กระบี่จงมา 327.1-328.2

 บทที่ 327.1 ในตรอกเล็ก

ProjectZyphon

ตอนที่เฉินผิงอันตื่นขึ้นมาก็เป็นช่วงเวลาที่ดวงจันท์ลอยขึ้นเหนือศีรษะแล้ว บางทีอาจเป็นเพราะตนพกทั้งดาบทั้งกระบี่ เจ้าของร้านจึงไม่กล้าไล่เขา ฝืนใจปล่อยให้จอมยุทธ์ที่ยืนอยู่ในโถส้วมแต่ไม่ยอมขี้ผู้นี้อยู่ในร้านต่อไป เฉินผิงอันจึงมอบเงินให้เขาเพิ่ม ลาภก้อนใหญ่ร่วงลงมาจากท้องฟ้า เถ้าแก่ผู้เฒ่าย่อมต้องอารมณ์ดีมากอยู่แล้ว เฉินผิงอันเดินกลับไปทางตรอกจ้วงหยวนช้าๆ กิจการของหอโคมเขียวซบเซา เหล่าสาวงามที่อยู่ว่างไม่มีอะไรทำฟุบตัวอยู่บนราวระเบียงอย่างเกียจคร้าน เฉินผิงอันเงยหน้ามองแวบหนึ่งก็สังเกตเห็นว่าหญิงสาวเหล่านั้นประทินโฉมกันน้อยลงกว่าเดิมเยอะมาก แต่เมื่อเทียบกับการแต่งหน้าหนาๆ อย่างในอดีตแล้ว ดูเหมือนตอนนี้จะดูดีกว่า


ตลอดทางมีหญิงสาวมากมายที่อยู่บนหอส่งเสียงหยอกเย้าเกี้ยวพา และยังมีหญิงสาวคนหนึ่งที่ถึงกับโยนผ้าเช็ดหน้ามาให้เฉินผิงอันโดยตรง แถมยังตะโกนเสียงดังว่า “คุณชายน้อยผู้หล่อเหลา ขึ้นมานั่งเล่นข้างบนหน่อยไหม พี่สาวจะเลี้ยงน้ำชาเจ้าเอง มานั่งบนตักพี่สาวนี่เป็นไง”


คนในหอโคมเขียวที่นางอยู่และหญิงคณิกาในบริเวณใกล้เคียงต่างก็ช่วยกันผสมโรง คำพูดหยาบโลนมีมาให้ได้ยินไม่ขาดสาย เฉินผิงอันหลบผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นมาได้อย่างง่ายดาย แต่ยังหันกลับไปมองผ้าเช็ดหน้าที่ร่วงตกพื้นแวบหนึ่ง ก่อนจะหันกลับไปหยิบขึ้นมา ม้วนเป็นก้อนโยนไปให้หญิงสาวคนนั้นเบาๆ พวกหญิงสาวบนหอโคมเขียวพากันเงียบเสียงลงก่อน จากนั้นก็หัวเราะครืนเสียงดัง


จิตใจของเฉินผิงอันนิ่งสนิทดุจน้ำนิ่ง เขาเดินกลับเข้าไปในตรอกเส้นนั้น ตรงหัวมุมมีชายหนึ่งหญิงหนึ่งที่สวมชุดของชาวบ้านธรรมดายืนอยู่ อายุไม่มาก ยังไม่ถึงสามสิบปี แต่ลมหายใจกลับหนักแน่นมั่นคงและทอดยาว เมื่ออยู่ในใต้หล้าอย่างพื้นที่มงคลดอกบัวแห่งนี้น่าจะถือว่าเป็นยอดฝีมืออายุน้อยที่พรสวรรค์ดี และปูพื้นฐานมาดี แน่นอนว่าเมื่อเทียบกับคนมีพรสวรรค์อย่างใบหน้ายิ้ม หนุ่มปักบุปผาโจวซื่อแล้วยังถือว่าห่างชั้นอยู่มาก


คนทั้งสองบอกชื่อแซ่แนะนำตัว พวกเขาคือสายลับในเมืองหลวงที่ราชครูจ้งชิวเป็นผู้ดูแล ชายหนุ่มมอบห่อสัมภาระสองห่อให้แก่เฉินผิงอัน ด้านในบรรจุตำราที่พวกเขาขโมยมาจากร้านขายหนังสือในบริเวณใกล้เคียง และยังมีอีกส่วนหนึ่งที่เป็นตำราเกี่ยวกับการสร้างสะพานซึ่งเลือกมาจากที่ว่าการกรมโยธา ส่วนหญิงสาวส่งเอกสารลับฉบับหนึ่งให้เฉินผิงอัน เป็นเอกสารที่เกี่ยวข้องกับบัณฑิตแซ่เจี่ยงและสตรีอุ้มผีผา


เฉินผิงอันสังเกตเห็นว่าไม่ว่าจะเป็นฝ่ายชายหรือฝ่ายหญิง ตอนที่ทั้งสองมอบของให้กับตน ไม่ว่าจะเป็นสภาพจิตใจหรือมือทั้งคู่ของพวกเขาต่างก็ไม่มั่นคง


เฉินผิงอันจึงคลี่ยิ้มให้พวกเขา หลังจากเอ่ยขอบคุณแล้วก็เดินไปทางบ้านของเฉาฉิงหล่าง


สังหารหม่าเซวียนจินกังชมพูกับสตรีอุ้มผีผาตายคาที่ หลังจากนั้นก็เกือบจะสังหารลู่ฝ่างจากยอดเขาเหนี่ยวคั่น เอาชนะราชครูจ้งชิว  สุดท้ายปลิดชีพติงอิงเจ้าลัทธิไท่ซ่างของลัทธิมารได้


สำหรับสายลับแคว้นหนันเยวี่ยนที่ท่องไปทั่วราชสำนักและยุทธภพแล้ว ก็เหมือนตอนนั้นที่แม่ทัพผู้เฒ่าลวี่เซียวอยู่บนหัวกำแพงเมือง พอได้เห็นศึกสุดยอดระหว่างอวี๋เจินอี้และนักพรตหญิงหวงถิงแล้วก็อดพูดอย่างสะท้อนใจประโยคหนึ่งไม่ได้ว่า ‘สมกับเป็นเทพเซียนจริงๆ’ ทุกวันนี้เฉินผิงอันที่อยู่ในใต้หล้าแห่งนี้ยังเหนือกว่าติงอิงในช่วงเวลาที่รุ่งโรจน์ที่สุดด้วยซ้ำ


รอจนเฉินผิงอันเดินช้าๆ ไปถึงหน้าประตูบ้าน ผลักประตูเข้าไป หญิงสาวที่อายุน้อยถึงได้สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ที่แท้นางก็กลั้นหายใจเอาไว้ตลอดเวลา นางพูดเสียงแผ่วเบาว่า “ที่แท้เขายังหนุ่มอยู่มากจริงๆ”


บุรุษผู้นั้นรู้สึกจนใจเล็กน้อยจึงไม่ได้พูดอะไร


นางเอ่ยยิ้มๆ ว่า “หน้าตาดีจริงๆ”


กล่าวจบ แม้แต่ตัวเองก็ยังรู้สึกเขินอาย


และเวลานี้เอง คนผู้นั้นพลันถอยออกมาจากลานบ้าน เอนตัวมาด้านหลัง ชูนิ้วโป้งให้หญิงสาว พูดพร้อมยิ้มบางๆ ว่า “สายตาดี”


หญิงสาวคนนั้นอึ้งงันเป็นไก่ไม้ ต่อให้เป็นชายหนุ่มที่พูดไม่เก่งก็ยังรู้สึกทำตัวไม่ถูกอยู่บ้าง


รอจนประตูปิดลงเบาๆ แล้ว หญิงสาวพลันยกมือปิดหน้า กระทืบเท้าแรงๆ หนึ่งที


บุรุษถอนหายใจ อันที่จริงเวลาปกตินางไม่เคยทำตัวโง่งมแบบนี้ เจ็ดปีที่ทำหน้าที่เป็นสายลับมา นางเชี่ยวชาญการอำพรางตัว อีกทั้งยังเป็นคนสุขุมและรอบคอบมาโดยตลอด สร้างคุณความดีให้แก่ราชสำนักหนันเยวี่ยนมากมาย แม้แต่ราชครูจ้งก็ยังโปรดปรานนาง ครั้งนี้คนทั้งสองทำหน้าที่รับผิดชอบจับตามองถังเถี่ยอี้แม่ทัพใหญ่แห่งหลงอู่แคว้นเป่ยจิ้น นี่มากพอจะแสดงให้เห็นถึงความเชื่อใจที่จ้งชิวมีต่อพวกเขา


ในลานบ้าน เฉาฉิงหล่างและเด็กหญิงที่ยังไม่รู้ชื่อแซ่นั่งอยู่บนม้านั่งตัวเล็ก คนวัยเดียวกันทั้งสองคนไม่ได้พูดคุยอะไรกัน เด็กหญิงกำลังแทะเมล็ดแตง น่าจะขอมาจากเฉาฉิงหล่าง เปลือกเมล็ดแตงถูกนางโยนไปทั่วพื้น พอเห็นเฉินผิงอัน นางก็ลนลานเล็กน้อย พอเฉินผิงอันชำเลืองตามองพื้นบ้าน นางก็รีบเก็บเมล็ดแตงในมือใส่กระเป๋าเสื้อ จากนั้นก็เริ่มเก็บกวาดเมล็ดแตงพวกนั้น


หลังจากทักทายเฉาฉิงหล่างแล้ว เฉินผิงอันก็เข้าไปในห้อง จุดตะเกียงน้ำมัน เปิดห่อสัมภาระทั้งสองห่อออก หนังสือทั้งหมดที่ถูกเด็กหญิงขโมยไปขายไร้ซึ่งความเสียหาย เขาเอากลับมาวางเรียงลงบนโต๊ะอีกครั้ง ส่วนตำราที่ได้มาจากที่ว่าการกรมโยธาถูกวางไว้อีกด้าน ภูเขาหนังสือสองลูกเล็ก หนึ่งซ้ายหนึ่งขวา ประหนึ่งเทพทวารบาลที่เฝ้าพิทักษ์ประตู เฉินผิงอันเปิดจดหมายลับฉบับนั้นออก ด้านในบันทึกเรื่องราวในอดีตของทั้งบัณฑิตเจี่ยงและสตรีอุ้มผีผา


เฉินผิงอันพับจดหมายสอดใส่ไว้ในตำราเล่มหนึ่ง


เฉินผิงอันเริ่มทบทวนสถานการณ์บนกระดานหมากที่แปลกประหลาดนี้ซ้ำอีกรอบ


ครั้งนี้เข้ามาในพื้นที่มงคลดอกบัว แม้ว่ารอบด้านจะเต็มไปด้วยอันตราย แต่ก็ได้รับผลเก็บเกี่ยวมหาศาล


การต่อสู้กับจ้งชิวปรมาจารย์ใหญ่ด้านวิถีวรยุทธ์ ไม่เพียงแต่ทำให้เขาฝ่าคอขวดขอบเขตสี่ไปได้สำเร็จ ตอนนั้นการประมือในครั้งที่สอง จ้งชิวยังยอมลดสถานะของตัวเอง เป็นฝ่ายช่วยป้อนหมัดให้กับเขา ช่วยทำให้ขอบเขตห้าของเขามั่นคง แม้ว่าจ้งชิวเองก็มีการพิจารณาเป็นของตัวเอง ด้วยคาดเดาเอาว่ามีความเป็นไปได้อย่างถึงที่สุดว่าติงอิงและอวี๋เจินอี้จะร่วมมือกันวางแผน จ้งชิวจึงไม่ยอมให้พวกเขาได้สมใจปรารถนา แต่ไม่ว่าจะอย่างไร จะเป็นด้านบุคลิกลักษณะ ศักยภาพ ด้านวรยุทธ์หรือสภาพจิตใจของจ้งชิวก็ล้วนทำให้เฉินผิงอันเคารพเลื่อมใสได้จากใจจริง


หลังจากนั้นก็ได้ต่อสู้กับติงอิงอย่างสาแก่ใจ อีกทั้งเมื่อเกิดเหตุพลิกผัน เฉินผิงอันยังได้กุมกระบี่รับมือกับศัตรูเป็นครั้งแรกอย่างแท้จริง แล้วก็จริงดังคาด ผู้ฝึกยุทธ์จำเป็นต้องขัดเกลาร่างกายและจิตใจระหว่างเส้นความเป็นความตายจริงๆ ต่อให้เฉินผิงอันจะไม่รู้ว่าขอบเขตห้าของชาวยุทธ์ในใต้หล้าคนอื่นๆ เป็นเช่นไร แต่เขาคิดว่ารากฐานขอบเขตห้าของตนปูมาได้ไม่เลวเลย


นี่คือรากฐานการหยัดยืนของเขา ต่อให้เฉินผิงอันจะหลงใหลในทรัพย์สมบัติมากแค่ไหน แต่สำหรับเรื่องนี้ต่อให้เอาทองนับหมื่นมาแลก เขาก็ไม่ยอม


ถอยไปพูดหมื่นก้าว ต่อให้การเดินทางมายังพื้นที่มงคลดอกบัวครั้งนี้จะยังคงสร้างสะพานแห่งความเป็นอมตะไม่ได้ แต่ก็ไม่เสียแรงที่มา เมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้ที่เฉินผิงอันหวังว่าตัวเองจะไปเสี่ยงดวงที่ซากปรักหักพังของสนามรบหรือศาลอริยะบู๊ เพื่อช่วงชิงให้ตัวเองได้เลื่อนสู่ขอบเขตห้า ผลลัพธ์ที่ได้ในเวลานี้กลับดีกว่าที่คิดไว้เยอะมาก


ทว่าการเดินทางที่สถานการณ์ราบรื่นมักจะมาพร้อมกับอันตรายที่ซ่อนเร้นเสมอ


ปัญหาอยู่ที่ตอนถูกจิตหยินร่างทองของติงอิงต่อยจนกระเด็นจากยอดเขากู่หนิว ร่วงเข้าไปในหลุมใหญ่นอกภูเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องอยู่ใต้ ‘บ่อสายฟ้า’ ปราณวิญญาณที่มากมหาศาลและโชคชะตาบู๊ที่กระจัดกระจายของพื้นที่มงคลดอกบัวถูกดึงมายังแถบภูเขากู่หนิว ประหนึ่งน้ำมหาสมุทรที่กรอกเข้ามาในร่างของเฉินผิงอันรวดเดียว แทรกซอนไปถึงจิตวิญญาณของเขา เฉินผิงอันยังพอจะสัมผัสได้ด้วยว่าบนทะเลสาบหัวใจของตัวเองเหมือนมีไอหมอกลอยล่อง วนเวียนไม่ยอมสลายไปไหน สายฟ้าตัดสลับกันประหนึ่งเจียวหลงและงูหลามที่ดำผุดดำว่ายในก้อนเมฆ อีกทั้งยังมีแสงกระบี่หลายเส้นแทรกอยู่ในกลุ่มไอหมอก เปล่งประกายวูบวาบไปมาคล้ายว่ากำลังใช้กระบี่สังหารเจียวหลง


โชคดีที่ปราณวิญญาณซึ่งขัดแย้งกับลมปราณแท้จริงของผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวถูกแยกตัวให้อยู่ห่างออกไป ยังไม่ได้ลุกฮือกันขึ้นมาต่อต้าน ถึงอย่างไรเมื่ออยู่ในใต้หล้าไพศาล นับตั้งแต่เริ่มต้นผู้ฝึกลมปราณและผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวก็เดินกันไปบนทางสองเส้นที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงอยู่แล้ว ผู้ฝึกยุทธ์ต้องสลายลมปราณในร่างออกไปให้หมด หล่อหลอมลมปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์ประหนึ่งมังกรเพลิงที่ตรวจตราไปทั่วสี่ทิศ ส่วนก้าวแรกของผู้ฝึกลมปราณนั้นกลับเป็นการดึงเอาปราณวิญญาณของฟ้าดินมา ยิ่งมากยิ่งดี หลังจากนั้นก็ต้องขจัดสารปนเปื้อน เก็บไว้แต่แก่นที่สำคัญ บุกเบิกเส้นทาง สร้างช่องโพรงลมปราณแต่ละแห่งให้เป็นเหมือนเมืองเหมือนนคร จนกระทั่งกลายเป็นถ้ำสวรรค์ขนาดเล็กในร่างของตัวเอง เหมือนทะเลสาบขนาดใหญ่ที่อยู่ข้างแม่น้ำกว้าง ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาที่น้ำหลากหรือน้ำแห้งขอด ผู้ฝึกลมปราณก็สามารถเชื่อมโยงตัวเองเข้ากับฟ้าดิน มีปราณวิญญาณให้ใช้ไม่ขาดตอน สุดท้ายสร้างห้องโอสถ สร้างโอสถทอง หลังจากนั้นก็เลี้ยงบำรุงจิตหยินและจิตหยางด้วยความอบอุ่น สุดท้ายจึงกลายเป็นขอบเขตเซียนดินของพื้นที่แถบหนึ่ง


สถานการณ์ในร่างของเฉินผิงอันตอนนี้ก็คือสองฝ่ายอย่างปราณแท้จริงที่บริสุทธ์กับปราณวิญญาณฟ้าดินกำลังคุมเชิงกัน เหมือนทหารของสองกองทัพที่ต่างฝ่ายต่างกำลังยุ่งอยู่กับการจัดขบวนรบ จึงพอจะรักษาสภาพการณ์ที่ว่าน้ำบ่อไม่ยุ่งกับน้ำคลองเอาไว้ได้


เฉินผิงอันหยุดความคิดทั้งหมดลง หยิบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ที่อยู่ข้างโต๊ะขึ้นมาดื่มเหล้าหนึ่งคำ


การสร้างสะพานอมตะยากเย็นขนาดนี้เชียวหรือ ทำลายนั้นง่าย แต่สร้างขึ้นใหม่กลับยากมากจริงๆ ตนเกือบจะต้องมาตายอยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัวแห่งนี้ แค่คิดถึงความเป็นไปได้ข้อนี้ เฉินผิงอันก็อดหวาดกลัวในภายหลังไม่ได้ ต่อให้เวลาหกสิบปีในพื้นที่มงคลดอกบัวอาจจะไม่เท่ากับหกสิบปีของใต้หล้าไพศาลเสมอไป แต่เขาต้องพลาดสัญญาสิบปีที่ให้ไว้กับแม่นางหนิงแน่นอน สิบปีให้หลัง พวกหลี่เป่าผิงหลี่ไหวจะโตแค่ไหนแล้ว ช่วงระยะเวลาระหว่างนี้จะถูกคนรังแกหรือเปล่า? ยังมีกู้ช่านที่อยู่ทะเลสาบเจี่ยนหูอีกเล่า? หลิวเสี้ยนหยางจะสวมชุดแพรกลับคืนบ้านเกิด กลับไปหาตนที่เมืองเล็ก แต่ไม่เจอตนหรือเปล่า? เรือนไม้ไผ่บนภูเขาลั่วพั่วและบ้านบรรพบุรุษตรอกหนีผิงของเขตการปกครองหลงเฉวียน แล้วยังมีร้านในตรอกฉีหลงอีกล่ะ จะทำอย่างไร?


เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน เพียงไม่นานก็มีเสียงเคาะดังมาจากตรงประตู เด็กหญิงร่างผอมแห้งวิ่งมายังห้องด้านข้างของเฉินผิงอันเหมือนจะมาเอาผลงาน ขณะที่กำลังจะบอกเตือนเฉินผิงอันว่ามีแขกมาเยือน ประตูบ้านก็เปิดออกแล้ว เฉินผิงอันเห็นว่าสายลับหญิงของแคว้นหนันเยวี่ยนยืนอยู่นอกประตู สองมือถือประคองกล่องยาวใบหนึ่งมาด้วย เฉินผิงอันเดินเข้าไปหา นางก็อธิบายเบาๆ ว่า “นี่คือของที่เหลืออยู่ของสตรีผีผา ราชครูเพิ่งจะสั่งให้คนเอามา แล้วบอกให้ข้านำมามอบให้เฉินเซียนซืออีกที”


ไม่รอให้เฉินผิงอันเอ่ยอะไร นางที่หน้าแดงก่ำก็หนีไปอย่างลนลาน


เฉาฉิงหล่างที่เห็นภาพนี้แค่รู้สึกประหลาดใจ แต่เด็กหญิงผอมแห้งกลับกลอกลูกตาไปมา ทำท่าครุ่นคิด


เฉินผิงอันเอาผีผาชิ้นนั้นไปเก็บไว้ในห้อง เฉาฉิงหล่างกลับเข้าห้องตัวเอง จุดตะเกียงอ่านหนังสือยามค่ำคืน เด็กหญิงนั่งแทะเมล็ดแตงโมอยู่บนม้านั่งตัวเล็กต่อ คราวนี้นางเป็นเด็กดีแล้ว ไม่กล้าโยนเปลือกเมล็ดแตงลงบนพื้นส่งเดชอีก แต่เอามากองรวมกันไว้ข้างเท้า


เฉินผิงอันเดินมาทางม้านั่ง เห็นว่าเฉาฉิงหล่างทิ้งพัดใบลานเอาไว้บนม้านั่งก็หยิบขึ้นมาเบาๆ พอนั่งลงแล้วจึงพูดกับเด็กหญิงว่า “เจ้ากลับบ้านไปได้แล้ว”


นางแทะเมล็ดแตง กะพริบตาปริบๆ ส่ายหน้าพูดว่า “บ้าน? ข้าไม่มีบ้านหรอก ข้าเป็นขอทานน้อยคนหนึ่ง ไหนเลยจะมีบ้าน ในกลุ่มขอทานมีคนชั่วอยู่เยอะมาก พวกเขามักจะตีข้าเป็นประจำ ข้าอายุน้อยเกินไป กินข้าวไม่อิ่ม เรี่ยวแรงก็น้อย เอาชนะพวกเขาไม่ได้อยู่แล้ว สถานที่ดีๆ ในเมืองหลวงล้วนถูกพวกเขายึดครองไปหมด ข้าแข่งกับพวกเขาไม่ไหว ได้แต่หาสถานที่พักพิงไปเรื่อย ยกตัวอย่างเช่นใต้สะพาน หรือไม่ก็บนสิงโตหินของบ้านคนมีเงิน”


เฉินผิงอันถาม “พ่อแม่เจ้าล่ะ?”


เด็กหญิงร่างผอมแห้งที่กำลังแทะเมล็ดแตงตอบด้วยรอยยิ้ม “ตายไปตั้งนานแล้ว ข้าไม่ใช่คนในเมืองหลวง บ้านข้าอยู่ไกลจากที่นี่ไปตั้งหลายพันลี้เชียวนะ ที่บ้านเกิดมีโรคระบาด ตอนนั้นข้ายังเล็ก จึงหนีภัยพิบัติมาพร้อมกับพ่อแม่ แม่ข้าตายไประหว่างทาง พ่อพาข้ามาถึงที่นี่ พวกขุนนางในเมืองหลวงนิสัยดีไม่น้อย พวกเขาตั้งเพิงแจกโจ๊กให้คนจนนอกเมือง พ่อข้าได้กินโจ๊กไปถ้วยใหญ่ก่อนตาย”


เฉินผิงอันถามอีก “ปีนี้เจ้าอายุเท่าไหร่แล้ว?”


นางแทะเมล็ดแตงเสร็จก็ยื่นฝ่ามือออกมาสองข้าง จากนั้นก็งอนิ้วก้อยข้างหนึ่งแล้วส่ายมือทั้งสองเบาๆ “เก้าขวบแล้ว”


เฉินผิงอันไม่พูดอะไรอีก


นางหัวเราะฮ่าๆ สองสามที “ข้าไม่เหมือนเด็กอายุเก้าขวบ ใช่ไหมล่ะ? ช่วยไม่ได้ ไม่มีกิน ตัวก็ไม่สูง เจ้าเห็นคนที่เอาตุ๊กตาหิมะมามอบให้ข้าคราวก่อนไหม นางเพิ่งอายุหกขวบกว่าเท่านั้น แต่กลับตัวสูงกว่าข้าเล็กน้อย นักปราชญ์น้อยของบ้านหลังนี้ เฉาฉิงหล่างผู้นั้นก็อายุน้อยกว่าข้าเหมือนกัน”


เฉินผิงอันโบกพัดใบลานเบาๆ ท่าทางของเขาเห็นได้ชัดว่าไม่สะทกสะท้าน เย็นชาไร้น้ำใจอย่างยิ่ง


อันที่จริงเด็กหญิงลอบมองประเมินสีหน้าและสายตาของเฉินผิงอันอยู่ตลอดเวลา เห็นท่าทางเช่นนี้ของเขา ในใจนางก็นินทาไม่หยุด คนมีเงินไม่มีใครเป็นคนดีจริงๆ ด้วย! พวกเขาไม่เคยสนใจความเป็นความตายของคนอื่น ทั้งๆ ที่เป็นบุคคลยิ่งใหญ่ที่ร้ายกาจมาก เงินที่ลอดออกมาจากร่องนิ้วของพวกเขามากพอให้นางใช้ชีวิตดีๆ ได้หลายวัน แต่พวกเขากลับไม่ยอมให้


นางเก้าขวบแล้ว แต่กลับตัวเล็กผอมแกร็นเหมือนเด็กห้าหกขวบ การที่เฉินผิงอันไม่ได้รู้สึกประหลาดใจเพราะปีนั้นเขาเองก็มีเคยมีชีวิตเช่นนี้มาก่อน จนกระทั่งออกจากตรอกหนีผิงและเมืองเล็กไปเป็นลูกศิษย์ในเตาเผามังกรของผู้เฒ่าเหยา ส่วนสูงถึงได้เริ่มเพิ่มขึ้น ก่อนหน้านั้นเฉินผิงอันตัวเตี้ยกว่าคนวัยเดียวกันอยู่ครึ่งศีรษะมาโดยตลอด


วันนี้เฉินผิงอันไม่ได้ปลดชือซินและหยุดหิมะลงจากเอว ดังนั้นต่อให้เขาจะนั่งอยู่บนม้านั่งเล็กๆ ก็ยังเปี่ยมไปด้วยอำนาจบารมี


นี่ต่างหากที่เป็นสาเหตุให้คืนนี้เด็กหญิงทำตัวว่าง่ายเป็นพิเศษ


บทที่ 327.2 ในตรอกเล็ก

ProjectZyphon

โบกพัดใบลานเบาๆ ลมเย็นโชยมาเป็นระลอก เฉินผิงอันถามว่า “หนังสือพวกนั้นที่เจ้าขโมยไป ขายได้เงินเท่าไหร่?”


นางยู่หน้า อยากจะบีบน้ำตา แต่กลับทำไม่ได้ ได้แต่ยกมือข้างหนึ่งขึ้น พูดด้วยเสียงสะอื้นเหมือนคนได้รับความไม่เป็นธรรม “ข้าไม่ได้ขโมยจริงๆ ข้าสาบานได้ หากข้าโกหก ขอให้ฟ้าผ่า ไม่ได้ตายดี!”


เฉินผิงอันถามยิ้มๆ “หากเจ้าโกหก เป็นใครที่จะถูกฟ้าผ่าไม่ได้ตายดี? ดูเหมือนเจ้าจะไม่ได้พูดอย่างชัดเจน”


นางหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย หัวเราะแห้งๆ พูดว่า “ย่อมต้องเป็นข้าอยู่แล้ว ยังจะเป็นใครได้อีก?”


เฉินผิงอันพยักหน้า “ถ้าอย่างนั้นเจ้าเป็นใคร? ชื่อแซ่อะไร?”


เด็กหญิงค้อมตัวก้มหน้าลงต่ำ ใช้ปลายนิ้วเขี่ยเปลือกเมล็ดแตงโมเหล่านั้น “มีแซ่ แต่ว่าไม่มีชื่อ พ่อแม่ของข้าด่วนจากไป ยังไม่ทันได้ตั้งชื่อให้ข้า”


กล่าวมาถึงตรงนี้นางก็เงยหน้าขึ้น คลี่ยิ้มเจิดจ้า “แต่พ่อเคยบอกกับข้าว่า บรรพบุรุษของตระกูลเรามีเงินเยอะมาก เคยมีคนที่ได้เป็นขุนนางตำแหน่งใหญ่โตสุดๆ ดูแลคนหลายพันคนเลยล่ะ”


เฉินผิงอันหยุดโบกพัด แต่หันมาแกว่งน้ำเต้าบรรจุเหล้าแทน “คิดถึงพ่อแม่ไหม?”


นางหลุดปากตอบมาว่า “จะคิดถึงพวกเขาไปทำไม หน้าตาพวกเขาเป็นยังไงก็จำไม่ได้แล้ว”


อาจเป็นเพราะรู้สึกว่าพูดแบบนี้จะไม่ถูกใจเฉินผิงอัน นางจึงรีบเปลี่ยนคำพูดเสียใหม่ว่า “อันที่จริงข้าก็คิดถึงมาก ข้าถึงได้ฝันถึงพวกเขาบ่อยๆ ยังไงล่ะ น่าเสียดายที่ยังคงมองเห็นหน้าตาของพวกเขาไม่ชัด ทุกครั้งที่ฝันเห็นพวกเขา เวลาข้าตื่นมาตอนเช้า น้ำตาไหลอาบแก้มทุกที เจ็บปวดใจมากเลยล่ะ”


เฉินผิงอันหันหน้ามามองนาง


เด็กหญิงชูฝ่ามือขึ้นอีกครั้ง “ข้าสาบาน!”


เฉินผิงอันถาม “เจ้าไม่กลัวสวรรค์จริงๆ หรือ?”


เด็กหญิงเริ่มโมโห แต่ไม่กล้าเถียงเจ้าหมอนี่ รีบก้มหน้าลง ได้แต่พูดงึมงำ “สวรรค์กะผายลมอะไรล่ะ”


เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน วางพัดลง เดินออกไปนอกบ้าน มีคนคนหนึ่งยืนอยู่ตรงหัวเลี้ยวของตรอก


คนผู้นั้นสวมกวานดอกบัวสีเงิน มีโฉมหน้าและส่วนสูงเป็นเด็ก สะพายกระบี่ยาวเล่มหนึ่งไว้เฉียงๆ


เฉินผิงอันเดินไปถึงมุมนั้น แต่คนผู้นั้นกลับถอยไปอยู่ถนนฝั่งตรงข้าม ถือเป็นการแสดงท่าทีอย่างชัดเจนว่าไม่ได้มาเพื่อท้าทาย แต่มาเพราะมีเรื่องอยากปรึกษาหารือ


ความประทับใจที่เฉินผิงอันมีต่อคนผู้นี้ไม่ถือว่าดีนัก


อวี๋เจินอี้ เจ้าประมุขพรรคหูซาน ผู้นำฝ่ายธรรมะที่แอบสมคบคิดกับติงอิงอย่างลับๆ บุคคลอันดับสองในใต้หล้าที่ต่อให้ฟ้าผ่าก็ไม่สะเทือน


อวี๋เจินอี้ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ข้าย้อนกลับมาเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนในครั้งนี้ หนึ่งเพราะเรื่องส่วนรวม และอีกหนึ่งเพราะเรื่องส่วนตัว เรื่องส่วนรวมก็คืออยากปรึกษากับจ้งชิว ให้เขามอบตำรารวบรวมแผนที่ห้าขุนเขาเล่มนั้นมาให้ ข้าและพรรคหูซานสามารถย้ายเข้ามาในแคว้นหนันเยวี่ยน อีกทั้งจะไม่ช่วงชิงตำแหน่งราชครูกับจ้งชิว ส่วนเรื่องส่วนตัวคืออยากจะถามเจ้าว่า ในตัวเจ้ามีเงินของเทพเซียนที่เจ๋อเซียนใช้กันอย่างเงินเกล็ดหิมะ เงินร้อนน้อยหรือเงินฝนธัญพืชบ้างหรือไม่ ไม่ว่าจะเป็นชนิดไหนก็ได้ทั้งนั้น ข้ายินดีเอาของมาแลกเปลี่ยนกับเจ้า ขอแค่ของสิ่งนั้นมีอยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัว ข้าก็สามารถช่วยเจ้าหามาได้”


เฉินผิงอันถามกลับ “หากข้าต้องการจริงๆ ข้าจะหาเองไม่ได้งั้นรึ?”


อวี๋เจินอี้ส่ายหน้า “เหตุใดเจ้าต้องเสียเวลาไปอย่างเปล่าประโยชน์ด้วยเล่า ถึงอย่างไรข้าก็คุ้นเคยกับราชสำนักและยุทธภพของสี่แคว้นในพื้นที่มงคลดอกบัวมากกว่าเจ้า สำหรับผู้ฝึกตนแล้ว เวลาเป็นสิ่งที่มีค่ามากที่สุด”


การมารวมตัวกันของปราณวิญญาณในแถบภูเขากู่หนิวเป็นเพราะนักพรตเฒ่าใช้วิชาอภินิหารค้ำฟ้าย้ายปราณวิญญาณทั้งหมดในพื้นที่มงคลดอกบัวมา นี่ไม่ใช่สภาพการณ์ที่ปกติ เรียกได้ว่าร้อยปียากจะพานพบสักครั้ง แต่เงินเทพเซียนสามชนิดของเจ๋อเซียนกลับเป็นรูปธรรมของปราณวิญญาณฟ้าดิน อวี๋เจินอี้ที่มีจิตใจมุ่งมั่นต่อการพิสูจน์ความเป็นอมตะรีบร้อนใช้ของสิ่งนี้ อีกทั้งยังมีแค่เขาที่สามารถให้ราคาได้ดีที่สุด


อวี๋เจินอี้ชี้ไปยังกระบี่บินแก้วที่สะพายอยู่ด้านหลัง “เฉินผิงอัน นอกจากกระบี่เล่มนี้ที่สามารถนำมาแลกกับเงินเทพเซียนของเจ้าได้แล้ว ข้ายังสามารถช่วยเจ้ารวบรวมวัตถุที่เจ๋อเซียนทิ้งไว้ในพื้นที่มงคลดอกบัว ถึงขั้นที่ว่าสามารถช่วงชิงสมบัติอาคมที่พวกถังเถี่ยอี้ ภิกษุอวิ๋นเพิ่งได้มาใหม่มาให้เจ้าได้ด้วย อีกอย่างเจ้าเป็นผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัว สามลัทธิมารของติงอิงหรือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของยุทธภพอย่างหอจิ้งซินของถงชิงชิงล้วนเก็บวิชาลับในการเรียนวรยุทธ์ไว้เป็นจำนวนมาก ไม่แน่ว่าในบรรดานี้อาจมีของที่เจ้าถูกใจ”


เฉินผิงอันถาม “เจ้าเข้าเมืองมาครั้งนี้ต้องมาหาข้าก่อนแน่นอน ข้ามั่นใจว่าเจ้าอวี๋เจินอี้คาดหวังให้การแลกเปลี่ยนครั้งนี้สำเร็จจริงๆ แต่เจ้าก็คิดจะอาศัยเรื่องนี้กำราบราชครูจ้งด้วยกระมัง? หากข้ายอมรับปาก ราชครูจ้งและแคว้นหนันเยวี่ยนก็จะถูกกดดัน อีกอย่างตำราลับวิถีวรยุทธ์ที่เจ้าบอกว่าจะรวบรวมมาให้ข้าด้วยตัวเอง ก็คงไม่พ้นใช้ชื่อเสียงอันดับหนึ่งในใต้หล้าและอันดับสองในใต้หล้ากดหัวคนทั้งยุทธภพ บีบพวกเขาให้ยอมปล่อยเจ้าไปค้นหาตำราวิชาลับของเจ๋อเซียนมาได้ตามใจชอบสินะ? ไม่อย่างนั้นเจ้าอวี๋เจินอี้ตัวคนเดียว ต่อให้ศักยภาพจะสูงแค่ไหนก็คงไม่กล้าทำเรื่องมิชอบโดยไม่สนใจคนใต้หล้า เพราะถึงอย่างไรทั้งจูเหลี่ยนคนบ้าวรยุทธ์และติงอิงเจ้าลัทธิมารก็ล้วนเป็นบทเรียนให้เห็นมาก่อน”


อวี๋เจินอี้ไม่ได้ปฏิเสธ เขาพยักหน้ายอมรับ “แต่เจ้าก็จะได้รับผลประโยชน์จากเรื่องนี้ อีกทั้งตั้งแต่ต้นจนจบ เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องออกหน้า ปล่อยให้ข้าเป็นคนชั่วอยู่คนเดียวก็พอ”


เฉินผิงอันชักดาบแคบหยุดหิมะออกมา


กระบี่บินแก้วด้านหลังอวี๋เจินอี้สั่นสะท้านส่งเสียงดังหวึ่งๆ เตรียมจะออกจากฝักเช่นกัน


สีหน้าของเขามืดทะมึน นึกไม่ถึงว่าเฉินผิงอันจะไร้เหตุผลขนาดนี้


แต่เฉินผิงอันกลับใช้ปลายดาบจิ้มลงบนพื้นจนเกิดรูเล็กๆ สองรู จากนั้นก็วาดเส้นโค้งเส้นหนึ่งระหว่างรูทั้งสอง หลังจากเก็บดาบเข้าฝักแล้วก็ถามว่า “ความตั้งใจเดิมนั้นดี ผลลัพธ์ที่เจ้าคาดหวังก็ดี แต่นี่ใช่เหตุผลที่เจ้าควรทำอะไรโดยไม่เลือกวิธีการหรือ?”


อวี๋เจินอี้ชำเลืองตามองเส้นโค้งใต้ฝ่าเท้าของเฉินผิงอัน หลังถอนสายตากลับมาแล้วก็พูดอย่างเฉยเมยว่า “ผู้ที่ปรารถนาให้เรื่องใหญ่สำเร็จ ย่อมไม่สนใจรายละเอียดเล็กน้อย คำว่า ‘วันนี้ผิดพลาด วันหน้าย่อมทำสำเร็จ’ มีการแบ่งเล็กใหญ่ อีกทั้งยังแตกต่างกันอย่างมาก ข้าอวี๋เจินอี้ถามใจแล้วไม่ละอาย เหตุใดจะไม่ลองทำดูเล่า? ระหว่างนี้คนที่อยู่บนอันดับรายชื่อตายไปกี่คน กี่สิบคน? นับเป็นอะไรได้? เจ้ารู้หรือไม่ ในประวัติศาสตร์ของใต้หล้าแห่งนี้มีคนกี่หมื่นคนที่ต้องตายไปอย่างอยุติธรรมเพราะเจ๋อเซียน? ไม่พูดถึงการรบที่น่าสังเวชจนแทบทนมองไม่ได้ พูดถึงแค่คนสิบคนบนรายชื่อที่เจ้าเคยพบเจอมาแล้ว อย่างโจวเฝยแห่งตำหนักคลื่นวสันต์นั่น เขาทำร้ายคนไปกี่มากน้อย?”


เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ข้าอ่านหนังสือมามากมาย ไม่กล้าพูดว่ารู้ทุกเรื่อง แต่ก็รู้มาไม่น้อย ลำพังแค่สงครามในประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นเพราะเจ๋อเซียน ตอนนี้ข้าสามารถบอกได้ว่ามีมากถึงหกสิบกว่าครั้ง”


อวี๋เจินอี้ไม่พูดอะไรอีก


ปณิธานต่างมิอาจร่วมทาง


เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อย ก่อนจะทรุดตัวนั่งยอง ใช้นิ้วขีดเส้นเพิ่มอีกสองเส้น เส้นหนึ่งตรง อีกเส้นหนึ่งอยู่ตรงกลางระหว่างเส้นตรงและเส้นโค้ง แต่มีระดับความโค้งน้อยกว่า


หลังจากที่ลุกขึ้นยืนแล้ว เฉินผิงอันก็กล่าวว่า “ข้าจะไม่เรียกร้องให้เจ้าอวี๋เจินอี้ทำตัวเป็นอริยะผู้มีคุณธรรม และข้าก็ไม่มีความสามารถเช่นนั้น ตอนนี้ไม่อาจบอกได้ว่าเจ้าทำผิด หากโยนเรื่องพวกนี้ทิ้งไป ข้าไม่มีทางแลกเปลี่ยนกับเจ้า เงินเทพเซียน ข้ามี แถมยังมีไม่น้อย แต่จะไม่ขายให้เจ้าแม้แต่เหรียญเดียว”


อวี๋เจินอี้หรี่ตาลง “อ้อ?”


เฉินผิงอันพูดยิ้มๆ “ทำไม ไม่สบอารมณ์แล้วรึ? ดีมาก เพราะตอนนี้ข้าอารมณ์ดีมาก”


อวี๋เจินอี้พลันคลี่ยิ้ม “หวังว่าวันหน้าพวกเราจะได้พบกันใหม่”


กระบี่บินแก้วพลันพุ่งออกจากฝัก มาอยู่ใต้ฝ่าเท้าของเขา อวี๋เจินอี้เหยียบบนกระบี่ เตรียมจะบังคับลมบินทะยานออกไปจากเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนแห่งนี้


ส่วนจ้งชิว ไม่ต้องไปหาแล้ว ก็เหมือนอย่างที่เฉินผิงอันเปิดโปงเขาก่อนหน้านี้ มีเพียงเฉินผิงอันยอมพยักหน้าตอบรับเท่านั้น เขาถึงจะมีโอกาสโน้มน้าวให้จ้งชิวยอมเชื่อได้


กระบี่บินใต้ฝ่าเท้าของอวี๋เจินอี้เพิ่งจะบินขึ้นไปได้หนึ่งจั้งก็ได้ยินคนผู้นั้นพูดกลั้วหัวเราะว่า “เจ้าฟักเตี้ย อย่าได้เจอกันอีกเลยจะดีกว่า”


ปราณสังหารของอวี๋เจินอี้พลันล้นทะลักออกมารอบด้าน เขาหันปลายกระบี่กลับมา จ้องเจ๋อเซียนหนุ่มที่พูดจาไม่เกรงใจด้วยสายตาเย็นชา


เฉินผิงอันถามด้วยสีหน้าไม่สะทกสะท้าน “เจ้าอวี๋เจินอี้ถูกคนด่าว่าฟักเตี้ยคำเดียวก็รู้สึกว่าได้รับความอัปยศอย่างใหญ่หลวงแล้วรึ? ฝึกมรรคกถา เป็นเทพเซียน คิดว่าร้ายกาจนักหรือไง?”


มือสองข้างของเฉินผิงอันวางลงบนด้ามกระบี่ชือซินและด้ามดาบหยุดหิมะแล้ว


อวี๋เจินอี้แค่นเสียงเย็นหนึ่งที บังคับกระบี่ทะยานขึ้นสูง กลายร่างเป็นรุ้งยาวเส้นหนึ่งที่แหวกอากาศออกไป


เฉินผิงอันหมุนตัวเดินกลับเข้าไปในตรอก เห็นว่ามีศีรษะหนึ่งโผล่ออกมา พอเห็นเขาเดินกลับมาก็รีบหันหัววิ่งหนีไป


เด็กหญิงวิ่งพลางรู้สึกเสียดายไปด้วย หากคนทั้งสองตีกันจนตายไปข้าง แบบนั้นคงจะดี


เฉินผิงอันกลับมาถึงบ้าน ปิดประตูใหญ่ ตรงประตูห้องครัวเด็กหญิงนั่งบนม้านั่งศีรษะเอียงกะเท่เร่ แกล้งทำเป็นหลับ ส่วนเฉาฉิงหล่างดับไฟนอนแล้ว เฉินผิงอันเข้าไปในห้อง ปลดดาบและกระบี่ลง เริ่มเปิดหนังสืออ่านเรื่องราวเกี่ยวกับการสร้างสะพาน


หลังจากนั้นทุกอย่างก็ผ่านไปอย่างราบรื่น ตลอดทั้งเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนเป็นเช่นนี้ และดูเหมือนว่าตลอดทั้งใต้หล้าก็ไม่ต่างกัน ฤดูกาลเวียนเปลี่ยนจากช่วงร้อนจัดไปสู่ช่วงสุดท้ายของหน้าร้อน ท่ามกลางเสียงพลิกเปิดหน้าหนังสือของเฉินผิงอัน ต้นฤดูใบไม้ร่วงก็ค่อยๆ คืบคลานมาถึง


นักพรตเฒ่าไม่มาหาเขา เฉินผิงอันก็ได้แต่รออย่างเดียว


ถ้ำสวรรค์หลีจูซึ่งเป็นบ้านเกิดเคยเป็นไข่มุกเม็ดหนึ่งที่ลอยอยู่กลางอากาศเหนือแคว้นต้าหลี


พื้นที่มงคลหวงเหลียงซึ่งพังพินาศไม่เหลือสภาพดีของภูเขาห้อยหัว ต่อให้เป็นเทพเซียนก็ยากจะหาทางเข้าเจอ สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าพื้นที่มงคลดอกบัวคืออะไร และอยู่ตรงไหนของใบถงทวีป


โรงเรียนที่อยู่ใกล้กับตรอกยังคงไม่เปิดสอน


เด็กหญิงผอมแห้งทำหน้าหนาดึงดันอยู่ที่นี่ต่อ แต่นางกลับเรียนรู้ที่จะไปตักน้ำหรือเก็บกวาดบ้านบ้างแล้ว แม้ว่าจะยังแอบอู้ลดทอนคุณภาพงานอยู่ก็ตาม


โดยทั่วไปแล้ว หลังจากเริ่มฤดูใบไม้ร่วง ครอบครัวชาวบ้านจะต้องรอคอยให้ถึงวันเทศกาลไหว้พระจันทร์ โดยเฉพาะพวกเด็กๆ ที่ต่างก็นับนิ้วรอคอยว่าจะมาถึงเมื่อไหร่ ครอบครัวพร้อมหน้าพร้อมตา กินขนมไหว้พระจันทร์ มองดวงจันทร์กลมโตที่ลอยเด่นอยู่บนท้องฟ้าพลางพูดคุยหัวเราะกันอย่างมีความสุข


เฉินผิงอันที่นั่งตากลมอยู่ในลานบ้านคืนนี้พลันค้นพบว่า ตัวเอง เฉาฉิงหล่างและเด็กหญิงคล้ายจะไม่รอคอยเทศกาลไหว้พระจันทร์สักเท่าไหร่


แต่ว่าเวลาช่วงที่ผ่านมานี้ เฉาฉิงหล่างมีรอยยิ้มเพิ่มขึ้นเยอะมาก บางครั้งเขาก็รำคาญเด็กหญิงที่ปากร้ายเหมือนยาพิษคนนั้นมากจริงๆ แต่พอความรำคาญผ่านพ้นไป ควรจะอยู่ร่วมกันอย่างไรก็อยู่อย่างนั้น เขาไม่เคยจดจำความแค้น มีบางครั้งที่เถียงกับนางสองสามคำ ทว่าเฉาฉิงหล่างหรือจะเป็นคู่ต่อสู้ของนางได้ มีครั้งหนึ่งเขาถูกด่าจนตาแดงก่ำ โมโหจนริมฝีปากสั่นระริก ทว่าคืนนั้นพอนางมาขอเมล็ดแตงจากเขา เฉาฉิงหล่างก็ยังคงเอาออกมาให้นางเงียบๆ บอกว่าเหลือแค่นี้แล้ว นางบอกว่าหมดแล้วก็รีบไปซื้อมาใหม่สิ โตขนาดนี้แล้วยังจะต้องให้ข้าสอนเจ้าซื้อของอีกหรือไง? นั่นทำให้เฉาฉิงหล่างอัดอั้นขุ่นเคืองอยู่เป็นครึ่งๆ วัน ไม่ยอมพูดกับนางตลอดทั้งคืน เด็กหญิงหรือจะสนใจเรื่องพวกนี้ เอาแต่แทะเมล็ดแตงของตัวเองต่อไป เวลาพูดคุยกับเขาก็ไม่สนว่าเขาจะตอบกลับหรือไม่ นางแค่พูดในสิ่งที่ตัวเองอยากพูดเท่านั้น เฉาฉิงหล่างกลอกตามองสูง สุดท้ายทนไม่ไหวจริงๆ จึงกลับเข้าห้องไปอ่านหนังสือ ก่อนจะไปยังปลุกความกล้าหันกลับมาถลึงตามองหนึ่งที แต่พอนางถลึงตากลับ ทำท่าว่าจะลุกขึ้นคว้าม้านั่งมาตีคน ก็ทำเอาเขาตกใจจนรีบวิ่งเข้าห้องปิดประตู


พอฟุบตัวอยู่ตรงหน้าต่างแล้วเห็นว่าเฉินผิงอันชำเลืองตามองเด็กนิสัยไม่ดีคนนั้นครั้งเดียว นางก็รีบนั่งตัวตรง อธิบายว่าข้าแค่ล้อเล่นกับเฉาฉิงหล่าง พวกเราสนิทกันจะตายไป


เฉาฉิงหล่างก็จะหัวเราะอย่างอารมณ์ดี แล้วเริ่มจุดตะเกียงอ่านหนังสือ


นี่ก็เป็นสาเหตุแท้จริงที่เฉินผิงอันไม่ได้ไล่เด็กหญิงไป


เช้าตรู่วันหนึ่ง จู่ๆ ฝนก็ตกลงมาปรอยๆ เด็กหญิงหิ้วน้ำมาครึ่งถังซึ่งไม่รู้ว่าเป็นน้ำที่ไปตักมาจากบ่อหรือน้ำฝนกันแน่ ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยรอยยิ้มประจบประแจง พอกลับมาถึงบ้านก็บอกกับเฉินผิงอันว่าโรงเรียนเปิดแล้ว


วันนี้เฉินผิงอันถือร่มกระดาษน้ำมันเดินไปโรงเรียนเป็นเพื่อนเฉาฉิงหล่าง


คนทั้งสองเดินอยู่ในตรอกเล็ก


เด็กหญิงผอมแห้งที่เดิมทีหลบฝนอยู่ใต้ชายคาวิ่งเหยาะๆ ไปถึงหน้าประตู นางเห็นว่าร่มที่เฉินผิงอันถือเอียงไปทางเฉาฉิงหล่าง ดูเหมือนว่าคนทั้งสองกำลังพูดคุยกัน เฉาฉิงหล่างพูดค่อนข้างเยอะ เฉินผิงอันก็ยิ้มบางๆ มองเฉาฉิงหล่าง


นางยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าประตูนานมาก


บทที่ 328.1 โยนออกไปนอกอารามกวานเต๋า

ProjectZyphon

ใจคนไม่ใช่ผิวถนนที่พอฝนห่าใหญ่ผ่านพ้นไปแล้วจะกลับมาสะอาดสะอ้านได้ในเวลาไม่นาน


ในสายตาของเหล่าชนชั้นสูงและชาวบ้านร้านตลาดของเมืองหลวง คลื่นมรสุมจากการตีกันของเทพเซียนยังคงทิ้งริ้วคลื่นกระเพื่อมแผ่ไว้ไม่หยุด ตอนนั้นเฉินผิงอันช่วยสอนหมัดให้แก่พวกเหยียนสือจิ่งลูกศิษย์ของจ้งชิว พวกสหายของเด็กหนุ่มที่มาร่วมชมเรื่องสนุกก็คือหนึ่งในริ้วคลื่นเหล่านั้น หลังจากที่แม่ทัพผู้เฒ่าลวี่เซียวเดินลงจากหัวกำแพงเมือง แล้วกลับบ้านมาคุยโวให้หลานชายหลานสาวฟังว่าตัวเองเป็นสหายต่างวัยของเฉินผิงอันก็คือหนึ่งในริ้วคลื่นเช่นกัน การย้ายบ้านของคนมากมายที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงกับตรอกจ้วงหยวนก็ยิ่งเป็นเช่นนี้


ติงอิงตายไปแล้ว อวี๋เจินอี้ขี่กระบี่จากไป ทิ้งเศษซากอันเละเทะไว้ให้จ้งชิวเก็บกวาดคนเดียว


หลังจากส่งเฉาฉิงหล่างถึงโรงเรียนแล้ว เฉินผิงอันก็ย้อนกลับมาทางเดิม เขาถือร่มเดินบนถนนใหญ่ที่เงียบสงบ เมื่อราชสำนักเริ่มคลายการป้องกันอันเข้มงวดที่มีต่อเมืองแห่งนี้จึงพอจะมองเห็นผู้คนมาเดินบนถนนได้อย่างบางตา ส่วนใหญ่ล้วนเป็นคนในยุทธภพที่ค่อนข้างใจกล้า มาที่นี่เพื่อชมสนามรบ จุ๊ปากชื่นชมร่องลึกที่ถูกกระบี่ของลู่ฝ่างแห่งยอดเขาเหนี่ยวคั่นแหวกผ่าเอาไว้


ส่วนแถบภูเขากู่หนิวยังคงเป็นพื้นที่ต้องห้าม ถูกล้อมอาณาเขตห้ามคนเข้าออก ราชสำนักออกคำสั่งว่าผู้ที่ละเมิดกฎสามารถสังหารได้ทันที รอบด้านมีเงาร่างของขุนนางกองดาราศาสตร์ให้เห็นอยู่หลายคน กระท่อมที่สร้างขึ้นหยาบๆ ซึ่งอวี๋เจินอี้ทิ้งไว้หลังนั้นก็ถูกรื้อทิ้งเช่นกัน


จอมยุทธ์ในยุทธภพบางส่วนที่เห็นเฉินผิงอันก็คิดแค่ว่าเขาคือคนที่เดินทางมาที่นี่เพราะชื่นชมเลื่อมใสมาดของปรมาจารย์เช่นเดียวกับพวกเขา


เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อย ก่อนจะแวะไปเยี่ยมเยือนที่ศูนย์ฝึกวรยุทธ์ คนเฝ้าประตูเห็นว่าเขาไม่เหมือนคนที่ ‘มาหาเรื่อง’ อีกทั้งบุคลิกยังดูไม่ธรรมดา จึงไม่กล้าเพิกเฉย รีบไปแจ้งข่าวแก่เจ้าของศูนย์อย่างรวดเร็ว อาจารย์ผู้เฒ่าที่เป็นผู้สอนหมัดออกมาต้อนรับเฉินผิงอันด้วยตัวเอง ได้ยินว่าฝ่ายหลังมาเยือนเพราะเลื่อมใสในชื่อเสียงของศูนย์ฝึกพวกเขาก็ให้ภาคภูมิใจ ลูกศิษย์ที่ติดตามมาด้วยก็รู้สึกได้หน้าได้ตา ประเด็นสำคัญคือเฉินผิงอันยังสามารถพูดถึงวิชาหมัดของศูนย์ฝึกวรยุทธ์ได้เป็นฉากเป็นตอนและมีเหตุผล พูดคุยกันไม่กี่คำก็ได้ใจผู้เฒ่าไปแล้ว เห็นได้ชัดว่าก่อนหน้านี้เคยได้ยินชื่อเสียงของศูนย์ฝึกวรยุทธ์แห่งนี้มาจริงๆ รายได้ที่แท้จริงของศูนย์ฝึกวรยุทธ์ในเมืองหลวงนั้นมาจากการตกปลาตัวใหญ่ที่ฝันใฝ่ในยุทธภพอีกทั้งในกระเป๋ายังมีเงินมาก มีลูกหลานคนรวยที่ไม่ต้องกังวลเรื่องการกินอยู่พวกนี้ช่วยหนุนหลัง ศูนย์ฝึกวรยุทธ์ถึงได้มีกำไร ลูกศิษย์ที่ทนกับความลำบากได้และมีพรสวรรค์คือส่วนใน คุณชายที่มาเรียนในศูนย์ฝึกวรยุทธ์เพราะหวังความบันเทิงคือหน้าตาส่วนนอก สองอย่างนี้จะขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไปไม่ได้


อาจารย์ผู้เฒ่ารับรองเฉินผิงอันอยู่ในห้องรับแขก เขาบอกให้ลูกศิษย์ไปยกน้ำชามา แล้วเริ่มพูดคุยกัน


พอคุยถึงเรื่องการปรับแก้มังกรใหญ่ซึ่งเป็นรากฐานของการเรียนวรยุทธ์ ผู้เฒ่าไม่ได้ลงรายละเอียดลึกซึ้ง แต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นเพิกเฉยเสียเลย ยังคงพูดถึงรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่สามารถบอกแก่คนนอกได้ เพียงแต่ทอดถอนใจเอ่ยว่าไหนเลยจะหาต้นกล้าที่ดีเยี่ยมได้ง่ายขนาดนั้น หากโชคดี ใช้เวลาสี่ห้าปีก็คงได้เจอลูกศิษย์ที่น่าภาคภูมิใจนี้ หากโชคไม่ดี สิบปีก็อาจจะไม่เจอเลยสักคน


อาจารย์ผู้เฒ่ายังพูดอีกว่าการฝึกหมัดไม่ใช่แค่เสริมสร้างร่างกายให้แข็งแกร่งเท่านั้น ยังเหมือนการส่งอาวุธคมกริบให้แก่คนที่เรียนวิชาหมัดด้วย พวกเขาให้ความสำคัญกับกฎเกณฑ์การใช้วรยุทธ์เป็นอันดับหนึ่ง ไม่อย่างนั้นยิ่งลูกศิษย์ที่สอนมามีวรยุทธ์สูงส่ง แต่หากจิตใจไม่ดีงาม ชอบใช้อำนาจรังแกคนอื่นก็จะยิ่งสร้างภัยร้ายได้มากเท่านั้น พูดไม่ถูกหูคำเดียวก็ต่อยตีคนอื่นให้ตาย สุดท้ายยังจะทำให้สำนักและศูนย์ฝึกวรยุทธ์เดือดร้อนไปด้วย


เฉินผิงอันถามถึงเรื่องหลักการของวิชาหมัดนอกอีกเล็กน้อย ตอนแรกอาจารย์ผู้เฒ่ายังอึกๆ อักๆ สีหน้าลำบากใจ เฉินผิงอันแสร้งทำท่ากระจ่างแจ้ง บอกว่าตัวเองลืมเรื่องสำคัญไป ก่อนจะหยิบเงินยี่สิบตำลึงออกมาวางไว้บนโต๊ะชาที่อยู่ด้านข้าง บอกว่าช่วงนี้คิดจะมาเรียนวิชาหมัดที่ศูนย์ฝึกวรยุทธ์ แต่ไม่รับรองว่าจะมาทุกวัน ดวงตาของอาจารย์ผู้เฒ่าเป็นประกายวาบ แล้วถึงได้พูดถึงหลักการของวิชาหมัดที่ทุกคนต่างก็รู้กันดีให้เฉินผิงอันฟังอย่างหมดเปลือก


เฉินผิงอันจดจำทุกเรื่องไว้ในใจแล้วลองเอามาเปรียบเทียบกับ ‘ตำราหมัดเขย่าขุนเขา’ เมื่อได้ฟังหลักการวิชาหมัดอย่างหยาบๆ เหล่านี้ ในที่สุดเฉินผิงอันก็ตัดสินใจได้แล้วว่า วิชายุทธ์ของฟ้าดินแห่งนี้ที่จะรวบรวมมาควรเริ่มจากต่ำไปสูง ไม่ต้องมากเกินไป วันหน้าเวลาว่างจากการฝึกหมัดก็สามารถเอามาพลิกเปิดอ่านได้ ไม่แน่ว่าอาจจะมีเรื่องไม่คาดฝันที่น่ายินดีเกิดขึ้น เหมือนกับก่อนหน้านี้ที่เอาการเดินนิ่งหกก้าวมาผสานรวมเข้ากับท่าหมัดใหญ่ยอดเขาของจ้งชิว จึงทำให้เฉินผิงอันฝ่าทะลุคอขวดของขอบเขตสี่ไปได้สำเร็จ อีกทั้งเมื่อน้ำมาคลองก็เสร็จ (เปรียบเปรยว่าเมื่อเงื่อนไขสุกงอม เรื่องต่างๆ ก็สำเร็จลงด้วยดี) เป็นไปตามธรรมชาติ โดยเฉพาะ ‘พลังอำนาจ’ ตอนที่ติงอิงเดินเข้ามาในห้องโถงใหญ่ของวัดป๋ายเหอ และตอนที่จ้งชิวปรากฎตัวครั้งแรกแล้วเดินเข้ามาหาตน คำว่าฟ้าและคนผสานรวมกันเป็นหนึ่งของสถานที่แห่งนี้ เฉินผิงอันรู้สึกว่ามีความลี้ลับยิ่งใหญ่ซ่อนอยู่ ไม่แน่ว่าเมื่อกลับไปถึงใต้หล้าไพศาลอาจจะได้รับผลประโยชน์อย่างอื่นมาเพิ่มเติม


อีกทั้งยังมีความเป็นไปได้สูงว่า โอกาสในการฝ่าขอบเขตห้าสู่ขอบเขตหกในอนาคตก็อยู่ในความลี้ลับที่ว่านี้ เฉินผิงอันเดาเอาว่าเมื่อเขาออกไปจากพื้นที่มงคลดอกบัวที่ปราณวิญญาณบางเบาแล้ว ตัวเองก็จะตกอยู่ในสภาพจมโคลนซึ่งคล้ายคลึงกับตอนที่ฝานกว่านเอ่อร์อยู่นอกตำหนักใหญ่วัดป๋ายเหอ นั่นคือความรู้สึกอืดอาดชักช้าเหมือนบนร่างแบกหินหนักอึ้ง แล้วก็เหมือนตอนที่หยางเหล่าโถวฝังยันต์ปราณที่แท้จริงสี่แผ่นลงบนข้อมือและข้อเท้าของตน


นี่เป็นครั้งแรกที่เฉินผิงอันมีชีวิตนับตั้งแต่ฝึกวิชาหมัดมา เขาเริ่มนึกถึงผลได้ผลเสียของตัวเอง ระหว่างที่รับมือกับศัตรูแล้วบรรลุวิชาหมัดใหญ่ยอดเขาของจ้งชิวก็คือตัวอย่าง


ตอนแรกที่เรียนวิชาหมัดเขย่าขุนเขาก็เพื่อต่อชีวิต นั่นเป็นการตั้งหน้าตั้งตาฝึกฝนอย่างยากลำบาก ทำไปตามขั้นตอน ไม่กล้าเดินออกนอกเส้นทางแม้แต่น้อย เดินนิ่งหกก้าวและยืนนิ่งเจี้ยนหลูถูกฝึกครั้งแล้วครั้งเล่าจนกระบวนท่าหมัดเกือบจะถูกเขาต่อยให้เละละเอียด จดจำได้ขึ้นใจ ผสานรวมเข้าไปยังจิตวิญญาณ ภายหลังผู้เฒ่าแซ่ชุยบนเรือนไม้ไผ่ถ่ายทอดวิชาหมัดให้ หรือแม้กระทั่งผู้เฒ่าสอนอะไร เฉินผิงอันก็เรียนสิ่งนั้น


ไม่ได้บอกว่าไม่ดี แต่ฝึกหมัดมาจนถึงก้าวนี้ หากอยู่ในสายตาของผู้เฒ่าแซ่ชุยแล้วเรียกว่าร่อแร่เกือบตาย ก็ถือว่าไม่ใช่เรื่องง่ายแล้ว แต่กระนั้นก็ยังไม่พอ หากคิดจะพัฒนาไปอีกก้าวก็ต้องทนรับความลำบากให้ได้มากกว่าเก่าถึงจะทำสำเร็จ จำเป็นต้องได้รับโอกาสในการเปิดสติปัญญาของตัวเองให้โล่งกว้าง คนอื่นไม่อาจบอกได้ เพราะบอกแล้วกลับจะทำให้ไม่ศักดิ์สิทธิ์


แต่เฉินผิงอันกลับตระหนักไม่ได้ว่า เขาฝึกท่าหมัดหนึ่งล้านครั้งถึงจะเริ่มมีความคิดความอ่านเช่นนี้ ทว่ากับเรื่องการฝึกกระบี่ เขากลับเรียนรู้แล้วเอามาปฏิบัติใช้จริงได้ตั้งนานแล้ว กระบี่ที่อาจารย์ฉีทำลายค่ายกลของหลิ่วชื่อเฉิงชุดชมพูในวัดร้าง กระบี่ที่วิญญาณกระบี่ ‘ชักออกจากฝัก’ ในภาพวาดภูเขาและแม่น้ำ กระบี่ที่ตนฟันไปยังภูเขาสุ้ยซาน


ล้วนเป็นกระบี่ของเขาเฉินผิงอันทั้งสิ้น


อาเหลียงเคยบอกว่าหากเขาเฉินผิงอันฝึกวิชากระบี่ต้องได้ดีกว่าวิชาหมัดอย่างแน่นอน


ซึ่งก็คือเหตุผลข้อนี้


คนที่สอนวิชาหมัดหรือสอนวิชากระบี่ วิชาหมัดสูงส่งเกินไป วิชากระบี่เลิศล้ำเกินไป คนที่เรียนวิชาหมัดและวิชากระบี่ก็ยิ่งยากจะเปลี่ยนจากตายตัวมาเป็นมีชีวิต


อุปสรรคและความยากลำบากระหว่างเส้นทางที่ก้าวไป เจิ้งต้าเฟิงก็คือตัวอย่างที่ชัดเจน พรสวรรค์ดีพอ ขอบเขตสูงมากพอ เป็นถึงผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเก้าผู้ยิ่งใหญ่ ทว่าพอไปอยู่นครมังกรเฒ่า เมื่อคาบเกี่ยวอยู่ตรงเส้นระหว่างความเป็นความตาย กลับต้องอาศัยประโยคจากคนที่มองอยู่ด้านข้างอย่างเฉินผิงอัน ที่บอกว่า ‘ศิษย์ไม่จำเป็นต้องด้อยกว่าครูเสมอไป’ ถึงจะฝ่าทะลุคอขวดได้


ฝึกหมัดต้องฝึกจิตใจ เฉินผิงอันถามเหยียนสือจิ่งลูกศิษย์น้อยผู้เป็นที่ภาคภูมิใจมากที่สุดของจ้งชิวถึงสองครั้งว่า ทำไมถึงไม่กล้าออกหมัด


เหตุใดจ้งชิวถึงไม่ได้ผิดหวังในตัวของเหยียนสือจิ่งสักเท่าไหร่ หาใช่เพราะจ้งชิวไม่ได้ฝากความหวังไว้ที่หนุ่มน้อยคนนี้ แต่เป็นเพราะตัวเฉินผิงอันเองเคยให้คำตอบไว้ก่อนแล้ว สี่คำที่จ้งชิวบอกว่า ‘เจอหมัดสูงไม่ออกหมัด’ ตอนนี้เหยียนสือจิ่งยังพูดไม่ออกและทำไม่ได้ นี่ก็เป็นหลักการเดียวกับ ‘เผชิญหน้ากับบุรพาจารย์ของสามลัทธิ ปณิธานหมัดเขย่าขุนเขามิอาจอ่อนข้อ’ หลังจากผ่านการฝึกฝนขัดเกลามานับพันนับหมื่นครั้ง เฉินผิงอันจึงพูดได้และทำได้ แต่ตอนนี้เหยียนสือจิ่งยังจับแก่นสำคัญไม่ได้ จึงไม่จำเป็นต้องสร้างความลำบากใจให้เขา


เส้นทางคดเคี้ยววกวนเหล่านี้ จำเป็นต้องออกหมัดล้านครั้งด้วยตัวเอง ท่องไปในยุทธภพด้วยตัวเองถึงจะมองออกอย่างแท้จริง


ฟังจากบทสนทนาระหว่างเหยียนสือจิ่งกับศิษย์น้องหญิงคนเล็กของเขา เฉินผิงอันเข้าใจแล้วว่าตัวเอง ‘ไม่เหมือนคนทั่วไป’ ลูกรักแห่งสวรรค์อย่างลูกศิษย์ของจ้งชิว ยาเอ๋อร์แห่งลัทธิมารและโจวซื่อหนุ่มปักบุปผา ไม่ว่าจะเป็นตบะหรือสภาพจิตใจกลับสู้เขาไม่ได้สักคน แต่ตอนนี้เฉินผิงอันยังมองความยิ่งใหญ่ไร้เทียมทานของตัวเองในพื้นที่มงคลดอกบัวไม่ออก ยังดีที่เฉินผิงอันพอจะสัมผัสได้ถึงวี่แววของ ‘ฟ้าและคนผสานรวมเป็นหนึ่ง’ ได้อย่างเลือนรางแล้ว นี่ก็คือก้าวหนึ่งที่มั่นคง คือก้าวใหญ่ของผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัว ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตแปด ขอบเขตเก้าหลายคนในใต้หล้าไพศาลก็ยังไม่มีโอกาสที่จะเกิดความรู้สึกเช่นนี้ได้


หลังออกมาจากศูนย์ฝึกวรยุทธ์แล้วเฉินผิงอันก็กลับไปยังที่พัก เด็กหญิงร่างผอมแห้งนั่งเหม่ออยู่ใต้ชายคา ฝนที่เทกระหน่ำเปลี่ยนมาเป็นฝนเม็ดเล็กปรอยๆ พอนางเห็นเฉินผิงอันก็ยิ้มกว้างให้เขา


เฉินผิงอันเห็นว่าบนร่างนางมีบางส่วนที่เปียกชื้นไปด้วยน้ำฝนก็แสร้งทำเป็นมองไม่เห็น หยิบห่อสัมภาระที่ด้านในคือผีผาขึ้นมา เตรียมจะไปหาบัณฑิตยากจนแซ่เจี่ยง เขาอยู่ห่างจากที่นี่ไปประมาณสามช่วงถนน ไม่ถือว่าใกล้นัก


รอจนเฉินผิงอันออกจากบ้านไปแล้ว เขาเพิ่งจะเดินออกจากตรอก เด็กหญิงที่ทำท่าทางลับๆ ล่อๆ ก็รีบปิดประตูลงกลอน แล้ว ‘ฝึกหมัด’ อย่างเข้าท่าเข้าทีอยู่ใต้ชายคา นี่เป็นท่าวิชาอสนีที่นางแอบมองจากเฉินผิงอันซึ่งเลียนแบบมาจากติงอิงและผู้เฒ่าตาบอดอีกที ฝ่ามือข้างหนึ่งหงายขึ้นฟ้า อีกข้างกำเป็นหมัดวางไว้ด้านหน้า เดินออกไปอย่างเชื่องช้า


ธรณีประตูของทั้งสองฝ่ายต่างก็สูงมาก คนหนึ่งคือบุคคลอันดับหนึ่งของใต้หล้าแห่งนี้ อีกคนหนึ่งเกี่ยวพันกับวิชาอสนีของผู้ฝึกลมปราณ ตอนนี้เฉินผิงอันยังได้แค่ตั้งท่าให้คล้ายคลึงอย่างหยาบๆ อีกทั้งยังไม่อาจบรรลุถึงความหมายที่แท้จริง นั่นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเด็กหญิงที่แม้แต่วิชาหมัดก็ยังไม่เคยเรียนมาก่อนเลย หลังจากที่นางฝึก ‘วิชาหมัด’ ท่านี้เสร็จแล้วก็รู้สึกว่าน่าเบื่อ จึงเปลี่ยนมาเป็นท่าอื่น ล้วนเป็นท่าที่นางแอบจำมาจากศึกบนถนนใหญ่ มีการออกหมัดครั้งหนึ่งของจ้งชิว มีกระบี่ที่ลู่ฝ่างผ่าถนน มีท่าเดินนิ่งหกก้าวของเฉินผิงอัน ร่างของเด็กหญิงขยับอย่างงกๆ เงิ่นๆ เอียงๆ เอนๆ ไม่ได้เข้าขั้นเลยสักนิด แน่นอนว่าแค่คำว่าเป็นวรยุทธ์อย่างผิวเผินก็ยังแตะไม่ถึง


ฝึกท่าหมัดมั่วซั่วอยู่พักใหญ่ เด็กหญิงก็ร้องตวาดออกมาหนึ่งครั้ง แล้วกระโดดเตะอย่างเหี้ยมหาญ ผลคือทำให้ตัวเองกระแทกล้มอย่างแรง พอลุกขึ้นยืนก็รู้สึกหิว จึงเดินกะเผลกๆ ไปขโมยของกินในห้องครัว นางรู้สึกว่าตัวเองเป็นวรยุทธ์ที่สูงส่งแล้ว กะว่ารอให้เฉาฉิงหล่างกลับมาจะเอาเขามาเป็นคู่ซ้อม แน่นอนว่าจะทำอย่างนั้นได้ เฉินผิงอันต้องไม่อยู่ด้วย


เฉินผิงอันมองนางทำตัวเหลวไหลจากบนหลังคาบ้านหลังหนึ่ง ขมวดคิ้วน้อยๆ แล้วจากไปอย่างเงียบเชียบ


เมื่อคืนวานตอนที่คุยกับนางแล้วถามว่านางอายุเท่าไหร่ นางบอกว่าตัวเองอายุเก้าขวบ แถมยังชูฝ่ามือขึ้นมาสองข้าง มือข้างหนึ่งงอนิ้วก้อยลง นิ้วที่เหลืออีกสี่นิ้วกลับตั้งตรงดุจพู่กัน


อีกทั้งเวลาที่นางหิ้วน้ำกลับมาจากบ่อน้ำ เฉินผิงอันยังเคยสังเกตลมหายใจและฝีเท้าของนางอย่างละเอียด


เฉินผิงอันที่เดินกางร่มอยู่บนถนนตัดสินใจว่าวันหน้าจะไม่ฝึกวิชาเดินนิ่งอยู่ในลานบ้านหลังเล็กนั่นอีกแล้ว


เจี่ยงเฉวียนคือลูกหลานคนยากจน ตั้งใจศึกษาเล่าเรียนมาสิบกว่าปี ในท้องเต็มไปด้วยวิชาความรู้ ได้รับการยอมรับจากเขตการปกครองของบ้านเกิดว่าเป็นเด็กอัจฉริยะและคนมีพรสวรรค์ เพียงแต่ว่าสอบไม่ติดระบบเค่อจวี่ แม้ว่าทุกวันนี้จะตกอับ แต่ก็ไม่เคยกล่าวโทษฟ้าดิน เขาเช่าบ้านหลังหนึ่งอยู่ร่วมกับบัณฑิตที่มาจากบ้านเกิดเดียวกัน ทุกวันยังคงมุมานะใฝ่เรียน เพียงแต่ว่าตรงหว่างคิ้วกลับมีความกลัดกลุ้มอยู่จ่างๆ ทุกวันหลังจากอ่านหนังสือเหนื่อยแล้วจะเดินออกมาจากซอย มาหยุดยืนตรงมุมถนนคล้ายกำลังรอคอยใคร


คนบ้านเดียวกันสองคนต่างก็รู้ว่าปมในใจของเจี่ยงเฉวียนคืออะไร วันนี้จึงพาเขาไปซื้อหนังสือที่ร้านแห่งหนึ่งซึ่งอยู่บริเวณใกล้เคียง แม้จะพูดว่าซื้อหนังสือ แต่อันที่จริงแล้วกระเป๋าเงินของคนทั้งสามต่างก็ฟีบแบน ได้แต่เปิดอ่านตำราของอริยะปราชญ์ที่ฉบับพิมพ์มีไม่มาก เหลือบมองตำราที่มีเล่มเดียว ตำราหายากประหนึ่งสาวงามเลิศล้ำที่อยู่ไกลๆ หลายทีเพื่อคลายความอยาก


ท่ามกลางสายตาหงุดหงิดใจของเถ้าแก่ร้าน คนทั้งสามได้แต่เดินออกมาจากร้านหนังสืออย่างขลาดๆ เห็นว่าด้านนอกมีชายหนุ่มคนหนึ่งยืนถือร่ม ด้านหลังสะพายห่อสัมภาระ มองมาทางเจี่ยงเฉวียนแล้วถามว่า “เจี่ยงเฉวียนใช่ไหม? ข้าคือญาติของกู้หลิงที่อยู่ในเมืองหลวง มีธุระจะคุยกับเจ้า”


ใบหน้าของเจี่ยงเฉวียนเต็มไปด้วยความตกตะลึงระคนยินดี กล่าวอย่างลิงโลดว่า “ข้าเองๆ ข้าคือเจี่ยงเฉวียน นางอยู่ไหนหรือ?”


ตอนนี้เมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนไม่ค่อยสงบสุข คราวก่อนหลังจากนางไปขอยืมเงินจากญาติก็เงียบหายไปเลย บวกกับที่ตรอกบริเวณใกล้เคียงกับที่พักของเขามีคนตาย ตอนนั้นคนของที่ว่าการขับไล่พวกคนที่มามุงดูด้วยท่าทางดุดัน แล้วเอาเสื่อม้วนศพออกไป รู้แค่ว่าคนตายเป็นสตรีในยุทธภพที่ตายอนาถ มีคนเดาว่าต้องตายเพราะถูกคนแก้แค้นแน่นอน นี่ทำให้เจี่ยงเฉวียนเป็นกังวลอยู่นาน วันแล้ววันเล่า ตลอดช่วงระยะเวลาที่ผ่านมาไม่เคยมีวันใดที่เขาสงบใจอ่านหนังสือได้


คนผู้นั้นกล่าวอย่างเรียบเฉยว่า “จะดีจะชั่วตระกูลกู้ของพวกเราที่อยู่เมืองหลวงก็เป็นตระกูลขุนนาง แม้ว่าสกุลกู้สายของกู้หลิงจะไม่มีอนาคตก้าวหน้า ได้ยินว่ายังมีคนไปปะปนอยู่กับคนในยุทธภพ ไม่มีหน้าไปมาหาสู่กับพวกเรามาหลายปีแล้ว คราวนี้นางเป็นฝ่ายไปหาพวกเราถึงที่ แค่อ้าปากก็บอกว่าจะยืมเงิน ผู้อาวุโสในตระกูลไม่ชอบใจนัก ไม่ใช่ว่าเสียดายเงินเล็กน้อยเพียงเท่านี้ แค่รู้สึกว่านี่เป็นการทำให้วงศ์ตระกูลขายหน้า จึงไม่ยอมรับญาติอย่างนาง กู้หลิงดึงดันจะยืมเงินให้ได้ แถมยังสาบานว่าเจ้าต้องสอบติดตำแหน่งสูงๆ แน่นอน ดังนั้นอีกไม่นานนางก็จะหาเงินมาคืนได้ คนผู้นั้นยังจะแต่งนางเป็นภรรยาอย่างถูกต้อง ผู้อาวุโสในตระกูลรู้ดีว่าการสอบติดเค่อจวี่ไม่ใช่เรื่องง่าย มีหรือจะเชื่อว่าบัณฑิตยากจนคนหนึ่งจะสอบติดจิ้นซื่อได้ จึงบอกกู้หลิงว่าต้องมอบผีผาชิ้นนี้ให้พวกเขา ถึงจะยอมให้นางยืมเงิน ขณะเดียวกันก็บอกให้นางรับปากเรื่องหนึ่งด้วยว่า มีเพียงเจ้าสอบติดจิ้นซื่อได้เท่านั้น ถึงจะยอมให้พวกเจ้าได้พบหน้ากันอีกครั้ง ตอนนี้นางกำลังเดินทางกลับบ้านเกิด และจะไม่มีทางเขียนจดหมายติดต่อกับเจ้าเด็ดขาด”


คนผู้นั้นปลดห่อสัมภาระยื่นส่งให้เจี่ยงเฉวียน และยังควักเงินตุงๆ ถุงหนึ่งออกมา “ข้างในนี้มีเงินห้าสิบตำลึง และยังมีตั๋วเงินอีกสองแผ่น หากใช้จ่ายอย่างประหยัดก็มากพอให้เจ้าประคับประคองตัวเองไปถึงฤดูใบไม้ผลิปีหน้า หากเจ้าเจี่ยงเฉวียนไม่มั่นใจว่าจะสอบติด อันที่จริงข้าสามารถนำคำพูดไปบอกแก่กู้หลิงได้ จากนั้นพวกเจ้าก็หนีตามกันไป คนหนึ่งทอดทิ้งวงศ์ตระกูล อีกคนหนึ่งละทิ้งตำราของอริยะปราชญ์ จะดีจะชั่วก็สามารถใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน ถึงอย่างไรก็คงดีกว่าทนความยากลำบากไปถึงสามปี ถึงเวลานั้นค่อยรอให้ผู้อาวุโสในตระกูลตีคู่ยวนยางให้แยกจากกันอย่างโจ่งแจ้ง ใช่แล้ว ผู้อาวุโสในตระกูลโมโหที่นางดื้อดึงจึงขว้างผีผาชิ้นนี้ วันหน้าหากเจ้ามีโอกาสจะซื้อให้นางใหม่ก็ได้”


เจี่ยงเฉวียนยืนอึ้งอยู่ตรงนั้น


บทที่ 328.2 โยนออกไปนอกอารามกวานเต๋า

ProjectZyphon

บัณฑิตยากจนเชื่อว่าคนหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้คือลูกหลานของตระกูลเศรษฐีผู้ร่ำรวยจริงๆ


อันที่จริงหัวใจเขาเต้นรัวอยู่ตลอดเวลา เมื่อมายืนอยู่ตรงหน้าคนผู้นี้ เจี่ยงเฉวียนรู้สึกละอายใจที่ตัวเองสู้อีกฝ่ายไม่ได้


เขาถามอย่างขลาดๆ ว่า “เหตุใดถึงช่วยข้า?”


คนผู้นั้นตอบว่า “ข้าแค่ช่วยกู้หลิง ไม่ได้ช่วยเจ้า”


เจี่ยงเฉวียนกอดผีผา แต่กลับไม่ได้รับถุงเงินไป เขาถามอย่างใคร่รู้ “เจ้าเป็นลูกหลานตระกูลกู้ไม่ใช่หรือ? เหตุใดถึงเต็มใจปกป้องแม่นางกู้?”


“ในเมื่อกู้หลิงชอบเจ้าขนาดนั้น ข้าจึงอยากมาดูให้เห็นกับตาว่าเจ้าเป็นคนอย่างไรกันแน่”


คนผู้นั้นเงียบไปครู่หนึ่งก็พูดขึ้นช้าๆ ว่า “ในตำรากล่าวว่า ขอแค่หัวใจสองดวงรักมั่นไม่เสื่อมคลาย”


เจี่ยงเฉวียนยิ้มอย่างเข้าใจ ในใจเริ่มมีความมั่นใจมากขึ้นจึงพยักหน้ารับอย่างแรงคล้ายให้กำลังใจตัวเอง “ใยต้องอยู่เคียงคู่กันทุกวัน!”


จากนั้นเจี่ยงเฉวียนก็ส่ายหน้า “เงินข้าไม่ต้องการแล้ว ข้าจะออกไปตั้งแผง ช่วยคนเขียนจดหมายส่งถึงที่บ้าน หรือไม่ก็เขียนกลอนคู่ ถึงอย่างไรก็พอเลี้ยงตัวเองได้ ไม่มีเหตุผลให้ต้องรับเงินก้อนนี้แล้วทำให้แม่นางกู้ถูกคนในครอบครัวดูแคลน ถูกคนรังเกียจ แต่รบกวนเจ้าหน่อย หากกลับไปถึงบ้านแล้วช่วยเขียนจดหมายฉบับหนึ่งให้นาง บอกว่าให้นางรอวันที่ข้าสอบติดเป็นจิ้นซื่อได้เลย!”


กล่าวมาถึงตรงนี้ เจี่ยงเฉวียนก็ยิ้มสดใส “ไม่แน่ว่าในอนาคตนางอาจจะได้เป็นฮูหยินตราตั้งก็ได้นะ”


แต่แล้วเจี่ยงเฉวียนก็รีบโบกมือ “ประโยคนี้เจ้าห้ามเขียนลงไปในจดหมายเด็ดขาด เพราะไม่แน่ว่าข้าจะทำได้ แค่ข้าจดจำไว้ในใจก็พอ หากมีวันนั้นจริงๆ ข้าจะพานางมาพบเจ้าอีกครั้ง ให้นางได้รู้ถึงน้ำใจของเจ้าในวันนี้”


คนผู้นั้นก็เป็นคนประหลาดนัก ยังคงยัดถุงเงินมาให้เจี่ยงเฉวียน แล้วก็พูดประโยคประหลาดว่า “เงินนี้เจ้าต้องรับเอาไว้ นี่เป็นน้ำใจของกู้หลิง ยิ่งเป็นเงินที่สะอาดที่สุดในใต้หล้า”


สหายที่มาจากบ้านเกิดเดียวกันสองคนนั้นก็เกลี้ยกล่อมให้เจี่ยงเฉวียนรับเงินไว้


คนผู้นั้นหมุนกายจากไป


เจี่ยงเฉวียนตะโกนถามเสียงดังว่า “น้องชาย หลังสอบติดแล้ว ข้าจะหาเจ้าพบได้อย่างไร?”


คนผู้นั้นหันหน้ากลับมา “หากเจ้าสอบติดจะมีคนไปหาเจ้าเอง และบอกเรื่องทุกอย่างกับเจ้า”


ฝนเม็ดเล็กมาเยือนโลกมนุษย์อีกครั้ง


เจี่ยงเฉวียนและเพื่อนรักสองคนออกไปจากถนนแถบนี้ ห่างออกไปไกล คนที่เอาความมาบอกผู้นั้นยืนถือร่มอยู่ใต้ชายคาตรงมุมถนนแห่งหนึ่ง มองส่งบัณฑิตยากจนที่ค่อยๆ เดินจากไปไกล


นักพรตเฒ่ามาปรากฏตัวอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน ถามด้วยรอยยิ้มว่า “แล้วทำไมถึงไม่บอกความจริงกับเขาไปตรงๆ เลยเล่า?”


เฉินผิงอันเอ่ยเบาๆ “ไม่ต้องบอกอะไรเขาสักอย่าง บอกเขาทุกอย่าง และสามปีให้หลัง ไม่ว่าเจี่ยงเฉวียนจะสอบติดหรือไม่ก็ให้ราชครูจ้งช่วยบอกความจริงแก่เขาแทนข้า ข้ารู้สึกว่าทางเลือกข้อที่สามนี้ดีสำหรับเขาและกู้หลิงมากกว่า”


นักพรตเฒ่าถามอีกคำถามหนึ่งที่จี้ใจคน “ถ้าอย่างนั้นทางเลือกข้อไหนที่ทำให้เจ้ารู้สึกดีที่สุด?”


เฉินผิงอันตอบ “หากเป็นตอนก่อนจะเข้ามาในพื้นที่มงคลดอกบัวก็คงเป็นทางเลือกที่หนึ่ง ท่องอยู่ในยุทธภพ ไม่ว่าใครก็ควรรับผิดชอบความเป็นความตายของตัวเอง แต่ตอนนี้น่าจะเป็นทางเลือกที่สอง อย่างน้อยถามใจตัวเองแล้วก็ไม่ละอาย ไม่ทิ้งจุดด่างใดๆ ไว้ในใจ ส่วนข้อที่ว่าทำไมถึงเลือกข้อที่สาม ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน อันที่จริงตัวข้าก็ไม่รู้ว่าทางเลือกนี้ผิดหรือถูก”


นักพรตเฒ่าพูดพร้อมคลี่ยิ้ม “ไม่รู้ว่าผิดหรือถูกใช่ไหม?”


เฉินผิงอันหันหน้ามามอง “ทำไมหรือ?”


นักพรตเฒ่าใช้ฝ่ามือข้างหนึ่งกดลงบนไหล่ของเฉินผิงอัน “หลังจากนี้เจ้าก็ยิ่งไม่มีทางรู้ได้”


นาทีถัดมาราวกับเป็นช่วงยามฟ้าสาง พระอาทิตย์ลอยขึ้นจากทิศตะวันออก หน้าประตูวังหลวงในเมืองหลวงของแคว้นหนันเยวี่ยน คนเปิดประตูวังตะโกนก้องเสียงดัง


นักพรตเฒ่าถามยิ้มๆ “รู้ไหมว่าทำไมถึงมีขนบธรรมเนียมเช่นนี้สืบทอดกันมา? ไม่ว่าจะเป็นใต้หล้าไพศาลหรือพื้นที่มงคลดอกบัวก็ล้วนจำเป็นต้องทำแบบนี้”


เฉินผิงอันที่จำต้องหุบร่มส่ายหน้า


นักพรตเฒ่ากล่าวว่า “ในช่วงเวลาที่แสงอรุณสาดส่องลงมา วังหลวงจำเป็นต้องตวาดขับไล่วิญญาณพยาบาทบางส่วนออกไป เจ้าคิดว่าเป็นวิญญาณพยาบาทของใคร?”


เฉินผิงอันยังคงส่ายหน้า


นักพรตเฒ่าจึงเอ่ยว่า “ของขุนนางผู้ซื่อสัตย์ที่ตายไปอย่างอยุติธรรม ขุนนางผู้จงรักภักดีที่ตายไปอย่างเปล่าประโยชน์ ขุนนางผู้เป็นเสาค้ำยันบ้านเมืองที่ตายเพราะเสี่ยงถวายคำทัดทานแก่ฮ่องเต้ในประวัติศาสตร์”


หลังจากนั้นเวลาสิบปีร้อยปีของแม่น้ำแห่งกาลเวลาสายยาวในพื้นที่มงคลดอกบัวก็ราวกับว่าไหลมาอยู่ในช่วงระยะเวลาเพียงปีเดียวของผู้เฒ่า


นาทีถัดมานักพรตเฒ่าพาเฉินผิงอันมาพบกับอาจารย์ผู้เฒ่าผู้มุ่งมั่นศึกษาตำราใฝ่หาความรู้ ยามจรดพู่กันราวกับมีเทพช่วย แต่กลับไม่เข้มงวดกับลูกหลาน ตอนที่ใกล้จะจากโลกนี้ไป หยาดเหงื่อแรงใจที่ทุ่มเททำมาทั้งชีวิตล้วนถูกลูกหลานเอาไปเร่ขายผลาญทิ้งจนสิ้น ด้วยความโมโหจึงเผาผลงานทั้งหมดของตัวเอง


และยังได้พบกับอัครเสนาบดีจากตระกูลยากจนที่ในที่สุดก็สามารถเขียนบทกวีที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยความงดงามอย่างแท้จริงได้ในช่วงบั้นปลายชีวิต บทความของเขาไม่ต้องถูกคนในตระกูลและเพื่อนร่วมงานดูแคลนว่าเป็นดั่งคนสวมชุดทองเครื่องประดับเงิน แต่ใส่รองเท้าฟางสานอีกต่อไป


ได้เห็นขุนนางสำคัญผู้เป็นแกนกลางของราชสำนักที่พักอยู่ในจวนเก่าโทรม สองชายแขนเสื้อมีลมเย็น (เปรียบเปรยถึงขุนนางมือสะอาด) มีชื่อเสียงอันดี ทว่าญาติที่อยู่ในท้องถิ่นกลับรังแกบุรุษข่มเหงสตรี แต่ละคนห้อยเงินหมื่นกว้านไว้รอบเอว จดหมายทุกฉบับที่เขาเขียนถึงทางบ้านล้วนตักเตือนให้คนในตระกูลรู้จักประหยัดมัธยัสถ์ รักษาคุณธรรม หลังจากเนื้อหาในจดหมายปรากฏสู่สายตาของคนรุ่นหลัง เขาก็ยังได้รับคำยกย่องชมเชยจากผู้คน


องค์ชายแคว้นเป่ยจิ้นคนหนึ่งยืนเป่าลมใส่มือหาความอบอุ่นอยู่นอกห้องเรียนในวันหิมะตกหนัก


คุณชายเสเพลคนหนึ่งที่ทำตัวกำเริบเสิบสาน ก่อกรรมทำชั่วไม่ว่างเว้น พอกลับไปถึงบ้านกลับกตัญญูต่อย่า ช่วยเหน็บชายผ้าห่มให้ผู้อาวุโสนอนอุ่นสบาย


ขุนนางคนสำคัญของแคว้นซงไล่คนหนึ่งที่อุทิศตนเพื่อบ้านเมือง ปฏิรูปกฎหมาย ในบรรดาลูกหลานสายตรงเจ็ดแปดคนที่ถูกนำตัวมาใช้ มีเกินครึ่งที่แสร้งใช้ข้ออ้างปฏิรูปกฎหมายแสวงหาผลประโยชน์ใส่ตัว กำจัดคนที่เห็นต่าง บ้างก็พยายามคาดเดาจิตใจฮ่องเต้ แอบสร้างพรรคพวก สุดท้ายการปฏิรูปกฎหมายล้มเหลว ขุนนางคนสำคัญผู้นั้นถูกจับขังคุกแล้วก็ยังรักษาจิตใจอันกว้างขวางไว้ได้ เจ็บใจก็แต่ปณิธานยิ่งใหญ่ยังไม่ทันได้เป็นจริง ตัวเองกลับต้องมาตายไปเสียก่อน


จอมยุทธ์น้อยในยุทธภพคนหนึ่งที่ไร้หนทางให้เดินต่อ พ่อแม่ถูกศัตรูคู่แค้นฆ่าตาย ชีวิตหลายสิบปีต่อจากนั้นเต็มไปด้วยอุปสรรค ต้องทนรับความอัปยศ ถูกคนหลู่เกียรติ ตอนที่ได้แก้แค้น เขาสังหารคนทั้งครอบครัวของศัตรูไปหลายสิบคน ได้ชำระแค้นอย่างสาสมใจ หลังจากที่จอมยุทธ์น้อยซึ่งกลายเป็นบุรุษเต็มตัว กลายเป็นจอมยุทธ์ใหญ่จากไป มีเด็กหญิงคนหนึ่งพาเด็กชายที่อายุน้อยกว่าคนหนึ่งเดินออกมา ตอนนั้นสองพี่น้องเล่นซ่อนแอบกันอยู่ ได้ไปหลบอยู่ซอกผนังพอดี เมื่อรอดพ้นหายนะครั้งนี้มาได้ สุดท้ายเด็กทั้งสองคนก็โขกศีรษะต่อหน้าหลุมศพ กล่าวคำสาบานว่าจะแก้แค้นแทนคนในครอบครัว


นายอำเภอสองคนที่เกี่ยวพันกับปัญหาเรื่องการส่งหนังสือราชการถึงสองครั้งเหมือนกัน จำต้องถูกราชสำนักซักไซ้เอาความผิด นายอำเภอคนหนึ่งได้แอบออกอุบายอันชาญฉลาดให้แก่คนส่งสารของจุดพักม้า บอกให้แจ้งความเท็จว่าระหว่างทางเจอโจรดักปล้น อีกทั้งยังบอกให้คนของจุดพักม้าผู้นั้นใช้มีดทำร้ายตัวเอง สุดท้ายจึงหลอกตบตาขุนนางกรมกลาโหมที่มาตรวจสอบเรื่องนี้ไปได้ ส่วนนายอำเภออีกคนหนึ่ง ทั้งๆ ที่เป็นหน้าหนาวหิมะตกหนัก เส้นทางถูกปิดกั้น เพื่อทำหน้าที่ให้สำเร็จ คนส่งสารของจุดพักม้าจึงพยายามข้ามแม่น้ำไปให้ได้ แต่กลับทำให้หนังสือราชการถูกน้ำได้รับความเสียหาย นายอำเภอรายงานเรื่องนี้ตามความจริง ผลคือคนส่งสารถูกโบยหนึ่งร้อยไม้ เนรเทศไปไกลพันลี้ ส่วนนายอำเภอไม่ได้รับเงินเดือนหนึ่งปี คนในพื้นที่วิพากษ์วิจารณ์กันว่าภายในห้าปีนี้เขาคงไม่มีโอกาสได้เลื่อนขั้นแล้ว


 เรื่องราวหลังจากนั้นก็ยิ่งแปลกประหลาด แม่น้ำแห่งกาลเวลาเริ่มหมุนย้อนกลับ


มองเห็นจอมยุทธ์พเนจรเฝิงชิงป๋ายกับถังเถี่ยอี้ที่เรียกกันเป็นพี่เป็นน้องนั่งดื่มสุราอยู่ตรงข้ามกัน ตบเข่าร้องเพลงเสียงดังอยู่ในเมืองชายแดน


เฉินผิงอันยังได้มาที่นอกเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยน เห็นหญิงสาวที่ชื่อว่ากู้หลิงคนนั้น เห็นการพบกันครั้งแรกระหว่างนางกับบัณฑิตเจี่ยงเฉวียน มองเห็นการทำความรู้จักกัน การตกหลุมรักกันและกันของพวกเขา ก่อนจะเข้าเมืองมีหิมะตกหนัก กู้หลิงที่เพิ่งจะทำงานลอบสังหารครั้งหนึ่งสำเร็จเร่งรีบเดินทางเพื่อไปสอบเคอจวี่เป็นเพื่อนบัณฑิต


หญิงสาวยืนอยู่ท่ามกลางหิมะที่ตกหนักเพียงลำพัง ปีนี้นางเจอกับบัณฑิตคนหนึ่ง ท่ามกลางชีวิตที่มืดมนและเต็มไปด้วยคาวเลือดของนางจึงดูเหมือนว่ามีหิมะตกลงมา พื้นดินที่กว้างขวางสะอาดเอี่ยมทำให้นางเข้าใจผิดนึกว่าตัวเองคือสตรีที่ดีที่สุด แม้จะรู้ดีว่าหิมะต้องละลาย และนางก็ยังเป็นผู้หญิงที่ชั่วร้ายคนนั้น ทว่าการได้พบเจอกับเขาก็ถือว่าสวรรค์ไม่ปฏิบัติต่อนางอย่างเลวร้ายเกินไปแล้ว


มองเห็นเด็กหญิงผอมแห้งคนหนึ่งที่บางครั้งจะออกไปมองเนินดินเล็กๆ เนินหนึ่งนอกเมืองด้วยสีหน้าคิดถึง


สุดท้ายเฉินผิงอันมองเห็นตัวเองที่มองไปยังบ่อน้ำแห่งนั้นแวบหนึ่ง


มีสองครั้งที่ลอบเข้าไปยังหอเก็บตำราส่วนตัวของคนอื่น ท่ามกลางตำรานับพันนับหมื่นเล่ม เกินครึ่งล้วนเป็นตำราใหม่เอี่ยม แต่ก็มีอยู่หลายเล่มที่เป็นตำราเก่าแก่หลายปีแล้ว ทว่าพอเปิดออกอ่านกลับยังได้กลิ่นหอมของหมึกจางๆ หลักการของอริยะปราชญ์และบทความไพเราะมากมายล้วนไม่มีใครได้ชื่นชม


เห็นตัวเองที่ยืนอยู่หน้าบ้านในตรอกเล็ก ยกแขนขึ้นแล้วก็เอาแขนลงอยู่หลายครั้งด้วยไม่กล้าเคาะประตู


ตอนที่เขากับเฉาฉิงหล่างเดินกางร่มไปโรงเรียน เด็กหญิงยืนอยู่หน้าประตู จ้องมองมาที่แผ่นหลังของพวกเขาเขม็ง แม้น้ำฝนจะสาดโดนเต็มใบหน้า นางกลับไม่รู้ตัวแม้แต่น้อย


สุดท้ายเฉินผิงอันยืนอยู่ใต้ชายคาเพียงลำพัง ในมือยังคงถือร่มกระดาษน้ำมันคันนั้นที่ไม่รู้ว่าอยู่เคียงข้างเขามานานกี่ปีแล้ว บนถนนใหญ่ยังคงมีฝนเม็ดบางตกปรอยๆ


นักพรตเฒ่าไม่อยู่ข้างกายแล้ว


ผิดกับถูก ดีกับเลว ใช่กับไม่ใช่ ดีงามกับชั่วร้าย


เฉินผิงอันได้เห็นมามากมายเหลือเกิน


เขามองหลักการเหตุผลอะไรที่ทำให้คนรู้สึกว่าถูกต้องตามหลักฟ้าดินไม่ออกสักอย่าง กลับกลายเป็นว่าหลักการเหตุผลทั้งหลายที่ในอดีตเคยยืนหยัดมาล้วนไม่มีเหตุผล


เฉินผิงอันอดนึกถึงประโยคหนึ่งที่คนพายเรือเฒ่าซึ่งในอดีตเคยพายเรือให้ลู่เฉินพูดกับเขาหลังจากมรสุมบนเกาะกุ้ยฮวาผ่านพ้นไปไม่ได้ ผู้เฒ่ากล่าวว่า ‘เจ้าอย่าหวังจะทำลายมหามรรคาของข้า’


ก่อนหน้านี้ ต่อให้รู้ทั้งรู้ว่าโจวซื่อหนุ่มปักบุปผาไม่ใช่ตัวการร้ายที่แท้จริง แต่เขาก็ยังคงตัดสินใจทำตามคำบอกหลังจบเรื่องของจ้งชิว หากมีห้ารายชื่อนั้นจริงๆ ก็จะเอารายชื่อหนึ่งในนั้นดึงตัวโจวซื่อมาเป็น ‘ผู้ใต้บังคับบัญชา’ ของตน แล้วต่อยเขาให้ตายด้วยหมัดเดียว ก่อนหน้านี้เขารังเกียจเด็กหญิงผอมแห้งคนนั้นอย่างสุดหัวใจ แต่กลับไม่รู้เลยว่าทำไม ถึงขั้นไม่เต็มใจจะคิดให้ลึกซึ้ง แต่ก็ใช่ว่าเขาจะไม่ได้ผลเก็บเกี่ยวซะเลย เขาเริ่มรู้สึกว่าตัวเองปล่อยวางเงินเกล็ดหิมะได้มากขึ้น แม้ว่าเงินเกล็ดหิมะเหรียญนั้นจะวางอยู่ข้างบทกลอนในตำราที่เขาคิดว่างดงามอย่างยิ่งก็ตาม


ท้องฟ้าหลังฝนโปร่งใส เฉินผิงอันเดินไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมาถึงบ่อน้ำ เขายืนอยู่ตรงนั้นแล้วก้มหน้ามองลงไปก้นบ่อ


และเวลานี้เอง เด็กหญิงร่างผอมแห้งที่อยู่ในลานบ้านขนาดเล็กก็กำลังเงยหน้ามองดวงอาทิตย์ที่เจิดจ้าแสบตา


พิศอารามเต๋า เต๋าพิศเต๋า


นักพรตเฒ่านั่งอยู่บนท้องฟ้า มองคนทั้งสอง


ถ้ำสวรรค์เหลียนฮวาที่เชื่อมติดอยู่กับพื้นที่มงคลดอกบัวมีนักพรตเต๋าคนหนึ่งนั่งอยู่ริมแม่น้ำ มองคนทั้งสาม


ตามคำบอกของลูกศิษย์บางคน เขาก็แค่มีเวลาว่างแล้วมานั่งมองเต๋าเล็กๆ ของคนอื่นเท่านั้น


เฉินผิงอันพลันดึงสายตากลับคืนมาแล้วคลี่ยิ้ม เดินออกไปจากข้างบ่อน้ำ แม้ว่าจะไม่เข้าใจอะไรสักอย่าง แต่ก็คิดตกเรื่องหนึ่ง นั่นคือต้องสั่งสอนหลักการการเป็นคนให้กับเด็กหญิงที่มีนิสัยชวนให้ผู้คนรังเกียจคนนั้นสักหน่อย สอนจากเรื่องที่ง่ายที่สุด หากสอนแล้วนางไม่เข้าใจ สอนไปแล้วไม่มีประโยชน์ ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องสนใจนางอีก แต่ส่วนที่ต้องสอนก็ยังต้องสอน อย่างน้อยก็ต้องให้นางรู้ว่าอะไรคือดี อะไรคือชั่ว นางจะเป็นคนชั่วต่อไป หรือจะเปลี่ยนแปลงตัวเองกลายมาเป็นคนดีก็เป็นเรื่องของนางแล้ว


นักพรตเฒ่าสีหน้าดำคล้ำ อารมณ์ไม่ค่อยดีนัก คิดอยากแต่จะโยนเฉินผิงอันออกไปนอกพื้นที่มงคลดอกบัว


เขาไม่คิดเลยว่าตัวเองจะเอาชนะซิ่วไฉเฒ่าไม่ได้


ดังนั้นเขาจึงสะบัดชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง เฉินผิงอันก้าวหนึ่งก้าวก็ออกมาจากพื้นที่มงคลดอกบัว กลายเป็นมาอยู่บนทางเดินม้านอกแคว้นเป่ยจิ้นของใบถงทวีป


สวมชุดอาคมจินหลี่สีทอง ตรงเอวห้อยน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ แค่ไม่มีกระบี่ปราณยาวอยู่ด้านหลัง


ทว่าขอบเขตวรยุทธ์ยังคงเป็นขอบเขตห้า ไม่ได้หายไปพร้อมกับพื้นที่มงคลดอกบัว


อีกทั้งกระบี่บินชูอีและสืออู่ที่จิตเชื่อมโยงถึงกัน ตอนนี้ก็อยู่ในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ด้วย


เฉินผิงอันรีบเหลียวซ้ายแลขวา โชคดีที่เห็นว่าบนทางห่างไปไม่ไกล คนจิ๋วดอกบัวโผล่หัวออกมาจากตรงนั้น เห็นได้ชัดว่าเจ้าตัวน้อยมึนงงยิ่งกว่าเฉินผิงอันเสียอีก


นักพรตเฒ่ามายืนอยู่ข้างกายเขา “ตามข้อตกลง เจ้าสามารถพาคนห้าคนไปจากพื้นที่มงคลดอกบัว สี่คนในนั้น ข้าช่วยเลือกไว้ให้เจ้าเรียบร้อยแล้ว”


ในมือนักพรตเฒ่าถือม้วนภาพสี่ม้วน เขาโยนออกไปอย่างไม่ใส่ใจ พวกมันมาก็เรียงลำดับกันอยู่หน้าเฉินผิงอัน ลอยอยู่กลางอากาศ ก่อนที่ม้วนภาพหนึ่งในนั้นจะคลี่ตัวออกด้วยตัวเอง ด้านบนวาดภาพบุรุษสวมชุดคลุมมังกรนั่งตัวตรง “นี่คือฮ่องเต้ผู้บุกเบิกแคว้นหนันเยวี่ยน เว่ยเซี่ยน”


หญิงสาวคนหนึ่งที่ด้านหลังสะพายกระบี่ “สุยโย่วเปียน ละทิ้งการเรียนวรยุทธ์ เป็นผู้มีคุณสมบัติที่จะเป็นเซียนกระบี่เช่นเดียวกัน”


“หลูป๋ายเซี่ยงบรรพบุรุษแห่งลัทธิมาร”


“จูเหลี่ยน”


“สี่คนนี้มีเรือนกายและจิตวิญญาณที่สมบูรณ์แบบ หลังจากนี้เจ้าจงใช้เงินฝนธัญพืชเลี้ยงพวกเขา แค่โยนเข้าไปในภาพวาดทุกวันก็พอ สักวันหนึ่งเมื่อพวกเขากินจนอิ่มแล้วก็จะสามารถเดินออกมาจากภาพวาด อุทิศตนให้แก่เจ้า อีกทั้งยังภักดีอย่างถวายหัว ส่วนข้อที่ว่าหลังจากนี้ขอบเขตวรยุทธ์ของพวกเขาจะเป็นเช่นไร หรือจะเปลี่ยนไปฝึกตนเป็นผู้ฝึกลมปราณก็ล้วนขึ้นอยู่กับความสามารถของเจ้านายอย่างเจ้าเฉินผิงอันแล้ว แน่นอนว่าก่อนจะเป็นเช่นนั้นได้ เจ้าต้องเลี้ยงดูให้พวกเขามีชีวิตกลับคืนมาเสียก่อน”


เห็นได้ชัดว่าผู้เฒ่าไม่เต็มใจจะพูดอะไรกับเฉินผิงอันมากนัก อีกทั้งยังไม่เปิดโอกาสให้เฉินผิงอันเอ่ยแทรก ถึงได้พูดรวดเดียวยาวขนาดนี้


ไม่รอให้เฉินผิงอันถามว่าคนสุดท้ายคือใคร นักพรตเฒ่าก็ยื่นมือข้างหนึ่งไปคว้าแล้วกระชากเด็กหญิงร่างผอมแห้งคนหนึ่งออกมา ตบลงบนศีรษะด้านหลังของนางหนึ่งครั้ง นางก็ล้มหน้าทิ่มอยู่บนถนน พอเงยหน้าขึ้นมา บนใบหน้าของนางจึงเต็มไปด้วยความเลื่อนลอย


เฉินผิงอันหันไปมองนักพรตเฒ่าร่างสูงใหญ่แล้วถามว่า “สะพานอมตะจะทำอย่างไร?”


นักพรตเฒ่าสีหน้าเฉยเมย “ปูรากฐานไว้เรียบร้อยแล้ว หลังจากนี้ก็คลำหาทางเอาเอง”


เฉินผิงอันถามอีก “แล้วกระบี่ปราณยาวเล่มนั้นล่ะ?”


นักพรตเฒ่ามองไปยังทิศไกล “ข้าย่อมคืนให้กับเฉิงชิงตูด้วยตัวเอง”


เฉินผิงอันเก็บภาพวาดทั้งสี่ไว้ในกระบี่บินสืออู่ แล้วจึงกุมหมัดบอกลานักพรตเฒ่า


นักพรตเฒ่าอารมณ์ไม่ใคร่จะดีนัก เดินก้าวหนึ่งกลับเข้าไปในพื้นที่มงคลดอกบัว ชำเลืองตามองถ้ำสวรรค์เหลียนฮวาที่เชื่อมติดอยู่กับพื้นที่มงคลแวบหนึ่ง เจ้าหมอนั่นไปจากริมแม่น้ำแล้ว


นักพรตเฒ่าถึงได้ยิ้มออก


เฉินผิงอันตาใหญ่จ้องอยู่กับตาเล็กของเด็กหญิงผอมแห้ง


ก่อนที่เขาจะถอนหายใจ “เจ้าชื่ออะไร?”


เด็กหญิงเป็นคนใจกล้า แม้จะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่หลังจากปัดฝุ่นบนร่างตัวเองแล้วก็ยังคงตอบพร้อมหัวเราะร่า “ก่อนหน้านี้ก็บอกแล้วไม่ใช่หรือว่าข้ามีแค่แซ่ พ่อแม่ยังไม่ทันได้ตั้งชื่อให้ข้า ข้าก็เลยตั้งชื่อให้ตัวเอง แค่อักษรเดียวเท่านั้น นั่นคือเฉียน (เงิน) ก็ข้าชอบเงินนี่นา”


เฉินผิงอันถาม “แล้วแซ่อะไร?”


เด็กหญิงยืดอกเล็กๆ ขึ้นพลางตอบว่า “เผย! เผยที่ด้านล่างมีคำว่าอีที่แปลว่าเสื้อผ้า (裴 ประกอบด้วยตัวอักษรสองตัว ตัวล่างคือคำว่า 衣 ที่แปลว่าเสื้อผ้า) พ่อข้าเคยเล่าให้ฟังว่าแซ่นี้เป็นแซ่ใหญ่ของบ้านเกิดเชียวนะ! ในแซ่มีคำว่าเสื้อผ้า ในชื่อมีคำว่าเงิน เป็นมงคลอย่างยิ่ง”


เฉินผิงอันตบหน้าผากตัวเอง


แซ่เผยชื่อเฉียน เผยเฉียน เผยเฉียน… (เผยเฉียนแรกที่เป็นชื่อของเด็กหญิงเขียนว่า 裴钱 เผยเฉียนคำที่สองเขียนว่า 赔钱 แปลว่าชดใช้เงินหรือขาดทุน)


มิน่าเล่าตนถึงได้ไม่ชอบนาง

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)