กระบี่จงมา 329.1-330.2
บทที่ 329.1 คนในภาพวาด
ProjectZyphon
ในที่สุดก็ได้ออกมาจากพื้นที่มงคลดอกบัวที่ลึกจนมองไม่เห็นก้นบึ้งได้เสียที หลังจากที่นักพรตเฒ่าจากไป เรื่องแรกที่เฉินผิงอันทำก็คือสอบถามคนในแคว้นเป่ยจิ้นว่าตอนนี้คือปีอะไร เขากลัวจริงๆ ว่าคำว่าหกสิบปีบนภูเขาที่เขียนบอกไว้ในตำรา พอมาอยู่ในโลกแห่งความจริงจะผ่านไปพันปีแล้ว หากถูกนักพรตเฒ่าหลอกต้มนานถึงสิบปีหรือหลายสิบปี แถมตอนนี้ยังไม่มีกระบี่ปราณยาว คิดจะแก้แค้นก็คงหาตัวคนไม่เจอแล้ว
ยังดีที่หลังจากถามขบวนพ่อค้าบนถนนทางหลวงของแคว้นเป่ยจิ้นแล้วถึงได้ถอนหายใจโล่งอก นับตั้งแต่คราวก่อนที่เป็นรัชสมัยกวางสี่ปีที่หก ตอนนี้แค่เปลี่ยนไปเป็นรัชสมัยกวางสี่ปีที่เจ็ดเท่านั้น และเวลานี้ใบถงทวีปก็อยู่ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงเช่นเดียวกัน สภาพอากาศเหมือนกับในพื้นที่มงคลดอกบัวที่ขยับเข้าใกล้ช่วงกลางฤดูใบไม้ร่วงแล้ว
เป่ยจิ้นได้ทิ้งเงามืดไว้ในใจของเฉินผิงอัน เขาจึงไม่กล้าอยู่ต่อนานนัก เดินทางมุ่งหน้าขึ้นเหนือไปตลอดทาง ก่อนหน้านี้เคยได้ยินชื่อเสียงยิ่งใหญ่ของภูเขาไท่ผิงมาก่อน จึงคิดอยากจะไปมองไกลๆ ให้เห็นกับตาตัวเองสักครั้ง ทว่าตอนนี้กลับไม่เหลือความคิดนี้อยู่เลย บวกกับที่เขาเองก็ไม่ได้มีความสัมพันธ์อันดีกับกลุ่มเจ๋อเซียนอย่างโจวเฝยแห่งตำหนักคลื่นวสันต์ ลู่ฝ่างแห่งภูเขาเหนี่ยวคั่นและจอมยุทธ์พเนจรเฝิงชิงป๋าย ตอนนี้จึงคิดแต่จะหาท่าเรือตระกูลเซียนแห่งหนึ่งแล้วมุ่งหน้ากลับแจกันสมบัติทวีปไปโดยตรง
แม้ตอนนั้นที่จากบ้านเกิดมา หยางเหล่าโถวจะเคยเตือนว่าภายในห้าปีห้ามกลับไปเมืองเล็ก แต่ไม่ได้กลับบ้านเกิดก็ยังมีสถานที่มากมายที่สามารถไปเยือนได้ ยกตัวอย่างเช่นนครมังกรเฒ่าที่ฟ่านเอ้อร์อยู่ แคว้นชิงหลวนที่จางซานเฟิงและสวีหย่วนเสียเดินทางไปหาประสบการณ์ แคว้นซูสุ่ยของอริยะกระบี่ผู้เฒ่าซ่งอวี่เซา ทะเลสาบเจี่ยนซูของกู้ช่าน สำนักศึกษาต้าสุยที่พวกหลี่เป่าผิงไปเล่าเรียนวิชา มีสถานที่ไม่น้อยเลยจริงๆ
สรุปก็คือใบถงทวีปไม่ใช่สถานที่ที่ควรรั้งอยู่นาน
เฉินผิงอันเก็บร่มกระดาษน้ำมันที่หยิบติดมือมาจากพื้นที่มงคลดอกบัว คนทั้งสองเดินไปข้างถนนทางหลวง เด็กหญิงผอมแห้งคอยเหลียวซ้ายแลขวาด้วยความใคร่รู้อยู่ตลอดเวลา “ที่นี่คือที่ไหน? ไม่ใช่แคว้นหนันเยวี่ยนของพวกเรากระมัง?”
ก่อนหน้านี้ตอนที่เฉินผิงอันสอบถามผู้อื่น นางฟังไม่ออกสักประโยคเดียว
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ ต้องลากขวดน้ำมันน้อย (เปรียบเปรยถึงตัวภาระ) นี้มาด้วยก็คือเหตุผลที่เฉินผิงอันอยากจะออกไปจากใบถงทวีปโดยเร็ว พานางมาด้วยไม่เหมือนตอนที่เดินทางหาประสบการณ์ร่วมกับลู่ไถ หากเจอกับพวกผู้ฝึกตนอิสระบนภูเขาดักปล้นกลางทาง ย่อมต้องลำบากมาก แต่พอนึกถึงลู่ไถ พยับเมฆในใจของเฉินผิงอันก็ยิ่งหนาชั้นมากกว่าเดิม ชายฉกรรจ์ขายถังหูลู่คนนั้น
ผู้ฝึกลมปราณบนภูเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ได้เลื่อนขั้นเป็นเซียนดินแล้ว ส่วนใหญ่มักจะสามารถใช้วิชาฝ่ามือเทพมองภูเขาและแม่น้ำ แม้จะรอบรู้เทียบกับนักพรตเฒ่าที่อยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัวไม่ได้ แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายดายนัก สำหรับวิชาเซียนอันเป็นวิชาอภินิหารนี้ ในอนาคตเมื่อกลับไปถึงบ้านเกิด เขาจะต้องสอบถามจากผู้เฒ่าแซ่ชุยหรือไม่ก็เว่ยป้อให้ละเอียดว่ามีความรู้เรื่องใดบ้าง มีส่วนไหนที่ต้องพิถีพิถัน หรือมีข้อห้ามและพันธนาการอะไรบ้าง
เผยเฉียนถามต่อ “คือบ้านเกิดของเจ้า? สถานที่อยู่อาศัยของเทพเซียนหรือ?”
เฉินผิงอันหลุดหัวเราะพรืด ส่ายหน้าตอบ “ไม่ใช่บ้านเกิดของข้า แล้วก็ไม่ใช่ดินแดนเซียนอะไร”
เผยเฉียนเห็นว่าเขาไม่เต็มใจจะพูดมากจึงไม่ซักถามอะไรอีก
นางยกสองมือขึ้นขยี้ตา
เฉินผิงอันถาม “เป็นอะไร?”
เผยเฉียนเงยหน้าขึ้น ยิ้มสดใส “รู้สึกแปลกๆ แต่กลับจำอะไรไม่ได้สักอย่าง เมื่อครู่นี้ยังเก็บกวาดบ้านให้เฉาฉิงหล่างอยู่เลย แต่ฟิ้วทีเดียวก็มาอยู่นี่แล้ว”
เฉินผิงอันชำเลืองตามองนางหนึ่งที
เผยเฉียนรีบเปลี่ยนคำพูดเสียใหม่ “เก็บกวาดเมล็ดแตงที่แทะไว้บนม้านั่งในลานน่ะ”
คนทั้งสองเดินมาได้ประมาณยี่สิบกว่าลี้ เด็กหญิงก็เหนื่อยจนหอบเป็นวัว นางยู่หน้าพูดอย่างน่าสงสารว่าฝ่าเท้าถูกเสียดสีจนเป็นตุ่มพองหมดแล้ว
เฉินผิงอันจึงเช่ารถม้าคันหนึ่งจากจุดพักม้าข้างทาง เมื่อตกลงราคาได้เรียบร้อยก็เดินทางมุ่งหน้าขึ้นเหนือต่ออีกครั้ง ตกลงกันไว้เรียบร้อยแล้วว่ารถม้าจะหยุดจอดในเมืองริมชายแดนแคว้นเป่ยจิ้น ซึ่งระยะทางนี้ใช้เวลาประมาณสองวัน เป่ยจิ้นของใบถงทวีปไม่เหมือนกับเป่ยจิ้นของพื้นที่มงคลดอกบัว สถานที่แห่งนี้ไม่มีสงครามมาอย่างยาวนาน ไม่ว่าจะเป็นการจัดการของที่พักม้าหรือเรื่องเอกสารผ่านทางล้วนหละหลวมอย่างมาก ขอแค่ในกระเป๋ามีเงิน ต่อให้ไม่ใช่ขุนนางก็ล้วนมาพักแรมที่จุดพักม้าได้
นี่เป็นครั้งแรกที่เผยเฉียนได้นั่งรถม้า นางรู้สึกแปลกใหม่อย่างยิ่ง นั่งอยู่ในห้องโดยสารที่ส่ายโคลงเคลง ไม่ต้องเดินเองช่างสบายยิ่งนัก คอยเลิกผ้าม่านมองไปยังทิวทัศน์ด้านนอกอยู่เป็นระยะ หลังเข้าช่วงฤดูใบไม้ร่วงมา ห่างจากถนนทางหลวงไปไม่ไกลมักจะมองเห็นต้นลูกพลับสีทองอร่ามเป็นแถบๆ ทำเอานางน้ำลายไหลด้วยความอยากกิน ใจหวังยิ่งนักว่าเฉินผิงอันจะบอกให้สารถีหยุดรถ นางจะได้ลงจากรถม้าไปขโมยกลับมาสักแปดจินสิบจิน
เฉินผิงอันฉวยโอกาสตอนที่นางมองออกไปข้างนอกหยิบม้วนภาพสี่ภาพออกมา แกนของม้วนภาพทั้งสี่นี้ไม่เหมือนกัน แกนหนึ่งทำมาจากไม้จื่อถานที่สามารถป้องกันมอดแทะ แกนหนึ่งคือหยกขาว อีกสองแกนทำมาจากวัสดุบางอย่างที่เขาไม่รู้จัก คนทั้งสี่ในม้วนภาพมีชีวิตชีวาเสมือนจริง
เว่ยเซี่ยนฮ่องเต้ผู้บุกเบิกแคว้นหนันเยวี่ยนอยู่ในท่านั่งเหมือนในภาพแขวนของฮ่องเต้ทั่วไป เขาสวมชุดคลุมมังกรสีทอง แต่เรือนกายไม่ถือว่ากำยำล่ำสันนัก กลับค่อนข้างจะตัวเล็กผอมบาง พอมาสวมชุดคลุมมังกรตัวใหญ่จึงดูไม่เข้ากันอย่างเห็นได้ชัด
สุยโย่วเปียนที่ล้มเหลวในการบินทะยานอยู่ในท่าสะพายกระบี่ ท่วงท่าองอาจผึ่งผาย คนในภาพวาดสบตากับคนที่มองภาพวาด
หลูป่ายเซี่ยงผู้นำแห่งลัทธิมารสวมเสื้อเกราะสีแดงสด มือทั้งคู่ยันด้ามดาบที่ปึกตรึงอยู่เบื้องหน้า เมื่อเทียบกับเว่ยเซี่ยนแล้ว เขากลับดูเหมือนจักรพรรดิในโลกมนุษย์มากกว่า
จูเหลี่ยนคนบ้าวรยุทธ์ที่ตายด้วยน้ำมือของติงอิงมีสันหลังโก่งงอ ยืนสองมือไพล่หลัง หรี่ตาลงคล้ายผู้เฒ่าตัวเล็กในหมู่ชาวบ้านทั่วไป
ภาพวาดทั้งสี่นี้กินแค่เงินฝนธัญพืชเท่านั้น? ปัญหาอยู่ที่ว่าหากให้พวกเขาคนใดคนหนึ่งในภาพวาดเหล่านี้เดินออกมาจะต้องกินเงินฝนธัญพืชไปกี่เหรียญกันแน่? อีกอย่างคำว่าจงรักภักดี ก็จำเป็นต้องผ่านการพิสูจน์ก่อนถึงจะบอกได้ ถอยไปพูดหมื่นก้าว เฉินผิงอันที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวคนหนึ่ง ขนาดชุดคลุมอาคมจินหลี่ ชือซินและหยุดหิมะยังถูกเขามองเป็นของนอกกายทั้งหมด
ยังดีที่คราวนี้อยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัวได้ถูกนักพรตเฒ่าพาท่องไปทั่วใต้หล้า เฉินผิงอันจึงเข้าใจเรื่องราวในโลกมนุษย์เพิ่มขึ้นเยอะมาก โดยไม่รู้ตัวเขาก็ใช้สายตาอีกแบบหนึ่งไปมอง ‘สถานการณ์ใหญ่ในใต้หล้า’ ของแจกันสมบัติทวีป รวมไปถึงสภาพการณ์และฐานะของถ้ำสวรรค์หลีจูที่อยู่บนอาณาเขตของต้าหลีแล้ว สำหรับเรื่อง ‘ของนอกกาย’ เขาก็ไม่มองอย่างสุดโต่งอีกต่อไป ไม่อย่างนั้นหากอิงตามนิสัยเดิมของเขา ม้วนภาพทั้งสี่นี้อาจจะถูกเฉินผิงอันเอาออกไปขายในราคาที่สูงเทียมฟ้าแล้วก็เป็นได้
เผยเฉียนยื่นคอมามองภาพวาดของสุยโย่วเปียน พูดเสียงเบาว่า “พี่สาวคนนี้สวยมากจริงๆ”
เฉินผิงอันไม่สนใจ เขาม้วนภาพวาดทั้งสี่เก็บเบาๆ ไม่ได้เอาเก็บไว้ในวัตถุฟางชุ่นต่อหน้าเผยเฉียน แต่เอาวางไว้ข้างเท้าชั่วคราว ในใจทอดถอนใจไม่หยุด บรรพบุรุษสี่ท่านนี้เลี้ยงยากเหลือเกิน ไหนเลยจะดีเหมือนชูอีกับสืออู่ แค่มีน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ก็ได้แล้ว อย่าว่าแต่เงินฝนธัญพืชเลย มีชีวิตพึ่งพากันและกันมานานขนาดนี้ สู้รบเคียงบ่าเคียงไหล่กันมาหลายครั้ง เขาไม่เคยต้องจ่ายเงินเกล็ดหิมะแม้แต่เหรียญเดียว หลอมกระบี่ เลี้ยงกระบี่ ล้วนไม่จำเป็นต้องให้เฉินผิงอันคอยเป็นกังวล
อันที่จริงเฉินผิงอันมีแท่นสังหารมังกรอยู่ก้อนหนึ่ง คือหินลับที่ดีที่สุดสำหรับการหลอมกระบี่ในโลก เพียงแต่ว่าเฉินผิงอันหรือจะตัดใจยอมให้แท่นสังหารมังกรที่สลักคำว่า ‘หนิงเหยา’ ‘ไร้เดียงสา’ ถูกกลึงให้ลดหายไปแม้แต่เสี้ยวเดียว ยังดีที่สำหรับเรื่องนี้ ชูอีกับสืออู่ต่างก็ไม่เคยงอแงกับเฉินผิงอันมาก่อน แต่เขาคิดว่าเมื่อกลับไปถึงเขตการปกครองหลงเฉวียนจะต้องพยายามขอซื้อหินสังหารมังกรก้อนเล็กๆ มาจากอริยะหร่วนฉงให้ได้ ถึงอย่างไรก็ไม่ควรปฏิบัติต่อพวกมันแย่เกินไปนัก
ค่าใช้จ่ายก้อนนี้ เฉินผิงอันไม่คิดจะงก ต่อให้เมื่อถึงเวลานั้นอาจจะไม่ใช่แค่เงินฝนธัญพืช แต่เป็นเงินเหรียญทองแดงแก่นทองที่มีมูลค่ามากกว่าก็ตาม
เฉินผิงอันมองนาง
เผยเฉียนเองก็มองเขาด้วยความกังวลใจ กลัวว่าเขาจะถีบตัวเองตกจากรถม้า อยู่ในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย นางจะไม่ถูกคนรังแกตายหรอกหรือ? ในเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยน จะดีจะชั่วนางก็คุ้นชินเส้นทางเป็นอย่างดี ของที่อยู่ในบ้านใดที่สามารถขโมยได้ ของของเด็กตระกูลใดที่สามารถแย่งชิง ใครที่ไม่ควรไปมีเรื่องด้วย ใครจำเป็นต้องประจบเอาใจ นางล้วนมีลูกคิดรางเล็กๆ ในใจเอาไว้ดีด แต่มาอยู่ที่นี่ อีกเดี๋ยวก็เข้าหน้าหนาวแล้ว หิมะก้อนใหญ่ตกพรวดๆ ลงมา หากนางไม่หิวตายก็ต้องหนาวตาย นางเคยเห็นขอทานแก่ขอทานน้อยหลายคนที่ไม่สามารถอดทนจนผ่านหน้าหนาวไปได้กับตาตัวเองมาก่อน รู้ดีว่าสภาพเมื่อต้องหนาวตายอัปลักษณ์ยิ่งนัก
เผยเฉียนรู้ว่าเฉินผิงอันไม่ชอบตน
ก็เหมือนกับที่นางรู้ว่าเฉินผิงอันชอบเฉาฉิงหล่างมาก
และนางก็ไม่ได้อยากให้เขามาชอบตน ขอแค่เขาช่วยดูแลเรื่องการกินการอยู่ให้นางก็พอแล้ว ทางที่ดีที่สุดคือมอบเงินกองใหญ่ให้กับนาง ส่วนจะชอบหรือไม่ชอบ จะมีค่าสักกี่เหรียญกันเชียว?
สารถีที่ทำหน้าที่ขับรถเป็นผู้เฒ่าคนหนึ่ง คุ้นชินเส้นทางเป็นอย่างดี เฉินผิงอันและเผยเฉียนพักค้างแรมในจุดพักม้าแห่งหนึ่ง ส่วนสารถีอาศัยหลับนอนในห้องโดยสารของรถม้า เฉินผิงอันเช่าห้องระดับล่างสองห้อง เผยเฉียนพักอยู่ในห้องด้านข้าง เฉินผิงอันซื้ออาหารส่วนหนึ่งมาจากจุดพักม้า ห่อไว้ในห่อสัมภาระเพื่อสะดวกพกพา อีกส่วนหนึ่งใส่ไว้ในหีบหนังสือธรรมดา เพราะหากออกจากบ้านมือเปล่าจะดูสะดุดตาเกินไป
แบ่งอาหารส่วนหนึ่งให้เผยเฉียนแล้ว เฉินผิงอันก็ไปที่ห้องของตัวเอง ปลดดาบและกระบี่ จุดตะเกียงน้ำมันที่อยู่บนโต๊ะ หยิบมีดแกะสลักและแผ่นไม้ไผ่สีเขียวขจีแผ่นเล็กออกมา เริ่มบันทึกสิ่งที่พบเห็นตลอดการเดินทางในพื้นที่มงคลดอกบัว ด้วยตัวอักษรเท่าหัวแมลงวัน
เสียงเคาะประตูดังขึ้น เฉินผิงอันเดินไปเปิดประตู เผยเฉียนยืนอยู่ข้างนอก กล่าวอย่างขลาดๆ ว่า “ในห้องมืดสนิท ข้ารู้สึกกลัว”
เฉินผิงอันรู้สึกขำ ในใจคิดว่าเจ้าใจกล้าถึงขนาดปีนขึ้นไปนอนหลับบนหลังสิงโตหินของบ้านคนรวย แต่พอได้มาพักอยู่ในห้องกลับกลัวงั้นหรือ?
แต่เฉินผิงอันก็ยังยอมให้นางเข้ามา นางปิดประตูลงอย่างว่าง่าย เฉินผิงอันบอกให้นางนั่งบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม ก่อนพูดช้าๆ ว่า “ที่นี่เรียกว่าใบถงทวีป เป็นสถานที่แห่งหนึ่งที่ใหญ่มาก พวกเราจะเดินทางไปยังแจกันสมบัติทวีป บ้านเกิดของข้าอยู่ทางทิศเหนือของแจกันสมบัติทวีป นับตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไปเจ้าต้องเริ่มเรียนภาษากลางของแจกันสมบัติทวีปและภาษาทางการของต้าหลีที่เป็นบ้านเกิดข้า”
เผยเฉียนยิ้มกว้าง พยักหน้ารับอย่างแรง “ได้เลย!”
ไม่ใช่ว่านางอยากเรียนภาษาทางการภาษากลางผายลมสุนัขอะไรนั่น แต่จากความหมายของคนที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ เห็นได้ชัดว่าจะพานางไปบ้านเกิดของเขาด้วย นี่ไม่ใช่หมายความว่าตลอดทางนี้นางสามารถกินฟรีอยู่ฟรี ไม่ต้องกังวลเรื่องการกินอยู่หรอกหรือ?
แต่คำพูดประโยคต่อมาของเฉินผิงอันกลับเหมือนสาดน้ำเย็นใส่หน้านาง ทำให้สีหน้าของเด็กหญิงเดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่าง บ่นนินทาในใจไม่หยุด เฉินผิงอันหยิบมีดแกะสลักขึ้นมาสลักตัวอักษรลงบนแผ่นไม้ไผ่ภูเขาชิงเสินที่เว่ยป้อมอบให้ต่ออีกครั้ง เขาก้มหน้าลง ค่อยๆ ขีดค่อยๆ เขียน ละเลียดบรรจง ขณะเดียวกันก็พูดกับเผยเฉียนด้วยว่า “นับตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป นอกจากจะสอนภาษากลางและภาษาทางการให้เจ้าแล้ว ยังจะสอนให้เจ้ารู้จักตัวอักษร หากเห็นว่าเจ้าเรียนดีก็จะมีข้าวให้เจ้ากินทุกมื้อ หากเรียนไม่ดีก็อย่าหวังว่าจะได้กิน”
นางหน้ามุ่ย “ข้าโง่มากเลยนะ”
เฉินผิงอันร้องอ้อหนึ่งที “ถ้าอย่างนั้นข้าก็ประหยัดเงินได้แล้ว”
เผยเฉียนแอบเหลือบมองเฉินผิงอัน เห็นว่าเขาไม่เหมือนล้อเล่น นางก็รีบยิ้มทันที “ข้าจะตั้งใจเรียน”
กล่าวมาถึงตรงนี้ นางก็ฟุบตัวลงบนโต๊ะ ถามเสียงเบา “ซื้อเสื้อผ้าให้ข้าสักชุดสองชุดได้ไหม?”
เฉินผิงอันตอบโดยไม่มองหน้า “รอให้อากาศหนาวแล้ว ข้าจะหาเสื้อผ้าหนาๆ ให้เจ้าเพิ่มชุดหนึ่ง”
นางพึมพำ “ฤดูใบไม้ร่วงแล้วนะ อากาศเย็นมากแล้ว อีกอย่างเจ้าดูสิ ขนาดรองเท้าข้ายังเป็นรู จริงๆ นะ ไม่ได้หลอกเจ้า หากข้าเกิดป่วยขึ้นมา เจ้าก็ยังต้องดูแลข้าอีก แบบนั้นจะยุ่งยากมาก…”
พูดมาถึงตรงนี้นางก็ยกเท้าขึ้น รองเท้าของนางขาดจริงๆ เผยให้เห็นนิ้วเท้าสีดำเมี่ยม
เฉินผิงอันวางมีดแกะสลักลง ใช้ปลายนิ้วเช็ดเศษไม้ไผ่เล็กละเอียดที่มองไม่เห็นทิ้งไป “กลับไปนอน พรุ่งนี้ยังต้องออกเดินทางแต่เช้า”
เผยเฉียนไม่พูดอะไรอีก ออกจากห้องไปเงียบๆ พอกลับไปถึงห้องที่อยู่ด้านข้างก็ปิดประตูแล้วยิ้มหน้าบานทันที ก่อนจะรีบตีหน้าเคร่ง บังคับตัวเองไม่ให้หลุดเสียงหัวเราะออกมา นางกระโจนขึ้นไปบนผ้าห่ม กลิ้งตัวอย่างมีความสุข สุดท้ายมองฝ้าเพดาน หลังจากเตะรองเท้าเก่าขาดทิ้งไปแล้วก็เริ่มนึกถึงท่าทางเมื่อครู่นี้ของเฉินผิงอัน นางเลียนแบบเขาด้วยการพูดประโยคนั้นว่า ‘กลับไปนอน’ แต่ไม่กล้าออกเสียง แล้วทำหน้าทะเล้น
ก่อนจะนอน นางกระโดดลงจากเตียงไปจุดตะเกียงที่อยู่บนโต๊ะ แล้วถึงได้นอนหลับไปจนฟ้าสว่าง
ไม่จุดตะเกียงทิ้งไว้ก็เสียเปล่า
คนมีเงินก็ควรทำเช่นนี้
บทที่ 329.2 คนในภาพวาด
ProjectZyphon
เฉินผิงอันที่อยู่อีกห้องเขียน ‘บันทึกท่องเที่ยวพื้นที่มงคลดอกบัว’ อัดแน่นเต็มแผ่นไม้ไผ่ถึงสามแผ่น เป่าไฟดับตะเกียงแล้วก็เริ่มฝึกเดินนิ่งหกก้าว ร่วมกับท่ามือจับกระบี่หลากหลายรูปแบบในคัมภีร์เวทกระบี่ที่แท้จริง ยังคงเป็นท่าจับเสมือนจริง
ก้าวเดินเงียบเชียบไร้สรรพสำเนียงราวกับปลาที่แหวกว่ายอยู่ในน้ำ ปณิธานหมัดและจิตวิญญาณแห่งหมัดล้วนถูกเก็บไว้ภายในทั้งหมด เมื่อเทียบกับตอนเฉินผิงอันปล่อยหมัดตรงริมลำคลองหลงซวีที่ปณิธานหมัดไหลรินไปทั่วร่างแล้ว ก็เรียกได้ว่าแตกต่างราวฟ้ากับเหว
ทุกวันนี้เวลาเฉินผิงอันฝึกหมัดสามารถแบ่งสมาธิไปคิดเรื่องอื่นได้แล้ว
ตามคำบอกในตำราหมัดเขย่าภูเขา หลังจากเดินนิ่งกับยืนนิ่งแล้ว อันที่จริงยังมี ‘เชียนชิว’ นอนนิ่งอีก เฉินผิงอันรู้หลักและกระบวนท่าของมันมานานแล้ว และหลังจากที่เขาเลื่อนสู่ขอบเขตสี่ก็ไม่คิดว่าการฝึกท่านี้เป็นเรื่องยากอีกต่อไป ประเด็นสำคัญคือแก่นของนอนนิ่งดันไปอยู่ที่คำกล่าวสี่ประโยคว่า ‘นอนหลับเหมือนตาย’ ซึ่งจะทำให้จิตวิญญาณของคนเป็นดั่งน้ำตายในบ่อ ถือเป็นการฝึกตนอย่างเต็มที่ แต่เฉินผิงอันออกจากบ้านมาสองครั้ง แต่ละครั้งล้วนเดินทางไกลยิ่งกว่าเก่า เฉินผิงอันไม่กล้านอนหลับสนิทเกินไปนัก ดังนั้นการฝึกท่านี้จึงถูกถ่วงรั้งเอาไว้ตลอดเวลา ต้องรอให้กลับไปถึงหลงเฉวียนก่อนค่อยว่ากันอีกที
ครั้งนี้ออกมาจากพื้นที่มงคลดอกบัวอย่างฉุกละหุกเกินไป
หาไม่แล้วเฉินผิงอันก็จะต้องพยายามรวบรวมวิชายุทธ์ชั้นสูงของใต้หล้าแห่งนั้นมาให้ได้มากที่สุด ตอนนี้ลองมาย้อนนึกดูแล้ว เส้นทางการเรียนวรยุทธ์ของติงอิงไม่ได้ผิดเลย เขาได้ยืนอยู่บนยอดเขาของกลุ่มภูเขาอย่างแท้จริง แทบจะเรียกได้ว่าเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดแห่งการเรียนวรยุทธ์ของพื้นที่มงคลดอกบัว คิดจะเดินไปให้ถึงก้าวนั้น นอกจากต้องตระหนักรู้ได้ด้วยตัวเองแล้ว ยังจำเป็นต้องมองทัศนียภาพของยอดเขาแห่งอื่นที่เตี้ยกว่าแล้วเอามาเปรียบเทียบกัน ชดเชยส่วนที่ขาดหาย สุดท้ายกลายมาเป็นปณิธานหมัดของตัวเอง นั่นต่างหากถึงจะเป็นหมัดสูงนอกฟ้าอย่างแท้จริง
นี่ก็คล้ายคลึงกับการเรียนหนังสือและหลักการเหตุผลไม่ใช่หรือ?
แล้วก็มีส่วนที่เหมือนกับการสร้างสะพานซึ่งเขียนระบุไว้ในตำราของที่ว่าการกรมโยธา
โดยไม่ทันรู้ตัว ขอบฟ้านอกหน้าต่างก็เริ่มปรากฏเป็นสีขาวเหมือนสีพุงปลาแล้ว
ทุกวันนี้ต่อให้ฝึกหมัดตลอดทั้งคืน เฉินผิงอันก็ไม่เคยมีเหงื่อออก เกรงว่านี่คงเป็นความสะดวกสบายหลังจากเลื่อนสู่ขอบเขตห้าเพราะการบำรุงจิตวิญญาณประสบความสำเร็จแล้ว แต่ในเมื่อเขาสวมชุดคลุมอาคมจินหลี่อยู่บนกาย จะมีเหงื่อออกหรือไม่ก็ไม่ได้มีผลอะไร
ตอนที่เฉินผิงอันฝึกหมัด คนจิ๋วดอกบัวที่หายดีแล้วนั่งหลับอยู่ตรงขอบโต๊ะ พอออกมาจากพื้นที่มงคลดอกบัวก็ดูเหมือนว่าเจ้าตัวน้อยจะมีเรื่องในใจให้ครุ่นคิด
เฉินผิงอันหยุดฝึก นั่งลงข้างโต๊ะ ศีรษะของเจ้าตัวน้อยห้อยลู่ลง
เฉินผิงอันลูบศีรษะของมันพลางคลี่ยิ้ม ไม่ได้พูดอะไร เรื่องการปลอบใจคนไม่ใช่เรื่องที่เขาเฉินผิงอันถนัดเลยจริงๆ
เขาหยิบม้วนภาพวาดทั้งสี่ออกมาอีกครั้ง วางบนโต๊ะ เริ่มครุ่นคิดว่าควรจะ ‘วางเดิมพัน’ ดีหรือไม่
ในอดีตเฉินผิงอันกลัวเรื่องของโชคลาภเหมือนกลัวเสือ
ตอนนี้ปมในใจคลายลงไปได้ไม่น้อย อันที่จริงหลังจากที่ถ้ำสวรรค์หลีจูแตกแล้วร่วงลงมา โดยเฉพาะเมื่อถูกเจ้าลัทธิลู่เฉินเล่นงานไปครั้งหนึ่งโดยการผูกเขาเข้ากับเฮ้อเสี่ยวเหลียงแห่งสำนักโองการเทพ การเดินทางไปเยือนต้าสุยของเขาจึงราบรื่น โชคดีอย่างถึงที่สุด ภายหลังเมื่อแยกทางกันเดินกับเฮ้อเสี่ยวเหลียงบนเรือคุน ด้านโชคลาภของเขาก็ยังถือว่าไม่เลว
อีกอย่างตอนนี้เขาเฉินผิงอันก็มีทรัพย์สมบัติไม่น้อยแล้ว ไม่พูดถึงผลกำไรมหาศาลตอนที่เดินทางร่วมกับลู่ไถ พูดถึงแค่เทพหยินซึ่งอยู่เคียงข้างเจิ้งต้าเฟิงในนครมังกรเฒ่าตนนั้นที่ยอมจ่ายเงินฝนธัญพืชถึงสิบเหรียญเต็ม เพื่อขอซื้อแผ่นไม้ไผ่เฟิ่นหย่งเล็กๆ แผ่นหนึ่งไปจากเขา ดูเหมือนว่าเพราะอยากซื้อประโยคบนแผ่นไม้ที่ว่า ‘เทพเซียนมีความต่าง หยินหยางแยกห่าง วิญญาณทำให้ใจสงบ จิตสร้างร่างทอง’”
ดังนั้นเฉินผิงอันจึงไม่คาดหวังว่าจะสามารถเลี้ยงให้ภาพวาดสี่ภาพนี้กลับมา ‘มีชีวิต’ ได้ทั้งหมดในคราวเดียว เลือกภาพหนึ่งในนั้นมาเหมือนเป็นการเดิมพันเล็กๆ น่าจะมั่นคงกว่า
สถานการณ์วุ่นวายเกิดขึ้นแล้ว เฉินผิงอันต้องการผู้ช่วยให้ช่วยดูแลครอบครัวและกิจการของเขาจริงๆ
ผู้เฒ่าแซ่ชุย เฉินผิงอันไม่กล้าคาดหวัง คนหนึ่งสอนวิชาหมัด อีกคนก็แค่เรียนวิชาหมัดเท่านั้น จะหวังอะไรมากกว่านั้นไม่ได้
ส่วนเว่ยป้อถึงอย่างไรก็เป็นทวยเทพแห่งขุนเขาใหญ่ มีหน้าที่รับผิดชอบเป็นของตัวเอง
เจ้าตัวน้อยสองคนอย่างเด็กชายชุดเขียวและเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูตบะยังตื้นเขิน อีกทั้งเฉินผิงอันปฏิบัติต่อพวกเขาเหมือนที่ชายคนโตที่ปฏิบัติต่อน้องเล็กสองคนมากกว่า นี่เป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นในจิตใจตามธรรมชาติ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับอายุ หากเจอกับเรื่องใหญ่จริงๆ เฉินผิงอันไม่เพียงแต่ไม่ยอมให้พวกเขาเข้าไปเสี่ยงอันตราย มีแต่จะบอกให้พวกเขาอยู่ห่างๆ เข้าไว้
สำหรับคนสี่คนในภาพวาด เฉินผิงอันกลับไม่ต้องคิดเยอะขนาดนั้น
ส่วนหลังจากที่ทำความรู้จักกันแล้ว ควรจะอยู่ร่วมกันอย่างไร นั่นเป็นเรื่องที่ต้องรอให้ถึงเวลาก่อนค่อยว่ากันอีกที
ภาพวาดสี่ภาพ เฉินผิงอันไม่รู้ว่าควรจะเลือกใคร แต่แน่ใจมากว่าคนแรกที่เขาจะไม่เลือกก็คือภาพวาดของสุยโย่วเปียน
หากหลังจากนี้หนิงเหยารู้เรื่องที่ว่ามีผู้หญิงเดินออกจากภาพวาดมาอยู่ข้างกายตน อีกทั้งตนยังต้องจ่ายเงินฝนธัญพืชไปไม่น้อย แบบนั้นเขาจะทำอย่างไร?
ดังนั้นเฉินผิงอันจึงเอาภาพวาดนี้ใส่ไว้ในกระบี่บินสืออู่ก่อนภาพอื่น
จากนั้นก็เก็บภาพของหลูป๋ายเซี่ยงบรรพบุรุษผู้เปิดภูเขาของลัทธิมารใส่ตามไป แค่มองก็รู้แล้วว่าเป็นพวกพยศยากจะกำราบ อีกทั้งยังเป็นผู้ริเริ่มก่อตั้งกองกำลังในท้องถิ่นของพื้นที่มงคลดอกบัวที่ใหญ่ที่สุด หลังจากเฉินผิงอันเชื้อเชิญอีกฝ่ายออกมาได้อย่างยากลำบากแล้ว หากอีกฝ่ายเป็นพวกมารร้ายโหดเหี้ยมอย่างโจวเฝยแห่งตำหนักคลื่นวสันต์ มองข้ามหลักจริยธรรม ทรยศเนรคุณ แบบนั้นเขาจะยังต้องหาวิธีจับอีกฝ่ายกลับไปขังไว้ในภาพวาดอีกหรือ?
ไม่มีเหตุผลใดในใต้หล้าที่บอกให้คนไม่เห็นค่าของเงินถึงขนาดนี้
เงินฝนธัญพืชไม่ใช่เงินเกล็ดหิมะ แล้วนับประสาอะไรกับที่ว่า ต่อให้เป็นเงินเกล็ดหิมะก็ไม่ได้เหมือนกัน
เก็บม้วนภาพที่สองไปแล้วก็เหลืออยู่แค่บรรพบุรุษของเว่ยเหลียงและจูเหลี่ยนผู้บ้าคลั่งวรยุทธ์ที่มองดูเหมือนมีเมตตาปราณี ฝ่ายหลังเคยเป็นเจ้าของกวานดอกบัวสีเงิน นี่ทำให้ในใจเฉินผิงอันเต้นระทึกเล็กน้อย การต่อสู้กับติงอิง เขาเกือบจะเอาชีวิตไปทิ้งไว้ที่ภูเขากู่หนิว นั่นคือศึกที่อันตรายที่สุดในชีวิตของเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันจ้องมองภาพสองภาพอย่างลังเลใจ
คนจิ๋วดอกบัวขยับมานั่งอยู่ตรงหน้าเฉินผิงอันเงียบๆ แล้วก็มองประเมินภาพทั้งสองอย่างตั้งใจไม่ต่างกัน
เฉินผิงอันตัดสินใจไม่ได้จึงถามมันด้วยรอยยิ้ม “เจ้ารู้สึกว่าถูกชะตากับใครมากกว่า?”
คนจิ๋วดอกบัวหันหน้ากลับมา เจ้าตัวน้อยที่มีแค่แขนเดียวชี้ไปที่ภาพวาด จากนั้นก็ชี้มาที่ตัวเองคล้ายกำลังถามเฉินผิงอันว่าต้องการให้มันเป็นคนเลือกจริงๆ หรือ?
เฉินผิงอันยิ้มตาหยีพลางพยักหน้ารับ
เจ้าตัวน้อยลุกขึ้นยืนว่องไว ขยับเดินไปตามริมขอบของภาพวาดทั้งสอง เบิกตากว้าง วิ่งไปวิ่งมา แถมยังฟุบตัวลงบนผิวโต๊ะเพื่อมองคนที่อยู่ในภาพวาด จริงจังและน่ารักอย่างมาก
ทำเอาเฉินผิงอันที่มองดูอยู่อารมณ์ดี
สุดท้ายเจ้าตัวน้อยนั่งลงบนพื้น ชี้ไปยังภาพวาดของเว่ยเซี่ยนที่อยู่ข้างกาย
เฉินผิงอันหัวเราะฮ่าๆ “ถ้าอย่างนั้นก็เลือกเขานี่แหละ”
หลังจากเจ้าตัวน้อยลุกขึ้นยืนก็รีบวิ่งไปที่ขอบโต๊ะ กระตุกชายแขนเสื้อของเฉินผิงอันอย่างเป็นกังวลเล็กน้อย คงกลัวว่าตัวเองจะเลือกผิดไป
“ไม่เป็นไร ถึงอย่างไรก็ต้องเลือกอยู่แล้ว เลือกผิดก็ไม่เป็นไร” เฉินผิงอันยื่นนิ้วออกมาจี้ใต้รักแร้ของมัน เจ้าตัวน้อยหัวเราะคิกคัก
เฉินผิงอันหยิบเงินฝนธัญพืชออกมาหนึ่งเหรียญ คีบไว้ด้วยสองนิ้ว ก่อนจะวางลงบนภาพวาดของฮ่องเต้ผู้บุกเบิกแคว้นหนันเยวี่ยนเบาๆ เมื่อเงินฝนธัญพืชสัมผัสกับภาพวาดก็หลอมละลายเหมือนหิมะทันที บนพื้นผิวของภาพวาดมีปราณวิญญาณชั้นหนึ่งที่มาจากเงินฝนธัญพืชแผ่ออกมาอย่างรวดเร็ว ไอหมอกขมุกขมัวเหมือนไอน้ำเหนือทะเลสาบ จากนั้นก็พลันกระเพื่อมแผ่ออกไปสี่ทิศ เฉินผิงอันมองไปทางภาพเหมือนของเว่ยเซี่ยนที่ดูมี ‘ชีวิตชีวา’ เพิ่มขึ้นมาส่วนหนึ่ง โดยเฉพาะบนชุดคลุมมังกรหรูหราที่ถักทอขึ้นอย่างประณีตที่มีแสงสีทองกะพริบเปล่งประกาย
น่าเสียดายก็แต่เขามองสายสนกลในมากกว่านั้นไม่ออก จะต้องใช้เงินฝนธัญพืชมากน้อยแค่ไหนก็ยังคงเป็นปริศนาอยู่ดี
เฉินผิงอันตัดสินใจแล้วว่าจะโยนเงินฝนธัญพืชเข้าไปในภาพวาดสิบเหรียญ หากยังไม่มีสัญญาณที่แน่ชัดก็ถือซะว่าปาหินให้กระดอนไปบนน้ำ (เปรียบเปรยว่าเสียเงินไปเปล่าๆ โดยไม่เกิดผลลัพธ์ใดๆ)
เก็บม้วนภาพวาดไปอย่างระมัดระวัง เฉินผิงอันก็ห้อยชือซินและหยุดหิมะไว้ตรงเอวให้เรียบร้อย สะพายห่อสัมภาระผ้าฝ้าย ออกจากห้องแล้วตะโกนเรียกเผยเฉียนที่อยู่ห้องติดกันให้ออกเดินทางต่อ
เคาะประตูอยู่นานกว่าเด็กหญิงจะเดินอืดอาดออกมาเปิดประตูอย่างสะลึมสะลือ พอเห็นเฉินผิงอันก็ทำสีหน้าไม่ใคร่จะเต็มใจสักเท่าไหร่
หลังจากนางจัดการตัวเองเสร็จเรียบร้อย เห็นนางเดินมาหาตน เฉินผิงอันก็ชี้ไปที่เตียง
เผยเฉียนทำหน้างงงัน
เฉินผิงอันจึงกล่าวว่า “เก็บให้เรียบร้อยก่อนค่อยไป”
เผยเฉียนกล่าวอย่างน้อยใจ “พวกเราจ่ายเงินถึงจะค้างแรมที่จุดพักม้าได้ เจ้าจ่ายเงินไปตั้งมากนะ”
เฉินผิงอันไม่พูดไม่จา
เผยเฉียนจึงได้แต่หมุนตัวกลับไปพับผ้าห่มให้เรียบร้อย
เฉินผิงอันชำเลืองตามองตะเกียงน้ำมันที่อยู่บนโต๊ะแล้วขมวดคิ้ว
หลังจากนั้นก็โดยสารรถม้าขึ้นเหนือ สารถีคุ้นเคยกับเส้นทางดี จึงกะเวลาให้แขกทั้งสองคนเข้าพักในจุดพักม้าหรือไม่ก็ในโรงเตี๊ยมตามเมืองต่างๆ ได้อย่างพอดิบพอดี พวกเฉินผิงอันจึงไม่มีโอกาสได้นอนกลางดินกินกลางทราย
เฉินผิงอันเริ่มสอนภาษากลาง รวมไปถึงขนบธรรมเนียมประเพณีคร่าวๆ ของแจกันสมบัติทวีปและราชวงศ์ต้าหลีให้กับเผยเฉียน จากนั้นก็เอาตำราลัทธิขงจื๊อเล่มหนึ่งที่ซื้อจากร้านหนังสือในตรอกจ้วงหยวนมาสอนให้นางรู้จักตัวอักษร ขณะเดียวกันที่ช่วยสอนให้นางรู้จักตัวอักษร ยังใช้ภาษาทางการและภาษากลางในการสอนไปพร้อมกันด้วย ยิงปืนนัดเดียวได้นกสามตัว เพียงแต่ว่าเผยเฉียนไม่ได้ตั้งใจเรียนเท่าใดนัก แม้จะรู้จักตัวอักษรร้อยกว่าตัวแล้วก็ตาม แค่มองก็รู้ว่านางไม่ใช่คนชอบเรียนหนังสือ เห็นได้ชัดว่านางชอบนอนหลับอยู่ในห้องโดยสารมากกว่า ต่อให้นางจะไม่ทำอะไรสักอย่าง เฉินผิงอันก็ไม่สนใจนาง ปล่อยให้นางนอน นางก็นอนได้เกินครึ่งวัน พอตื่นขึ้นมาก็จะเลิกผ้าม่านขึ้นมองทัศนียภาพนอกหน้าต่าง ดูจบก็นอนหลับต่อ นับว่าเป็นความสามารถอย่างหนึ่งเหมือนกัน
ตลอดทางมีฝนตกอยู่ตลอดเวลา
เดินทางกันไปอย่างเชื่องช้า ในที่สุดรถม้าก็ไปถึงเขตการปกครองชายแดนเป่ยจิ้น หลังจากจ่ายค่าเดินทางอีกครึ่งที่เหลือเรียบร้อย เฉินผิงอันก็เริ่มพาเผยเฉียนออกเดิน
เนื่องจากอากาศเปลี่ยนมาเป็นเย็นมากขึ้น อีกทั้งยังมีฝนตกบ่อยๆ เฉินผิงอันจึงซื้อชุดที่หนาหนึ่งชุดและรองเท้าคู่ใหม่ให้นางหนึ่งคู่ เพียงแต่ว่าไม่ได้มอบให้นางทันที นางจึงได้แต่มองห่อสัมภาระที่เฉินผิงอันสะพายตาปริบๆ ถึงขั้นขอเขามาสะพายเองอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน
ประตูเมืองทั่วไปในเขตเป่ยจิ้นไม่เข้มงวดนัก แค่สารถีจ่ายเงินเล็กน้อย เผยเฉียนที่ไม่มีทั้งทะเบียนบ้านและเอกสารผ่านทางก็สามารถเข้าเมืองไปได้อย่างราบรื่น แต่ด่านชายแดนนั้นไม่เหมือนกัน เฉินผิงอันจึงเริ่มพานางเดินขึ้นเขาลงห้วย เมื่อเทียบเผยเฉียนกับหลี่เป่าผิงที่ทนรับกับความยากลำบากได้แล้ว คนหนึ่งคือฟ้า คนหนึ่งคือดิน ต่อให้เฉินผิงอันจะคอยสังเกตกำลังเท้าของนางอย่างรอบคอบ นางก็ยังร้องโอดครวญไม่หยุด คอยบีบน้ำตาครั้งแล้วครั้งเล่า ทำเอาเฉินผิงอันที่ต่อให้นิสัยดีแค่ไหนก็อดรำคาญไม่ได้
แต่พอได้เปลี่ยนชุดใหม่และรองเท้าใหม่ เผยเฉียนก็ทำตัวดีอยู่หลายวัน ทว่าเนื่องจากนางไม่เคยรู้จักทะนุถนอมเห็นค่าของสิ่งของ เพียงไม่นานชุดใหม่ก็โดนกิ่งไม้กิ่งหนามบนทางเล็กๆ บนภูเขาเกี่ยวขาดเป็นรูจำนวนมาก อาการเก่าของนางจึงกำเริบอีกครั้ง หลังจากเฉินผิงอันรับปากว่าพอลงเขาเข้าเมืองแล้วจะซื้อชุดให้นางใหม่อีกชุด นางถึงได้มีพละกำลังขึ้นมา เพียงแต่ว่าเส้นชายแดนของแคว้นเป่ยจิ้นยาวไกล เส้นทางบนภูเขาเดินยาก เผยเฉียนทำหน้าดำตั้งแต่เช้ายันค่ำ ทุกวันที่ถูกเฉินผิงอันเรียกร้องให้ใช้กิ่งไม้หัดเขียนตัวอักษรลงบนพื้น นางจะต้องจงใจเขียนให้บิดเบี้ยวเหมือนไส้เดือน บอกให้นางเขียนหนึ่งร้อยคำ นางไม่มีทางเขียนเกินมาแม้แต่คำเดียวแน่นอน
ช่วงเวลาระหว่างนี้เฉินผิงอันใช้เงินฝนธัญพืช ‘ป้อน’ ไปอีกสามเหรียญ
เพราะว่าตอนนี้เฉินผิงอันเดินทางก็เท่ากับฝึกหมัด ทุกลมหายใจเข้าออกล้วนเป็นการหล่อหลอมร่างกาย ดังนั้นจึงมองดูเหมือนเฉินผิงอันทุ่มพละกำลังไว้ที่ท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลูทั้งหมด
มีเพียงตอนที่เฉินผิงอันฝึกท่าเจี้ยนหลูเท่านั้น เผยเฉียนถึงมีเรี่ยวแรง แต่ไม่กล้าเข้าใกล้เฉินผิงอัน นางไปยืนห่างอยู่ไกลมาก มองเขาที่ยืนนิ่งอยู่ที่เดิมไม่กระดุกกระดิกเหมือนท่อนไม้ นานวันเข้าเผยเฉียนก็รู้สึกเบื่อหน่าย
คืนนี้เฉินผิงอันพานางพักนอนในป่าชานเมืองแห่งหนึ่ง คราวก่อนตอนที่อยู่ในเขตปกครองของชายแดน นอกจากจะซื้อกระโจมหนังวัวขนาดเล็กให้เผยเฉียนโดยเฉพาะแล้ว เฉินผิงอันยังซื้อตะขอและเส้นเอ็นตกปลา ตัวเองหากิ่งไผ่บางๆ บนภูเขามาทำเป็นคันเบ็ด จากนั้นก็เริ่มตกปลายามดึกอยู่ริมลำธาร
กลางดึก เฉินผิงอันหันหน้ามองไปเห็นว่ากลางป่าลึกที่ห่างไกลมีแสงสีแดงเปล่งวูบวาบ
และไม่นานภาพเหตุการณ์ประหลาดภาพหนึ่งก็เกิดขึ้น
เขาเห็นเกี้ยวใหญ่แปดคนหามแขวนโคมสีแดงขนาดใหญ่ไว้สี่มุม คนหามเกี้ยวคล้ายจะเป็นภูตประหลาดที่เกิดและเติบโตขึ้นมาในป่าเขา ส่วนคนที่ทำหน้าที่ตีกลองตีฆ้องกลับเป็นวัตถุหยินกลุ่มหนึ่ง คนที่เป็นหัวหน้าคือโครงกระดูกขาวที่ตรงเอวพกกระบี่ขึ้นสนิม
ข้างเกี้ยวยังมีหญิงชราแต่งกายฉูดฉาดอยู่อีกหนึ่งคน นางสวมชุดสีแดงสดที่แสดงถึงความมงคล แต่งหน้าหนาเตอะ สองแก้มแดงแป๊ด ทว่าสีหน้ากลับซีดขาว อีกทั้งรอบกายนางยังมีควันดำหลายกลุ่มรุมล้อม
ตอนนี้เฉินผิงอันคุ้นเคยกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นบนภูเขาแล้ว จึงรู้ว่านี่น่าจะเป็นการสู่ขอภรรยาของเทพภูเขา
เขาไม่อยากให้เกิดปัญหาแทรกซ้อนจึงแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น
เพียงแต่นึกไม่ถึงว่าเผยเฉียนจะตื่นมาในเวลานี้ นางมุดออกจากกระโจมหนังวัว ขยี้ตามองขบวนรับเจ้าสาวนั้นอย่างเหม่อลอย
บทที่ 330.1 การช่วงชิงแห่งแม่น้ำและภูเขา
ProjectZyphon
เฉินผิงอันวางคันเบ็ดตกปลาลง ขยับมาอยู่ข้างกายเผยเฉียน
หญิงชราที่อยู่ทางฝั่งนั้นหันหน้ามายิ้มมองเด็กหญิงร่างผอมแห้งแล้ว สายตาของนางแฝงไว้ด้วยแววคลุมเครือสนุกสนาน นางยกแขนที่เล็กบางของตัวเองขึ้น เกี้ยวก็พลันหยุดนิ่งอยู่กับที่ ภูตประหลาดบนภูเขาทั้งหมดซึ่งรวมไปถึงโครงกระดูกมือกระบี่ต่างก็พากันหันมามองอย่างพร้อมเพรียง น่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง
เฉินผิงอันกุมหมัดคารวะ เป็นฝ่ายขออภัยขบวนรับเจ้าสาวขบวนนี้ก่อน
นกมีทางของนก หนูมีทางของหนู โดยเฉพาะอย่างยิ่งหยินหยางที่มีความแตกต่าง บนโลกมีกฎระเบียบ ก็เหมือนกับการพบเจอกันครั้งนี้ หากไม่เป็นเพราะเผยเฉียนละเมิดกฎด้วยการหันไปมองอย่างโจ่งแจ้งใจกล้าก่อน ถ้าเช่นนั้นการที่เฉินผิงอันเป็นฝ่ายยอมขอโทษ ขบวนงานแต่งของเทพภูเขากลุ่มนี้ก็ไม่มีทางสนใจการดำรงอยู่ของเฉินผิงอันกับเผยเฉียนอีก พวกมันผ่านมาแล้วก็ผ่านไป นี่ก็คือสาเหตุที่น้อยครั้งนักที่พวกชาวบ้านและนายพรานหลายคนซึ่งอยู่อาศัยบริเวณใกล้ภูเขาและทะเลสาบมาหลายชั่วอายุคนจะเจอกับพิบัติภัย
หญิงชราเห็นว่าเฉินผิงอันรู้กาลควรไม่ควรจึงพยักหน้าให้เขา โบกมืออีกครั้ง ขบวนรับเจ้าสาวที่ยิ่งใหญ่ก็กลับมาตีฆ้องตีกลอง เดินหน้าไปรับตัวฮูหยินของเทพภูเขาอีกครั้ง
เด็กหญิงร่างผอมแห้งเกือบจะก่อเรื่องครั้งใหญ่ ทว่าคราวนี้เฉินผิงอันกลับไม่ได้กล่าวโทษเผยเฉียน นางไม่ใช่ผู้ฝึกตน ไม่รู้ถึงกฎเกณฑ์ของพวกเขา เป็นเรื่องที่ให้อภัยกันได้ และนี่ก็เป็นเพราะเขาเฉินผิงอันสอนได้ไม่ดีพอ ไม่อาจโทษนางได้ แต่หากเฉินผิงอันพูดถึงกฎเกณฑนี้ให้นางฟังตั้งแต่แรก แล้วนางยังทำตัววู่วามแบบนี้อีกก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
เฉินผิงอันถามเบาๆ “เจ้ามองเห็นพวกมัน? ได้ยินเสียงตีกลอง?”
เผยเฉียนที่ใบหน้าเล็กๆ ซีดขาวพยักหน้ารับ “ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวเลยลุกขึ้นมา นึกว่าฝันไป น่ากลัวเกินไปแล้ว”
เฉินผิงอันยื่นนิ้วข้างหนึ่งมากดตรงหว่างคิ้วของเผยเฉียนเบาๆ ช่วยให้นางสงบจิตใจ
หากไม่ระวังเจอกับวัตถุหยินและสิ่งชั่วร้าย มนุษย์ธรรมดาย่อมมองไม่เห็น อีกฝ่ายก็ไม่ได้มีเจตนาอยากทำร้ายคน แต่หากปราณหยางในร่างของมนุษย์ธรรมดาไม่อุดมสมบูรณ์มากพอ ก็ง่ายที่จิตวิญญาณจะส่ายไหวไม่อยู่นิ่ง ทำร้ายรากฐานของพลังชีวิตโดยที่มองไม่เห็น ในคำบอกเล่าถึงภูตผีปีศาจมากมายในโลกมนุษย์ บางคนที่ถูกเสนียดจัญไร พอล้มป่วยก็ลุกไม่ขึ้นอีก ส่วนใหญ่มักเกิดจากสถานการณ์คล้ายคลึงกันนี้ นั่นคือหยินและหยางขัดแย้งกันเอง
โชคดีที่เผยเฉียนไม่เป็นอะไรมาก เฉินผิงอันจึงพูดเตือนนาง “แม้จะไม่แน่ใจว่าเหตุใดเจ้าถึงมองเห็นพวกมัน แต่หากวันหน้าเจออะไรแบบนี้อีก ต้องทำเป็นไม่เห็นและไม่ได้ยิน ไม่อย่างนั้นก็ง่ายที่จะชักนำปัญหามาสู่ตัว ถูกฝ่ายตรงข้ามมองว่าท้าทาย โชคดีที่ขบวนรับเจ้าสาวของคืนนี้มีพื้นเพเป็นฝ่ายธรรมะ คาดว่าสถานะของพวกเขาที่อยู่ในภูเขาแถบนี้น่าจะคล้ายคลึงกับขุนนางในโลกมนุษย์ ถึงได้ไม่ถือสาพวกเรา”
เผยเฉียนยังหวาดผวาไม่หาย จึงรีบพยักหน้ารับรัวๆ
เฉินผิงอันถาม “ตลอดหลายปีที่เจ้าอยู่ในแคว้นหนันเยวี่ยน เคยเห็นพวกผีเร่ร่อนตามข้างในและข้างนอกเมืองบ้างไหม?”
เผยเฉียนที่หน้าม่อยส่ายหน้าอย่างแรง “ก่อนหน้านี้ข้าไม่เคยเห็นสิ่งสกปรกพวกนี้เลย สักครั้งก็ไม่เคย!”
เฉินผิงอันครุ่นคิด ก่อนจะเอ่ยกำชับว่า “เดินทางอยู่ข้างนอก ขึ้นเขาลงน้ำ ห้ามพูดจาบุ่มบ่ามเรียกพวกมันว่า ‘สิ่งสกปรก’”
เผยเฉียนอ้อรับหนึ่งที “จำไว้แล้ว”
เฉินผิงอันถอนหายใจ เอ่ยปลอบใจว่า “นอนต่อเถอะ มีข้าช่วยเฝ้ายามให้ ไม่มีทางเกิดเรื่องหรอก”
เผยเฉียนหรือจะยังกล้านอนหลับ นางดึงดันจะขอไปอยู่ที่ริมแม่น้ำกับเฉินผิงอันให้ได้ ตอนนี้นางเป็นเด็กดีว่าง่ายอย่างสิ้นเชิงแล้ว ท่าทางอ่อนระโหยโรยแรง ไม่กล้าขอเสื้อผ้าหรือรองเท้าใหม่อะไรอีกแล้ว นางรู้สึกว่าแค่ได้กินอิ่มนอนหลับอยู่ข้างกายเฉินผิงอันก็ถือว่าเป็นเรื่องที่โชคดีที่สุดแล้ว
เฉินผิงอันหยิบคันเบ็ดตกปลาขึ้นมาอีกครั้ง เผยเฉียนหยิบหินก้อนหนึ่งมาวาดวงกลมลงบนพื้นดิน นางเหมือนคนโดนงูกัดแล้วกลัวเชือกไปสิบปี คราวนี้ไม่กล้าเงยหน้ามองรอบด้านอีก เพราะรู้สึกว่าความมืดมิดโดยรอบจะต้องมีบางสิ่งบางอย่างที่แปลกประหลาดน่าขนพองสยองเกล้าซ่อนตัวอยู่ นางเอ่ยถามว่า “ในตำราเล่มนั้นที่เจ้ามอบให้ข้าบอกไว้ว่า อะไรที่ไม่ควรมองอย่ามอง อะไรที่ไม่ควรฟังอย่าฟัง คือหลักการนี้ใช่ไหม?”
เฉินผิงอันหลุดหัวเราะอย่างห้ามไม่ได้ ดูท่าต้องรอให้นางเจอกับความยากลำบากเสียก่อนถึงจะเรียนรู้อะไรเข้าหัว แม้ว่าคำสอนของอริยะประโยคนี้ไม่ควรจะอธิบายด้วยตัวอย่างเช่นนี้ แต่เขาก็ไม่อยากปฏิเสธหลักการในตำราที่กว่านางจะใคร่ครวญออกมาได้ไม่ใช่เรื่องง่ายนี้ไป จึงกล่าวว่า “หลักการประโยคนี้ยิ่งใหญ่มาก เจ้าเข้าใจแบบนี้ก็บอกไม่ได้ว่าผิด แต่ยังอยู่ไกลเกินกว่าจะเพียงพอนัก วันหน้าอ่านหนังสือรู้จักตัวอักษรมากแล้วก็ย่อมเข้าใจได้ลึกซึ้งขึ้นเอง”
เผยเฉียนรู้สึกว่าคุยกับเฉินผิงอันเยอะๆ ถึงจะข่มกลั้นความหวาดกลัวในใจลงไปได้ จึงถามชวนคุยว่า “ถ้าอย่างนั้นทำไมในตำราถึงยังมีประโยคที่ว่า ‘ขงจื๊อไม่สอนเรื่องอำนาจลี้ลับหรือจิตวิญญาณ’ เมื่อครู่นี้เจ้าพูดอะไรแปลกๆ มากมายขนาดนั้น สรุปว่าเป็นหลักการของปราชญ์ที่ผิด หรือเจ้าที่ผิดกันแน่?”
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ “ขอแค่เจ้าอ่านหนังสือให้มาก ถึงเวลานั้นก็จะรู้เองว่าเป็นข้าที่ผิด หรือหลักการของอริยะปราชญ์ที่ผิด”
เผยเฉียนรู้สึกขัดใจเล็กน้อย นางจึงเงียบอยู่นานไม่ยอมคุยต่อ แต่ในที่สุดก็อดไม่ไหวจนต้องถามอีกหนึ่งคำถาม “เจ้าเอาชนะพวกมันไม่ได้ใช่ไหม?”
เฉินผิงอันหลุดหัวเราะพรืด “ในเมื่อพวกเราทำผิดก่อน แล้วเกี่ยวอะไรกับข้าเอาชนะพวกมันได้หรือไม่ได้ด้วยล่ะ?”
เผยเฉียนเงยหน้าขึ้น ดวงตาเป็นประกายวาววับ “หากเอาชนะได้ เจ้าก็ไม่ต้องก้มหน้าขอโทษคนอื่นไงล่ะ พวกมันต่างหากที่ต้องขอโทษพวกเรา เป็นฝ่ายยอมถอยให้พวกเรา ยกตัวอย่างเช่นเสียงตีกลองตีฆ้องของพวกมันหนวกหูจะตาย พวกมันก็ต้องขอโทษพวกเรา หากจ่ายเงินชดใช้ด้วยก็ยิ่งดี”
เฉินผิงอันถาม “ต่อให้ข้าเอาชนะพวกมันได้ แล้วเกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วย?”
เผยเฉียนอึ้งตะลึงไปครู่ ก่อนจะเค้นรอยยิ้มออกมา “ก็พวกเราเป็นพวกเดียวกันไงล่ะ”
สายตาของเฉินผิงอันจ้องนิ่งไปที่น้ำในลำธารและสายเบ็ดตกปลา พูดเหมือนพึมพำกับตัวเอง “ผิดและถูกไม่เกี่ยวกับว่าใกล้ชิดหรือห่างเหิน”
ตั้งแต่ต้นจนจบ เขาไม่เคยให้คำตอบที่แน่ชัดว่าตัวเองสามารถเอาชนะภูตผีประหลาดบนภูเขาได้หรือไม่ เพราะกลัวว่าหลังจากนางรู้ความจริงแล้ว ในใจจะไร้ความยำเกรง ไม่รู้จักหนักเบาอีก
สำหรับตบะคร่าวๆ ของเทพภูเขาที่รอเจ้าสาวคนใหม่ผู้นั้น เฉินผิงอันพอจะรู้อยู่บ้าง
ไม่ว่าจะเป็นนายอำเภอในที่ว่าการของโลกมนุษย์ หรือเทพอภิบาลเมืองที่ดูแลเรื่องในโลกมืด หากพวกเขาออกมาตรวจตราภายนอกก็ล้วนต้องมีการชูธงเหนือขบวน ซึ่งยังมีความเคยชินเป็นการตีฆ้องเปิดทาง หากระดับขั้นสูงหน่อย เสียงฆ้องที่ถูกตีก็จะยิ่งดัง ครั้งนี้เนื่องจากเป็นขบวนรับเจ้าสาว ส่วนใหญ่จึงมีการตีฆ้องตีกลองดังถี่รัวเพื่อเป็นการเฉลิมฉลอง แล้วก็ไม่ได้ให้พวกภูตผีถือแผ่นไม้ที่สลักคำว่า ‘ห้ามส่งเสียงดัง’ หรือ ‘หลีกทาง’ รวมไปถึงป้ายขุนนางที่โดดเด่นสะดุดตาที่สุด แต่ก็ยังยึดตามกฎบางอย่างของวงการขุนนางเอาไว้ ยกตัวอย่างเช่นเมื่อเสียงฆ้องดังเก้าครั้งต้องเปิดทางให้ ซึ่งเป็นไปตามกฎระเบียบพิธีการ และน่าจะเป็นเพราะเห็นแก่หน้าของ ‘เทพภูเขา’ ท่านนั้นจึงต้องวางมาดต่อหน้าของพวกภูตผีปีศาจที่อยู่ในเขตการปกครองและบริเวณรอบด้าน
นี่หมายความว่าตำแหน่งขุนนางหลังจากที่เทพภูเขาท่านนี้ตายไป ถือได้ว่าเป็นเจ้าเมืองคนหนึ่ง นอกจากจะมีศาลเทพภูเขาและร่างทองคำแล้ว ยังมีคุณสมบัติที่จะตั้งจวนเป็นของตัวเอง หากอยู่ในแจกันสมบัติทวีปและใบถงทวีปก็ถือว่าเป็นขุนนางใหญ่ที่ปกครองแม่น้ำและภูเขาแถบหนึ่งแล้ว คล้ายคลึงกับสหายเทพวารีแม่น้ำอวี้เจียงของเด็กชายชุดเขียวคนนั้น
อย่างน้อยก็มีตบะเทียบเท่ากับผู้ฝึกลมปราณขอบเขตหก ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นขอบเขตเจ็ด ประตูมังกร
ส่วนคำตอบข้อที่ว่าเฉินผิงอันสามารถเอาชนะเขาได้หรือไม่นั้น ง่ายมาก อวี๋เจินอี้ที่อยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัวซึ่งมีปราณวิญญาณบางเบาก็ถือว่าเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกรแล้ว
เหตุใดเฉินผิงอันถึงยอมลงเดิมพันกับม้วนภาพวาดทั้งสี่นั้น นอกจากจะให้ความสำคัญกับขอบเขตวรยุทธ์ในปัจจุบันของพวกเว่ยเซี่ยนฮ่องเต้ผู้บุกเบิกแคว้น จูเหลี่ยนคนบ้าวรยุทธ์ ฯลฯ แล้ว ยังเป็นเพราะสนใจคุณสมบัติของคนพวกนี้
อันที่จริงสำหรับเรื่องนี้โจวเฝยแห่งตำหนักคลื่นวสันต์เคยคาดการณ์มาไว้นานแล้ว เขาเคยบอกว่าจ้งชิวราชครูแคว้นหนันเยวี่ยน มีหวังจะเลื่อนสู่ขอบเขตเก้าของวิถีวรยุทธ์ในอีกสามสิบสี่สิบปี
ร่างจริงของ ‘โจวเฝย’ ผู้เป็นเจ๋อเซียนเป็นถึงเจ้าประมุขของสกุลเจียงสำนักกุยหยก อีกทั้งยังเป็นผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสิบเอ็ดหยกดิบ สายตาของเขาย่อมมองไม่ผิดเป็นแน่
เพียงแต่คำว่า ‘มีหวัง’ นั้น ไม่ได้หมายความว่าจะต้องแน่นอนเสมอไป ถึงอย่างไรบนเส้นทางของการฝึกวรยุทธ์ก็ไม่ราบรื่น อยู่ดีๆ ก็อาจตายไปก่อนวัยอันควร
ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ เฉินผิงอันก็ยังตัดสินใจมาตั้งแต่แรกแล้วว่า การเดิมพันเงินฝนธัญพืชสิบเหรียญต่อทุกภาพวาดเพื่อซื้อสองคำว่า ‘มีหวัง’ มา ย่อมต้องคุ้มค่าอย่างแน่นอน
เผยเฉียนไม่รู้ว่าตกปลาน่าสนุกตรงไหน นั่งทีหนึ่งก็นานเกินครึ่งวัน แถมยังไม่ได้ผลเก็บเกี่ยวอะไร จึงเริ่มหาเรื่องชวนคุย “ที่บ้านเกิดของเจ้ามีพวกตัวประหลาดให้พบเห็นบ่อยๆ ไหม? ถ้าอย่างนั้นคนอย่างข้าจะเสี่ยงอันตรายหรือไม่? วันหน้าข้าจะอยู่ห่างจากเจ้ามากเกินไปไม่ได้”
เฉินผิงอันแน่วแน่อยู่กับการตกปลา
นี่ก็เป็นการฝึกตนอย่างหนึ่ง
ไม่ว่าจะปลาเล็กปลาใหญ่ แค่ตอดเหยื่อเบาๆ การสั่นไหวน้อยๆ บนเส้นเอ็นจะส่งมาถึงคันเบ็ดและฝ่ามือ จากนั้นกระชากคันเบ็ดดึงปลาขึ้นมา ในด้านคุณสมบัติแล้ว นี่ไม่ต่างจากการแบ่งแยกระหว่างการทุ่มพละกำลังเพียงอย่างเดียวกับการแบ่งพละกำลังมากน้อยในขณะที่รับมือกับพายุลมกรดของศัตรูสักเท่าไหร่ หากใช้กำลังน้อย ความมุ่งมั่นทั้งหมดก็ต้องอยู่ในส่วนที่เล็กละเอียด อีกอย่างเฉินผิงอันยังจงใจเลือกไม้ไผ่ที่เล็กบาง หากนำมาตกปลาในลำธารหรือในบ่อน้ำอาจจะยังดีหน่อย แต่หากเจอกับแม่น้ำสายใหญ่ ตกปลาใหญ่ที่หนักเจ็ดแปดจินขึ้นไป ในระหว่างที่งัดข้อแข่งกำลังกัน ขอแค่ไม่ทันระวังเล็กน้อยก็ง่ายที่สายเบ็ดจะขาด หรือแม้แต่คันเบ็ดก็อาจหักไปด้วย
นี่ก็เหมือนการขึ้นรูปเผาเครื่องปั้นในปีนั้น เฉินผิงอันชอบความรู้สึกที่คุ้นเคยแบบนี้อย่างมาก
แม้ว่าจะไม่ได้สนใจเด็กหญิง แต่เฉินผิงอันก็อดนึกถึงตัวเองขึ้นมาไม่ได้ เขาค่อยๆ ใคร่ครวญอย่างละเอียดถึงได้ค้นพบว่าแท้จริงแล้วเขาเองก็ไม่ได้ต่างจากนางสักเท่าไหร่
เขาที่ไม่รู้อะไรเลยตอนอยู่ในตรอกหนีผิง หรือบางทีควรจะพูดว่าในถ้ำสวรรค์หลีจู ก็เหมือนกับตอนที่นางอยู่ในเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยน รอบด้านเต็มไปด้วยอันตรายรายล้อม ไม่ใช่อันตรายจากภูตผีตัวประหลาดหรือผู้ฝึกตนอะไรทั้งนั้น แต่เป็นการที่สามมื้อไม่เคยได้กินอิ่ม บางครั้งยังต้องทนกับลมหนาวในฤดูหนาวอันโหดร้าย
เขาออกมาจากถ้ำสวรรค์หลีจูก็เหมือนนางออกมาจากพื้นที่มงคลดอกบัว ฟ้าดินยิ่งกว้างใหญ่ยิ่งกว่าเก่า แต่อันตรายเกินคาดคิดที่มากกว่าเดิมก็พากันกรูเข้าหาติดๆ ลมมรสุมลูกใหญ่มากขึ้น คนคนหนึ่งนึกจะตายก็ตาย
สภาพการณ์ของคนทั้งสองคล้ายคลึงกัน ทว่าการกระทำกลับต่างกันมาก
นางไม่รู้จักทะนุถนอมความโชคดี ขอแค่มีเงินเหรียญทองแดงเล็กน้อยก็จะรีบเอาไปใช้จ่ายมือเติบทันที ส่วนเฉินผิงอันกลับปกป้องกำไรทุกส่วนที่ได้มาไม่ง่ายอย่างระมัดระวัง นางได้ใหม่แล้วลืมเก่า ขอแค่เสื้อผ้าและรองเท้าที่สวมใส่เก่าซีดหรือขาดวิ่นแล้ว นางก็ไม่เคยคิดอาลัยอาวรณ์ หันหน้ากลับได้ก็เริ่มหวังให้มีของชิ้นใหม่ร่วงลงมาจากบนท้องฟ้า ทานที่คนอื่นมอบให้ นางไม่เคยรู้สึกลำบากใจที่จะรับไว้ ถึงขั้นวิงวอนขอความเมตตาจากคนอื่นโดยที่ไม่รู้จักซาบซึ้งในบุญคุณ สำหรับความสงสารและความช่วยเหลือที่เพื่อนบ้านทุกคนมีให้ตอนยังอยู่ในตรอกหนีผิง จนถึงทุกวันนี้เฉินผิงอันก็ยังจำไม่ลืม ทุกบุญคุณถูกสลักไว้ในใจ เรื่องการตอบแทนบุญคุณ เขาก็ยิ่งระมัดระวัง ด้วยกลัวว่าหากทำเลยเถิดไปจะกลายเป็นทำลายโชคชะตาฮวงจุ้ยและขนบธรรมเนียมที่เรียบง่ายของชาวบ้าน
นางเกียจคร้าน ไม่รู้จักแสวงหาความก้าวหน้า ชอบโกหก เพื่อให้มีชีวิตอยู่รอด นางคิดว่าไม่ว่าตัวเองทำอะไรก็ล้วนถูกต้องทั้งหมด อีกทั้งกับคำถามข้อยากที่ว่าจะมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างไร นางกลับเลือกทางลัดที่มองดูเหมือนสบายที่สุด แต่แท้จริงแล้วในระยะยาวกลับลำบากมากที่สุด ส่วนลึกในใจของนางเต็มไปด้วยความเป็นศัตรูต่อเรื่องราวที่งดงามทุกเรื่อง ขอแค่นางไม่ได้มาครอบครอง นางก็ยอมทำลายมันทิ้งดีกว่า
สำหรับโลกที่มีเจตนาชั่วร้ายกับนางใบนี้ เผยเฉียนเลือกจะตอบแทนมันกลับด้วยความชั่วร้ายที่มากที่สุดของตัวเอง นางเชี่ยวชาญการสังเกตสีหน้าท่าทางคน สัมผัสได้ถึงความดีความเลวของคนอื่นอย่างเฉียบไว ทว่าความเมตตาที่สวรรค์ประทานมาให้ซึ่งยากนักกว่าจะได้มาครองนี้ กลับถูกนางนำมาใช้รังแกคนที่อ่อนแอกว่า ประจบสอพลอคนที่แข็งแกร่งกว่า
ดังนั้นเฉินผิงอันที่น้อยครั้งนักจะเกลียดใครสักคนจึงเกลียดเผยเฉียนมากจริงๆ
เพียงแต่ว่าตอนนี้เฉินผิงอันได้อยู่ร่วมกับเผยเฉียน เขาจึงเริ่มมองนาง แล้วหันย้อนมามองตัวเอง
บทที่ 330.2 การช่วงชิงแห่งแม่น้ำและภูเขา
ProjectZyphon
ตอนอยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัว จ้งชิวเป็นกังวลมาโดยตลอดว่าอวี๋เจินอี้จะกลายมาเป็นเจ๋อเซียนประเภทที่พวกเขาเกลียดแค้นชิงชังมากที่สุด
ลู่ไถเคยพูดว่า ไม่เข้าใกล้ความชั่วร้ายก็ไม่รู้จักความดีงาม
แน่นอนว่าเฉินผิงอันไม่ได้ยินดีจะพานางมาอยู่ข้างกาย แต่เป็นเพราะนักพรตผู้เฒ่าบังคับโยนนางออกมาจากพื้นที่มงคลดอกบัว หากเฉินผิงอันเลือกได้ เขาอยากจะพาเฉาฉิงหล่างมาด้วยมากกว่า ถ้าจ้งชิวยินดีปลดภาระบนบ่าลง เฉินผิงอันก็ยิ่งยินดีพาจ้งชิวออกมาดูทัศนียภาพของใต้หล้าไพศาล ไม่ใช่เว่ยเซี่ยนหรือจูเหลี่ยนอะไรพวกนี้
ภายใต้เงื่อนไขที่ว่าสิ่งแวดล้อมโดยรวมมิอาจแก้ไขได้แล้ว ทั้งๆ ที่รู้ดีว่าการเรียนรู้ตัวหนังสือ หัดพูดภาษาทางการและภาษากลางให้เป็นคือความจำเป็นในการใช้ชีวิต แต่นางกลับไม่เต็มใจจะทุ่มเททำเพื่อตัวเอง
เฉินผิงอันยากจะจินตนาการได้ว่าหากตนเปลี่ยนตำแหน่งและตัวตนกับนางได้ เผยเฉียนจะเลือกเช่นไร
เลือกจะเป็นเพื่อนบ้านของซ่งจี๋ซินที่ในใจมีแต่ความเกลียดชังและริษยา แต่ภายนอกกลับแสดงออกว่าพึ่งพาคนมีเงินอย่างเขา? เลือกจะมองดูหลิวเสี้ยนหยางถูกคนต่อยตาย? ทุกวันเอาแต่รังแกกู้ช่านเพื่อหาความบันเทิงให้ตัวเอง? เยาะเย้ยเสียดสีกะเทยผู้นั้นเหมือนกับทุกคนที่อยู่ในเตาเผามังกร?
ประจบเอาใจอาจารย์ฉี อาเหลียง ซิ่วไฉเฒ่าเหวินเซิ่ง?
แต่ว่าต่อให้เป็น ‘เฉินผิงอัน’ ที่เป็นเช่นนี้ก็ยังโชคดีได้พบเจอกับพวกเขาท่ามกลางแม่น้ำแห่งกาลเวลาสายยาว ไม่ใช่แค่เดินสวนไหล่กันไปครั้งแล้วครั้งเล่า รู้จักกันอย่างผิวเผินเท่านั้น
เพราะฉะนั้นผู้เฒ่าเหยาก็พูดถูกอย่างมาก
บนโลกมีบุญสัมพันธ์และโชควาสนามากมาย อยู่แค่ที่ว่าจะใช้สองมือของตัวเองไปคว้าไว้อยู่มือหรือไม่เท่านั้น หากแค่สิ่งเล็กๆ ยังปล่อยให้ลอดหลุดร่องนิ้วมือไป ไหนเลยจะมีปัญญาไปช่วงชิงสิ่งที่ใหญ่กว่า?
แต่ก็มี ‘แต่’ อีกนั่นแหละ
ตนจำความดีงามของบิดามารดาได้ และภายหลังก็จดจำถ้อยคำไม่กี่ประโยคที่พูดคุยกับผู้เฒ่าเหยาได้อย่างขึ้นใจ
แล้วนางล่ะ?
ดูเหมือนจะไม่มีคนสอนนางในสิ่งที่ถูกต้อง
แต่ตอนนี้เฉินผิงอันสอนนางไปแล้วไม่น้อย แต่นางก็ยังไม่แยแสสิ่งใด สันดานเปลี่ยนยากอยู่ดีไม่ใช่หรือ?
เฉินผิงอันหงุดหงิดใจเล็กน้อย
ปีนั้นที่พาพวกหลี่เป่าผิง หลี่ไหวและหลินโส่วอีเดินทางไปต้าสุยด้วยกัน ภายหลังมีชุยตงซาน อวี๋ลู่และเซี่ยเซี่ยมาเพิ่ม เฉินผิงอันก็ยังไม่เคยอึดอัดใจมากขนาดนี้มาก่อน
เฉินผิงอันเก็บคันเบ็ดตกปลา
เผยเฉียนเท้าคาง ถามว่า “ทำไมถึงไม่ตกปลาต่อแล้วเล่า ปลายังไม่กินเบ็ดเลยนะ ต้มปลาน่ะอร่อยจะตาย ปลาตากแห้งก็รสชาติเยี่ยม”
เฉินผิงอันทำท่าจะพูด แต่สุดท้ายก็กลืนคำพูดเหล่านั้นกลับลงท้อง
เดิมทีเขาอยากจะพูดเรื่องบางอย่างกับนางไปตามตรง ยกตัวอย่างเช่นว่าหากเฉาฉิงหล่างอยู่ที่นี่ ขอแค่เขาเต็มใจอยากเรียน ข้าก็พร้อมจะสอนวิชาหมัดให้เขาอย่างใจกว้าง สอนวิชากระบี่ให้เขาอย่างมุ่งมั่นตั้งใจ ต่อให้เฉาฉิงหล่างอยากเป็นผู้ฝึกตน ข้าก็สามารถช่วยเขาได้ เงินฝนธัญพืช สมบัติอาคม ขอแค่ข้ามีก็สามารถมอบมันให้กับเขาได้ทุกชิ้นตามลำดับขั้นตอน แต่เจ้าเผยเฉียน ต่อให้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกวรยุทธ์ ทว่าแม้แต่ท่าเดินนิ่งหกก้าวของวิชาหมัดเขย่าขุนเขา ข้าเฉินผิงอันก็ยังไม่เต็มใจให้เจ้าได้ดูนาน
เฉินผิงอันไพล่นึกไปถึงครั้งนั้นที่อาเหลียงปรากฏตัว
ภายหลังพวกเขาได้เดินทางร่วมกัน
เขาเองก็มองตนแบบนี้เหมือนกันใช่หรือไม่ สายตาของเขาก็เหมือนที่ตนมองเผยเฉียนในเวลานี้ หรือไม่ก็เหมือนตอนที่ตนมองเฉาฉิงหล่างในลานบ้านเวลานั้น?
เฉินผิงอันพลันถามนาง “อยากลองเรียนตกปลาดูไหม?”
เผยเฉียนพูดเบาๆ “ไม่เรียนได้ไหม? ทุกวันข้ายังต้องท่องหนังสือและคัดตัวอักษร กลัวเรียนในสิ่งที่เจ้าสอนได้ไม่ดี”
เฉินผิงอันกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ไม่อยากเรียนก็ไม่ต้องเรียน กลับไปนอนเถอะ หากไม่ผิดไปจากที่คาด อีกเดี๋ยวขบวนรับเจ้าสาวขบวนนั้นจะย้อนกลับมา พาเจ้าสาวไปยังจวนของเทพภูเขา ถึงเวลานั้นเจ้าจำไว้ว่าแค่แกล้งทำเป็นนอนหลับก็พอ นับตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป เจ้าเป็นคนรับผิดชอบห่อสัมภาระกับคันเบ็ดตกปลา”
เผยเฉียนนึกถึงว่าคืนนี้สิ่งสกปรกพวกนั้นยังจะต้องผ่านไปอีก จึงไม่กล้าปฏิเสธเฉินผิงอัน กลับเข้าไปยังกระโจมอย่างลังเลใจ นอนพลิกตัวไปมาอยู่พักใหญ่กว่าจะเริ่มม่อยหลับ
เฉินผิงอันคิดแล้วก็เอายันต์สงบใจแผ่นหนึ่งไปแปะไว้นอกกระโจมของนางเงียบๆ
ผ่านไปประมาณหนึ่งชั่วยาม ขบวนรับเจ้าสาวเกี้ยวแปดคนหามก็ย้อนกลับมาทางเดิมอย่างครึกครื้น เมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้แล้วดูเอิกเกริกกว่ามาก ด้านหลังมีภูตผีปีศาจที่แต่งกายเป็น ‘คนบ้านเดิมของเจ้าสาว’ ติดตามมาจำนวนมาก ก็แค่มาเพิ่มความครึกครื้นให้เท่านั้น บางตนก็จำแลงร่างกลายเป็นคนแล้ว และยังมีอีกส่วนหนึ่งที่ยังเป็นสัตว์ป่าที่เดินมาด้วยร่างเดิม ในบรรดานั้นมีแมงมุมตัวหนึ่งที่ทั่วร่างเป็นสีดำดุจหมึก ตัวใหญ่ดุจแท่นโม่ และยังมีวานรร่างกายกำยำอีกสองตัวที่วิ่งทะยานอยู่ในผืนป่าเร็วราวกับบิน รวมไปถึงผีผู้หญิงใบหน้าอาบเลือดที่สวมชุดตอนที่ตัวเองถูกฝังลงหลุม
เห็นเฉินผิงอันที่อ่านหนังสืออยู่ริมลำธาร ปีศาจหลายตนทำท่าคันไม้คันมืออยากท้าทาย
เพียงแต่ว่าผีหลายตนที่รับหน้าที่คุมท้ายขบวนช่วยกำจัดความคิดนี้ของพวกมันไป
เฉินผิงอันพลันลุกขึ้นยืน ห่างออกไปไกลมีสาวใช้คนหนึ่งที่ในมือถือโคม สวมชุดกระโปรงสีทับทิม เท้าไม่เหยียบพื้น ร่างล่องลอยไปข้างหน้า พอเห็นเฉินผิงอันก็ยอบตัวคารวะ พูดยิ้มๆ ด้วยเสียงอ่อนโยน “ผู้สูงศักดิ์ท่านนี้ วันนี้เป็นวันมหามงคลของนายท่านบ้านข้า เมื่อครู่นี้หมัวมัว (คำเรียกผู้หญิงที่มีอายุมาก) ให้บ่าวนำความมาแจ้งแก่ท่านผู้สูงศักดิ์ ถามท่านว่าสนใจจะไปร่วมงานเลี้ยงคืนนี้ไหม? ใต้เท้าเจ้าเมืองของข้ามีชื่อเสียงด้านความเที่ยงธรรม ผู้สูงศักดิ์เดินทางมาร่วมงานเลี้ยง ไม่เพียงแต่ไม่ลดทอนอายุขัยของท่าน ยังจะมีของขวัญมอบให้ด้วย”
เฉินผิงอันส่ายหน้าพูดยิ้มๆ ว่า “ไม่กล้ารบกวนท่านใต้เท้าเจ้าเมืองจริงๆ หวังว่าแม่นางจะช่วยขอบคุณหมัวมัวของจวนที่มีน้ำใจเชื้อเชิญแทนข้าด้วย”
บ่าวหญิงไม่โกรธเคืองที่คนผู้นี้ไม่รู้จักดีชั่ว กลับกันยังยิ้มอย่างอ่อนหวาน “ถ้าอย่างนั้นบ่าวก็ขออวยพรให้คุณชายเดินทางราบรื่น ในรัศมีแปดร้อยลี้รอบที่แห่งนี้ หากคุณชายพบเจอปัญหาใดๆ สามารถแจ้งนาม ‘จินหวง’ ของนายท่านข้าได้ตลอด รับรองว่าตลอดการเดินทางของท่านจะมีแต่ความราบรื่นปลอดภัย”
เฉินผิงอันคลี่ยิ้มพลางกุมมือขอบคุณ “ขอยินดีกับใต้เท้าเจ้าเมืองมา ณ ที่นี่ด้วย”
บ่าวหญิงคลี่ยิ้มแล้วเดินนวยนาดจากไป ร่างของนางล่องลอยประดุจควันธูป
บ่าวหญิงกลับไปรายงาน หญิงชราได้ยินว่าเฉินผิงอันไม่ยินดีไปร่วมงานเลี้ยงก็แค่ยิ้มรับ น่าเสียดายที่คนหนุ่มคนนี้พลาดโอกาสใหญ่เทียมฟ้าไป
ฝู่จวิน (มีสองความหมายคือหนึ่งเป็นคำเรียกเจ้าเมือง ผู้ว่าในสมัยโบราณอย่างให้ความเคารพ สองคือคำเรียกที่ลูกหลานเรียกบรรพบุรุษที่เสียชีวิตไปแล้วอย่างให้ความเคารพ หรือคำเรียกที่มนุษย์เรียกเทพเซียนอย่างให้ความเคารพ) ของพวกนางมีชื่อเสียงในด้านความใจกว้าง คืนนี้ทุกคนที่ไปร่วมงานเลี้ยงล้วนได้ดื่มเหล้าหมักดอกกล้วยไม้หนึ่งจอก นำโสมคนพันปีท่อนเล็กๆ กลับไปได้หนึ่งท่อน คนอื่นคิดจนหัวแทบแตกเพื่อให้ได้มาร่วมงานเลี้ยงฉลองของจวน เจ้าหมอนี่กลับดีนัก ไม่รู้จักเห็นค่า ช่างเถอะ ถึงอย่างไรก็คงเอามีดไปจี้คอบังคับให้คนอื่นยอมรับของขวัญของตนไม่ได้
บนเกี้ยวแปดคนหาม มือที่ขาวนวลราวรากบัวข้างหนึ่งเลิกผ้าม่านที่ถูกถักอย่างประณีตขึ้น สตรีนางนี้สวมมงกุฎหงส์และผ้าคลุมไหล่ บนศีรษะสวมผ้าคลุมหน้าสีแดง มองไม่เห็นโฉมหน้า นางมองผ่านผ้าโปร่งสีแดงไปยังหญิงชราที่อยู่ข้างนอก
หญิงชราโค้งตัว ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “คุณหนู มีเรื่องใดจะสั่งความหรือเจ้าคะ?”
น้ำเสียงอ่อนนุ่มดังลอดออกมาจากผ้าคลุมหน้าสีแดงสด “อีกนานเท่าไหร่ถึงจะไปถึงจวน?”
นางคือสตรีธรรมดาคนหนึ่งที่มาจากตระกูลผู้มีความรู้ เมื่อหลายปีก่อนบังเอิญได้พบกับเจ้าเมืองของเขตการปกครองที่ ‘ปลอมตัวออกไปเยี่ยมชาวบ้าน’ แล้วตกหลุมรักเขาตั้งแต่แรกเห็น เพียงแต่หากคิดจะให้เทพภูเขาท่านหนึ่งสู่ขอนางไปเป็นภรรยาหลวงอย่างถูกต้องตามประเพณี ร่างของมนุษย์ในโลกคนเป็นจะทำลายคุณความดีในโลกคนตายของนางและคุณความชอบของจวนเจ้าเมือง นางปักใจรักเขา หลังจากครบกำหนดไว้ทุกข์สามปี ภายใต้การช่วยเหลืออย่างลับๆ จากเจ้าเมือง นางได้ช่วยปูทางแห่งความเจริญไว้ให้แก่วงศ์ตระกูล หลังจากนั้นก็ปลิดชีพตัวเองอย่างไม่เสียดาย ใช้ร่างหยินแต่งเข้าสู่จวนของจินหวง เรียกได้ว่าชอบด้วยเหตุผล ไม่ละเมิดกฎระเบียบพิธีการ ดังนั้นเรื่องนี้จึงกลายเป็นเรื่องงดงามที่ผู้คนพากันกล่าวขานถึง
จวนหรูหรางดงามแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ท่ามกลางหุบเขา แสงไฟถูกจุดสว่างไสว งานเลี้ยงฉลองยามค่ำคืนมีเสียงจอกสุราชนกันคลอไปด้วยเสียงผู้คนพูดคุยสนุกสนานดังตั้งแต่ค่ำจรดเช้า
เจ้าบ่าวสวมชุดคลุมยาวสีทอง พลังอำนาจน่าเกรงขาม นั่งอยู่บนตำแหน่งประธานที่สูงที่สุด ข้างกายคือฮูหยินคนใหม่ที่เป็นดั่งนกน้อยแอบอิงคน
มือกระบี่โครงกระดูกขาวน่าจะมีตำแหน่งที่สูงมากในจวนแห่งนี้ น่าเสียดายที่มันเป็นแค่โครงกระดูกโครงหนึ่ง ย่อมไม่สามารถดื่มสุราได้ ได้แต่ยืนอยู่ใต้เสาคานของห้องโถงใหญ่อย่างเคร่งขรึม ในขณะที่เจ้าเมืองจินหวงกำลังร่ำสุราก็เงยหน้าชำเลืองตามองสีท้องฟ้านอกตำหนักแวบหนึ่ง ก่อนจะแอบส่งสายตาให้มือกระบี่โครงกระดูกขาว ฝ่ายหลังพยักหน้ารับอย่างรู้ใจ ครั้นจึงเดินออกไปจากห้องโถงใหญ่
บุรุษที่มากไปด้วยบารมีหัวเราะเสียงเย็น “ทุกท่าน สุรามงคลก็ดื่มไปแล้ว อันดับต่อไปก็ถึงคราวที่คนบางคนต้องดื่มสุราลงทัณฑ์บ้างแล้ว ข้าปฏิบัติต่อสหายเป็นอย่างดี แต่ในบรรดาพวกเจ้ากลับมีคนไม่น้อยที่กล้าไปสมคบคิดกับปีศาจน้ำไร้ระดับคนหนึ่ง พยายามจะมาโจมตีจวนของข้าจินหวง คิดว่าข้าไม่รู้อะไรเลยรึไง?”
ประตูใหญ่พลันปิดลงดังปัง
บุรุษหันหน้าไปยิ้มอ่อนโยนให้กับฮูหยินของตนเอง ตบหลังมือที่เย็นเฉียบของนาง “ไม่ต้องกลัวนะ”
เขายิ้มขออภัย ก่อนกล่าวอย่างปลงอนิจจังว่า “ครั้งนี้เป็นข้าที่ปฏิบัติต่อเจ้าอย่างไม่เป็นธรรม งานเลี้ยงฉลองวันแต่งงานกลับต้องมาเป็นแบบนี้ เฮ้อ”
หญิงสาวไม่กลัวสามีที่เป็นเทพภูเขาท่านนี้ นางเอ่ยหยอกเย้าว่า “หรือจะยังให้ข้าแต่งให้ท่านอีกหน? ร้อยปีพันปีให้หลัง ท่านแค่ดีกับข้าสักหน่อยก็พอแล้ว”
บุรุษหัวเราะเสียงดังอย่างชอบใจ ได้ภรรยาที่เป็นเช่นนี้ เขาที่เป็นสามียังจะต้องการอะไรอีก?
นอกจากกองกำลังฝีมือดีกลุ่มหนึ่งของจวนซึ่งโครงกระดูกขาวเป็นผู้นำแล้ว ยังมีทหารม้าที่พักผ่อนอยู่ที่อื่นอีกกลุ่มหนึ่ง ทหารม้ากลุ่มนี้มีผู้ฝึกลมปราณอยู่เป็นจำนวนมาก กองทหารสองกองมารวมตัวกัน ออกจากจวนเทพภูเขาที่นาทีก่อนยังร้องรำทำเพลงกันอย่างสนุกสนาน บุกไปสังหารกองทหารกลุ่มที่หมายจะลอบโจมตีจวนในช่วงเช้าตรู่ ส่วนในตำหนักใหญ่ เหล่าขุนนางผู้ช่วยของจวน และผีที่มีตำแหน่งหน้าที่ซึ่งมองดูเหมือนเมาเละเทะพากันนั่งตัวตรงทันที หยิบอาวุธออกมาจากใต้โต๊ะ กวาดตามองรอบด้านเหมือนเสือจ้องมองเหยื่อ
เส้นชายแดนที่มุ่งไปทางเหนือของแคว้นเป่ยจิ้นนี้ ไม่เพียงแต่มีเทือกเขาทอดยาว ยังมีทะเลสาบขนาดใหญ่ยักษ์ที่ถูกเรียกว่าน้ำแปดร้อยลี้ด้วย ในทะเลสาบมีเกาะขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง บนเกาะมีศาลที่ไม่ได้รับการยอมรับจากทางราชสำนักอยู่หนึ่งแห่ง ขนาดใหญ่มาก ควันธูปรุ่งโรจน์ ปีศาจใหญ่ของทะเลสาบตั้งตนเป็นเทพวารี ราชสำนักแคว้นใกล้เคียงเป่ยจิ้นทำอะไรไม่ได้ ได้แต่ยอมฟังคำสั่งจากเขา สองร้อยปีที่ผ่านมานี้ ศาลเทพวารีและจวนจินหวงมองกันเป็นศัตรูคู่อาฆาตมาโดยตลอด ความขัดแย้งเกิดขึ้นไม่ขาดสาย เพียงแต่ว่าไม่มีใครมีศักยภาพมากพอจะออกจากถิ่นของตัวเองบุกไปสังหารอีกฝ่ายก็เท่านั้น
นี่คือการช่วงชิงแห่งแม่น้ำและภูเขาที่สมกับคำว่าน้ำและไฟไม่ถูกกันอย่างแท้จริง
ผู้ชนะจะได้ทำลายร่างทอง ทำลายศาลเทพและสะบั้นควันธูปของอีกฝ่าย ผู้แพ้ก็จะตกต่ำไปนับแต่นั้น ขอแค่ร่างทองแตกเป็นเศษเล็กเศษน้อยก็หมายความว่าแม้แต่โอกาสจะกลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้งก็ยังหมดหวังแล้ว
ศึกใหญ่ในสองสถานที่อย่างการแสร้งแสดงความนอบน้อมและคล้อยตามในห้องโถงใหญ่ของจวนจินหวง และการปะทะกันนอกหุบเขาเปิดฉากขึ้นแทบจะเวลาเดียวกัน
ในห้องโถงใหญ่มีเจ้าเมืองหวงจินนั่งบัญชาการณ์ด้วยตัวเอง จึงมีบางคนที่แล่นเรือไปตามลม (เปรียบเปรยว่าปรับตัวไปตามสถานการณ์ ดูทิศทางลม) รีบโขกหัวอ้อนวอนในทันที การเข่นฆ่าโรมรันเกิดขึ้นอย่างประปราย สถานการณ์โน้มเอียงสู่ฝั่งหนึ่งอย่างชัดเจน
ทางฝั่งของหุบเขา บุรุษสวมเกราะทอง ด้านในสวมชุดคลุมยาวสีเขียวเข้มคนหนึ่งนำพาภูตผีปีศาจในทะเลสาบหลายร้อยตนที่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาเปิดฉากสังหารกับทางฝ่ายของจวนเทพภูเขาอย่างอึกทึกครึกโครม
โครงกระดูกขาวที่พกกระบี่สนิมเขรอะตนนั้น ตอนมีชีวิตอยู่คือผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเจ็ดคนหนึ่ง หลังจากตายไปดวงวิญญาณก็ไม่แหลกสลาย แม้จะไม่กลับสู่พลังการต่อสู้ขั้นสูงสุด แต่ก็ยังเปี่ยมล้นไปด้วยปราณสังหาร เมื่ออยู่ท่ามกลางกองทัพใหญ่ของปีศาจแม่น้ำก็เหมือนเข้าไปยังดินแดนไร้ผู้คน
เทพวารียืนอยู่บนรถศึกคันใหญ่ที่ม้ามังกร (สัตว์เทพในตำนาน หัวเป็นม้าร่างเป็นมังกร) ซึ่งเป็นสัตว์น้ำตัวหนึ่งเป็นผู้ลาก ในมือถือทวนเหล็กหนึ่งด้าม ด้านบนสลักตัวอักษรที่โบราณและเรียบง่าย คือสมบัติอาคมตระกูลเซียนชิ้นหนึ่งที่ถูกทิ้งไว้ใต้ทะเลสาบ
มันทำตัวกำเริบเสิบสานมานานหลายร้อยปี ยึดทรัพย์ปล้นชิง ดังนั้นถึงแม้จะสร้างร่างทองคำช้ากว่าเจ้าเมืองจินหวงเกือบร้อยปี อีกทั้งยังไม่ถูกราชสำนักมองว่าเป็นตำแหน่งที่ถูกต้องเหมาะสม แต่ถึงกระนั้นตบะและขอบเขตของมันก็ยังเหนือกว่าเจ้าเมือง ครั้งนี้จึงอาศัยช่วงเวลาที่จวนเทพภูเขาแต่งภรรยา ปลุกระดมรวบรวมภูตผีปีศาจบนภูเขามากลุ่มใหญ่ ทุ่มเงินก้อนโตติดสินบน ศักยภาพโดยรวมจึงกดข่มอีกฝ่ายได้อย่างมั่นคง ถึงได้กล้าออกจากทะเลสาบใหญ่ ยกทัพขึ้นบก หวังจะตีรวบบุกยึดจวนจินหวงแห่งนั้นให้ได้ในคราวเดียว
การช่วงชิงบนมหามรรคาระหว่างเทพภูเขาและเทพแม่น้ำในครั้งนี้คงต้องดูที่ว่าใครวางแผนได้สูงส่งและยาวไกลยิ่งกว่าแล้ว
—–
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น