กระบี่จงมา 323.3-325.1
บทที่ 323.3 ชุดขาวเข้าเมือง ไม่กล้าเคาะประตู
ProjectZyphon
ถังเถี่ยอี้จ้องเขม็งไปยังหลิวจงคนลับมีดที่มีสีหน้าเหนื่อยล้า ก่อนจะเดินเลียบทางเดินม้าไปข้างหน้าช้าๆ
หลิวจงทั้งโมโหทั้งหวาดผวา ดีดตัวกระโดดผาง ผรุสวาทเสียงดัง “เจ้าถังเถี่ยอี้ตัวดี บังอาจมองข้าเป็นมะพลับนิ่มบีบง่ายอย่างนั้นรึ?!”
ส่วนหวงถิงกลับจ้องโจวเฝยที่ขวางหูขวางตาเขม็ง
ทุกสิ่งที่เจ้าตำหนักคลื่นวสันต์กระทำลงไปในพื้นที่มงคลแห่งนี้ ถงชิงชิงแห่งหอจิ้งซินสามารถทนได้ ทว่านักพรตหญิงหวงถิงแห่งภูเขาไท่ผิงมิอาจทนได้!
ในสายตาของฝานกว่านเอ่อร์ นั่นคือกระจกทองแดงธรรมดาบานหนึ่ง ทว่าเมื่อมาอยู่ในมือของหวงถิงกลับมีความลี้ลับที่ยิ่งใหญ่ นางสามารถใช้ลมปราณควบคุมสิ่งของ บังคับกระจกที่ตกอยู่บนพื้นให้เข้ามาอยู่ในมือ ใช้นิ้วเคาะหน้ากระจกหนักๆ หน้ากระจกพลันระเบิดแตก จากนั้นก็เผยให้เห็นภาพประหลาดเหมือนบ่อน้ำมืดลึกแห่งหนึ่ง หวงถิงยื่นนิ้วสองข้างออกไปคล้ายคีบบางสิ่งบางอย่าง แล้วกระชากออกมาข้างนอก นั่นคือกระบี่ยาวไร้ฝักเล่มหนึ่ง!
นางคือลูกศิษย์ผู้เป็นที่ภาคภูมิใจของภูเขาไท่ผิงสำนักใหญ่อันดับที่สามของใบถงทวีป คือว่าที่เจ้าสำนัก คือหวงถิงที่ขอแค่เลื่อนสู่ห้าขอบเขตบนได้สำเร็จก็ย่อมกลายเป็นเซียนขอบเขตสิบสอง!
หากไม่มีสมบัติติดตัวซะบ้างก็คงไม่เข้าท่าสักเท่าไหร่
พริบตานั้นโจวซื่อและยาเอ๋อร์หันมามองหน้ากัน เพราะคนทั้งสองต่างก็รู้สึกเสียวสันหลังวาบ
คนทั้งสองหันขวับไปพร้อมกัน
จึงประสานสายตาเข้ากับเจ๋อเซียนชุดขาวที่มองมาบนหัวกำแพงเมืองพอดี
โจวเฝยด่ายิ้มๆ “เจ้ามารเฒ่าติงที่ยโสโอหังไม่เห็นสวรรค์อยู่ในสายตาผู้นี้ ความสามารถที่จะทำให้งานสำเร็จนั้นมีไม่พอ แต่ความสามารถที่จะทำลายงานนั้นมีอยู่เหลือเฟือ ทำให้ข้าเดือดร้อนซะแล้ว”
โจวเฝยหันหน้าไปมองทางลู่ฝ่าง ฝ่ายหลังกล่าวอย่างจนใจ “เว้นเสียแต่ว่าคนผู้นี้จะบินทะยานไปพร้อมกับเจ้า หาไม่แล้วหากเขาอยู่ต่อในพื้นที่มงคลดอกบัว โจวซื่อต้องอันตรายมากแน่ๆ”
โจวเฝยบีบคางตัวเอง หากผูกบุญสัมพันธ์ด้วยเป็นเรื่องยาก ถ้าอย่างนั้นคงต้องวางแผนดูสักครั้ง
เพียงแต่ว่าในเวลานี้ ทุกคนต่างก็พากันเงยหน้ามองท้องฟ้าอย่างอดไม่อยู่
ทะเลเมฆแหวกออกเป็นรูโหว่ขนาดใหญ่สีทอง ลำแสงเส้นหนึ่งพุ่งมาถึงหัวกำแพงเมืองในเสี้ยววินาที
เพียงแค่ชั่วพริบตา
เกรงว่านอกจากเจ๋อเซียนและปรมาจารย์ที่อยู่บนหัวกำแพงแห่งนี้แล้ว คงไม่มีใครในเมืองหลวงที่มองเห็นภาพนี้อีก
ในสายตาของทุกคนเห็นนักพรตน้อยร่างเล็กเตี้ยคนหนึ่ง ในมือถือกลองป๋องแป๋งหลากสีสันขนาดเล็กกะทัดรัดอันหนึ่ง ทว่าด้านหลังกลับแบกน้ำเต้าสีทองอร่ามลูกใหญ่ยักษ์ที่แทบจะสูงเท่าตัวเขา มองดูแล้วน่าขบขันอย่างยิ่ง
พอหวงถิงมองเห็นเจ้าตัวน้อยผู้นี้ก็ร้องโอ๊ะโอหนึ่งที แล้วก็ไม่สนใจโจวเฝยอีก นางก้าวยาวๆ เข้าหานักพรตน้อยลูกศิษย์ของใครบางคนที่น่ารำคาญที่สุดในใต้หล้าไพศาล
และพอนักพรตน้อยเห็นหวงถิงที่เปี่ยมไปด้วยไอสังหารก็กลอกตามอง พูดว่า “ข้าลงมาคราวนี้ไม่ใช่เพื่อต่อยตีกับใครหรอกนะ หากเจ้าทำเกินกว่าเหตุจนอาจารย์ของข้าโมโหขึ้นมา ไม่กลัวหรือว่าหลายปีที่บุรพาจารย์ไท่ซ่างของเจ้าช่วยปกป้องมรรคาให้เจ้าจะเสียเปล่า?”
หากหวงถิงยังคงเป็นนักพรตหญิงภูเขาไท่ผิงก่อนที่จะมาเยือนพื้นที่มงคลดอกบัว ก็คงแค่เอ่ยว่านั่นมันเป็นเรื่องของบุรพาจารย์ข้า จากนั้นอะไรที่ควรลงมือก็จะลงมือ ทว่าเวลานี้นางเพียงแค่แสยะปาก ทำสีหน้าประมาณว่ารอให้พวกเราไปถึงใต้หล้าไพศาลก่อนเถอะ นักพรตน้อยทำสีหน้าแบบเดียวกันคืนกลับมา แสยะปากอย่างไม่หวั่นเกรง คิดจะมาแข่งเรื่องคนหนุนหลังกับนายท่านอย่างข้างั้นรึ? ภูเขาไท่ผิงเล็กเกินไปหน่อยกระมัง? ไม่ใช่ภูเขามังกรพยัคฆ์แห่งทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางสักหน่อย
นักพรตน้อยกระแอมให้ลำคอชุ่มชื้น ยืดอกขึ้น เดินก้าวยาวๆ ไปบนทางเดินม้าของหัวกำแพงเมือง เขาพูดไม่ดังมากนัก แต่ทุกคนล้วนได้ยินอย่างชัดเจน “มีการเปลี่ยนแปลงกฎ สำหรับพวกเจ้าแล้วถือเป็นเรื่องดีใหญ่เทียมฟ้า สิบคนบนอันดับที่ประกาศออกมาในตอนท้ายสุด ใครก็ตามที่มีชีวิตอยู่ล้วนสามารถบินทะยานได้ ใครที่ไม่อยากไปจากใต้หล้าแห่งนี้ รอให้ข้าตีกลองครั้งที่สอง ก่อนเสียงกลองครั้งที่สามจะดังขึ้น แค่ไปจากหัวกำแพงเมืองก็ได้แล้ว แน่นอนว่าต่อให้ไม่ได้เป็นคนที่บินทะยาน แต่เป็นคนที่เดินลงไปจากหัวกำแพงก็ยังจะได้รับสมบัติอาคมชิ้นหนึ่ง”
“จำไว้ว่าคนที่บินทะยานบนหัวกำแพง กายหยาบจะถูกทิ้งไว้ในใต้หล้าแห่งนี้ ได้แต่พาจิตวิญญาณไปยังสถานที่แห่งอื่น รักษาความทรงจำทั้งหมดเอาไว้เท่านั้น อย่าได้คิดว่าการเริ่มต้นใหม่เป็นเรื่องเลวร้ายไปซะหมด ความลี้ลับที่ซ่อนอยู่ภายใน วันหน้าพวกเจ้าจะได้สัมผัสเอง”
นักพรตน้อยมีท่าทางเย่อหยิ่ง เวลาเดินเชิดหน้าก้าวอาดๆ “สามอันดับแรกในรายชื่อก็ยิ่งโชคดี อวี๋เจินอี้อันดับสอง หากเลือกจะบินทะยาน สามารถพาคนไปด้วยได้สามคน ส่วนโจวเฝยอันดับที่สามพาคนไปได้คนหนึ่ง นายท่านผู้เฒ่าของข้าบอกแล้วว่า นอกจากติงอิง คนทั้งหลายที่ถูกพาตัวไปสามารถพากายหยาบไปด้วยได้”
“อืม ดูเหมือนว่าหลายคนจะยังไม่เข้าใจ ไม่ต้องแปลกใจ พวกเจ้าฝีมือห่วยเกินไป ไม่มีคุณสมบัติมากพอให้เข้าร่วม หากหวังว่าตัวเองจะโชคดีล่ะก็ มีแต่จะพบจุดจบอย่างเฝิงชิงป๋าย”
กล่าวมาถึงตรงนี้ นักพรตน้อยก็หัวเราะหึหึใส่หวงถิง “เจ้าว่ามันน่าโมโหหรือไม่ เดิมทีด้วยฝีมือของเจ้าสามารถเลื่อนสู่สามอันดับแรกได้ เฮ้อ คนคำนวณมิสู้ชะตาฟ้าลิขิต นี่เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ ใครใช้ให้ภูเขาไท่ผิงของพวกเจ้าไปสมคบคิดกับคนนอกสองคนนั้น ทำลายกฎกติกาก่อน ตอนนั้นนายท่านผู้เฒ่าของข้าโมโหมากเลยล่ะ”
หวงถิงมุมปากกระตุก
นักพรตน้อยเอียงศีรษะจ้องนิ่งไปที่ใบหน้าของนาง พูดเหมือนราดน้ำมันลงบนกองเพลิง “หวงถิง เจ้าว่าทำไมเจ้าถึงหน้าไม่อายอย่างนี้นะ ตอนอยู่ใต้หล้าไพศาลหน้าตาของเจ้าดีไม่ได้ครึ่งหนึ่งของตอนนี้เลยด้วยซ้ำ…”
ดูเหมือนนักพรตน้อยจะถูกคนเขกหัวมาจากด้านหลังจึงล้มหน้าทิ่มในฉับพลัน แต่เขาก็ไม่รู้สึกว่าขายหน้า เพียงลุกขึ้นยืนแล้วปัดชุดคลุมเต๋า ตอนที่เดินสวนไหล่กับหวงถิงยังแลบลิ้นปลิ้นตาใส่ พูดต่อว่า “สุดท้ายนี้จะพูดถึงกฎเกณฑ์ดั้งเดิมที่สืบทอดกันมารุ่นแล้วรุ่นเล่า เรื่องราวในวันนี้อย่าได้เอาไปป่าวประกาศแก่ภายนอก พวกเจ้าแค่รู้อยู่แก่ใจตัวเองก็พอแล้ว แน่นอนว่าหากอดกลั้นไม่ไหวจริงๆ จะพูดกับคนไม่กี่คนก็ได้ ไม่เป็นไร”
พอพูดประโยคเหล่านี้จบในรวดเดียว นักพรตน้อยก็ชูกลองป๋องแป๋งขึ้นแล้วแกว่งเบาๆ
ไม่มีภาพปรากฎการณ์แปลกประหลาดใดๆ มีเพียงเสียงตึงดังเบาๆ หนึ่งครั้ง
แบบนี้ก็ถือว่าเป็นเสียงกลองสวรรค์ครั้งที่สองได้ด้วยหรือ?
อวี๋เจินอี้เหยียบอยู่บนกระบี่บิน กุมมือโค้งตัวคารวะนักพรตน้อย “กราบลาเซียนซือ”
เมื่อเผชิญหน้ากับคนที่ลักษณะภายนอกมองดูเหมือน ‘คนวัยเดียวกัน’ ผู้นี้ ท่าทีของนักพรตน้อยแตกต่างไปจากเดิม มีความจริงจังเพิ่มขึ้นมาหลายส่วน พูดเหมือนคนแก่ว่า “ไปเถอะ ต่างคนต่างมีปณิธานเป็นของตัวเอง นายท่านผู้เฒ่าของข้าไม่ได้ผิดหวังในตัวเจ้าเท่าใดนัก ดังนั้นจงทะนุถนอมเวลาอีกหกสิบปีหลังจากนี้ให้ดี”
อวี๋เจินอี้เผยสีหน้าซาบซึ้งใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เขาขี่กระบี่จากไปยังซากปรักหักพังของสนามรบบนภูเขากู่หนิว ดูดดึงเอาปราณวิญญาณในฟ้าดินมาอย่างกำเริบเสิบสาน
หวังว่าหลังออกด่านมาแล้วจะฝ่าทะลุขอบเขตอีกครั้ง ต่อให้เผชิญหน้ากับเฉินผิงอันก็อาจจะมีพลังเหลือพอให้ต่อสู้
จ้งชิวถามยิ้มๆ ว่า “หลิวจง เจ้าคิดว่ายังไง?”
หลิงจงคนลับมีดคิดแล้วก็เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “หลังจากนี้คงต้องรบกวนให้ราชครูขายร้านให้ข้าด้วย เชื่อว่าด้วยฝีมือของราชครูจ้งคงต้องรู้อยู่แล้วว่าข้าหมายตาคนหนุ่มคนใดบ้าง ถึงเวลานั้นแค่แบ่งเงินที่ได้มาให้พวกเขาก็พอ”
จ้งชิวพยักหน้ารับ “เรื่องนี้ไม่ยาก ถ้าอย่างนั้นก็จากลากันตรงนี้เลย?”
หลิวจงถอนหายใจ
จ้งชิวกุมหมัดคารวะ
หลิวจงรีบกุมหมัดคารวะกลับคืน แล้วก็อดถามไม่ได้ว่า “ราชครูจ้ง เจ้าไม่ไปด้วยกันหรือ? หลังจากไปแล้ว ไม่แน่ว่าอาจจะยังมีโอกาสได้กลับมาอีก ทว่าหากไม่ไปครั้งนี้ก็คงไม่มีโอกาสได้บินทะยานอีกแล้ว”
จ้งชิวส่ายหน้า “ที่ใดอยู่แล้วสุขสบายใจ ที่นั่นนับเป็นบ้านเกิด”
หลิวจงกุมหมัดค้างไว้อยู่ตลอดเวลา ไม่ได้วางลง
จ้งชิวคลี่ยิ้มอบอุ่น เอามือกดลงบนหลังมือของหลิวจงเบาๆ จากนั้นก็หมุนตัว เดินลงไปจากหัวกำแพงเมือง
นักพรตน้อยชำเลืองตามองแผ่นหลังของจ้งชิวแล้วส่ายหน้า
ถังเถี่ยอี้เดินเร็วๆ ตามจ้งชิวไป
ภิกษุอวิ๋นหนีเองก็ก้าวออกไปจากหัวกำแพง พลิ้วกายลงนอกเมือง ในอ้อมอกประคองชุดกระโปรงสีเขียว พุ่งทะยานไปยังทิศทางของภูเขากู่หนิวอย่างรวดเร็ว
คนที่อยู่บนหัวกำแพงเมืองเหลืออยู่อีกไม่มาก
โจวเฝยพูดกับลู่ฝ่างว่า “พาโจวซื่อไปหลบซ่อนตัวก่อน ทางที่ดีที่สุดออกไปจากแคว้นหนันเยวี่ยน ไปไกลเท่าไหร่ก็ยิ่งดี หากข้าไปจากพื้นที่มงคลดอกบัวก็จะไม่มีใครขัดขวางเฉินผิงอันผู้นั้นได้อีก”
ลู่ฝ่างและโจวซื่อลงจากหัวกำแพงไปทันทีอย่างไม่มีความลังเล พวกเขาอ้อมผ่านภูเขากู่หนิว มุ่งหน้าไปยังตะเข็บชายแดนแคว้นหนันเยวี่ยน
ถึงท้ายที่สุดจึงเหลือคนอยู่แค่สี่คน นักพรตน้อยที่แบกน้ำเต้าลูกยักษ์ไว้บนหลัง หวงถิงแห่งภูเขาไท่ผิง ‘โจวเฝย’ แห่งสำนักกุยหยก หลิวจงที่เกิดและเติบโตมาในพื้นที่มงคลดอกบัว
นักพรตน้อยมองไปยังใต้สะพานหินบางแห่ง ที่นั่นมีเฉิงหยวนซานที่กำลังหลบซ่อนตัวอยู่ สีหน้าเขาเต็มไปด้วยความดูแคลน หาวหวอดหนึ่งครั้ง แล้วจึงส่ายกลองป๋องแป๋ง เสียงกลองดังขึ้นเป็นครั้งที่สาม
ไม่ปรากฏตัวบนหัวกำแพงเมือง แผนการที่เฉิงหยวนซานวางไว้จึงเท่ากับว่าเสียเปล่า ไม่อาจบินทะยาน แล้วก็ไม่ได้รับโชควาสนาเพิ่มเติม
ลำแสงพร่างพราวเส้นหนึ่งกระแทกลงมาเบื้องล่าง ปกคลุมหลิวจงไว้ภายใน เพียงแค่ชั่วพริบตาตลอดทั้งร่างของเขาก็หายวับไป ไม่เหลืออะไรทิ้งไว้อีก
สำหรับโจวเฝย นักพรตน้อยค่อนข้างจะชื่นชมเขา จึงยอมเปิดเผยความลับสวรรค์โดยการเอ่ยเบาๆ ว่า “สำหรับเฉินผิงอันผู้นั้น ไม่ต้องกังวลว่าเขาจะทำตัวเหลวไหลอะไรได้อีก เฮอะ ยังมีเรื่องลำบากรอเขาอยู่นะ”
โจวเฝยทำสีหน้ากระจ่างแจ้ง ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ขอบคุณมาก”
ลำแสงเส้นที่สองร่วงลงมาในโลกมนุษย์ ช่วงเวลาก่อนหายตัวไปของโจวเฝยนานกว่าหลิวจง ขณะที่เรือนกายพร่าเลือนยังมีอารมณ์โบกมือลาหวงถิง
นักพรตน้อยยิ้มตาหยีมองไปยังนักพรตหญิงแห่งภูเขาไท่ผิงที่ขมวดคิ้วไม่พูดไม่จา “กังวลถึงสภาพการณ์ของตัวเองมากเลยใช่ไหมล่ะ?”
หวงถิงหัวเราะหยัน “เจ้ากลับไปบอกบุรพาจารย์ของข้าซะว่าไม่ต้องจ่ายเงินแล้ว อย่างมากสุดสิบปี สิ่งที่สุยโย่วเปียนทำไม่ได้ ข้าต้องทำได้ ถึงเวลานั้นเมื่อข้าฝ่าทะลุขอบเขต จะพากายหยาบบินทะยานกลับไปยังใต้หล้าไพศาล”
นักพรตน้อยยิ้มด้วยรอยยิ้มมีเลศนัย เตะปลายเท้า แบกน้ำเต้าสีทองใบใหญ่ ‘ลอย’ ขึ้นกลางอากาศ ไม่มีลำแสงอยู่ข้างกาย ร่างจึงเอียงซ้ายเอียงขวาบิดๆ เบี้ยวๆ เหมือนสุนัขลอยน้ำที่ค่อยๆ บินไปทางม่านฟ้า…
หวงถิงชำเลืองตามองแวบหนึ่งก็ไม่คิดจะมองอีก ความคิดเด็กๆ เช่นนี้ก็มีแต่เจ้าลูกกระต่ายน้อยผู้นี้ที่คิดได้
……
ในเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยน มีเด็กหญิงร่างผอมแห้งคนหนึ่งที่ขายหนังสือแล้วซื้อเสื้อผ้ามาสองชุด ยังมีเงินเหรียญทองแดงเหลืออยู่ นางจึงสั่งอาหารเลิศรสที่เคยปรากฏแค่ในความฝันมาเต็มโต๊ะใหญ่ สวาปามอย่างหิวโหย กลัวว่าถ้ากินช้าไปจะเสียเปรียบ นั่งอยู่บนเก้าอี้นางต้องกระดกก้นให้สูงถึงจะคีบอาหารที่อยู่ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะมาได้ ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยคราบน้ำมัน รู้สึกว่าตัวเองไม่เคยมีความสุขเช่นนี้มาก่อน
เด็กชายคนหนึ่งที่ชื่อเฉาฉิงหล่างถูกทหารของท้องถิ่นกลุ่มหนึ่งพาตัวไปที่จวนว่าการ ด้านนอกห้องโถงใหญ่ปูเสื่อฟางสี่ผืน ด้านบนคลุมด้วยผ้าขาวสี่ผืน เด็กชายนั่งเหม่อลอยอยู่ตรงนั้น ไม่พูดอะไรสักคำเดียว
ใต้สะพานแห่งหนึ่ง ปี้เซิ่งเฉิงหยวนซานยังคงรอคอยอย่างยากลำบาก รอให้เสียงกลองดังขึ้นเป็นครั้งที่สอง
มีบัณฑิตยากจนคนหนึ่งได้ยินว่าห่างไปไม่ไกลมีคนตาย เขาถูกเพื่อนสนิทลากให้วิ่งไปดูเรื่องสนุกด้วยกัน ตรงนั้นถูกชาวบ้านมุงล้อมไว้แน่นจนน้ำก็เล็ดรอดไปไม่ได้ บัณฑิตได้ยินแค่ว่าเป็นหญิงสาวหน้าตางดงามคนหนึ่ง เขาคิดว่ารอนางกลับไปถึงบ้านแล้วจะต้องเล่าเรื่องโศกนาฎกรรมครั้งนี้ให้นางฟัง ที่สำคัญที่สุดคือให้นางออกจากบ้านน้อยครั้ง ตอนนี้คนทั้งสองอาจจะขัดสนนิดหน่อยก็ไม่เป็นไร ไม่ต้องให้นางคอยเดินทางไปพบปะเยี่ยมผู้คน คอยยืมเงินคนอื่นมาให้เขาซื้อหนังสืออีก
ห้อตะบึงมาตลอดทางจนกลับมาถึงถนนใหญ่เส้นนั้น พอเลี้ยวเข้าไปในตรอกเล็กๆ ฝีเท้าของเฉินผิงอันกลับเริ่มหนักอึ้ง
ตอนที่เดินเข้าเมือง ต่อให้บนหัวกำแพงมีปรมาจารย์ยืนอยู่มากมายขนาดนั้น
เฉินผิงอันก็ยังคงสามารถวางท่าดั่งผู้ที่ไร้เทียมทานอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เขาสวมชุดขาว ห้อยกาเหล้า ถือกระบี่ยาว เดินผ่านมาอย่างสง่างาม
ทว่าเวลานี้เมื่อเผชิญหน้ากับบ้านของชาวบ้านที่ติดแค่กลอนคู่ราคาถูกเอาไว้ เฉินผิงอันกลับยกมือขึ้นแล้ววางลงอยู่หลายครั้ง ไม่ได้เคาะประตู
เฉินผิงอันไม่รู้ว่า
นักพรตเฒ่ามายืนมองเขาอยู่ด้านหลัง
นักพรตเฒ่าต้องการ ‘รู้’ เรื่องสองเรื่อง
เจ้าเฉินผิงอันคิดว่าตัวเองเป็นคนแบบไหน
แล้วปฏิบัติต่อคนอื่นในโลกมนุษย์อย่างไร
บทที่ 324.1 แสงไฟในโลกส่องสว่าง
ProjectZyphon
เฉินผิงอันผลักประตูเดินเข้าไป
ในบ้านไม่มีคน
ไม่มีหญิงชราปากร้ายขี้บ่น แน่นอนว่าย่อมไม่มีเสียงสบถด่าฟ้าด่าดินของนาง ไม่มีคนปากร้ายดั่งมีด แต่จิตใจอ่อนเหลวดั่งเต้าหู้ ไม่มีสตรีแต่งงานแล้วที่มองดูเหมือนเป็นคนซื่อ แต่กลับขโมยหนังสือไปให้ลูกชายอ่าน สายตาที่นางมองลูกชายตัวเองเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจอยู่เสมอ ไม่มีชายชราที่ติดเล่นหมากล้อม แล้วก็ไม่มีชายฉกรรจ์ที่แบกห่อผ้าออกไปเสี่ยงดวงข้างนอก เช้าตรู่ของทุกวัน ก่อนออกจากบ้านเขาจะค่อยๆ เดินย่องออกไป คาดว่าคงกลัวจะทำเสียงดังรบกวนบุตรชายที่ต้องไปเรียนหนังสือที่โรงเรียน
เฉินผิงอันยืนอยู่ในลานบ้านครู่หนึ่งก่อนจะกลับไปที่ห้องของตัวเอง เอาปราณยาวสอดกลับเข้าไปในฝักกระบี่ที่วางไว้บนโต๊ะ หนังสือบนโต๊ะไม่เหลืออยู่แล้ว เฉินผิงอันนั่งยองลงบนพื้น เอาฝ่ามือแนบกับพื้นดิน หลับตาลง พยายามตามหาร่องรอย กระบี่บินสืออู่และชูอีบินพรวดออกมาจากน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ แนบตัวติดกับพื้นดินแล้วพุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว สุดท้ายทิ่มปลายกระบี่ลงบนตำแหน่งหนึ่งของพื้นดิน
เฉินผิงอันรีบใช้สองมือขุดเปิดหน้าดินทันที ด้วยขอบเขตวรยุทธ์ของเขาในตอนนี้ ห้านิ้วของเขาจึงเรียกว่าตัดเหล็กดุจโคลนได้แล้ว
ตอนที่ต่อสู้กับจ้งชิวอยู่บนถนนใหญ่ เขาได้เลื่อนสู่ขอบเขตห้า หลังจากนั้นก็ได้สู้กับติงอิง การนำหินลับมีดสองก้อนนี้มาใช้ขัดเกลาวิถีวรยุทธ์ เมื่อเทียบกับการประลองฝีมือกับผู้ฝึกกระบี่เฒ่าขอบเขตโอสถทองบนเกาะกุ้ยฮวาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นร่างกายหรือสภาพจิตใจก็ล้วนแข็งแกร่งกว่าเก่าเยอะมาก โดยเฉพาะหลังจากต่อสู้กับติงอิงตั้งแต่ที่หัวกำแพงไปจนถึงภูเขากู่หนิว ศึกตัดสินเป็นตายที่เกี่ยวพันกับรากฐานมหามรรคาของวิถีวรยุทธ์และชะตาบู๊แห่ง ‘ใต้หล้า’ นี้ ต่อให้มองจากสายตาของผู้เฒ่าแซ่ชุยบนเรือนไม้ไผ่ภูเขาลั่วพั่วก็ยังมีแต่ความชื่นชม เขาคงพูดว่า แม้แต่ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวขอบเขตแปดเก้าก็ไม่แน่ว่าจะมีพลังอำนาจเช่นนี้
ครู่หนึ่งต่อมาในหลุมใหญ่ที่สูงเกือบเท่าตัวคนหลุมหนึ่ง เฉินผิงอันใช้สองมือกอบประคองคนจิ๋วดอกบัวที่ลมหายใจรวยรินขึ้นมา กระโดดออกจากหลุมใหญ่ วางมันลงบนโต๊ะอย่างระมัดระวัง ถอดชุดคลุมอาคมจินหลี่บนร่างออกก่อนเอามันมาห่อเป็นก้อนคล้ายรังต้นหญ้า แล้ววางเจ้าตัวน้อยลงไปในชุดคลุมอาคม
หลังจากนั้นก็รีบหยิบเงินฝนธัญพืชเหรียญหนึ่งออกมาจากวัตถุฟางชุ่น เมื่อเทียบกับเงินหิมะน้อยที่ปราณวิญญาณบางเบา และเงินร้อนน้อยที่แค่ใช้มือจับก็สัมผัสได้ถึงปราณวิญญาณไหลเวียนวนแล้ว ปราณวิญญาณที่อยู่ในเงินฝนธัญพืชมีมากที่สุด เพราะเหมือนถูกผนึกเป็นน้ำแข็ง เฉินผิงอันกำเหรียญเงินที่เทพเซียนบนภูเขาใช้กันนี้ไว้กลางฝ่ามือ บีบหนึ่งครั้ง เงินฝนธัญพืชก็ระเบิดแตก เฉินผิงอันคลายมือออกเล็กน้อย โปรยมันลงไปบนร่างของคนจิ๋วดอกบัว
ส่วนเรื่องที่ว่าเงินฝนธัญพืชหนึ่งเหรียญสามารถซื้อภูตประหลาดมากมายมาจากร้านตระกูลเซียน อย่างน้อยก็ต้องเป็นภูตที่แม้แต่ในจวนตระกูลอ๋องหรือตระกูลของผู้สูงศักดิ์ก็ยังหาได้ยาก เฉินผิงอันไม่ได้เป็นนกน้อยที่เพิ่งหัดบินในยุทธภพอีกแล้ว ไม่ใช่ศิษย์เตาเผามังกรในตรอกหนีผิงอีกต่อไป ดังนั้นเขาจึงรู้ชัดเจนดี
เฉินผิงอันรู้จักโลกใบนี้มากขึ้นเรื่อยๆ
ถ้ำสวรรค์หลีจู ราชวงศ์ต้าหลี แจกันสมบัติทวีป กำแพงเมืองปราณกระบี่ ใบถงทวีป พื้นที่มงคลดอกบัว
เฉินผิงอันจับตามองคนจิ๋วดอกบัวอย่างละเอียด ปราณวิญญาณที่ไหลไปทั่วร่างคล้ายน้ำพุที่ไหลแทรกซึมเข้าสู่ผืนนาที่ดินแตกระแหงอย่างเชื่องช้า
เฉินผิงอันเริ่มวางใจลงได้ ขอแค่ยังสามารถดูดซับปราณวิญญาณได้ก็แสดงว่ายังมีทางเยียวยารักษา จึงยื่นนิ้วโป้งไปลูบหน้าผากที่เกลี้ยงเกลาของเจ้าตัวน้อยเบาๆ
ปลอบโยนคนจิ๋วดอกบัวเสร็จก็กลบดินลงหลุมให้เรียบร้อย เฉินผิงอันเดินออกมาจากห้อง นั่งอยู่บนม้านั่งตัวเล็กใต้ชายคา ปลดน้ำเต้าบรรจุเหล้าลงมาแกว่ง แต่ไม่ได้ดื่มเหล้า
หลังจากถอดชุดคลุมอาคมจินหลี่แล้ว เฉินผิงอันก็สลายกลิ่นคาวเลือดเข้มข้นบนตัวออกไป ต่อสู้เอาเป็นเอาตายกับติงอิงมีแต่บาดแผลเต็มตัว และก็เพราะเหตุนี้เขาถึงได้ถูกปราณวิญญาณมากมายราวน้ำทะเลกรอกใส่ร่าง พวกมันฉวยโอกาสไหลกรูเข้าไปยังช่องโพรงลมปราณใหญ่ๆ ในร่างของเฉินผิงอัน เวลานี้ลมปราณเหล่านั้นนอนขดตัวอยู่ในช่องโพรงลมปราณทั้งหลายคล้ายกองกำลังต่างๆ ในพื้นที่การปกครองแบบแบ่งแยกดินแดน เพราะไม่ลามไปรุกรานเส้นทางที่ลมปราณแท้จริงของผู้ฝึกยุทธ์ต้องผ่าน ช่องโพรงลมปราณเหล่านี้จึงเหมือนสถานที่นอกด่าน ก่อตัวกลายเป็น ‘เมืองชายแดน’ ที่ต่างคนต่างถูกบีบให้อยู่ในสถานที่แคบๆ ส่วนใหญ่ล้วนกระจัดกระจาย ไม่ได้รวมตัวกันเป็นปึกแผ่น ดังนั้นจึงไม่เป็นโล้เป็นพายอะไร
เฉินผิงอันไม่รู้ว่านี่เป็นเรื่องดีหรือร้าย แต่ตอนนี้เขายังไม่มีวิธีจะแก้ไขมันได้จริงๆ
ควรจะสร้างสะพานแห่งความเป็นอมตะแห่งนั้นขึ้นมาอย่างไร และการไปจากใต้หล้าแห่งนี้ จึงจะเป็นเรื่องเร่งด่วนในตอนนี้
อารามกวานเต๋าไม่ใช่อารามเต๋าอย่างแท้จริง แต่กลายเป็นว่านักพรตเฒ่าไปที่ไหน ที่นั่นก็คืออารามเต๋า นี่ทำให้เฉินผิงอันไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
เหตุใดเซียนกระบี่ใหญ่ที่สร้างกระท่อมฝึกตนอยู่บนกำแพงเมืองปราณกระบี่ถึงไม่บอกตนแต่เนิ่นๆ
ทว่าลองมาย้อนนึกดู ตอนนั้นที่เข้ามาในเมืองหลวงของแคว้นหนันเยวี่ยน วันๆ เดินสะเปะสะปะไปเรื่อยเหมือนแมลงวันไร้หัว เมื่อจิตใจวุ่นวายสับสนไปแล้ว เขาก็เลือกทำใจให้สงบแล้วเดินเตร็ดเตร่ไปเรื่อย นั่นเป็นความรู้สึกอีกอย่างหนึ่งที่แตกต่างออกไป ได้พบเห็นผู้คนสารพัดรูปแบบ มองดูเหมือนผ่อนคลายสบายอารมณ์ แต่มันทำให้เฉินผิงอันนึกถึงชีวิตตอนเป็นลูกศิษย์เตาเผามังกร เงินที่ทำงานแลกมาไม่มากพอให้ใช้มือเติบ แต่ก็มากพอจะเลี้ยงดูตัวเองให้มีชีวิตรอดต่อไป ไม่ต้องถึงขั้นหิวตาย ดังนั้นหลังจากที่เฉินผิงอันมีเสื้อผ้าพอให้ใส่ มีอาหารพอให้กินอิ่ม ก็คงเป็นเพราะมีความรู้สึกเช่นนี้ ทุกครั้งที่ติดตามผู้เฒ่าเหยาขึ้นเขาไปเก็บดิน ต่อให้จะต้องนอนกลางดินกินกลางทราย เดินทางบนภูเขาอย่างยากลำบาก ทุกวันเหน็ดเหนื่อยจนสายตัวแทบขาด ทว่าใจกลับไม่เหนื่อย ล้มตัวลงได้ก็หลับทันที
นับตั้งแต่ครั้งแรกที่เฉินผิงอันออกมาจากอำเภอหลงเฉวียน คุ้มครองพวกหลี่เป่าผิงเดินทางไปขอศึกษาต่อ ต่อมาก็บุกเข้ามาในใต้หล้าแห่งนี้โดยไม่รู้ตัว
เคยมีครั้งไหนที่นอนหลับสบายบ้าง?
ทุกๆ ระยะเวลาช่วงหนึ่งเฉินผิงอันจะลุกขึ้นไปดูอาการของคนจิ๋วดอกบัวในห้อง แม้ว่าพัฒนาการจะเป็นไปอย่างเชื่องช้า แต่กลับค่อยๆ ฟื้นตัวหายดีทีละนิด นี่ถึงทำให้เขาวางใจลงได้อย่างแท้จริง
การจากเป็นจากตายที่อยู่ใกล้ในระยะประชิด ต่อให้อาศัยเหล้าดับทุกข์ได้ แต่ถึงอย่างไรคนเราก็ต้องมีช่วงเวลาที่คืนสติจากฤทธิ์สุรา
ในห้องสามารถวางใจลงได้แล้ว แต่นอกห้องล่ะ?
เฉินผิงอันนั่งก้มตัวอยู่บนม้านั่งตัวเล็ก รอคอยให้เด็กชายที่ชื่อเฉาฉิงหล่างกลับมาบ้าน
นับแต่วันนี้ไป บ้านในตรอกเล็กที่ไม่มีชื่อแห่งนี้ก็ไม่มีอะไรแตกต่างไปจากบ้านหลังน้อยในตรอกหนีผิงปีนั้นแล้ว
ช่วงสนธยา เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน เด็กน้อยคนหนึ่งเดินอยู่ในตรอกเล็ก ประตูบ้านไม่ได้ปิดไว้ พอเขามองเห็นเฉินผิงอันสีหน้าก็ทึ่มทื่อ ก่อนจะก้มหน้าลง เฉาฉิงหล่างเดินเข้าห้องของตัวเองไปอย่างเงียบงันและเฉยเมย
เฉินผิงอันขยับปากจะพูด แต่สุดท้ายก็ไม่ได้เอ่ยอะไร กลับลงไปนั่งบนม้านั่งอีกครั้ง จนกระทั่งถึงช่วงกลางดึก ในช่วงฤดูร้อนเช่นนี้ ต่อให้ตอนดึกจะมีลมโชยมาปะทะใบหน้า แต่ก็ยังไม่ถือว่าเย็นสบายอยู่ดี ช่วงเวลาระหว่างนี้ตอนที่เฉินผิงอันไปเยี่ยมดูคนจิ๋วดอกบัว บังเอิญเหลือบไปเห็นพัดสานที่ทำขึ้นหยาบๆ อันหนึ่ง จึงหยิบออกมาจากห้อง
ครึ่งคืนหลังเสียงตีฆ้องบอกเวลาดังแว่วมาไกลๆ
เฉาฉิงหล่างเดินออกจากห้อง หิ้วม้านั่งตัวเล็กมานั่งข้างเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันยื่นพัดส่งไปให้ เฉาฉิงหล่างลังเลอยู่เล็กน้อย แต่ก็ยังรับไป
เงียบงันกันอยู่นาน เฉินผิงอันถึงกล่าวขึ้นเบาๆ ว่า “ขอโทษนะ”
ตั้งแต่ต้นจนจบเด็กชายไม่ได้เอ่ยอะไร ไม่ได้โทษเฉินผิงอัน แล้วก็ไม่ได้พูดว่าไม่ได้ตำหนิเขา เอาแต่ก้มหน้าสะอื้นเบาๆ
วันต่อมาเฉาฉิงหล่างตื่นสายมาก แล้วก็ไม่ได้ท่องหนังสือยามเช้าตรู่ เฉินผิงอันจึงไปที่โรงเรียน คิดจะไปขอลาหยุดแทนเฉาฉิงหล่าง กลับเห็นว่าคนเดินบนถนนบางตา พอไปถึงโรงเรียนก็พบว่าประตูปิดสนิท แม้แต่หน้าอาจารย์ผู้สอนหนังสือก็ไม่ได้พบ
แต่เฉินผิงอันค้นพบว่าไม่มีสายลับของแคว้นหนันเยวี่ยนปรากฏตัวใกล้ๆ แม้แต่คนเดียว
คิดดูแล้วนี่น่าจะเป็นฝีมือของราชครูจ้งชิว
สองวันต่อมามีคนแอบย้ายออกไปจากแถบนี้อย่างเงียบเชียบ ยามค่ำคืนเหลาสุราหอโคมเขียวในตรอกจ้วงหยวนก็เงียบสงบลงเยอะมาก เงียบจนราวกับว่าสามารถกางตาข่ายดักนกหน้าประตูได้เลย (เปรียบเปรยถึงความเงียบเหงา ไม่มีคนมาเยือน)
ยามสนธยาของวันนี้ เฉินผิงอันหิ้วม้านั่งมานั่งอยู่ตรงหัวเลี้ยวของตรอก หากเป็นยามปกติ ตรงนี้จะต้องมีวงหมากล้อม คนบ้าหมากล้อมสองคนเข่นฆ่ากันบนกระดานจนฟ้ามืด ด้านข้างมีคนบ้าหมากล้อมอีกนับไม่ถ้วนคอยร้องบอกส่งเดชว่าต้องวางหมากตัวไหน
บนถนนใหญ่ยังคงมีร่องลึกตัดสลับ ผนังหักกำแพงแตกพัง สภาพน่าสังเวชจนแทบทนมองไม่ได้
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน ที่แท้จ้งชิวก็มาหา
จ้งชิวเดินเล่นเลียบไปตามถนนเส้นใหญ่กับเฉินผิงอัน สีหน้าของจ้งชิวเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “พื้นที่แถบเมืองหลวงนี้ได้เพิ่มการป้องกันให้เข้มงวดอย่างลับๆ แล้ว ข่าวลือที่มาจากแต่ละด้านก็ถูกควบคุมเอาไว้ ฮ่องเต้และรัชทายาทต่างก็รู้สึกสนใจในตัวเจ้า อยากพบเจ้ามาก แต่ถูกข้าโน้มน้าวห้ามปรามเอาไว้ แต่หากเจ้าเต็มใจก็สามารถเข้าวังไปได้ตลอดเวลา หรือจะไปเที่ยวเล่นหาข้าที่บ้านพักก็ได้”
เฉินผิงอันพยักหน้าตอบรับ
จ้งชิวสวมชุดสีเขียว จอนผมสองข้างเป็นสีขาวเล็กน้อย เวลาสั้นๆ แค่ไม่กี่วัน เขากลับดูแก่ชราขึ้นหลายส่วน เห็นได้ชัดว่าอารมณ์ของราชครูผู้นี้ไม่ได้ผ่อนคลายนัก เขาเอ่ยต่อว่า “อวี๋เจินอี้อยู่ที่ซากปรักของภูเขากู่หนิว สร้างกระท่อมหลังเล็กให้ตัวเอง หวังจะตั้งใจฝึกตนอยู่ที่นั่น ฮ่องเต้ให้ข้อเสนอบอกว่า เว้นแต่อวี๋เจินอี้จะย้ายพรรคหูซานเข้ามาในอาณาเขตของแคว้นหนันเยวี่ยน หาไม่แล้วคงต้องใช้กำลังขับไล่อวี๋เจินอี้ออกไป อวี๋เจินอี้ไม่สนใจ ข้าหวังว่าฮ่องเต้จะทรงรอไปอีกหน่อย แต่ฮ่องเต้กลับไม่ยอมรับปาก ตอนนี้ระดมกำลังทหารแล้ว อีกไม่นานย่อมต้องมีทหารนับหมื่นนายไปล้อมอยู่ที่ภูเขากู่หนิว”
เฉินผิงอันคิดแล้วก็ถามว่า “แล้วฝานกว่านเอ่อร์แห่งหอจิ้งซินผู้นั้นล่ะ?”
จ้งชิวเล่าความเป็นมาคร่าวๆ ของฝานกว่านเอ่อร์ให้เฉินผิงอันฟังก่อน จากนั้นก็กล่าวอย่างระอาใจว่า “ข้าเดาเอาว่าฮ่องเต้น่าจะไปพบนางเป็นการส่วนตัว ถึงได้ตัดสินใจทำเช่นนี้ คิดว่าขอแค่มีนางช่วยคุมทัพ บวกกับถังเถี่ยอี้แม่ทัพใหญ่เป่ยจิ้นที่เลือกอยู่ต่อในเมืองหลวง แน่นอนว่ายังรวมถึงข้าจ้งชิวด้วย ต่อให้สถานการณ์จะแย่ก็คงไม่แย่ไปยังไง”
กล่าวมาถึงตรงนี้ จ้งชิวก็มายืนอยู่ตรงริมขอบของร่องลึก ซึ่งก็คือตำแหน่งที่ตอนนั้นเฉินผิงอันใช้ท่าปรับแก้มังกรใหญ่ซึ่งเป็นวิชาหมัดขั้นสูงสุด ทะยานลมเข้ามาใกล้แล้วต่อยให้เขาปลิวกระเด็นออกไป เขาคลี่ยิ้มกล่าวว่า “ฮ่องเต้พูดจาหยั่งเชิงข้าอยู่หลายครั้ง หมายสอบถามให้รู้ถึงสภาพจิตใจและประวัติความเป็นมาของเจ้า ข้าทั้งไม่อาจหลอกลวงฮ่องเต้ แล้วก็ไม่อาจดึงเจ้าเข้ามาข้องเกี่ยวกับบุญคุณความแค้นในโลกมนุษย์ จึงพูดแค่ว่าเจ้าไม่มีทางให้การสนับสนุนแคว้นหนันเยวี่ยน แล้วก็ไม่มีทางช่วยเหลืออวี๋เจินอี้ นกกระเรียนป่าที่โบยบินอยู่บนฟากฟ้า มีแต่จะอยู่ในจุดลึกของหมู่เมฆ ไม่มีทางลงมาคบค้าสมาคมกับสุนัขหรือไก่ ยิ่งไม่มีทางจะมาแย่งชิงอาหารกับพวกมัน”
เฉินผิงอันกุมหมัดขอบคุณ
จ้งชิวโบกมือ “หากเปลี่ยนมาเป็นข้าคงรู้สึกรำคาญใจยิ่งกว่าเจ้า”
เฉินผิงอันปลดน้ำเต้าลงมาดื่มเหล้าหนึ่งคำ
จ้งชิวนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ “โศกนาฎกรรมที่เกิดขึ้นกับคนในครอบครัวที่เจ้าไปพักอาศัย ข้าเป็นคนจัดการเอง ทางราชสำนักก็จับตัวพวกคนของลัทธิมารมาได้ไม่น้อย สามารถแน่ใจได้ว่าตอนนั้นเป็นติงอิงที่ออกคำสั่ง คาดว่าคงเพราะต้องการให้หนุ่มปักบุปผาโจวซื่อแห่งตำหนักคลื่นวสันต์ประมือกับเจ้าแต่เนิ่นๆ จะได้ไม่เอาตัวอยู่นอกสถานการณ์ เพื่อสะดวกดึงตัวลู่ฝ่างและโจวเฝยออกมาในตอนท้าย และฟังจากคำให้การของเฉาฉิงหล่างซึ่งได้มาจากที่ว่าการ รู้ว่าการที่ติงอิงทำเช่นนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเจ้าสักเท่าไหร่ แต่เป็นเพราะติงอิงเข้าใจผิดคิดว่าเด็กเฉาฉิงหล่างผู้นี้มีความเกี่ยวข้องกับถงชิงชิงแห่งหอจิ้งซิน”
เฉินผิงอันอืมรับหนึ่งที
แล้วจู่ๆ เขาก็ถามว่า “ที่นี่คือที่ไหนกันแน่?”
จ้งชิวอึ้งตะลึง สีหน้าเต็มไปด้วยความสงสัย
เฉินผิงอันชี้ไปยังปราณยาวที่อยู่ข้างหลังตัวเองพลางอธิบายว่า “ข้าแบกกระบี่เล่มนี้ทะเล่อทะล่าบุกเข้ามาที่นี่ เดินวนไปวนมา ตามหาอยู่นานก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองได้เข้ามาอยู่ในนี้นานแล้ว”
จ้งชิวอธิบายบันทึกประวัติศาสตร์เกี่ยวกับเจ๋อเซียนและพื้นที่มงคลดอกบัวให้เฉินผิงอันฟัง
เฉินผิงอันถึงได้กระจ่างแจ้ง
ตอนนั้นนักพรตเฒ่าพูดแค่ครึ่งเดียว สามารถแน่ใจได้ว่าอารามกวานเต๋าไม่มีอยู่จริง แต่อันที่จริงแล้วก็พูดได้ว่าตลอดทั้งพื้นที่มงคลดอกบัวก็คือ ‘สถานที่พิศมรรคา’ ของนักพรตเฒ่า
ตอนแรกเฉินผิงอันก็สัมผัสได้ถึงความผิดปกติแล้ว เพราะเขาค้นพบว่าในทวีปหนึ่งกลับมีแคว้นเป่ยจิ้นถึงสองแห่ง ต้องรู้ว่าเฉินผิงอันพบคนจิ๋วดอกบัวในวัดเป่ยจิ้น ทีแรกเฉินผิงอันยังนึกว่าอาจเป็นเพราะขนบธรรมเนียมของใบถงทวีปไม่เหมือนกับแจกันสมบัติทวีป เขายังเคยไปเปิดอ่านหนังสือเกร็ดพงศาวดารและผลงานของปัญญาชนมากมายจากร้านหนังสือในตรอกจ้วงหยวน ผลคือยิ่งอ่านยิ่งรู้สึกประหลาด แต่ก็ยังไม่ถอดใจ เลยแอบเข้าไปในหอเก็บตำราส่วนตัวของตระกูลแห่งหนึ่งที่แค่มองก็รู้ว่ามีฐานะ หมายจะใช้ประวัติศาสตร์แท้จริงมายืนยันตำแหน่งที่แน่ชัดของแคว้นหนันเยวี่ยนในใบถงทวีป แต่ก็ยังเหมือนเดินในไอหมอก เพราะในตำราก็มีแค่ประวัติศาสตร์ของสี่แคว้นเท่านั้น
ภายหลังเกิดเรื่องน่าอายขึ้นที่วัดป๋ายเหอ สี่ปรมาจารย์ใหญ่มารวมตัวกันที่ภูเขากู่หนิว เฉินผิงอันก็ยิ่งรู้สึกเหลือเชื่อ เพราะทุกคนล้วนชอบใช้คำศัพท์ว่า ‘ใต้หล้า’ ราชครูจ้งชิวคืออันดับหนึ่งในใต้หล้า แคว้นหนันเยวี่ยนคือแคว้นที่แข็งแกร่งอันดับหนึ่งในใต้หล้า ถงชิงชิงแห่งหอจิ้งซินคือสาวงามอันดับหนึ่งในใต้หล้า ฯลฯ และยังมีอีกมากมายจนไม่อาจยกตัวอย่างได้หมด
และคืนนั้นในวัดป๋ายเหอ ติงอิง โจวซื่อและยาเอ๋อร์แฝงตัวเข้าไปในตำหนักใหญ่เพื่อตามหาอรหันต์ร่างทอง
ก่อนหน้านี้เนื่องจากข้างกายเฉินผิงอันมีผู้ฝึกตนอย่างภิกษุเฒ่าวัดจินเซียงอยู่ท่านหนึ่ง บวกกับที่เข้ามาอยู่เมืองหลวงได้ไม่นานก็ได้เห็นชุดกระโปรงสีเขียวที่ชอบร่ายรำอยู่ใต้แสงจันทร์ตัวนั้น เฉินผิงอันจึงไม่ได้คิดมาก นึกว่าที่นี่คือ ‘สถานที่ไร้อาคม’ ซึ่งมีสภาพแวดล้อมเป็นอุปสรรคแห่งหนึ่ง ก็เหมือนที่ซ่งอวี่เซาอริยะกระบี่ผู้เฒ่าอยู่ในแคว้นซูสุ่ยแจกันสมบัติทวีปก็ถือว่าเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่ฝีมือแข็งแกร่งไร้เทียมทานแล้ว
ตอนนี้มาลองย้อนนึกดูอย่างละเอียด เฉินผิงอันพลันรู้สึกขนลุกขนชัน หนาวยะเยือกยิ่งกว่าเดิมเป็นเท่าตัว
เหมือนกับตอนที่มองไปยังบ่อน้ำแห่งนั้น
แม้จะรู้ว่าตัวเองอยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัว แต่เข้ามาอย่างไร เข้ามาเมื่อไหร่ เฉินผิงอันก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี
ขอแค่นักพรตเฒ่าไม่ปรากฏตัววันหนึ่ง เฉินผิงอันก็ไม่มีทางได้คำตอบเสียที
ในฐานะราชครู เมื่อศึกใหญ่ผ่านไป สถานการณ์ในใต้หล้าเปลี่ยนมาเป็นยากจะคาดเดา จึงยังมีเรื่องอีกนับไม่ถ้วนรอให้จ้งชิวเป็นคนตัดสินใจ วันนี้มาหาเฉินผิงอัน หนึ่งก็เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดข้อผิดพลาด สองมาจากความต้องการส่วนตัว เพราะคิดอยากจะมาเดินเล่นผ่อนคลายอารมณ์อยู่ที่นี่ ดังนั้นเมื่อคุยเรื่องที่สมควรคุยจบแล้ว จ้งชิวจึงบอกลาจากไป
ก่อนจะจากไป เฉินผิงอันเอ่ยขออภัยเขา “ตอนนี้ข้ายังออกไปจากพื้นที่มงคลดอกบัวไม่ได้”
จ้งชิวยิ้มพูด “ไม่เป็นไร ถึงอย่างไรเจ้าเฉินผิงอันก็ไม่เหมือนเจ๋อเซียนอยู่แล้ว”
จ้งชิวที่หันหลังจากมาเดินไปบนถนนใหญ่ที่เงียบสงบเพียงลำพัง สีหน้าหม่นหมอง
หากเจ๋อเซียนคนแรกที่ตนและอวี๋เจินอี้เจอในปีนั้นคือเฉินผิงอัน จุดจบจะแตกต่างไปจากทุกวันนี้หรือไม่?
เฉินผิงอันหิ้วม้านั่งตัวเล็กเดินเข้าไปในตรอกเล็กที่มืดสลัว
แล้วเขาก็พลันหรี่ตาลง
นอกประตูบ้านมีเด็กหญิงผอมแห้งคนหนึ่งยืนอยู่
—–
บทที่ 324.2 แสงไฟในโลกส่องสว่าง
ProjectZyphon
นางถอยหลังไปหนึ่งก้าวตามจิตใต้สำนึก เงยหน้าขึ้นมองใบหน้าของคนผู้นั้นอย่างพินิจพิเคราะห์ คิดหาคำพูดอยู่นานก็ยังไม่กล้าพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว
เฉินผิงอันถาม “หนังสือพวกนั้นล่ะ?”
เด็กหญิงกะพริบตาปริบๆ ส่ายหน้าอย่างแรง “ข้าไม่รู้”
เหมือนกลัวว่าเฉินผิงอันจะไม่เชื่อ นางจึงพูดด้วยสีหน้าของคนได้รับความอยุติธรรม “เมื่อไม่กี่วันก่อนเจ้าต่อสู้กับพวกคนชั่วดุเดือดขนาดนั้น อีกทั้งตอนนั้นยังมีชายหญิงคู่หนึ่งเดินออกจากตรอกขึ้นมาบนถนนใหญ่ ข้าหรือจะกล้าเข้าไปในตรอกอีก ได้แต่นั่งอยู่บนม้านั่งอย่างว่าง่ายมาโดยตลอด ภายหลังไม่พบเจ้า รอแล้วเจ้าก็ไม่กลับมาเสียที ข้ากลัวว่าคนชั่วจะเจอตัวเลยรีบหนีไป”
เฉินผิงอันโบกมือบอกนางให้รู้ว่าไปได้แล้ว เขาไม่อยากเห็นหน้าเด็กหญิงที่มีกลอุบายล้ำลึกผู้นี้อีก
เด็กหญิงกล่าวอย่างน่าสงสาร “ขอร้องเจ้าล่ะ ให้ข้ากินข้าวอิ่มก่อนค่อยไปได้ไหม?”
ที่แท้เป็นเพราะนางได้กลิ่นหอมของอาหาร
เฉินผิงอันไม่ได้สนใจนาง พอเดินเข้าประตูบ้านมาก็ลั่นดาลลงกลอน แล้วก็เห็นว่าเป็นเฉาฉิงหล่างที่ทำอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว เด็กชายทั้งฉลาดและกตัญญู แม้ว่าจะไม่เคยเข้าครัวทำอาหารมาก่อน แต่ก็เคยเห็นมารดาทำอาหารอยู่หลายครั้ง รอจนเขาต้องทำเอง อาหารที่ทำออกมาไม่มีทางอร่อยเลิศล้ำ แต่ย่อมกินได้
สองวันมานี้ล้วนเป็นเฉาฉิงหล่างที่ทำกับข้าวกินเองตลอด
เฉินผิงอันไม่เคยมาร่วมกินด้วย ทุกครั้งเวลาที่เฉาฉิงหล่างเข้าครัว เขาก็มักจะเป็นฝ่ายออกไปจากบ้าน วันนี้ก็เช่นเดียวกัน
ทุกครั้งเวลาที่กลับมา เด็กชายก็จะกินข้าวอิ่มและเก็บโต๊ะเสร็จเรียบร้อยแล้ว ส่วนเขาก็กลับไปที่ห้องตัวเอง มีบางครั้งที่ออกมารับลมเย็นตอนกลางคืน เฉาฉิงหล่างถึงจะออกมานั่งด้วยพักหนึ่ง แต่วันนี้ไม่เหมือนกัน เฉาฉิงหล่างที่นั่งอยู่ข้างโต๊ะกินอาหารช้ามาก อีกทั้งตรงข้ามกับเขายังวางชามและตะเกียบเพิ่มไว้ชุดหนึ่ง
เฉินผิงอันเดินเข้าไปในห้องเบาๆ พอนั่งลงแล้วก็เคี้ยวอาหารอย่างเชื่องช้า ไม่มีเสียงใดๆ
เสียงตุ้บดังมาจากในลานบ้าน
เด็กหญิงร่างผอมแห้งลุกขึ้นยืน ปัดฝุ่นตามตัว ค่อยๆ เดินย่องมาถึงนอกห้อง นางไม่กล้าเข้ามา ได้แต่นั่งยองอยู่ตรงนั้น ยืดคอมองอาหารบนโต๊ะ
เฉาฉิงหล่างคิดแล้วก็ไปตักข้าวจากในห้องครัวมาให้นางถ้วยหนึ่ง เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้านางแล้วยื่นชามและตะเกียบส่งให้ “กินด้วยกันเถอะ”
เฉินผิงอันวางตะเกียบลง มองหน้านาง
นางน้ำตาคลอเจียนจะหยด วางชามและตะเกียบลง ไม่กล้าขยับ
เฉาฉิงหล่างจึงเอ่ยอย่างจนใจ “ไม่เป็นไรหรอก กินเถอะ”
นางยังคงมองเฉินผิงอันตาไม่กะพริบ เฉินผิงอันหยิบตะเกียบขึ้นมาอีกครั้ง ไม่อยากมองนาง
นางถึงได้เริ่มก้มหน้าก้มตาพุ้ยข้าว มีบางครั้งที่ยื่นตะเกียบมาคีบกับข้าว ทำราวกับโจรขโมยอาหารอย่างไรอย่างนั้น
ตอนที่คนทั้งสามกินอิ่มแล้ว เฉาฉิงหล่างก็ลุกขึ้นเก็บโต๊ะ เด็กหญิงชำเลืองตามองเฉินผิงอัน ก่อนจะแสร้งทำท่าช่วยเขาเก็บจานชาม
คนวัยเดียวกันสองคนถือถ้วยชามเดินเข้าไปในห้องครัวด้วยกัน นางมองมาทางลานบ้าน เห็นว่าเจ้าหมอนั่นไม่อยู่จึงบ่นขึ้นเบาๆ ว่า “ไม่ใส่น้ำมันบ้างเลย แถมยังเค็มขนาดนั้น สรุปว่าเจ้าทำกับข้าวเป็นไหม?! โตขนาดนี้แล้ว หัดทำตัวให้ได้เรื่องมั่งไม่ได้หรือไง?”
เฉาฉิงหล่างตะลึงจนพูดไม่ออก แต่พอเห็นท่าทางไม่ยอมเลิกราของนาง เขาจึงได้แต่พูดว่า “คราวหน้าข้าจะระวัง”
ผลคือเฉินผิงอันมาโผล่ตรงหน้าประตูห้องครัวกะทันหัน เด็กหญิงผอมแห้งหุบปากฉับ ขณะที่เตรียมจะหันหน้าไปทางอื่น แสร้งทำเป็นมองไม่เห็นเฉินผิงอัน กลับเห็นว่าเขากวักมือเรียก อีกทั้งสายตายังคมกริบ
นางจึงได้แต่เดินไหล่ลู่คอตกเข้าไปหา แล้วก็ถูกเฉินผิงอันหิ้วคอเสื้อเหมือนหิ้วลูกเจี๊ยบ มือหนึ่งของเขาเปิดประตูบ้าน มืออีกข้างหนึ่งวางนางไว้ข้างนอก ก่อนจะปิดประตูได้ทิ้งคำพูดหนึ่งไว้ว่า “หากยังกล้าปีนกำแพงเข้ามาอีก ข้าจะจับเจ้าโยนออกไปนอกเมือง”
ค่ำคืนนี้เฉินผิงอันหลับตาทำสมาธิอยู่ตลอดเวลา เฉาฉิงหล่างออกมาตากลมเย็นได้ไม่นานเท่าไหร่ก็ได้ยินเสียงกระแอมดังมาจากนอกลานบ้าน
เขาเปิดประตูออกไป เห็นนางนั่งยองอยู่บนพื้น กำลังเงยหน้า ยกสองแขนกอดอก ยิ้มตาหยีพูดว่า “ไม่ต้องสนใจข้า ตรอกข้างนอกนี่เย็นกว่าเยอะเลย”
เฉาฉิงหล่างยกสองมือเกาหัว เขากลัวคนผู้นี้แล้วจริงๆ
เฉินผิงอันเงยหน้าขึ้น ขมวดคิ้วมุ่น บนหลังคาบ้านหลังหนึ่งที่ห่างออกไปไกล มองเห็นว่าภายใต้แสงจันทร์มีชายพกมีดคนหนึ่งสวมชุดคลุมยาวสีดำ บุคลิกลักษณะสง่างาม มือหนึ่งถือกาเหล้า ส่งยิ้มบางๆ มาให้เฉินผิงอัน เห็นว่าเฉินผิงอันไม่พูดอะไร เขาจึงดีดปลายเท้าพลิ้วกายมาทางเรือนที่พักของเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันฉวยโอกาสที่เฉาฉิงหล่างยังอยู่ข้างนอก ปล่อยหมัดหนึ่งออกไปอย่างเป็นธรรมชาติ
ถังเถี่ยอี้แม่ทัพแห่งแคว้นเป่ยจิ้นผู้ยิ่งใหญ่ถูกพายุหมัดที่ไร้เสียงกระแทกเข้าที่หน้าอก ร่างปลิวกระเด็นออกไปตกยังหลังคาบ้านหลังเดิมที่เคยยืนอยู่
พละกำลังของพายุหมัดถูกกะประมาณได้อย่างดีเยี่ยม เดิมทีถังเถี่ยอี้ก็เป็นปรมาจารย์ใหญ่ที่มีน้อยจนนับนิ้วได้ในใต้หล้าอยู่แล้ว เขาจึงไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่สภาพอเนจอนาถอย่างถึงที่สุด
แต่ถังเถี่ยอี้ไม่เพียงแต่ไม่อับอายจนพานเป็นความโกรธ กลับกันยังยิ้มขออภัยเฉินผิงอัน ราวกับกำลังพูดว่ารบกวนแล้ว อีกทั้งยังรู้สึกละอายใจกับการมาเยือนโดยไม่ได้รับเชิญของตัวเอง แล้วถังเถี่ยอี้ที่พกมีดเลี่ยนซือก็หมุนกายพุ่งทะยานจากไปทั้งอย่างนี้
สำหรับคนผู้นี้ เฉินผิงอันไม่มีความทรงจำที่ลึกซึ้งนัก แล้วก็ไม่ยินดีจะใกล้ชิดสนิทสนมด้วย
เฉินผิงอันคิดแล้วก็บอกกับเฉาฉิงหล่างว่าไม่ต้องรอให้เขากลับมา จากนั้นตัวเองเดินออกไปนอกตรอก มุ่งหน้าไปยังตรอกจ้วงหยวน
เหล้าในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่หมดพอดี ออกไปสักรอบก็ดีเหมือนกัน
ดึกดื่นครึ่งคืน ในเหลาสุราที่เงียบสงบของตรอกจ้วงหยวนยังคงมีโคมหลากสีแขวนไว้สูง แต่มีลูกค้าแค่โต๊ะเดียว
ถือเป็นการเลี้ยงฉลองของคนในครอบครัว เพราะพ่อครัวที่ทำอาหารลูกค้าก็พามาจากบ้านตัวเอง
ชายสามหญิงสาม
ไม่เพียงแต่หอสุราแห่งนี้เท่านั้น ตลอดทั้งตรอกจ้วงหยวนล้วนถูกป้องกันอย่างเข้มงวด นอกจากทหารเดินเท้าลาดตระเวนที่สวมเสื้อเกราะแล้ว ก็ยังมียอดฝีมือที่ปิดบังชื่อแซ่คอยเฝ้าพิทักษ์อยู่อีกไม่น้อย เว้นเสียแต่ว่าจะเป็นปรมาจารย์ใหญ่สิบคนบนอันดับรายชื่อ ไม่ว่าใครที่คิดจะลอบสังหาร เกรงว่าคงไม่ทันได้เห็นหน้าค่าตาของคนเหล่านี้เลยด้วยซ้ำ
คนหกคนนี้แบ่งออกเป็นเว่ยเหลียงฮ่องเต้แคว้นหนันเยวี่ยน ฮองเฮาโจวซูเจิน เว่ยเหยี่ยนองค์รัชทายาท และยังมีองค์ชายรองกับองค์หญิงที่อายุน้อยที่สุด
นอกจากนี้ก็คือหวงถิง นักพรตหญิงแห่งภูเขาไท่ผิงที่เปลี่ยนมาสวมชุดคลุมเต๋าเรียบง่ายแต่สง่างาม อดีตฝานกว่านเอ่อร์และถงชิงชิง
องค์หญิงสาวน้อยได้รับสืบทอดหน้าตามาจากบิดามารดา คือตัวอ่อนสาวงามที่หาได้ยากยิ่ง แต่เมื่อนางนั่งอยู่ข้างนักพรตหญิงกลับยังรู้สึกละอายใจที่ตัวเองสู้ไม่ได้ นางที่เดิมทีร่าเริงสดใส วันนี้กลับไม่กล้าพูดมาก คอยอิงแอบแนบชิดอยู่ข้างกายโจวซูเจินผู้เป็นมารดาแท้ๆ อยู่ตลอดเวลา นางรู้สึกเคารพเลื่อมใสนักพรตหญิงที่งดงามดั่งเทพธิดาผู้นี้อย่างมากที่เมื่ออยู่ต่อหน้าเสด็จพ่อของนางกลับยังมีมาดของยุทธภพได้ยิ่งกว่า…ราชครูจ้งชิวเสียอีก!
หลายปีมานี้นางเก็บสะสมหนังสือต้องห้ามเอาไว้มากมาย แม้แต่พี่ชายทั้งสองคนก็ยังต้านทานการอ้อนวอนของนางไม่ไหว ต้องซื้อนิยายที่เล่าเรื่องประหลาดหลากหลายชนิดจากในหมู่ชาวบ้านมาให้นาง
ยุทธภพคืออะไร? ยุทธภพที่นางวาดฝันคือค่ำคืนที่แสงจันทร์ส่องสว่าง มีจอมยุทธ์ชายหญิงซึ่งเป็นคู่รักเทพเซียนบุกเข้าไปในรังของคนชั่วที่ทำให้คนในยุทธภพอกสั่นขวัญผวา เมื่อฟ้าเริ่มเป็นสีขาวราวกับพุงปลา พวกมารร้ายและโจรชั่วทั้งหลายก็ล้วนถูกตัดหัว ชายหญิงคู่นั้นส่งยิ้มให้กัน สุดท้ายควบม้าจากไปเพื่อท่องยุทธภพต่ออีกครั้ง
ฮ่องเต้เว่ยเหลียงถามด้วยรอยยิ้มว่า “ด้านนอกมีอวี๋เจินอี้ ด้านในมีเฉินผิงอัน จะไม่เป็นไรจริงๆ หรือ?”
คำตอบของหวงถิงไม่ค่อยเกรงใจนัก “อันที่จริงต่อให้ทั้งสองคนอยู่ในเมืองหลวงก็ไม่เป็นไร คนหนึ่งมีจิตแห่งการฝึกตนที่แข็งแกร่งผิดปกติ อีกคนหนึ่งไม่ให้ความสนใจพวกเจ้าเลยสักนิด เพียงแต่ว่าพวกเจ้าที่เป็นฮ่องเต้ล้วนชอบถ้อยคำทำนองว่า ‘จะปล่อยให้คนอื่นมานอนกรนอยู่ข้างเตียงตัวเองได้อย่างไร’ ในใจเจ้ารู้สึกไม่ดี ข้อนี้ข้าเข้าใจได้ บวกกับที่ข้าเองก็ไม่ชอบขี้หน้าอวี๋เจินอี้นัก ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะลองสู้กับเขาสักตั้งให้รู้แล้วรู้รอดไป”
คำพูดประโยคถัดมาของหวงถิงยิ่งกำเริบเสิบสาน “ข้ารับรองว่าจะออกแรงประมือกับอวี๋เจินอี้อย่างเต็มที่ หากข้าแพ้ แล้วกองทัพใหญ่ของแคว้นหนันเยวี่ยนยังไม่สามารถรั้งตัวอวี๋เจินอี้เอาไว้ได้ ยังปล่อยให้เขาบุกเข้าไปในวังหลวง สังหารพวกเจ้าทุกคน ถ้าอย่างนั้นก่อนจะบินทะยาน ข้าก็คงได้แต่ช่วยพวกเจ้าแก้แค้นเท่านั้น”
เว่ยเหลียงส่ายหน้า ดื่มเหล้าดับทุกข์
อันที่จริงคนที่กระอักกระอ่วนที่สุดคือฮองเฮาโจวซูเจิน ศิษย์น้องหญิงกลายมาเป็นอาจารย์ แล้วก็กลายมาเป็นหวงถิงแห่งภูเขาไท่ผิงอีกที
คนที่ผิดหวังที่สุด เกรงว่าคงเป็นรัชทายาทเว่ยเหยี่ยนแล้ว
ฝานกว่านเอ่อร์ที่เขาหลงรักไม่อาจกลับมาได้แล้ว ต่อให้นักพรตหญิงที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้จะงดงามยิ่งกว่าฝานกว่านเอ่อร์ แต่เว่ยเหยี่ยนก็ยังชอบไม่ลง
คนที่กระวนกระวายไม่เป็นสุขมากที่สุดกลับเป็นองค์ชายรองที่มีหน้าตาคล้ายคลึงกับเว่ยเหยี่ยน ติงอิงไท่ซ่างเจ้าลัทธิมาร ยาเอ๋อร์ ไปจนถึงยอดฝีมือกลุ่มใหญ่ที่แฝงตัวอยู่ในเมืองหลวงล้วนถูกราชครูจ้งชิวร่วมมือกับเทพธิดาแห่งหอจิ้งซินและข้ารับใช้ราชสำนักรวบตัวโยนเข้าคุก ยิ่งไปกว่านั้นกองกำลังสามฝ่ายของลัทธิมารก็ล้วนมีสายสัมพันธ์แนบแน่นกับองค์ชายสกุลเว่ยอย่างเขาโดยที่เลี่ยงไม่ได้
อาหารมื้อนี้ องค์ชายรองกินอย่างไร้รสชาติ ไม่ต่างจากเคี้ยวเทียน
เขารู้สึกอิจฉานิสัยไม่สนใจสิ่งใดของน้องสาว ยิ่งริษยาโชควาสนาเทียมฟ้าของรัชทายาทเว่ยเหยี่ยน
ใครจะไปนึกว่า ติงอิงมารเฒ่าที่ไร้ศัตรูทัดเทียมจะถูกคนฆ่าตายได้?
สตรีหน้าเหม็นที่ชื่อว่ายาเอ๋อร์คนนั้นเคยสาบถสาบานกับเขาว่า เจ้าแก่ตายไปแล้ว อาจารย์ปู่ของข้าอาจจะยังมีชีวิตอยู่อย่างดีก็เป็นได้
ด้านนอกหอสุรามีเสียงความวุ่นวายผิดปกติดังขึ้นระลอกหนึ่ง
หวงถิงเอ่ยยิ้มๆ “แขกผู้สูงศักดิ์มาเยือนแล้ว”
ฮ่องเต้เว่ยเหลียงรีบหันไปมองนอกหน้าต่างทันที เขารู้สึกตื่นเต้นอย่างมาก แล้วก็รู้สึกเสียใจที่ไม่ได้เรียกราชครูจ้งชิวให้มาด้วยกัน เพราะถึงอย่างไรความสัมพันธ์ระหว่างราชครูกับคนผู้นั้นก็ถือว่าไม่เลว พอมีความสัมพันธ์ควันธูปต่อกันอยู่บ้าง
ทว่ารออยู่นานถึงเพิ่งสังเกตเห็นว่าคนผู้นั้นปรากฎตัวที่หน้าบันไดของหอสุรา จากนั้นก็เดินขึ้นบันไดเข้ามาทางประตูใหญ่ตามกฎระเบียบ
เฉินผิงอันเจ๋อเซียนอายุน้อยผู้นั้นไม่ได้สวมชุดคลุมสีขาวที่เด่นสะดุดตาตัวนั้น แต่สวมชุดปกติทั่วไปของคนที่พอมีฐานะในแคว้นหนันเยวี่ยน
เว่ยเหลียงสงบจิตใจแล้วลุกขึ้นยืน
ขนาดฮ่องเต้ยังลุกขึ้นไปต้อนรับ โจวซูเจินและเชื้อพระวงศ์อีกสามท่านก็ยิ่งต้องรีบลุกตามไปติดๆ
หวงถิงไม่ได้วางท่าอะไร แต่ก็ไม่ได้กระตือรือร้นมากนัก นางลุกขึ้นยืนเหมือนกัน แต่กลับเดินไปตรงหน้าต่าง ราวกับต้องการดึงตัวเองออกจากสถานการณ์ มอบพื้นที่ให้แก่งูเจ้าถิ่นและมังกรข้ามแม่น้ำจัดการกันเอาเอง นางไม่เข้าข้างใครทั้งนั้น
เว่ยเหลียงพูดกลั้วหัวเราะเสียงดังกังวาน “สกุลเว่ยของข้าดูแลไม่ทั่วถึง ก่อให้เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ เฉินเซียนซือโปรดให้อภัยด้วย”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ฝ่าบาทมิต้องใส่พระทัยเรื่องพวกนี้ มรสุมในครั้งนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับแคว้นหนันเยวี่ยนสักเท่าไหร่”
ฮ่องเต้เว่ยเหลียงรู้สึกไม่แน่ใจนัก กังวลว่าคำพูดนี้จะมีความนัยลึกซึ้งที่ตนฟังไม่เข้าใจ
แต่เฉินผิงอันกลับเอ่ยขึ้นก่อนแล้วว่า “ข้ามาครั้งนี้ก็เพราะคิดว่าในเมื่อฝ่าบาททรงเสด็จมาด้วยองค์เอง ถ้าเช่นนั้นก็มีคำพูดบางอย่างที่ข้าสามารถพูดออกมาได้ตามตรง แคว้นหนันเยวี่ยนจะคิดว่าข้าไม่มีตัวตนอยู่ก็ได้ ขอฝ่าบาทโปรดวางพระทัย หากไม่เป็นเพราะติงอิงกับอวี๋เจินอี้มาหาเรื่องถึงที่ สงครามครั้งนี้ตั้งแต่ต้นจนจบก็อาจจะไม่มีเรื่องของข้าเฉินผิงอันแล้ว”
เว่ยเหลียงพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้มพลางเอ่ยคล้อยตาม “เฉินเซียนซือคือเทพเซียนบนภูเขา ย่อมไม่สนใจเรื่องทะเลาะวิวาทในโลกมนุษย์อยู่แล้ว”
เฉินผิงอันเองก็พลันคลี่ยิ้ม “เมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนของพวกท่านมีทิวทัศน์ที่งดงามมาก โดยเฉพาะอาหารอย่างหนึ่งที่ไม่เลวเลยจริงๆ ก่อนข้าจะไปจากเมืองหลวงต้องกลับไปกินซ้ำอีกรอบให้ได้”
ฮ่องเต้ถามด้วยความใคร่รู้ “ขอถามเซียนซือว่า คืออะไรและอยู่ที่ไหน? กว่าเหริน (คำเรียกแทนตัวของฮ่องเต้ในสมัยโบราณ) สามารถ…”
เพิ่งจะกล่าวมาได้แค่ครึ่งเดียว ตัวเว่ยเหลียงเองก็หยุดพูด ยกจอกเหล้าขึ้นดื่มรวดเดียวหมด “เฉินเซียนซือเพิ่งตั้งกฎไว้ กว่าเหรินกลับทำผิดกฎซะแล้ว ต้องดื่มลงโทษตัวเองหนึ่งจอก”
เฉินผิงอันปลดน้ำเต้าบรรจุเหล้าลงมา “อาจยังต้องรบกวนฝ่าบาทมอบเหล้าให้ข้าสักสองไห”
เว่ยเหลียงหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “เฉินเซียนซือเกรงใจกันขนาดนี้ ช่างหลอกได้ง่ายยิ่งนัก!”
ฮ่องเต้พูดล้อเล่น ฮองเฮาโจวซูเจินและองค์ชายสองท่านกับองค์หญิงน้อยต่างก็หัวเราะตามไปด้วย
เฉินผิงอันที่ความรู้สึกช้าก็หัวเราะตามคนอื่นๆ เพราะไม่อย่างนั้นอาจจะดูเป็นคนไม่น่าเข้าใกล้สักเท่าไหร่
นักพรตหญิงหวงถิงที่อยู่ห่างออกไป แม้จะหันหน้ามองไปนอกหน้าต่าง แต่มุมปากกลับตวัดโค้ง
เฉินผิงอันบรรจุเหล้าจนเต็มน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่แล้วก็ไปจากหอสุรา แต่ไม่ได้กลับไปยังที่พัก เขาอาศัยความทรงจำของตัวเองเดินไปยังตลาดกลางคืนใกล้กับวัดป๋ายเหอที่เคยไปในคืนนั้น กินอาหารชามใหญ่ที่ทั้งเผ็ดทั้งชาทั้งร้อนของร้านนั้น
ไม่กินเผ็ด ไม่กินเหล้า ไม่ดื่มเหล้าที่รสแรงที่สุด ไม่กินหม้อไฟที่เผ็ดที่สุด ชีวิตนี้ยังจะมีความน่าอภิรมย์อะไรอีก?
นี่คือคำพูดของอริยะกระบี่ผู้เฒ่าแห่งแคว้นซูสุ่ย
ก่อนหน้านี้ไม่คิดว่ามีเหตุผลสักเท่าไหร่ แต่เวลานี้เมื่อเฉินผิงอันอยู่ในตลาดที่ผู้คนสัญจรเบียดเสียดกันอย่างคึกคัก กลับรู้สึกว่าคำพูดของผู้อาวุโสถูกต้องแล้วจริงๆ
เฉินผิงอันจ่ายเงินเรียบร้อยก็ออกมาจากตลาดกลางคืนที่จอแจ เขาเดินไปข้างหน้าช้าๆ ก่อนจะกระโดดขึ้นไปบนหลังคาบ้านหลังหนึ่งที่เงียบสงัดไร้ผู้คน จากนั้นก็ไปเยือนตระกูลขุนนาง เข้าไปในหอเก็บตำราของตระกูลพวกเขา คราวนี้ไม่ใช่เพื่อไปตรวจสอบหาประวัติศาสตร์และแผนที่ของ ‘ใต้หล้าแห่งนี้’ แต่ไปตามหาตำราที่เกี่ยวข้องกับการสร้างสะพาน น่าเสียดายที่หาไม่เจอ เขาจึงคิดว่าจะลองไปค้นหนังสือและเอกสารคดีที่ที่ว่าการกรมโยธาเก็บไว้ แต่ลองชั่งน้ำหนักดูแล้วก็คิดว่าหากมีโอกาสจะบอกเรื่องนี้แก่จ้งชิว ขอให้ท่านราชครูช่วยเหลือ น่าจะไม่ยากเกินไปนัก
นอกจากนี้ยังจะถามข่าวเกี่ยวกับบัณฑิตคนหนึ่งมาจากจ้งชิวด้วย
ออกจากหอหนังสือ
สุดท้ายเฉินผิงอันมาหยุดอยู่ใต้ชายคาของหอสูงแห่งหนึ่ง นั่งลงดื่มเหล้า พอดื่มไปถึงท้ายที่สุดก็ชูนิ้วกลางให้ท้องฟ้า
ไม่มีฟ้าผ่าลงมา
เฉินผิงอันเก็บน้ำเต้า แหงนหน้ารับลมเย็นๆ ที่โชยมา เริ่มเหม่อลอย
ระหว่างที่ออกจากป้อมอินทรีบินและก่อนจะเข้ามาในแคว้นหนันเยวี่ยน ได้เจอเมืองคนกระดาษแห่งหนึ่ง
ภิกษุเฒ่าผู้เป็นเจ้าอาวาสวัดซินเซียงเคยพูดประโยคหนึ่งซ้ำกันว่า เจ้ามองดูมัน มันก็กำลังมองดูเจ้าเช่นกัน
หญิงสาวที่ตอนนั้นยังเป็นฝานกว่านเอ่อร์เคยจ้องมองตนอย่างจริงจังอยู่สองครั้ง คือที่วัดป๋ายเหอและตลาดกลางคืน สายตาของนางคล้ายรู้สึกคุ้นเคยกับเขา แต่นางกลับไม่ได้พูดอะไร น่าจะไม่ใช่เพราะนางไม่อยากพูด แต่เป็นเพราะพูดไม่ได้มากกว่า
ลองครุ่นคิดอย่างละเอียดก็ยิ่งขนลุกขนชันขึ้นอีกเป็นเท่าตัว
เฉินผิงอันถอนหายใจ
โลกมนุษย์จุดไฟสว่าง บนท้องฟ้าก็มีดวงดาว
เคยมีคนบอกว่า ฝ่ายหลังอาจเป็นโครงกระดูกของทวยเทพจำนวนมาก
ใครเป็นคนพูดกันนะ เฉินผิงอันตบหัวตัวเอง นึกไม่ออก อันที่จริงคืนนี้เขาไม่ได้ดื่มเหล้ามากนัก แต่ดันเมามายอย่างหนัก
เฉินผิงอันทิ้งตัวไปด้านหลัง หลับสนิททั้งยังกรนครอกๆ
นักพรตเฒ่าคนหนึ่งยืนอยู่บนชายคาโค้งที่ตวัดงอน ชำเลืองตามองเจ๋อเซียนหนุ่มที่กำลังหลับฝันหวาน
นึกถึงภาพที่ตนเห็นก่อนหน้านี้ นักพรตเฒ่าก็กระตุกมุมปาก
ในลานบ้านขนาดเล็ก ตอนที่คนหนุ่มพูดกับเด็กชายเบาๆ ว่าขอโทษ แท้จริงแล้วเขาน้ำตาไหลอาบหน้า
นักพรตเฒ่าพึมพำกับตัวเอง “ในสายตาของเจ้า บนโลกนี้ไม่มีเรื่องเล็กน้อยเลยหรือ?”
บทที่ 325.1 ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้
ProjectZyphon
ปลายนิ้วสองข้างของนักพรตเฒ่าคีบเงินหิมะน้อยเหรียญหนึ่ง มันค่อยๆ หลอมละลายอยู่บนปลายนิ้วของเขาทีละนิด
เขาก้าวหนึ่งก้าวก็ออกจากเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยน มาถึงซากของภูเขากู่หนิวอย่างเงียบเชียบ ต่อให้เป็นอวี๋เจินอี้ที่สร้างกระท่อมฝึกตนอยู่ที่นี่ก็ยังไม่สามารถสัมผัสได้ถึงการมาของเขา
นอกกระท่อมที่สร้างขึ้นอย่างเรียบง่าย อวี๋เจินอี้ยืนเอาสองมือไพล่หลังอยู่ใต้แสงจันทร์ ลูกศิษย์ผู้สืบทอดหลายคนและยอดฝีมือจากพรรคหูซานล้วนถูกเขาสั่งให้กลับสำนักไป ช่วงนี้ห้ามไม่ให้ใครปรากฏตัวอีกเด็ดขาด
ผู้นำฝ่ายธรรมะในใต้หล้าที่หน้าตาเป็นเด็กน้อยผู้นี้ เวลานี้สวมกวานดอกบัวสีเงินไว้บนศีรษะ นี่คือหนึ่งในสัญญาระหว่างคนทั้งสอง หลังจบเรื่อง ติงอิงต้องมอบกวานเต๋าชิ้นนี้ให้เขา กวานเต๋ามีชื่อว่า ‘โกวเฉิน’ (การสำรวจหลักการเหตุผลที่ลึกล้ำ หรือหมายถึงเนื้อหาที่สูญหายไป) คือสมบัติอาคมที่มหัศจรรย์ที่สุดในประวัติศาสตร์ของพื้นที่มงคลดอกบัว ไม่มีคำว่าหนึ่งใน นอกจากสามารถปกป้องเรือนกายและจิตวิญญาณของคนที่สวมกวานไว้บนศีรษะได้แล้ว ยังสามารถหล่อหลอมเรือนกาย ปรับสภาพจิตใจให้สงบ อีกข้อหนึ่งที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ กวานเต๋าชิ้นนี้สามารถช่วยตามหาเจ๋อเซียนที่ซ่อนตัวอยู่รอบด้านได้
เดิมทีอวี๋เจินอี้ก็พอจะรู้วิชามองภูเขาและแม่น้ำผ่านฝ่ามือของเซียนอยู่บ้าง ก่อนหน้านี้ตอนอยู่บนยอดเขากู่หนิวแล้วมองมาทางเมืองหลวง พวกติงอิง เฉินผิงอันและลู่ฝ่าง ในสายตาของเขาจะเห็นเป็น ‘ดวงไฟ’ ที่เจิดจ้าสะดุดตามากที่สุด ตอนนี้มีกวานเต๋าชิ้นนี้ก็ยิ่งเหมือนพยัคฆ์ติดปีก อวี๋เจินอี้มีความมั่นใจถึงเก้าส่วนว่า ขอแค่ตนหลุดออกจากวงล้อมในครั้งนี้ไปได้สำเร็จ วันหน้าเจ๋อเซียนทุกคนที่อยู่ใต้หล้าก็ยากที่จะกระดิกตัว
ข้างกายอวี๋เจินอี้คือกระบี่แก้วที่ลอยตัวอยู่
ในชายแขนเสื้อยังมีอาวุธหนักตระกูลเซียนชิ้นหนึ่งที่เพิ่งได้มาครอบครอง
นักพรตน้อยที่แบกน้ำเต้าสีทองอร่ามลูกใหญ่ยักษ์ไว้บนหลังคนนั้นไม่ได้ผิดคำพูดจริงๆ คนที่ไม่เต็มใจบินทะยาน เลือกที่จะเดินลงมาจากหัวกำแพงเมืองล้วนได้สมบัติอาคมหนึ่งชิ้น และอวี๋เจินอี้ก็เจอตำราหยกเล่มหนึ่งจากซากภูเขากู่หนิ่วที่พังราบเป็นหน้ากลอง มันคือ ‘อักษรบอกกล่าวแก่สวรรค์’ ที่ฮ่องเต้ในยุคโบราณใช้เวลาทำพิธีบวงสรวง เพียงแต่ว่าตัวอักษรค่อนข้างจะแปลกประหลาด ไม่เคยมีบันทึกไว้ในสี่แคว้น อวี๋เจินอี้รู้ดีว่าคำตอบคงอยู่ในหอจิ้งหย่างหรือไม่ก็ในหอจิ้งซิน สถานที่สองแห่งนี้เข้าใจเจ๋อเซียนที่อยู่ฟ้านอกฟ้ามากที่สุดแล้ว
สำหรับการตายของติงอิง อวี๋เจินอี้ไม่ได้รู้สึกอะไร ยิ่งไม่มีความเสียใจ อย่างมากสุดก็แค่โมโหกับการทุ่มเทกำลังไปอย่างเสียเปล่าของติงอิง เป็นเหตุให้แผนการมากมายของเขาและพรรคหูซานล้วนเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ไปด้วย
เจ้างัดข้อกับสวรรค์ ข้าควบคุมโลกมนุษย์
นี่ก็คือข้อตกลงระหว่างติงอิงและอวี๋เจินอี้ ต่างส่งเสริมชดเชยมหามรรคาให้แก่กันและกัน ดังนั้นหนึ่งผู้นำของฝ่ายธรรมะและหนึ่งผู้นำของฝ่ายอธรรม ปรมาจารย์ใหญ่สองท่านที่มีโอกาสว่าจะต่อสู้กันเอาเป็นเอาตายมากที่สุดจึงได้ตกลงเป็นพันธมิตรกันอย่างลับๆ จัดวางแผนการไว้ที่หนันเยวี่ยน ความต่างของคนทั้งสองนั้นอยู่ที่ ติงอิงต้องการสังหารทุกคนบนอันดับรายชื่อเว้นจากพวกเขา ส่วนอวี๋เจินอี้กลับหมายหัวแค่พวกเจ๋อเซียนอย่างโจวเฝย ถงชิงชิง เฝิงชิงป๋าย แน่นอนว่ายังมีเฉินผิงอันที่ปรากฏตัวเป็นคนสุดท้ายด้วย
อวี๋เจินอี้เริ่มสาวเท้าเดินเล่นอยู่ใต้แสงจันทร์ ไม่ว่าจะหายใจเข้าหรือหายใจออกก็ล้วนเป็นการฝึกตน นี่ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ตอนนั้นอวี๋เจินอี้มีความเด็ดเดี่ยวมากพอจะละทิ้งตบะวิถีวรยุทธ์ขั้นสูงสุดของตัวเอง
เรื่องการฝึกตน อันดับแรกต้องให้ความสำคัญกับสภาพจิตใจ นี่ต่างหากถึงจะเป็นทัศนียภาพที่อวี๋เจินอี้ใฝ่ฝันอยากจะเห็น ขอบเขตของวิถีวรยุทธ์ต่ำเกินไป ชั่วชีวิตนี้ก็คงได้แต่คลุกดินคลุกโคลน เทียบกับพวกคนมุทะลุดุดันในวรยุทธ์ไม่ได้เลยด้วยซ้ำ พวกคนอย่างเฉิงหยวนซานโลภมากไม่รู้จักพอ อยากจะให้ทุกสิ่งที่ตามองเห็นเข้ามาอยู่ในกระเป๋าของตัวเองทั้งหมด พวกคนอย่างถังเถี่ยอี้โลภในอำนาจบนสนามรบ วาดหวังว่าสักวันหนึ่งจะได้ครอบครองทั้งแผ่นดินและหญิงงาม ทางที่ดีที่สุดคือเมื่อตายไปแล้วยังทิ้งชื่อเสียงที่ดีงามเอาไว้ในประวัติศาสตร์ แต่กลับไม่รู้เลยว่าหากไม่เป็นอมตะ ทุกอย่างที่วาดฝันก็เป็นแค่ภาพมายา พวกคนอย่างหลิวจงก็เอาแต่มุ่งไปในด้านการใช้กำลังเท่านั้น ยิ่งไม่มีค่าพอให้พูดถึง
น่าเสียดายก็แต่จ้งชิว
สหายที่เคยร่วมเป็นร่วมตายกันมาในอดีตคนนี้กลับขังตัวเองไว้ในสถานที่แห่งเดียว
ทิศทางที่อวี๋เจินอี้ก้าวเดินไปเป็นไปตามใจปรารถนา ก้าวย่างเล็กใหญ่ไม่เท่ากัน ตอนเป็นเด็กก้าวเดินไม่ต่างจากคนธรรมดาทั่วไป ตอนโตมาหนึ่งก้าวพุ่งไกลหลายสิบจั้ง แต่กลับไม่เคยเดินออกจากทิศทางใดทิศทางหนึ่งไกลเกินไป บางครั้งก็เดินเลียบไปตามวิถีโคจรขนาดใหญ่ที่มองไม่เห็น
ภาพนี้ทำให้พวกแม่ทัพฝ่ายบู๊ผู้มีคุณูปการของแคว้นหนันเยวี่ยนซึ่งพาทหารมาเฝ้าอยู่ตามตำแหน่งต่างๆ รู้สึกอกสั่นขวัญผวา กลัวว่าตัวเองจะดวงซวย อวี๋เจินอี้เลือกฝ่าวงล้อมจากตำแหน่งของตนพอดี เมืองหลวงอยู่ใกล้แค่นี้ หันหน้าไปก็มองเห็น นี่หมายความว่าฮ่องเต้มองเห็นความเคลื่อนไหวของที่แห่งนี้ทั้งหมด หากอวี๋เจินอี้ตัดสินใจว่าจะฝ่าวงล้อมออกไปในคืนนี้ ใครจะกล้าทำตัวขี้ขลาดหลบเลี่ยงการรบ?
ไม่มีใครรู้สึกว่าการระดมกำลังทหารกล้าเกือบหมื่นนายของเมืองหลวงหนันเยวี่ยนมาล้อมโจมตี ‘เด็กน้อย’ คนหนึ่งเป็นเรื่องที่น่าหัวเราะ
ใครจะจินตนาการได้ว่าศึกของปรมาจารย์สองคนก็สามารถทำให้ภูเขากู่หนิวทั้งลูกหายไป เรือนกายของพวกเขามีเลือดมีเนื้อ เพียงแค่เชี่ยวชาญในกลยุทธ์การรบเท่านั้น หากตายท่ามกลางสงครามบนสนามรบ พวกเขาอาจจะไม่รู้สึกเสียใจ แต่หากต้องตายภายใต้การดีดนิ้วครั้งเดียว หรือภายใต้การโบกชายแขนเสื้อครั้งเดียวของเทพเซียนเหล่านี้เล่า? บางทียังไม่ทันได้เห็นเงาร่างของอีกฝ่าย พวกเขาก็อาจตายไปแล้ว เหลือไว้เพียงโครงกระดูกกองโต มารดามันเถอะ แบบนี้มันหมายความว่าไง?!
อวี๋เจินอี้ไม่ได้สนใจความคิดของพวกทหารแคว้นหนันเยวี่ยนจริงๆ
ตอนนี้บุคคลที่เขาเก็บมาใส่ใจอย่างแท้จริงมีแค่สองคน ‘ถงชิงชิง’ ที่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เคยลงมือมาก่อน ตอนที่อยู่บนหัวกำแพง เมื่อนางดึงกระบี่เล่มนั้นออกจากมาผิวกระจกที่ปริแตก ขนาดอวี๋เจินอี้ก็ยังสัมผัสได้ถึงอันตรายเสี้ยวหนึ่ง
บุคคลที่ทำให้อวี๋เจินอี้รู้สึกหวั่นเกรงยิ่งกว่านาง แน่นอนว่าต้องเป็นเฉินผิงอันที่สังหารมารเฒ่าติงไปซึ่งๆ หน้า
อวี๋เจินอี้ไม่กลัวการโอบล้อมอย่างแน่นหนาของกองทัพใหญ่ ถึงขั้นไม่กลัวการไล่ฆ่าจากถงชิงชิง
มีเพียงเฉินผิงอันเท่านั้นที่อวี๋เจินอี้ไม่กล้าประมาท
ส่วนข้อที่ว่าเหตุใดเฉินผิงอันถึงไม่ขัดขวางการดึงดูดปราณวิญญาณของตน ปล่อยให้ขอบเขตของตนไต่ทะยานขึ้นอย่างมั่นคง อวี๋เจินอี้คิดเป็นร้อยตลบก็ยังไม่เข้าใจ
หรือว่าเมื่อผ่านการต่อสู้กับติงอิง เฉินผิงอันได้รับบาดเจ็บสาหัสจนกลายเป็นเพียงหมอนปักลายบุปผาแล้ว?
ดังนั้นตอนที่เฉินผิงอันหยุดยืนก่อนเดินเข้าเมือง แท้จริงแล้วเป็นแค่การแสร้งข่มขู่เพื่อตบตาทุกคนบนหัวกำแพงเท่านั้น?
อวี๋เจินอี้หยุดเดิน มองไปทางเมืองหลวง มองเค้าโครงของเมืองใหญ่ภายใต้แสงจันทร์ สุดท้ายเขาก็เลือกล้มเลิกความคิดหยั่งเชิงไป หากเฉินผิงอันร่วมมือกับหอจิ้งซินและจ้งชิว นั่นต่างหากถึงจะเป็นหายนะที่แท้จริง ถึงเวลานั้นด้วยสันดานหญ้าบนยอดกำแพง (เหมือนสุภาษิตไทยว่านกสองหัว) ของถังเถี่ยอี้และเฉิงหยวนซาน จะต้องขับเรือตามลม หันไปเข้าพวกกับแคว้นหนันเยวี่ยนอย่างแน่นอน
อวี๋เจินอี้กลับไปที่กระท่อม ยื่นมือออกมา ฝ่ามือลูบผ่านตัวกระบี่บินแก้วไปเบาๆ
ตอนนี้เขาสามารถทำตัวเหมือนเซียนที่ขี่กระบี่ทะยานไปไกลได้แล้ว เพียงแต่ว่าเมื่อเทียบกับอิสระเสรีที่แท้จริงซึ่งบันทึกไว้ในตำรา กลับยังห่างชั้นอยู่มาก ไม่สามารถบินได้สูงนัก แล้วก็ไม่สามารถบังคับลมบินไปไกลเกิน ช่างเป็นเรื่องที่น่าเสียดายอย่างยิ่ง
อวี๋เจินอี้กวาดตามองด้านบน มองดวงจันทร์บนฟ้า สักวันหนึ่งตนจะสามารถขี่กระบี่อยู่เหนือศีรษะคนบนโลก ก้มหน้าลงมองภูเขาและแม่น้ำ ผู้ที่อยู่สูงกว่าข้ามีเพียงตะวันจันทราและดวงดาวเท่านั้น
อวี๋เจินอี้พลันหลุบตาลงต่ำ บนหัวกำแพงแตกพังที่ยังซ่อมไม่เสร็จเรียบร้อยแห่งนั้น มองไม่เห็นโฉมหน้าของคนที่มาเยือนอย่างชัดเจน แต่ในสายตาของอวี๋เจินอี้กลับเห็นเป็นประกายแสงส่องสว่างกลุ่มหนึ่งที่ขัดตาเป็นพิเศษ
อวี๋เจินอี้หัวเราะหยัน “มาแล้วรึ?”
บนหัวกำแพงเมือง นักพรตหญิงอายุน้อยคนหนึ่งที่ด้านหลังสะพายกระบี่นั่งขัดสมาธิอยู่บนป้อมยิงธนู มือข้างหนึ่งถือหม้อดินที่ยังมีไอร้อนลอยกรุ่น กลิ่นหอมตลบอบอวล มืออีกข้างจ้วงตะเกียบรวดเร็วราวกับบิน กินไปพลางพูดไปด้วย “โอ้มารดาข้า เจ้านี่มันอร่อยจริงๆ แค่เผ็ดไปหน่อยเท่านั้น ไม่ได้ๆ คราวหน้าจะกินทีเดียวสองชามไม่ได้แล้ว”
ประตูเมืองด้านล่างมีทหารม้าหลายนายควบม้าห้อทะยานออกมาเพื่อส่งข่าวทางการทหารซึ่งเป็นพระราชโองการฉบับหนึ่งที่ฮ่องเต้ทรงออกด้วยตัวเอง
กองทหารรักษาพระองค์และทหารรักษาการณ์ประจำเมืองหลวงสามกอง นอกจากกองทัพใหญ่ที่รับผิดชอบเฝ้าพิทักษ์ประตูเมืองทางทิศใต้แล้ว กองอื่นที่กระจายตัวกันอยู่ตามจุดต่างๆ ล้วนถอยไปด้านหลังยี่สิบลี้
คล้ายเว้นพื้นที่ว่างไว้ให้ใครบางคน
ใครที่ว่านั้นก็คืออวี๋เจินอี้และนักพรตหญิงหน้าตางามเลิศล้ำบนหัวกำแพงเมืองผู้นี้
หวงถิงก้มหน้าก้มตาสวาปาม บางครั้งเงยหน้ามองไปทางภูเขากู่หนิว หากอวี๋เจินอี้เผ่นหนีไปเวลานี้ นางคงจนปัญญาที่จะไล่ตามไปได้ทัน
วางหม้อดินใบนั้นไว้ข้างกาย วางตะเกียบคู่หนึ่งไว้บนหม้อดินเบาๆ หวงถิงนักพรตหญิงแห่งภูเขาไท่ผิงลุกขึ้นยืน ตบท้อง พูดอย่างคนเสียใจภายหลังว่า “กินอาหารมื้อดึกเยอะเกินไปแล้ว แบบนี้น้ำหนักจะไม่ขึ้นมาอีกสองจินหรือ เฮ้อ ฝานกว่านเอ่อร์ ถ้วยข้าว? อย่างเจ้าน่ะต้องเรียกว่าถังข้าวถึงจะถูก…” (เปรียบเปรยถึงคนที่กินจุ ภายหลังยังมีอีกความหมาย หมายถึงคนที่ไม่มีความสามารถ)
รอจนกองทหารของหนันเยวี่ยนที่ติดอาวุธพรั่งพร้อมทั้งสามกองเริ่มเคลื่อนย้ายจุดปักหลัก
สายตาของนักพรตหญิงหวงถิงที่ฉายประกายคมปลาบก็จ้องมองไปทางอวี๋เจินอี้ นางเช็ดปาก พูดเบาๆ ว่า “คาดว่าหลังจบศึกครั้งนี้คงกลับมาผอมได้อีกครั้ง”
……
เฉินผิงอันที่นอนหลับอยู่บนหลังคาสะดุ้งตื่นเพราะเสียงดังสนั่นจากนอกเมือง ทอดสายตามองไกลไปทางทิศใต้ก็เห็นว่ามีประกายแสงกระบี่สองเส้นตัดสลับกัน สาดสะท้อนแสงเจิดจ้า
คือกระบี่บินแก้วของอวี๋เจินอี้กับกระบี่ที่เอาออกมาจากในกระจกของหวงถิง
เฉินผิงอันไม่ได้กลับที่พักไปเอาปราณยาว แต่หยิบหนึ่งกระบี่หนึ่งดาบออกมาจากกระบี่บินสืออู่ เอามาแขวนไว้ข้างเอวซ้ายขวา นั่นคือกระบี่ยาวชือซินซึ่งเคยเป็นของโต้วจื่อจือ และดาบแคบหยุดหิมะที่สืบทอดกันมาหลายรุ่นของป้อมอินทรีบิน
จากนั้นก็พุ่งทะยานออกไป เงาร่างประหนึ่งก้อนเมฆที่ล่องลอย
จ้งชิวมายืนอยู่บนหัวกำแพงนานแล้ว เฉินผิงอันจึงมาหยุดยืนอยู่ข้างกายราชครูแคว้นหนันเยวี่ยนผู้นี้
เฉินผิงอันถาม “ตีกันแล้วหรือ?”
จ้งชิวพยักหน้ารับ “เดิมทีหวงถิงคือผู้ฝึกตนเหมือนที่บ้านเกิดเจ้า จึงมีสัมผัสที่เฉียบไวต่อปราณวิญญาณเหนือกว่าพวกเราหลายเท่า”
เฉินผิงอันกล่าว “นางรู้สึกว่าหากปล่อยให้อวี๋เจินอี้ดึงปราณวิญญาณมาเหมือนปลาวาฬสูบน้ำแล้วจะสู้เขาไม่ได้?”
จ้งชิวกล่าวอย่างจนใจ “เปล่าเลย หากเป็นเช่นนั้นหวงถิงคงลงมือตั้งนานแล้ว ตามคำบอกของนางคือจงใจรอให้อวี๋เจินอี้กินอิ่มเสียก่อน นางค่อยลงมือ เวลาอวี๋เจินอี้แพ้จะได้ไม่มีข้ออ้าง”
เฉินผิงอันไม่อาจเข้าใจความคิดของนักพรตหญิงแห่งภูเขาไท่ผิงคนนี้ได้เลย การเข่นฆ่าที่ตัดสินเป็นตาย เรื่องที่ต้องละเอียดรอบคอบและคิดเล็กคิดน้อยให้เยอะ ทำไมพอไปอยู่กับนางถึงกลายเป็นเหมือนการละเล่นของเด็กได้ขนาดนี้
เฉินผิงอันนึกย้อนกลับมามองตัวเอง ศึกบนถนนใหญ่ นับตั้งแต่หม่าเซวียน สตรีอุ้มผีผา ใบหน้ายิ้ม นอกจากที่ต้องคอยหยั่งเชิงความตื้นลึกหนาบางของใต้หล้าแห่งนี้อยู่ตลอดเวลาแล้ว เขายังต้องคอยอำพรางฝีมือที่แท้จริงครั้งแล้วครั้งเล่า จากนั้นค่อยวางแผนเล่นงานลู่ฝ่างแห่งภูเขาเหนี่ยวคั่น สุดท้ายเป็นจ้งชิวกับติงอิง มีก้าวไหนบ้างที่ไม่เดินอย่างระมัดระวัง มีหมัดไหนบ้างที่ไม่ปล่อยออกไปอย่างหนักแน่นมั่นคง
แม้จะไม่เข้าใจความคิดของนางนัก แต่ในหัวใจของเฉินผิงอันกลับรู้สึกเลื่อมใสและอิจฉาหวงถิงผู้นี้ ท่องอยู่ในยุทธภพ คนที่ทำอะไรก็ตามโดยไม่คำนึงถึงผลลัพธ์และความเป็นความตาย ก็ดูเหมือนว่าควรจะ…ไม่กลัวตายเช่นนี้
เฉินผิงอันพูดกับจ้งชิวเกี่ยวกับเรื่องตำราการสร้างสะพาน จ้งชิวยิ้มรับปากว่าจะช่วยหามาให้เขา
จากนั้นก็พูดถึงเรื่องเกี่ยวกับสตรีอุ้มผีผาและบัณฑิตยากจนสกุลเจี่ยงผู้นั้น
สำหรับราชครูของแคว้นหนึ่งแล้ว การตามหาบัณฑิตที่อยู่ในเมืองหลวงซึ่งมาร่วมสอบเคอจวี่เป็นเรื่องเล็กเช่นกัน แต่จ้งชิวไม่ได้ตอบรับทันที แต่ถามหนึ่งคำว่า “เจ้าแน่ใจว่าจะไปพบบัณฑิตคนนั้น?”
เฉินผิงอันตอบ “พบหรือไม่พบ ถึงเวลานั้นค่อยว่ากันอีกทีเถอะ”
จ้งชิวถึงได้พยักหน้าตอบรับ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น