ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง 325-330
ตอนที่ 325 ลายสักของฉู่เจียง
ในเมื่อต่อยตีอย่างไม่มีกฏเกณฑ์ ก้นของพวกเจ้าก็ต้องรับเคราะห์
ตู๋กูซิงหลันพยายามออกแรงฝืนต้านเอาไว้ แต่พอพึ่งจะเคลื่อนไหว ในกระเพาะก็พลิกกลับดั่งคลื่นในท้องทะเล อาเจียนออกมามากมาย
อ้วกทั้งหมดเปรอะเปื้อนอยู่บนพระวรกายของจีเฉวียน ฉลองพระองค์ที่ทอด้วยด้ายทอง ดูราวกับดอกไม้ที่ปักลงบนมูลควาย
จีเฉวียนขมวดพระขนงแน่น ตู๋กูซิงหลันรู้สึกว่าชักจะเป็นเรื่องใหญ่แล้ว
ฮ่องเต้สุนัขทรงเป็นโรคบ้าความสะอาดอย่างรุนแรง……เกรงว่าตอนนี้เขาคงจะอยากซัดฝ่ามือออกมาใส่นางสักหลายทีเอาให้แบนเป็นแผ่นกระดาษแล้วละมั้ง
ตอนนี้ จีเฉวียนไหนเลยจะยังมีกะจิตกะใจไปกังวลถึงฉู่เจียงอีก พระองค์รีบวางตู๋กูซิงหลันลง สายพระเนตรมีแต่ความห่วงใยอย่างสุดซึ้ง
พระองค์ไม่ห่วงความสกปรก หยิบผ้าเช็ดหน้าผืนน้อยออกมาจากในอ้อมพระอุระช่วยเช็ดปากให้กับนาง
“ฝีมือในการแบกผู้คนของเราใช้การไม่ได้ คราวหน้าต้องฝึกฝนให้ดี ครั้งต่อไปจะไม่ทำให้เจ้าต้องอาเจียนอีกแล้ว” จีเฉวียนทางหนึ่งเช็ดทางหนึ่งก็ตรัสกับพระองค์เอง
ตู๋กูซิงหลันรีบส่ายศีรษะ ก้นของนางนั่งลงบนแผ่นหินที่เปียกชื้น ยามนี้เป็นฤดูใบไม้ร่วงแล้ว พอแก้มก้นแปะลงไปจึงเย็นวาบไปถึงขั้วหัวใจ
นางถูกจีเฉวียนแบกมาเช่นนี้ ก็เหมือนกับเป็นลูกตุ้มที่ถูกเหวี่ยงอยู่บนรถไฟเหาะสักยี่สิบรอบติดต่อกัน ทำให้คนอยากอาเจียนจริงๆ
แล้วเขายังคิดจะให้มีรอบสองอีกหรือ?
ฉู่เจียงที่ถูกละเลยไปแล้ว มองดูสาวน้อยเส้นผมยาวปิดหน้าที่นั่งอยู่บนแผ่นหิน แส้ที่ถูกเขวี้ยงออกไปก็พลันรั้งกลับมา
หากเขาเหวี่ยงแส้ออกไปอีก เหยื่อนั้นอาจจะตายได้
เหยื่อที่ตายไปแล้วก็ไม่เหลือความสดใหม่อีก
ดวงตาสีมรกตที่มีแต่ความเย็นชาของเขาคู่นั้น มองดูฮ่องเต้ต้าโจวสัมผัสนางด้วยความใกล้ชิด จนในใจเกิดความแค้นเคืองที่กลืนไม่ลงขึ้นมา
หมอกสีแดงบนร่างของเขาเคลื่อนไหว ร่างแยกนับสิบพุ่งไปที่เบื้องหน้าตู๋กูซิงหลัน พลังไอหยินที่เข้มข้นรุนแรงนั้นทำให้พื้นดินแยกออก
ไอหยินที่เข้มข้นนั้นพัดพาเส้นผมของตู๋กูซิงหลันกระจายออกไป เปิดเผยใบหน้าที่สะคราญล้ำของนางออกมา
เพียงพริบตาเดียว ฉู่เจียงถึงกับตกตะลึงไป
และในชั่วพริบตานั้นเองกระบี่สีทองในมือของจีเฉวียนก็กวาดมาถึงพุ่งเข้าใส่ดวงตาของฉู่เจียง
ร่างแยกทั้งหมดนั้นมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นที่เป็นร่างจริง จีเฉวียนถึงกับสามารถหาพบได้โดยไม่มีผิดพลาด
เพลงกระบี่ที่โหดเ**้ยมหลอมรวมกับจิตกระบี่ที่รุนแรง ทันทีที่ออกกระบวกท่าไป แม้แต่ฉู่เจียงก็ยังหลบไม่พ้น
ร่างแยกทั่งหมดถลันเข้ามาขวางอยู่เบื้องหน้าของเขา เพื่อรับพลังทำลายแทนร่างจริง
ฉู่เจียงจิกปลายเท้าลง สะบัดแขนอออกไปด้านข้าง ร่างของเขาถอยวูบไปด้านหลังอย่างรวดเร็ว
แต่วิถีกระบี่ของจีเฉวียนกลับไม่หยุดเพียงเท่านั้น มันพุ่งผ่านร่างแยกทั้งหมดของเขา จิตกระบี่ติดตามไปถึงเบื้องหน้าของเขา
ฉู่เจียงปิดตาลงอย่างรวดเร็ว สายลมโบกพัดเส้นผมของเขาจนปลิวกระจาย เส้นผมสีเงินนั้นถูกจิตกระบี่กวาดผ่านเพียงเบาๆ ก็ขาดร่วงลงมาปลิวอย่างพลิ้วไหวอยู่ในอากาศ
ลอยปลิวไปกับสายลมพร้อมๆ กับกลีบดอกไห่ถาง
แม้แต่ผ้าคาดผมสีแดงเส้นนั้นของเขาก็ขาดออก และถูกสายลมพัดปลิวไปเช่นกัน
ในตอนนั้นเองเส้นผมทั้งหมดของฉู่เจียงก็สยายออกมา
ดวงตาข้างหนึ่งของเขาโดนคมของจิตกระบี่ บาดเป็นแผลเส้นหนึ่งบนเปลือกตา แต่มันก็ถูกเส้นผมสีเงินที่สลายลงมาบิดบังเอาไว้
ปฏิกริยาแรกที่เขากระทำไม่ใช่การลงมือสวนกลับไป แต่กลับเป็นการเหาะไปไล่คว้าผ้าคาดผมสีแดงที่ปลิวไปตามลมผืนนั้น
จีเฉวียนเองก็รั้งอยู่เพื่อโอบอุ้มตู๋กูซิงหลันเอาไว้ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้แข็งแกร่งบึกบึนเช่นตู๋กูจุน แต่ก็สามารถอุ้มนางเอาไว้ด้วยมือเดียวได้เช่นกัน เขาโอบกอดสะโพกของนางเอาไว้เสมือนกับเวลาอุ้มเด็กหญิงตัวเล็กๆ
อืม ข้อแขนที่มั่นคงของเขารองรับแก้มก้นเย็นๆ ของนางเอาไว้ ตอนนี้จึงทำให้นางเย็นวาบกว่าเดิมเข้าไปอีกรู้ไหม?
สายลมโหมแรง พัดจนอาภรณ์และเส้นผมของทั้งสองปลิวขึ้นพันเกี่ยวกัน
เมื่อตู๋กูซิงหลันมองออกไป ก็ได้เห็นฉู่เจียงคว้าผ้าคาดผมของเขาเอาไว้ได้ทันพอดี เขาหลับตาข้างที่ได้รับบาดเจ็บลง ใช้ดวงตาเพียงข้างเดียงจับจ้องกลับมาที่ตู๋กูซิงหลัน
ยามนี้ความโกรธเคืองบนร่างของเขาลดทอนลงไปแล้ว กลายเป็นความประหลาดใจขึ้นมาแทน แต่ความประหลาดใจนี้ก็มิได้แสดงออกไปอย่างโจ่งแจ้ง
มือของฉู่เจียงกำผ้าคาดผมสีแดงเอาไว้อย่างแนบแน่น ขณะที่มองไปนั้น ในสมองก็เกิดภาพต่างๆ ขึ้นมามากมายเต็มไปหมด
เขาคิดไม่ถึงเลยว่าสาวน้อยผู้นี้จะไม่ใช่เหลียงเซิงเซิง
ยิ่งคิดไม่ถึงว่า…ที่แท้แล้วนาง…..
นางเกี่ยวข้องอันใดกับเจียงเย่ว?
ยิ่งเกี่ยวข้องอันใดกับคนผู้นั้น?
ชือหลีที่วิ่งหนีไปก่อนหน้าแอบดูอยู่ไกลๆ อ้ายย่าห์ ที่โดดเด่นที่สุดในคืนนี้ดูท่าจะเป็นก้นของตู๋กูซิงหลันแล้วกระมัง
ดูจากท่าทางของฉู่เจียง เหมือนกับว่าเขาจะรู้จักนาง?
จุ๊ จุ๊ จุ๊……
ชือหลีอุ้มเหลียงเซิงเซิงที่ยังคงสลบไสลเอาไว้ในอ้อมแขน ยิ้มละไมบางๆ ออกมา “แม่นางน้อย เจ้าปีศาจตัวร้ายที่เจ้าหลงชอบนั้น เกรงว่ามันคงจะเปลี่ยนใจไปเสียแล้วล่ะมั้ง?”
ก็ใช่อยู่น้า….รูปร่างหน้าตาของตู๋กูซิงหลัน มิว่าผู้ใดได้เห็นเป็นต้องหลงใหล
ขนาดนางเองตอนนั้นยังต้องการร่างเนื้อนั่นเลยมิใช่หรือ?
“น่าเสียดายร่างที่มีพรสวรรค์สามารถดึงดูดจิตวิญญาณธรรมชาติของเจ้าจริงๆ ….” ชือหลีพูดพลาง สายตาก็เกิดประกายกระหายขึ้นมา จิตวิญญาณที่เข้มข้นถึงเพียงนี้ ช่างน่าดึงดูดใจผู้คนเสียจริงๆ “อย่าได้ปล่อยให้เสียของเปล่า ให้ข้าผู้เป็นเทพสักคำหนึ่งก็แล้วกัน”
นางอ้าปากลงไปอย่างอดรนทนไม่ไหว ขณะที่กำลังจะสัมผัสกับริมฝีปากของเหลียงเซิงเซิงอยู่นั้นเอง
“บรึ้ม!” ทันใดนั้นเอง ที่ด้านนอกของสวนตะวันออกก็เกิดแสงเพลิงลุกท่วมท้องฟ้า
พอหันกลับไปดูก็เห็นแสงเพลิงกำลังกลืนกินกำแพงด้านนอกทั้งหมดของสวนตะวันออกลงไป จากนั้นลูกศรเพลิงหลายชุดก็พุ่งข้ามกำแพงเพลิงเข้ามา
หัวลูกศรติดไฟลุกโชนด้วยน้ำมันเชื้อเพลิง แต่ละดอกติดไฟลามไปถึงปลายหาง
ลูกศรเหล่านั้นพุ่งผ่านกำแพงไฟมุ่งตรงเข้าหาจีเฉวียนและฉู่เจียงอย่างแม่นยำ
ตำแหน่งของฉู่เจียงอยู่ด้านหน้าของจีเฉวียนและตู๋กูซิงหลัน ย่อมต้องเผชิญกับลูกศรเพลิงเหล่านั้นก่อน
เขาส่งเสียงเย็นชาขึ้นมาครั้งหนึ่ง ก็วาดแขนเสื้อออกไป เส้นผมสีเงินยวงพลิ้วขึ้นมา ใช้หมอกแดงรอบกายพุ่งออกไปก่อน คิดจะป่นพวกมันให้กลายเป็นผุยผง
แต่น่าเสียดาย ลูกศรเพลิงที่คมกริบและมีพลังรุนแรงเหล่านั้นกลับสามารถทะลวงหมอกสีแดงของเขาออกมาได้
ทันทีที่พุ่งเข้ามาถึง แรงทำลายก็ทะลวงแขนเสื้อของฉู่เจียงเป็นรูโหว่
จากนั้น แขนเสื้อที่ถูกทะลวงของเขาก็ติดไฟขึ้นมาในทันที เพลิงนั่นลุกโหมขึ้นมาอย่างรวดเร็วแทบจะกลืนร่างของฉู่เจียงลงไป
เขาขมวดคิ้วมุ่น ยื่นมือออกมาข้างหนึ่ง คว้าไหล่เสื้อของตนเองเอาไว้แน่นแล้วออกแรงกระชากอย่างรุนแรง แขนเสื้อถูกฉีกออกมาทั้งแถบ เปิดเผยให้เห็นท่อนแขนที่ผอมบางแต่ก็มีกล้ามเนื้อชัดเจนออกมา
ท่ามกลางแสงเพลิงที่ตกกระทบ ตู๋กูซิงหลันสามารถมองเห็นภาพลายสักสีเขียวที่ยาวตั้งแต่หัวไหล่จนถึงข้อมือบนท่อนแขนของเขาได้อย่างเด่นชัด
ลายสักที่ได้เห็นเหล่านั้น ทำให้หัวคิ้วของตู๋กูซิงหลันต้องขมวดด้วยความปวดศีรษะขึ้นมา ในชั่วขณะนั้นสมองของนางปรากฏภาพที่พร่าเลือนมากมายทั้งหมดล้วนเกี่ยวโยงกับภาพลายสักเหล่านั้น
จีเฉวียนทอดพระเนตรไปยังศรเพลิงที่ลุกโชน ดวงเนตรหงส์ทอประกายเย็นชา ขณะที่ลูกศรพุ่งเข้ามา พระองค์ก็วาดกระบี่ในพระหัตถ์ออกไป สกัดกั้นก่อนที่มันจะมาถึงตัว
เมื่อลูกศรเหล่านั้นพุ่งเข้ามาใกล้ ตู๋กูซิงหลันถึงได้เห็นว่า แต่ละดอกมียันต์แผ่นหนึ่งผนึกเอาไว้
“ยันต์สลายไอหยิน” ตู๋กูซิงหลันมองดูยันต์ที่อยู่บนลูกศรก็ขมวดคิ้วมากกว่าเดิม
ยันต์ชนิดนี้ใช้เพื่อกำหราบไอหยินโดยเฉพาะ แต่ละใบจะต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมากจึงจะสร้างได้สำเร็จ
ยามนี้เมื่อมองออกไป ลูกศรทุกดอกล้วนมียันต์ชนิดนี้อยู่ แสดงว่าถูกเตรียมการเอาไว้แล้วตั้งแต่แรก
ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ เป็นหลุมพรางอย่างหนึ่ง
ทันทีที่เปลวเพลิงจากลูกศรกระทบถูกกระบี่ของจีเฉวียน ก็บังเกิดเสียงเสียดสีบาดแก้วหูดังขึ้นมา
แสงเพลิงที่พุ่งเข้ามาสาดส่องให้เห็นร่างของคนทั้งสอง ด้วยเหตุนี้ฉู่เจียงจึงสามารถมองเห็นทุกอย่างได้อย่างชัดเจน
จีเฉวียนมิได้สนใจฉู่เจียงอีก พระองค์โอบร่างของตู๋กูซิงหลันเอาไว้ เหาะขึ้นไปบนต้นไห่ถางที่สูงที่สุด
ยามนี้ พระหัตถ์ข้างหนึ่งโอบนางเอาไว้ อีกข้างหนึ่งถือกระบี่ ดวงเนตรหงส์ทั้งคู่กวาดมองออกไปด้านนอก
——
ตอนต่อไป “เคียงบ่าเคียงไหล่กับจีเฉวียน”
ตอนที่ 326 เคียงบ่าเคียงไหล่กับจีเฉวียน
ท่ามกลางแสงเพลิงเรืองรอง พระองค์ทรงมองเห็นกลุ่มคนของเหลียงจวิ้นอ๋อง
แสงเพลิงลุกโหมไม่ยอมหยุด บนท้องฟ้าก็ยังมีลูกศรเหล่านั้นโบยบินอยู่เต็มไปหมด แสดงให้เห็นชัดเลยว่าสวนตะวันออกแห่งนี้ถูกคนวางเพลิงเข้าแล้ว
“เหลียงป๋อ” จีเฉวียนประทับยืนอยู่บนต้นไม้ ดวงเนตรหงส์ทอประกายแสงออกมา
เพียงแค่พระองค์เปล่งพระสุรเสียงออกไป ก็ดังไปทั่วทั้งสวนตะวันตก ถึงแม้ว่าจะมีเพลิงลุกท่วมอยู่ แต่ว่าคนภายนอกต่างก็สามารถได้ยินเสียงของพระองค์อย่างชัดเจน
เหลียงจวิ้นอ๋องยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชน เขาเงยหน้าขึ้นมองออกไป ก็เห็นว่าจีเฉวียนทรงยืนอยู่บนต้นไห่ถางท่ามกลางฝนเพลิงที่ตกลงมา
แสงเพลิงจับดวงพักตร์ที่งามล้ำจนสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน นอกจากเปลวไฟที่โอบล้อมอยู่นั้น ทั่วทั้งพระองค์ให้ความรู้สึกที่หนาวเย็นสุดขั้ว
เขานึกไม่ถึงเลยว่า ทั้งๆ ที่อยู่ในสถานการณ์เช่นนี้แล้ว แต่ว่าจีเฉวียนกลับมิได้บาดเจ็บใดๆ แม้แต่น้อย
“เจ้าคิดจะกบฏหรือ?” จีเฉวียนยกพระหัตถ์ขึ้นมา กระบี่ในพระหัตถ์ชี้ไปยังเหลียงจวิ้นอ๋อง
พระองค์ตรัสเพียงประโยคเดียว ก็ทำให้หัวใจของเหล่าทหารที่รายล้อมอยู่พากันกระตุกขึ้นมา
เรื่องที่เหลียงจวิ้นอ๋องไม่พอใจในราชสำนักพวกเขาต่างก็รู้กันเป็นอย่างดี
หน่วงเหนี่ยวอาวุธยุทโธปกรณ์เอาไว้ไม่ยอมส่งมอบขึ้นไป หมายความว่ามีจุดประสงค์เช่นไรพวกเขาล้วนแจ่มแจ้งอยู่แล้ว
เพียงแต่ยามที่ถูกคนบ่งชี้ออกมา พวกเขาก็ยังรู้สึกตระหนกอยู่บ้าง
“แค่คนบ้าตัณหาผู้หนึ่ง กับปีศาจบนเขาฝูซางซาน ร่วมมือกัน คิดทำร้ายหลานสาวของข้า ทั้งยังมุ่งร้ายต่อเมืองกู่เย่ว ที่ข้าเผาพวกเจ้าก็เพื่อจัดการเรื่องนี้ให้กับชาวเมืองกู่เย่ว” น้ำเสียงของเหลียงจวิ้นอ๋องเหมือนดั่งฆ้อง ยกย่องตนเองขึ้นไป
“ใช่แล้ว วันนี้ที่ท่านอ๋องทำไปทั้งหมดก็เพื่อขจัดเภทภัยให้กับชาวเมืองกู่เย่ว” กองทหารของเขาพากันร้องรับขึ้นมา
มิว่าอย่างไร เจ้าปีศาจบนฝูซางซานผู้นั้นก็ได้ปรากฏตัวออกมาแล้ว แต่ตอนนี้มันก็อยู่ในสวนตะวันตกอีกด้วย มีแต่เพลิงเช่นนี้เท่านั้นที่สามารถจะกำจัดมันได้ หากปล่อยมันทิ้งเอาไว้ก็มีแต่จะก่อให้เกิดเภทภัยยิ่งใหญ่ในภายหลัง
“อืม คนบ้าตัณหาหรือ?” ทันทีที่จีเฉวียนแย้มพระสรวลเย็นออกไป กระบี่ในพระหัตถ์ก็มิได้หยุดลง
เพลงกระบี่ในพระหัตถ์ของฮ่องเต้พลิ้วไหวดุจสายน้ำไหลลื่นดุจสายหมอก ทั้งยังผันแปร เพียงสะบัดแค่เบาๆ ก็สามารถสกัดลูกศรเหล่านั้นเอาไว้ได้หมด
สาวน้อยในอ้อมพระพาหาจึงปลอดภัยไร้เรื่องราว
น้ำเสียงที่ตรัสกับเหลียงจวิ้นอ๋องเย็นยะเยือกถึงที่สุด “เราไม่เข้าใจจริงๆ ว่า ปากของเหลียงจวิ้นอ๋องท่านกำลังกล่าวเรื่องเหลวไหลอันใด?”
คำว่า ‘เรา’ ที่กล่าวออกมา ถึงกับทำให้หัวใจของผู้คนกระตุกแล้ว
บุรุษที่มีรูปโฉมงดงามดุจทวยเทพผู้นี้….ก็คือฮ่องเต้?
มีแต่เหล่าทหารคนสนิทของเหลียงจวิ้นอ๋องเท่านั้นที่รู้ถึงฐานะของจีเฉวียน คนอื่นๆ ล้วนแต่ตกตะลึงไปตามๆ กัน
แสงเพลิงที่ลุกท่วมจวนเหลียงจวิ้นอ๋องในครั้งนี้ทำเอาแม้แต่เหล่าชาวบ้านทั่วไปพากันแตกตื่นขึ้นมา ถึงจะดึกดื่นครึ่งคืนไปแล้วแต่ก็ยังมีคนออกมาชมดูอยู่ไม่น้อย
ยามค่ำคืนในเมืองกู่เย่วมีไอหยินรุนแรงอยู่เสมอ จึงทำให้น้อยครั้งนักที่จะมีภาพคนนับหมื่นออกมาอยู่ที่ริมถนน
ทุกคนต่างได้เห็นภาพที่กองเพลิงแผดเผาตัวเรือน ทั้งยังได้เห็นบุรุษลึกลับที่ดูไร้ที่มาผู้นั้น
สายลมพลิ้วผ่านเสื้อผ้าและเส้นผมของเขา แสงไฟก็จับลงบนโฉมหน้าของเขา ริมฝีปากของเขามีรอยยิ้มเย็นชาเล็กน้อย ดูราวกับจอมปีศาจในยมโลกที่พึ่งจะก้าวเท้าออกมาจากกองเพลิงทำให้ผู้คนอดที่จะบังเกิดความยำเกรงขึ้นมาไม่ได้
คนเช่นนี้ จะกลายเป็นคนบ้าตัณหาได้อย่างไร?
“เจ้าไม่เพียงแต่มุ่งหมายจะคุกคามหลานสาวของข้า ทั้งยังกล้าปลอมแปลงเป็นฮ่องเต้? ไม่รู้จริงๆ หรือว่าคำว่าตายนั้นเขียนเช่นไร” นี่คือความสามารถในการปั้นน้ำเป็นตัวของเหลียงจวิ้นอ๋อง ที่แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังพลอยเชื่อไปด้วย
การโป้ปดที่สูงส่งที่สุด คือต้องสามารถหลอกลวงได้แม้แต่ตนเอง
จีเฉวียนเป็นฮ่องเต้แล้วอย่างไร ขอเพียงเขากัดฟันปฏิเสธว่าไม่รู้จัก ถือเสียว่านั่นเป็นเพียงตัวปลอม วันนี้ก็จะสามารถกำจัดให้คนตายไปพร้อมกับปีศาจนั้นได้อย่างแน่นอน
เขาไม่ต้องการต่อความยาวกับจีเฉวียน จึงคว้าธนูขึ้นมาด้วยตนเอง น้าวสายธนูนั้นอย่างสุดแรง
ลูกศรที่มีเปลวเพลิงสีทองดอกหนึ่งพุ่งตรงไปยังจีเฉวียนอย่างแม่นยำ
“นั่นมัน…” คราวนี้แม้แต่เหล่าลูกน้องของเขาก็ยังต้องตกตะลึงไป ลูกศรเปลวเพลิงสีทองนี้คือสิ่งที่ท่านอ๋องค้นพบในคลังสมบัติลับของแคว้นกู่เย่วในตอนที่ตามเสด็จปฐมฮ่องเต้มาทำสงคราม
เพียงแค่ศรนี้แล่นออกไป มิว่าเป็นทวยเทพหรือมารปีศาจล้วนต้องถูกเผาผลาญจนดับดิ้น
วันนี้ท่านอ๋องตัดสินใจแล้วว่าต้องปลิดชีพคนผู้นั้นให้ได้
เช่นนี้ต่อให้มิได้ก่อกบฏแต่ก็ต้องถือว่ากบฏแล้ว
ทันทีที่ศรพุ่งออกจากคันธนู เหลียงจวิ้นอ๋องก็ส่งสายตาหยามหมิ่นไปถึงจีเฉวียน ความเกลียดชังราชวงศ์จีของเขานั้นเกิดขึ้นมานานหลายปีแล้ว
ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องที่จีเฉวียนบังคับเซิงเซิงให้แต่งงานด้วย
แต่นับตั้งแต่ที่องค์หญิงเย่วถูกทำลายแว่นแคว้นและบ้านเมือง บีบบังคับให้นางต้องแปดเปื้อน ทั้งยังพาตัวกลับไปยังแคว้นต้าโจว ความเกลียดชังนี้ก็เกิดขึ้นในก้นบึ้งของหัวใจแล้ว
ศรดอกนี้ ถือเสียว่ายิงเพื่อเป็นการล้างแค้นแทนองค์หญิงเย่ว ล้างแค้นแทนตัวเขาเองก็แล้วกัน
สายตาของเขาเปี่ยมไปด้วยไอสังหาร ลูกศรเพลิงสีทองนี้ถือเป็นหนึ่งในสมบัติลับของราชวงศ์แคว้นกู่เย่ว เป็นสมบัติล้ำค้าที่ต้นราชวงศ์ของพวกเขาได้เก็บรักษาเอาไว้ ว่ากันว่ามันสามารถดับดวงอาทิตย์ลงมาได้ด้วยซ้ำ
มิว่าผู้ใดก็ไม่สามารถรอดพ้นไปจากผลลัพธ์ที่จะต้องถูกเพลิงนี้เผาผลาญไปได้
สำหรับจีเฉวียนแล้ว นี่จึงเป็นความตายสถานเดียวเท่านั้น
ท่ามกลางฝนเพลิงที่ตกลงมา ลูกศรของเหลียงจวิ้นอ๋องทะยานขึ้นมาพร้อมกับพลังในการทำลายล้าง
ลูกศรยังมาไม่ทันถึง ตู๋กูซิงหลันก็รู้สึกได้ถึงความร้อนแผดเผารุนแรงที่กำลังพุ่งเข้ามใกล้แล้ว แก้มก้นที่เดิมทีรู้สึกหนาวเย็นจนขนลุกเปลี่ยนเป็นร้อนระอุเหมือนถูกย่างขึ้นมาในทันที
ร้อน!
ร้อนจนสุกแล้ว!
ในขณะที่ลูกศรพุ่งเข้ามานั้น มือของนางก็ขยับอย่างรวดเร็ว เขวี้ยงยันต์สีเหลืองออกไปหลายผืนติดๆ กัน
พอยันต์สีเหลืองเหล่านั้นบินออกไปก็ล้อมตัวเป็นวงกลมอยู่เบื้องหน้าลูกศรเพลิงสีทองกลายเป็นวงแสงสีดำวงหนึ่งสะท้อนออกมา
วงแสงแสดงพลังป้องกันที่แข็งแกร่ง เพื่อสกัดลูกศรดอกนั้นเอาไว้
แต่น่าเสียดายที่พลังทำลายล้างของลูกศรนี้แข็งแกร่งเกินไป ยันต์สีเหลืองหลายใบนั้นจึงทำได้เพียงรั้งความเร็วในการเจาะทะลวงของมันลงเล็กน้อยเท่านั้น
ตู๋กูซิงหลันสีหน้าเปลี่ยนแปลงไปทันที ลูกศรดอกนี้มิใช่ของธรรมดา แต่ว่ามีพลังจิตวิญญาณที่แข็งแกร่ง
เกรงว่าคงจะเป็นสมบัติล้ำค่าที่ผู้อาวุโสผู้ยิ่งใหญ่ในรุ่นก่อนผู้นั้นหลงเหลือเอาไว้ในโลกมิตินี้เสียแล้ว
มิว่าในโลกปัจจุบันหรือว่าจะเป็นดินแดนแห่งนี้ มิว่าจะเป็นเหล่าปรมจารย์ไสยเวทย์หรือนักพรตผู้ฝึกตนบำเพ็ญเซียนทั้งหลาย ต่างก็มีสิ่งที่เรียกว่าอาวุธที่มีจิตวิญญาณหรือศาตราเทพอยู่
เมื่อมีอาวุธที่มีจิตวิญญาณอยู่ในมือ ของเพียงมีความกล้ามากพอ มีความสามารถเพียงพอ หากคิดจะทำลายล้างเมืองสักเมืองก็มิใช่เรื่องที่ยากอะไร
แน่นอนว่า ลูกศรดอกนี้อย่างน้อยๆ จะต้องเป็นอาวุธจิตวิญญาณ ที่ประเมินค่ามิได้
ตู๋กูซิงหลันถูกจีเฉวียนอุ้มเอาไว้พักหนึ่งแล้ว คนค่อยหายมึนงงลงไปบ้าง ถึงแม้เขวี้ยงยันต์ออกไปหลายใบ แต่ยังพอมีเรี่ยวแรงกล่าวกับจีเฉวียนได้แล้ว
“ฝ่าบาท หากพระองค์ยังเอาแต่ชมดูต่อไป เราสองคนคงต้องถูกเสียบไม้ย่างเป็นแน่”
พอนางเงยหน้าขึ้นมอง สีพระพักตร์ของฮ่องเต้ก็ยังคงสงบนิ่งไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เสมือนกับว่าที่พุ่งเข้ามานั้นเป็นเพียงแค่ไม้จิ้มฟัน มิใช่อาวุธวิญญาณอันใดทั้งสิ้น
“ร้อยปีต่อไปภายหน้า แม้ว่าเราตายไปแล้วก็จะกลบฝังในหลุมเดียวกันกับเจ้า” จีเฉวียนกวาดพระเนตรมองดูลูกศรที่พุ่งเข้ามา ก็หยอดคำหวานออกมาอีกครั้ง
ตู๋กูซิงหลัน “……” อยากจะอ้วกใส่หน้าเขาเสียเลย ทำไงดี?
ในเมื่อเป็นถึงปรมจารย์นักพรต เป้าหมายสูงสุดของนางย่อมต้องเป็นการมีชีวิตยืนยาวเป็นนางมารทรงเสน่ห์ต่างหากรู้ไหม?
ช่วงเวลาเพียงร้อยปี …..สำหรับเหล่านักพรตมันสั้นเกินไปแล้ว
ส่วนฉู่เจียงที่อยู่ด้านข้างนั้นก็ได้แต่แบมือยักไหล่หันไปจับตามองจีเฉวียน
ลูกศรดอกนี้เขาย่อมรู้จัก เป็นของที่ร้ายกาจ คนธรรมดาไม่ทันได้สัมผัสก็ถูกเผาผลาญกลายเป็นเถ้าถ่านแล้ว
ฮ่องเต้ต้าโจวผู้นี้ยังเข้มแข็งกว่าที่เขาคิดเอาไว้มากนัก
ที่จริงแล้ว….ในร่างของเขาคล้ายจะมีขุมพลังบางอย่างเก็บงำเอาไว้โดยไม่ยอมเปิดเผยออกมา
ความโกรธาที่เดิมมีต่อจีเฉวียนนั้น ตอนนี้ถูกย้ายไปที่เหลียงจวิ้นอ๋องแทนแล้ว
นี่เป็นหนึ่งในเหตุผลที่เขาชิงชังรังเกียจพวกมนุษย์ เพราะความเห็นแก่ตัวและเจ้าเล่ห์เพทุบาย
ตอนนี้ถึงกลับคิดวางกับดักใส่เขาเข้าแล้ว?
ฉู่เจียงขยับเท้าดั่งสายลม พริบตาเดียวก็มาถึงข้างกายจีเฉวียน ยืนเคียงบ่าเคียงไหล่กับพระองค์
คนหนึ่งทรงฉลองพระองค์สีดำลายทอง คนหนึ่งสวมใส่ชุดแดงตลอดร่าง หนึ่งดำหนึ่งแดง นับเป็นยอดปีศาจที่งดงามน่าหลงใหลที่สุดในค่ำคืนนี้
——
ตอนต่อไป “กับคู่จิ้นหนุ่มน้อยรูปงาม”
ตอนที่ 327 กับคู่จิ้นหนุ่มน้อยรูปงาม
ยามที่ผู้คนได้เห็นคนทั้งสองยืนอยู่เคียงข้างกัน ต่างก็ต้องสูดลมหายใจเข้าไปอย่างหนาวเหน็บ
ก่อนหน้านี้ พวกเขาไม่ทันได้สังเกตดูรูปโฉมของฉู่เจียงให้ละเอียด
ทุกคนต่างก็ทราบดีว่าบนภูเขาฝูซางซานมีปีศาจร้ายกาจที่ผู้คนเล่าลือกันไปทั่ว ตลอดหลายปีมานี้ ปีศาจตนนั้นได้กลืนกินศพมากมายที่ถูกโยนทิ้งเข้าไปในส่วนลึกของภูเขาฝูซาง
ตอนนี้เจ้าปีศาจนั้นเพ่งเล็งมาที่คุณหนูน้อย ไม่เพียงแค่นั้นยังออกอาละวาดในเมืองกู่เย่ว ฆ่าฟันผู้คนไปแล้วนับไม่ถ้วน
ผู้คนทั้งหลายต่างก็คิดไปว่านี่จะต้องเป็นปีศาจหน้าเขียวเขี้ยวยาวที่แสนอัปลักษณ์ แต่ตอนนี้พอมองไปแล้ว กลับเห็นว่าเขามีเส้นผมสีเงินดวงตาสีเขียวมกรตและรูปโฉมพิลาศล้ำ
ถึงแม้ว่าเขาจะยืนอยู่ข้างกายจีเฉวียนที่งดงามดุจดั่งเทพ ฉู่เจียงก็มิได้ดูด้อยไปกว่าในที่ใด
ทั้งเขาและจีเฉวียนต่างก็งดงามอย่างแตกต่าง
จีเฉวียนงามสง่าเย็นชาหยิ่งผยอง ฉู่เจียงก็งดงามอย่างตระการตาน่าตื่นตะลึง
ยามที่คนทั้งสองปรากฏตัวขึ้นมาพร้อมกัน แม้แต่กลิ่นอายในอากาศก็พลันเข้มข้นขึ้นมา
สองคนนี้ทำให้ผู้คนต้องคลุ้มคลั่งแล้ว!
พอตู๋กูซิงหลันกวาดตามองไปก็ต้องตกตะลึงขึ้นมาในทันที
ก่อนหน้านี้คนทั้งสองเอาแต่โจมตีกันและกัน แต่พอตอนนี้เปลี่ยนกลับเป็นมายืนเคียงบ่าเคียงไหล่แล้ว ก็กลายเป็นความงามที่บ่งบอกไม่ถูกขึ้นมา
ช่างเหมาะเจาะ!
ตู๋กูซิงหลันคิดอย่างจริงจัง ฮ่องเต้สุนัขจับคู่กับพี่ชายหนุ่มน้อยแล้วเป็นคู่จิ้นที่งดงามเหมาะสมอย่างยิ่ง
สองบุรุษหนุ่มที่งดงามถึงเพียงนี้หากไม่ได้จับคู่กันก็ช่างน่าเสียดายเกินไปแล้ว
นางรู้สึกว่าตนเองกลายเป็นดวงไฟกำลังสูงสามพันโวลต์ ถึงกับยังส่องสว่างยิ่งกว่าศรเปลวเพลิงสีทองนั้นอีก
“ลูกศรเปลวเพลิงสีทองถึงตายแน่แล้ว พวกเจ้ายังรู้ตัวอยู่บ้างหรือเปล่า” วิญญาณทมิฬแคะจมูกอยู่ในอ้อมแขนของนาง
แต่ว่ากันตามจริงแล้ว ความสนใจทั้งหมดของมันจับจ้องอยู่ที่ฉู่เจียงต่างหาก
หากว่าสามารถได้กินเนื้อของสิบยมราชสักหลายคำ มันคงสามารถทะยานขึ้นฟ้าไปได้อย่างแน่นอน
ถึงแม้ว่าหากเปรียบเทียบกันแล้ว การได้กินเนื้อของฮ่องเต้สุนัขจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า…..แต่ว่าประเด็นสำคัญคือขอแค่ฮ่องเต้นั่นไม่จับมันไปตุ๋นก็ต้องกล่าวอามิตาพุทธแล้ว
วิญญาณทมิฬพึ่งจะพูดจบไป ศรเพลิงสีทองก็ทะลวงยันต์สีเหลืองของตู๋กูซิงหลันออกมาได้ เสียงเฟี้ยวพุ่งผ่านอากาศเข้ามา
ดวงเนตรหงส์ของจีเฉวียนสงบนิ่งลง ยกกระบี่ในพระหัตถ์ขึ้นมาวาดกระบวนท่าออกไป
แส้สีแดงในมือของฉู่เจียงกลายเป็นหอกสีแดงดุจโลหิตเล่มหนึ่ง พุ่งเข้าใส่ลูกศรดอกนั้นตรงๆ
“หึ สิ้นเปลืองกำลังเสียเปล่า” ที่ด้านนอกสวน เหลียงจวิ้นอ๋องหัวเราะออกมาอย่างเย็นชา
ลูกศรดอกนี้สามารถสังหารทวยเทพและมารปีศาจ มันไม่เพียงแต่จะสามารถทะลวงและเผาผลาญพลังหยินและร่างจิต แต่ยังสามารถกำจัดพลังหยินทั้งหมดให้สูญสลายไปด้วย
เมื่ออยู่ต่อหน้าลูกศรดอกนี้ แค่จะให้พวกเขารวมพลังขึ้นมาก็ยังไม่อาจทำได้ ยังคิดจะต้านทานเอาไว้อีก?
เขาออกจะประหลาดใจอยู่ไม่น้อย ก่อนหน้านี้จีเฉวียนยังประมือกับฉู่เจียงอย่างอีรุงตุงนัง ทำไมอยู่ๆ คนทั้งสองถึงได้เปลี่ยนเป็นร่วมมือกันแล้ว?
เขาเชื่อว่าตนเองมีความเข้าใจในตัวตนของทั้งสองอย่างถ่องแท้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งฮ่องเต้พระองค์ใหม่ผู้นั้น….ยิ่งเป็นคนที่หยิ่งผยองเหนือผู้ใด
ด้วยศักดิ์และฐานะของเขานั้น มีหรือจะยอมร่วมมือกับปีศาจตนหนึ่งจากเขาฝูซางได้ ก็เขา….เป็นถึงฮ่องเต้
ฮ่องเต้เองก็ทรงมองดูฉู่เจียงด้วยความไม่สบพระทัยเช่นกัน ที่จริงตอนนี้พระองค์ยิ่งคิดจะใช้กระบี่แทงคอยหอยของฉู่เจียงให้ทะลุไปเสียเลย
หากมิใช่เพราะว่าในอ้อมพระพาหาของพระองค์มีซิงซิงอยู่ละก็…..จะต้องทรงทำเช่นนั้นอย่างแน่นอน
แต่เพราะว่ามีนางอยู่ มิว่าพระองค์จะกระทำสิ่งใดลงไปก็พึงต้องคำนึงถึงนางอยู่ก่อน
พลังกระบี่เหมันต์และหอกยาวพุ่งเข้าใส่ลูกศรเพลิงสีทองอย่างพร้อมเรียงกัน จนเกิดเสียงแหวกอากาศ ‘ตรึม’ กระหน่ำใส่แก้วหู
เกิดเป็นดอกไม้ไฟขนาดใหญ่ระเบิดขึ้นกลางท้องฟ้า โชติช่วงชัชวาลจนผู้คนต้องแสบตา
ผู้คนทั้งหมดต่างก็รีบอุดหูและปิดตาลงไป
จากนั้นก็ได้ยินเสียงสั่นสะเทือนต่อเนื่องกันหลายครั้ง เรือนทั้งหลังถล่มลงมา
แรงระเบิดสะท้อนออกไป กวาดเอาเหล่ามือธนูกระเด็นกระดอนออกไปด้วย
คราวนี้ฝนลูกธนูเพลิงเหล่านั้นถึงได้หยุดลง
แต่เพลิงที่ลุกไหม้ในสวนชั้นนอกยังคงโหมขึ้นท้องฟ้าอย่างรุนแรง ควันที่หนาแน่นพัดกระจายออกไปในอากาศยามค่ำคืน รมผู้คนจนสำลัก
ผู้คนต่างพากันยกแขนเสื้อขึ้นมาพัดโบกและปิดปากปิดจมูก ทั้งยังกระแอมไอด้วยความแสบคอยกใหญ่
แต่ละคนกระจัดกระจายกันออกไป เดิมที่พวกเขาคิดว่าตนอยู่ห่างออกมาแล้ว แต่พอโดนคลื่นสะท้อนนั่นเข้าไป พวกเขาต่างก็รู้สึกว่าผิวหนังทั่วร่างถูกกรีดบาดจนเจ็บปวดไปหมด
พลังทำลายล้างที่รุนแรงนั้นทำเอาเส้นผมและขนทั้งหมดของพวกเขาลุกชันและแห้งกรอบ
จนผ่านไปอีกครู่ใหญ่แรงสั่นสะเทือนทั้งหลายถึงได้สงบลงในที่สุด
พอควันไฟจางลงไป สิ่งแรกที่ปรากฏต่อสายตาก็ยังคงเป็นเงาร่างหนึ่งดำหนึ่งแดงดังเดิม
เพียงแต่เงาร่างสีดำนั้นมิได้รั้งรอร่างสีแดงอีก พระองค์โอบกอดสาวน้อยในอ้อมพระพาหา เสด็จลงมาจากต้นไห่ถางในก้าวเดียว
คนยังไม่ทันสัมผัสถูกพื้น ก็เห็นกิเลนสีดำขนาดใหญ่ตัวหนึ่งปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า มันขยับปีกเพียงครั้งเดียว ก็เกิดเป็นลมกรรโชกรุนแรง
เปลวไฟที่เดิมทีลุกไหม้เข้ามาในสวนตะวันออก ก็ถูกลมปีกของมันกระพือจนพัดกลับไป
เหล่าองครักษ์ของจวนจวิ้นอ๋องที่อยู่ใกล้ยังไม่ทันได้หลบหนี ก็ถูกลูกไฟกลุ่มนั้นเผาวูบจนกลายเป็นศีรษะล้านเลี่ยน
แต่ละคนกลายเป็นมนุษย์อัคคี ต่างก็รีบร้อนคลุกตัวลงไปบนพื้น ผู้คนทั้งหมดต่างพากันล่าถอยออกไป
เหลียงจวิ้นอ๋องถึงกับหน้าเปลี่ยนสีไปแล้ว
เป็นไปได้อย่างไรกัน?
จีเฉวียนกับเจ้าปีศาจนั่นไฉนจึงสามารถต้านทานศรเพลิงสีทองเอาไว้ได้?
นั่นเป็นถึงสมบัติลับของแคว้นกู่เย่วเชียวนะ!
ตอนนั้นสิบสองปีศาจที่อยู่ข้างพระวรกายของปฐมฮ่องเต้พอโดนลูกศรเช่นนี้เข้าไปเพียงดอกเดียวก็ถึงกับสลายกลายเป็นเถ้าถ่านไปเลย!
พอเห็นว่าเหลียงจวิ้นอ๋องตกตะลึงยืนค้างอยู่กับที่นายทหารน้อยข้างกายของเขาที่เคยหยิ่งยโสก็รีบลากดึงเขา “ท่านอ๋อง ถอยกันเถอะขอรับ!”
สถานการณ์เบื้องหน้าถึงกับเกินความคาดหมายไปมากมายแล้ว….
ดูแล้วฮ่องเต้……ยังคงน่ากลัวเสียยิ่งกว่าปีศาจจากฝูซางซานตนนั้นอีกหลายส่วน
ข่าวสารที่พวกเขาได้รับมาล้วนผิดพลาด พวกเขาสืบเสาะแต่กลับไม่ทราบเลยว่าที่จริงแล้วจีเฉวียนนั้นเก่งกาจจนน่าหวาดกลัวถึงเพียงไหน
ขณะที่นายทหารน้อยผู้นั้นพึ่งพูดจบไป ก็ได้ยินเสียง ‘ฮึ่ม’ ดังขึ้นมาอีกครั้ง
พวกเขาก็เห็นว่ากิเลนสีดำตัวนั้นบินโฉบลงมาถึงเบื้องหน้าของเหลียงจวิ้นอ๋อง
ร่างกายที่สูงใหญ่ของมันกำลังเงยคางขึ้นมา เชิดจมูกฟุดฟิดใส่เหลียงจวิ้นอ๋อง จากนั้นก็ส่งเสียงดังออกมาครั้งหนึ่ง “เมีย เมีย~”
มันถูกชือหลีชักนำจนเหลวไหลไปแล้ว ถึงขนาดที่ว่าในยามที่ฝ่าบาทต้องการมันอย่างที่สุดนั้น มันกลับหลบลี้หนีหายไปพักหนึ่ง ยังดีที่ยังรู้จักโผล่กลับมาในช่วงสุดท้ายด้วยท่วงท่าองอาจสง่างาม
พวกเขาตื่นตระหนกจนเขาทรุดลงไป!
เมื่อครู่พวกเขาพากันหวาดกลัว…..แต่ว่าตอนนี้ถึงกับอ้าปากเหวอไปแล้ว
ส่วนฉู่เจียงที่ยามนี้มองมาจากด้านหลังนั้น กำลังคิดถึงชั่วขณะที่เขาได้เข้าใกล้โอรสสวรรค์แคว้นเมื่อครู่นี้ ทำให้เขาอยู่ๆ ก็คิดถึงคนผู้หนึ่งขึ้นมา
ช่วงเวลาสั้นๆ เมื่อครู่นั้น เขารู้สึกได้ถึงกลิ่นอายจากพระวรกายที่ให้ความรู้สึกคุ้นเคยอย่างยิ่ง
ชั่วพริบตาสั้นๆ ….สั้นถึงขนาดที่ไม่ทันให้เขาได้มีปฏิกริยาใดๆ
ร่างกายของเขาเกิดความรู้สึกยอมจำนนขึ้นมา เมื่อครู่นั้นผู้ที่ยิ่งใหญ่และแข็งแกร่งเช่นเขาพลันเกิดความรู้สึกสองขาอ่อนแรงขึ้นมา จนแทบจะคุกเข่าลงไปที่เบื้องหน้าของจีเฉวียน
คนผู้นี้…..
เดิมทีคืนนี้เขามาที่นี่เพื่อเหยื่อตัวน้อย ตอนนี้กลับเสาะหาเหยื่อน้อยไม่พบ แต่กลับได้ค้นพบเรื่องที่ยิ่งใหญ่ไม่ธรรมดาเรื่องหนึ่ง
อีกด้านหนึ่ง จีเฉวียนประทับยืนอยู่บนหลังของเมียเมีย ปรายดวงเนตรที่เย็นชาทั้งสองไปทางเหลียงจวิ้นอ๋อง
“เหลียงป๋อ เจ้าก่อกบฏล้มเหลวเสียแล้ว” กระบี่ในพระหัตถ์ยังมิได้ลดลง สายพระเนตรมีแต่ความเหน็บหนาว
ในมือข้างหนึ่งของเหลียงจวิ้นอ๋องยังคงถือธนูคันใหญ่เอาไว้ เขาเงยหน้าขึ้นมาจีเฉวียน “ข้าไม่รู้ว่าเจ้ากำลังพูดถึงสิ่งใดอยู่ ข้าผู้เป็นอ๋องรู้แต่ว่า ที่บุกเข้ามาในวันนี้คือเภทภัย ภัยนี้ยังไม่ถูกกำจัด กลับยิ่งทำร้ายชาวบ้านในเมืองกู่เย่ว นี่เป็นความผิดพลาดภายใต้ความรับผิดชอบของข้า”
เขาได้แต่กัดฟันกล่าวออกไป ที่จริงแล้วเขาคิดไม่ถึงเลยว่าจีเฉวียนจะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้
มิน่าเล่าถึงได้กล้าบุกเดี่ยวมายังเมืองกู่เย่ว ความมั่นใจเช่นนี้เกรงว่าแม้แต่ปฐมกษัตริย์ในตอนนั้นก็ยังไม่อาจเทียบได้
“ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา” จีเฉวียนตรัสอย่างเย้ยหยัน
ทันทีที่สิ้นเสียงของพระองค์ ผู้คนต่างก็พบว่ามีเงาร่างสีดำมากมายรายล้อมอยู่รอบจวนจวิ้นอ๋อง โดยมีหลงเซียวเป็นศูนย์กลางของทั้งหมด คนชุดดำนับพันเหล่านี้ไม่รู้ว่าโผล่มาจากที่ใดกัน
ในมือของพวกเขามีธนูน้ำแข็ง และยามนี้ทั้งหมดต่างก็พุ่งเป้ามายังเหลียงจวิ้นอ๋องแล้ว
——
ตอนต่อไป “เรารู้สึกโชคดีอย่างยิ่ง
ตอนที่ 328 เรารู้สึกโชคดีอย่างยิ่ง
เหล่าทหารทั้งหลายต่างก็พากันตื่นตะลึงไป ตลอดมาเมืองกู่เย่วมีจวิ้นอ๋องคอยระวังรักษาการณ์อย่างเคร่งครัด แม้แต่คนที่จะผ่านเข้ามายังต้องมีการตรวจสอบอย่างละเอียดลออ คนมากมายเพียงนี้สามารถผ่านการตรวจตรามาได้อย่างไร?
เหลียงจวิ้นอ๋องเองก็ชะงักค้างไปครู่หนึ่ง ยามที่จีเฉวียนมาถึงนั้น เขาได้ตรวจตราดูถึงสามรอบ นอกจากองครักษ์ที่ติดตามมาสองสามคนแล้ว ที่ข้างกายของพระองค์ก็ไม่มีผู้ใดอีก
องครักษ์ลับนับพันสามารถเล็ดลอดผ่านใต้เปลือกตาของเขาเข้ามาได้อย่างไร?
นี่เป็นเพราะเขาเชื่อมั่นในตนเองมากเกินไปหรือว่าประเมินจีเฉวียนต่ำเกินไปกันแน่?
ฮ่องเต้หนุ่มน้อยผู้นี้ ทำตัวเป็นคน ‘ใจซื่อมือสะอาด’ มา ‘ขุดต้นไม้’ แต่ที่จริงแล้วกลับนำพาผู้คนมาตั้งมากมาย ลอบตระเตรียมหลุมพรางเอาไว้ ล่อให้เขากระโดดลงไป ค่อยฝังเขาอย่างทารุณ
เหลียงจวิ้นอ๋องอยู่มาถึงปูนนี้แล้วยังไม่เคยเสียทีให้ใครมาก่อน ตอนนี้กลับต้องมาถูกจีเฉวียนพลิกเรือคว่ำ มือที่ถือธนูยาวเอาไว้กำแน่นขึ้นมาจนข้อนิ้วขาวโพลน
คนผู้นี้ถึงกับเจ้าเล่ห์เพทุบายเสียยิ่งกว่าผู้ที่เป็นปู่ของเขาเสียอีก
“ฝ่าบาท กองทหารรักษาพระองค์และแม่ทัพผู้พิชิตตู๋กูจุนล้วนเฝ้าอยู่ที่เชิงเขาแล้วพะยะค่ะ” หลงเซียวคุกเข่าลงข้างหนึ่งเบื้องหน้าจีเฉวียน “ขอเพียงพระองค์มีพระบัญชา ก็พร้อมที่จะบุกเข้ามากวาดเมืองกู่เย่วให้ราบลงไป”
พอเหล่าผู้คนที่มิได้ทราบความเป็นจริงได้ยินเข้า หัวใจก็กระตุกขึ้นมา ที่แท้บุรุษที่งดงามจนฟ้าดินชิงชังผู้คนริษยา…..ก็คือฮ่องเต้จริงๆ
ฝ่าบาทเสด็จมาด้วยพระองค์เอง กลับเกือบจะถูกเหลียงจวิ้นอ๋องวางเพลิงจนสิ้นพระชนม์
ทั้งหมดนี่….เป็นความเข้าใจผิดกันหรือ?
หลายปีมานี้ เนื่องด้วยความคุ้มครองของเหลียงจวิ้นอ๋อง พวกเขาถึงได้อยู่ดีมีสุข ปราศจากทุกข์ร้อนใดๆ มาโดยตลอด
เหลียงป๋อไหนเลยจะยอมเลิกราโดยง่าย เขาพึ่งจะเปิดเผยความคิดกบฏออกไป หากว่าหยุดยังแต่เพียงเท่านี้ก็มีแต่จะตายเร็วกว่าเดิม
อย่าว่าแต่ ด้วยกำลังพลในเมืองกู่เย่วของเขา มิใช่ว่าไม่อาจจะปะทะกับคนของจีเฉวียนได้
ยิ่งไปกว่านั้น หากว่าเมื่อครู่เขามิได้ฟังผิดละก็ กองทัพที่มารออยู่ใกล้ๆ มีตู๋กูจุน?
มิว่าอย่างไรจีเฉวียนก็ไม่สมควรจะนำตู๋กูจุนมายังที่นี่
เขาไม่รู้หรือว่า ที่นี่เคยเป็นอดีตแคว้นของผู้ใด?
พอคิดถึงตรงนี้ เหลียงป๋อก็ยืดตัวตรงดุจพู่กัน ดวงตาที่ชราแล้วจับจ้องไปยังจีเฉวียน ยิ้มเย็นชาพลางกล่าวว่า “ในเมื่อฮ่องเต้แคว้นโจวของพวกเรากล้าคบหากับปีศาจอย่างสนิทสนม ก็อย่าได้โทษว่าผู้อื่นจดจำผิดพลาดไป”
“ใครจะไปคิดละว่า ผู้ที่เป็นถึงฮ่องเต้จะยอมเคียงบ่าเคียงไหล่กับปีศาจได้กัน?”
หลายประโยคนี้ของเหลียงจวิ้นอ๋องยิ่งแสดงชัดว่าเขามีเจตนาจะตอกย้ำ นายทหารหนุ่มน้อยที่อยู่ข้างกายจึงรีบตะโกนออกมาขุ่นเคือง
“จริงด้วย! เมื่อครู่พวกเราต่างก็เห็นอย่างชัดเจน ว่าปีศาจจากภูเขาฝูซางตนนั้นร่วมมือกับฮ่องเต้มิใช่หรือ? เช่นนั้นฮ่องเต้ผู้นี้ที่จริงแล้วเป็นตัวอะไรกันแน่?”
นายทหารผู้นั้นพูดพลางก็กำหอกยาวของตนเองเอาในมือ ชี้ออกไปด้วยท่าทางไม่กลัวตาย
ปัญหาลากยาวมาถึงเรื่องที่ว่า ‘ฮ่องเต้นั้นเป็นตัวอะไร’ เสียแล้ว
ในใจของผู้คนทั้งหลายทั้งเคารพทั้งยำเกรง แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือหวาดกลัว
ฮ่องเต้ของแคว้นแคว้นหนึ่ง ถึงกับมีความเกี่ยวพันกับพวกปีศาจ หากบ้านเมืองตกอยู่ในกำมือของคนเช่นนี้ แค่คิดๆ ดูก็ทำให้ผู้คนต้องหวาดกลัวแล้ว
ตอนนี้ พวกเขาต่างก็เงยหน้ามองขึ้นไป ถึงแม้ว่าเจ้ากิเลนตัวดำนั่นจะรู้จักร้องเมีย เมีย ……..แต่พวกเขาก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันน่ารักเลยสักนิด
ที่จริงแล้วแค่ฮ่องเต้สามารถควบคุมสัตว์ประหลาดเช่นนี้เอาไว้ได้ ก็เพียงพอจะทำให้คนต้องหวาดกลัวแล้ว
พอทหารผู้น้อยผู้นั้นเคลื่อนไหว นายทหารคนอื่นๆ ต่างก็พากันขยับตาม
แต่ละคนเกาะกุมอาวุธในมือเอาไว้แนบแน่น มองดูจีเฉวียนด้วยความตื่นตัว
ชาวเมืองกู่เย่วต่างก็ยืนห่างไกลออกไป เมื่อครู่มีผู้คนไม่น้อยได้รับบาดเจ็บ ในใจต่างก็พากันเกิดความหวาดระแวงต่อจีเฉวียน
จีเฉวียนประทับยืนอยู่บนหลังของเมียเมีย ดวงเนตรหงส์มองลงมาด้านล่างด้วยแววตาเย็นชาดุจน้ำแข็ง
ตู๋กูซิงหลันรู้สึกได้เลยว่าพระหัตถ์ที่โอบอุ้มตนเองเอาไว้นั้นเกร็งขึ้นมาอีกหลายส่วนนางสางเส้นผมบนใบหน้า เหลือบตามองดูผู้คน ก็ยิ้มเย็นออกมา “วาจาไร้สาระ หากจับพวกเจ้าไปเผาไฟพร้อมๆ กับบุรุษที่งดงามผู้นี้ พวกเจ้าลองคิดดูซิว่าพวกเจ้าจะยอมตายหรือจะร่วมมือกันเพื่อหาทางรอด?”
น้ำเสียงของนางน่าฟังอย่างยิ่ง แต่ถ้อยคำที่พูดฟังแล้วกลับเย้ยหยันอย่างที่สุด
แสงเพลิงในสวนตะวันออกยังคงไม่มอดไป ตู๋กูซิงหลันอยู่ในมุมอับแสงมาตั้งแต่แรกผู้คนแม้เห็นว่าฮ่องเต้ทรงอุ้มสาวน้อยนางหนึ่งเอาไว้ แต่ว่าไม่อาจมองเห็นรูปโฉมของนาง
ยามนี้พอนางเอ่ยปากขึ้นมา ผู้คนถึงได้หันความสนใจไปที่นาง
ถึงได้เห็นว่าที่ฮ่องเต้ต้าโจวทรงโอบอุ้มเอาไว้นั่นเป็นสาวน้องที่งดงามอย่างยิ่งผู้หนึ่ง นางดูไม่มีความกิ่งเกรงใดๆ แม้แต่น้อย
ฉู่เจียงที่อยู่ด้านหลังที่ยอมให้ตนเองเข้าเกณฑ์ ‘บุรุษโฉมงาม’ แต่โดยดีก็ยังอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองตู๋กูซิงหลันอีกหลายครั้ง
ตู๋กูซิงหลันยังคงเป่าหูอยู่ข้างพระกรรณของจีเฉวียนต่อไป นางกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนแอว่า
“ฝ่าบาทเพคะ~ พระองค์ช่างน่าสงสารจริงๆ เกือบจะถูกเผาตายแล้วแท้ๆ แล้วยังต้องมาถูกคนสาดน้ำครำเข้าอีก”
“ยามที่พระองค์กับบุรุษโฉมงามผู้นี้ต่อสู้กันก็ไม่เห็นมีใครกระโดดออกมาพิทักษ์ ตอนนี้แค่ใช้คำพูดเพียงไม่กี่คำก็คิดสาดความผิดใส่พระองค์ คนที่หลงเชื่อคำพูดผีสางของเสี่ยวเหลียงพวกนี้ เป็นพวกไม่มีสมองใช่หรือไม่เพคะ?”
นางบอบบางไม่อาจต้านทานสายลม ดูไปเหมือนกระต่ายขาวน้อยอ่อนเยาว์ไร้เดียงสา ที่ไม่ได้มีความก้าวร้าวใดๆ เลยสักนิด
ถ้อยคำกระแนะกระแหนของนางกลับทำให้ผู้คนทั้งหลายถึงกับมุมปากกระตุก
โดยเฉพาะเหลียงจวิ้นอ๋องถึงกับชะงักอยู่กับที่ เขาอายุมากถึงเพียงนี้แล้วกลับถูกเรียกเป็นเสี่ยวเหลียง ทำเอาใบหน้าชรานั้นถึงกับรับไว้ไม่ได้
ก่อนหน้านี้เขาไม่ทันได้สังเกตว่าจีเฉวียนคอยระวังรักษาสาวน้อยผู้นี้เอาไว้อยู่ตลอดเวลา แม้แต่ตอนที่ต่อสู้ก็ยังไม่ยอมวางลง
ที่จริงแล้วนางคือใครกันแน่?
ตู๋กูซิงหลันด่าคนโดยไม่ใช้คำพูดหยาบคาย
ผู้คนพากันมองดูนาง แล้วก็หันไปมองฮ่องเต้
หากว่าข่าวลือที่ได้ยินมาไม่แปลกปลอมละก็ ฮ่องเต้ต้าโจวไม่โปรดใกล้ชิดสนิทสนมกับสตรีมิใช่หรือ?
ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่ายามอยู่เบื้องหน้าฝูงชนทั้งหลายพระองค์ทรงใกล้ชิดกับหญิงใดถึงเพียงนี้?
หลงเซียวเองก็มองไปเช่นกัน ทันทีที่เขาได้เห็นตู๋กูซิงหลัน หัวใจที่ลอยคว้างมานานของเขาก็ค่อยกลับเอาเข้าที่ได้สักที
ในที่สุดฝ่าบาท…..ก็ทรงตามหาไทเฮาน้อยพบแล้ว
ตลอดเดือนกว่ามานี้ หน่วยองครักษ์ลับของพวกเขาถูกทรมานจนแทบจะลาตายกันแล้ว พวกเขาแทบจะพลิกดินแดนทั้งหมดเพื่อตามหา แต่กลับไม่พบไทเฮาน้อยแม้แต่เงา
ต้องทนเห็นฝ่าบาทผ่านผอมลมไปทุกๆ วัน ฝีมือในการทรมานผู้คนก็หนักหนาขึ้นเรื่อยๆ
ยามนี้เมื่อได้พบตัวตู๋กูซิงหลันแล้ว ใบหน้าของหลงเซียวที่มักจะปราศจากอารมณ์ความรู้สึกอยู่เสมอ ก็ถึงกับต้องหลั่งน้ำตาออกมา
“ท่านหัวหน้า ท่านเกิดความซาบซึ้งที่ได้เห็นไทเฮาทรงออกโรงปกป้องฮ่องเต้หรือ?” ลูกน้องที่อยู่ด้านข้างรู้สึกว่าได้เห็นสิ่งประหลาดราวกับเห็นผี ต่อให้ฝันมันก็ไม่เคยคิดว่าจะมีวันที่ได้เห็นหัวหน้าหลั่งน้ำตา
หลงเซียวกลับไปทำสีหน้าไร้อารมณ์ใดๆ ดุจเดิม “ข้าซาบซ้ำที่คืนวันอันเลวร้ายของพวกเราได้สิ้นสุดลงแล้วต่างหาก”
ทันใดนั้นลูกน้องของเขาก็พลันน้ำตาซึมขึ้นมาตามๆ กัน จริงด้วย ในที่สุดวันเวลาที่ยากลำบากก็ได้สิ้นสุดลงแล้ว
เมื่อคิดถึงคืนวันอันทุกข์ทรมานในช่วงที่ผ่านมา ตอนนี้ในที่สุดความโชคดีก็มาถึงแล้ว
บนหลังของเมียเมีย จีเฉวียนกระชับอ้อมแขนที่โอบกอดตู๋กูซิงหลันให้แนบแน่นกว่าเดิม พลางปรายพระเนตรไปมองดูสาวน้อยในอ้อมพระพาหา
“ซิงซิง เจ้าปกป้องเราเช่นนี้ ทำให้เรามีความสุขเหลือเกิน”
ใช่แล้ว ถึงแม้ว่าตู๋กูซิงหลันจะใจแข็งเป็นหินหรือเหล็กเพียงไหน แต่เมื่อถึงยามคับขับนางก็จะปกป้องพระองค์อยู่เสมอ
เหมือนยามอยู่ในสุสานเย่วฮูหยิน ยามที่น้ำท่วมเมืองลี่โจว ยามที่อยู่ในโลงทองแดง….
ตู๋กูซิงหลันได้ฟังแล้ว ก็กระซิบกระซาบที่ริมพระกรรณต่อไปว่า “ฝ่าบาท พระองค์มีความสุขก็เรื่องหนึ่ง แต่ขอทรงปล่อยสะโพกน้อยๆ ของหม่อมฉันก่อนได้ไหมเพคะ?”
จีเฉวียนถึงได้ทรงสังเกตว่า พระหัตถ์ของพระองค์เกาะกุมก้อนเนื้อของตู๋กูซิงหลันเอาไว้
ความรู้สึกหยุ่นๆ นุ่มๆ มือเช่นนี้ ทำให้คนอดไม่ได้ที่จะขยุ้มอีกหลายๆ รอบ
……………………………………..
ตอนต่อไป “ได้เห็นเจ้ากำแหง เรายิ่งปลื้มปิติ”
ตอนที่ 329 ได้เห็นเจ้ากำแหง เรายิ่งปล...
ตู๋กูซิงหลันรู้สึกว่าก้นของตนเองใกล้จะทนไม่ไหวแล้ว
จีเฉวียนทรงหยุดคิดเล็กน้อย ก็ส่ายพระเศียรติดๆ กัน “ไม่ได้ เรากลัวว่าหากไม่กอดเจ้าเอาไว้แน่นๆ แล้วเจ้าตกลงไป เราก็ต้องปวดใจแล้ว”
ถ้าอย่างนั้นพระองค์อย่าได้เอาแต่จับก้นของหม่อมฉันเอาไว้ตลอดเวลาได้ไหม!
ตู๋กูซิงหลันชักจะหงุดหงิดขึ้นมาบ้างแล้ว ต่อหน้าผู้คนทั้งหลายใบหน้าของนางเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม แต่ว่าในใจกลับด่ากราดนับครั้งไม่ถ้วน
ยามนี้ไม่อาจเอาร้องเท้าตบหน้าเขาได้ ช่างเป็นเรื่องที่น่าเสียดายยิ่งนัก
ท่าทางที่กระซิบกระซาบกันไปมาอยู่สองคน ในสายตาของผู้อื่นดูแล้วเหมือนกับว่าทั้งสองกำลังพลอดรัก
ทำเอาอยู่อยู่พวกเขาก็รู้สึกเก้อเขินและกระดากอายขึ้นมา จนไม่รู้ว่าต่อไปสมควรจะทำเช่นไรดี
เหลียงจวิ้นอ๋องมีสีหน้าโกรธเกรี้ยว จีเฉวียนแสดงออกเช่นนี้แสดงว่ากำลังลบหลู่เขาอยู่ชัดๆ
ทั้งๆ ที่แต่งตั้งเซิงเซิงเป็นกุ้ยเฟยแล้วแท้ๆ แต่ตอนนี้กลับมาเกี้ยวพาราสีหญิงสาวผู้หนึ่งต่อหน้าธารกำนัล นี่เท่ากับว่ากำลังฉีกหน้าเขาอย่างชัดเจน
จริงอยู่ที่เขาจะโปรดปรานผู้ใดก็เป็นเรื่องของเขา แต่ว่าไม่อาจกระทำอย่างโจ่งแจ้งต่อหน้าต่อตาผู้อื่นเช่นนี้
เหลียงจวิ้นอ๋องควงธนูคันใหญ่ขึ้นมา ส่งสายตาเคียดแค้นไปยังจีเฉวียน
“ฮึ โลกนี้ช่างน่าหัวเราะนัก ฮ่องเต้ผู้ครองแคว้นผู้หนึ่งกลับร่วมมือกับปีศาจ แล้วยังกล้ากระทำอย่างไร้กาลเทศะ ปล่อยให้สตรีที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้าออกมากล่าววาจากำแหงได้เช่นนี้หรือ?”
เหล่าทหารที่ติดตามเขาต่างก็ไม่พอใจเช่นกัน หากว่าตอนนี้ฮ่องเต้ทรงออกคำสั่งให้ใช้ดาบเข้าประหัตประหารพวกเขาขึ้นมา บางทีพวกเขาอาจยังไม่รู้สึกคับแค้นเช่นนี้
แต่ว่าในสถานการณ์เช่นนี้พระองค์กลับโอบสตรีเอาไว้ในอ้อมอก กระหนุงกระหนิงกันแต่เพียงสองคน ทำให้พวกเขารู้สึกว่ารับไม่ได้
ต่อให้พระองค์ไม่ได้ร่วมมือกับปีศาจ แต่โปรดปรานสตรีผู้หนึ่งจนออกนอกหน้าเกินไป พวกเขาก็ยังรู้สึกว่าฮ่องเต้ผู้นี้วางพระองค์ไม่เหมาะสมแล้ว
จีเฉวียนกวาดพระเนตรออกไปราวกับคมดาบ
“เราพอใจจะโปรดปราน เจ้ามีปัญหา?”
ตรัสเพียงแค่ประโยคเดียว ก็อุดปากเหลียงจวิ้นอ๋องเอาไว้จนพูดอะไรไม่ออก
ได้เห็นท่าทางที่ฮึกเหิมลำพองของฮ่องเต้ ทำให้เขาอยู่อยู่ก็คิดไปถึงปฐมฮ่องเต้ขึ้นมา
ตอนนั้นพระองค์ใช้วิธีบังคับจัดการ…..กับองค์หญิงเย่ว
แข็งขืนครอบครองนาง……โดยมิได้สนอกสนใจการต่อต้านและขัดขืนขององค์หญิงเย่ว
ยังดีที่ ภายหลังองค์หญิงมิได้ทรงเลือกพระองค์
ผู้คนทั้งหลายต่างก็ตกตะลึงไป ว่ากันว่าจีเฉวียนทรงเป็นฮ่องเต้เลือดเย็นที่ปราศจากความรู้สึก แต่ที่เห็นในตอนนี้กลับเป็นคนงมงายในความรักที่ยากจะพบพานได้ในร้อยปี
จีเฉวียนตรัสแล้ว ก็ยิ่งกระทำให้เห็นมากกว่าเดิม
พระองค์ประทับจูบลงบนใบหน้าของตู๋กูซิงหลัน “ได้เห็นเจ้ากำแหง เรายิ่งปลื้มปิติ”
ฟันของวิญญาณทมิฬแทบจะหลุดร่วงออกมาแล้ว
หากจะแปลออกมาก็คือ ‘ข้าชอบเจ้า ต่อให้เจ้าพลิกฟ้าคว่ำดินจนถล่มทลาย เราก็จะรับทั้งหมดไว้แทนเจ้าเอง!’
สวรรค์ทรงโปรด! เจ้าฮ่องเต้สุนัขนี้ช่างปากหวานจริงๆ
ประโยคนี้พูดได้น่าฟังนัก
ตอนที่อยู่ในโลกปัจจุบัน ซื่อมั่วเองก็ปฏิบัติต่อตู๋กูซิงหลันเช่นนี้เหมือนกัน
เขาคนเดียวเลี้ยงดูนางที่เป็นเด็กหญิงกำพร้าจนกลายเป็นสุดยอดปรมาจารย์นักพรต ปูหนทางที่ยิ่งใหญ่ให้กับนาง ที่นางสามารถกระทำสิ่งใดก็ได้ตามอำเภอใจ ล้วนเป็นเพราะว่ามีซื่อมั่วค่อยหนุนหลังอยู่เสมอ
เพียงแต่ซื่อมั่วไม่เคยเอ่ยออกมา เขาเอาแต่กระทำอย่างเดียว
ใครที่เป็นปรปักษ์กับนาง เคยทำนางบาดเจ็บ หรือคิดทำร้ายนาง แต่ละคนล้วนต้องจบสิ้นดับอนาถไปทั้งนั้น
จีเฉวียนรับสั่งออกมาเพียงประโยคเดียว ก็ทำเอาคนทั้งหลายพูดอะไรไม่ออก
นี่มันไม่ใช่ขอบเขตของความรักใคร่ทะนุถนอมแล้ว ดูจากท่าทางของฮ่องเต้แล้ว ต้องเรียกว่าแทบจะเป็นอยากจะตีเอาแผ่นดินทั้งหมดมากองเอาไว้ให้นางต่างหาก
สตรีที่อยู่ในอ้อมพระพาหา คงไม่ใช่นางปีศาจจากที่ใดกระมัง?
มิเช่นนั้นจะสามารถทำให้ฮ่องเต้ต้าโจวหลงใหลจนเสียวิญญาณเช่นนี้ได้อย่างไรกัน!
เหลียงจวิ้นอ๋องยิ่งโกรธากว่าเดิม จีเฉวียนช่วยมีสติหน่อยได้หรือไม่ นี่เขากำลังเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายเพื่อก่อกบฏอยู่นะ?
ช่วยให้ความเคารพที่เขาสมควรจะได้รับสักหน่อย!
ต่อให้สับเขาเป็นสองท่อนก็ยังดี
แต่ต้องไม่ใช่การมานั่งพรรณนาความรักของตนให้นางมารในตอนนี้
นี่มันเท่ากับว่าพระองค์ไม่เห็นหัวเขาเลย!
พอเขาอ้าปากจะเอ่ยขึ้นมา ก็เห็นปากแดงๆ ของนางมารที่นั่งอยู่ในอ้อมอกฮ่องเต้ขยับยก นางหัวเราะออกมาพลางกล่าวว่า “ฝ่าบาท ตอนที่หม่อมฉันท่องเที่ยวอย่างสนุกสนานอยู่ในเมืองกู่เย่ว ได้ไปเห็นถ้ำมากมาย ข้างในนั้นมีหอก ดาบ ง้าว ขวานสะท้อนแสงเป็นมันวาววับอยู่เต็มไปหมด สหายเสี่ยวเหลียงผู้นั้นคิดจะก่อกบฏมานานแล้ว กลับมายกอ้างเรื่องโกหกเพื่อใส่ร้ายพระองค์”
เรื่องนี้แม้แต่ในจวนของเหลียงจวิ้นอ๋องเองก็ไม่ใช่ความลับอะไร ขนาดชาวบ้านทั่วๆ ไปก็ยังรู้ ตอนนี้เมืองกู่เย่วถูกใช้เป็นสถานที่สำคัญในการจัดสร้างอาวุธ เพราะใต้ดินอุดมไปด้วยแร่เหล็ก จึงถือเป็นคลังยุทโธปกรณ์ของแคว้นต้าโจว
ดังนั้นการที่สาวน้อยผู้นั้นจะพบเห็นอาวุธตามถ้ำต่างๆ ในภูเขาจึงมิใช่เรื่องแปลกอะไร
“คนโบราณว่าไว้คัดเลือกแม่ทัพพึงต้องมีชื่อเสียงที่ดีเป็นสำคัญ พระองค์ทอดพระเนตรดูคนนิสัยไม่ดีผู้นี้ คิดจะกบฏก็กบฏไปสิ แต่กลับมาลากพระองค์ไปเป็นภูติผีปีศาจอันใด”
เหลียงจวิ้นอ๋องถูกนางจิกกัดจนโกรธแทบบ้าตายแล้ว นางมารที่ไม่รู้ว่าโผล่ออกมาจากที่ใดผู้นั้น มิว่าเรื่องอะไรก็กล่าวออกมาได้ทั้งสิ้น!
ถึงแม้ว่าเรื่องที่นางพูดจะเป็นความจริงก็ตามเถอะ
อาวุธที่สะสมเอาไว้ในถ้ำบนภูเขา คืนนี้สามารถนำมาใช้ได้พอดี จีเฉวียนมีองครักษ์ลับแล้วจะอย่างไร หากกองทัพในเมืองกู่เย่วทั้งหมดรวมตัวกันขึ้นมาก็ต้องมีกำลังพลสองถึงสามหมื่นเข้าไปแล้ว องครักษ์ลับเพียงเท่านี้ยังจะสามารถต้านทานกองทหารนับหมื่นได้อีกหรือ?
เมื่อครู่เขาได้แอบให้คนส่งข่าวไปหาแม่ทัพตู๋กูจุนแล้ว เพื่อเห็นแก่องค์หญิงเย่ว ตู๋กูจุนย่อมต้องไม่สร้างความกดดันให้กับเมืองกู่เย่วอย่างแน่นนอน
เช่นนี้….พวกเขาย่อมพอจะสกัดกั้นองครักษ์รักษาพระองค์เอาไว้ได้
ดังนั้น คืนนี้จีเฉวียนจะต้องตายอย่างแน่นอน
เหลียงจวิ้นอ๋องโบกมือขึ้นมา คำสั่งก็ถูกถ่ายทอดออกไป ทันใดนั้นเองกองทัพของเมืองกู่เย่วก็รายล้อมเข้ามาอย่างแน่นขนัด
ข้อเสียของการแบ่งแยกการปกครองด้วยระบบศักดินานี้ก็คือ กองทัพในแต่ละท้องที่รู้จักแต่ตราคำสั่งในกองทัพ ไม่รู้จักตัวบุคคล
โดยเฉพาะยามนี้เป็นเวลากลางคืน กองทัพเหล่านี้พอมาถึงก็สั่นสะเทือนจนพื้นถนนมีฝุ่นฟุ้งกระจาย
ตอนนี้ขนาดยังมาเพียงแค่สองค่ายเท่านั้น กองทัพรายล้อมจวนจวิ้นอ๋องเอาไว้ทุกด้าน
องครักษ์ลับของจีเฉวียนมิได้เคลื่อนไหว ในเมื่อฝ่าบาทยังมิได้มีคำสั่งก็ไม่มีใครในพวกเขาที่ขยับเขยื้อนแม้แต่ผู้เดียว
รอจนกองทหารจากค่ายที่สามมาถึง สีหน้าของเหลียงจวิ้นอ๋องก็ต้องพลันเปลี่ยนไป
พวกเขามากันมือเปล่า!
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น?” ใบหน้าของเหลียงจวิ้นอ๋องกลายเป็นสีเขียว กองทัพที่ไม่มีอาวุธ จะแตกต่างอันใดกับเสือที่ไม่มีเขี้ยวเล็บ?
“ย่าห์!” ตู๋กูซิงหลันขยับริมฝีปากด้วยความตกใจ “ฝ่าบาทเพคะ เกือบจะลืมไปแล้ว หม่อมฉันชื่นชอบอะไรที่วิบๆ วับๆ ที่สุดแล้ว ก็เลยกวาดเอาอาวุธพวกนั้นมาหมดแล้วเพคะ”
เพียงแค่ประโยคเดียวของตู๋กูซิงหลัน ก็สร้างความตื่นตระหนกให้กับเหลียงจวิ้นอ๋องจนสติหลุดไปแล้ว
นางรู้ตัวหรือไม่ว่าตนเองพูดอะไรออกมา?
อาวุธเหล่านั้นฉวยขึ้นมาสักเล่มหนึ่งก็หนักนับสิบชั่งแล้ว นางที่เป็นเพียงสาวน้อยนางนึงสามารถยกขึ้นมาได้สักเล่มหนึ่งก็ต้องถือว่าไม่เลวแล้ว ไหนเลยจะสามารถเก็บไปจนหมดสิ้นได้กัน?
สีหน้าของชือหลีที่แอบดูงิ้วอยูในมุมมืดนั้น…..จะเก็บกวาดสิ่งของเหล่านั้นไม่เห็นเป็นเรื่องยากอะไรเลย
ในเมื่อนางเป็นถึงเทพธิดา ย่อมต้องมีพื้นที่ในมิติลับของตนเอง
ก็เหมือนกับถุงเฉียนคุนที่เอาไว้จับคนโดยเฉพาะ
ล้วนสามารถบรรจุสิ่งของทั่วไปเข้าไปได้อย่างไม่จำกัด
อาวุธเหล่านั้น ล้วนถูกเก็บอยู่ในกระเป๋าของนาง หากตู๋กูซิงหลันต้องการก็สามารถหยิบออกมาได้ทุกเมื่อ
ช่วงเวลาที่อยู่ในเมืองกู่เย่ว ตู๋กูซิงหลันย่อมไม่ได้เอาแต่ท่องเที่ยวชมภูเขาและสายน้ำอย่างเดียวเสียเมื่อไหร่
ยายเด็กนั่นแต่ละรอบเป็นต้องโกยอาวุธออกไปมากมาย
คิดจะยึดอาวุธพวกนั้นไปเก็บไว้ไม่ใช่เรื่องยาก ที่ยากคือการค้นหาตำแหน่งที่ซ่อนของอาวุธเหล่านั้น
ตู๋กูซิงหลันใช้เวลานานถึงหนึ่งเดือน ถึงได้ค้นพบสถานที่จัดเก็บอาวุธในภูเขาทั้งหมด
แถมเมื่อไม่กี่วันมานี้เอง ถึงพึ่งได้เอาไปเก็บไว้ในช่องว่างในมิติของตน
จากนั้นก็ร่ายเวทย์อำพรางสายตาเอาไว้ เพื่อปิดบังเรื่องที่อาวุธถูกสับเปลี่ยนออกไปจนหมด
สตรีผู้นี้….ช่างปากไม่ตรงกับใจเสียจริงๆ อุตส่าห์ทำเพื่อเขาถึงเพียงนี้
แล้วยังจะมาพูดว่าไม่ได้ชอบจีเฉวียนอีกหรือ?
——
ตอนต่อไป “นังจิ้งจอกที่ทำร้ายผู้คน”
ตอนที่ 330 นังจิ้งจอกที่ทำร้ายผู้คน
หากไม่ใช่เพราะว่าห่วงใยฮ่องเต้ต้าโจว มีหรือนางจะทำเพื่อเขาถึงขนาดนี้?
มันก็อาจจะเป็นไปได้ที่ตนเองไม่ค่อยเข้าใจความรู้สึกนึกคิดของพวกมนุษย์
แต่ว่าถ้าหากเป็นตัวนางเอง จะทำอะไรก็ต้องเป็นเพราะเพื่อคนที่ตนรักและห่วงใยเท่านั้น
ยามนี้ สีหน้าของเหลียงจวิ้นอ๋องถึงกับเปลี่ยนเป็นย่ำแย่เสียแล้ว เขาจับจ้องไปที่ตู๋กูซิงหลัน ก็เห็นว่ายามสาวน้อยผู้นี้พูดจามีที่มาที่ไปมีน้ำหนักอยู่เสมอ จึงไม่รู้จะหาเหตุอะไรมาจับผิดนาง
เสียดายที่นางอยู่ในอ้อมแขนของจีเฉวียนอยู่ตลอดเวลา ทั้งยังหันหลังให้แสงสว่าง จึงได้แต่เห็นโฉมหน้าของนางเพียงลางๆ
เหลียงจวิ้นอ๋องจึงคิดเอาว่านี่จะต้องเป็นนางปีศาจจิ้งจอกที่มาทำร้ายผู้คนเป็นแน่
คนเช่นจีเฉวียน ถึงได้ถูกปั่นให้ลุ่มหลงจนไม่เป็นผู้เป็นคนเช่นนี้
ยิ่งเมื่อเขามองไปยังกองทัพของตนเอง ก็เห็นในมือของแต่ละคนล้วนว่างเปล่า สีหน้าสลดอดสู
จนเมื่อผู้นำกองทหารค่ายที่สามเข้ามารายงานตัว ก็เห็นว่าสีหน้าของเขาสับสนวุ่นวายใจ กระซิบเสียงเบาที่ริมหูของเหลียงจวิ้นอ๋องว่า “ท่านอ๋อง อาวุธหายไปหมดแล้ว”
เพียงไม่นานก็เห็นนายกองหลายคนเข้ามารายงานข่าวแบบเดียวกัน
หัวใจของเหลียงจวิ้นอ๋องกระตุกไปทันที เมื่อไม่กี่วันก่อนเขายังได้ไปตรวจดูด้วยตนเอง เห็นว่ามีอยู่ชัดๆ
อาวุธจำนวนมากมายถึงเพียงนั้น จะถูกกวาดไปจนหมดเกลี้ยงได้อย่างไร?
คราวนี้ เขาถึงได้เชื่อถือคำพูดของนางปีศาจผู้นั้นขึ้นมา นางทำได้อย่างไรกัน?
เมืองกู่เย่วตรวจสอบผู้คนที่มาจากภายนอกอย่างเข้มงวด หากว่านางมีปัญหา แล้วจะหลบพ้นการตรวจสอบของพวกทหารได้อย่างไรกัน?
“เห็นไหม ก็บอกกับเจ้าแล้ว เจ้าก็อยากไม่เชื่อเอง มีคนเยอะแยะแล้วอย่างไร จะต่อยกันมือเปล่าๆ หรือ?”
ตู๋กูซิงหลันเชิดปลางคางขึ้นด้วยความหยิ่งผยองเหมือนดั่งนกยูง
จีเฉวียนหันไปทอดพระเนตรมองดูสาวน้อยในอ้อมพระพาหา ก็ทรงรู้สึกว่านางน่ารักอย่างยิ่ง ขอเพียงเป็นนาง มิว่าเป็นยามขื่นขม ขุ่นเคือง เศร้าสร้อยหรือว่าร่าเริง ทุกความเคลื่อนไหวล้วนแล้วแต่น่าดู
“นางปีศาจเจ้าทำอะไรลงไป?” เหลียงจวิ้นอ๋องขบฟันอย่างเกรี้ยวกราด อยากจะจับสตรีผู้นี้เคี้ยวกลืนลงไปทั้งเป็น
ต่อให้เขามีคนมากมายเพียงไร แต่เมื่อปราศจากอาวุธ เกรงว่าไม่อาจจัดการกับองครักษ์ลับของจีเฉวียนได้
“คำก็นางปีศาจ เหลียงจวิ้นอ๋อง เจ้าไม่อยากจะรักษาลิ้นของตนเองเอาไว้อีกแล้วใช่ไหม?” จีเฉวียนกวาดสายพระเนตรเย็นยะเยือกลงไปยังด้านล่าง
จากนั้นพอหันมาทางตู๋กูซิงหลัน น้ำเสียงก็เปลี่ยนไปในทันที “นางคือนางเซียน”
เขาไม่เคยคิดเลยว่า ตู๋กูซิงหลันอยู่ในเมืองกู่เย่ว ทำเรื่องทำหมดนี้เพื่อตัวเขา
พระทัยของจีเฉวียนยิ่งเปี่ยมล้มไปด้วยความสุขที่เพิ่มพูนจนล้นออกมา
ได้รับการปกป้องจากผู้ที่เป็นยอดปรารถนาในหัวใจ ความรู้สึกเช่นนี้ช่างดีเกินไปแล้ว
ถึงแม้ว่าที่จริงแล้วเขาจะแข็งแกร่งจนไม่จำเป็นจะต้องถูกปกป้องก็ตาม
ผู้คนทั้งหลาย “!!!”
วิญญาณทมิฬ “นางเซียนอะไรที่ไหนกัน!”
ฮ่องเต้สุนัขผู้นี้ชักจะเกินไปแล้ว ทำราวกับว่าหากไม่ได้แสดงความรักออกมาก็จะต้องตายเสียอย่างงั้น
ตู๋กูซิงหลันเองก็ตกตะลึงไป อยู่อยู่ก็มาพูดว่านางเป็นเซียนทำเอานางแทบจะลอยขึ้นสวรรค์ไปแล้ว
ชือหลีแทบจะพ่นน้ำออกมา นางทำผิดอะไรถึงต้องมาทนดูฉากงิ้วเช่นนี้
สีหน้าของเหลียงจวิ้นอ๋องย่ำแย่กว่าเดิมลงไปอีก ยามนี้เขาถึงได้เข้าใจว่าจีเฉวียนถูกนางปีศาจนี้ล่อลวงจนสูญสิ้นจิตวิญญาณไปแล้ว
จีเฉวียนเองก็ไม่คิดจะเสียเวลาอีกต่อไป พระองค์โบกพระหัตถ์เพียงเบาๆ หลงเซียวก็นำพาองครักษ์ลับรุกคืบเข่นฆ่าเข้ามา
องครักษ์ลับแต่ละคนจีเฉวียนอบรมบ่มเพาะด้วยตนเอง เหล่าทหารของเหลียงจวิ้นอ๋องไหนเลยจะเทียบเคียงได้กัน
ยิ่งตอนนี้ไม่มีอาวุธ ทหารเหล่านี้ก็ยิ่งไม่อยู่ในสายตาขององครักษ์ลับเลยเสียด้วยซ้ำ
ภายใต้แสงไฟ เสียงฆ่าฟันดังระงมไปทั่วจวนจวิ้นอ๋อง
พวกชาวบ้านพากันหลบหนีไปด้วยความแตกตื่น
ใครก็คิดไม่ถึงว่า คืนนี้ที่นี่จะเกิดการฆ่าฟันประหัตประหารกันขึ้นมา
ถึงแม้ว่าจำนวนทหารของเหลียงจวิ้นอ๋องจะได้เปรียบมากกว่า แต่สุดท้ายแล้วก็ยังไม่อาจเทียบได้กับองครักษ์ลับของฮ่องเต้อยู่ดี
เหลียงจวิ้นอ๋องประมืออยู่กับหลงเซียว เนื่องเพราะเคยเป็นผู้ติดตามปฐมฮ่องเต้ออกรบมาก่อน วรยุทธ์ของเหลียงป๋อจึงมิใช่ชั่ว
ถึงแม้ว่าจะต้องปะทะกับหลงเซียว แต่ก็ยังมิได้เสียเปรียบสักเท่าไร
ทางด้านฮ่องเต้ ก็เอาแต่โอบกอดตู๋กูซิงหลันมองลงมาจากบนหลังเมียเมียเท่านั้น
ด้านล่างกำลังเข่นฆ่าฟาดฟัน ด้านบนกลับแต่งเติมความหวานระหว่างหนุ่มสาว
“ซิงซิง เจ้ามาที่เมืองกู่เย่ว ก็เพื่อเราหรือ?”
ตู๋กูซิงหลันถึงกับปวดฟัน “ฝ่าบาท หม่อมฉันมาเพื่อรักษาขา”
“ที่สุดแล้วเจ้าก็ยังทำเพื่อเรา”
ตู๋กูซิงหลัน “เวลาเช่นนี้ ฝ่าบาทสมควรออกไปนำการสู้รบด้วยพระองค์เอง”
จีเฉวียน “เราเกรงว่าพอลงมือ ก็จะทำให้คนมากมายต้องตาย”
ไม่ใช่ว่าจีเฉวียนไม่คิดลงมือ เพียงแต่ว่าหากเขาลงมือ ประชาชนคนบริสุทธิ์ในเมืองกู่เย่วคงต้องล้มตายไปด้วย
พระองค์มิใช่คนแล่เนื้อ เพียงต้องการปราบปรามผู้ที่คิดก่อกบฏเท่านั้น ย่อมไม่อยากทำร้ายผู้ที่บริสุทธิ์
ตู๋กูซิงหลัน “…..” พระองค์เก่งเกิน พระองค์ช่างเก่งกาจ!
ถึงแม้ว่านางยังไม่ยอมรับ จีเฉวียนก็ยังคงมีความสุขมากอยู่ดี พระองค์ยื่นพระหัตถ์ไปทัดผมที่ริมหูตู๋กูซิงหลัน จูบลงหนักๆ ลงไปบนศีรษะของนาง
“ซิงซิง เราจะต้องสู่ขอเจ้ามาแต่งงานให้ได้”
บนศีรษะให้ความรู้สึกเย็นๆ แต่คำพูดท่ามกลางกองเพลิงของเขากลับดังชัดอยู่ในหูของนาง
หนักแน่นและชัดเจนอย่างยิ่ง
ราวกับว่าจะทะลวงเข้าไปภายใน สลักลึกลงไปในหัวใจของนาง
อยู่อยู่หัวใจของตู๋กูซิงหลันก็เกิดอาการเจ็บขึ้นมาอีกครั้ง นางครางเบาๆ ก็ผินหน้าไปทางอื่น ผ่านไปพักใหญ่ถึงได้รู้สึกดีขึ้น ก็ได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ
“ฝ่าบาท หม่อมฉันเป็นเพียงแม่ม่ายน้อยที่พระองค์ไม่อาจเกี่ยวข้อง”
จีเฉวียน “เช่นนั้นพวกเรามาคอยดูกันต่อไป”
พอตรัสแล้ว ก็พบว่าหมอกสีแดงที่อยู่ด้านหลังกำลังเคลื่อนไหว ฉู่เจียงที่ถูกละเลยไปเหยียบหมอกสีแดงใต้ฝ่าเท้าเหาะมาทางนี้
เขาหยุดอยู่ที่ด้านข้าง เปลือยท่อนแขนข้างหนึ่ง ดวงตาคู่นั้นกวาดมองมาที่จีเฉวียนและตู๋กูซิงหลัน
ตอนนี้ไอสังหารในแววตาจางหายไปหมดแล้ว
“เจ้ายังมีเรื่องอะไรอีกหรือ?” จีเฉวียนประทับนั่งลงบนหลังของเมียเมียแล้ว ด้วยท่าทางประหนึ่งขุนศึกผู้องอาจบนหลังม้าเช่นเคย ตู๋กูซิงหลันถูกพระองค์โอบเอวเอาไว้ เอนอยู่บนตักของพระองค์
คนที่แสนงดงามทั้งสอง เมื่ออยู่ในท่วงท่าเช่นนี้ก็ยิ่งดูงดงามจนน่าตื่นตะลึง
ฉู่เจียงมองดูพวกเขา ในสมองก็อดไม่ได้ที่จะเกิดภาพบางอย่างขึ้นมา
“โอรสสวรรค์แคว้นโจว เจ้าไม่รู้จักข้าเลยสักนิดหรือ?” ฉู่เจียงจดจ้องไปที่จีเฉวียนอย่างตรงๆ ตอนนี้เขาก็ยังจำได้ถึงความรู้สึกที่เมื่อครู่ร่างกายของเขาต้องการให้เขายอมศิโรราบ
“เราสมควรจะรู้จักเจ้า?”
ท่าทางเช่นนั้น มิได้เสแสร้ง
ฉู่เจียงเงียบงันไป พลางหันไปมองดูตู๋กูซิงหลัน
คืนนี้เขาก่อเรื่องน่าขายหน้าเสียใหญ่โต นึกว่าแม่นางน้อยผู้นี้ก็คือเหลียงเซิงเซิง แถมยังไล่ตามฮ่องเต้จะสับเขาทิ้งเป็นหลายท่อน
เกือบจะพลาดตกหลุมพรางของเหลียงจวิ้นอ๋อง ถูกเผาตายอยู่ในจวนจวิ้นอ๋องแล้ว
หากไม่ใช่เพราะฮ่องเต้แคว้นโจว เขาก็ไม่อาจกลับออกไปจากจวนจวิ้นอ๋องโดยไร้บาดแผลเช่นนี้
หากพูดถึงที่สุด เขาติดค้างน้ำใจจีเฉวียนอยู่ครั้งหนึ่ง
“ข้าเพียงแต่รู้สึกว่า ฮ่องเต้แคว้นโจวท่านมีบางอย่างที่ดูคุ้นเคย” ฉู่เจียงพูดต่อไป ชายเสื้อบนร่างและเส้นผมสีเงินโบยโบกตามสายลม
“หากว่าวันหน้าโอรสสวรรค์แคว้นโจวนึกอะไรขึ้นมาได้ ก็สามารถไปเสาะหาข้าที่เขาฝูซาง”
จีเฉวียนมิได้ตอบคำเขา เรื่องของอนาคต พระองค์เองก็ไม่อาจตรัสได้อย่างชัดเจน ย่อมไม่จำเป็นจะต้องรีบปฏิเสธผู้คนออกไป
ตู๋กูซิงหลันจดจ้องไปยังฉู่เจียง ดวงตาดอกท้อคู่นั้นหรี่ลง “ข้ามีเรื่องที่สงสัยอยู่บ้าง ทำไมฉู่เจียงผู้เป็นอันดับสองในสิบยมราช ถึงได้มาปรากฏตัวอยู่ที่นี่?”
ทันทีที่ตู๋กูซิงหลันกล่าวออกมา สีหน้าของฉู่เจียงก็แปรเปลี่ยนไปในทันที
หลายปีมานี้ เขาถูกเรียกว่าเป็นมารปีศาจจนชินชาเสียแล้ว อยู่อยู่ก็ได้ยินคำเรียกหาว่าเป็นสิบยมราชขึ้นมา ก็รู้สึกว่าไม่คุ้นเคยสักเท่าไร
——
ตอนต่อไป “สตรีผู้นั้น……นางคือ?”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น