ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา 329-336
บทที่ 329 ระยะที่ไกลที่สุด
โดย
Ink Stone_Fantasy
หลังจากที่อพาร์ตเมนต์ของชาวประมงสร้างเสร็จ ชาร์คกับซีมอนสเตอร์ก็พากันย้ายเข้าไป ฉินสือโอวรู้ว่าสองคนนี้กังวลในเรื่องของความปลอดภัย และพวกเขาไม่เหมือนกับนีลเซ็นหรือเบิร์ด เพราะพวกเขามีครอบครัวมีลูกมีเมีย เวลาว่างก็ควรจะใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัว ไม่ใช่ว่าต้องมาคอยห่วงแต่ปัญหาความปลอดภัยของตัวเอง
ฉินสือโอวไปหาพวกเขาสองคนและนั่งคุยกัน และนีลเซ็นก็พูดขึ้นว่า “พวกนายวางใจได้ พวกเราที่นี่มีทั้งคน ปืน สุนัขล่าสัตว์ มีรถและเฮลิคอปเตอร์ จะไม่เกิดเรื่องเหมือนเมื่อคราวก่อนได้อีกแน่”
ชาร์คส่ายหัวแล้วพูดขึ้น “พวกเราได้ปรึกษากับทางครอบครัวแล้วได้ผลสรุปกันว่า ฉันจะอยู่ที่ฟาร์มทุกวันอังคาร พฤหัส และเสาร์ของแต่ละอาทิตย์ ส่วนซีมอนสเตอร์จะอยู่เวรประจำทุกวันจันทร์ พุธ ศุกร์ ส่วนเวลาอื่นพวกเราก็จะกลับบ้านกัน อีกทั้งเวลามันก็ห่างกันไม่มากด้วย แค่นอนที่นี่ในตอนกลางคืนเท่านั้นเอง”
ฉินสือโอวซึ้งใจอย่างที่สุด เพราะวิถีการดูแลคนในครอบครัวของคนแคนาดากับคนจีนไม่เหมือนกัน พวกเขาจะให้ความสำคัญต่อครอบครัวเป็นอย่างมาก เขาจะแบ่งเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวอย่างชัดเจน พอเลิกงานแล้วก็ถึงเวลาของครอบครัวตัวเอง และถึงแม้จะมีงานด่วนเข้ามาในเวลานั้นพวกเขาเลือกที่จะไม่ไปก็ยังได้
หรือจะพูดก็คือ การที่อยู่ฟาร์มปลาเป็นเพื่อนฉินสือโอวนั้นก็คือสวัสดิการที่ทั้งชาร์ค ซีมอนสเตอร์และพนักงานคนอื่นๆ ให้แก่เจ้านายของพวกเขา
ในส่วนของพื้นที่ฟาร์มปลาที่เพิ่มขึ้นอย่างฉับพลัน ไม่เพียงแต่เป็นการเพิ่มขึ้นของทรัพยากรแต่ยังเป็นการเพิ่มขึ้นของวิกฤตอีกด้วย เดิมทีฉินสือโอววางแผนไว้ว่าปีหน้าหลังจากที่เปิดฟาร์มปลาแล้ว ถึงค่อยจะรับคนงานเพิ่ม แต่เห็นทีว่าคงจะต้องเป็นตอนนี้แล้ว
นอกจากนี้ฉินสือโอวยังจ้างคนมาติดตั้งกล้องวงจรปิดในจุดสำคัญอีกสองสามจุด ซึ่งรวมๆ แล้วก็ทำการติดตั้งไปประมาณสองร้อยตัว
เจ้ากล้องวงจรปิดนี้สามารถสแกนได้สามร้อยหกสิบองศาในทุกสภาพอากาศและมุมอับต่างๆ ได้อย่างไม่ขาดตอน และข้อมูลที่ได้จากการบันทึกภาพก็จะถูกส่งเข้าไปในหน่วยประมวลผลพิเศษของคอมพิวเตอร์สองเครื่อง ซึ่งในคอมพิวเตอร์ก็ได้ติดตั้งโปรแกรมที่สามารถวิเคราะห์ความผิดปกติได้ คือเมื่อตรวจจับพบสิ่งผิดสังเกต โปรแกรมก็จะทำการร้องเตือนโดยใช้เสียงของนกฮัมมิ่งเบิร์ด
หลังจากที่ซาโกรรู้เรื่องที่ฉินสือโอวต้องเจอ วันที่สองเขากลับมาอีกพร้อมกับยื่นกล่องปักเลี่ยมโลหะดูประณีตที่ข้างกล่องให้กับฉินสือโอวและพูดว่า “นี่เป็นสมบัติที่ฉันเก็บรักษามาหลายปี ตอนนี้ฉันให้นายแล้ว หลังจากนั้นค่อยให้ใบอนุญาตปืนกับฉันเป็นการแลกเปลี่ยนก็พอ”
พอฉินสือโอวเปิดกล่องออก สิ่งที่เห็นในกล่องคือปืนไรเฟิลสีเขียวลายพรางหนึ่งชุด เขาดูมันแล้วหันไปมองเบิร์ด และอีกฝ่ายก็พูดขึ้นว่า “เอดับเบิลยูพี เป็นปืนไรเฟิลปากกระบอกขนาด 308 ที่ตำรวจใช้ในการซุ่มยิง ผลิตโดยบริษัทเครื่องมือความแม่นยำระหว่างประเทศของอังกฤษ และแคนาดาได้นำเข้ามาในปีค.ศ.2020…”
“ขอร้องล่ะเพื่อน ฉันให้นายมาช่วยประกอบ ไม่ใช่ให้มาช่วยอธิบายนะเว้ย!” ฉินสือโอวปล่อยมืออย่างจำใจและพูดขึ้น
นีลเซ็นหัวเราะขึ้น เขากระโดดโหยงเหยงเข้ามาหวังจะลองทำดู และพูดขึ้น “มา ฉันเอง”
พูดจบ หลังจากที่เขาดูอยู่สองสามครั้งก็นำลำกล้อง กระบอกและด้ามปืนมาประกอบเข้าด้วยกัน สุดท้ายก็เอามาถือไว้ในมือและลูบมันเล็กน้อย และการที่ได้ถือเครื่องจักรสังหารขนาดใหญ่แบบนี้ก็ทำให้ถึงกับสูดหายใจเข้าเต็มปอด จากนั้นก็เช็กดูว่าปืนไม่มีปัญหาอะไรแล้ว เขาถึงยื่นให้ฉินสือโอว
ตอนที่นีลเซ็นเป็นทหารเกณฑ์อยู่ในกองกำลังพิเศษฉุกเฉินเขาเป็นพลซุ่มยิง และเอดับเบิลยูพีก็เป็นปืนไรเฟิลมือสังหารที่มีชื่อเสียงในองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ แน่นอนว่าเขาต้องเคยฝึกใช้มาก่อน
และพอฉินสือโอวถือปืนไว้ในมือ นีลเซ็นก็เข้ามาบอกวิธีการใช้กับเขาว่า วิธีดึงไกปืนดึงอย่างไร ทำอย่างไรถึงจะเปลี่ยนกระสุนได้เร็วขึ้นกว่าเดิม และวิธีเล็งเป้าเล็งอย่างไร ฉินสือโอวถึงกับพึมพำออกมาเล็กน้อยแล้วพูดว่า “เรื่องพวกนี้ยังต้องให้นายมาสอนฉันอีกหรอ? ปืนพวกนี้ฉันใช้มาสิบกว่าปีแล้ว คุ้นเคยดีซะยิ่งกว่าอะไร!”
“ไม่น่าจะเป็นไปได้นะ เมื่อก่อนคุณเคยสัมผัสกับเอดับเบิลยูพีหรอ?” นีลเซ็นพูดขึ้นอย่างสงสัย
และฉินสือโอวก็พูดขึ้นเหมือนเป็นเรื่องปกติว่า “ฉันจับมันตั้งแต่มัธยมต้นแล้ว ตอนที่ฉันเล่นเคาน์เตอร์ สไตร์กน่ะ ฉันชอบซื้อมันมาใช้มากที่สุดเลยล่ะ”
นีลเซ็น “…”
จากนั้นซาโกรก็อธิบายอย่างสั้นๆ ว่า ปืนนี้เป็นปืนที่เขาได้มาจากเพื่อนสนิทที่ทำงานอยู่ในฝ่ายผลิตของบริษัทอุปกรณ์ความแม่นยำระหว่างประเทศของอังกฤษ และเป็นที่รู้กันในหมู่พวกมือโปรว่า เจ้าปืนตัวนี้ระยะการเล็งอยู่ในรัศมีหกร้อยเมตร และไม่ว่าจะเล็งตรงไหนก็ไม่มีพลาด และต่อไปถ้ามีใครกล้าเข้ามาบุกรุกฟาร์มปลาอีกล่ะก็ ใช้ปืนนี้สั่งสอนมันได้เลย
พูดก็พูดได้น่ะสิ ถ้าในความเป็นจริงเอาปืนนี้ออกมาใช้ทำร้ายคน ฉินสือโอวคงต้องได้ขึ้นโรงขึ้นศาลเป็นแน่
เพราะว่าเอดับเบิลยูพีไม่ได้มีให้พลเรือนใช้ได้อย่างทั่วไป อย่างมากที่สุดก็แค่ให้พวกที่หลงใหลได้เข้าไปชมของจริงในร้านปืน เพราะปืนนี้อนุญาตให้ใช้แค่กับทหารและตำรวจเท่านั้น อานุภาพที่เกินต้านบวกกับรัศมีการยิงที่ไกลมาก ถ้าเทียบกับคนธรรมดาปืนนี้ถือว่าน่ากลัวมาก
ของขวัญในการมาพบกันครั้งนี้ของซาโกรถือว่าไม่เบาเลย ปืนนี้ไม่ได้มีอย่างแพร่หลายในตลาดแคนาดา และถึงแม้จะใช้กันในอเมริกาแต่ราคาก็หมื่นดอลลาร์ขึ้น
แสดงให้เห็นว่า นักสะสมของพวกนี้ก็เป็นพวกคนรวยทั้งนั้น ไม่ว่าสิ่งที่พวกเขาสะสมนั้นจะเป็นรถยนต์ เครื่องบิน หรือจะเป็นปืนหรือแสตมป์
ส่วนฉินสือโอวที่ได้เอดับเบิลยูพีมาก็เหมือนกับเด็กที่เพิ่งได้ของเล่นใหม่ และหลังจากที่เขาจับมาศึกษาดูแล้วนั้น เขาก็วิ่งไปที่ชายหาดและยิงกระสุนใส่มหาสมุทรที่กว้างสุดลูกหูลูกตาจนหมดแม็ก
ยังไงซะช่วงสองสามวันนี้ก็ไม่มีอะไรให้ทำอยู่แล้ว ฉินสือโอวเลยถือโอกาสที่วินนี่หยุดงานหนึ่งวัน พาเบิร์ดและนีลเซ็นขึ้นเขาเดินเล่นสักรอบให้จิตใจปลอดโปร่ง
และผลกระทบที่เกิดจากคดีลักพาตัวโดยทหารรับจ้างฝรั่งเศสในเกาะแฟร์เวลก็ค่อยๆ ได้รับการเยียวยา แต่ถึงอย่างไรเรื่องแบบนี้ก็ดูจะห่างไกลจากการใช้ชีวิตของคนธรรมดาทั่วไปอยู่ดี
แต่ถ้ามองในมุมของฉินสือโอว เรื่องนี้ส่งผลกระทบอย่างมาก เพราะเขาได้เจอมากับตัวเองถึงได้เข้าใจว่าที่แท้ตัวเองก็ห่างไกลจากคำว่าประชาชนธรรมดาทั่วไปมามากแล้ว และถึงแม้จะอยากกลับไปมีชีวิตแบบเดิมที่กินอิ่มนอนหลับดื่มพอเหมือนอย่างคนปกติ แต่มันก็คงเป็นได้แค่ความฝัน
หลังที่แบกปืนเอาไว้ มือที่คอยถือธนู และไหล่ของฉินสือโอวที่มีบุชค้ำอยู่ นิมิตส์ที่บินวนอยู่บนศรีษะของเขา และด้านหลังที่มีหู่จือ เป้าจือ ฉงต้าและต้าป๋ายที่ตามมาติดๆ แม้แต่กระรอกน้อยเสี่ยวหมิงที่คอยกระโดดไปตามต้นเมเปิลอย่างคึกคักดีใจ ก็ตามมากับเขาด้วยในครั้งนี้
ปอหลัวและฉงต้าที่ยังคงกวนกันไม่หยุด และเมื่อมันเห็นฉงต้าเดินข้างฉินสือโอว ตัวมันก็วิ่งไปข้างหน้าเขาบ้างหรือรั้งไปอยู่ท้ายสุดของหมู่บ้าง ขอเพียงแค่ทั้งสองฝ่ายไม่ต้องสบตากันเป็นพอ
เทือกเขาเคอร์บัลในตอนนี้ได้เข้าสู่ฤดูที่งดงามที่สุดของปี ใบของพืชทั่วทั้งภูเขาของต่างก็เปลี่ยนเป็นสีดั่งทอง ทั้งแสงอาทิตย์ที่สาดส่องลงมา ทำให้เขาลูกนี้เหมือนภูเขาทอง
“ผมว่าถ้าผ่านไปอีกสักเดือน รอให้ใบของต้นเมเปิลแดงเปลี่ยนเป็นสีแดงจนหมด นั่นถึงเรียกว่าความงดงามอย่างแท้จริง! ลองคิดดูนะ ภูเขาทั้งลูกที่ดูเหมือนไฟลุกโชน มันจะภาพที่สง่างามขนาดไหน” นีลเซ็นที่ทั้งพูดไปเดินไป
หลังจากที่เบิร์ดเข้ามา นีลเซ็นก็เหมือนกับได้เจอคู่เกย์ของเขา เพราะก่อนหน้านี้เขาค่อนข้างเป็นคนเย็นชา เชื่อฟังมาก แต่ไม่ค่อยมีน้ำใจ แต่พอเบิร์ดเข้ามา เขาก็เปลี่ยนไปเป็นคนที่พูดเบาๆ อย่างกับลูกเจี๊ยบ และคนที่ดูเหมือนจะเปลี่ยนมาเย็นชามากขึ้นกลับเป็นเบิร์ด
ในช่วงระหว่างทางเดินไปตามเขานั้น ฉินสือโอวก็เห็นป่าเบอร์รี ก็ทำการหยุดพักการเดินเท้า
ป่าเบอร์รีนี้ส่วนมากจะเป็นพวก เป็นบลูเบอร์รี แบล็คเบอร์รี แครนเบอร์รี่ ลูกแพรป่า แอปเปิลป่า ซึ่งนอกจากหู่จือและเป้าจือแล้วเพื่อนตัวน้อยอีกสองสามตัวอื่นๆ ต่างก็ชอบกันหมด
ฉงต้านั่งลงบนทุ่งหญ้า ส่วนต้าป๋ายที่ถนัดในการปีนต้นไม้ มันใช้กรงเล็บของมันปีนขึ้นไปอย่างรวดเร็ว และทันใดนั้นผลไม้ที่สุกแล้วก็ร่วงลงมาจากต้นราวกับฝนตก อย่างนี้มันถึงยื่นมือออกไปเก็บมาได้
ส่วนปอหลัวที่เดินไปอีกฝั่งของป่าชะโงกหัวอยู่สองสามครั้งเพราะอยากจะกินผลไม้ แต่สุดท้ายเพราะมันเตี้ยเกินไปและถึงแม้สองขาสั้นๆ ของมันจะพยายามตะกายแค่ไหนก็ยังไม่ถึงอยู่ดี
และฉงต้าที่ใส่ใจในการกินผลไม้จนปากมันต้องออกแรงเป็นพิเศษและทำให้เกิดเสียง “แจ๊บแจ๊บ” ขึ้น จนวินนี่เดินเข้ามาแล้วบีบแก้มพลุ้ยๆ ของมัน และพูดขึ้นอย่างโมโหว่า “อย่ากินเสียงดังแจ๊บๆ อย่างนั้นสิ เคี้ยวอย่างเงียบๆ แบบฉันนี่”
แล้วฉงต้าก็เหลือบไปมองวินนี่ จากนั้นก็เก็บพวกองุ่นที่อยู่บนพื้นแล้วคลานไปข้างๆ ฉินสือโอวแล้วยื่นให้เขา วินนี่เห็นอย่างนั้นจึงฟาดเข้าที่ก้นของมันไปหนึ่งฝ่ามือ แล้วก็ทั้งขำทั้งด่า “แกนี่มันไม่รู้จักบุญคุณเอาซะเลยนะ ปกติแล้วมีแต่แม่ที่ป้อนของกินแกนะ แต่เดี๋ยวนี้ของอร่อยๆ กลับไม่เอามาให้แม่กินก่อนงั้นเหรอ?”
ฉินสือโอวหัวเราะอย่างมีความสุข และผลไม้นี้ก็ไม่สารเคมี เขาเอามาเช็ดๆ แล้วยัดเข้าไปในปากพร้อมกับเคี้ยวด้วยเสียง ‘แจ๊บแจ๊บ’ ขึ้น
ฉงต้ามองฉินสือโอวแล้วก็กลับไปยังป่าผลไม้ที่เดิม และในปากที่เต็มไปด้วยแล็คเบอร์รีก้อนกลม มันก็เคี้ยวด้วยเสียง ‘แจ๊บๆ’ ต่อไป
วินนี่มองฉินสือโอวที่กำลังมองฉงต้าอยู่ จากนั้นเธอคายเม็ดองุ่นแล้วด่าขึ้น “ฉงต้า นายนี่มันจอมหักหลังจริงๆ เลยนะ!”
“เป็นเพราะคุณเลยนะ สอนแต่เรื่องอะไรให้ลูกเนี่ย” วินนี่บิดหูฉินสือโอวอย่างโกรธเคือง
ทางฝั่งปอหลัวที่มองลูกแพรป่าสีทองที่ห้อยอยู่บนหัวพลางน้ำลายไหล ขาน้อยๆ ที่สั่นของมัน ‘สวบ’ ไม่นานมันก็กระโดดขึ้นไปแล้วใช้ปากกัดลูกแพรและดึงลงมา มันออกแรงและกัดลูกแพรจนเกิดเสียง ‘แจ๊บๆ’ ขึ้น จากนั้นเหลือบไปมองฉงต้า
อย่างนี้ก็ได้เหรอ ฉงต้ารู้สึกตะลึงในทันที และใต้ความไม่ยอมแพ้กันนั้น มันก็สะบัดตูดอ้วนๆ เพื่อลุกขึ้นยืน จากนั้นเงยหน้าขึ้นไปหาผลไม้ที่อยู่บนหัว มันพยายามออกแรงยื่นขาหน้าออกไป สุดท้ายหลังจากที่ยื่นกรงเล็บออกไปก็ยังคงไม่ทำให้ยืดแขนขึ้นสูงไปกว่าลำคอได้…
กระโดดขึ้นไปแล้วตบอยู่สองครั้ง และนอกจากอากาศแค่สองก้อนที่ฉงต้าได้มานั้นมันก็เก็บอะไรมาไม่ได้เลย
วินนี่ที่เห็นฉากนั้นเข้าก็หัวเราะขึ้น พลางหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาทั้งจะถ่ายรูปและยังพูดล้อว่า “ระยะห่างที่ไกลที่สุดของโลกใบนี้ ไม่ใช่ระยะห่างของนกกับปลา แต่เป็นผลไม้ที่ติดอยู่บนหัวของฉงต้าที่ไม่ว่ามันจะยกอุ้งเท้าของมันขึ้นยังไงก็ไม่สามารถเก็บผลไม้ได้ด้วยระยะเพียงเท่านั้น”
ฉินสือโอวได้ยินอย่างนั้นก็หัวเราะขึ้น แต่นีลเซ็นและเบิร์ดที่ฟังภาษาจีนไม่ออกเลยไม่รู้ว่าพวกเขาหัวเราะอะไรกัน ได้แต่ทำหน้าพิลึกยากที่จะเข้าใจ
ส่วนทางฉงต้าที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความโมโหในตอนนี้ มันยื่นแขนออกไปอย่างสุดกำลังก็ยังไม่ถึง มันเลยเรียนรู้จากปอหลัวลองกระโดดขึ้นสักหน่อย
พอฉงต้ากระโดดขึ้นไป อุ้งฝ่าเท้าของมันที่ห่างจากพื้นดินมีระยะห่างแค่ประมาณสองเซนติเมตร…
ทำให้ปอหลัวลำพองใจเป็นอย่างมากและฉงต้าที่ไม่พอใจในความไม่เป็นธรรมนี้ ส่วนฉินสือโอวและกลุ่มของเขาทั้งพูดและหัวเราะกันพลางออกเดินทางกันต่อ
เทือกเขาเคอร์บัลในฤดูใบไม้ร่วงยังเป็นอีกลักษณะหนึ่งคือ จะไม่เห็นคนบนยอดภูเขาสูง มีเพียงแค่เสียงลมพัด
เมื่อรู้สึกถึงลมของฤดูไม้ร่วงที่ผัดผ่านผิวไป ฉินสือโอวก็เกิดความรู้สึกเศร้าแบบหนึ่ง เศร้าที่รู้สึกว่าเหตุการณ์ต่างๆ ทำไมช่างผ่านไปอย่างรวดเร็ว เพราะนี่มันไม่เหมือนกับฤดูใบไม้ผลิที่สรรพสิ่งต่างๆ ดูมีชีวิตชีวา ไม่เหมือนกับดอกไม้ที่บานสะพรั่งในฤดูร้อน
พอถึงเวลาบ่าย กลุ่มคนพวกนี้ก็หาลำธารที่ใกล้ๆ กับเนินเขาที่เอาไว้หลบลมได้เพื่อเตรียมทานข้าวกัน
เมื่อคนนั่งลงแล้ว ปอหลัวก็วิ่งหายไปในทันที ส่วนหู่จือและเป้าจือที่พบรอยเท้าไก่ฟ้าสีทองตัวหนึ่ง ก็พากันออกไปตามหาทั้งด้านหน้าด้านหลัง พอมองอย่างนี้ ก็จะเหลือแค่ฉงต้าที่นั่งอยู่ข้างๆ ที่ใบหน้าอ้วนๆ น่ารักๆ ของมันมีท่าทีเหม่อลอย
“แกเป็นจ้าวแห่งป่านะ แกเป็นหมีโคดิแอค ลุกเร็ว เข้าป่าแล้วไปเอาหมูป่ากลับมาให้ฉัน” ฉินสือโอวที่กำลังนั่งยองๆ อยู่หน้าฉงต้าแล้วพูดสอนมัน
ฉงต้ายังคงกะพริบตาปริบๆ จากนั้นก็มุดหัวกลมซุกใส่หน้าอกของฉินสือโอวและเริ่มคลอเคลียทำตัวน่ารักน่าเอ็นดู
จากนั้นไม่นาน หู่จือและเป้าจือก็พากันวิ่งกลับมา พร้อมกับปากที่กำลังคาบไก่ฟ้าสีทองผู้โชคร้าย และในส่วนของปอหลัวก็ยังคงไร้ร่องรอยต่อไป
วินนี่เริ่มกังวลเล็กน้อย เลยถามขึ้น “ปอหลัวเพิ่งจะขึ้นเขาเป็นครั้งแรก คงจะไม่เกิดเรื่องอะไรหรอกใช่ไหม?”
ฉินสือโอวก็เป็นกังวลแต่ก็ไม่สามารถพูดออกมาเพราะกลัวว่าจะยิ่งทำให้วินนี่ตกใจ เขาจึงพูดทำเป็นเหมือนว่ามีแผนอยู่ในใจอยู่แล้ว “จะเป็นไปได้ยังไง เจ้าตัวเล็กนั่นฉลาดที่สุดเลยนะ ถ้าเกิดมีอันตราย… นี่ คุณดูสิ ไม่ใช่ว่ามันวิ่งกลับมาแล้วเหรอ?”
เสียงแหลมจ้อกแจ้กของกีบเท้ากระทบกับพื้นดินดังขึ้น ฉินสือโอวที่หันหน้าไปมองก็เห็นปอหลัวพอดี และสีหน้าในตอนนั้นก็ดีใจขึ้นทันที
และขณะที่รอให้ปอหลัวโผล่ออกมาจากป่าทั้งตัว ฉินสือโอวก็รู้สึกว่ามันมีอะไรผิดปกติแล้ว แต่พอเห็นเท่านั้นแหละ ทั้งตัวของปอหลัวที่เหมือนกับม้าพันธุ์ดีฉลาดหลักแหลมขนสีทองก็เปื้อนไปด้วยรอยเลือด ส่วนลำคอและซี่โครงล่างก็มีแต่แผล และบนเขาของมันก็มีเลือดเยอะที่สุด เหมือนกับว่าเพิ่งไปสู้กับใครมาอย่างนั้น
ทันใดนั้นคำตอบก็ได้เผยออกมา มีกลุ่มกวางมูสวิ่งตามมันออกมาจากในป่า พวกมันดูมีท่าทางที่ดุร้าย บวกกับรังสีอำมหิต และตัวที่นำหน้าฝูงของมันมาก็มีรอยเลือดเปื้อนไปทั้งตัวด้วยเช่นกัน…
…………………………………………………
บทที่ 330 นับแต่นี้ต่อไปเราคือเพื่อนร่วมรบกัน
โดย
Ink Stone_Fantasy
กวางมูสกลุ่มนี้มีประมาณยี่สิบกว่าตัว ความยาวของกวางมูสตัวที่นำหน้ามาก็ยาวประมาณสองเมตรครึ่ง ส่วนความสูงก็สูงถึงสองเมตรกว่า ขนเป็นสีน้ำตาลทั้งตัว เขาบนหัวของมันมีประมาณสิบกว่าคราดบวกกับรูปร่างที่ดูแข็งแรงกำยำจนดูเหมือนกับรถถังเล็กๆ ก็ไม่ปาน
ปอหลัวเพิ่งจะออกมาจากป่าได้ไม่นาน กวางมูสด้านหลังก็ตามออกมาติดๆ มันไม่วิ่งหนีต่อแต่สะบัดหัวไปมาและพ่นลมออกทางจมูกจากนั้นมันก็ก้มหัวลงแล้วเสยเขาขึ้นมาตั้งให้ตรง กีบเท้าไสไปกับพื้นดินและตั้งท่าเตรียมโจมตี
แต่เมื่อไปยืนเผชิญหน้ากับหัวหน้ากวางมูส ปอหลัวที่ตัวใหญ่ไม่ถึงหนึ่งเมตรก็ดูเหมือนกับไก่น้อยไม่มีผิด
มันยังคงสามารถยืนหยัดมุ่งมั่นในการต่อสู้แล้วเผชิญหน้ากับกวางตัวใหญ่นี้ นั่นก็เพียงพอที่จะทำให้คนนับถือได้แล้ว และถ้าพูดถึงบาดแผลบนตัวของกวางมูสที่มันเป็นคนสร้างขึ้นมา ก็พูดได้เลยว่าปอหลัวเกิดมาเพื่อเป็นนักรบ
พอเห็นกลุ่มกวางเข้ามาล้อมปอหลัวเป็นครึ่งวงกลม ฉินสือโอวก็รีบหยิบธนูยิงปลาเข้ามาไว้ในมือก่อนเลย เบิร์ดดึงเขาไว้ เขาส่ายหัวแล้วพูดขึ้นว่า “ไม่ บอส ถ้าเราใช้อาวุธฆ่าพวกเดียวกันของมันต่อหน้าปอหลัวแล้วล่ะก็ อย่าเลย เพราะมันจะไม่มาเป็นส่วนหนึ่งของฟาร์มปลาของพวกเราอีกต่อไป”
ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ชนิดไหนก็ตาม การล่าและฆ่าพวกเดียวกันของมัน มันก็จะถือว่าคนคนนั้นเป็นศัตรู เหมือนกับที่บ้านของคนฆ่าหมาจะเลี้ยงหมาไว้ไม่ได้ และไม่ว่าจะดีกับหมาขนาดไหน ในอนาคตถ้าหมาพวกนั้นมีโอกาสก็จะหลบหนีไป ดีไม่ดีมันอาจจะมาแว้งกัดเจ้าของมันด้วย
แล้ววินนี้ก็พูดขึ้นอย่างร้อนใจ “ถ้าพวกเราไม่ลงมือ งั้นจะทำยังไงล่ะ?”
นีลเซ็นเลยหัวเราะแล้วตอบกลับ “ง่ายมาก พวกเราก็แค่ยิงปืนขู่ให้พวกมันตกใจ…”
และในขณะที่เขายังพูดไม่จบ ทันใดนั้นฉงต้าที่นั่งอยู่บนพื้นกลับมีท่าทีขึ้นมาก่อนหน้านี้มันเอาแต่กลอกตาดวงโตๆ ไปมาและคอยดูสถานการณ์ รอตอนที่กลุ่มกวางเข้ามาล้อมปอหลัว มันถึงค่อยลุกขึ้น
หลังจากที่ฉงต้าลุกขึ้นยืนลำตัวตั้งตรงจากนั้นมันก็รีบก้มตัวลง และเล็บที่แหลมคมจากขาหน้าของมันก็ดีดออกมาทั้งหมด ขาอ้วนๆ ของมันตบลงไปบนพื้นจนเกิดเป็นเสียงที่ดูฮึกเหิม ‘ปั้งปั้ง’ บวกกับลำคอที่ยืดและคำรามขึ้น “โฮ้วโฮ้ว…”
คำรามไปสองครั้ง แขนขาทั้งสี่ของฉงต้าที่ค้ำพื้นอยู่ ทันใดนั้นเองร่างที่อ้วนและแข็งแรงก็ลุกขึ้นด้วยความว่องไวแล้วพุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ส่วนหู่จือกับเป้าจือที่สะบัดขนสีเหลืองบนตัวมันก็แยกเขี้ยวและขึ้นไปขนาบข้างกับฉงต้า
ส่วนบุชที่กระพือปีกอยู่กับพื้นก็ส่งเสียงร้อง ‘แคว่กแคว่ก’ ออกมาเหมือนกัน ดูท่าแล้วมันก็เหมือนอยากจะเข้าไปร่วมสู้ด้วย ฉินสือโอวเลยดันมันไปข้างหน้า แต่มันก็ดันตูดของตัวเองกลับเข้ามาอีก
วินนี่ดึงแขนของเขา เธอพูดขึ้นด้วยความโกรธพร้อมกับน้ำตาที่ปริ่มออกมา “คุณดูพวกเด็กๆ สิ ดูสิ!”
ฉงต้าพุ่งเข้าไปด้านหน้าด้วยความรวดเร็วและกล้าหาญด้วยศักดิ์ของจ้าวแห่งป่า แถมยังเอาตัวเองยืนบังตัวของปอหลัวไว้ด้วย มันถลึงตากลมๆ เล็กๆ ที่เรียวแหลม และอ้าปากเผยให้เห็นฟันอันแหลมคม ขนสั้นๆ ที่สั่นกระเพื่อมไปด้วยความโกรธทั้งตัวยิ่งทำให้ท่าทางของมันดูน่าเกรงขามยิ่งขึ้น!
พูดถึงหมีสีน้ำตาลตัวนี้ ในความทรงจำของฉินสือโอวฉงต้าคือหมีตัวอ้วนตุ๊ต๊ะที่ใครๆ ก็สามารถไปบีบหูเล็กๆ ของมันก็ได้ แต่ตอนนี้ฉงต้าที่ยืนเผชิญหน้ากับกวางมูสด้วยความโกรธ เขาจึงได้เข้าใจแล้วว่าทำไมคนพื้นเมืองอเมริกาเหนือถึงเรียกหมีสีน้ำตาลว่าจ้าวแห่งหุบเขา
เจ้าพวกนี้ช่างรุนแรง ป่าเถื่อน อวดเก่งและบ้าระห่ำอะไรเช่นนี้!
กวางมูสที่ถือว่าอยู่ในตะกูลกวางที่ถึงแม้ตัวจะมีขนาดใหญ่กว่าควายป่าและเสือเป็นอย่างมาก แต่ถ้าพูดถึงนิสัยของมันถือว่าอ่อนโยนเลยทีเดียว และมันเป็นแค่สัตว์กินพืชเท่านั้น นอกซะจากจะอยู่ในช่วงติดสัด เพราะปกติแล้วกวางมูสเพศผู้จะไม่จู่โจมหรือต่อสู้
และถึงแม้หมีสีน้ำตาลไม่ได้จะล่ากวางมูสเพื่อมาเป็นอาหาร แต่มันก็ขึ้นชื่อในเรื่องจ้าวแห่งสัตว์กินเนื้อของหุบเขา ทั้งสองฝ่ายต่างก็ยืนจ้องหน้ากันไม่ลดละ ความแตกต่างของรังสีอำมหิตที่แผ่ออกมาอย่างชัดเจนมากทำให้อีกไม่นานก็น่าจะรู้ผล
กวางมูสตัวใหญ่นั้นแข็งแรงกำยำมาก แถมฉงต้าที่นับว่ายังเป็นเด็ก เมื่อไปยืนอยู่ต่อหน้ากวางมูสมันก็เป็นแค่ลูกหมีตัวน้อยๆ แต่เมื่อตอนฉงต้าคำรามขึ้นมา พวกมันก็เริ่มลังเลสองจิตสองใจ จากนั้นก็ค่อยๆ เงยเขาขึ้นและถอยหลังอย่างช้าๆ
วินนี่ถอนหายใจโดยที่มือทั้งสองข้างของเธอยกขึ้นมาป้องปากเอาไว้ เพราะกวางมูสตัวใหญ่นั้นเมื่อมาเผชิญหน้ากับสุนัขล่าสัตว์และหมีสีน้ำตาลก็ขลาดกลัวแล้ว และการปะทะกันครั้งนี้ก็คงจะไม่เกิดการปะทุขึ้น
แต่สุดท้ายก็ทำให้เธอถึงกับพูดไม่ออกกับภาพที่เห็นตรงหน้า กวางมูสตัวใหญ่นั้นเตรียมจะถอยแล้ว แต่ทันใดนั้นปอหลัวก็เข้าไปโจมตี ‘สวบ’ เสียงของร่างกายที่คล่องแคล่วแข็งแรงได้กระโดดเข้าไปอย่างรวดเร็ว หัวของมันที่สะบัดไปมาและเขาที่เหมือนกับพลั่วน้อยๆ ก็ฟาดเข้าไปที่หน้าอกของกวางมูสตัวใหญ่ สะบัดเน้นๆ จนเกิดแผล
กวางมูสที่โดนยั่วจนโกรธ ตอนนี้ไม่สนแล้วว่าด้านหน้าของมันคือศัตรูกันโดยธรรมชาติหรือเปล่า บวกกับดวงตาที่เลือดพล่านของมันเหมือนกับตอนที่กำลังเป็นสัด มันร้องคำรามอย่างดุร้ายและกระแทกเข้ามาทางปอหลัว
แต่ถึงแม้ปอหลัวจะตัวเล็กแต่มันก็ว่องไวใช่เล่น และพลังแห่งโพไซดอนที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพของตัวมันนั้นก็ไม่ใช่เรื่องโม้ หลังจากที่ล้มลงบนพื้น มันก็กระโดดหลบเขาของกวางมูสตัวใหญ่ได้อย่างงงๆ เหมือนกับว่าเท้าของมันเหยียบสปริงไว้
ส่วนกวางมูสตัวใหญ่ที่ตลอดช่วงชีวิตของมันนั้นได้ผ่านประสบการณ์จริงมาอย่างโชกโชน มันเอาเขาทิ่มลงไปในดินและงัดขึ้นมา ซึ่งนั่นก็คือดินเหนียวที่พวยพุ่งขึ้นมาสูงราวเมตรกว่าๆ และเป็นพละกำลังขนาดนี้จึงสามารถทำให้คนตกใจได้
พอแล้ว เลิกพูด และเปิดฉากได้แล้ว
ฉงต้าคำรามออกไปจากนั้นมันก็หดหัวและใช้ไหล่ของมันชนเข้าไปที่กวางมูสตัวใหญ่นั้นอย่างรุนแรง และนี่คือวิธีการที่หมีสีน้ำตาลมักจะใช้เวลาเจอคู่ต่อสู้ที่ตัวใหญ่กว่า พุ่งชนก่อนจากนั้นถึงค่อยตะปบและกัด
ส่วนหู่จือและเป้าจือก็ไม่ยอมรั้งท้าย มันโจมตีกวางมูสจากด้านหลัง กระโดดงับเข้าที่ขาของกวางมูส และหลังจากที่มันกัดจนได้แผลเหวอะหวะเหมือนกับรอยกัดของหมาป่ามันก็วิ่งพล่าน และรอหาโอกาสเข้าโจมตีอีกครั้ง
ทั้งโดนชนทั้งโดนกัด กวางมูสตัวนี้ที่ไม่ชำนาญในการต่อสู้ช่างดูน่าเวทนา และคงจะกลับไปสู้กับปอหลัวต่อไม่ไหว มันจึงร้องอย่างน่าสงสารขึ้น ‘โฮกๆๆ’ จากนั้นมันก็หันหลังและวิ่งหนีไปอย่างคาดไม่ถึง!
แล้วกวางมูสตัวที่เหลือล่ะ? แค่ตอนที่ฉงต้าโผล่เข้ามา พวกมันก็วิ่งหนีไปมากกว่าครึ่งแล้ว
แบบนี้เป็นอะไรที่เห็นได้บ่อย เพราะนอกจากกวางตัวเมียและลูกกวางแล้วนั้น ปกติกวางมูสจะเป็นสัตว์ที่ชอบอยู่ตัวเดียว ความสามัคคีกันโดยสัญชาตญาณอะไรพวกนี้ไม่เคยมีอยู่ในสายเลือดของพวกมัน
กวางมูสตัวใหญ่ได้วิ่งหนีไป ปอหลัวจึงวิ่งตามหลังไปอย่างมุทะลุดุดัน ส่วนฉงต้าก็สาวเท้าและก้าวยาวๆ ตามไป แต่พอตามไปได้สักพักก็วิ่งไม่ทันตามไม่ถึงจึงพากันกลับมาอย่างหงอยๆ ส่วนหู่จือและเป้าจือก็ตามเข้ามาด้วย
ฉินสือโอวมองไปยังพวกมันที่กำลังเดือดดาล ทันใดนั้นเขาก็เดือดดาลด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ดีกวางมูสตัวนั้นน่าจะได้สักห้าร้อยหกร้อยกิโลกรัม อย่างเรือที่แตกยังเหลือเหล็กไว้ให้ถึงหนึ่งโลครึ่ง กวางมูสที่ผอมตายก็ยังตัวใหญ่กว่าหมา แต่นี่เข้าไปตีกันถึงในป่าลึก แต่กลับไม่มีใครได้อะไรกลับมา
เขารีบตามไปพร้อมกับตะโกนว่า ‘กลับมา กลับมา’ สุดท้ายความเร็วของเขาเมื่อเทียบกับฉงต้าตอนตะบึงยังถือว่าช้าอยู่ จนเมื่อเขาวิ่งตามไปถึงในป่าแต่ก็ไม่เห็นร่องรอยของกวางมูสและหมาแล้ว
“แม่งเอ้ย ให้ตายสิ” ฉินสือโอวสถบออกมา
กวางมูสที่วิ่งหนีไปอย่างตื่นตระหนก ลำตัวที่ใหญ่ของมันชนต้นไม้จนเปิดเป็นทาง เบิร์ดนำทางไป ส่วนคนที่เหลือก็ตามไปช่วยกันหา เดินลึกเข้าไปได้ประมาณหนึ่งถึงสองกิโลเมตร หู่จือและเป้าจือก็พยักหน้าและกระดิกหางเหมือนว่าเจออะไรบางอย่าง และในปากของเป้าจือยังคาบกระต่ายป่าสโนว์ชูไว้หนึ่งตัว
เป้าจือวิ่งมาข้างหน้าฉินสือโอวพร้อมกับส่ายหางดุกดิกและเงยหน้าขึ้นอย่างภูมิใจ ที่ในปากคาบกระต่ายสโนว์ชูและเอียงคอเหมือนปลากระดี่ได้น้ำเพื่ออยากได้รับความดีความชอบ
ฉินสือโอวแทบอยากจะฟาดมันเข้าให้สักที แต่สุดท้ายฝ่ามือที่ง้างขึ้นสูงๆ กลับปล่อยลงมาอย่างเบาๆ และเขาก็ทำแค่ตำหนิมันหลังจากที่ตบหัวมันอย่างเบาๆ “ต่อไปจะต้องมีระเบียบวินัยกว่านี้เข้าใจไหม? ได้ยินเสียงพ่อเรียกแล้วยังกล้าวิ่งไปอีก ครั้งหน้าจะไม่มีข้าวให้กินนะ!”
หู่จือและเป้าจือวิ่งกลับมาแล้ว ไม่นานนักปอหลัวก็วิ่งกลับมาจากทางเดิมอย่างหน้าตามอมแมมไปด้วยฝุ่นดินเต็มหน้า
ฉินสือโอวเดินไปข้างหน้าด้วยหน้าตาบึ้งตึง มองปอหลัวที่กำลังทำเสียงขึ้นจมูก เขาผลักมันออกและแสดงท่าทีโกรธเคือง
ประสบการณ์จากการเลี้ยงหู่จือและเป้าจือให้เชื่องนั้นทำให้ฉินสือโอวรู้ว่าพลังแห่งโพไซดอนไม่เพียงแต่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพของสัตว์พวกนี้ แต่ยังส่งผลต่อความฉลาดของพวกมันด้วย ทำให้พวกมันสามารถเรียนรู้อะไรได้หลายอย่าง ดังนั้นในตอนที่มันยังเด็กอยู่จึงไม่ควรเป็นอย่างยิ่งที่จะถือหางให้ท้ายพวกมัน เมื่อเห็นว่าพวกมันทำผิดก็ต้องรีบตักเตือน
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดที่สุดเลยก็คือช่วงแรกๆ ที่หู่จือและเป้าจือฉี่ในห้อง และหลังจากสั่งสอนพวกมันไปหนึ่งครั้ง พวกมันก็ไม่เคยฉี่ในบ้านอีกเลย จนต่อมามีพวกฉงต้า ต้าป๋าย และบุช และไม่ว่าตัวไหนจะปวดฉี่ปวดอึตอนอยู่ในบ้าน พวกมันก็จะรีบวิ่งออกไปข้างนอกทันที
พอถึงตอนกินข้าวฉงต้าได้รางวัลเป็นน่องไก่ย่างหนึ่งน่อง และวินนี่ก็คลุกสลัดผลไม้เมเปิลไซรัปที่มันชอบกินมากให้อีกด้วย มันทั้งกินทั้งกระดิกหางกลมๆ เล็กๆ ของมันอย่างสบายใจและมีความสุข
ส่วนหู่จือและเป้าจือกินข้าวคลุกกับซุปเนื้อ และปอหลัวที่หมอบอยู่ด้านข้างโดยไม่มีอะไรกิน
ส่วนวินนี่ก็อยากจะเอาเบอร์รีที่เหลืออยู่ไปป้อนมัน แต่ฉินสือโอวดึงเธอไว้และพูดขึ้นอย่างไม่อ่อนโยน “อย่าเอาใจมันจนเคยตัวสิ เจ้าตัวเล็กนี่นิสัยไม่ดี ดูมันยังสามารถออกไปก่อเรื่องด้านนอกได้? ขนาดวันนี้ยังไปแหย่กวางมูสได้ ดีไม่ดีพรุ่งนี้คงไปแหย่สิงโตภูเขาหรือไม่ก็หมีกริซลี่เข้าให้”
และถ้าไม่มีเรื่องที่ปอหลัวเข้าไปแหย่เจ้ากวางมูสตัวใหญ่นั่น ก็คงจะไม่มีเรื่องที่น่าห่วงตามมาทีหลัง และอย่าได้พูดเลยว่ากวางมูสตัวใหญ่นั้นจู่โจมมันก่อน เพราะดูจากความโกรธของฉินสือโอวที่มีต่อปอหลัวก็เข้าใจได้เลยว่าเจ้าตัวเล็กนี่เป็นฝ่ายลงมือก่อนอย่างแน่นอน
เบิร์ดฉุกคิดสักพักแล้วพูดขึ้น “ผมว่าไม่น่าใช่อย่างนั้นนะ เป็นไปได้ว่ากวางมูสกลุ่มนั้นเป็นกวางกลุ่มที่ปอหลัวเคยอยู่มาก่อน และเป็นไปได้ว่าเจ้ากวางมูสตัวใหญ่นั้นไล่ปอหลัวออกจากกลุ่ม เมื่อกี้ปอหลัวก็คงจะตามกลิ่นและเส้นทางของพวกมันไป จนสุดท้ายได้ไปสู้กันกับกวางมูสตัวนั้น”
ฉินสือโอวขมวดคิ้วและพูดขึ้น “มันจะบังเอิญได้ขนาดนั้นเลยเหรอ?”
เขาลุกขึ้นยืนและมองจากบนเขาลงไป ภายใต้ระยะทางแนวดิ่งเป็นริมทะเลสาบเฉินเป่า และระยะทางจากตรงนั้นก็ไม่ไกลจากถนนที่เขาเคยขับรถชนปอหลัวอีกด้วย
พอกินข้าวเที่ยวเสร็จ วินนี่ก็หากะละมังข้าวของปอหลัวและเทเบอร์รีลงในนั้นแล้วยกไปให้มัน
ฉินสือโอวส่ายหัวแล้วพูดขึ้น “แหม เจ้าตัวเล็กพวกนี้หิวก็เป็นด้วยเหรอ? ตลกแล้ว ขึ้นเขาแต่ได้ของกินดีกว่าฉันเนี่ยนะ”
จริงๆ แล้ว แต่เดิมปอหลัวไม่เคยปล่อยให้ตัวเองหิวเลย อย่างตอนที่อยู่ฟาร์มปลามันคือตัวที่หาของกินเองเก่งที่สุด ไม่ว่าจะกระโดดลงไปหาพวกสาหร่ายทะเลหรือพวกพืชน้ำ หรือแกะกินใบของผักกาดขาวในสวนผักด้านนอก สรุปแล้วก็คือมันไม่เคยปล่อยให้ตัวเองหิว
สุดท้ายมันคลานมากินเบอร์รีอยู่สองคำ และปอหลัวก็ไม่สนใจแล้ว จากนั้นมันก็มองไปรอบๆ เหมือนกับว่ามีอะไรกำลังดึงดูดมัน
ส่วนฉงต้าที่กินเท่าไรก็ไม่มีวันอิ่มได้ถูกเบอร์รีพวกนั้นดึงดูดเข้าให้ มันส่ายตูดแล้วคลานเข้าไป
คราวนี้ปอหลัวไม่ได้กีดกันฉงต้าอีก มันแค่ก้มหัวแล้วกินอีกสองคำ จริงๆ มันก็กินต่อไม่ไหวแล้ว สุดท้ายมันจึงเดินออกมาจากทางฝั่งที่ดูว่างๆ ของกะละมัง
แล้วฉงต้าก็ก้มหน้าลงตั้งหน้าตั้าตากินอย่างตั้งใจ ส่วนปอหลัวที่ร้องออกมาแค่สองครั้ง ‘โหยวโหยว’ และสุดท้ายมันก็ไม่ได้ไล่ฉงต้าเหมือนแต่ก่อน
“ดูนั่นๆ นี่ใช่ไหมที่เรียกว่ามิตรภาพระหว่างเพื่อนร่วมรบน่ะ” นีลเซ็นพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม
ส่วนดวงตาทั้งคู่ของวินนี่ก็เริ่มมีน้ำตาปริ่มอีกแล้ว และฉินสือโอวที่ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมพวกผู้หญิงถึงอ่อนไหวได้ทั้งวันขนาดนั้น? เพราะความรักของแม่เหมือนกับแม่น้ำฮวงโห ที่จะบอกให้เอ่อล้นออกมาตอนไหนก็จะสามารถเอ่อล้นออกมาตอนนั้นเหรอ?
จากนั้นพวกเขาก็พากันออกเดินทางต่อ บวกกับขบวนนักเดินทางที่มากันอย่างพร้อมเพรียง หู่จือและเป้าจือดมทางอยู่ด้านหน้า นีลเซ็นเดินตามหมา ฉินสือโอวและวินนี่เดินกับฉงต้าและปอหลัวอยู่ตรงกลาง และเบิร์ดสกัดอยู่ท้ายขบวน
เพราะว่าไม่ได้จะมาปีนเขาเพียงอย่างเดียวแต่อยากจะมาผ่อนคลายจิตใจด้วย พวกเขาเลยพากันเดินอย่างไม่รีบร้อน
ส่วนหู่จือและเป้าจือไม่ค่อยดีใจเท่าไรเพราะพวกมันอยากจะไปตามพวกไก่ป่า กระต่ายป่าที่ปรากฏออกมาเป็นครั้งคราว แต่เพราะยังคงติดอยู่กับการโดนสั่งสอนเมื่อตอนเที่ยงนั้น แม้แต่ปอหลัวหัวแหลมก็ยังรู้จักสงบเสงี่ยม เพราะยังไงซะก็มีตัวอย่างให้เห็นแล้วพวกมันคงไม่ทำผิดซ้ำหรอกนะ?
ทำยังไงได้ล่ะ ก้มหัวแล้วเดินไปอย่างช้าๆ เถอะ และทำตัวเป็นหมาที่ซื่อสัตย์ก็พอ
…………………………………………
บทที่ 331 เป็นแมวป่าที่น่าขายหน้า
โดย
Ink Stone_Fantasy
ตกเย็นเบิร์ดพาหู่จือและเป้าจือไปล่าสัตว์ ในที่สุดเจ้าสองตัวนี้ที่เหมือนได้หลุดออกจากพันธนาการและคิดว่าตัวเองเป็นเสือที่ดุร้าย มันทำตัวเหมือนตัวเองใหญ่ในระหว่างทางขึ้นไปและรู้สึกลำพองใจไม่มีใครเทียบ
พวกมันออกตามล่ากระต่ายสโนว์ชูก่อนเป็นอย่างแรกเลย จากนั้นก็ไปเจอเข้ากับไก่งวงป่าตัวหนึ่งที่ดูเซ่อๆ ซ่าๆ ในที่สุดพวกมันก็ได้เวลาที่จะแสดงฝีมือชุดใหญ่กันแล้ว
ส่วนฉินสือโอวก็พาวินนี่ไปเดินเล่นเลียบลำธาร ซึ่งบางทีก็จะมีฝูงนกบินกลับป่าและร้องผ่านหัวไปอยู่บ่อยๆ และบรรยากาศบนภูเขาก็เงียบสงัด
ที่อีกฝั่งของลำธารมีแพะน้อยสองตัวที่ความยาวของลำตัวประมาณหนึ่งเมตรกำลังก้มกินน้ำอยู่ แพะน้อยสองตัวนี้มือเท้าทั้งสี่ของมันดูสั้นป้อม ตรงปากล่างก็มีหนวดยาวคล้ายกับแพะภูเขา และลำทั้งตัวของมันก็ถูกคลุมไปด้วยขนยาวสีขาวดกเป็นชั้นๆ ทำให้ดูอ้วนตุ้ยนุ้ย แต่ด้วยไหวพริบของมัน พอกินน้ำเสร็จก็กระโดดโหยงโหยงจากไป
รอให้แพะน้อยสีขาวสองตัวจากไป วินนี่ถึงค่อยถอนหายใจออกมาอย่างเสียดายและพูดขึ้น “ผู้คนเมืองแฟร์เวลนี่ช่างมีเมตตาจริงๆ บนเขานี้ยังคงหลงเหลือแพะภูเขาโอเรียมนอสอยู่ เหลือเชื่อจริงเลยๆ”
แพะภูเขาโอเรียมนอสเป็นสัตว์ป่าชนิดหนึ่งที่หายากในแถบอเมริกาเหนือ ซึ่งส่วนใหญ่จะดำรงชีวิตอยู่ที่เทือกเขาร็อกกี และถึงแม้รูปลักษณ์ภายนอกจะเหมือนกับแพะภูเขา แต่ที่สุดแล้วก็ยังหาคำตอบของแหล่งกำเนิดออกมาอย่างเป็นรูปธรรมไม่ได้
ต่อมาจากเทือกเขาร็อกกี คนพื้นเมืองอเมริกาเหนือก็ค่อยๆ แผ่กระจายนำมันเข้าสู่รัฐมอนตานาของสหรัฐอเมริกาและรัฐบริติชโคลัมเบียของแคนาดา
และถึงแม้ขอบเขตพื้นที่การดำรงชีวิตจะขยายเพิ่มขึ้น แต่จำนวนของสัตว์ป่าชนิดนี้กลับลดลงอย่างต่อเนื่อง เหตุผลคือเนื้อของมันเป็นอะไรที่สมบูรณ์แบบมากจนทำให้พวกมนุษย์ก็น้ำลายไหลกันเป็นแถว
และเหตุผลที่ว่าทำไมเนื้อของแพะภูเขาโอเรียมนอสถึงสมบูรณ์แบบได้อย่างนั้น หลักๆ เลยก็คือการเคลื่อนไหวของพวกมันก็มีส่วนเกี่ยว พวกมันเก่งในด้านการกระโดดและปีนระหว่างหน้าผาที่สูงชัน ขอเพียงแค่มีที่ให้เหยียบไม่ว่าผาจะสูงภูเขาจะชันแค่ไหนก็สามารถไปได้อย่างง่ายๆ อย่างนี้เลยเป็นการฝึกกล้ามเนื้อของพวกมันให้แข็งแรงเป็นพิเศษได้โดยธรรมชาติ
พอเข้าสู่ยุค 80 เป็นเพราะแพะภูเขาโอเรียมนอสถูกล่าจนเกือบสูญพันธุ์ ในตอนนั้นภายใต้การเป็นเจ้าภาพของ ริชาร์ด นิกสัน ประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา อเมริกาและแคนาดาจึงได้ร่วมมือกันจัดตั้งโครงการช่วยเหลือแพะภูเขาโอเรียมนอสขึ้น ซึ่งนั่นถึงทำให้พวกแพะภูเขาโอเรียมนอสไม่ได้เข้าไปอยู่ในกระบวนการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่มีพวกนายทุนคอยชักใยอยู่เบื้องหลัง
ตั้งแต่นั้นจนถึงตอนนี้ แพะภูเขาโอเรียมนอสก็ยังคงอยู่ในเขตคุ้มครองสัตว์และห้ามทำการค้าของอเมริกาเหนือ แม้แต่ภูเขาร็อกกีก็ได้มีองค์กรเอกชนเพื่อแพะภูเขาระดับสากล เข้ามาระดมเงินทุนเพื่อวิจัยและดูแลจัดการแพะภูเขาโอเรียมนอสโดยเฉพาะ
แต่มีได้ก็ต้องมีเสีย เพราะเกิดการลักลอบล่าสัตว์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เห็นได้ชัดว่าภายใต้สถานการณ์แบบนี้นั้นเกิดจากประชาชนของเมืองแฟร์เวลไม่สามารถขึ้นเขาไปล่าสัตว์เพื่อเอาค้าขายได้ เพราะพลังในการควบคุมตัวเองของคนเรานั้นเป็นอะไรที่ทำได้ยากมาก
ฉินสือโอวที่ได้เห็นแพะภูเขาโอเรียมนอสเป็นครั้งแรกก็รู้สึกว่ามันไม่ได้สวยงามเท่าในรูปภาพที่ถูกบันทึกไว้ขนาดนั้น ขนของพวกมันค่อนข้างเหลือง แต่มันก็เป็นเรื่องปกติ เพราะพวกมันก็ไม่สามารถที่จะเอาสบู่มาถูอาบน้ำได้ ขนที่เปื้อนฝุ่นเปื้อนน้ำจากต้นไม้พวกนั้นก็เป็นธรรมดาที่จะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองขึ้น
แต่พอได้เห็นสัตว์ดึกดำบรรพ์ในตอนที่เงียบสงัดแบบนี้ ช่างเป็นอะไรที่ทำให้คนรู้สึกสุขไปทั้งกายและใจจริงๆ
จากนั้นฉินสือโอวก็เปิดวิทยุสื่อสารกำลังแรงสูง และปรับไปที่ช่องของเบิร์ดแล้วพูดว่า “เป็นไปได้ว่าบริเวณรอบๆ มีแพะภูเขาโอเรียมนอสอยู่ คอยดูหู่จือและเป้าจือไว้ให้ดีนะ อย่าให้พวกมันไปทำร้ายเจ้าพวกที่ไม่รู้เรื่องพวกนั้นได้”
“รับทราบครับ พวกมันว่านอนสอนง่ายดีอยู่” เบิร์ดตอบกลับ
พอนั่งลงริมแม่น้ำ วินนี่ก็ถอดบูตกับถุงเท้าออก เผยให้เห็นเท้าเล็กๆ แกว่งอยู่ในน้ำอย่างแวววาวราวกับหยก พอยื่นลงไปเท่านั้นก็รีบดึงเท้าขึ้น พร้อมกับหัวเราะคิกคัก “น้ำเย็นมากเลย”
ฉินสือโอวเห็นดังนั้นก็อยากถอดและลองไปจุ่มดู แต่วินนี่ห้ามเขาไว้และพูดขึ้น “คุณน่ะอย่าเลยค่ะ เดี๋ยวพวกเราก็ต้องใช้น้ำในแม่น้ำทำกับข้าวกินอีก ตอนนี้พวกเรามาต้มน้ำก่อนเถอะ”
เมื่อฉินสือโอวได้ยินดังนั้นก็อึ้ง และพูดขึ้นว่า “คุณก็รู้อยู่แล้วว่าพวกเราจะต้องใช้น้ำในแม่น้ำมาทำอาหาร แล้วทำไมยังมาล้างเท้าได้ล่ะ?”
วินนี่เอียงหัวและพูดขึ้น “คุณรังเกียจเหรอคะ?”
ฉินสือโอวส่ายหัว วินนี่เลยพยักหน้า “ดีมาก คุณไม่รังเกียจ ส่วนพวกเขาก็ไม่รู้ งั้นก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงใช่ไหม?”
“โอ้โห คุณนี่บ้าอำนาจจริงๆ ทำไมตอนผมจีบถึงไม่รู้เรื่องนี้นะ?”
“ตอนนี้คุณเสียดายเหรอคะ?”
“ก็นิดหน่อย คืนสินค้าได้ไหมเนี่ย? รู้สึกเหมือนโดนหลอกเลย”
“ไม่ได้ สายไปแล้วล่ะ คุณใช้สินค้านี้ไปแล้วยังคิดอยากจะส่งคืนอีกเหรอ?”
“งั้นผมก็จะประเมินให้ร้านแบบแย่มาก”
“และฉันก็หวังว่าผู้ขายอารมณ์ร้อนจะไม่ตีคุณตายซะก่อนนะ”
สองคนนี้ทั้งตีฝีปากใส่กันทั้งชื่นชมวิวทิวทัศน์รอบๆ ซึ่งนอกจากสายน้ำในลำธารที่ไหลรินแล้ว ก็มีแค่เสียงของสองคนนี้คุยกัน อย่างนี้ถึงเป็นบรรยากาศแบบ ‘ภูเขาว่างเปล่าไม่มีผู้คน ได้ยินแต่เสียงนกร้อง’ จริงๆ
อาทิตย์ที่ใกล้จะลับภูเขาไป ทั้งสองคนก็พากันกลับแคมป์ เวลานี้นีลเซ็นได้กางเต็นท์ทั้งสองหลังเสร็จแล้ว เต็นท์สองหลังอันกว้างขวางแบบที่ทหารใช้กัน ซึ่งไม่ใช่หลังเล็กๆ แบบที่ให้นักท่องเที่ยวเช่า
ส่วนเบิร์ดก็จัดการสัตว์ป่าที่ล่ามาได้อยู่ริมแม่น้ำ ไก่งวงป่าได้กลายมาเป็นอาหารหลัก พูดถึงไก่งวงพวกนี้ก็ตัวใหญ่มากจริงๆ ลำตัวที่ยาวเกือบๆ จะถึงหนึ่งเมตร และถึงจะถอนขนออก ตัวมันก็ยังใหญ่มากอยู่ดี
หู่จือและเป้าจือยิ่งโตขึ้น ฝีมือการล่าสัตว์ของพวกมันก็ยิ่งเหนือชั้น ครั้งนี้พวกมันไม่เพียงแต่ล่าไก่งวงป่าได้ แต่ยังล้อมเอาไข่ขนาดใหญ่ยักษ์ของไก่งวงป่ามาได้อีกตั้งเจ็ดฟอง
ฉินสือโอววางแผนว่าจะเอาไข่มาผัดกับข้าว ส่วนเบิร์ดที่มองมันผ่านแสงไฟเลยพูดขึ้นว่า “ถ้ากินตอนนี้ก็คงน่าเสียดายน่าดู มันน่าจะพัฒนาเป็นตัวอ่อนได้นะ ถ้ามันกลับไปแล้วได้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม ก็จะสามารถฟักออกมาเป็นไก่งวงน้อยๆ ก็ได้”
พอได้ยินอย่างนั้น วินนี่ก็ดีใจขึ้นมาทันที เธอดึงแขนฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “เก็บไว้เถอะนะ เลี้ยงมันไว้เถอะ อย่ากินมันเลย”
ถ้าเบิร์ดไม่พูด ‘พัฒนาไปเป็นตัวอ่อนได้’ ล่ะก็ ฉินสือโอวก็คงจะอยากกินไข่ แต่พอพูดคำนี้ขึ้นก็ทำให้ไม่อยากกินเลย บางครั้งเขาก็รู้สึกจนปัญญา ศัพท์อังกฤษคำนี้ความหมายมันตรงตัวเกินไป ไข่ตัวก็ไข่ตัวสิ จะมาพูดอะไรตัวองตัวอ่อน
ฉินสือโอวที่ไม่อยากกินแล้ว โบกมือและพูดขึ้น “ได้ งั้นก็เอากลับไปเลี้ยง ให้พวกแม่ไก่พวกนั้นคอยฟักพวกมันเอาแล้วกัน”
วินนี่รับไข่สองสามฟองนั้นมาอย่างเบิกบานใจ เธอเอามันส่องกับไฟดู หลังจากที่เห็นโครงสร้างของตัวอ่อนที่มีเส้นเลือดเป็นชั้นๆ เหมือนกับใยแมงมุมปกคลุมอยู่ก็มีความสุข จนอยากจะดึงให้ฉินสือโอวมาดูด้วยกัน แต่มันทำให้ฉินสือโอวอยากจะอ้วก
ฉินสือโอวที่จนปัญญาเลยทำได้เพียงแค่เอาไก่เสียบไม้และเริ่มย่าง ไก่งวงที่เกิดในป่าไขมันจะน้อย เพราะพวกมันมีกิจกรรมต้องทำเยอะ ดังนั้นเวลาย่างเลยต้องคอยทาน้ำมันอยู่ตลอด แต่รสชาติก็เทียบกับไก่งวงเลี้ยงอยู่ดี
ขณะที่กำลังย่างไก่งวง ฉินสือโอวก็ถามขึ้น “พวกนายดูสิ สัตว์ป่าบนเขาเคอร์บัลนี้มีตั้งเยอะ ไก่งวงป่าก็มีไม่น้อย แล้วทำไมตอนวันขอบคุณพระเจ้า คนในเมืองถึงยังต้องไปซื้อไก่งวงที่ซูเปอร์มาร์เก็ตอีกล่ะ? ขึ้นมาล่าบนเขาด้วยตัวเองก็ได้แล้วนี่”
นีลเซ็นได้ยินคำถามของเขาแล้วยิ้มแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร จนฉินสือโอวต้องถามย้ำอีกรอบ คราวนี้วินนี่เลยพูดขึ้น “ที่นีลเซ็นไม่ตอบก็เพราะคำถามของคุณมันไร้สาระน่ะสิ งั้นฉันขอถามกลับหนึ่งประโยคนะ ทำไมชาวบ้านถึงไม่ไปกินเนื้อแทนกันล่ะ ตำนานนี้นายเคยได้ยินมาก่อนไหม?”
แน่นอนว่าฉินสือโอวต้องรู้ตำนานเรื่องนี้ ก็คือในสมัยที่จักรพรรดิจิ้นฮุ่ยตี้ขึ้นปกครองประเทศ มีอยู่ปีหนึ่งเกิดการแห้งแล้งขึ้น ชาวบ้านไม่มีธัญพืชกินประทังชีวิตก็เหมือนกับตายทั้งเป็น สานส์นี้จึงถูกนำไปรายงานที่พระราชวังในทันที และพอจิ้นฮุ่ยตี้ฟังขุนนางฉินรายงานเสร็จ ก็ถามขึ้นอย่างสงสัยมากว่า “ชาวบ้านหิวเพราะไม่มีข้าวกิน แล้วทำไมถึงไม่ไปกินเนื้อแทนล่ะ?”
จากนั้นฉินสือโอวก็แสดงสีหน้าเหมือนฉุกคิดขึ้นได้ แต่จริงๆ ก็คือยังหาคำตอบจากตำนานเรื่องนี้ไม่ได้ เขาเลยไปแอบๆ ถามเบิร์ด เบิร์ดเลยอธิบายให้ฟัง “บนเขามีไก่งวงป่าก็จริงอยู่ แต่ดูอย่างพวกเราหากันทั้งบ่ายหาได้แค่ไม่กี่ตัวเอง และถ้าคนในเมืองอยากจะกินไก่งวง แค่ไปที่ซูเปอร์มาร์เก็ตแล้วจ่ายสักสิบดอลลาร์ ก็สามารถซื้อครึ่งตัวได้แล้ว และถ้าทำงานทั้งบ่ายก็สามารถเอาเงินที่ทำงานไปแลกไก่งวงได้ตั้งห้าตัว”
ฉินสือโอวรู้สึกเก้อเขิน และก็จริงที่ว่า ‘ชาวบ้านทำไมไม่กินเนื้อแทน’ เพราะเขาเวลาว่างก็ว่างจนไข่เปียก ส่วนคนเมืองที่พอได้มีเวลาว่างก็อยากจะขึ้นเขามาล่าสัตว์กันเชียวเหรอ?
และนี่ยังเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ยังมีสัตว์ป่ามากมายในนิวฟันด์แลนด์ เพราะนอกจากการพักผ่อนแล้ว ปกติผู้คนก็ไม่มีเหตุให้ต้องมาล่าสัตว์ป่าพวกนี้ สำหรับการกิน ถ้าอยากกินก็แค่ไปซื้อที่ซูเปอร์มาร์เก็ตก็ได้แล้ว ทำไมจะต้องไปเปลืองแรงล่าสัตว์ที่จะเสี่ยงต่อการติดเชื้อปรสิตและไวรัสที่ไม่รู้จักด้วย?
ก่อนหน้านั้นที่เดินเลียบไปตามริมลำธารฉินสือโอวก็ไปเจอพวกผักป่าที่เห็นได้บ่อยๆ เข้าเช่น ผักกูด คื่นฉ่ายป่า ผักกาดป่า และใบกระเทียมป่า
พอเข้าฤดูใบไม้ร่วง ผักป่าพวกนี้ก็เริ่มแห้งเหี่ยว ไม่สดและนุ่มเหมือนในช่วงฤดูร้อนหรือฤดูใบไม้ผลิ แต่เมื่อเอามาต้มเป็นน้ำซุปกิน รสชาติก็ไม่ถือว่าแย่เท่าไร
มีไส้กรอกย่าง ไก่งวงย่าง กระต่ายป่าย่าง เป็ดย่างและนกป่าที่ไม่รู้ว่ามันคือนกอะไรอีกสองสามตัว และในหม้อความดันสูงที่กำลังตุ๋นซุปไก่ฟ้าสีทองอย่างสดอร่อย บวกกับข้าวผัด แฮมเบอร์เกอร์ หมี่แห้งอิตาลีที่พกมาจากบ้านด้วย ทำให้ทั้งสี่คนและเจ้าพวกตัวเล็กนี้กินมื้อค่ำกันอย่างมีความสุข
พอกินเสร็จ ทันใดนั้นฉงต้าก็มองเข้าไปในป่า พร้อมกับหู่จือและเป้าจืออดไม่ได้ที่จะลุกขึ้นจากในตอนที่กินข้าวอยู่
ฉินสือโอวรู้เลยว่ากำลังมีสัตว์ใกล้เข้ามา เขาจึงหยิบธนูยิงปลาที่อยู่ข้างๆ ตัวแล้วหันกลับไปเล็งใส่ สุดท้ายพอเล็งไปสักพักก็ไม่มีสัตว์อะไรโผล่ออกมา เขาเลยหันไปพยักหน้าให้หู่จือ
ส่วนหู่จือก็วิ่งไปข้างหน้าสองสามก้าวอย่างชาญฉลาด มันไปชนเข้ากับต้นสนต้นหนึ่งและเห่ากิ่งของต้นสนนั้นอยู่สองครั้ง
ฉินสือโอวที่ต้องเพ่งมอง ถึงค่อยได้เห็นสัตว์ป่าตัวหนึ่งกำลังเกาะอยู่บนกิ่งไม้ ซึ่งรูปลักษณ์ภายนอกที่เหมือนกับแมวยักษ์ และบนตัวของมันมีลายสีทองที่ไม่ค่อยชัดเจน ตาที่หรี่เอาไว้เลยทำให้มองไม่เห็นแววตาของมัน แต่ไม่ต้องดูเป็นครั้งที่สองก็รู้ได้ว่ามันคือแมวป่า
แมวป่าเป็นสัตว์ประเภทที่เห็นได้ทั่วไปในแถบป่าสนบนภูเขาสูงของแคนาดา มันมีนิสัยขี้ระแวง และค่อนข้างจะขลาดกลัวอีกด้วย พวกมันไม่เชื่อใจมนุษย์ เพราะพวกมันเคยเป็นหนึ่งในเป้าหมายของพวกมนุษย์นักล่า และตัวการที่ก่อให้เกิดความหายนะของพวกมันก็คือหนังที่สวยงามของพวกมันนั่นเอง
พอแน่ใจแล้วว่ามันคือแมวป่า ทั้งสี่คนก็กลับไปกินไปนั่งคุยกันต่อ เพราะแมวป่าจะไม่มาคุกคามคน และก็ยังไม่เคยเจอเรื่องที่ว่าแมวป่าทำร้ายคนมาก่อน บวกกับที่ตอนนี้พวกเขาก็ไม่ได้ไปยั่วแหย่อะไรมัน
ตอนแรกนั้นฉินสือโอวก็นึกว่ามันได้กลิ่นหอมของย่างเนื้อ เขาเลยฉีกส่วนเนื้อติดมันของไก่งวงที่กินไม่หมดแล้วโยนไปให้มันที่ใต้ต้นไม้ สุดท้ายแมวป่าตัวนั้นไม่แม้แต่จะมอง มันยังคงนอนอย่างสงบอยู่บนต้นไม้ จนดูเหมือนกับแมวยักษ์ที่สง่างาม
ส่วนกระรอกน้อยเสี่ยวหมิงที่อยู่ด้านหลังพอกินข้าวอิ่มแล้วมันก็วิ่งไป จากนั้นแมวป่ายักษ์ที่ดูสง่างามก็ลุกขึ้นยืนบนกิ่งต้นสน และมองเสี่ยวหมิงด้วยสายตาเป็นประกาย
ฉินสือโอวเห็นก็ได้เข้าใจ ที่แท้เจ้าตัวนี้ก็โดนเรียกมาโดยกระรอก กระรอกถือเป็นหนึ่งในอาหารของแมวป่า แต่มันกินกระต่ายป่าเพื่อประทังชีวิตเป็นหลัก ส่วนกระรอกเป็นเพียงแค่อาหารเรียกน้ำย่อย
เสี่ยวหมิงขึ้นชื่อว่ากล้าแบบโง่ๆ อย่างในตอนแรกที่หู่จือและเป้าจือยังตัวเล็กๆ อยู่ มันยังกล้าที่จะไปแกล้งเจ้าสองตัวนั้น และด้วยความที่มันยังคงติดอยู่ในช่องว่างของการเติบโตที่ยังคิดว่าตอนนั้นหู่จือและเป้าจือที่ยังเล็ก เลยคิดว่าแมวป่าตัวนี้ก็คงจะไม่ใหญ่ไปกว่านั้นสักเท่าไร
และไม่ได้สนใจถึงสายตาที่อยากจะจับมันกินจนน้ำลายไหลของแมวป่า เสี่ยวหมิงลากหางใหญ่ๆ ของมันแล้ววิ่งไปที่โคนต้นไม้ราวกับควัน
ทำให้แมวป่าดีใจขึ้นในทันที โดยไม่นึกถึงภัยจากฉินสือโอวและคนอื่นๆ มันรีบวิ่งลงมาหาเสี่ยวหมิงจากบนต้นไม้อย่างปราดเปรียว แล้วทำท่ายึกยักยึกยัก เสี่ยวหมิงชะงักเหมือนกับโดนฟ้าผ่า จากนั้นก็รีบวิ่งลงจากต้นไม้ด้วยความเร็วสูง ส่วนแมวป่าก็วิ่งตามแล้วตามอีก สุดท้ายก็ตามเสี่ยวหมิงไม่ทัน
และเหตุการณ์นี้ก็ทำให้เจ้าแมวป่าตัวนี้รู้สึกท้อถอยอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน และมันก็ขี้เกียจจะตามแล้ว มันแค่ลงมาจากต้นไม้และคาบเอาชิ้นไก่ที่ฉินสือโอวโยนไว้ จากนั้นก็ปืนขึ้นไปกินบนต้นไม้จนหมด
ฉินสือโอวนั่งมองอยู่ข้างไฟแคมป์อย่างเหม่อลอย พลางก็คิดไปว่าควรจะพูดว่าเสี่ยวหมิงเก่งหรือเจ้าแมวป่าตัวนี้มันไม่เอาไหน?
จนสุดท้ายตอนที่แมวป่าลดความหยิ่งของมันแล้วกลับมากินไก่ชิ้นที่ตอนแรกไม่สนใจเลยด้วยซ้ำ พวกฉินสือโอวและคนอื่นๆ ก็ได้ผลสรุปว่า ช่างเป็นแมวป่าที่น่าขายหน้าจริงๆ โคตรไม่เอาไหนเลยว่ะ!
จากนั้นพวกเขาก็ไม่ไปใส่ใจกับแมวป่า และก็ไม่เป็นกังวลกับเสี่ยวหมิง ทั้งสี่คนนั่งล้อมข้างกองไฟพลางอาบแสงจันทร์ไปด้วย วินนี่ก็เลยพูดเสนอขึ้น “เอาอย่างนี้ดีไหม พวกเรามาเล่นผลัดกันร้องเพลงกันเถอะ?”
…………………………………………………….
บทที่ 332 รอยยิ้มในฤดูใบไม้ร่วงแห่งเขาเคอร์บัล
โดย
Ink Stone_Fantasy
พอได้ยินข้อเสนอของวินนี่ นีลเซ็นพูดอย่างสนอกสนใจเป็นอย่างยิ่งขึ้น “เอาสิ พวกเรามาผลัดกันร้องเพลงกันเถอะ ถือเป็นข้อเสนอที่น่าสนใจทีเดียว”
วินนี่ยื่นมือไปแปะกับนีลเซ็น ส่วนเบิร์ดยักไหล่แล้วพูดขึ้น “ผมได้หมด”
ส่วนฉินสือโอวพูดค้านขึ้น “เล่นไพ่ล่ะเป็นไง? ฉันเอาไพ่มาด้วยนะ แต่ถ้าพวกนายอยากร้องเพลงกันงั้นฉันขอฟังแล้วกันโอเคไหม?”
นีลเซ็นเลยพูดขึ้น “ไม่เอางั้นสิบอส คุณออกจะร้องเพลงเก่ง ผมเคยได้ยินตอนที่คุณสอนชาร์คและซีมอนสเตอร์ร้องเพลงตอนที่ต้องไปแสดงในวันเฉลิมฉลองเมืองไง”
ก่อนหน้านั้น ชาร์คและซีมอนสเตอร์เคยได้ยินฉินสือโอวร้องเพลง ‘สรวงสวรรค์’ ของเถิงเกอ หลังจากนั้นพวกเขาก็เลยตื๊ออยากจะเรียนร้องเพลงกับฉินสือโอว เพราะทั้งสองคนอยากจะร้องคู่กับฉินสือโอวในวันเฉลิมฉลองเมือง
แต่เรื่องในคราวนี้ดูเหมือนจะไม่ไหวสักเท่าไรเพราะภาษาจีนนั้นยากเกินไป โดยเฉพาะเพลง ‘สรวงสวรรค์’ ที่ต้องเอื้อนเสียงสูง และตอนนั้นในระหว่างที่ชาร์คและซีมอนสเตอร์เดินอย่างพลิ้ว เขาจึงเอื้อนเสียงสูงในท่อนฮุคไปได้เพราะเลยทีเดียว
ฉินสือโอวลูบไปที่จมูก เรื่องของเรื่องก็คือ ในตอนนั้นยังไม่มีวินนี่ผู้ที่รู้ภาษาจีน เขาเลยหลอกชาร์คกับซีมอนสเตอร์ถึงเสียงของเขาได้ เพราะไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็ไม่เคยฟังเพลง ‘สรวงสวรรค์’ อยู่แล้ว ตัวเองเลยจะร้องอย่างไรก็ได้
แต่ตอนนี้มีวินนี่นั่งอยู่ข้างๆ
เธอหัวเราะชอบใจและพูดขึ้นว่า “งั้นฉันเริ่มก่อนแล้วกัน เอาเป็นเพลง ‘Land of the Silver Birch’ เป็นไง?”
‘Land of the Silver Birch’ เป็นเพลงพื้นบ้านเพลงหนึ่งของคนแคนาดาที่ติดหูจนใครๆ ก็ร้องได้ จุดกำเนิดมาจากเป็นเพลงที่นิยมร้องกันอย่างมากของชาวอินเดียแดงที่อาศัยอยู่ในเขตแม่น้ำเกรตเลกส์และออตตาวา เนื้อหาของเพลงก็คือชาวอินเดียแดงพูดชมถึงภาพบรรยากาศของป่าเขาของพวกเขา
นีลเซ็นและเบิร์ดก็ร้องเชียร์กันอย่างฮึกเหิม ส่วนฉินสือโอวก็ปรบมือให้ วินนี่จึงยิ้มหวานและร้องอย่างนุ่มนวลขึ้น “ป่าเบิร์ชแสนงาม บ้านเกิดของนากทะเล ที่นั่นมีกวางมูสตัวใหญ่ วิ่งไปอย่างอิสระ แม่น้ำและก้อนหินสีฟ้าสดใส ฉันอยากจะกลับไปอีกสักครั้ง…”
พอวินนี่เริ่มร้องก็ทำให้แววตาของฉินสือโอวเป็นประกาย เพราะเขาค้นพบแล้วว่าวินนี่ไม่ได้เพอร์เฟกต์ไปซะทุกอย่าง เมื่อเทียบกับรูปลักษณ์อันล้ำเลิศและเสน่ห์ที่งดงามของเธอ เสียงของเธอก็ดูจะธรรมดามาก อย่างนี้เลยทำให้เขามีความมั่นใจขึ้นมาแล้วเล็กน้อย
เพลงแรกร้องจบไป วินนี่ก็นั่งลงและยิ้มแป้น จากนั้นก็ให้ฉินสือโอวลุกขึ้นมาร้องต่อ
ฉินสือโอวกระแอมก่อนหนึ่งครั้ง และพอกำลังจะเริ่มร้อง ในทันใดนั้นบุชก็ร้อง ‘ก้าบก้าบ’ ขึ้นมาสองครั้ง เขาเลยต้องหยุดร้องและหันไปมอง ที่แท้ก็เป็นเพราะว่าเนื้อปลาที่บุชกลืนเข้าไปติดคอมัน มันเลยต้องยืดคอและกระพือปีกจากนั้นเลยกลับไปนั่งลงเหมือนเดิม
เขาเลยกระแอมอีกรอบ คราวนี้ฉินสือโอวเริ่มร้องจริงๆ แล้ว “ดอกไม้ในกระเช้าแสนหอม ฟังฉันร้องเพลงกล่อมเจ้าเอ๋ย ฟังฉัน ฟังฉันร้องเพลงกล่อมเจ้าเอ๋ย… ถึงอ่าวหนานหนี่วานแล้วเอ๋ย อ่าวหนานหนี่วานแสนงาม ดินแดนแสนงาม…”
สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจร้องเพลงอ่าวหนานหนี่ ซึ่งเป็นเพลงพื้นบ้านที่ร้องชมบ้านเกิดตัวเองอีกเพลงหนึ่ง
เขาที่กำลังร้องอยู่ และวินนี่ที่ยิ้มอย่างมีเลศนัย เธอโยนแอปเปิลสองสามลูกไปให้เขา ฉินสือโอวรับไว้ จากนั้นฉงต้าก็กระโดดโผเข้าไปหาเขาอย่างรวดเร็ว เพลงที่ร้องยังไม่ทันจบ แต่ทั้งสองกลับไปนอนกลิ้งอยู่บนพื้นแล้ว
นีลเซ็นเลยขึ้นมาร้องเพลงพื้นเมืองของชาวอเมริกาเหนือ และสุดท้ายก็ตามมาด้วยเบิร์ด เบิร์ดผู้ที่ออกจะหยาบคายแข็งกร้าวก็ได้แสดงด้านที่นุ่มละมุนของมนุษย์กระดูกเหล็กออกมา เขาหยิบฮาร์โมนิก้าที่อยู่ในถุงย่ามออกมา วางแนบลงบนปากและเป่าอย่างช้าๆ
ฉินสือโอวที่ไม่ค่อยจะรู้เกี่ยวกับเพลงอเมริกาเหนือเท่าไร ดังนั้นเขาจึงไม่รู้ว่าเพลงที่เบิร์ดเป่าเป็นเพลงอะไร แต่ทำนองที่ไพเราะช้าๆ สบายๆ ที่พอได้ฟังแล้วกลับรื่นหูมาก
เมื่อเห็นว่าเบิร์ดมีความสามารถแบบนี้เขาเลยถือโอกาสนี้ทำให้เบิร์ดเฉิดฉาย หลังจากที่เบิร์ดเป่าฮาร์โมนิก้า เขาก็นั่งฟังอยู่ข้างๆ
หู่จือ เป้าจือและฉงต้าก็นั่งพิงอยู่ข้างๆ เขาตามลำดับ จากนั้นฉินสือโอวก็ดึงวินนี่เข้ามาใกล้ๆ ทั้งสองคนและกลุ่มเพื่อนตัวน้อยนั่งด้วยกันเป็นกลุ่มเพื่อฟังเสียงนุ่มละมุนของฮาร์โมนิก้า พร้อมกับเงยหน้ามองไปยังท้องฟ้าใสสะอาดอันกว้างสุดลูกหูลูกตาและเต็มไปด้วยดวงดาว บวกกับบรรยากาศที่งดงามราวกับในหนัง
นั่งเล่นรอบกองไฟจนถึงสี่ทุ่ม พวกเขาถึงค่อยไปเตรียมตัวพักผ่อนกัน ฉินสือโอวเก็บบริเวณกองไฟ วินนี่ที่เตรียมมื้อดึกให้พวกฉงต้าและปอหลัว ส่วนนีลเซ็นกับเบิร์ดก็พากันไปตรวจดูทุกซอกทุกมุมของพื้นหญ้าบริเวณเต็นท์ว่ามีพวกงูหรือพวกแมลงอะไรไหม
ส่วนอาหารเย็นที่เหลือเป็นพวกเนื้อไก่เล็กน้อย ฉินสือโอวจึงฉีกออกจากไม้แล้วโยนไปที่โคนต้นไม้ และแมวป่าตัวนั้นที่ยังไม่ได้หนีไป ก่อนหน้านี้มันก็ฟังเบิร์ดเป่าฮาร์โมนิก้าอยู่บนต้นไม้อย่างเงียบสงบ
มองมายังชิ้นเนื้อไก่ที่ชุ่มไปด้วยน้ำมันแวววาว แมวป่าตัวนั้นก็ถึงกับเลียปากแผลบๆ ไม่หยุด และดวงตากลมๆ ของมันก็กลอกกลิ้งไปมา ราวกับว่าอย่ามาหลอกฉันซะให้ยาก ฉันไม่โดนแกหลอกง่ายๆ หรอกนะ
จากนั้นพอฉินสือโอวและอีกสี่คนเข้าไปในเต็นท์ มันก็รีบวิ่งลงมาจากบนต้นไม้และคาบไก่ย่างขึ้นไปบนต้นไม้ทันที พร้อมกับกินอย่างสำราญใจ
ฉินสือโอวที่หมอบดูอยู่ตรงประตูเต็นท์ก็อดที่จะยิ้มขึ้นไม่ได้ เจ้าแมวใหญ่ตัวนี้ก็น่ารักดีเหมือนกันนะเนี่ย และถ้าเขามีความคิดที่อยากจะจับมันล่ะก็ ใช้อุบายของเขาไม่กี่นาทีก็ทำให้มันติดกับได้แล้ว
ซึ่งนี่ก็เป็นเรื่องที่เห็นได้บ่อยในนิวฟันด์แลนด์ สัตว์ป่าที่ไม่ค่อยมีไหวพริบ หรือจะพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือพวกมันค่อนข้างจะดูชะล่าใจกับพวกมนุษย์ เหตุผลที่ทุกคนต่างก็รู้ซึ่งก็คือการที่พวกมันคิดว่าจะอยู่ร่วมกันได้อย่างกลมกลืน
ฟ้ายังไม่ทันสว่าง ฉินสือโอวก็ถูกวินนี่ลากมานั่งที่แนวเขาเพื่อรอดูพระอาทิตย์ขึ้น
จากนั้นฟ้าก็สางขึ้นทางทิศตะวันออก ไม่นานนักเส้นแสงสีแดงก็โผล่ขึ้นมาก่อนและดวงอาทิตย์สีแดงฉานก็ค่อยๆ โผล่ตามขึ้นมา
จากนั้นเจ้าแมวยักษ์บนต้นไม้ก็ยืนขึ้นบิดขี้เกียจแล้วมองไปยังทั้งสองคน ฉินสือโอวโบกมือทักทายมัน แต่สุดท้ายเจ้าแมวยักษ์ก็แค่ชำเลืองมามองเขาอย่างหยิ่งยโสแล้วก็กลับไปบิดขี้เกียจอีกรอบ และวิ่งทะลุลงจากบนต้นไม้อย่างรวดเร็วและหายเข้าป่าไป
“ไอ้เจ้าแล้งน้ำใจเอ้ย” ฉินสือโอวด่าออกมาหนึ่งประโยค
หลังจากกินอาหารเช้าเสร็จ ทั้งสี่คนก็ต้องกลับกันแล้ว ระหว่างทางกลับฉินสือโอวที่ได้เจอกับแปลงดอกป๊อปปี้ไอซ์แลนด์ก็ตื่นเต้นยกใหญ่ เขาจึงไปเด็ดพวกมันมาแล้วร้อยเป็นมงกุฎดอกไม้ไปใส่ไว้บนหัวของวินนี่
ป๊อปปี้ไอซ์แลนด์เป็นตัวแทนของดอกไม้ป่าสไตล์อเมริกาเหนือ ก้านที่เรียวบางและดอกที่บานใหญ่ สีสันสดใสสวยงามซึ่งพอที่จะสามารถเบ่งบานไปได้ตลอดทั้งฤดูใบไม้ผลิไปจนถึงปลายฤดูร้อนและต้นฤดูใบไม้ร่วง พอดีกับเวลานี้เป็นช่วงสุดท้ายของพวกมัน พวกมันจึงต้องดูสดใสก่อนที่จะร่วงโรยไป พวกมันจึงพยายามอย่างสุดกำลังที่จะเบ่งบานออกมาเป็นดอกไม้ที่สวยงามภายใต้ท้องฟ้าอันสดใส
และเมล็ดพันธุ์ของดอกไม้ชนิดนี้ก็ยังสามารถแพร่พันธุ์ได้ด้วยตัวเอง ดังนั้นมันจึงสามารถกลายมาเป็นทุ่งดอกไม้ที่งดงามตาได้ ฉินสือโอวและคนอื่นๆ เห็นว่าทุ่งดอกไม้นี้ค่อนข้างเล็ก มีเพียงแค่สองหรือสามเอเคอร์เท่านั้นแถมยังอยู่บนภูเขาอีกด้วย ซึ่งดูไม่ค่อยจะมีพื้นที่สำหรับการดำรงอยู่ของพวกมันสักเท่าไร
ส่วนพวกผู้หญิงที่ไม่มีปฏิกิริยาต่อต้านต่อดอกไม้อยู่แล้วนั้น วินนี่จึงได้พาหู่จือและเป้าจือไปเซลฟี่ในดงดอกไม้พวกนั้น จากนั้นฉินสือโอวกับนีลเซ็นและเบิร์ดก็พากันไปเก็บเมล็ดพันธุ์ของดอกป๊อปปี้ไอซ์แลนด์เพื่อเตรียมเอาไปปลูกที่ฟาร์มปลา
“ถ้าพวกคุณชอบดอกไม้กัน งั้นพวกเราเปลี่ยนเส้นทางกันดีไหม พาพวกคุณไปรู้จักกับรอยยิ้มในฤดูใบไม้ร่วงแห่งเขาเคอร์บัลกันสักหน่อย” นีลเซ็นพูดเป็นนัยตอนที่เขาและคนอื่นๆ อยู่ในระหว่างการเดินทาง
“รอยยิ้มในฤดูใบไม้ร่วงแห่งเขาเคอร์บัลคืออะไร?” ฉินสือโอวถามขึ้น เขามาที่เมืองแฟร์เวลได้ครึ่งปีกว่าแล้วแต่ยังไม่รู้เลยว่ามันคืออะไร
นีลเซ็นที่ยิ้มขึ้นแต่ก็ไม่ได้ตอบกลับอะไร เขาเพียงแค่พาเปลี่ยนเส้นทางไปเลยก็เท่านั้น
เดินไปได้ชั่วโมงกว่าๆ ฉินสือโอวก็เริ่มหงุดหงิด ส่วนคนนำทางอย่างนีลเซ็นก็หยุดเดินในทันทีเมื่อมาถึงตรงเนินเขาเล็ก จากนั้นเขาก็โค้งตัวทำท่าเชื้อเชิญและพูดอย่างเสียงดังฟังชัด “ยินดีต้อนรับสู่รอยยิ้มในฤดูใบไม้ร่วงแห่งเขาเคอร์บัล”
เมื่อยืนอยู่ตรงเนินเล็กๆ แล้วมองลงไปยังภาพอาณาเขตที่เต็มไปด้วยดอกไม้สีแดงที่แซมด้วยสีเหลืองสวยสดงดงาม ดอกไม้พวกนี้ผลิบานรับอากาศ ลมบนเขาที่พัดผ่านมันไป กลิ่นหอมที่โชยเข้ามาในจมูกพร้อมกับดอกไม้ที่กำลังพลิ้วไหวไปตามสายลม ช่างเป็นภาพที่งดงามจนไม่สามารถที่จะชื่นชมได้หมดในวันเดียว
“ดอกเดือนฉาย!” ฉินสือโอวยิ้มและพูดขึ้น
ดอกไม้ชนิดนี้เห็นได้ค่อนข้างเยอะในประเทศจีน เพราะกลีบของมันแดงและใหญ่และตรงระบายกลีบก็มีเส้นสีทองล้อมเป็นวงไว้ สีแดงและสีเหลืองที่เข้าคู่กันแบบนี้นับว่าเป็นอะไรที่เหมาะกับบรรยากาศของงานเทศกาลมงคลของจีน ซึ่งไม่ว่าจีนจัดงานเทศกาลเมื่ออะไรเมื่อไหร่ ก็จะเห็นพวกมันได้บ่อยเลยทีเดียว
นอกจากนี้ ดอกเดือนฉายยังทนหนาวได้ดีกว่าดอกไม้ชนิดอื่นๆ อย่าได้พูดถึงตอนนี้ที่เป็นแค่ต้นฤดูใบไม้ร่วงเลย ถ้ายิ่งเข้าช่วงที่หนาวสุดๆ ของฤดูใบไม้ผลิในขณะที่ดอกไม้อื่นๆ นั้นต่างพากันร่วงโรย แต่มันก็ยังจะสามารถผลิบานในป่าลึกของอเมริกาเหนือได้
ทั้งเนินที่ดูมีเนื้อที่ประมาณยี่สิบกว่าเอเคอร์และยังปกคลุมไปด้วยดอกเดือนฉายทั้งหมด จนทำให้เกิดเป็นทัศนียภาพที่สวยงามซึ่งสามารถทำให้อึ้งไปชั่วขณะได้เลย
และถ้าผ่านไปอีกเดือนสองเดือน ในตอนที่ดอกไม้ชนิดอื่นร่วงโรยลงมาพร้อมกับใบหญ้าที่เหี่ยวเฉา แต่บนเขาเคอร์บัลนั้นจะยังมีทุ่งดอกไม้สดขนาดใหญ่ที่ยังคงบานสะพรั่งอยู่ และที่พูดกันว่าเป็น ‘รอยยิ้มในฤดูใบไม้ร่วง’ ของเขาลูกนี้ไม่ได้เป็นการพูดเกินไปเลยจริงๆ
วินนี่ที่ถือกล้องอยู่ในมือก็เริ่มยกขึ้นถ่ายโดยมีแสงแฟลชเปล่งออกมาระยิบระยับ แม้แต่ขนาดฉงต้าจอมขี้เกียจที่พอได้เห็นทุ่งดอกไม้สวยสดงดงามขนาดนี้ก็ยังอดใจไม่ไหวที่ทั้งกลิ้งทั้งคลานเข้าไปในทุ่งดอกไม้ แต่ก็ไม่ถึงกับว่าทำลายทุ่งดอกไม้ไปเยอะเท่าไรเพราะถึงอย่างไรเนื้อที่มันก็กว้างใหญ่ไพศาลมากอยู่แล้ว
“ถ้าเกิดทางเดินดีกว่านี้สักหน่อย ก็น่าจะสามารถทำเป็นจุดท่องเที่ยวได้เลยนะเนี่ย” ฉินสือโอวพูดอย่างรู้สึกเสียดายเล็กน้อย
“แต่ก็สามารถเอาไปบุกเบิกได้นะ เพราะถ้าอยากกินขนมปังย่างหอมฉุยล่ะก็ งั้นก็คงต้องหว่านเมล็ดพันธุ์ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ไถพรวนในฤดูร้อนและเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วง” วินนี่ยกคำสแลงประโยคหนึ่งของชาวนิวฟันด์แลนด์มาพูด
ในระหว่างทางที่มีทุ่งดอกไม้ตามสองข้างทางจึงทำให้การมาปีนเขาในครั้งนี้กลายเป็นทริปที่สมบูรณ์แบบมากเป็นพิเศษ จากนั้นฉินสือโอวก็อัปโหลดรูปลงในคิวคิว ไม่นานนักก็มีคอมเมนต์มากมายใต้ภาพ และตอนนี้คิวโซนของเขาก็ได้กลายเป็นศูนย์รวมของเพื่อนๆ และเพื่อนโรงเรียนไปแล้ว
ฉินสือโอวคิดไปคิดมาจากนั้นก็ประกาศลงในกลุ่มว่า “ปักกิ่งตอนนี้มีบินตรงมาที่แฟร์เวลแล้วนะ ถ้าพวกนายคนไหนอยากมาเที่ยวก็ไปหาเจ้าโคโกโร่ได้เลย แค่ออกค่าเครื่องมา ส่วนเรื่องอื่นๆ ยกให้เป็นหน้าที่ฉันเอง”
จนมาถึงปลายเดือนตุลาคมขณะพวกเพื่อนๆ ของเขาที่ยังไม่มีใครมาสักคน แต่ครอบครัวของฉินสือโอวทั้งพ่อ แม่ และพี่สาวจะพากันมาแล้ว ในขณะที่จัดการอะไรทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว ฉินสือโอวก็คอยโทรเร่ง จนสุดท้ายวินนี่ก็ได้เอ่ยปากพูดโน้มน้าวให้พ่อแม่มาเที่ยวที่แคนาดาด้วย
เพราะในฤดูใบไม้ร่วงที่ท้องฟ้าปลอดโปร่งอากาศเย็นสบายและเป็นโอกาสอันดีที่จะมาเที่ยวแคนาดาในช่วงนี้ อีกทั้งยังเป็นฤดูกาลแห่งการชมต้นเมเปิลอีกด้วย บวกกับการที่ยังไม่ได้ตั๋วไว้ล่วงหน้า อย่างนี้เลยทำให้การซื้อตั๋วเป็นอะไรที่ลำบากมาก ฉินสือโอวที่จะซื้อตั๋วให้พ่อแม่ในตอนนี้ก็ซื้อไม่ได้แล้ว
เวลานี้จึงต้องถึงคราวของบัตรอเมริกันเอ็กซ์เพรสออกโรงแล้ว เขาโทรศัพท์หาเจนนิเฟอร์และทิ้งข้อความให้เธอช่วยจองตั๋วเฟิร์สคลาสห้าใบจากปักกิ่งมาโทรอนโตให้เขาหน่อย ผ่านไปไม่กี่นาที ข้อความบริการจองตั๋วก็เด้งเข้าขึ้นมาบนโทรศัพท์เขา
เนื่องด้วยเมืองแฟร์เวลเป็นตลาดการท่องเที่ยวหลักภายในประเทศ อีกทั้งเทศกาลวันชาติจีนเป็นอีกหนึ่งโอกาสสำคัญที่นักท่องเที่ยวระลอกแรกจะเยอะมากที่สุดในช่วงเวลานี้ และตามข้อมูลที่ส่งมาโดยบริษัททัวร์นั้น จำนวนนักท่องเที่ยวของเดือนพฤศจิกายนเป็นรองแค่วันชาติจีนเจ็ดวันนั้นเท่านั้น ซึ่งในช่วงสองสามวันนี้ได้มีนักท่องเที่ยวทั้งหมดยี่สิบล็อตประมาณเกือบสองหมื่นคนที่จะเข้ามาเมืองแฟร์เวล
จากข้อความนี้นั้น ฉินสือโอวทำได้แค่ตกใจจนพูดอะไรไม่ออก เขารู้ว่าจีนนั้นคนรวยเยอะอยู่แล้ว แต่นึกไม่ถึงว่าจะเยอะได้ถึงระดับนี้ ไม่ต้องไปคิดที่ไหนไกลเลย เพียงแค่ปักกิ่งบินมาเซนต์จอห์น ค่าเดินทางไปกลับก็ปาไปประมาณสองหมื่นหยวนต่อคนแล้ว!
จากนั้นเขาเลยมาพูดเรื่องนี้กับเหมาเหว่ยหลง และเหมาเหว่ยหลงก็พูดอย่างเหยียดหยามว่า “หึหึ แกนี่มันกากจริงๆ เลย รู้ไหมว่าประเทศพวกเรามีมหาเศรษฐีพันล้านอยู่เท่าไร? หนึ่งแสน! แล้วมหาเศรษฐีร้อยล้านมีอยู่เท่าไร? เกือบๆ เจ็ดหมื่นคน!”
“เอาเถอะน่า เลิกพูดไร้สาระได้แล้ว รับพ่อแม่ฉันมาให้ดีๆ ก็แล้วกัน ถ้าเกิดเรื่องแม้แต่นิดเดียวฉันเอาแกตายแน่!”
“ขี้เกียจจะพูดกับคนบ้านนอกแคนาดาเต่าล้านปีอย่างแกว่ะ เดี๋ยวส่งลิงก์ข่าวให้แกไปอ่านเอาเองแล้วกันนะ”
จากนั้น เหมาเหว่ยหลงก็ส่งลิงก์ให้ฉินสือโอวจริงๆ เขาเลยเปิดอ่านดู ที่แท้ที่เหมาเหว่ยหลงพูดก็ไม่ใช่เรื่องโกหก จากการนับสถิติของหูรุ่นรีพอร์ต มหาเศรษฐีพันล้านจีนมีถึงหนึ่งแสนเก้าพันคน ส่วนมหาเศรษฐีร้อยล้านมีถึงหก-เจ็ดหมื่นคน!
………………………………………………….
บทที่ 333 โดนจับ
โดย
Ink Stone_Fantasy
ฉินสือโอวพาวินนี่ไปโทรอนโตก่อนหนึ่งวัน และไปเดินแถวไชน่าทาวน์เพื่อหาสถานที่กินข้าวกัน วันที่สองของวันที่สามสิบเดือนตุลาคม ทั้งสองก็ไปที่สนามบินนานาชาติเพียร์สัน
เมื่อเข้าไปถึงแผนกต้องรับของสนามบิน ฉินสือโอวก็หยิบบัตรอเมริกันเอ็กซ์เพรสขึ้นมา จากนั้นก็มีแอร์โฮสเตสสาวสวยรีบเดินเข้ามาต้อนรับทันที
พอเห็นแอร์โฮสเตสคนนี้ใบหน้าของวินนี่ก็เต็มไปด้วยความดีใจเลยเข้าไปทักทายก่อน ในขณะที่รอเข้าไปในห้องรับรองวีไอพี ทั้งสองก็กอดกันและพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน
ฉินสือโอวที่ยืนฟังอยู่ข้างๆ สักพักก็รู้ว่าแอร์โฮสเตสคนนี้เมื่อก่อนทำอยู่ที่แอร์แคนาดาแถมยังเคยบินเที่ยวบินเดียวกับวินนี่อีกด้วย ต่อมาเลยได้ย้ายมาทำเป็นพนักงานต้อนรับแขกวีไอพีที่สนามบินนานาชาติเพียร์สันและไม่ต้องไปลำบากลำบนอยู่บนฟ้าทั้งวันแล้ว
นั่งรอที่สนามบินสักพัก สายการบินที่พ่อแม่ของฉินสือโอวก็แลนดิ้งลงสู่โทรอนโตแล้ว บินมาถึงโดยสวัสดิภาพไม่มีการล่าช้า เลยทำให้เขาสบายใจไปได้มากเลยทีเดียว
เขาสบายใจแล้ว แต่ทางวินนี่กลับตื่นเต้นแทน เธอลุกขึ้นยืนพร้อมกับจัดระเบียบของเสื้อและกระโปรงพลางใช้น้ำเสียงนิ่งเรียบถามขึ้น “นี่ ฉิน ฉันดูแต่งตัวเหมาะสมหรือยัง?”
วันนี้วินนี่ดูพยายามแต่งตัวจนเกินไป เธอสวมเสื้อแบบผู้หญิงสีขาวสวยงาม บริเวณรอบๆ เสื้อยังตกแต่งไปด้วยไข่มุกร้อยปักลงไปอย่างละเอียดและประณีตให้ความรู้สึกอ่อนหวาน ส่วนตรงแขนเสื้อที่เป็นผ้าลูกไม้ ได้ปกคลุมแขนอันเรียวบางขาวสวยของเธอไว้ก็ช่วยขับให้เธอดูมีเสน่ห์มากขึ้น
เสื้อแบบผู้หญิงที่แมทช์กับกระโปรงยาวสีดำสไตล์เรโทรหนึ่งตัว แบบนี้ก็ทำให้เธอดูเคร่งขรึมและดูอนุรักษนิยมมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แถมยังปกปิดกลิ่นอายเสน่ห์อันยั่วยวนของเธอเหมือนอย่างวันนั้นได้ดีเลยทีเดียว และถ้าดูจากตรงนี้ วินนี่ดูเหมือนจะเข้าใจนิสัยของพ่อแม่ของฉินสือโอวดี
ฉินสือโอวรู้ว่าวินนี่กำลังทำเป็นนิ่งเพื่อข่มอาการตื่นเต้นของเธอไว้ เขาเลยเดินเข้าไปและกอดเธอเอาไว้ในอ้อมแขน เหมือนอย่างที่ทำหลังมีอะไรกันทุกครั้ง ดูคล้ายกับอยากจะเอาเธอเข้าไปไว้ในร่างกายเขาอะไรอย่างนั้น และพูดด้วยเสียงเบาๆ “โอเค โอเคแล้ว เจ้าเด็กคนนี้นี่ ทุกอย่างจะต้องผ่านไปด้วยดี คุณก็เคยคุยกับพ่อแม่ของผมตั้งหลายครั้งไม่ใช่เหรอ? อย่ากังวลไปเลย”
ซึ่งพอได้รับพลังงานที่คุ้นเคยแบบนี้แล้ววินนี่ถึงค่อยสงบลงได้ เธอกุมมือฉินสือโอวและเดินไปรับครอบครัวของฉินสือโอวที่ทางห้องรอรับผู้โดยสาร
เพราะในมือถือบัตรอเมริกันเอ็กซ์เพรสที่มีประโยชน์กว่าบัตรลูกค้าวีไอพี ฉินสือโอวและวินนี่เลยเข้าไปในโถงตรวจสอบศุลกากรได้ ซึ่งตรงนี้เป็นด่านแรกที่จะสามารถมองเห็นพวกผู้โดยสารได้ และในตอนที่พ่อแม่พี่สาวของฉินสือโอวปรากฏตัว ฉินสือโอวก็มองเห็นในทันที
ทั้งสองฝ่ายเจอหน้ากัน ใบหน้าที่ดูเหนื่อยล้าของพ่อแม่ฉินสือโอวก็เผยรอยยิ้มดีใจออกมา และพอรู้สึกตัวแล้วจึงพากันเดินต่อ
จากนั้นพนักงานในเครื่องแบบก็เดินมาหยุดพวกเขาและเชิญพวกเขาไปต่อแถวอย่างมีมารยาท ฉินสือโอวรู้ว่าไม่ควรรีบร้อนเลยไปรออยู่ข้างๆ
เพราะสายการบินนานาชาตินี้ ไม่ใช่ว่าผู้โดยสารลงเครื่องแล้วจะสามารถออกจากสนามบินได้เลย แต่ยังต้องผ่านการตรวจสอบจากเคาน์เตอร์สองประเภทก่อนถึงจะออกจากสนามบินได้ และก่อนที่จะตรวจสอบเสร็จนั้นจะยังไม่ถือว่าเข้ามาในประเทศแคนาดาแล้ว
ซึ่งผู้โดยสารลำหนึ่งมีประมาณสองสามร้อยคนกำลังต่อแถวยาวคดเคี้ยวเป็นหางมังกรเพื่อรอตรวจสอบ และเคาน์เตอร์ตรวจสอบของทางสนามบินจะแบ่งออกเป็นสองประเภทคือผู้มาเยือนและแขกพัก ซึ่งพวกนักศึกษาแลกเปลี่ยนกับคนงานให้ไปที่ช่องผู้มาเยือนส่วนนักท่องเที่ยวกับผู้อพยพให้ไปที่ช่องแขกพัก
ส่วนแถวที่พ่อแม่ของฉินสือโอวมาต่อคือแถวเคาน์เตอร์ของพนักงานชายคนหนึ่งที่มีเชื้อสายจีน รอยยิ้มที่อบอุ่นบวกกับน้ำเสียงที่นุ่มนวล ดูแล้วเหมือนกับหมอมากกว่า ไม่เหมือนกับผู้ตรวจแบบนี้เลย
และถึงจะอย่างนั้นก็เถอะ ถ้าพูดถึงพ่อแม่ของฉินสือโอวที่เป็นชาวนาทั้งคู่แล้ว ข้าราชการท่านนี้ก็ยังดูน่ากลัวสำหรับพวกเขาอยู่ดี โดยเฉพาะเมื่อข้าราชการผู้นี้พูดขึ้นบวกกับพวกเขาที่ฟังภาษาไม่รู้เรื่อง หลังจากที่ยื่นพาสปอร์ตและใบคำร้องให้กับพนักงานตรวจสอบแล้ว ทั้งสองคนก็นิ่งไปเลย
พนักงานตรวจสอบที่ถามสี่คำถามง่ายๆ ที่มักจะถามเป็นประจำคือ ‘คุณมาที่แคนาดามีจุดประสงค์อะไร’ ‘พักที่ไหน’ ‘จะอยู่ที่นี่นานเท่าไร’ และ ‘ต้องการความช่วยเหลืออะไรไหม’
ถ้าเพียงแค่คนที่เข้าใจในภาษาอังกฤษเพียงแค่ไม่กี่ประโยคก็จะสามารถจัดการได้ แต่พ่อและแม่ของฉินสือโอวไม่เข้าใจ ในตอนนั้นเลยไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร และพี่สาวกับพี่เขยของฉินสือโอวก็ไม่รู้ภาษาอังกฤษ เลยเกิดสถานการณ์น่าอึดอัดขึ้น
ฉินสือโอวจึงรีบเข้าไป แต่สุดท้ายก็มีพนักงานอาสาสมัครออกมาขวางทางเขาในทันที ที่ตรงนี้ไม่เหมาะที่จะเอาบัตรอเมริกันเอ็กซ์เพรสมาใช้ เพราะคนที่มาขวางเขาเอาไว้คือศุลกากร ซึ่งเป็นหน่วยงานภาครัฐที่ไม่ใช่บริษัททั่วไป
วินนี่จึงเข้ามาอธิบายอย่างใจเย็น จากนั้นอาสาสมัครคนนั้นจึงเข้าไปเป็นล่ามให้กับพ่อและแม่ของฉินสือโอว ผู้ตรวจจึงยิ้มและมาร์กสถานที่สำคัญบนใบยื่นคำร้อง ก่อนพูดขึ้นหนึ่งประโยคว่า ‘ยินดีต้อนรับสู่แคนาดา ขอให้มีช่วงเวลาที่ดีที่นี่’ และปล่อยพวกเขาไป
พอพูดอย่างนี้ก็ดูเหมือนว่าเรื่องจะจบลงแล้ว ซึ่งถ้าเป็นพนักงานตรวจสอบผู้อพยพป่านนี้คงต้องได้ไปเข้ารับการตรวจสอบที่กองตรวจคนเข้าเมืองแล้ว แต่นักท่องเที่ยวไม่จำเป็น แค่ตรงไปรับกระเป๋าเดินทางได้เลย
วินนี่เลยอธิบายให้ฉินสือโอวฟังเล็กน้อย และเขานึกขึ้นได้ถึงเมื่อคราวตัวเองเลยพูดขึ้น “ตอนฉันมาแคนาดาไม่เห็นจะยุ่งยากแบบนี้เลย แค่เออร์บักหยิบใบรับรองออกมาจากนั้นก็มีคนมาพาพวกเราไปทางไฟเขียว และสามารถออกจากสนามบินได้ ไม่เห็นจะต้องไปกองตรวจคนเข้าเมืองอะไรนั่นเลย”
รู้อย่างนี้พาเออร์บักมาด้วยก็ดี ฉินสือโอวที่รู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย
พอไปถึงสายพานรับกระเป๋า เครื่องลำเลียงสายพานเครื่องใหญ่กำลังทำงานอยู่ ฉินสือโอวเลยพาวินนี่เข้าไปแนะนำตัวกับพ่อแม่ของเขาก่อน ทั้งสองฝ่ายที่ค่อนข้างเกร็ง พ่อของฉินสือโอวที่ยื่นมือออกไปจับอย่างเป็นทางการ ส่วนวินนี่ก็ทำตัวไม่ถูกเลยรีบยื่นมือเล็กๆ ของตัวเองออกไปเพื่อเตรียมเช็กแฮนด์
นี่ทำเอาฉินสือโอวปวดหัว เลยโอบทั้งสองคนไว้และพูดว่า “พวกเราไม่ได้มาเป็นตัวแทนระหว่างจีนกับแคนาดาในการเจรจาต่อรองกันนะ กอดสิ พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกันแล้วก็ต้องกอด”
แม้แต่เสี่ยวฮุยยังถือว่าเปิดรับ ตอนที่วินนี่นั่งลงยองๆ กอดเขา เขาเลยใช้โอกาสนี้หอมไปที่แก้มของวินนี่หนึ่งฟอด จากนั้นก็ไปหลบอยู่ที่ข้างหลังแม่ของเขาแล้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
พ่อแม่และคนอื่นๆ เอากระเป๋าเดินทางมากันไม่น้อยเลย พอเครื่องลำเลียงกระเป๋าไหลมาถึงพวกเขาก็พากันแบกลงมา จนสุดท้ายหลังจากพ่อแม่ฉินสือโอวนักเสร็จก็ส่ายหัวและพูดขึ้น “ยังขาดไปหนึ่งใบนะ”
ในตอนนี้ผู้คนที่มาลำเดียวกันก็พากันไปจนเกินครึ่งแล้ว และกระเป๋าบนสายพานก็ยิ่งน้อยลงทุกที และพอหลังจากที่พ่อและแม่ของฉินสือโอวเห็นกระเป๋าถือสีขาวก็พากันดีใจ ส่วนฉินสือโอวที่รู้ว่านี่คือกระเป๋าใบสุดท้ายแล้วก็เดินเข้าไปยกขึ้นมา
และในตอนนี้เอง ก็ได้มีผู้ตรวจสอบคนหนึ่งเดินจูงสุนัขมา หลังจากที่เข้ามาใกล้ฉินสือโอว สุนัขพันธุ์แลบราดอร์ริทรีฟเวอร์สีเหลืองก็เข้ามาดมๆ จากนั้นก็เดินวนฉินสือโอวอยู่สองรอบสุดท้ายก็หยุดลงตรงหน้าเขา และยื่นขาหน้าไปก่ายบนกระเป๋าเดินทางใบหนึ่ง
เป็นเพราะหู่จือกับเป้าจือ ฉินสือโอวเลยคุ้นเคยกับสุนัขพันธุ์แลบราดอร์ริทรีฟเวอร์เป็นอย่างดี จึงไม่เกิดอาการกลัวแต่อย่างใด สักพักก็เลยผิวปากขึ้น ส่วนจมูกของสุนัขพันธุ์แลบราดอร์ริทรีฟเวอร์ก็ยังคงกระตุกอยู่ แล้วผู้ตรวจสอบที่อยู่ด้านหลังก็มีท่าทีรีบร้อนและหยิบวิทยุสื่อสารขึ้นมาและพูดว่า “กระเป๋าที่สายพานเบอร์ห้าเกิดปัญหา”
ผ่านไปยังไม่ถึงหนึ่งนาที ก็มีผู้ชายคนขาวห้าคนพร้อมกับสีหน้าที่เคร่งขรึมรีบเข้ามา คนพวกนี้สวมชุดตำรวจสีดำและพกปืนกับกระสุนจริง พร้อมกับมายืนล้อมครอบครัวของฉินสือโอวไว้เหมือนดาวห้าแฉก
ในตอนนั้นฉินสือโอวไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบใดๆ และผู้ตรวจคนนั้นก็เดินเข้ามารับกระเป๋าเดินทางสีขาวพร้อมกับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึม “กระเป๋านี้ของใคร?”
พ่อและแม่ของฉินสือโอวที่ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น พวกเขาเลยจับมือของวินนี่และถามขึ้นอย่างร้อนใจ “พวกเขาพูดว่าอะไรเหรอ?”
วินนี่เลยแปลคำพูดของผู้ตรวจให้เขาฟัง ด้วยความรักที่มีต่อลูกๆ พ่อของฉินสือโอวจึงรีบพูดขึ้นในทันที “หัวหน้า กระเป๋าเป็นของผมเองครับ”
ผู้ตรวจคนนี้ฟังภาษาจีนไม่เข้าใจ ฉินสือโอวเลยต้องแปล แต่เขากลัวว่าฝั่งตรงข้ามจะถือโอกาสนี้สมรู้ร่วมคิดให้การเท็จ เขาจึงต้องทำเป็นพูดไม่ค่อยคล่อง เลยต้องขอเชิญให้ผู้ตรวจที่เข้าใจภาษาจีนมา
จากนั้นผู้ตรวจที่มีเชื้อสายจีนก็เข้าสื่อสารให้กับทั้งสองฝ่าย เขาเดินมาแล้วพูดว่า “คุณผู้ชาย คุณถูกจับกุมแล้ว คุณมีสิทธิ์ที่จะไม่พูด แต่ทุกคำที่คุณพูดจะนำไปหลักฐานบนชั้นศาล”
ฉินสือโอวที่คุ้นเคยกับประโยคนี้เป็นอย่างดี เพราะในหนังฮ่องกงสมัยก่อนๆ เวลาตำรวจเผชิญหน้ากับพวกโจรก็มักจะเอาคำนี้มาล้อเลียนกัน แต่เขาก็คิดไม่ถึงเลยว่าวันนี้จะได้ยินตำรวจในแคนาดาพูดแบบนี้
ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว เพราะระบบของตำรวจฮ่องกงกับตำรวจแคนาดาต่างก็เป็นระบบตำรวจของราชวงศ์อังกฤษ ถึงแม้อะไรหลายๆ อย่างจะไม่เหมือนกันแต่จุดหมายปลายทางต่างก็เป็นที่เดียวกันทั้งนั้น
“กล้าดียังไง?” ฉินสือโอวพูดอย่างไม่อ่อนข้อให้
ถ้ายังเป็นตอนที่กากเหมือนเมื่อก่อน ตอนอยู่ที่จีนเขาแทบจะไม่กล้าหือได้ขนาดนี้ แต่ตอนนี้อยู่ที่แคนาดาเขาเป็นผู้ที่เสียภาษีที่ใหญ่ที่สุดในเซนต์จอห์น และไม่ว่าใครที่ฐานะเป็นอย่างไรก็ตามเมื่อเจอเขาต่างก็แสดงความเคารพต่อเขากันทั้งนั้น และเขาก็รู้ตัวเองว่าพอมาอยู่ที่นี่ไม่ว่าจะเจอใครก็ตาม เอวเขาก็จะแข็งทื่อเป็นพิเศษ
ผู้ตรวจเชื้อสายจีนคนนั้นไม่ได้ตอบกลับเลยในทันที แต่ถามกลับว่า “ขอถามหน่อยนะครับ พวกคุณมาทำอะไรที่แคนาดา? มาเที่ยวเหรอ?”
ฉินสือโอวเลยอธิบายว่า “ผมย้ายถิ่นฐานมาอยู่ที่นี่ได้ครึ่งปีแล้ว ส่วนนี่คือพ่อแม่ของผม พวกท่านมาเยี่ยมน่ะ”
ส่วนวินนี่ที่เป็นแอร์โฮสเตสและคุ้นเคยกับส่วนศุลกากรเป็นอย่างดีเลยยืนอยู่ข้างๆ ฉินสือโอวและพูดเสียงแข็งขึ้นกว่าเขา “กรุณาตอบคำถามของแฟนดิฉันโดยตรงด้วยค่ะ ไม่ทราบว่าพวกเราทำผิดกฎหมายอะไร พวกคุณถึงต้องมาจับกุมครอบครัวพวกเรา?”
ผู้ตรวจเชื้อสายจีนดูท่าว่าสองคนนี้จะไม่ยอม เขาเลยพูดอย่างสบายๆ ขึ้นว่า “ที่จริงก็ไม่เชิงว่าเป็นการจับกุมซะทีเดียว เพียงแต่กระเป๋าเดินทางของพวกคุณมีปัญหา ดังนั้นคนของพวกคุณเลยห้ามไปไหนทั้งนั้น พวกเราต้องทำการตรวจสอบกระเป๋าใบนี้ เมื่อตรวจสอบเสร็จแล้วไม่มีปัญหาอะไร พวกคุณถึงจะไปได้”
วินนี่หยิบโทรศัพท์ออกมาแล้วพูดขึ้น “งั้นก็ดี ในระหว่างนี้ฉันจะโทรหาทนาย และก่อนที่เขาจะมาถึง พวกเราจะไม่ตอบคำถามใดๆ ทั้งสิ้น”
พ่อและแม่ของฉินสือโอวที่เป็นกังวลอยู่ด้านหลัง ชาวนาทั้งสองคนที่คอยจับมือกันเพราะทั้งชีวิตยังไม่เคยมีเรื่องกับพวกตำรวจมาก่อน และสายตาที่แสดงออกถึงความหวาดกลัว บวกกับรอบข้างที่ยังมีพวกนักท่องเที่ยวหลงเหลืออยู่ และพวกเขาก็พากันชี้มาทางนี้ ทำให้พ่อและแม่ของฉินสือโอวยิ่งรู้สึกขายหน้าเข้าไปใหญ่ ทั้งสองจึงต้องพากันก้มหน้าลง
พอเห็นท่าทางกระอักกระอ่วนของพ่อแม่แล้ว ฉินสือโอวก็รู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก แต่มีสุนัขตำรวจที่เพิ่งพบสิ่งแปลกปลอมอยู่ตรงหน้า เขาเลยไม่สามารถแสดงอารมณ์โมโหได้
พนักงานรักษาความปลอดภัยที่อยู่ด้านหลังพอเห็นพวกเขาไม่พูดอะไรแล้ว จึงหยิบกุญแจมือขึ้นมาใส่ฉินสือโอวไว้ และพูดขึ้น “ตามกฎแล้ว พวกคุณต้องไปเข้ารับการตรวจสอบกับพวกเราด้วย เพื่อป้องกันการหลบหนี พวกเราจำเป็นต้องใส่กุญแจมือลูกความไว้ด้วย”
จากนั้นฉินสือโอวก็โมโหขึ้นในทันที เขาเลยผลักพนักงานรักษาความปลอดภัยคนนั้นอย่างหยาบคาย และหยิบโทรศัพท์จากมือวินนี่ไปโทรหาเออร์บักก่อน จากนั้นค่อยโทรไปหาเบลคและแบรนดอน สุดท้ายเลยจับกระเป๋าในมือยัดใส่หน้าอกของพนักงานรักษาความปลอดภัยแล้วกัดฟันพูด “งั้นพวกคุณก็ค้นตอนนี้เลยสิ ถ้าจะให้ดีก็อธิบายมาให้มันสมเหตุสมผลด้วยนะ ไม่อย่างนั้นผมจะใช้ข้อหาเหยียดชนชาติฟ้องพวกคุณให้ตายกันไปข้าง!”
เมื่อโมโหจนหัวร้อน เขาใช้ภาษาจีนกลางในบทสนทนานี้โดยตรง และพอพ่อและแม่ของฉินสือโอวได้ยินดังนั้นก็ยิ่งกลัวเข้าไปอีกเลยรีบเข้าไปดึงเขาเอาไว้
ฉินสือโอวเลยหันไปยิ้มให้พ่อและแม่ของเขาแล้วพูดขึ้นว่าไม่เป็นไร แล้วสุนัขพันธุ์แลบราดอร์ริทรีฟเวอร์ก็ลุกขึ้นในทันที ซึ่งมันดูมีท่าทีฮึกเหิมเล็กน้อยและวิ่งวนรอบเขา
……………………………………………………
บทที่ 334 ความผิดของหู่จือและเป้าจือ
โดย
Ink Stone_Fantasy
ชายผู้ตรวจที่จูงหมาขมวดคิ้วขึ้น สายตาของเขามองผลัดไปยังฉินสือโอวและกระเป๋าที่อยู่ตรงหน้าอกของพนักงานรักษาความปลอดภัย เขาแสดงเจตจำนงที่เข้าไปเก็บเอากุญแจมือและพูดกับฉินสือโอวขึ้นว่า “สุนัขตำรวจของเราตัวนี้เก่งมากในเรื่องยาเสพติด มันไม่มีทางดมผิดแน่นอน และอันที่จริงแล้วที่ดึงดูดความสนใจของมันไม่ใช่กระเป๋าใบนี้ แต่เป็นคุณครับ คุณผู้ชาย”
พอผู้ตรวจพูดอย่างนี้แล้ว ฉินสือโอวก็มีอารมณ์ขันขึ้นมา ถ้าบอกว่าในกระเป๋ามีปัญหาก็พอจะเชื่อได้ อีกทั้งพ่อแม่ของเขาก็ออกนอกประเทศมาครั้งแรกก็เป็นไปได้ว่าอาจจะเอาสินค้าต้องห้ามพวกยาสมุนไพรอะไรอย่างนี้มาด้วยก็ได้ แต่นี่มาบอกว่าเป็นที่ตัวเขาเองมีปัญหา นั่นมันไม่ตลกไปหน่อยเหรอ
แต่เดิมฉินสือโอวก็ไม่ยอมรับการตรวจสอบอยู่แล้วเพราะเขาไม่รู้ว่าข้างในกระเป๋ามีอะไร แล้วถ้ามีสมุนไพรต้องห้ามจริงๆ งั้นก็คงต้องให้เออร์บักมาจัดการ
ส่วนตอนนี้กลับมาสงสัยที่ตัวเอง เพื่อเป็นการไม่เสียเวลา เขาเลยถามออกไปอย่างตรงๆ ว่า “ผมยอมรับการตรวจสอบ พวกคุณว่ามาเลย ว่าจะตรวจสอบยังไง?”
ผู้ตรวจเลยให้ฉินสือโอวดึงแขนเสื้อขึ้น เพราะเขาอยากจะดูว่าที่แขนของฝ่ายตรงข้ามมีรอยการใช้เข็มฉีดยาเสพติดหลงเหลือไว้ไหม แต่สุดท้ายก็ไม่เจออะไร
จากนั้นผู้ตรวจกับพนักงานรักษาความปลอดภัยก็พาฉินสือโอวเข้าไปในห้องทำงานห้องหนึ่ง ทำให้พ่อและแม่ของฉินสือโอวเป็นกังวลมาก วินนี่ก็พยายามปลอบพวกท่านแล้วบอกว่าปัญหาครั้งนี้เป็นที่สนามบิน พวกเขาต้องรับผิดชอบแน่ๆ อย่าได้กังวลใจไป
แต่จะไม่ให้พ่อแม่ของฉินสือโอวกังวลใจได้ยังไง? ที่ฉินสือโอวอยู่ๆ ก็ได้ลาภลอยที่แคนาดาอย่างนี้ พวกเขาเลยได้แต่รู้สึกว่าเงินที่ได้มานั้นผิดกฎหมายหรือเปล่า ตอนนี้ตำรวจเลยต้องพาเขาไป แล้วมาบอกว่าไม่มีปัญหาอะไรจะให้พวกเขาเชื่อได้อย่างไร?
พอเข้าไปในห้องทำงาน พนักงานรักษาความปลอดภัยก็ทำการค้นตัวฉินสือโอว ทั้งเสื้อกางเกงแม้กระทั่งรองเท้าต่างก็ตรวจสอบหมดแต่ก็ไม่พบอะไร พวกเขาสงสัยมากจนต้องปล่อยสุนัขจับยาเสพติด ส่วนเจ้าหมาตัวนี้ก็ยังคงวิ่งวนรอบฉินสือโอวอยู่ดี
ผู้ตรวจมีอาการตะลึงเล็กน้อย เลยพูดอย่างสงสัยขึ้น “เขามีสารเสพติดอยู่ในร่างกายจริงหรือนี่?”
ส่วนผู้ตรวจที่มีเชื้อสายจีนที่ค่อนข้างอ่อนโยนยื่นบุหรี่มวนหนึ่งให้ฉินสือโอว ตรงนี้ก็เหมือนเป็นหลุมพรางอีกอย่างหนึ่งซึ่งก็คือ ในระหว่างการตีสนิทโดยการยื่นบุหรี่ให้ของคนจีนนั้น ที่จริงแล้วทำให้สามารถดูจากท่าทางการรับบุหรี่ของคนคนนั้นได้ว่าเป็นนักสูบมานานเท่าไรแล้ว
เพราะอย่างที่ทุกคนรู้ พวกเล่นยาส่วนมากก็เป็นนักสูบบุหรี่ด้วยกันทั้งนั้น
และก็ทำให้พวกเขาผิดหวังไปตามๆ กัน เพราะฉินสือโอวผลักออกทันที และพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ขอโทษนะ ผมสูบแต่ซิการ์คิวบา อย่างอื่นไม่แตะ”
จากนั้นผู้ตรวจที่มีเชื้อสายจีนก็หัวเราะอย่างอารมณ์ดีขึ้น และจุดบุหรี่สูบเองแล้วพูดขึ้น “คุณผู้ชายอย่าขัดแย้งกับพวกเราขนาดนั้นเลย พวกเราก็แค่ทำตามหน้าที่เพื่อให้ประเทศมีความพัฒนาก้าวหน้าขึ้นกว่าเดิม และตอนนี้ดูเหมือนว่าตัวคุณจะมีปัญหา แน่นอน ผมไม่ได้บอกว่าร่างกายคุณมีปัญหาอะไร แต่เป็นไปได้ไหมว่าคุณสัมผัสกับอะไรที่เสพยาเป็นปกติอยู่แล้ว? คุณลองนึกดูสักหน่อยสิ ว่ามีคนงานคนไหนน่าสงสัยไหม”
จากนั้นผู้ตรวจอีกคนก็พูดเสริมขึ้นมา “ใช่แล้วล่ะ คุณผู้ชาย คุณลองคิดดูดีๆ แล้วพูดออกมาได้เลยไม่ต้องกลัว ที่นี่มีแต่พวกเรา ไม่มีปัญหาอะไรแน่นอน”
ถ้าตามปกติ ฉินสือโอวก็คงจะอธิบายดีๆ ไปแล้ว แต่นี่ต้องมีการเข้าใจผิดแน่นอน แต่วันนี้ดูเหมือนจะไม่ได้ เพราะครอบครัวของเขาที่อยู่ดีๆ ก็ต้องมาโดนก่อกวนแบบนี้ ไหนจะพ่อแม่ของเขาที่ต้องขายหน้า
เรื่องของเรื่องก็คือ ฉินสือโอวคิดไปถึงว่าถ้าเกิดมีคดีบ้าบอพวกนี้ขึ้นมา ต่อไปถ้าคิดอยากจะให้พ่อแม่ของเขามาที่แคนาดาอีกก็คงเป็นแค่ฝันไป นอกซะจากว่าเขาและวินนี่แต่งงานกันและวินนี่มีลูก แล้วให้พวกเขามาดูแลหลาน
แต่ดูๆ แล้ว ทั้งสองอย่างต่างก็เป็นเรื่องที่ไม่น่าเป็นไปได้
อย่างนี้ฉินสือโอวเลยจำเป็นต้องไม่ไว้หน้าคนพวกนี้ พอได้ยินคำถามของผู้ตรวจสองคน เขาจึงหยิบบัตรอเมริกันเอ็กซ์เพรสที่ไม่เคยให้เจ้าหน้าที่ดูออกมา เสร็จแล้วก็โยนเข้าไปในวงนั้นแล้วพูดขึ้น “ปกติผมคบค้าสมาคมกับคนประเภทนี้แหละ ถ้าผมบอกชื่อไป พวกคุณจะกล้าไปจับเขาไหมล่ะ?”
ทั้งผู้ตรวจและพนักงานรักษาความปลอดภัยต่างก็ไม่เคยเห็นบัตรอเมริกันเอ็กซ์เพรสในสภาพความเป็นจริงมาก่อน แต่ถึงจะไม่เคยกินเนื้อหมูก็ยังเคยเห็นหมูหนีมาก่อน และยิ่งไปกว่านั้นบนบัตรยังมีตัวหนังสือเขียนว่า ‘อเมริกันเอ็กซ์เพรส’ ถ้าพวกเขายังไม่รู้ถึงสถานะของบัตรนี้ ก็แสดงให้เห็นว่าพวกเขามีความรู้เท่าหางอึ่งแค่นั้น
ครั้งนี้บัตรอเมริกันเอ็กซ์เพรสก็ทำให้อึดอัดแล้วขึ้นมาบ้าง เพราะผู้ตรวจและพวกพนักงานเริ่มมีท่าทีเปลี่ยนเป็นเคารพนบนอบมากขึ้นแต่ก็ยังไม่ปล่อยเขาไปอยู่ดี ส่วนผู้ตรวจที่มีเชื้อสายจีนก็ถามขึ้น “ปกติคุณสูบบุหรี่ไหม? แล้วรู้จักกัญชาอะไรพวกนั้นไหม?”
“รอคุยกับทนายผมแล้วกันนะ” ฉินสือโอวยิ้มอย่างเย็นชา
ทนายมาเร็วกว่าที่ฉินสือโอวคาดการณ์ไว้ซะอีก เขาพูดจบลงไม่นานก็มีคนเคาะประตูจากข้างนอก ชายผิวขาววัยกลางคนพร้อมกับแต่งตัวด้วยชุดสูบกลีบเรียบเปิดประตูเดินเข้ามา พร้อมกับหยิบใบรับรองออกมาและพูดขึ้น “จอน คาร์เตอร์ จากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ผมต้องการพบลูกความ คุณฉินสือโอว”
ฉินสือโอวพยักหน้า และชายผิวขาววัยกลางคนก็เข้ามาจับมือกับเขาและอธิบายขึ้น “ผมคือคนที่คุณเออร์บักส่งมา เดี๋ยวอีกสักหน่อยเขาก็ถึง ส่วนผมมาดูก่อนว่าคุณได้รับสวัสดิการที่ไม่เท่าเทียมหรือเปล่า”
“ผมโดนเหยียดชาติพันธุ์” ฉินสือโอวรีบพูดออกไป และประโยคนี้เมื่ออยู่ต่อหน้าคนขาวจะมีประโยชน์มากที่สุด
จากนั้นพวกผู้ตรวจก็เริ่มร้อนใจขึ้นมา พวกเขาไม่กลัวบริษัทอเมริกันเอ็กซ์เพรส เพราะพวกเขาเป็นผู้รักษากฎหมายของแคนาดา แต่ที่พวกเขากลัวคือสำนักงานทนายความของแคนาดา โดยเฉพาะสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์แห่งศาลแพ่งอันเลื่องชื่อในแคนาดา
ผู้ตรวจเลยเปิดคอมให้ทนายดูวิดีโอกล้องวงจรปิดในตอนนั้น และอธิบายขึ้นว่า “ดูสิครับ สุนัขตำรวจของทางเราพบสิ่งผิดปกติ งั้นก็แสดงว่าต้องมีอะไรผิดปกติแน่นอน เพราะตั้งแต่มันออกมาจากการฝึกมันก็ไม่เคยดมผิดมาก่อนเลย…”
ส่วนทนายคนนั้นก็พูดแทรกขึ้นมาอย่างเย็นชาว่า “ดูท่าว่าตรรกะของคุณนั่นแหละครับที่มีปัญหา ไม่เคยผิดพลาดมาก่อนก็ไม่ใช่ว่าจะผิดพลาดไม่ได้ อีกอย่าง ขนาดคนที่ฉลาดก็ยังผิดพลาดได้ แล้วนับประสาอะไรกับสุนัขตัวหนึ่ง? และดูจากในคลิปวิดีโอ สุนัขตัวนี้ก็ไปวิ่งวนคนขาวตั้งหลายร้อยคน แต่พวกคุณก็ไม่ได้สนใจอะไรคนพวกนั้น จะมีก็แต่มาจับกุมลูกความของผม นั่นก็แสดงให้เห็นว่านี่เป็นการเหยียดชาติพันธุ์”
แคนาดาก็เหมือนกับอเมริกา ตรงที่มีกฎหมายเข้มงวดกับเรื่องเหยียดชาติพันธุ์ โดยเฉพาะพนักงานราชการ ถ้าเข้าไปพัวพันกับคดีนี้ก็สามารถตกงานได้อย่างแน่นอน
จากนั้นพนักงานตรวจสอบก็อดไม่ได้ที่จะไปขอความช่วยเหลือจากฉินสือโอวให้รีบเข้าไปชี้แจงกับทนายที่กำลังปะทะคารมอย่างดุเดือดขึ้น ผ่านไปสักพักก็มีเสียงเคาะประตูจากข้างนอก พร้อมกับมีผู้ชายสองคนในชุดสูทรองเท้าหนังเดินเข้ามา
“ทนายประจำฝ่ายกฎหมายของบริษัทจัดประมูลริชชี่ครับ กเราต้องการพบกับลูกความของเรา คุณฉินสือโอว”
ทันใดนั้นเองหน้าผากของพวกผู้ตรวจก็เต็มไปด้วยเหงื่อ และฉินสือโอวก็หันไปมองพวกเขาอย่างเย็นชา จากนั้นก็ยักไหล่แล้วพูดขึ้น “ยังจะต้องสอบสวนผมอีกไหม? ถ้าไม่สอบสวนอะไรอีกแล้ว ผมก็จะไปหาพ่อแม่และครอบครัวผม ตอนนี้พวกเขาคงกลัวกันตัวสั่นไปหมดแล้ว”
“สุนัขตรวจจับยาเสพติดของพวกเราไม่มีทางไปก่อกวนคนบริสุทธิ์โดยไม่มีเหตุผล!” ผู้ตรวจที่รับผิดชอบจูงแลบราดอร์ริทรีฟเวอร์ก็พูดออกมาอย่างยึดมั่น
ฉินสือโอวนิ่งไปพักหนึ่ง เขามองไปยังหมาแลบราดอร์ริทรีฟเวอร์ที่กำลังวิ่งวนเขาแล้วพูดขึ้นว่า “หมาตัวนี้เป็นตัวเมียใช่ไหม?”
ส่วนผู้ตรวจที่ไม่รู้ว่าเขาคิดจะพูดเรื่องอะไรอยู่ เลยพยักหน้าแบบไม่ค่อยมีแรง และพูดพึมพำขึ้นว่า “เป็นไปไม่ได้ รอสของพวกเราจะผิดแบบนี้ได้เหรอ? มันที่เอาแต่วิ่งรอบตัวคุณ ถ้าคุณไม่ได้มีปัญหาอะไร มันก็คงจะไม่ทำอย่างนี้”
แต่ฉินสือโอวรู้ว่าที่จริงแล้วมันเกิดอะไรขึ้น เพราะเขาเล่นกับหู่จือและเป้าจืออยู่ทุกวัน บนตัวเขาก็เลยมีกลิ่นอายของเจ้าสองตัวนี้อยู่ กลิ่นอายแบบนี้ถ้าสำหรับมนุษย์แล้วจะไม่ได้กลิ่น และถ้าพูดถึงแลบราดอร์ริทรีฟเวอร์ที่ขึ้นชื่อในเรื่องความรู้สึกไวในการได้กลิ่น และกลิ่นของหู่จือกับเป้าจือชัดเจนมาก
โดยเฉพาะในฤดูใบไม้ร่วงจะเป็นฤดูติดสัดของแลบราดอร์ริทรีฟเวอร์…
พอรู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น ฉินสือโอวก็โมโหจนโดนความรู้สึกที่ทำหน้าไม่ถูกเข้าปกคลุมในทันที
จะโกรธยังไง? และจะโกรธใคร? กับหมาแลบราดอร์ริทรีฟเวอร์ที่อยู่ในช่วงติดสัด? หรือจะโมโหอย่างไรกับหมาตัวหนึ่ง? หรือจะโมโหใส่ผู้ตรวจ? แล้วผู้ตรวจสองคนนั้นทำผิดอะไร? ความผิดหนึ่งเดียวของพวกเขาก็คือการเชื่อในหมาของตัวเองที่เลี้ยงมา
แต่ถ้าฉินสือโอวยอมยกโทษให้ทางสนามบิน เห็นทีจะไม่ได้ เพราะว่าคนที่ได้รับผลกระทบคือพ่อและแม่ของเขา อีกทั้งเขาก็ไม่ได้เป็นนักบุญที่เอะอะก็จะยกโทษให้คนอื่น?
แต่ฉินสือโอวก็ไม่ได้ทำอะไรที่เกินไป เขาหยิบรูปหนึ่งใบออกมาจากในกระเป๋าเงิน ซึ่งเป็นรูปคู่ของเขากับหู่จือและเป้าจือ ยื่นให้ผู้ตรวจคนหนึ่งแล้วพูดขึ้น “ผมมีหมาอันเป็นที่รักอยู่สองตัว เป็นแลบราดอร์ริทรีฟเวอร์ที่มีนิสัยกล้าหาญทั้งสองตัว ซึ่งผมเล่นกับมันเป็นปกติอยู่แล้ว ไม่รู้ว่าจะเป็นเพราะเหตุผลนี้หรือเปล่า”
พอเห็นรูปนักสู้ม้าพันธุ์ดีอย่างหู่จือและเป้าจือ ผู้ตรวจทั้งสองก็มีสีหน้าท่าทางกลืนแบบไม่เข้าคายไม่ออก ฉินสือโอวเลยถอดเสื้อของเขาและโยนไปด้านข้าง ส่วนสุนัขจับยาเสพติดตัวนั้นก็วิ่งตามเข้ามาหาเสื้อ และก้มหัวลงดม
และทุกอย่างก็ถูกเปิดเผย จากนั้นฉินสือโอวก็เข้าไปเก็บและเดินจากไป พนักงานรักษาความปลอดภัยก็เปิดทางให้ และทนายคนหนึ่งก็ถามขึ้น “คุณฉิน คุณหมายความว่ายังไง?”
“ผมยังต้องการรักษาสิทธิในการฟ้องร้อง ผมยังยืนยันในความคิดที่ว่าพวกเขาเหยียดเชื้อชาติและบกพร่องต่อหน้าที่ นอกซะจากจะทำให้ผมพอใจ ถ้าไม่อย่างนั้นก็ไปเจอกันที่ศาลได้เลย” ฉินสือโอวทิ้งคำพูดไว้สองประโยค จากนั้นก็เดินจากไปโดยไม่หันหลังกลับ
ออกมาจากห้องทำงานก็รับรู้ถึงความกระวนกระวายใจของพ่อและแม่ ฉินสือโอวเลยอธิบายถึงเรื่องที่เกิดขึ้นให้พวกเขาฟัง วินนี่ได้ฟังก็ขมวดคิ้ว “อะไรนะ เป็นหู่จือและเป้าจือเหรอที่ก่อความวุ่นวายในครั้งนี้? วันนี้ทั้งพ่อและแม่ก็ตกใจกันไปหมด!”
ส่วนพ่อและแม่ของฉินสือโอวไม่ค่อยเชื่อในคำอธิบายนี้ แต่ลูกโดนเจ้าขุนมูลนายออกมาส่งด้วยความเคารพนบน้อม พอพวกเขาได้เห็นกับตาก็รู้สึกสงสัย แต่ก็ทำได้เพียงเก็บไว้ในใจ
พอออกจากสนามบินฉินสือโอวก็พาครอบครัวไปพักที่โรงแรม เขาให้ที่อยู่กับคนขับรถ แต่สุดท้ายวินนี่ก็เปลี่ยนกะทันหัน จากนั้นรถแท็กซี่ก็เลยจอดและจอดหน้าประตูโรงแรมธรรมดาโรงแรมหนึ่ง ที่ไม่ใช่โรงแรมห้าดาวของโทรอนโต ‘โรงแรมนานาชาติโอเอซิส’
“คุณทำอะไร?”
“ฉันก็ไม่รู้ว่าคุณทำอะไร ตอนนี้พ่อแม่คุณกังวลแทบตายกลัวว่าคุณจะทำธุรกิจผิดกฎหมายที่แคนาดา! และสิ่งที่คุณเตรียมทั้งหมดมันก็ไม่ได้อยู่ในขอบเขตที่พ่อกับแม่ของคุณจะเข้าใจ ถ้ายังไปนอนห้องเพรสซิเดนท์สวีตอีกนะ ฉันกล้าพนันได้เลยว่าพวกท่านต้องเป็นบ้าแน่”
“เวรเอ้ย นึกว่าจะดีแต่กลับพังซะนี่!”
ฉินสือโอวอดไม่ได้ที่จะสบถคำหยาบออกมา เขาบอกกับวินนี่ด้วยความกังวลใจถึงว่าทำไมไม่พูดความจริงกับพ่อและแม่ในตอนแรกที่มาแคนาดา จากนั้นวินนี่แบมือออกแล้วพูดขึ้น “คุณโกหกพ่อแม่ว่ามาทำงานนอกสถานที่ที่แคนาดา จากนั้นก็รับช่วงต่อฟาร์มปลาและของเก่าที่ปู่ทิ้งไว้ให้ ส่วนตอนนี้ก็กลายเป็นผู้มีอิทธิพลเหรอ?”
“ใช่”
“ฉันล่ะไม่เคยเห็นเด็กอย่างคุณโง่ได้ขนาดนี้เลย คุณเป็นลูกของพวกท่านนะ ควรจะพูดความจริงสิ บางทีพวกเขาก็อาจจะมีเป็นห่วงบ้าง แต่พอได้คุยโทรศัพท์กับคุณทุกวัน พวกท่านก็สบายใจขึ้นมาบ้าง โอเค มาพูดกันตอนนี้ก็สายไปแล้ว ไปแก้ไขมันเถอะ”
ฉินสือโอวกลุ้มใจไม่ไหว ที่จริงแล้วทางเลือกในตอนแรกของเขานั้นไม่ผิดเลย เขาที่วางแผนไว้ว่าพอมาถึงแคนาดาก็จะขายฟาร์มปลาและกลับบ้านเกิดไปนั่งกินนอนกินอย่างเดียว ใครจะไปคิดว่าเขาจะได้หัวใจโพไซดอนไว้ในครอบครองล่ะ?
แต่วันนี้ก็ไม่ได้มีแต่เรื่องแย่ไปซะหมด เพราะก่อนหน้านั้นที่วินนี่คอยปลอบใจพ่อแม่พี่สาวและครอบครัวของเขา ทำให้ตอนนี้ความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายรุดหน้าจนสามารถเรียกได้ว่ากลมเกลียว แม่ที่เวลาเรียกวินนี่ก็ใช้คำว่า ‘ลูกสาว’ แทนแล้ว
และวินนี่ก็เลือกได้ไม่ผิด พอเข้ามาในโรงแรมก็เห็นถึงการตกแต่งที่สวยงามและสะอาด จากนั้นพ่อก็ถามว่าราคาเท่าไรก่อนเลยเป็นอันดับแรก
วินนี้เลยพูดขึ้น ห้องเตียงใหญ่หนึ่งห้องแค่แปดสิบห้าหยวน พ่อเลยถอนหายใจและพูดขึ้น “ราคายังถือว่าถูกมาก”
ฉินสือโอวเลยยิ้มอย่างเคอะเขิน และคิดว่าถ้าเขายังจะไปพักห้องเพรสซิเดนท์สวีตสามพันแปดร้อยดอลลาร์แคนาดาต่อคืนตามที่วางแผนเอาไว้ พ่อแม่ของเขาต้องตกใจแน่ๆ
…………………………………
บทที่ 335 มาสัมผัสโทรอนโต
โดย
Ink Stone_Fantasy
เมื่อเข้าสู่ที่พัก พ่อแม่ของฉินสือโอวก็ถามว่าทำไมไม่กลับบ้านเลย ฉินสือโอวเลยพูดอธิบายว่ายังต้องเปลี่ยนเครื่องอีก เพราะบินมาแล้วสิบสองสิบสามชั่วโมงหาโรงแรมพักสักหน่อย พรุ่งนี้หรือมะรืนนี้ค่อยกลับไปเกาะแฟร์เวล
“เฮ้ย นอนบนเครื่องบนก็ไม่เหนื่อยเท่าไร พวกเราไม่ต้องนอนโรงแรมกันก็ได้ กลับบ้านกันก่อนเถอะ” พ่อของฉินสือโอวยังทำใจไม่ได้ที่จะเสียเงินไปกับสามห้องของเจ็ดคน
แม่ของฉินสือโอวมองไปยังวินนี่ แล้วก็พูดจัดแจงออกมา “คุณอย่าคิดถึงแต่ตัวเองสิ ยังมีเด็กน้อยเสี่ยวฮุยอยู่นะ พักที่นี่ก่อนสักหน่อยแล้วเดี๋ยวสักพักออกไปเดินเล่นกัน นี่พวกเราออกมาต่างประเทศกันเลยนะ”
เธอกังวลว่าทางครอบครัวของเธอจะแสดงความขี้งกเกินไปจนทำให้โดนครอบครัวของวินนี่ดูถูกเอาได้
วินนี่ที่กำลังยุ่งอยู่กับการไปรับคีย์การ์ด พอเห็นแม่ของฉินสือโอวกำลังมองตัวเองอยู่ก็ยิ้มหวานกลับไป
ส่วนฉินสือโอวก็ไปลูบหัวเสี่ยวฮุยแล้วถามว่า “นั่งเครื่องบินสนุกไหม?”
เสี่ยวฮุยหัวเราะแล้วตอบกลับ “สนุกมากครับ มีเกมเล่น มีทีวีดู แล้วก็ป้าแอร์โฮสเตสที่ขี้เหร่มาก”
พี่สาวเลยตีเสี่ยวฮุยเบาๆ ไปหนึ่งที และแกล้งทำเป็นโกรธแล้วพูดขึ้น “พูดอะไรไร้สาระ”
เสี่ยวฮุยที่ดูจะน้อยใจมากจึงถอนหายใจออกมาเหมือนผู้ใหญ่และพูดว่า “นั่นพ่อพูด ไม่ใช่ผมพูด”
ส่วนทางด้านพี่เขยก็ตกใจหน้าถอดสีทันที ไอ้หยา เด็กคนนี้ใส่ร้ายพ่อตัวเอง ทางด้านพี่สาวก็หน้าเปลี่ยนเป็นฉุนเฉียว
พอแบ่งห้องเสร็จ ฉินสือโอวก็ให้พ่อแม่พักผ่อน วินนี่ไปไชน่าทาวน์หาร้านอาหารสำหรับครอบครัวและสั่งอาหารซันตงหนึ่งชุด ทั้งหมดนั้นก็จะมีบะหมี่เย็นรวม ไข่ตุ๋นหอยเชลล์ ผัดผักจานเล็ก แล้วก็พวกซุปที่ใช้ผักเป็นหลัก สุดท้ายเพิ่มปลิงทะเลสับสูตรดั้งเดิมไปอีกหนึ่งจาน
ตอนเที่ยงขณะที่กินข้าวอยู่ที่โถงของโรงแรม มองดูอาหารคาวมากมายที่ดูดีมีฝีมือ พ่อของฉินสือโอวก็พูดขึ้น “ไอ้หยา เงินไม่ใช่น้อยๆ แน่ๆ เจ้าลูกคนนี้ มันจะ…”
“วินนี่จ่ายครับ” ฉินสือโอวพูดขึ้นอย่างไม่ลังเล
“มันจะ…จะรู้ใจคนแก่เกินไปแล้ว ไหนยังจะมีปลิงทะเลมาอีก มา ให้เสี่ยวฮุยกินสักคำ” พ่อของฉินสือโอวรีบเปลี่ยนคำพูดและหัวเราะกลบเกลื่อนทันที
พอพักผ่อนในตอนเที่ยงสักครู่ ในตอนบ่ายฉินสือโอวก็เช่ารถหนึ่งคัน ขับไปเกือบจะรอบเขตเมืองโทรอนโต ส่วนวินนี่ก็หาเที่ยวตามสถานที่ท่องเที่ยวแนะนำสองสามที่ ก่อนที่จะไปตลาดเซนต์ลอว์เรนซ์
ตลาดแห่งนี้ตั้งอยู่ที่เมืองเก่าแก่ ซึ่งในสมัยก่อนจะเป็นสถานที่ที่คนอังกฤษมีรวมตัวกัน และยังสามารถเห็นสถาปัตยกรรมแบบวิคตอเรียสมัยศตวรรษที่สิบเก้ามากมายและดูมีชีวิตชีวามาก
ในเมื่อเป็นตลาด แน่นอนว่าต้องมีจำพวกพ่อค้าเร่ขายของมากมาย ส่วนพ่อแม่ของฉินสือโอวก็เป็นเกษตรกรอยู่แล้วด้วยจึงรู้สึกคุ้นชินกับสถานการณ์แบบนี้ เลยพูดคุยไปรอบๆ อย่างอยากรู้อยากเห็นไม่หยุด
“โอ้ นี่แตงกวาใช่ไหม? ราคาเท่าไรเหรอ? แตงกวาแค่สองหยวน? ถูกกว่าบ้านเราอีก”
“แล้วพริกหยวกอันนี้ทำไมเป็นสีม่วงล่ะ? ยังมีสีน้ำเงิน นี่เป็นผักดัดแปลงพันธุกรรมใช่ไหม?”
“ที่นี่มีรูปวาดขายด้วย? แล้วทำไมไอ้หนวดยาวคนนั้นถึงมาดีดกีตาร์ที่ตลาดผักสดล่ะ? ใช่กีตาร์ไหม?”
พี่สาวที่ทนดูต่อไม่ได้แล้วจึงพูดขึ้น “พ่อ นี่มันปกติมากเลยนะ วินนี่ก็บอกไปแล้วไม่ใช่เหรอว่าจริงๆ ตลาดนี้ก็เป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยว คนที่เป็นศิลปินคนนั้นเป็นคนสร้างที่นี่”
จากนั้นก็มีคนกลุ่มหนึ่งเดินไปทางใต้ของตึกตลาด ที่นี่เป็นสถานที่คึกคักที่สุด ไม่เพียงแต่มีผลไม้ ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับเนื้อสัตว์ และพวกอาหารทะเล แถมยังมีร้านขายของที่ระลึกและร้านขายผลงานศิลปะมากมาย
และฉินสือโอวที่จ่ายไปหนึ่งร้อยห้าสิบหยวนเพื่อให้จิตรกรคนหนึ่งวาดรูปรวมทั้งครอบครัว ก่อนจะไปก็ถ่ายภาพเก็บไว้ หลังจากนั้นจิตรกรก็จับปากกาวาดภาพอย่างเต็มที่ เขาไปเดินเล่นรอบหนึ่งก็กลับมา ภาพวาดสีสดใสก็ปรากฏบนกระดาษวาดภาพขนาดใหญ่
ตั้งแต่ออกมาจากประตูด้านข้างตึกทางเหนือของตลาด วินนี่ก็เริ่มช่วยคนในครอบครัวพาขึ้นไปบนปราสาทคาซ่าโลมาที่มีชื่อเสียงโด่งดัง
นี่คือปราสาทเก่าแก่ที่สุดในแคนาดา มีห้องพักที่ถูกตกแต่งอย่างงดงามทั้งหมดหนึ่งร้อยห้อง ห้องพักทุกห้องมีความประณีตสวยงามและหรูหรา จนทำให้พ่อของฉินสือโอวและคนอื่นๆ ตื่นตาตื่นใจจนพูดไม่ออก
“เมื่อก่อนที่นี่เป็นปราสาทของราชินีอังกฤษเหรอ?” พี่สาวถามด้วยความประหลาดใจ ก่อนจะมาที่แคนาดาเธอรู้เกี่ยวกับประเทศนี้นิดหน่อย รู้แค่ความสัมพันธ์ของแคนาดากับราชวงศ์อังกฤษ
วินนี่ยิ้มและตอบขึ้น “ไม่ใช่ค่ะ มันถูกสร้างขึ้นโดยเฮนรี เพลลัตต์ผู้มีอำนาจทางการเงินของโทรอนโต เพื่อให้เป็นของขวัญแก่ภรรยาของเขา”
จากนั้นพ่อของฉินสือโอวมองไปยังฉินสือโอวและพูดว่า “ไม่รู้ว่าเมื่อไรเสี่ยวโอวของพวกเราจะสามารถให้ของขวัญแบบนี้กับเสี่ยวเวยได้กันนะ”
แล้วแม่ของฉินสือโอวก็หัวเราะขึ้น พี่สาวและพี่เขยก็หัวเราะ เสี่ยวฮุยที่ไม่รู้เรื่องก็ยังหัวเราะตาม ฉินสือโอวก็หัวเราะตามอย่างเป็นธรรมชาติ เขาบีบมือเล็กๆ ของวินนี่และพูดเสียงเบา “ตอนนี้ผมสามารถสร้างปราสาทเก่าแก่แบบนี้ได้จริงๆ แล้วนะ”
“จะทำให้พ่อแม่คุณตกใจตายเหรอ?” วินนี่เอามือปิดปากและแอบหัวเราะ
จากนั้นก็มองไปรอบๆ ด้านหลังคือรถโดยสารที่วิ่งลงไปทางเมืองใต้ดิน ที่นี่เหมาะมากที่จะทำเป็นสถานีสุดท้าย เพราะว่าสามารถนั่งรถเข้าชมได้ไม่ต้องเดินแถมไม่เป็นการลำบากต่อคนแก่อีกด้วย
เมืองใต้ดินยาวถึงยี่สิบเจ็ดกิโลเมตร เชื่อมต่อกับอาคารสำนักงานใหญ่ของโทรอนโตและห้างสรรพสินค้ารวมไปถึงสถานีรถไฟใต้ดิน ซึ่งมีร้านค้าและบริการกว่าหนึ่งพันสองร้อยแห่ง เพราะว่าอยู่ชั้นใต้ดิน ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงอากาศ นอกเสียจากแผ่นดินไหว ไม่เช่นนั้นที่นี่ก็จะสดใสเหมือนตอนกลางวัน ไม่มีลมมีฝน อุณหภูมิเหมาะสม
อาหารเย็นของครอบครัวก็กินที่เมืองใต้ดินเพื่อที่จะระวังกระเพาะอาหารของครอบครัว สิ่งที่กินก็จะเป็นอาหารจีนง่ายๆ มีผักเป็นหลักและมีเนื้อน้อยมาก ถึงแม้ว่าจะมีเนื้อก็เป็นเนื้อปลาและจำพวกอาหารทะเล
และหลังจากช้อปปิ้งเสร็จก็กลับไปถึงโรงแรม ในขณะที่คนในครอบครัวกำลังพูดและหัวเราะ พ่อของฉินสือโอวก็สังเกตเห็นพนักงานต้อนรับมองมาที่ตนและคนอื่นๆ ด้วยสายตาแปลกๆ จึงรีบดึงเสื้อของภรรยาและด้วยเสียงพูดเบาๆ ขึ้น “เบาเสียงหน่อย สำรวมไว้ด้วย ลืมข่าวเกี่ยวกับเพื่อนร่วมชาติเราพวกนั้นที่โดนวิพากษ์วิจารณ์ไปแล้วเหรอ?”
ฉินสือโอวรู้สึกว่าไม่มีอะไร ตรงทางประตูเข้านี้จะพูดคุยกันก็เป็นเรื่องปกติ
เถ้าแก่เนี้ยที่มองพวกเขาอย่างแปลกๆ เล็กน้อย หลังจากนั้นก็หันไปพูดกับสองสามคนที่นั่งอยู่ห้องรับแขก “ที่พวกเธอรอแขกคนจีนอยู่ ใช่พวกเขาหรือเปล่า?”
แล้วสี่ห้าคนนั้นก็รีบลุกขึ้น ส่วนฉินสือโอวแค่มองก็รู้ว่าที่แท้ก็เป็นผู้ตรวจสอบและพนักงานรักษาความปลอดภัยของสนามบินมาเอง
หัวหน้าของพวกเขาคือหญิงผิวขาววัยกลางคน แต่งตัวแฟชั่นราวกับยังสาว เธอยิ้มต้อนรับ พอมองเห็นวินนี่ก็เลยทักทายขึ้นก่อน ส่วนวินนี่ที่พูดขึ้นอย่างประหลาดใจเล็กน้อยว่า “ผอ.แองเจล่า?”
ฉินสือโอวรู้ว่าคนพวกนี้มาประชาสัมพันธ์ แถมยังเข้าใจนิสัยของคนจีนอย่างดี คาดไม่ถึงว่าจะเป็นคนที่คุ้นเคยกัน อีกทั้งหญิงวัยกลางคนคนนี้และวินนี่รู้จักกันอย่างดี
เป็นอย่างที่คิดไว้เลย วินนี่แนะนำว่าหญิงวัยกลางคนคือผอ.ฝ่ายบริการผู้โดยสารของสนามบินนานาชาติโทรอนโตเพียร์สัน
เมื่อมองเห็นคนพวกนี้ โดยเฉพาะพนักงานรักษาความปลอดภัย พ่อและแม่ของฉินสือโอวก็รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาอีกครั้ง ฉินสือโอวยิ้มเย็นๆ ขึ้นหนึ่งที ทันทีหลังจากนั้นประตูลิฟต์ก็เปิดออก เออร์บักก็เดินออกมาทันที
เมื่อได้พบกันแบบตัวต่อตัวโดยตรง ชายแก่ก็หัวเราะฮ่าๆ และพูดขึ้น “ผมกำลังจะไปเปิดห้องพอดีเลย นึกไม่ถึงว่าลงมาจะบังเอิญเจอพวกคุณ”
พูดเสร็จ เขาก็กอดพ่อและแม่ของฉินสือโอวและพูดพอเป็นพิธีไม่กี่ประโยค รวมถึงเรื่องสมัยที่เก็บกวาดสวนผักด้วยกัน จนสุดท้ายก็พูดยินดีต้อนรับสู่แคนาดา
แองเจล่าและพนักงานตรวจสอบคนอื่นๆ รออยู่ด้านนอก สมกับเป็นแอร์โฮสเตส พวกเธอยังสามารถยิ้มอยู่ได้ตลอดซึ่งชัดเจนว่าได้รับการอบรมและสามารถเก็บอารมณ์ได้เป็นอย่างดี
พอทางนี้คุยกันเสร็จแล้ว แองเจล่าก็เริ่มประชาสัมพันธ์ อันดับแรกเลยคือขอโทษหลังจากนั้นก็พูดคุยถึงการชดใช้ค่าเสียหาย เงื่อนไขก็คือขอให้ฉินสือโอวยกเลิกหนังสือฟ้องร้องต่อสนามบินนานาชาติโทรอนโตเพียร์สัน
………………………………………………
บทที่ 336 เข้าใจผิด
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ไปคุยกับทนายผมเถอะ ตอนนี้ฉันเหนื่อยมากแล้ว ให้ทนายผมมาบอกคำตัดสินสุดท้ายก็พอ” ฉินสือโอวยิ้มอย่างมีมารยาท ก่อนจะส่งพ่อแม่และคนอื่นๆ กลับห้อง เหลือไว้เพียงวินนี่กับเออร์บักให้จัดการเรื่องนี้
ที่เขาทำแบบนี้อันที่จริงก็นับว่าเป็นการไว้หน้าคนพวกนี้แล้ว และยังเป็นการให้เกียรติวินนี่อีกด้วย
นี่คือแนวคิดของคนจีน แต่ถ้าเป็นคนพื้นเมืองอเมริกาเหนือโดยปกติแล้ว ถ้าไม่พอใจไม่ว่าจะเป็นใครหน้าไหนก็จะไม่ไว้หน้าทั้งนั้น และถ้านายทำให้ฉันพอใจ ฉันก็จะให้เกียรตินาย
คำตัดสินสุดท้ายออกมาอย่างรวดเร็ว สนามบินออกมากล่าวขอโทษอย่างเป็นทางการ และการขอโทษจะแถลงผ่านโทรอนโตนิวส์ ส่วนผู้ตรวจสอบนั้นได้ออกมาขอโทษต่อหน้า นอกจากนี้ยังจัดการมองบัตรสมาชิกวีไอพีของสายการบินในเครือพันธมิตรสายการบินแคนาดาให้กับฉินสือโอวอีกด้วย
พันธมิตรสายการบินแคนาดาใหญ่เป็นอันดับสองของอเมริกาเหนือ และใหญ่เป็นอันดับที่สี่ของพันธมิตรการขนส่งโลก โดยรวมไปถึงแอร์แคนาดา ทรานสเวตแอร์ แอร์บริติชโคลัมเบีย แอร์ออนแทรีโอแอร์ และอีกหลายๆ สายการบิน เพียงแค่มีบัตรวีไอพีแทบจะทุกที่ในโลกก็สามารถบินไปได้ตามใจปรารถนา และยังสามารถได้รับความเพลิดเพลินกับการเป็นสมาชิกได้อย่างเต็มรูปแบบอีกด้วย
สำหรับเงื่อนไขสิทธิพิเศษที่สนามบินให้นั้น ฉินสือโอวสำรวมนิดหน่อยแล้วถึงตอบรับ อันที่จริงแล้วมันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรแค่ปล่อยผ่านไปก็ได้ ไม่เห็นจำเป็นจะต้องทำให้เป็นเรื่องยากเลย
ตอนที่บินจากท่าอากาศยานนานาชาติเพียร์สันกลับมาเซนต์จอห์น ฉินสือโอวและครอบครัวเขายอมรับคำขอโทษจากผู้ตรวจสอบ ที่น่าสนใจก็คือรอสสุนัขพันธุ์แลบราดอร์ริทรีฟเวอร์ก็มาด้วย มันก้มหัวอย่างมีมารยาท จากนั้นก็อยากที่จะหมุนรอบๆ ฉินสือโอวเป็นอย่างมาก
เห็นได้ชัดว่าหู่จือและเป้าจือมีเสน่ห์อย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ที่สนามบินครั้งนี้ พวกเขาได้รับสิทธิพิเศษจากการเป็นสมาชิก อย่างตอนที่รอเครื่องบินก็ถูกเชิญไปรอที่ห้องเลานจ์วีไอพีแบบส่วนตัว ข้างในเลานจ์นั้นก็มีทั้งเครื่องดื่มและขนม ด้านนอกตรงประตูก็มีแอร์โฮสเตสคอยให้บริการ
พ่อของฉินสือโอวถอนหายใจแล้วตอบพูดขึ้น “มิน่าล่ะ ทำไมตอนนี้พวกคนมีเงินล้วนแต่อยากอพยพไปต่างประเทศ ดูสิ บริการของต่างนี่ดีขนาดไหน อีกทั้งสนามบินของรัฐพอทำผิดแล้วก็รีบมาขอโทษ แล้วยังจะชดเชยดีขนาดนี้กับแกอีก”
ฉินสือโอวก็พูดขึ้นอย่างประหลาดใจ “การบริการของสนามบินมันค่อนข้างดีเกินไปหน่อยไหม?”
เขาเข้าใจถึงนิสัยของคนแคนาดามากกว่าพ่อ ตัวเองต้องมีเหตุผลที่แน่นอนจากนั้นค่อยดำเนินการฟ้องร้อง อย่างที่สนามบินยอมแพ้ก็พอเข้าใจได้ แต่ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องอ่อนข้อให้ขนาดนี้ไหม?
เขาพูดออกมาถึงความรู้สึกสงสัยของเขา จากนั้นเออร์บักก็ยิ้มและพูดขึ้น “ก็มีอยู่สองเหตุผลน่ะนะ หนึ่งคือ บัตรอเมริกันเอ็กซ์เพรสของนายมีอานุภาพมาก พวกเขาคงไม่อยากจะโดนโทษจากนายและยังอยากจะดึงลูกค้าแพลตตินั่มอย่างนายไว้ด้วย สองคือ ฉันเคยฟ้องสนามบินเพียร์สันมาก่อน และแน่นอนว่าพวกเขาคงไม่อยากจะถูกฉันฟ้องเป็นครั้งที่สามแน่”
จากโทรอนโตบินไปเซนต์จอห์นเร็วมาก ใช้เวลาบินขึ้นจนถึงบินลงแค่สองชั่วโมงเอง หลังจากนั้นก็นั่งรถไปที่ท่าเรือ ที่มีเรือยอชต์ทรอลเลอร์จอดรออยู่ที่ท่าเรือแล้ว
ชาร์คและคนอื่นๆ ต่างก็รู้ว่าครอบครัวของฉินสือโอวจะมา ก่อนหน้านี้ที่พวกเขาเคยพูดกันไว้ว่าจะเตรียมการต้อนรับไว้เป็นอย่างดี แต่ฉินสือโอวที่ยุ่งวุ่นวายอยู่กับการรับพ่อแม่เลยไม่ได้สนใจคำพูดของพวกเขา สุดท้ายแล้วพอขึ้นมาบนเรือยอชต์ก็ถึงกับอึ้งไปเลย!
ทั้งเบิร์ดและนีลเซ็นที่สวมชุดสูทดำ รองเท้าหนัง เสื้อเชิ้ตขาวและเนกไทสีดำพร้อมกับสีหน้าไร้ความรู้สึก ยืนเอามือลงข้างลำตัวอยู่ที่ห้องคนขับเหมือนกับบอดี้การ์ดที่ทำเนียบขาว
ฉินสือโอวรีบโบกมือแล้วบอกว่า “ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดลำลองเถอะ นี่พวกนายทำอะไรกันเนี่ย?”
นีลเซ็นถอดแว่นกันแดดออก แล้วพูดอย่างเท่ๆ ว่า “นี่พวกเราไม่ได้เพิ่มรัศมีให้บอสเลยเหรอ?”
คนเมืองแฟร์เวลที่ไม่รู้จักฉินสือโอวก็จะเดาได้ว่าเขาคือผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่น เพราะชาร์คและคนอื่นๆ ก็คิดอย่างนั้น หลังจากนั้นก็ปล่อยให้คิดแบบนั้นไปเรื่อยๆ พวกเขาต้องคิดว่าฉินสือโอวจะต้องมีฐานะทางสังคมที่ยิ่งใหญ่แบบนั้นเป็นแน่ เป็นครอบครัวผู้ดีจากตระกูลที่สูงศักดิ์ และมีเงินมากมายอะไรเทือกนั้น
เพราะอย่างนี้พอฉินสือโอวบอกว่าพ่อแม่ของเขาจะมา ชาร์คและคนอื่นๆ เลยคิดว่าจะต้องดูแลให้เหมือนกับเจ้าพ่อของกลุ่มธุรกิจใหญ่ และเพราะไม่อยากทำให้เจ้านายขายหน้าจึงทุ่มเทความพยายามสุดกำลังเพื่อให้ภาพลักษณ์ของตัวเองออกมาดูดีที่สุด
พอตรงกลับมาถึงคฤหาสน์ เออร์บักก็ได้จัดเตรียมห้องไว้ให้เรียบร้อยแล้ว ส่วนพาวลิสและคนอื่นๆ รออยู่หน้าประตูคฤหาสน์ แสดงความเคารพ พร้อมกับสวมชุดแบบทางการ เด็กผู้ชายสามคนสวมชุดสูทกันทุกคน ส่วนเชอร์ลี่ย์สวมกระโปรงเจ้าหญิงสีขาวราวกับหิมะ
ส่วนชาร์ค ซีมอนสเตอร์และนีลเซ็นก็เหมือนกัน ชุดสูทสีดำที่ถูกรีดเรียบจนกลีบโง้ง รองเท้าหนังสีดำที่ขัดจนเงาวับ และภายในบ้านยังมีเจ้าตัวน้อยที่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แค่ดูรู้สึกซื่อๆ ว่าข้างล่างมีอะไรผิดปกติ หู่จือและเป้าจือที่หมอบอยู่หน้าประตู และฉงต้าที่แอบอยู่หลังโซฟาชะโงกหัวเยี่ยมๆ มองๆ
ฉินสือโอวเหมือนโดนฟ้าผ่า ส่วนวินนี่ถึงกับพูดไม่ออกบอกไม่ถูกแล้วพาเด็กๆ ไปเปลี่ยนเสื้อผ้า พ่อแม่ฉินสือโอวเลยถามขึ้นอย่างสงสัย “เสี่ยวโอว ปกติคนแคนาดาเขาแต่งตัวเป็นทางการแบบนี้กันเหรอ?”
“พวกเขาท่าจะเพี้ยนไปแล้ว” ฉินสือโอวยิ้มเจื่อนๆ ตอบ
ส่วนหู่จือและเป้าจือก็วิ่งมาต้อนรับอย่างฉลาด พวกมันทำคิ้วตกเปิดโหมดแอ๊บแบ๊ว แต่พ่อแม่ของฉินสือโอวที่โดนหมาพันธุ์นี้ขู่ตอนอยู่ที่สนามบิน พอเห็นพวกมันกำลังวิ่งเข้ามาพวกเขาก็ถึงกับรีบถอยกลับอย่างทันที
หู่จือและเป้าจือที่ไม่ได้ทำอะไรผิดเงยหน้าขึ้นมองฉินสือโอว ขนาดเปิดโหมดแอ๊บแบ๊วแล้วถึงใช้ไม่ได้ผล?
และตอนนี้ที่ฉงต้าเห็นคนแปลกหน้าจึงค่อนข้างระมัดระวัง เพราะไม่ว่าจะเป็นอีวิลสันหรือนีลเซ็นตอนที่เห็นมันครั้งแรกต่างก็เคยทุบตีมันมาก่อน ดังนั้นมันจึงต้องหลบอยู่หลังโซฟาไม่ออกมาวิ่งเพ่นพ่าน
แต่สุดท้ายเสี่ยวฮุยก็มาเจอมันเข้า เขาชี้ไปที่มันแล้วร้องออกมาอย่างดีใจว่า “แม่มาดูนี่เร็ว หมี ตรงนั้นมีหมีด้วย!”
ก่อนหน้านี้ตอนที่วิดีโอคอลกับฉินสือโอว แม่ของฉินสือโอวก็เคยเห็นหมีตัวนี้มาก่อน แต่ก็รู้สึกประหลาดใจอยู่มากที่ตอนนี้ได้มาเห็นตัวเป็นๆ ก็น่าสนใจยิ่งกว่าเดิม พวกเขารู้ว่าหมีนี้อ่อนแอและไม่กัดคน
ไม่เพียงแต่ไม่กัดคน แต่พอเห็นคนแปลกหน้ามาล้อมรอบตัวเอง ฉงต้าก็แทบจะฉี่ราด มันนึกว่าจะถูกตีอีก มันจึงรีบปีนขึ้นไปเพื่อหนี
เสี่ยวฮุยทำหน้าน้อยใจ “เจ้าหมีทำไมหนีไปแล้วล่ะ?”
ฉินสือโอวทั้งด่าเจ้านี่ในเวลาสำคัญกลับทำโซ่หลุดซะได้ ทั้งตามมันขึ้นไปเพื่อฉุดกรงเล็บอ้วนๆ ของมันลงมา หน้าของฉงต้าแสดงถึงความไม่เต็มใจ ทั้งคำรามโฮกๆ อยู่ในลำคอและยังคิดหนีอยู่ทุกวิถีทาง
วินนี่ถือกะละมังใส่สลัดผลไม้ออกจากห้องครัวมาให้เสี่ยวฮุย จากนั้นแต่ละคนที่ถือคนละชิ้นอยู่ในมือก็ผลัดกันป้อนฉงต้า เพราะอย่างนี้ฉงต้าเลยไม่หนีแล้ว แถมมันยังเงยหน้ากินอย่างพริ้มอกพริ้มใจ
“หมีตัวนี้ของแกเล่นด้วยแล้วสนุกจริงๆ นะ ว่าแต่การเลี้ยงหมีที่แคนาดาไม่ถือว่าผิดกฎหมายเหรอ?” พ่อของฉินสือโอวพูดอย่างยิ้มแย้ม เขาลูกหัวฉงต้าอย่างระมัดระวัง จนสุดท้ายฉงต้าไม่ต่อต้านแล้ว ส่วนเขาก็ให้มัน
วินนี่เลยช่วยอธิบาย “ถ้าอยู่ในเขตเมือง สัตว์พวกหมีสีน้ำตาลกับบูลด็อกจะไม่อนุญาตให้เลี้ยง แต่ถ้าแถวชนบทขอเพียงควบคุมไม่ให้สัตว์ไปทำร้ายคน ก็เลยเลี้ยงหมีได้ไม่มีปัญหาค่ะ”
ทางฝั่งของเชอร์ลี่ย์และคนอื่นๆ ที่ไม่กล้าเดินลงมา ฉินสือโอวเลยแนะนำให้พวกเขารู้จักกัน ส่วนพ่อแม่ของฉินสือโอวที่รู้ว่าเป็นหลานชายหลานสาวของเออร์บักก็ดีใจมาก และรีบหยิบของขวัญที่เตรียมไว้มาแจกให้ตามลำดับ
คนแก่ทุกคนก็เหมือนๆ กันหมด ชอบที่บ้านมีคนเยอะๆ บรรยากาศคึกคัก คฤหาสน์ที่ใหญ่อย่างนี้มีเด็กสี่คนพอเพิ่มเสี่ยวฮุยเข้าไปในวงด้วย พวกเขาก็มีความสุขมาก
มิตรภาพระหว่างเด็กมักจะเกิดขึ้นได้อย่างง่ายๆ อีกทั้งอุปสรรคการสื่อสารระหว่างพวกเขาก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ เพราะเด็กๆ ทั้งสี่คนเรียนรู้การพูดภาษาจีนกับฉินสือโอวมาโดยตลอด ถ้าบทสนทนาง่ายๆ ก็ไม่มีปัญหา อย่างนี้เลยทำให้เด็กๆ ทั้งห้าคนสื่อสารระหว่างกันด้วยประโยคง่ายๆ และสามารถเข้าใจความหมายของแต่ละฝ่ายจะที่สื่อสารได้อย่างชัดเจน
จากนั้นพาวลิสก็ได้นำเสนอซีบิสกิตของเขา และเชิญให้เสี่ยวฮุยขึ้นไปนั่ง
เสี่ยวฮุยที่ค่อนข้างเป็นคนเก็บตัว ซึ่งบางทีก็เหมือนกับเด็กผู้หญิง พอได้รับการเชิญชวนเลยตัดสินใจด้วยตัวเองไม่ได้ จึงมองไปยังพี่สาวของฉินสือโอว
พี่สาวโบกมือและพูดว่า “ไปเล่นเถอะ แต่ระวังอย่าให้บาดเจ็บนะ”
พอได้รับคำสั่งจากพี่สาว เสี่ยวฮุยก็เหมือนกับขันทีที่ได้รับพระราชโองการ บวกกับสีหน้าแสดงออกถึงความดีอกดีใจและรีบปีนขึ้นไปบนรถเอทีวี
……………………………………………
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น