ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น 327-334
ตอนที่ 327 เห็นแฟนสำคัญกว่าพี่ชาย
เหยียนหมิงซุ่นไม่สนว่าฉิวฉิวจะอยากไปหยอกเย้ากับกระรอกสาวที่ไหน เขาสะบัดมือจนเจ้าตัวน้อยหลุดออกไป กล่าวเสียงเข้ม “ไปอาบน้ำที่บ่อน้ำให้สะอาดเอง ไม่อย่างนั้นอย่าคิดว่าจะได้กินขนมอีก!”
“จิ๊กจิ๊ก”
ฉิวฉิวถูกเขาสะบัดออกไปไกล ม้วนตัวลงอยู่กลางอากาศอย่างคล่องแคล่ว วิ่งอุตลุดผ่านไปทางด้านข้างบนต้นไม้ใหญ่ หันมาแยกเขี้ยวแหลมเล็กให้เหยียนหมิงซุ่น เขาไปอาบน้ำอย่างเชื่อฟัง เมื่อเทียบกับกระรอกสาวที่สวยงามแล้ว ลุงฉิวฉิวยังชอบกินขนมมากกว่าอีก
เหมยเหมยมองอย่างประหลาดใจระคนสงสัย เหยียนหมิงซุ่นกระแอมเสียงเบาๆ อธิบาย “ตัวฉิวฉิวมีกลิ่นนิดหน่อย พี่เลยให้เขาไปอาบน้ำให้สะอาด”
พูดจบเหยียนหมิงซุ่นก็มองมือของตัวเองอย่างรังเกียจ ทีแรกยังคิดจะตีหัวยายตัวดีสักหน่อย ช่วงนี้เขาชอบตีหัวอู่เหมยมาก ทั้งเกลี้ยงเกลาทั้งเรียบ ตีแล้วรู้สึกดี และสนุกกว่าตีอาฮวาที่บ้านตั้งเยอะ
เสียดายที่ถูกฉิวฉิวทำเสียบรรยากาศ เหม็นหึ่งขนาดนี้ จะให้เขาลงมือได้อย่างไร?
อู่เหมยพอได้ยินเหยียนหมิงซุ่นพูดเรื่องกลิ่น เธอก็นึกถึงกระปุกล้างจมูกใบนั้นทันที วันนั้นเธอซื้อกระปุกกลับมา ฉิวฉิวก็ไม่ยอมกลับบ้านกับเธอ จะนอนอยู่ในกระปุกท่าเดียว และก็ไม่รังเกียจกลิ่นเหม็นนั่นด้วย
ไม่นานฉิวฉิวก็กลับมา ตัวเปียกแฉะไปหมด ร่างกายดูเล็กลงเกือบสองส่วนสามในครู่เดียว ดูแล้วมีขนาดเท่าฝ่ามือเท่านั้น ดูตลกกว่าเดิม
อู่เหมยอดขำไม่ได้ โดนลุงฉิวมองค้อน เมื่อสักครู่ตอนที่เดินผ่านป่าเล็กๆ มา กระรอกสาวตัวนั้นไม่สนใจเขาเลย ลุงฉิวจึงโกรธมาก
“พี่หมิงซุ่น ฉันกลับบ้านล่ะ”
อู่เหมยขอลากลับกับเหยียนหมิงซุ่น เธอต้องกลับไปเช็ดตัวฉิวฉิวให้สะอาด คืนนี้อากาศเย็น เดี๋ยวจะไม่สบายเอา
เหยียนหมิงซุ่นทนกับอาการคันฝ่ามือ เขายิ้มพลางพยักหน้า “กลับไปแล้ว รีบเข้านอนนะ”
“อื้อ พี่หมิงซุ่นก็เข้านอนเร็วๆ นะ ลาก่อนค่ะ!”
อู่เหมยโบกมือให้เหยียนหมิงซุ่น เธออุ้มฉิวฉิวเดินกลับไป ใบหน้าเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม เพราะว่าเหยียนหมิงซุ่นชอบภาพวาดที่เธอมอบให้ สิ่งนี้ทำให้เธอพึงพอใจเป็นพิเศษ
“ฮึ!”
ทันทีที่เดินมาถึงด้านล่างของอาคาร สยงมู่มู่ก็วิ่งพรวดออกมา หน้าเง้าหน้างอบูดบึ้ง เหมือนกับมีคนมาติดหนี้ เขาไม่มองอู่เหมยสักนิด เดินไปข้างหน้าอย่างไม่สนใจใคร
อู่เหมยตกใจสะดุ้งขึ้นมาก่อน พอเห็นชัดว่าเป็นสยงมู่มู่ ก็โมโหขึ้นมาทันทีพลันตะคอกใส่เขา “นี่นายมาทำอะไรลับๆ ล่อน่ะ?”
“ฮึ!”
สยงมู่มู่ทำเสียงฮึดฮัดไม่พอใจอีกครั้ง
เขาพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “สนามกีฬาไม่ใช่ของเธอคนเดียวสักหน่อย หรือว่ามีเพียงเธอคนเดียวที่ไปได้?”
อู่เหมยถูกตอกกลับอย่างงุนงง เธอไม่ได้ยั่วโมโหอะไรเขาสักหน่อย เขาเกิดบ้าอะไรขึ้นมาอีกล่ะ?
อู่เหมยรู้จักกับสยงมู่มู่มานานแล้ว เธอจึงพอจะรู้ว่าทำไมสยงมู่มู่เมื่อชาติที่แล้วถึงได้ปลงไม่ตก ไอ้คนนี้จิตใจคับแคบเกินไป หน้าตาคล้ายผู้หญิงก็ช่างเถอะ แต่จิตใจก็เหมือนผู้หญิง แม้กระทั่งยังละเอียดอ่อนกว่าอีก ผู้ชายตัวใหญ่กลับมีนิสัยอย่างกับเด็กผู้หญิง ถ้าปลงได้นะสิแปลก!
“นี่ นายนี่คิดเล็กคิดน้อยจังเลยนะ นายเป็นผู้ชายแต่นิสัยขี้เหวี่ยงเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาเหมือนกับผู้หญิงแบบนี้ นายต้องปรับปรุงนะ!”
อู่เหมยพูดอย่างอดทน คิดว่าสยงมู่มู่ตอนนี้ยังเด็ก ไม่แน่ยังสามารถให้เขาปรับปรุงได้ เขาจะได้ไม่ตกหลุมรักคนที่ไม่ควรรัก
สยงมู่มู่ไม่รอให้อู่เหมยมอบภาพวาดแก่เขาเอง กลับกันเขายังถูกสั่งสอน เขาจะทนฟังได้อย่างไร เขาหันหน้ากลับมาจ้องอู่เหมยเขม็ง “เห็นแฟนสำคัญกว่าพี่ชาย อู่เหมยใจดำ เชอะ!”
อู่เหมยถึงกับงง เธอตะลึงงันอยู่พักหนึ่ง เรื่องนี้มันอะไรกัน?”
เขาเอาใจยากกว่าผู้หญิงที่อายุเยอะเสียอีก!
………………………………………………………………………..
ตอนที่ 328 เธอไม่ต้องสนใจว่าเขาคิดถึงใคร
หลังจากกลับมาถึงบ้าน อู่เหมยหยิบผ้าเช็ดตัวมาเช็ดตัวให้ฉิวฉิว เธอกลับพบว่าเจ้าตัวน้อยเหมือนตัวโตขึ้นเล็กน้อย เมื่อตอนที่มาอยู่กับเธอแรกๆ ตัวยังเล็กกว่านี้ เธอสัมผัสได้ทันที
“ฉิวฉิว นี่นายตัวใหญ่ขึ้นแล้วนะ พี่สาวจะซื้อของอร่อยให้เธอกินเยอะๆ จะได้ตัวใหญ่กว่านี้นะ!”
อู่เหมยมีความสุขมาก เธอยังพึงพอใจอีกด้วย ที่เธอเลี้ยงเจ้าตัวน้อยจนอ้วนฉุ!
ฉิวฉิวนอนหมอบอย่างอ่อนโยน เขาเพลิดเพลินไปกับการนวดของเจ้านาย หลับตาพริ้ม แต่ที่เขาสามารถเติบโตได้เพราะความดีความชอบของกระปุกเหม็นเน่านั่น กระปุกเหม็นเน่าที่เก่าแก่ใบนั้น ยังเป็นคนที่มีลมปราณมังกรเคยใช้อีกด้วย
แต่ลมปราณมังกรเป็นสิ่งที่ดี ก็เพราะอาศัยลมปราณมังกรจุดนี้ เขาจึงฟื้นตัวขึ้นมาก หากมีกระปุกอีกสามสี่ใบ เขาก็สามารถฟื้นตัวได้อย่างน้อยสามสิบเปอร์เซ็นต์ ขอเพียงสามารถฟื้นตัวได้สามสิบเปอร์เซ็นต์ เขาก็สามารถอวดแสนยานุภาพในโลกนี้ได้ ถึงตอนนั้นจะยังต้องการของดีอะไรอีกไหม?
สำหรับพลังเวทมนตร์ในการฟื้นตัวอย่างสมบูรณ์แบบเดิมนั้น ฉิวฉิวไม่เคยคาดคิดว่าจะทำได้ เพราะแสงจันทร์ทรงกลดของที่นี่น้อยเกินไป หากต้องการฟื้นตัวอย่างสมบูรณ์ ยังไม่รู้ว่าต้องรอจนถึงปีไหนเดือนไหนน่ะสิ!
ดังนั้นหากสามารถฟื้นตัวได้สามสิบเปอร์เซ็นต์ก็เพียงพอแล้ว นอกจากสามารถมีกระเป๋าเวทมนตร์แล้ว ก็ยังสามารถสื่อสารกับเจ้านายตัวน้อยได้ ไม่ต้องสื่อสารกันคนละภาษาเหมือนเมื่อก่อนอีก นี่เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด
ลุงฉิวกำลังจะบอกว่า การพบเจ้านายที่หัวสมองไม่ค่อยฉลาด มันช่างเหนื่อยใจจริงๆ !
เหอปี้อวิ๋นกลับบ้านคราวนี้ ได้ถือเหล้าดีไปสองขวด สองวันก่อนที่พวกจ้าวอิงหนานดื่มเหลือไว้ เหอปี้อวิ๋นก็ถือกลับมามอบให้ท่านผู้เฒ่าเหอทั้งหมด
แต่ท่านแม่เฒ่าเหอก็ไม่ค่อยพอใจ เพราะว่าเมื่อก่อนทุกครั้งที่เหอปี้อวิ๋นกลับบ้านมา ก็จะถือมาทั้งห่อเล็กห่อใหญ่ แต่กลับมาครั้งนี้มือเปล่าข้างหนึ่ง ถือเหล้ามาแค่สองขวด ท่านแม่เฒ่าจะพอใจได้อย่างไร อีกทั้งสีหน้าของเธอก็ดูไม่ดี
หลังจากฟังเหอปี้อวิ๋นระบาย สีหน้าของท่านแม่เฒ่าก็ยิ่งดูแย่ เธอตบไปหนึ่งฉาด “แกนี่มันโง่ ที่กล้าบ้าบิ่นทุบได้แม้กระทั่งหัวผู้ชาย แกจะเก่งอะไรนักหนา?”
สิ่งที่เหอปี้อวิ๋นกลัวที่สุดในชีวิตก็คือ หญิงชราคนนี้ ในเวลานี้เธอจะแสดงความน่าเกรงขามในบ้านได้ที่ไหน ทำได้แค่หดหัว ยอมให้ท่านแม่เฒ่าตบตี ด่าว่า ไม่กล้าตอบกลับสักประโยค
“พอแล้ว ตอนนี้ตีเธอจนตายก็ไม่มีประโยชน์ พ่อแม่สามีของแกกับอู่เจิ้งซือว่ายังไงบ้าง?” ท่านผู้เฒ่าเหอโกรธจนหน้าดำ เขาห้ามภรรยาไว้
เหอปี้อวิ๋นร้องห่มร้องไห้ พลางพูดถึงท่าทีของคนตระกูลอู่ เธอพูดอย่างหวาดกลัว “พ่อคะ ถ้าเจิ้งซือต้องการหย่าขาดกับหนู จะทำยังไงดีคะ? หนูไม่อยากหย่า!”
“ฮึ! ไม่อยากหย่า ยังไม่ปรนนิบัติรับใช้ผู้ชายให้ดี ในหัวแกมีแต่ขี้เลื่อย ที่แม่สอนแกไป แกลืมไปหมดแล้วเหรอ?”
ท่านแม่เฒ่าโกรธกับความไม่เอาถ่านของลูกสาวที่ฝากความหวังเอาไว้ เธอตบไปอีกหลายที แม้ว่าผู้ชายของเธอกับลูกชาย จะเป็นครู แต่ก็อยู่ในชนบท จะไปเทียบกับคนตระกูลอู่ได้อย่างไร?
ได้ลูกเขยดีๆ แต่ไม่รู้จักประคับประคองให้ดี ไม่นึกเลยว่าจะยังกล้าเอาแท่นทับกระดาษทุบหัวอีก พอทุบลงไปแล้ว โอกาสที่ลูกชายของเธอจะไปทำงานในเมืองปีหน้าก็ล้มเหลวหมด ท่านแม่เฒ่าเจ็บปวดรวดร้าว เธอแทบอยากจะดึงเหอปี้อวิ๋นไปบ้านตระกูลอู่ ตีแรงๆ สักยกต่อหน้าพ่อแม่สามี ทำให้พ่อแม่สามีใจเย็นลง
เหอปี้อวิ๋นเช็ดน้ำตาด้วยความน้อยใจ “หนูไม่ได้โกรธไปเรื่อยนะ ใครบอกให้เหล่าอู่ว่าหนูเทียบกับเหยียนซินหย่าไม่ได้เลยสักนิด หนูโกรธมากก็เลย…”
ท่านผู้เฒ่าเหอกับท่านแม่เฒ่าทั้งสองคนสีหน้าเปลี่ยน ท่านแม่เฒ่าถามด้วยความสงสัย “มันไปเกี่ยวข้องกับเหยียนซินหย่าได้ยังไงอีก? ตกลงมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
เหอปี้อวิ๋นเล่ารายละเอียด เธอกล่าวอย่างแค้นเคือง “พ่อคะ แม่คะ เหล่าอู่ตอนนี้เขายังคิดถึงนังเหยียนซินหย่าสารเลวนั่นค่ะ!”
ท่านแม่เฒ่าตวาดออกไปอย่างไม่สบอารมณ์ “คิดถึงก็คิดถึงสิ จะยังไงก็ตาม ลูกเขยนอนอยู่กับแก แกจะกังวลอะไร หา!”
………………………………………………………………….
ตอนที่ 329 เหยียนซินหย่าเคยกลับมาตอนไหน
ท่านแม่เฒ่าเหอไม่เข้าใจความแค้นเคืองของเหอปี้อวิ๋นเป็นอย่างมาก เพียงแค่ผู้ชายนอนอยู่บนเตียงของเธอ ขอแค่เอาเงินกลับมาบ้านได้ทุกๆ เดือน ในใจเขาจะคิดถึงใครก็ช่างเขาเถอะ!
“แม่ว่าแกมันโง่ แกไม่ใช่ผู้หญิงที่อายุสิบเจ็ดสิบแปดแล้วนะ วันๆ คิดแต่เรื่องรักๆ ใคร่ๆ ทำไม? เวลานี้จริงจังกับเรื่องเก็บเงินเข้ากระเป๋าเถอะ”
ท่านแม่เฒ่าเหอก่นด่าไม่หยุด “ผู้ชายส่วนใหญ่เจ้าชู้ทั้งนั้น ไม่มีผู้ชายคนไหนไม่กะล่อนปลิ้นปล้อนหรอก เป็นผู้หญิงวัยกลางคนที่อายุสามสิบ สี่สิบปีแล้ว มีเงินในกระเป๋าสิถึงเป็นเรื่องสำคัญ ลูกสาวโง่เง่าคนนี้นี่ มองอะไรไม่ทะลุปรุโปร่งเลยจริงๆ!”
เหอปี้อวิ๋นรู้สึกน้อยใจที่สุด เธอร่ำไห้พลางกล่าว “เขาจะคิดถึงใครก็ได้ แต่จะคิดถึงเหยียนซินหย่าไม่ได้”
ตั้งแต่เล็กจนโต เหยียนซินหย่าเหนือกว่าเธอมาตลอด ตอนนี้เธอแต่งงาน มีลูกแล้ว นังสารเลวนั่นก็ยังมาแย่งสามีของเธอ เธอข่มความอัดอั้นตันใจนี้ไว้ไม่ไหว!
ท่านแม่เฒ่าเหอจะไปเข้าใจความแค้นในใจของเหอปี้อวิ๋นได้อย่างไร เธอเป็นผู้หญิงที่อยู่กับความเป็นจริงมากคนหนึ่ง ปฏิบัติกับสามีเช่นนี้ ปฏิบัติกับลูกชาย ลูกสาวยิ่งกว่านี้ เธอเห็นว่าในเวลานี้เหอปี้อวิ๋นยังดื้อดึง ไม่รู้จักพลิกแพลง เธอจึงรู้สึกโกรธและไม่พอใจ จึงได้ตบไปอีกฉาดหนึ่ง
“ลูกพี่ลูกน้องของแกขัดขวางแกเรื่องอะไร? ตอนนี้มันยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่าก็ไม่รู้ แกอย่าไปสนใจว่า ลูกเขยจะคิดถึงหรือไม่คิดถึงมันเถอะ!”
ในใจของเหอปี้อวิ๋นเริ่มคล้อยตาม จึงทนไม่ไหวเลยถามไปว่า “แม่คะ ช่วงไม่กี่ปีมานี้ ไม่ได้ข่าวเหยียนซินหย่าเลยเหรอ?”
ท่านแม่เฒ่าเหอทำเสียงขึ้นจมูกอย่างไม่พอใจ พูดอย่างไม่สบอารมณ์ “ใครจะไปรู้ว่าตอนนี้มันอยู่ที่ไหน ก็ไม่แน่ว่า อาจจะตายไปนานแล้ว ถ้าไม่ตาย ทำไมหลายปีมานี้ถึงไม่มีข่าวกลับมาเลย”
ท่านผู้เฒ่าเหอสีหน้าดูไม่สู้ดีนัก เขามองภรรยาเป็นการตักเตือน แต่ท่านแม่เฒ่าไม่กลัวเขา เงินของครอบครัวอยู่ในมือเธอ ถ้าไม่พอใจก็เลิกไป หรือพูดอีกอย่างก็คือ อย่างไรพ่อแม่ก็ไม่สำคัญเท่าเงิน!
เหอปี้อวิ๋นสงสัยนิดหน่อย จึงลองถามดู “ เหยียนซินหย่าแต่งงานไปอยู่เมืองหลวงแล้วไม่ใช่เหรอคะ ได้ยินว่าครอบครัวผู้ชายของเธอยังเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ จะมีชีวิตที่ไม่ดีได้อย่างไร?”
ท่านแม่เฒ่าแววตาเหยียดหยาม เธอกล่าว “เป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่แล้วยังไง? บรรดาข้าราชการเหล่านั้นยิ่งตำแหน่งใหญ่โตยิ่งโชคร้าย หากมีชีวิตที่ดีจริง แล้วในปีนั้นทำไมถึงปล่อยให้มันท้องโตกลับมาคลอดลูกล่ะ ไม่มีใครมาอยู่เป็นเพื่อนเลยสักคน
เหอปี้อวิ๋นตกตะลึง “เหยียนซินหย่าเคยกลับมาเหรอคะ? กลับมาเมื่อไหร่? แล้วทำไมหนูถึงไม่รู้?”
หลังจากที่เหยียนซินหย่าแต่งงานไป เธอก็ไม่เคยเห็นนังสารเลวนั่นอีก ใครจะรู้ว่ามันยังกลับมาคลอดลูก?
ท่านแม่เฒ่ากล่าวอย่างไม่เห็นด้วย “ก็เป็นปีที่แกคลอดเหมยเหมย เหยียนซินหย่าท้องโตกลับมา แม่เห็นท่าทางไม่มีชีวิตชีวา ดูไม่ค่อยดี อีกอย่างไม่ว่าจะเป็นใส่เสื้อผ้าเก่าๆ หรือเสื้อผ้าที่เคยใส่สมัยสาวๆ ก็ซักจนซีดหมดแล้ว”
ท่านผู้เฒ่าเหอสีหน้าเปลี่ยนทันที และดุว่า “ผมบอกว่า ปีนั้นคุณไม่ยอมรับเลี้ยงซินหย่าเอาไว้ คุณรังเกียจที่เธอจน คุณ… คุณ… คุณมันภรรยาหัวสูง…”
ท่านแม่เฒ่าหัวเราะเยาะพลางกล่าว “ มันไม่มีเงินติดตัว ไม่มีตั๋ว ซ้ำยังท้องโต แล้วทำไมฉันต้องรับมันไว้? ตอนนั้นเงินเดือนของคุณเดือนหนึ่งมีสักเท่าไหร่กัน? เลี้ยงลูก เลี้ยงภรรยาก็ยังจะไม่รอด คุณยังคิดจะช่วยเหลือคนอื่นอีกเหรอ?”
ท่าทีที่สุภาพของท่านผู้เฒ่าสิ้นสุดลงทันที กล่าวเสียงดัง “ แต่ซินหย่าเป็นหลานสาวของผม และพ่อแม่ของซินหย่าก็ไม่ได้เย็นชากับครอบครัวเรา คุณมันจิตใจโหดเหี้ยมเกินไปแล้ว!”
ท่านแม่เฒ่ามองตาเฒ่าอย่างเหยียดหยาม เธอพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ตอนนี้คุณอย่ามาพูดจาไร้สาระเลย ตอนนั้นคุณไม่ได้พูดอะไรเลย ก็เพราะกลัวว่าซินหย่าจะทำให้คุณเดือดร้อน คุณเป็นลุงแท้ๆ ก็ยังใจร้าย แต่ฉันเป็นแค่ป้าสะใภ้ ถ้าใจร้ายแล้วจะเป็นไรไป!”
ท่านผู้เฒ่าเหอโดนภรรยาพูดแทงใจ ใบหน้าแก่ๆ ของเขาเก็บอาการไว้ไม่อยู่ จึงสะบัดหน้าหนีอย่างไม่พอใจ รู้สึกไม่สบายใจ ตกลงว่าหลานสาวของเขาตอนนี้มีชีวิตอยู่หรือไม่ก็ยังไม่รู้ เขารู้สึกผิดกับน้องสาวและน้องเขยมาก!
……………………………………………………………………
ตอนที่ 330 มีชีวิตอยู่หรือตายก็ไม่รู้
เหอปี้อวิ๋นไม่สนใจเรื่องในอดีตที่ไม่สลักสำคัญแม้แต่น้อย เธอสนใจแค่ว่าเหยียนซินหย่ามีชีวิตดีหรือไม่ หรือยังมีชีวิตอยู่ หรือว่าตายไปแล้ว?
“แม่อย่าพูดนอกเรื่อง รีบเล่าเรื่องเหยียนซินหย่าคลอดลูกมาเลยนะ มันคลอดเมื่อไหร่ คลอดอะไรออกมา?”
พอได้ยินข่าวการตายของศัตรู เหอปี้อวิ๋นก็ลืมเรื่องทุกข์ใจของตัวเองชั่วครู่หนึ่ง เธอดูตื่นเต้นใจ และคึกคักมีชีวิตชีวา
“ฉันจะไปรู้ได้ยังไงว่ามันคลอดเพศอะไร หลังจากออกจากบ้านเราไป ฉันก็ไม่เคยเห็นมันอีกเลย ท้องแปดเดือนแต่เล็กกว่าแกที่ท้องห้าเดือนเสียอีก ฉันประเมินแล้วว่าคลอดออกมาไม่ได้ ถึงแม้คลอดออกมาก็ยังช้ากว่าแกหนึ่งเดือน
ท่านแม่เฒ่านึกขึ้นได้ว่าปีนั้นหลานสาวที่รูปร่างผอมบางคนนั้น ดูแล้วไม่เหมือนกับคนท้องโตสักนิด เธอเดินออกจากบ้านอย่างแข็งกร้าว แม้กระทั่งน้ำลายก็ไม่ได้กลืน ก็ไม่รู้ว่าเดินไปไหน?”
เฮ้อ!
ท่านแม่เฒ่าถอนหายใจหนัก เธอก็รู้สึกไม่สบายใจ แต่ถ้าย้อนเวลาได้ เธอก็ยังจะไล่เหยียนซินหย่าไปอยู่ดี
เธอไม่กล้ารับเด็กที่ถูกกลุ่มคนห้าประเภทในการปฏิวัติวัฒนธรรมโค่นล้มลงมาเลี้ยงดู ถ้าหากทำให้เธอกับลูกชายเดือดร้อนจะทำอย่างไร? จะว่าไปแล้วตอนนั้นที่บ้านก็ยากจนจริงๆ ข้าวสามมื้อต่อวันก็มีแค่โจ๊ก และยิ่งสำหรับเหยียนซินหย่าที่ยากไร้แล้ว เธอก็อาจทำตัวเป็นพระโพธิสัตว์กวนอิมด้วย เธอไม่ได้มีจิตใจแม่พระขนาดนั้น
“งั้นหลังจากนั้นเหยียนซินหย่าก็ไม่เคยกลับมาบ้านเราเหรอ? เหอปี้อวิ๋นถาม
ท่านแม่เฒ่าส่ายหน้า “ไม่เคยกลับมา ยังไงซะหลังจากนั้นแม่ก็ไม่เคยเห็นมันอีกเลย!
ท่านผู้เฒ่าสีหน้าแปลกๆ เล็กน้อย เขาถือโอกาสลุกขึ้นและเดินไปที่ลานบ้าน ท่านแม่เฒ่ากับเหอปี้อวิ๋นไม่ได้สังเกต เพราะมัวแต่คุยกันอยู่
เหอปี้อวิ๋นก็อารมณ์ดีขึ้นอย่างแปลกประหลาด แม้ว่านังสารเลวนั่นยังไม่ตาย แต่ก็ไม่ได้มีชีวิตที่ดีแน่นอน ไม่เช่นนั้นแล้ว หลายปีแล้วทำไมไม่กลับมา?
ก็ไม่รู้ว่าซั่งกวาน เขาเป็นยังไงบ้าง?
มีใบหน้าหล่อเหลาแวบขึ้นมาในหัว เหอปีอวิ๋นรู้สึกสับสนมาก เธอรู้สึกมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่นเล็กน้อย เหยียนซินหย่ามีชีวิตที่แย่ มันอธิบายได้ว่าซั่งกวานก็มีชีวิตที่แย่เช่นกัน ไม่เช่นนั้นแล้วแม้แต่ภรรยาก็ปกป้องไม่ได้
แต่เธอก็รักผู้ชายคนนั้นอยู่เล็กน้อย ไม่คาดหวังให้เขาใช้ชีวิตที่ยากจนข้นแค้น อันที่จริงเขาเป็นผู้ชายที่เธอเคยรัก และยังคงคิดถึงในตอนนี้!
ท่านแม่เฒ่าสอนลูกสาวปากเปียกปากแฉะด้วยความหวังดี “แกหัดใช้สมองคิดให้ไวและคิดให้ดี พรุ่งนี้ก็กลับไปคุกเข่าก้มหน้ายอมรับผิดกับอู่เจิ้งซือและพ่อแม่ของเขา ขอเพียงแค่แกแสดงท่าทียอมรับผิดออกมาก่อน พ่อแม่ของเขาและอู่เจิ้งซือก็จะไม่หย่ากับแก”
เหอปี้อวิ๋นในใจกลับไม่แน่ใจ พูดอย่างหงุดหงิดใจ “ทำแบบนี้ได้ผลเหรอ? ตอนนี้เหล่าอู่เขาเกลียดหนูมากเพราะไม่ใช่แค่เรื่องทุบหัวเท่านั้น ยังมีเหมยเหมย ยายตัวดีอีกน่ะสิ!”
ท่านแม่เฒ่าฟังไม่เข้าใจ เหอปี้อวิ๋นจึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในบ้านช่วงนี้ให้ฟัง รวมถึงเรื่องอู่เยวี่ยมีกลิ่นตัว ยังมีเรื่องผลการเรียนแย่ลง และการเปลี่ยนแปลงของอู่เหมย แต่เรื่องปัญหาสภาพจิตใจของอู่เยวี่ยเธอกลับไม่พูด เพราะตั้งแต่ต้นจนจบเธอไม่เชื่อว่าลูกสาวสุดที่รักจะมีปัญหาทางจิต
แต่ในขณะที่เหอปี้อวิ๋นคิคว่าเป็นเรื่องใหญ่ สำหรับท่านแม่เฒ่าแล้วมันเป็นเรื่องเล็กนิดเดียว เธอไม่ชอบหลานสาวทั้งสองคน หลานสาวของลูกสาวจะเหมือนหลานสาวของลูกชายได้อย่างไร แต่ดูจากใบหน้าของเหอปิ้อวิ๋นแล้ว เธอดีกับอู่เยวี่ยนิดหน่อย แต่อู่เหมยไม่อยู่ในสายตาเลยสักนิด
ที่ท่านแม่เฒ่าเป็นกังวลยิ่งกว่าก็ยังคงเป็นเงินเดือนของอู่เจิ้งซือ พอได้ยินว่าอู่เจิ้งซือริบเงินเดือนกลับคืนไปหมด เธอเจ็บปวดจนซูดปาก!
อู่เจิ้งซือเอาเงินเดือนคืนไปแล้ว ต่อไปเหอปี้อวิ๋นก็จะไม่มีเงินเหลือกลับมาที่บ้าน ไม่มีความเกี่ยวข้องทางผลประโยชน์กับเธออีก เธอจะไม่ปวดใจได้หรือ?
ท่านแม่เฒ่าคอยดึงหูกระซิบกระซาบสั่งสอนเหอปี้อวิ๋น อบรมสั่งสอนเธอตลอดทั้งคืน ให้เหอปี้อวิ๋นต่อจากนี้ถ่อมเนื้อถ่อมตัว การไว้เกียรติและหน้าตาเป็นแค่เรื่องไร้สาระ!
มีเงินเข้ามาอยู่ในกระเป๋าต่างหาก คือสิ่งที่ถูกต้อง!
“อู่เจิ้งซือชอบเหมยเหมย แล้วมันไปขัดขวางอะไรแก? แกยังรักลำเอียงเยวี่ยเยวี่ย ฉันก็แปลกใจนะ เหมยเหมยก็แกเป็นคนคลอด ตัวแกเองไม่ชอบอู่เหมยก็แล้วกันไป ทำไมยังต้องกีดกันไม่ให้อู่เจิ้งซือรักลูกสาวด้วย?”
แต่ท่านแม่เฒ่าก็ไม่รู้สึกหงุดหงิดใจ เพราะเหอปี้อวิ๋นก็ไม่ชอบหลานสาวคนเล็กมาตั้งแต่ยังเล็กๆ และเธอเองก็ขี้เกียจจะถาม อย่างไรเสียไม่ใช่หลานของเธอ แต่ตอนนี้มีผลกระทบต่อกระเป๋าเงินของเธอแล้ว เธอก็ต้องเกี่ยวข้องโดยปริยาย
………………………………………………………………………….
ตอนที่ 331 ท่านแม่เฒ่าที่ฉลาดหลักแหลม
เหอปี้อวิ๋นบอกสาเหตุที่เธอไม่รักอู่เหมยต่อหน้าแม่ของตัวเองโดยไม่ปิดบัง
“เพราะคลอดยายตัวดี หนูเลยมีลูกชายไม่ได้ แล้วยายตัวดียังหน้าตาคล้ายกับเหยียนซินหย่าอีก ไม่เหมือนกับออกมาจากท้องหนูเลยสักนิด!”
เหอปี้อวิ๋นรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้รับความยุติธรรมอย่างมาก ลูกที่คลอดออกมาอย่างทุกข์ทรมานกลับไม่เหมือนตัวเอง แต่กลับเหมือนนังสารเลวนั่น ทุกครั้งที่มองก็เหมือนกับมีมีดมาทิ่มแทงอกตัวเอง จะทำให้เธอรักได้อย่างไร?
ท่านแม่เฒ่าคิดไม่ถึงว่ายังมีสาเหตุนี้อีก เธอเจอหน้าอู่เหมยน้อยครั้งมาก เวลาที่ได้เจอหน้ากันไม่กี่ครั้ง อู่เหมยล้วนทำผมปรกหน้าไว้ ดูไม่ออกสักนิดว่าหน้าตาเป็นอย่างไร?
ตอนนี้ฟังเหอปี้อวิ๋นพูด หลานสาวคนเล็กหน้าตาไม่ขี้เหร่ ยังค่อนข้าวสวยทีเดียว เหยียนซินหย่าก็เป็นคนสวยครบทุกด้าน ลักษณะหน้าตาคงไม่ต่างกับเหยียนซินหยาเท่าไหร่ ท่านแม่เฒ่ากลับมีแนวคิดที่ต่างกับเหอปี้อวิ๋นโดยสิ้นเชิง
“เหมยเหมยหน้าตาเหมือนลูกพี่ลูกน้องแปลกตรงไหน? แกกับซินหย่าไม่ถูกคอกัน ทำไมต้องพาลไปลงที่ลูกด้วย? เหมยเหมยเจอแม่อย่างแกช่างโชคร้ายเสียจริง ไม่แปลกใจเลยที่เธอต้องเป็นปฏิปักษ์กับแก!”
ท่านแม่เฒ่าพูดอย่างยุติธรรมแทนอู่เหมย เธอรับไม่ได้กับลูกสาวที่โง่เขลาเบาปัญญาจริงๆ แต่เธอก็ยังอบรมสั่งสอนเหอปี้อวิ๋นด้วยความอดทน
“ลูกสาวพอโตแล้ว จะช้าจะเร็วก็ต้องไปอยู่ครอบครัวอื่น ตอนนี้แกปฏิบัติกับเธอดี ในอนาคตเธอก็จะยังจดจำแม่ได้ ตอนนี้แกปฏิบัติกับเธอไม่ดี อนาคตข้างหน้ารอให้เหมยเหมยตำแหน่งหน้าที่การงานขึ้นพรวดพราด เธอจะยังจำแกคนนี้ที่เป็นแม่ได้ไหม?”
เหอปี้อวิ๋นกล่าวอย่างเอือมระอา “แม่ อย่าพูดเล่นสิคะ ยายตัวดีนั่นยังคิดจะมีหน้าที่การงานขึ้นพรวดพราดอีกเหรอ? หนูไม่มั่นใจเหมือนแม่หรอกนะ ตอนนี้หนูให้เยวี่ยเยวี่ยรักษาหน้าไว้อยู่ค่ะ!”
ท่านแม่เฒ่าเบ้ปาก หลานสาวสองคน ในอนาคตยังไม่แน่ว่าคนไหนจะมีอนาคตกว่า!
“แกก็อย่าเอาแต่เดิมพันทั้งหมดชีวิตไว้กับเยวี่ยเยวี่ย จากที่แม่มองนะ อนาคตเหมยเหมยก็คงไม่ต่างกับเยวี่ยเยวี่ย แกบอกเองไม่ใช่เหรอว่าเหมยเหมยหน้าตาเหมือนซินหย่า? รูปร่างหน้าตาต้องดีแน่นอน เธอรูปร่างหน้าตาแบบนี้ ยังไงต่อไปต้องได้แต่งงานกับคนดีๆ ไม่แน่อาจจะได้แต่งงานกับข้าราชการก็ได้นะ แกก็จะได้เป็นแม่ยายของข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ไงล่ะ!”
ท่านแม่เฒ่าวิเคราะห์อย่างละเอียด บอกให้ต่อไปเหอปี้อวิ๋นต้องปฏิบัติกับอู่เหมยดีๆ ที่จริงแล้วท่านแม่เฒ่าก็เห็นแก่ตัวไม่น้อย ลูกๆ ที่บ้านไม่มุมานะเท่าไหร่ ก็มีเหอปี้อวิ๋นที่ได้แต่งงานดีหน่อย
ตอนนี้ดูเหมือนว่า ลูกสาวสองคนที่เหอปี้อวิ๋นคลอดออกมานั้นล้วนพัฒนาไปในทางที่ดี ต่อไปถ้าแต่งงาน คงจะไม่แย่มาก เธอไม่ค่อยห่วงเยวี่ยเยวี่ย เพราะลูกคนนี้เชื่อฟังเธอ อย่างไรก็ต้องกตัญญูต่อเหอปี้อวิ๋น และต่อไปเธอสามารถพึ่งใบบุญเยวี่ยเยวี่ยได้แน่นอน
ทว่า สำหรับอู่เหมยแล้วไม่แน่ ยิ่งดูจากท่าทีของเหอปี้อวิ๋นที่ปฏิบัติกับอู่เหมยตอนนี้แล้ว ต่อไปเมื่อลูกสาวคนนี้โตขึ้นถ้าไม่เกลียดคนเป็นแม่สิถึงจะแปลก แล้วเธอจะพึ่งใบบุญได้อย่างไร?
หลานสาวสองคน จริงๆ แล้วเธอแอบเอนเอียงใจให้อู่เหมยไม่น้อย ผู้หญิงจะทำดีแค่ไหนก็ไม่สู้มีชีวิตการแต่งงานที่ดี อยากมีชีวิตการแต่งงานที่ดีก็ต้องมีรูปร่างหน้าตาดี และอู่เหมยก็มีครบถ้วนทุกอย่าง
ท่านแม่เฒ่าก็ได้แต่ชักแม่น้ำทั้งห้ามาพูดเท่านั้น เธอพูดจนคอแห้ง เหอปิ้อวิ๋นก็ไม่ขยับสักนิด พูดเพียงว่าต่อไปจะค่อยดูและจัดการ
เหอปี้อวิ๋นเข้าใจเหตุผล แต่เธอไม่สามารถรักอู่เหมยได้ แค่เห็นก็โมโหขึ้นมาแล้ว จะบอกให้เธอรักได้อย่างไร!
ท่านแม่เฒ่าก็โมโหขึ้นมา เธอด่าด้วยความฉุนเฉียว “ถึงเวลานั้นแล้วแกจะเสียใจ!”
เหอปี้อวิ๋นยืดคอพลางพูดปากแข็ง “ต่อไปถ้ามันกล้าอกตัญญูหนู หนูก็จะไปอาละวาดที่ทำงานของมัน ทำให้มันขายขี้หน้าเหมือนกัน!”
ท่านแม่เฒ่าทำเสียงขึ้นจมูกไม่พอใจ และขี้เกียจจะพูดแล้ว ถึงอย่างไรในอนาคตคนที่เสียหายก็คือตัวเหอปี้อวิ๋นเอง เธออายุมากแล้ว ไม่สามารถจัดการได้มากมายขนาดนั้นหรอก!
……………………………………………………………………….
ตอนที่ 332 ความเปลี่ยนแปลงของเหอปี้อวิ๋น
เหอปี้อวิ๋นค้างที่บ้านตัวเองหนึ่งคืน เธอตื่นแต่เช้าในวันรุ่งขึ้นเพื่อขึ้นรถรอบเช้าไปทำงาน ท่านแม่เฒ่ากำชับกับเธอ บอกให้เหอปี้อวิ๋นทำตามที่เธอแนะนำ ต้องทำทีให้อู่เจิ้งซือเชื่อจนไม่ถือโทษโกรธเคืองให้ได้
“ถ้าเหล่าอู่ต้องการจะหย่าขาดกับหนูจะทำยังไง?” เหอปี้อวิ๋นยังรู้สึกร้อนอกร้อนใจเล็กน้อย
ท่านแม่เฒ่าจ้องเธอเขม็ง พูดตวาด “อู่เจิ้งซือเป็นครูต้นแบบประจำอำเภอ และยังเป็นสมาชิกพรรคที่ยอดเยี่ยม เขากลัวการหย่าร้างยิ่งกว่าแก ขอเพียงแค่แกตั้งใจเปลี่ยนแปลง วางตัวดีๆ หน่อย อู่เจิ้งซือต้องใช้ชีวิตตามเดิมกับแกแน่นอน”
เธอเบนหัวข้อสนทนา และกล่าวว่า “แต่ว่า ถ้าแกอยากให้อู่เจิ้งซือใช้ชีวิตอย่างสงบกับแก ต่อไปแกต้องปรับปรุงนิสัย ผู้ชายชอบผู้หญิงที่อ่อนน้อมถ่อมตน ไม่มีผู้ชายคนไหนชอบเสือตัวเมียที่เอาแท่นทับกระดาษทุบหัวหรอก!”
เหอปี้อวิ๋นเบ้ปาก ไม่กล้าพูดความคิดที่อยู่ในใจออกมา แต่เธอไม่ใช่เสือตัวเมีย แม่ของตัวเองต่างหากถึงจะเป็นเสือตัวเมีย!
ท่านแม่เฒ่าอ่านคำพูดที่อยู่ในใจเธอออก เธอฮึดฮัด “พวกแกสองคนพี่น้อง ไม่มีคนไหนที่มีอนาคตเลย ยอมให้ผู้ชายจัดการจนว่านอนสอนง่าย แม้แต่ครึ่งหนึ่งของความสามารถของแม่ก็ไม่ได้เรียนรู้มาเลย”
ก่อนที่เหอปี้อวิ๋นจะขึ้นรถ ท่านแม่เฒ่าอดไม่ได้ก็เตือนอีก “ต่อไปถึงแม้จะเป็นการเล่นละครตบตา แกก็ต้องปฏิบัติกับยายตัวดีให้ดีสักหน่อย อย่าทำเหมือนลูกสาวเป็นศัตรูคู่อาฆาตตลอดทั้งวัน!”
แม้ว่าแม่เฒ่าเหอในใจยิ่งให้ความสำคัญกับลูกชาย แต่ก็ยังเป็นห่วงลูกสาว ไม่อยากให้ต่อไปเหอปี้อวิ๋นแก่ตัวไปแล้วจะเสียใจภายหลัง
เพียงแต่ว่าเหอปี้อวิ๋นกลับไม่เข้าใจเจตนาอันดีของท่านแม่เฒ่า แม้ใบหน้าจะรับปาก แต่ในใจกลับไม่ได้สนใจ เธอยังคิดว่าต่อไปจะจัดการสะสางกับอู่เหมยอย่างไรดี!
ตอนค่ำอู่เหมยเลิกเรียนก็ไปที่บ้านท่านผู้เฒ่าอู่ อู่เจิ้งซือดูสดใสขึ้นมาเล็กน้อย ไม่เหมือนเมื่อวานที่ดูท่าทางตายมิตายแหล่
ตอนกินข้าวเย็นอู่เจิ้งต้าวกับอู่เจิ้งหง ทั้งสองครอบครัวก็มาที่บ้านนี้ ขาดแต่พี่น้องจี้เหวินฮุ่ยที่ไม่มา อู่เหมยพินิจพิเคราะห์อู่เจิ้งหงอย่างละเอียด ก็ไม่รู้ว่าวันนี้เธอได้ไปห้องเรียนเยาวชนหรือไม่?
อู่เจิ้งหงสีหน้าไม่ค่อยดีนัก ดูแล้วอารมณ์ไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ จี้เจี้ยนโปก็เช่นกัน ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่ใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส ใบหน้าที่หล่อเหลามีความกลัดกลุ้ม
เหอปี้อวิ๋นมาตั้งนานแล้ว พอมาถึงก็เข้าไปในครัวช่วยท่านแม่เฒ่าอู่ทำกับข้าว เธอพูดจาปากหวาน น่าฟัง เรียกแม่ทุกคำ
ยื่นมือช่วยแต่ใบหน้าไม่ยิ้มแย้ม แม้ว่าท่านแม่เฒ่าไม่ต้อนรับเหอปี้อวิ๋น แต่ก็ไม่สามารถไล่ออกไปได้ จึงต้องยอมให้เธออยู่ช่วยงานในครัว
ก็ไม่รู้ว่าเหอปี้อวิ๋นพูดอะไรกับท่านแม่เฒ่าอู่ ทำกับข้าวหนึ่งมื้อ สีหน้าของแม่เฒ่ากลับดูดีขึ้นมาก ท่าทีที่เย็นชากลับกลายเป็นอ่อนลง แม้ว่ายังเย็นชาอยู่ แต่ก็ไม่ถึงกับเฉยชา
ตอนที่กินข้าวเหอปี้อวิ๋นเข้าไปนั่งข้างอู่เจิ้งซือและคีบกับข้าวให้เขา มีความเอาใจใส่มาก อู่เจิ้งซือท่าทางเฉยชา ไม่กินกับข้าวที่เหอปี้อวิ๋นคีบ อย่าได้พูดถึงเลยว่าเขาจะสนใจคนข้างๆ สักนิด
แม้จะเลิกคิดเรื่องหย่าร้าง แต่อู่เจิ้งซือไม่อยากให้อภัยเหอปี้อวิ๋นเร็วเกินไป เพียงแค่เขานึกถึงวันนั้น ที่เหอปี้อวิ๋นไม่ยอมเรียกให้คนมาช่วยชีวิตเขา ในใจอู่เจิ้งซือก็รู้สึกเหมือนกับกินแมลงวัน น่าขยะแขยงที่สุด
เหอปี้อวิ๋นก็ไม่ได้สนใจท่าทีของอู่เจิ้งซือ แค่ทำเป็นมองไม่เห็น และทำหน้ายิ้มแย้มต่อไป ดูเหมือนเธอจะเชื่อฟังคำพูดของท่านแม่เฒ่าเหอ แต่ก็ยังคงปฏิบัติกับอู่เหมยเหมือนเดิม ไม่แม้แต่จะมอง
ที่อู่เหมยรู้สึกแปลกใจคืออู่เจิ้งหง ถ้าเปลี่ยนเป็นเวลาปกติ อาของเธอคนนี้ คงจะพูดจาประชดประชันนานแล้ว ไม่นึกเลยว่าวันนี้กินข้าวอย่างเงียบๆ ไม่พูดอะไรสักคำ นิสัยไม่เหมือนเมื่อก่อนสักนิดเดียว
จี้เจี้ยนโปมองอู่เจิ้งหง แล้วเขาก็สูดหายใจลึก ในที่สุดก็ตัดสินใจแน่วแน่
“คุณพ่อ คุณแม่ครับ ผมมีเรื่องจะแจ้งให้ทราบ”
…………………………………………………………………………….
ตอนที่ 333 ตอนนั้นสายตาของผมไม่ดี
เสียงพูดของจี้เจี้ยนโปเพิ่งจะดังขึ้นมาไม่ทันไร อู่เจิ้งหงก็ตะโกนขึ้นมา “จี้เจี้ยนโปคุณยังจะกล้าพูดออกมาอีกเหรอ?”
“คุณพูดน้ำเสียงอย่างนี้อีกแล้วนะ อู่เจิ้งหง ผมพอแล้วจริงๆ กับการที่คุณชอบพาลไม่มีเหตุผล จิตใจคับแคบอย่างกับคนประสาท มองใครก็ว่าเป็นนังจิ้งจอกทุกคน ถ้าใช้ชีวิตกับคุณต่อไป ช้าเร็วผมคงประสาทหลอนแน่ เราหย่าขาดกัน!”
อู่เหมยสะดุ้งตกใจ เธอไม่คิดว่าจี้เจี้ยนโปจะพูดเรื่องหย่าร้างขึ้นมา นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
คนในตระกูลอู่ก็พากันตกตะลึง ถึงแม้ครอบครัวอู่เจิ้งหงจะทะเลาะกันเป็นประจำ แต่ความสัมพันธ์ก็ยังดีจนพวกเขาไม่ได้กังวลเรื่องสองคนนี้จะหย่าร้างกันสักนิด จี้เจี้ยนโปให้ความสำคัญกับอาชีพการงาน ตราบใดที่อ้างเรื่องตำแหน่งงานอยู่ต่อหน้าเขา จี้เจี้ยนโปก็จะไม่หย่าร้าง
แต่ตอนนี้มันเกิดเรื่องอะไรกัน!
หรือว่าจี้เจี้ยนโปไม่อยากเป็นรองศาสตราจารย์แล้ว?
อู่เจิ้งหงโกรธจนตาแดง เธอกล่าวตำหนิ “จี้เจี้ยนโป คุณถูกนังจิ้งจอกล่อให้หลงใหลหมดแล้ว คุณคอยดูนะ วันนี้ปล่อยให้มันหนีไป แต่ช้าเร็วต้องมีสักวันที่ฉันจะถลกหนังของมัน!”
อู่เหมยแอบโล่งใจอยู่เงียบๆ ในใจ ดูเหมือนอู่เจิ้งหงทำไม่สำเร็จ เพียงแต่จี้เจี้ยนโปคิดอย่างนี้ ไม่นึกเลยว่าจะกล้าพูดเรื่องหย่าออกมา?
จี้เจี้ยนโปก็เบาใจเช่นกัน ความเอือมระอาในใจที่มีต่ออู่เจิ้งหงยิ่งมากขึ้น ตอนแรกยังมีความกังวลอยู่บ้าง แต่พอเห็นการแสดงออกของคนในตระกูลอู่ เขาก็มีความมั่นใจแล้ว
‘ตำแหน่งรองศาสตราจารย์คือผลประโยชน์ของคุณที่ตระกูลอู่หลอกล่อไว้ ก็คือพวกเขาอยากให้คุณทรมานตลอดทั้งชีวิต ไม่อย่างนั้นลูกสาวที่โง่เหมือนหมูของพวกเขา จะคุมคุณ สามีที่เจ้าชู้ได้อย่างไร?’
ในหัวก็นึกขึ้นถึงคำพูดของผู้หญิงที่สวยและสดใสในช่วงบ่ายคนนั้นได้ ผู้หญิงคนนั้นบอกว่าเธอเป็นพี่สาวของเหวินจิ้ง แถมยังบอกเขาว่าหากชอบเหวินจิ้งจริงๆ ก็ให้ไปจัดการเสือตัวเมียในบ้านให้เรียบร้อยก่อนแล้วค่อยมาคุยกัน มิเช่นนั้นก็ไม่ต้องไปรบกวนชีวิตที่เงียบสงบของเหวินจิ้ง
จี้เจี้ยนโปรักเฮ่อเหวินจิ้งอย่างใจจริง พอได้ยินว่าอู่เจิ้งหงวางแผนจะไปจัดการเฮ่อเหวินจิ้ง เขาก็โมโห บวกกับคำพูดเหล่านั้นที่เจ้าอิงหนานพูด เขาอยากจะอาละวาดที่นี่ให้หนักจริง ๆ ก็เพื่อระบายความคับแค้นที่อยู่ในใจมาหลายปีออกมา
“อู่เจิ้งหง สิ่งที่ผมเบื่อที่สุดก็คือความประสาทของคุณ ผมไม่มีแม้กระทั่งอิสระในการคุยกับเพื่อนร่วมงานหญิง เมื่อไหร่ก็ตามที่ผมพูดคุยกับผู้หญิงคนใด ในสายตาของคุณ พวกเขาก็คือนังจิ้งจอก คุณนี่ไร้เหตุผลจริงๆ!”
จี้เจี้ยนโปด่าจนสมใจ เขาสบายใจอย่างที่สุด แม้จะรู้สึกเสียใจที่เมื่อก่อนตัวเองดูไม่ออก แต่จะน้อยใจตัวเองไปทำไม?
อย่างไรซะ ตระกูลอู่ก็ไม่คิดจะช่วยเขาอีก แล้วทำไมอยู่ต่อหน้าอู่เจิ้งหงเขาจะต้องระมัดระวังตัวด้วย?
อู่เจิ้งหงแก้ตัวให้ตัวเอง “ฉันไม่ให้คุณคุยกับผู้หญิงตั้งแต่ตอนไหน? ฉันก็บอกคุณว่าอย่าไปเดินใกล้กับผู้หญิงสวยๆ เกินไป!”
จี้เจี้ยนโปมองหน้าบานๆ ของอู่เจิ้งหงอย่างเอือมระอา
เขาพูดเหน็บแนม “คุณยังหาผู้หญิงที่น่าเกลียดกว่าคุณได้เหรอ?
คำพูดเหล่านี้มีความเลวร้ายอยู่บ้าง อู่เจิ้งหงหน้าซีด คนในตระกูลอู่ก็หน้าบึ้งตึง พวกเขาไม่พอใจจี้เจี้ยนโปอย่างมาก
ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาสิ่งที่อู่เจิ้งหงเกลียดที่สุดคือการที่คนอื่นมาว่าเธอหน้าตาขี้เหร่ คำพูดของจี้เจี้ยนโปทำให้ความโมโหของเธอปะทุขึ้นมา เธอกรี๊ดขึ้นมาแล้วก็พุ่งเข้าใส่ เธอแยกเขี้ยวยิงฟัน อยากจะข่วนหน้าของจี้เจี้ยนโป แต่จี้เจี้ยนโปไม่เหมือนเมื่อก่อนที่แค่ป้องกันแต่ไม่โต้ตอบ แค่มือข้างเดียวก็จับแขนของอู่เจิ้งหงเอาไว้ได้ เธอไม่สามารถขยับได้
“พ่อ แม่ เห็นแล้วใช่ไหม? ผมผ่านวันนี้ไปไม่ได้แล้ว ผมต้องหย่า!”
จี้เจี้ยนโปตัดสินใจเด็ดขาด ความเอือมระอาต่ออู่เจิ้งหงมันท่วมท้นเกินจะบรรยาย เขาไม่ปิดบังแม้แต่นิดเดียว
ท่านแม่เฒ่าอู่แอบโกรธแค้นอยู่เงียบๆ ในใจ แต่ก็ทำได้แค่ทำหน้ายิ้ม เธอเตือนจี้เจี้ยนโปดี ๆ
“หน้าตาเจิ้งหงอาจจะเทียบกับผู้หญิงสวยๆ ข้างนอกเหล่านั้นไม่ได้ แต่พวกเธอสองคน ตอนนั้นก็ถูกใจกันเอง แค่นี้ก็อธิบายแล้วได้ว่าเจี้ยนโป เธอก็ยังมีความรู้สึกต่อเจิ้งหง…”
จี้เจี้ยนโปขัดจังหวะคำพูดของท่านแม่เฒ่า เขาพูดอย่างนอบน้อมและจริงใจมาก “ตอนนั้นผมสายตาไม่ดี แต่ตอนนี้ผมสายตาดีขึ้นแล้ว!”
……………………………………………………………………………………
ตอนที่ 334 ทางฝั่งนี้ก็โวยวายขอหย่าเช่นกัน
คำพูดของจี้เจี้ยนโปทำให้คนในตระกูลอู่ทุกคนสีหน้าเปลี่ยน อู่เจิ้งหงโกรธจนตัวสั่น ถึงตอนนี้เธอเพิ่งจะตระหนักได้ว่า จี้เจี้ยนโปคิดจะหย่าจริงๆ ไม่ได้ขู่เธอให้กลัว
อู่เจิ้งหงลนลาน อย่างที่เห็นว่าเวลาปกติเธอมีท่าทางขึงขัง ดุเหมือนกับเสือตัวเมีย แต่แท้ที่จริงแล้วมาจากความหวาดกลัวภายในใจของเธอ เพราะเธอกลัวว่าจี้เจี้ยนโปจะหย่าขาดกับตัวเธอเอง เพราะความกลัวจริงๆ เธอถึงอยากดึงเขาเอาไว้ให้แน่น แต่กลับใช้วิธีที่ผิด ผลที่ได้จึงตรงกันข้ามกับที่หวังไว้
อู่เหมยนั่งกับอู่เชา ทั้งสองคนนั่งดูเหตุการณ์ตรงหน้าเงียบๆ อย่างสนุกสนาน ไม่กระทบต่ออารมณ์ในการกินข้าวของพวกเขาเลยสักนิด
ท่านผู้เฒ่าอู่กับอู่เจิ้งต้าวอารมณ์เสียเพราะความกำเริบเสิบสานของจี้เจี้ยนโป แม้ว่าในใจจะเห็นใจเขา แต่ก็จนปัญญากับลูกสาว (น้องสาว) หากหย่าขาดกับจี้เจี้ยนโป เธอก็ไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ คงพยายามฆ่าตัวตายครั้งแล้วครั้งเล่าเพราะอย่างไรก็ไม่ยอมหย่า
ดังนั้นตอนนี้ฝ่ายที่ถูกกระทำคือตระกูลอู่ เมื่อในตอนนี้มันไม่มีอะไรที่เขาต้องการ ดังนั้นเขาก็ไม่มีอะไรต้องกลัว จี้เจี้ยนโปไม่สนใจเรื่องตำแหน่งรองศาสตรจารย์ที่กวนใจเขาอีกต่อไปแล้ว ตระกูลอู่บีบบังคับเขาไม่ได้อีกแล้ว กลับยังต้องพูดดีๆ กับเขาเสียด้วยซ้ำ
หากไม่เกินที่คาดเดาไว้ ทางตระกูลอู่ก็รับปากว่าจะประเมินให้เขาได้เป็นรองศาตราจารย์ให้เร็วที่สุด เมื่อก่อนพอจี้เจี้ยนโปได้ยินแล้ว ก็จะไม่กล้ากำเริบเสิบสาน แต่ตอนนี้เขากลับไม่เป็นอย่างนั้น เขาพูดอย่างไม่แยแส
“ตอนนี้ผมไม่สนว่าจะได้เป็นรองศาสตราจารย์หรือไม่ เดี๋ยวพอหย่าขาดกันแล้ว ผมก็จะกลับไปสอนหนังสือที่บ้านเกิด เหมือนกับพี่รองที่เป็นครูมัธยม ก็อิสระดี ไม่แน่ว่าอาจจะได้เป็นครูต้นแบบประจำอำเภอด้วยนะ!”
จี้เจี้ยนโปหยุดไปครู่หนึ่ง เขาถอนหายใจพลางกล่าว “หลายปีมานี้ผมไม่ได้กลับบ้านเกิดเลย ไม่ได้ไปแสดงความกตัญญูต่อพ่อแม่ แต่เมื่อกลับแล้วก็จะได้แสดงความกตัญญูพอดีเสียที!”
พูดถึงพ่อแม่ของจี้เจี้ยนโป คนตระกูลอู่ก็มีส่วนผิดอยู่บ้าง อู่เจิ้งหงแต่งงานกับจี้เจี้ยนโปหลายสิบปีแล้ว แต่ได้กลับไปบ้านเกิดของเขาแค่ครั้งเดียว แม้กระทั่งจี้เหวินฮุ่ยกับน้องชายก็เช่นกัน ปกติแล้วจี้เจี้ยนโปจะหาเวลากลับไปสองสามวัน จริงๆ แล้วอู่เจิ้งหงทำไม่ถูก
อู่เหมยดูละครอย่างมีความสุข พลางกินซี่โครงหมูไปหลายชิ้นจนปากมันแผล็บ
อู่เชาพูดกระซิบ “เธอว่าคุณอาหญิงกับอาเขยจะหย่ากันจริงๆ ไหม?”
“ไม่เกี่ยวอะไรกับฉัน แต่นิสัยและลักษณะท่าทางแบบนั้นของอาหญิงเรา ดูยังไงก็ไม่ยุติธรรมกับอาเขยจริงๆ จิ๊จิ๊ อาเขยทนได้ยังไงตั้งหลายปี!”
อู่เหมยพูดเกินจริง ตี๋ชิวเยวี่ยที่อยู่ข้างๆ ได้ยินชัดเจน อดหัวเราะไม่ได้ เด็กน้อยพูดจาไม่มีปิดกั้น แต่พวกเขาก็พูดถูกจริงๆ จี้เจี้ยนโปคู่กับอู่เจิ้งหงไม่ยุติธรรมจริง ๆ
ตี๋ชิวเยวี่ยกับอู่เหมยมีความคิดตรงกัน ไม่ว่าพวกคุณจะโวยวายแค่ไหน เธอก็ไม่พูดอะไรสักคำ
แท้จริงแล้ว อู่เหมยรู้ว่าหย่าขาดกันไม่ได้ จี้เจี้ยนโปแค่วางมาดใหญ่โตให้คนกลัวเท่านั้น ปากพูดว่า ไม่ลำบาก แต่เอาเข้าจริงๆ ถ้าเขาต้องไปสอนหนังสือที่บ้านเกิด คงแทบจะร้องไห้ด้วยซ้ำไป
ทว่าคนที่อยู่ในเกมจะมองไม่ทะลุ แต่คนที่อยู่นอกเกมจะมองได้ทะลุปรุโปร่ง อู่เหมยมองออก คนตระกูลอู่ตกหลุมพรางเสียแล้ว พวกเขากลัวจี้เจี้ยนโป ยิ่งมีเพื่อนร่วมทีมที่โง่อย่างอู่เจิ้งหง สุดท้ายอย่างไรก็แพ้ให้จี้เจี้ยนโป
อู่เจิ้งต้าวรับปากว่าช่วงสองสามวันนี้จะนัดคณบดีของคณะจี้เจี้ยนโปกินข้าว เพื่อปรึกษาเรื่องตำแหน่งรองศาสตราจารย์ แม้ว่าจี้เจี้ยนโปมีสีหน้าไม่สนใจ แต่ในใจกลับดีใจ
คณบดีของคณะเขากับอู่เจิ้งต้าวเป็นเพื่อนสมัยมหาวิทยาลัย ขอเพียงอู่เจิ้งหงยอมออกหน้า ปีนี้ตำแหน่งรองศาสตราจารย์ของเขาต้องได้รับการเสนอขึ้นไป ผู้หญิงเมื่อตอนบ่ายคนนั้นพูดถูก
การขอหย่าร้างของครอบครัวอู่เจิ้งหง ตอนนี้ถือว่าหยุดไว้ชั่วคราว ผลลัพธ์เช่นนี้ อู่เหมยไม่แปลกใจเลยสักนิด หลังจากกินข้าวเสร็จเธอก็ขอตัวลากลับบ้าน เตรียมไปนินทากับจ้าวอิงหนานต่อ
เฮ่อเหวินจิ้งยังอยู่ที่บ้านตระกูลสยง หลังจากที่ได้ฟังอู่เหมยเล่าเกินความจริง เธอรู้สึกหวาดกลัวสุดๆ แอบดีใจที่ไม่ได้ไปทำงาน เธอถูกจ้าวอิงหนานล้างสมอง ตอนนี้เธอความรู้สึกลุ่มหลงต่อจี้เจี้ยนโปน้อยลงไปมาก รู้สึกเหมือนกับฝันไป
ตอนนี้เธอตื่นจากฝันแล้ว
เฮ่อเหวินจิ้งเตรียมสอนอู่เหมยเต้นคลาสสิกด้วยความคึกคัก ทั้งยังจะให้อู่เหมยทำท่าเคลื่อนไหวพื้นฐานหลายท่า
………………………………………………………………….
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น