ่มถ่ายทอดวิชาความรู้
จอนผมสองข้างของอาจารย์ผู้เฒ่าเป็นสีขาวหิมะ สวมชุดเขียว เอื้อนเอ่ยเชื่องช้า เวลาที่อธิบายหลักการเหตุผลของเหล่าอริยะปราชญ์กับพวกนักเรียนก็ยังคงสามารถสร้างภาพบรรยากาศยิ่งใหญ่ใกล้เคียงกับอริยะปราชญ์ตัวจริง
……
ตระกูลขุนนางแห่งหนึ่งของเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนที่มีจวนลึกหลายชั้น หอเก็บตำราส่วนตัวของคนตระกูลนี้ค่อนข้างมีชื่อเสียงในเมืองหลวง วันนี้มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่มีสถานะเป็นบุตรอนุภรรยาขึ้นหอมาอ่านหนังสือ เขามักจะมาอ่านหนังสืออยู่ที่นี่เป็นประจำ เพียงแต่ว่าหนังสือที่ถูกเก็บรักษาไว้ล้ำค่ามาก กฎของตระกูลไม่เพียงแต่ห้ามถือเทียนขึ้นมาบนหอ ยังห้ามไม่ให้เอาหนังสือออกไปข้างนอก ในชั้นไม้ที่วางตำราหายาก ตำราที่มีเล่มเดียวไว้มากมายต่างก็ถูกปิดเอาไว้ อีกทั้งยังห้ามไม่ให้ใครเปิดออกโดยพลการด้วย
วันนี้เด็กหนุ่มหงุดหงิดเล็กน้อย ในใจเขากลัดกลุ้ม อันที่จริงเขามาที่นี่ไม่ใช่เพื่ออ่านหนังสือ แค่ต้องการมาหาที่พักผ่อนจิตใจที่สงบสักแห่งเท่านั้น
สองการสอบครั้งใหญ่ที่เปิดให้แก่นักเรียนทุกคนในเมืองหลวงอย่างการสอบระดับอำเภอและการสอบระดับจังหวัด เด็กหนุ่มล้วนผ่านมาหมดแล้ว ได้รับสถานะถงเซิง ทว่าผลสอบกลับไม่โดดเด่นนัก ดังนั้นจึงไม่ได้กลายเป็นซิ่วไฉ แค่มีคุณสมบัติเข้าร่วมการสอบระดับเยวี่ยนซื่อเท่านั้น นี่ทำให้เขารู้สึกละอายใจต่อมารดามาก พี่ชายสองคนที่เข้าร่วมสอบระดับอำเภอและระดับจังหวัดพร้อมกันกับเขาต่างก็ได้เป็นซิ่วไฉกันทั้งสองคน แม้ว่าเด็กหนุ่มที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นอัจฉริยะผู้รอบรู้จะสงสัยว่าเหตุใดพวกเขาที่เขียนบทความได้ธรรมดา ความรู้ไม่ลึกซึ้งกว้างไกลเท่าเขาถึงได้คะแนนสอบดีกว่า ก่อนหน้านี้เขาแค่คิดว่าตัวเองแสดงออกได้ไม่ดีตอนอยู่ในสนามสอบ ส่วนพี่ชายสองคนที่เป็นบุตรภรรยาหลวงกลับแสดงออกได้ยอดเยี่ยมกว่า แต่วันนี้ได้ยินคำพูดด้วยความเมามายของพี่ชายสองคนโดยบังเอิญ พวกเขาเปิดเผยความลับที่ทำให้สอบผ่านระดับอำเภอและระดับจังหวัดจนได้เป็นซิ่วไฉออกมา นั่นคือบิดาของพวกเขาแอบติดสินบนอาจารย์ผู้คุมสอบอย่างลับๆ
เพราะท่านปู่ของคนทั้งสามเคยเป็นเจ้ากรมพิธีการ มีลูกศิษย์ลูกหาอยู่ทั่วหล้า เคยเป็นผู้จัดการสอบระดับมณฑลของแคว้นหนันเยวี่ยนอยู่หลายครั้ง ขุนนางหลักที่คุมการสอบระดับอำเภอและระดับจังหวัดพบท่านปู่ของพวกเขาต่างก็พากันเรียกด้วยความเคารพว่าจั้วซือ ฝางซือ (คำที่ใช้เรียกผู้คุมสอบหลักในการสอบเคอจวี่ด้วยความเคารพ) นี่คือความสัมพันธ์ของ ‘อาจารย์และศิษย์’ ที่ใหญ่เทียมฟ้าแล้ว เด็กหนุ่มเชื่อมั่นว่าท่านปู่ไม่มีทางทำเรื่องสกปรกแบบนี้แน่นอน ต้องเป็นพี่ชายสองคนที่อาศัยชื่อของท่านพ่อเป็นข้ออ้างโดยไม่สนใจว่าจะทำลายขนบธรรมเนียมของวงศ์ตระกูล วางแผนเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ตนเองต้องการ
หากเพียงแค่นี้ก็ยังพอทำเนา แม้ว่าเด็กหนุ่มจะเป็นบุตรอนุภรรยา แต่เกิดมาในตระกูลชนชั้นสูง ย่อมต้องรู้ถึงความลับในวงการขุนนางมาบ้าง แต่ฟังจากบทสนทนาที่เต็มไปด้วยความลำพองใจของพี่ชายทั้งสองคน เหตุใดพี่ชายคนโตถึงจงใจคิดเอาชนะตน? เพื่อช่วงชิงตำแหน่งซิ่วไฉที่เดิมทีเป็นของในกระเป๋าของตนไป? เด็กหนุ่มยืนอยู่ตรงชั้นบนสุดของหอหนังสือ มองชั้นหนังสือและตำรามากมายแล้วคลี่ยิ้มขมขื่น เหล่าตระกูลผู้มีความรู้ที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วเมืองหลวงใหญ่โตแห่งนี้ นอกจากตนที่เป็นบุตรอนุภรรยาแล้ว ตอนนี้ยังจะมีคนวัยเดียวกันของกี่สักตระกูลที่เต็มใจมาค้นหาหนังสืออ่านอยู่ที่นี่? ตำราที่มีค่ามากมายขนาดนั้นกลับต้องถูกพันธนาการอยู่ในหอสูงปีแล้วปีเล่า ไร้คนถามถึง นี่ไม่น่าเสียหายหรอกหรือ?
เด็กหนุ่มยกหลังมือขึ้นเช็ดคราบน้ำตา “เรียนหนังสือมีประโยชน์กับผายลมอะไร มองต้นไม้หยกหน้าลานบ้านกะผีน่ะสิ…”
หลังจากบ่นจบ เด็กหนุ่มก็เริ่มค้นหาหนังสือ ถึงอย่างไรก็ยังต้องสอบระดับเยวี่ยนซื่อ จึงยังต้องอ่านตำราของอริยะปราชญ์ ต่อให้ไม่อ่านหนังสือเพื่อตัวเอง ไม่สอบเอาตำแหน่งมาเพื่อตนเอง ก็ไม่ควรทำให้ท่านแม่ต้องผิดหวังอีกแล้ว เพียงแต่ว่าวันนี้เขาอารมณ์ไม่ดี จึงอยากหาตำราที่ไม่ใช่พวกคัมภีร์มาอ่านก่อน เดินเลือกไปตลอดทาง สุดท้ายเลือกผลงานส่วนตัวของนักประพันธ์ที่เกือบจะใหม่เอี่ยมเล่มหนึ่งออกมา แต่แล้วเด็กหนุ่มก็อึ้งตะลึงไปครู่ เขาเพิ่งจะเปิดปกในออกก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ นิ้วมือเลิกหน้ากระดาษแผ่นหนึ่งขึ้นก็พบว่าด้านในมีเหรียญเงินอยู่เหรียญหนึ่ง ค่อนข้างแตกต่างจากเหรียญทองแดงของแคว้นหนันเยวี่ยน ตัวอักษรแปลกตา ไม่ใช่เงินที่ทำมาจากเหล็กหรือทองแดง มองเหมือนหยกแต่ไม่ใช่หยก โปร่งใสแวววาว
เหรียญสอดแทรกอยู่ตรงกลางตำราทำให้หน้าหนังสือสองหน้ามีรอยกดทับเล็กน้อย ตรงรอยกดทับมีประโยคเก่าแก่ประโยคหนึ่งที่คนเรียนหนังสือต่างก็รู้จัก แต่กลับไม่แน่เสมอไปว่าทุกคนจะเชื่อ
นั่นคือประโยคที่ว่า ในตำราซ่อนไว้ซึ่งบ้านเรือนทอง ในหนังสือซ่อนไว้ซึ่งอนงค์น้อง ในตำรามีธัญพืชนานา
เด็กหนุ่มรู้สึกประหลาดใจ ลังเลอยู่นานมากก่อนจะเก็บมันเข้าไปไว้ในชายแขนเสื้อเงียบๆ คิดจะเอามันไปให้มารดาดู
คิดไม่ถึงว่าการที่เขาเอาเหรียญชิ้นนี้ไปเกือบจะก่อให้เกิดหายนะครั้งใหญ่ เพราะมีอยู่ครั้งหนึ่งตอนที่เด็กหนุ่มอยู่ในห้องเรียนของตระกูล ได้หยิบเหรียญนี้มาถือไว้ในฝ่ามือ พี่ชายของเขาเห็นเข้าโดยบังเอิญ ไม่นึกว่าอีกฝ่ายจะใส่ร้ายว่าตนขโมยเครื่องประดับบนโต๊ะหนังสือมา อีกฝ่ายโวยวายเสียงดังจนกลายเป็นเรื่องใหญ่โต ถึงขั้นรู้ไปถึงหูของท่านปู่ที่ไม่สนใจเรื่องทางโลกมานานหลายปีแล้ว หลังจากนั้นเจ้ากรมผู้เฒ่าที่ตั้งใจฝึกวิชาลัทธิเต๋ามานานปีก็เก็บเหรียญนั้นไป อีกทั้งยังเรียกรวมตัวผู้ดูแลทุกคนที่ไว้ใจได้ในจวน ใช้เวลาถึงหนึ่งคืนสองวันถึงจะสามารถพลิกเปิดตำรานับหมื่นเล่มที่เก็บไว้ในหอหนังสือได้จนครบถ้วนไม่ตกหล่น ทว่ากลับไม่เจอเหรียญเงินเหรียญที่สอง
เจ้ากรมผู้เฒ่าออกคำสั่งให้ทุกคนถอยออกไปจากหอหนังสือ ใครก็ห้ามแพร่งพรายเรื่องนี้ หาไม่แล้วจะถูกขับออกจากตระกูลทั้งหมด ผู้เฒ่านั่งครุ่นคิดอยู่ในห้องหนังสือเพียงลำพังเป็นนาน สุดท้ายก็ไปหาหลานชายที่ตัวสั่นด้วยความหวาดกลัวคนนั้นมา พาเด็กหนุ่มย้อนกลับไปที่หอหนังสือ แล้วผู้เฒ่าก็มอบทั้งเหรียญทั้งผลงานส่วนตัวของนักประพันธ์ที่เคยทับเหรียญเล่มนั้นไปให้เด็กหนุ่มพร้อมกัน พูดพลางยิ้มบางๆ ว่า “หากมีเหรียญแบบนี้สองเหรียญ เจ้าก็ไม่มีโชควาสนาของตระกูลเซียนนี้แล้ว จงรับไปอย่างสบายใจเถอะ นี่สมควรเป็นของเจ้า วันหน้าตั้งใจเรียนหนังสือให้ดี ตำราทุกเล่มที่อยู่ในหอเก็บตำราแห่งนี้จะเปิดออกเพื่อเจ้า เจ้าเลือกอ่านได้ตามใจชอบ อีกทั้งยังสามารถเอาออกไปจากหอหนังสือได้ด้วย”
เด็กหนุ่มที่ได้รับโชคดีในความโชคร้ายรับหนังสือมาด้วยความมึนงง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น