ท่านเทพมาแล้ว 323-335

 บทที่ 323 ต้องมนตร์

โดย

Ink Stone_Romance

เหลียงชิวฉานอยู่คัดลอกพระธรรมเป็นเพื่อนหัวชิงนานแล้ว


หัวชิงขีดๆ เขียนๆ มาได้สิบกว่าแผ่น ทว่านางกลับเขียนได้ไม่เต็มสามแผ่นดีนัก


แสงจากตะเกียงน้ำมันเคลื่อนไหวอยู่บนโต๊ะหนังสือ นางรู้สึกราวกับวิญญาณของนางก็สั่นไหวไปด้วยเช่นกัน


สิบกว่าวันมานี้ มือที่เคยเต็มสมบูรณ์ของนางเวลานี้ผอมบางจนเห็นกระดูกแล้ว ทุกคนล้วนบอกว่านางผอมยิ่งนัก นอกจากยิ้มรับแล้ว นางก็ไม่อาจเอ่ยอะไรออกไปได้อีก


คำพูดของหลินเจี้ยนหรูเหมือนกับใบมีดที่ปักลงไปบนใจนาง ความจริงแล้วนางก็ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงหลงรักเขาได้ ชัดเจนว่าแต่ไหนแต่ไรนางไม่เคยอยู่ในสายตาเขาเลย ชัดเจนว่าเขาเหยียบย่ำทำร้ายนาง…นางคิดว่าตนเองเสียสติไปแล้ว ดันมาหลงรักคนที่ไม่สมควรจะรักที่สุด


“เจ้าเป็นอะไร?” หัวชิงขมวดคิ้วมองนาง ดวงหน้าดุดันอย่างเห็นได้ชัด


ความเอ็นดูของเขายามที่นางกลับมากับความขัดใจที่มีต่อนางตอนนี้ ความต่างที่ว่าเกิดขึ้นภายในสิบวันเท่านั้น


บางทีสำหรับคนที่อบอุ่นเช่นเขา การปันใจของนางอาจหมายถึงการหักหลังก็ได้เช่นกัน เพราะเขาก็เป็นผู้ชายคนหนึ่ง


เหลียงชิวฉานไม่โกรธ


นางเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนวางพู่กันลงแล้วเอ่ยขึ้น “ข้าสามารถขอร้องท่านเรื่องหนึ่งได้หรือไม่เจ้าคะ”


“เรื่องอะไร?” หัวชิงยกพู่กันขึ้นจุ่มหมึก ถามอย่างเย็นชา


นางลุกขึ้น คุกเข่าลงบนพื้น “ข้าอยากให้ท่านปล่อยหลินเจี้ยนหรูไป”


อากาศในห้องพลันเย็นยะเยือก


นางก้มหน้ามองพื้น มือทั้งสองกำแน่นเป็นหมัด


ฟ้ารู้ว่านางต้องใช้ความกล้าไปเท่าไหร่ในการเอ่ยคำนี้ แต่นางกลับไม่เสียใจภายหลัง


คิดเสียว่านางติดค้างเขา


ในเมื่อเขากัดฟันยืนกรานปฏิเสธไม่อยู่เคียงคู่นาง นางจะทำเช่นไรได้?


มองเขาตายไปในถ้ำนั้นแล้วอย่างไร?


นางคงไม่ได้มีความสุขเพราะสิ่งนี้


“ไม่ได้!” หัวชิงเอ่ยเสียงดัง พู่กันในมือกระทบลงบนโต๊ะอย่างรุนแรง น้ำหมึกบนปลายพู่กันสาดกระเซ็นเปื้อนมือและเสื้อของเขาเป็นจุดๆ “พลังบำเพ็ญของคนผู้นี้เพิ่มขึ้นก้าวกระโดดอย่างไร้สาเหตุ จะปล่อยไปได้อย่างไร?”


“แต่ท่านอาจารย์ก็เคยบอกมาก่อนว่าพลังวิญญาณในร่างเขาบริสุทธิ์ และไม่ใช่พลังมาร อีกทั้งบนสวรรค์ยังแวดล้อมไปด้วยเหล่าทวยเทพ เขาปฏิบัติงานอยู่บนนั้นถึงสองปี ผลงานดี ไม่เคยประพฤติตัวไม่เหมาะสม หากจะมีพลังบำเพ็ญเพิ่มขึ้นมากก็ไม่ใช่จะเป็นไปไม่ได้!” พลังบำเพ็ญของเขามีมากขนาดไหนนางไม่สนใจ ทุกวันเขาคลุกคลีอยู่กับเหล่าเทพเซียน จะเปลี่ยนไปเป็นคนเลวได้อย่างไรกัน?


“เขามีความประพฤติไม่เหมาะสมหรือไม่ เจ้าจะรู้ได้อย่างไร?” หัวชิงจ้องนางเขม็ง “มิใช่ว่าเขาทำเรื่องผิดธรรมนองคลองธรรมกับเจ้าหรอกหรือ? ที่ข้าไปจับเขาถึงสวรรค์ก็เป็นเพราะโกรธแค้นแทนเจ้า”


“ท่านเข้าใจผิดแล้ว!” นางส่ายหน้า “อาจารย์ปกป้องศิษย์ ตัวศิษย์ซาบซึ้งในบุญคุณยิ่ง แต่เขาไม่ใช่คนแบบนั้น…เขามีความสัมพันธ์อันดียิ่งกับคนรอบข้างบนสวรรค์ ได้รับความช่วยเหลือจากเหล่าเซียนก็เป็นเรื่องปกติ! อาจารย์โปรดช่วยละเว้นสักเรื่อง ไม่ทรมานเขาเพราะความเข้าใจผิด!”


หัวชิงยืนขึ้นมา “เจ้าถูกเขาล่อลวงแล้วหรือ?!”


เหลียงชิวฉานไม่ตอบ


บางทีอาจเพราะนางติดค้างเขากระมัง หลินเซี่ยและจีหย่งฟางก็ติดค้างเขา พวกเขาตายแล้ว ส่วนนางยังคงติดค้างเขาอยู่ กรรมนั้นจึงตกมาที่นาง


สวรรค์ยังมีตาอยู่บ้าง ใครต่างก็หนีไม่พ้น


“ข้าก็ไม่รู้ว่าทำไมข้าถึงเป็นเช่นนี้ แต่ข้ารู้ว่าหากอาจารย์ไม่ปล่อยเขาไป เช่นนั้นข้าก็ยินยอมไปอยู่เป็นเพื่อนเขา อาจารย์กักขังเขาไว้นานเท่าไหร่ ข้าก็จะอยู่เป็นเพื่อนเขานานเท่านั้น ฉานเอ๋อร์สำนึกในบุญคุณที่อาจารย์สั่งสอนเลี้ยงดูมาหลายปี แต่ฉานเอ๋อร์อกตัญญูนัก ฉานเอ๋อร์ขอโขกศีรษะให้ท่าน” นางโขกศีรษะลงพื้นครั้งแล้วครั้งเล่า โขกเสียจนพื้นสั่นไหว


“เจ้าเสียสติไปแล้ว!”


หัวชิงตะคอกนาง “เขาเป็นเพียงลูกนอกสมรสเท่านั้น ไม่มีอนาคต เรื่องที่เจ้าทำเมื่อก่อนนั้น เขาก็คงไม่อาจเก็บมาใส่ใจกระมัง? เจ้าอยู่กับเขาจะลงเอยดีได้อย่างไร!”


“ข้าเพียงขอให้ท่านปล่อยตัวเขา!” นางร้องขอ เรื่องนี้เป็นคนละเรื่องกับการได้ครองคู่กับเขา ต่อให้เขาต้องการนางหรือไม่ นางก็ยังคงร้องขออยู่ดี


หัวชิงกัดฟันจ้องนาง พูดไม่ออกอยู่เนิ่นนาน


วันนี้เป็นวันที่สามหลังจากเหลียงชิวฉานจากไป นอกจากนางแล้วยังคงไม่มีใครมาที่ถ้ำลมหนาว


แต่ยามที่หลินเจี้ยนหรูคิดว่าเขาจะต้องตายอยู่ที่นี่จริงๆ แล้ว ที่ประตูพลันมีคนปรากฏตัว คนที่นำมาคือหัวชิง ตามด้วยผู้อาวุโสของสำนักแรกพยับสองคน


พวกเขาไม่เอ่ยสิ่งใดเลย หลังจากจ้องมองเขาอยู่นานก็คลายมนตร์ที่พันธนาการกายเขาอยู่ รวมทั้งเขตพลังด้วย


หลินเจี้ยนหรูปีนขึ้นมาจากน้ำ มองพวกเขาเดินหายไปจากประตูถ้ำอย่างเงียบๆ


เขาออกไปข้างนอกอย่างรวดเร็วโดยไร้ซึ่งอุปสรรค เมื่อมาถึงริมผา พอขึ้นขี่เมฆก็ยังคงไร้อุปสรรค


จนถึงบัดนี้เขาจึงค่อยเชื่อว่าเขาได้รับอิสระอย่างแท้จริงแล้ว!


หัวชิงปล่อยเขาแล้ว?


หลินเจี้ยนหรูมุ่งตรงกลับสวรรค์


ไม่ได้กลับไปขอบคุณหัวชิงอีก


หลังจากหลินเจี้ยนหรูกลับมาได้วันหนึ่ง มู่จิ่วก็รู้ข่าวแล้ว คนในทัพสวรรค์มากมายเช่นนี้ ปกติเพียงเจ้าใส่ใจ จะหาคนที่คุ้นเคยสักคนสองคนก็ไม่ใช่เรื่องยาก


แต่นางก็ไม่ได้ไปหาหลินเจี้ยนหรู เป็นห่วงกับเป็นเพื่อนคือคนละเรื่องกัน ทั้งสองไม่ได้ติดต่อกันอีก นางยังคงห่วงใยเขาและไม่ได้โกรธเคือง เหตุที่ไม่เป็นเพื่อนกับเขาเพราะวิถีของเขา นางไม่อาจเห็นด้วยได้ แต่ที่นางห่วงใยเขาเป็นเพราะเห็นแก่ความลำบากที่เขาประสบมา


ยังไม่มีข่าวใหม่จากพวกชิงเสีย ไม่รู้ว่าแอบออกมาคราวก่อนถูกจับได้หรือไม่ หากหลิวหยางรู้เข้าคงถูกตำหนิเป็นแน่ จึงอดกังวลแทนนางไม่ได้ มู่จิ่วเตรียมขนมที่พวกนางชอบกินไว้ก่อนเนิ่นๆ เมื่อชิงเสียออกมาได้อีกเมื่อไหร่ค่อยเอาไปให้


วันนี้เพิ่งซื้อผลไม้เซียนกลับมา กำลังกินไปพลางดูคดีไปพลางอยู่ที่หน่วย หลินเจี้ยนหรูก็พลันเข้ามา


มู่จิ่วกัดลูกท้อทองไปครึ่งคำ นิ่งอึ้งอยู่นานถึงได้ลุกขึ้น


“เจ้ากลับมาแล้ว?” นางโบกมือให้ลูกน้องรินชา


หลินเจี้ยนหรูยกมุมปาก “เจ้ารู้หรือว่าข้าไปที่ไหน?”


มู่จิ่วไม่รู้จะตอบอย่างไรดี รู้สึกอึดอัดใจอยู่บ้าง จึงดันถาดผลไม้ไปข้างหน้า


ไม่เจอกันหลายสิบวัน เขาผอมลงบ้างอย่างชัดเจน บาดแผลบนไหล่ก็คงยังไม่หายดี ยามขยับดูลำบากอยู่บ้าง แต่พลังวิญญาณบนร่างกลับเต็มสมบูรณ์ ไม่อาจเปรียบกับเขาเมื่อก่อนได้…


“เจ้าเลื่อนขั้นอีกแล้วหรือ?”


ตอนที่หลินเจี้ยนหรูกลับออกมาจากนรก ความสนใจทั้งหมดของมู่จิ่วอยู่ที่อู่หลานเอ๋อร์ และไม่ได้สนใจเขานัก วันนั้นเขากับเหลียงชิวฉานทะเลาะกัน นางก็สนใจเพียงเรื่องที่พวกเขาบาดหมาง จนถึงตอนนี้เห็นเขาชัดๆ จึงสังเกตได้


“ก่อนหน้านี้เกิดปาฏิหาริย์ขึ้น เลยได้รับประโยชน์มาไม่น้อย” หลินเจี้ยนหรูเตรียมรับมือเรื่องนี้ไว้นานแล้ว เพราะเดิมทีก็ตั้งใจปกปิดเรื่องติดต่อกับชายชุดเขียว ดังนั้นจึงตอบได้อย่างเป็นธรรมชาติ “เจ้าก็รู้ว่าบนสวรรค์มีแต่ทวยเทพ เพียงชี้แนะอย่างส่งเดชก็ส่งผลดีต่อข้าอย่างมากแล้ว”


มู่จิ่วไม่ได้เอ่ยอะไร


ตอนนี้เขาพูดอะไรนางก็ไม่ใคร่เชื่อนัก นอกเหนือจากเหตุผลนี้ นางก็ยังคิดไม่ออกถึงความเป็นไปได้อื่น เขาไม่เหมือนกับนาง ปกติออกไปข้างนอกบ่อยมาก จึงพบเจอเรื่องประหลาดมากมาย


บรรยากาศก็เงียบลงไปเช่นนี้


ในเมื่อเขาไม่ได้เล่าออกมา นางก็ไม่กล้าซักถามต่อ


…………………………………………………


บทที่ 324 คับแค้นใจ

โดย

Ink Stone_Romance

ดีที่หลินเจี้ยนหรูก็รู้ตัว จึงเอ่ยขึ้น “หลายวันก่อนข้ากลับไปสำนักแรกพยับ”


มู่จิ่วตอบรับคำหนึ่ง


เขาพูดต่อ “เหลียงชิวฉานไปฟ้องหัวชิง”


มู่จิ่วยังไม่ทันเอ่ยอะไร แน่นอนว่าย่อมไม่ได้แสร้งทำเป็นตกใจ


“ตอนนี้ข้าอยากตัดขาดจากสำนักแรกพยับแล้ว” เขากำหมัดเอ่ย จากนั้นมองนาง “ข้าไม่อาจยุ่งเกี่ยวกับพวกเขาได้อีกต่อไป ถึงแม้ข้าต้องถูกตราหน้าเป็นคนทรยศสำนัก ข้าก็ยอม…เจ้าช่วยข้าได้หรือไม่?”


มู่จิ่วกลั้นลมหายใจ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องเหนือความคาดหมายอะไร


ราวกับการที่เขาออกปากขอร้องนางเป็นเรื่องปกติไปแล้ว


นางครุ่นคิดก่อนตอบ “เรื่องของเจ้ากับสำนัก เจ้าจัดการเองเถอะ”


หลินเจี้ยนหรูชะงักเล็กน้อย แล้วจึงเอ่ย “ข้าเพียงอยากให้เจ้าไปพูดกับหวังหมู่เหนียงเหนียง…”


มู่จิ่วไม่รอให้เขาพูดจบ ก็ยกมือขึ้นหยุดเขา “เรื่องนี้ข้าช่วยไม่ได้”


“มู่จิ่ว!”


น้ำเสียงของหลินเจี้ยนหรูมีแววอ้อนวอน


มู่จิ่วถอนหายใจเบาๆ พูดว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าลำบากมาก และรู้ว่าเจ้าพยายามพัฒนาตนเอง แต่เรื่องนี้เกินมือของข้าไปมาก หลินเจี้ยนหรู ข้าไม่ใช่พระโพธิสัตว์ ไม่สามารถช่วยเหลือได้ทุกเรื่อง ข้าเป็นเพียงเจ้าหน้าที่บนสวรรค์ผู้ต้อยต่ำ เหนียงเหนียงให้เกียรติข้า ข้าถึงมีหน้ามีตา หากนางไม่ไว้หน้าข้าข้าก็ไร้ค่า ดังนั้นไม่ว่าเจ้าให้ข้าไปขอร้องให้นางทำอะไร โปรดอภัยด้วยที่ข้าไม่มีหนทางทำได้”


หลินเจี้ยนหรูมองนาง ราวกับกลายเป็นหินไปแล้ว


“ทำไม?” นานนักกว่าเขาจะถามออกมา


มู่จิ่วรู้ดีว่าคำถามนี้หมายถึงอะไร


นางปฏิเสธคนน้อยมาก ไม่ต้องพูดถึงว่านางเข้าใจความลำบากของเขา หากนางไม่รู้ เพียงแค่เป็นเพื่อนร่วมงานนางก็พร้อมจะยื่นมือเข้าช่วยแล้ว


แต่ครั้งนี้ ส่วนหนึ่งนางไม่อยากไปขอความช่วยเหลือจากหวังหมู่อย่างส่งเดช อีกส่วนคือนางไม่อยากช่วย


เขาฉลาดหลักแหลม แน่นอนว่าย่อมสัมผัสได้


มู่จิ่วก็ไม่คิดปิดบัง หยิบผลไม้เซียนมาหมุนในมือ ก่อนเอ่ย “ช่วงนี้ข้ายุ่ง และข้าก็ไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องบุญคุณความแค้นของพวกเจ้า ข้าเป็นคนนอก”


แววตาของหลินเจี้ยนหรูมีเงาดำพาดผ่าน


เขากลืนน้ำลาย หัวเราะพร้อมพูด “คำว่าคนนอกนี้หมายถึงข้าหรือไม่?” พูดจบก็ไม่เว้นช่วงให้มู่จิ่วพูด เขาเอ่ยต่อทันที “หรือเป็นเพราะเหลียงชิวฉาน? ที่จริงเรื่องของข้ากับนางไม่ได้เป็นอย่างที่เจ้าคิด”


“ข้ารู้” มู่จิ่วบีบผลไม้ มองเขาอย่างไม่หลบเลี่ยง “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับผู้ใดทั้งนั้น ข้าเพียงบอกจุดยืนของข้าเท่านั้น เรื่องที่ข้าทำไม่ได้ข้าย่อมต้องปฏิเสธ ไม่ใช่เรื่องดีนักถ้ายินยอมรับเรื่องทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร และเกรงว่าเจ้าจะประเมินข้าสูงไปแล้ว”


คำปฏิเสธ เมื่อพูดออกมาแล้วก็ไม่ได้ยากอะไรขนาดนั้น


นางไม่ได้โกรธเขา แต่จะบอกว่าการกระทำของเขาไม่ส่งผลต่อการตัดสินใจของนางก็ไม่ถูกนัก


นางปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความจริงใจ ไม่ว่าจะปกป้องหรือดูถูก ไม่เคยเสแสร้ง แต่ก็ยังไม่ดีถึงขั้นยอมรับทุกอย่างไม่ว่าเขาจะปฏิบัติอย่างไรกับนาง ความใจดีของนางก็มีเงื่อนไขเช่นกัน


แต่ไหนแต่ไรนางไม่อาจใจกว้างกับคนที่ทำร้ายหรือหลอกลวงนาง อย่างเช่นพวกสำนักตะวันอำพรางอันคร่ำครึหรือจีหย่งฟาง รวมถึงหยางอวิ้นและอวี๋เสี่ยวเหลียน


หากผู้อื่นปฏิบัติต่อนางด้วยความจริงใจ นางยิ่งตอบแทนเขาด้วยชีวิต


แต่เขากลับปิดบังเรื่องที่เขาทำกับเหลียงฉิวฉานกับนางมาตลอด…


หากเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับนางก็ช่างเถอะ แต่เหลียงชิวฉานจงใจมาหานาง ทั้งยังจะตบนางอีก


…นางก็บอกไม่ถูกถึงความรู้สึกนี้ และไม่กล้าตัดสินถูกผิดด้วย


เพียงแค่รู้สึกไม่สบายใจ


ไม่สบายใจจริงๆ


หลินเจี้ยนหรูนิ่งเงียบอยู่นาน


มู่จิ่วไม่มองเขา หยิบผลไม้ส่งเข้าปาก แล้วกลืนลงไปอย่างช้าๆ


หลินเจี้ยนหรูยืนขึ้นมาจ้องนางเขม็ง เม้มปากแน่น แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไร ก่อนจะหมุนตัวจากไป


มู่จิ่วไม่กล้าบอกว่าตัวเองทำเหมือนเขาเป็นคนแปลกหน้า เพียงแต่ปล่อยวางแล้ว


แต่ก่อนยังหวังว่าเขาจะกลับตัวมาเดินทางสายธรรมได้ เอาความเชื่อใจและความหวังดีสุดท้ายมอบให้เขาไป แต่ตอนนี้ล้มเลิกแล้ว


หลินเจี้ยนหรูมุ่งตรงไปยังประตูด้านนอก ก่อนหยุดลงที่ใต้ต้นพุทธชาด


ยามหันกลับมามองเข้าไปในห้อง คิ้วเขาขมวดแน่นราวกับเหล็กที่ไม่อาจหลอมละลาย


เขาไม่เชื่อว่าไม่มีเหตุผลอยู่เบื้องหลังพฤติกรรมของนาง แต่เดาไม่ออกว่าเป็นเรื่องใด แม้ความสัมพันธ์ระหว่างเขาและนางจะเป็นเพื่อน แต่ในใจเขามองนางเป็นญาติคนหนึ่งเสียแล้ว


บอกไม่ถูกเช่นกันว่านี่เป็นความรู้สึกแบบใด นอกจากเรื่องนี้แล้ว หลินเจี้ยนหรูยอมรับว่าหวั่นไหวกับนาง เพียงแต่ความจริงบอกกับเขาว่าเรื่องระหว่างเขากับมู่จิ่วเป็นไปไม่ได้ อีกทั้งเขาไม่ได้เป็นคนประเภทที่ละทิ้งทุกอย่างเพื่อความรัก ดังนั้นถึงแม้เป็นเพื่อน สำหรับเขาแล้วนางก็ยังคงสำคัญกว่าเพื่อนเล็กน้อยอยู่ดี


แต่ตอนนี้มู่จิ่วกลับปฏิเสธไม่ช่วยเหลือเขา และไม่ลังเลแม้แต่น้อย นิ่งเฉยราวกับเรื่องที่เขาร้องขอนั้นเป็นเรื่องหนักหนา


เขาคิดไปว่านางคือคนที่ไม่อาจละทิ้งเขาได้ ด้วยแต่ก่อนนางยังสามารถอภัยเรื่องที่เขาสังหารหลินเซี่ยและจีหย่งฟางได้ นางยังคงให้โอกาสเขา ช่วยเขายืมกุญแจจันทรา ไปช่วยอูหลานเอ๋อร์กับเขา ตอนกลับมายังพูดให้เขาตั้งใจฝึกเข้าหาทางธรรม เวลาสั้นๆ เพียงไม่สิบกว่าวัน นางจะเย็นชาไปได้อย่างไร?


เขารู้สึกว่างเปล่า ตอนมารู้สึกอบอุ่น ตอนนี้รู้สึกราวถุงลมที่ถูกปล่อยลมจนหมด


หากบอกว่าชะตาชีวิตของมารดาผู้ให้กำเนิดคือความเจ็บปวดอันล้ำลึกที่เขาแบกอยู่ในใจ เช่นนั้นพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของมู่จิ่วกลับเป็นความเจ็บปวดอีกแบบ


หลินเจี้ยนหรูคิดไม่ตก เขาปล่อยเหลียงชิวฉานไปเพื่อทำสัญญาให้เป็นจริง และไม่ได้แก้แค้นสำนักแรกพยับ อีกทั้งเขายังมีพลังบำเพ็ญและพลังวิญญาณแข็งแกร่งขนาดนี้ ทำได้แบบนี้ก็ไม่นับว่าง่ายแล้ว หรือสิ่งเหล่านี้ไม่อาจแสดงออกได้ว่าเขาให้ความสำคัญกับคำสัญญานั้นแค่ไหน? นี่ไม่อาจยืนยันเรื่องที่เขาจะกลับใจได้อีกหรือ?


เขาคิดว่าสัตย์ซื่อจริงใจกับเพื่อนคนนี้แล้วเสียอีก


ดังนั้นนอกจากเขาจะโกรธแล้ว ยังคับข้องใจอีกด้วย


หรือเขาเกิดมาเพื่อรับการดูแคลนจากผู้อื่น?


จากความทรมานที่เขาได้รับจากสำนักแรกพยับ จะสังหารหลินเซี่ยกับจีหย่งฟางก็สมควรแล้วมิใช่หรือ?


เขาทำไปเพื่อปกป้องตัวเอง แต่พวกเขาล่ะ? พวกเขาไม่เคยมองตนเป็นมนุษย์เลย!


หากมองอย่างเป็นธรรม เขารู้สึกว่าตนเองใจกว้างกับแรกพยับมากแล้ว


หากต้องการล้างแค้น ทุกคนในแรกพยับต้องตายด้วยมือเขา!


“พี่หลิน ทำไมมาอยู่ที่นี่?“


เจ้าพนักงานสองคนมาหยุดอยู่ตรงหน้าและทักทายเขา


หลินเจี้ยนหรูมองพวกเขา เห็นเป็นเพื่อนร่วมงานสองคนในหน่วยลาดตระเวน


แต่ตอนนี้เขาไม่มีใจจะตอบ เพียงพยักหน้าก่อนเดินออกจากประตูไปโดยเร็ว


เหล่าเจ้าพนักงานมองเขาจากไป แล้วค่อยเดินเข้าไปในประตู


หลินเจี้ยนหรูออกจากสำนักบัญชาการ พุ่งตรงไปหอวิหคแดง


เพิ่งเข้าไปในลานสนเขียว ก็เห็นว่าลานบ้านทางด้านตะวันตกกำลังจะย้ายออก ตัวเขาที่ว้าวุ่นใจพลันชะงักเท้าซึ่งกำลังก้าว…เขาจำได้ว่าคนทั้งสี่เป็นศิษย์ลัทธิฉ่านที่เข้ามาทัพทหารสวรรค์พร้อมเขา ช่วงนี้ไม่ได้ข่าวว่าใครจะย้ายเข้ามา แล้วทำไมถึง…


……………………………………………


บทที่ 325 มีคนชอบพอกัน

โดย

Ink Stone_Romance

เขาเดินเข้าไปอย่างเคร่งขรึม บนประตูแขวนม่านไผ่ มีคนสวมเสื้อสำนักแรกพยับเดินออกมาจากด้านใน เมื่อเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นหน้าหลินเจี้ยนหรูพอดี!


เมื่อเห็นดวงตาคู่นี้ หลินเจี้ยนหรูก็หลุดจากอาการชะงักแล้วเริ่มคืนสติกลับมา จากคืนสติกลับมาค่อยเป็นเชื่องช้า จากเชื่องช้าค่อยกลายเป็นเฉยชา สุดท้ายคนผู้นั้นยิ้มเยาะเดินเข้ามาหาหลินเจี้ยนหรู “หลินเจี้ยนหรู หลังจากนี้พวกเราก็อาศัยอยู่ชายคาเดียวกันแล้ว ฝากเนื้อฝากตัวด้วย!”


แววตาของหลินเจี้ยนหรูเย็นชาลงทันที


คนผู้นี้คือหูเจียงเต๋อศิษย์ของฉางหลิวเจินเหริน เป็นหนึ่งในศิษย์ที่เข้ามายังทัพทหารสวรรค์พร้อมกับเขา แต่ก่อนเขาอยู่ลานยอดม่วง ตอนนี้กลับเข้ามาอยู่กับเขาหลังกลับจากสำนักแรกพยับ! เขาขอประกันด้วยหัวตัวเอง หัวชิงส่งมาจับตาดูเขาแน่นอน!


หัวชิงย่อมไม่อาจมองข้ามการเปลี่ยนแปลงในร่างกายเขาไปได้ ตอนนี้พวกเขาคงกำหนดชะตาเขาแล้ว ว่าทั้งชีวิตนี้จะไม่ปล่อยให้ไปลืมตาอ้าปาก!


ในใจเขาโกรธกริ้วนัก มองอีกฝ่ายอย่างเหยียดๆ โดยไม่ได้เอ่ยสิ่งใด และกลับเข้าห้องตนเองไป


“อา พี่เฉิน พี่เสี้ยว! ฝากเนื้อฝากตัวด้วย…”


ด้านนอกยังมีเสียงของหูเจียงเต๋อโหวกเหวกเข้ามา เขากำหมัดแน่น มุ่งตรงเข้าห้องด้านในไป


ยามกลางวันแดดส่องผ่านร่มไม้กระทบลงบนพื้น สะท้อนแสงสีทองเต็มไปหมด


แสงอาทิตย์ก็ส่องผ่านหน้าต่างเข้ามาในห้องเช่นกัน ลู่ยามองผังดวงชะตาที่ด้านหน้า มันไม่มีการเคลื่อนไหวมาร่วมครึ่งชั่วยามแล้ว


หลายวันมานี้เขาว่างยิ่งนัก จึงพินิจพิเคราะห์วิชาอาคมสำหรับสยบพลังวิญญาณในร่างมู่จิ่ว


จะใช้เพียงผนึกศักดิ์สิทธิ์ธรรมดาก็ไม่ได้ หากต้องการปกป้องนางจากการโดนพลังภายในทำร้าย ก็ต้องแน่ใจด้วยว่าพลังวิญญาณส่วนปกติของนางจะไม่ถูกผนึกไปด้วย ยังดีที่เขามีเวลามาก จึงค่อยๆ ลงมือขบคิดไปอย่างสบายๆ ราวกับปักลายดอกไม้ไปทุกวัน และมีผลลัพธ์ออกมาบ้างทีละน้อย แต่ยังห่างไกลกับคำว่าสำเร็จอยู่มาก


“อาจารย์ขอรับ คืนนี้พวกเราต้องไปฝึกควบคุมลมหายใจที่โลกมนุษย์หรือไม่?” รุ่ยเจี๋ยยกถ้วยน้ำแกงเข้ามาอย่างระมัดระวัง จากนั้นวางลงบนมุมโต๊ะเตี้ย


“ไม่ไป ทำไมหรือ?” ลู่ยาเล่นแผ่นหยกขนาดเท่าเล็บมือบนโต๊ะพลางเอ่ยถาม


รุ่ยเจี๋ยกระมิดกระเมี้ยนอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนพูด “หากไม่ไป ข้าอยากไปจับปลาในทะเลสาบติงกับจื่อจิ้งขอรับ”


ทะเลสาบติงคือส่วนหนึ่งของทางช้างเผือกด้านนั้น เต็มไปด้วยปลาเซียนมากมาย บางประเภทส่องแสงได้ ส่วนประเภทที่ว่ายน้ำเร็วทั้งยังกะพริบตาได้นั้นเป็นที่ชื่นชอบของเด็กๆ มาตลอด พวกเขาจับกลับมาเลี้ยง ยามค่ำคืนเมื่อดับแสงโคม จะมองดูปลาในอ่างส่องแสงระยิบระยับ ว่ายไปมาเหมือนแสงที่เคลื่อนผ่านเป็นเส้นๆ ดูแล้วน่าสนุกยิ่งนัก


ลู่ยาก็เคยทำเรื่องเช่นนี้ ดังนั้นจึงไม่คิดห้ามปราม


แต่เขายังบอกว่า “เจ้าไปกับจื่อจิ้ง ไม่กลัวโดนกลั่นแกล้งหรือ?”


“กลั่นแกล้งอะไร? หรือข้าเคยทำเรื่องไม่ดีอะไรไว้?!”


รุ่ยเจี๋ยยังไม่ทันตอบ จื่อจิ้งก็พุ่งเข้ามาในห้องแล้วชี้หน้าตัวเอง โหวกเหวกราวกับนกกา


รุ่ยเจี๋ยรั้งเอวเขาไว้


ลู่ยาไม่ประหลาดใจแม้แต่น้อย เหมือนคาดเดาได้อยู่แล้วว่าเขาต้องเข้ามา เอ่ยว่า “เคยทำเรื่องเลวร้ายมาก่อนหรือไม่ ตัวเจ้ารู้ตัวเองดี หากต้องให้ข้าสาธยายออกมาก็ขายหน้าแย่แล้ว จริงสิ…” พูดถึงตรงนี้เขาก็ช้อนสายตาขึ้นมอง “เจ้าอาศัยอยู่ที่นี่มานานขนาดนี้ ทำไมถึงยังไม่ไปอีก? มั่นใจว่าอาจิ่วของพวกเราไม่กล้าไล่เจ้าหรือ?”


“ยังหาศิษย์พี่จุ่นถีไม่เจอ ข้าก็ไม่ไปแน่นอน!” จื่อจิ้งร้องเสียงดังอย่างไม่กลัวตาย


ลู่ยาชะงักไปนิด ก่อนเอ่ย “เกรงว่าเจ้าจะเสียเวลาเปล่า จุ่นถีมีคนรักแล้ว ข้าว่าเขาคงยังไม่ออกมาช่วงนี้”


“คนรัก?” จื่อจิ้งตะลึงงัน แต่จากนั้นก็พลันอยากรู้อยากเห็นขึ้นมา “หมายความว่าอย่างไร?”


“ข้าไม่บอกเจ้า” ลู่ยากล่าวช้าๆ พลางฝังแผ่นหยกเข้าไปในสายสร้อยทอง


จื่งจิ้งร้อนใจจนแทบลุกเป็นไฟ! เรื่องน่าสนใจขนาดนี้ทำไมเขาถึงไม่รู้? แต่ก่อนเขาก็สนิทสนมกับจุ่นถีอยู่ไม่น้อย จุ่นถีมีคนรักแล้ว ทำไมไม่บอกเขาสักคำ?


เกินไปแล้ว!


“ไม่สิ ท่านรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร!” เขาเดินอ้อมลู่ยาไป หากไม่ถามความจริงเรื่องนี้ให้รู้ความ เขาก็อัดอั้นตันใจนัก! “ท่านไม่ได้พบเขาหลายปีแล้วมิใช่หรือ? ทำไมถึงได้รู้ว่าเขามีคนรักแล้ว?”


“เพราะข้าได้ยินมากับหู” ลู่ยาเลิกคิ้ว พูดอย่างเนือยๆ


“ได้ยินมาจากไหน?” จื่อจิ้งถามอีก


ลู่ยาฝังแผ่นหยกได้สองแผ่นถึงเงยหน้าขึ้น กวักนิ้วเรียกจื่อจิ้ง “เจ้าเข้ามานี่”


จื่อจิ้งกลืนน้ำลาย ยื่นหน้าเข้าไปอย่างระมัดระวัง


ลู่ยาหนีบใบหูของเขาไว้แล้วดึงเข้ามา “เจ้าคงจำเรื่องที่เจ้ากลิ้งเข้าไปในห้องของจุ่นถีคราวก่อนตอนพวกเราไปที่หงชางได้?”


“จะบอกก็บอกสิ! หนีบหูข้าทำไมกัน?!” จื่อจิ้งร้องเสียงดัง สองมือสะบัดตีเขา แต่มือเท้าสั้นเกินไป จะแตะถูกตัวลู่ยาได้อย่างไร?


ถึงรุ่ยเจี๋ยจะเห็นว่าจื่อจิ้งช่างโชคร้ายนัก แต่ก็ไม่กล้าเข้าไปช่วย


ใครจะกล้าเผชิญหน้ากับลู่ยาเล่า?


ลู่ยาเพียงขยับนิดหน่อยจื่อจิ้งก็ลอยแล้ว “ในเมื่อเจ้าพูดเรื่องนี้ขึ้นมาแล้ว ข้าก็อยากถามเจ้าอยู่พอดี วันนั้นตอนเจ้าไปหงชาง เคยได้ยินคนที่ชื่อจื่อเย่ามาหาจุ่นถีถึงที่รึไม่? บอกข้ามาอย่าให้ตกหล่นแม้แต่คำเดียว”


เขาหิ้วจื่อจิ้งไปพลาง อีกมือหนึ่งก็จัดการสร้อยทอง ท่าทางไม่ยี่หระเลยแม้แต่น้อย


ถึงแม้จื่อจิ้งจะโกรธจนควันออกหู แต่เมื่อได้ยินคำถามเขากลับพลันชะงัก “จื่อเย่า?” เขาครุ่นคิดสักครู่ก่อนตอบว่า “คุ้นหูอยู่บ้าง”


“วันนั้นเจ้าก็ได้ยินหัวชิงมารายงานว่าจื่อเย่ามาหา จากนั้นก็เห็นว่าจุ่นถีออกไปใช่ไหม?” ลู่ยายุ่งกับเรื่องของตัวเอง ไม่มองเขาแม้แต่น้อย


ไหนเลยจะรู้ว่าจื่อจิ้งกลับส่ายหน้า “ไม่ใช่! วันนั้นข้าไม่ได้เจอศิษย์พี่จุ่นถีเลย หากข้ารู้ว่าเขาออกไป ข้าจะรั้งอยู่ที่นั่นทำไม?”


ลู่ยาชะงักแล้วหันหน้ามา “เช่นนั้นเจ้าได้ยินชื่อคนผู้นี้มาจากไหน?”


“ท่านปล่อยข้าลงก่อน!” จื่อจิ้งใส่อารมณ์


ลู่ยาจึงปล่อยเขาลงอย่างง่ายดาย


จื่อจิ้งลูบใบหูพลางจ้องมองเขาอย่างโกรธเคือง ก่อนตอบ “ข้าก็จำไม่ได้ว่าได้ยินมาจากที่ไหนและตอนไหน แค่รู้สึกว่าคุ้นหูเท่านั้น แต่น่าจะได้ยินมาจากสวรรค์อันสูงส่ง”


“ไร้สาระ!” ลู่ยาเหลือบมองเขา “เจ้าลงไปโลกมนุษย์สักกี่ครั้ง? ทั้งปีอยู่แต่สวรรค์อันสูงส่ง ไม่ได้ยินที่นั่นแล้วจะได้ยินจากที่ไหน?”


แต่เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ เขาก็ขมวดคิ้ว ได้ยินมาจากสวรรค์อันสูงส่ง?


หรือชื่อปลอมจื่อเย่านี้จะเป็นคนของสวรรค์อันสูงส่ง?


…จริงสิ ก่อนที่จุ่นถีกับเจียอิ่นจะก่อตั้งศาสนาก็อาศัยอยู่บนสวรรค์อันสูงส่งมาตลอด จื่อเย่าสนิทสนมกับจุ่นถีเพียงนั้น หากคนผู้นั้นจะมาจากสวรรค์อันสูงส่งก็เป็นไปได้สูงมาก!


เขาลงจากตั่ง มาตรงหน้าจื่อจิ้ง “เจ้าคิดดีๆ อีกที ได้ยินมาจากที่ไหนกันแน่?”


จื่อจิ้งเห็นอีกฝ่ายจริงจังนักก็สะดุ้งตกใจ ถึงแม้จะไม่พอใจ แต่เมื่อลู่ยาจริงจังขึ้นมาเขาก็ไม่กล้าล้อเล่นอีก ดังนั้นจึงครุ่นคิดอย่างจริงจังอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนตอบ “น่าจะเป็นบนเขาห้าอาวรณ์ มีต้นหลินจือชื่อว่าจื่อเย่า แต่นั่นไม่ใช่สมญานามหรอก เพียงแค่พวกเราผ่านไปที่นั่นบ่อยและเขาก็ไม่มีชื่อพอดี ไม่รู้ว่าใครตั้งให้เขา”


……………………………………………………


บทที่ 326 บังเอิญเจอ

โดย

Ink Stone_Romance

พืชพันธุ์บนสวรรค์อันสูงส่งที่ถือกำเนิดแล้วกลายเป็นเซียน เพียงเข้าทะเบียนเซียนของสวรรค์อันสูงส่ง แต่ไม่ได้บันทึกเรื่องในบันทึกสวรรค์ ตามที่เขาพูดเช่นนี้ บนสวรรค์อันสูงส่งยังมีคนที่ชื่อจื่อเย่าอยู่ ทว่ากลับไม่อยู่ในทะเบียนเซียน และยังสนิทสนมกับจุ่นถีมาก…


ลู่ยาก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาบ้างแล้ว!


เช่นนี้ก็หมายความว่าคนที่ไปหาจุ่นถีเป็นเพียงหลินจือบนสวรรค์อันสูงส่งต้นหนึ่ง


แต่ดีร้ายจุ่นถีก็เป็นศิษย์คนโตของหุนคุน เป็นที่นับหน้าถือตาบนสวรรค์อันสูงส่งเช่นกัน แค่หลินจือต้นเดียวไปหาเขาเท่านั้น ทำไมเขาถึงต้องออกไปพบราวกับเป็นเรื่องสำคัญ ทั้งยังเชิญเข้ามาดื่มชาในเรือนอย่างมีมารยาทอีก? ตามที่จื่อจิ้งเล่ามา หลินจือต้นนั้นไม่มีแม้กระทั่งสมญานาม ไม่รู้ตำแหน่งของจุ่นถีสูงส่งกว่าเขาตั้งมากเท่าไหร่ เหตุใดจึงต้องปฏิบติต่อเขาอย่างมีมารยาทเช่นนั้น?


“ เจ้าแน่ใจนะว่าเขาคือต้นหลินจือ?”


“ไม่น่าจะผิดขอรับ” จื่อจิ้งตอบ “หลินจือต้นนั้นเป็นสีม่วง ปกติมักจะสวมเสื้อคลุมสีม่วง ท่าทางสง่างาม หน้าตาหมดจด จะมีสักกี่คนบนสวรรค์ที่มีชื่อบ้านนอกเช่นนี้?”


ลู่ยามองเขาอย่างพินิจพิเคราะห์ และนิ่งเงียบต่อไป


ในเมื่อเขามั่นใจว่าเป็นหลินจือต้นหนึ่ง เช่นนั้นขอบเขตก็เล็กลงแล้ว แต่เรื่องกลับยิ่งน่าสงสัย


นอกจากเรื่องที่หลินจือต้นนั้นไม่น่าได้รับการปฏิบัติตามมารยาทจากจุ่นถีแล้ว ยังมีปริศนาที่เขาทิ้งไว้ตอนแรกอีก ทำไมจุ่นถีถึงหลบซ่อนตัวไปอย่างรวดเร็วหลังจากที่จื่อเย่ามาหา ทำอย่างกับเขาเป็นตัวโชคร้าย นี่ช่างไม่สมเหตุผลนัก ไม่ว่าจื่อเย่านั่นจะเป็นหลินจือหรือเป็นอย่างอื่น เพียงแค่อยู่บนสวรรค์อันสูงส่ง ก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องเร่งเร้าให้หลบหนีเขาไป


และที่สำคัญที่สุด ทำไมจุ่นถีถึงเชื่อฟังแล้วหลบหนีไป? เขาปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหันเช่นนั้น และจนถึงตอนนี้พวกเขายังคงรักษาการไปมาหาสู่ที่แน่นแฟ้นไว้ ลู่ยาคิดไม่ออกจริงๆ พวกเขาคิดอะไรกันอยู่ถึงได้ใจกล้าหลบลี้หนีจากเขา ทั้งยังอยู่อีกที่หนึ่งอย่างสบายใจ?


คิดว่าจะซ่อนจากสายตาเขาไปได้ตลอดชีวิตหรือ?


เขาตัดสินใจจะไปดูที่หงชางอีกครั้ง


เขาหันกลับมาพูด “ข้าจะออกไปดูหน่อย”


พูดจบก็หายตัวไปจากที่เดิม


เขาเพิ่งก้าวเท้าออกไป มู่จิ่วก็กลับเข้ามาพอดี แต่เดิมคิดจะเล่าเรื่องหลินเจี้ยนหรูให้เขาฟัง ทว่าคลาดกันพอดี


ฝ่ายลู่ยามาถึงหงชางก็สร้างเขตพลังขึ้นมารอบๆ ก่อน จากนั้นนั่งขัดสมาธิลงบนหิน หยิบผลไม้แถวนั้นขึ้นมากัดคำหนึ่ง


จุ่นถีพาคนหนีไปเยอะขนาดนั้น ย่อมต้องหาที่อยู่ใหม่แน่ แต่เขาหาร่องรอยไปทั่วทั้งเก้าทวีปสี่ทะเลอยู่นานก็ยังไม่ได้ข่าว ชัดเจนว่านี่ไม่ปกตินัก มีคนชุดเขียวที่สามารถซ่อนตัวจากสายตาเขาได้คนหนึ่งก็มากพอแล้ว แม้แต่จุ่นถียังทำได้อีก…ถึงจะบอกว่าวิชาอาคมของจุ่นถีแก่กล้าเข้าขั้น แต่ลูกศิษย์หลานศิษย์เหล่านั้นของเขาเล่า? แม้แต่กลิ่นอายสักนิดก็ไม่เล็ดลอดออกมา?


นอกจากนี้ พวกเขาคนมากมายขนาดนั้นต้องการหาที่อยู่ เช่นนั้นคนที่เคยอยู่มาก่อนในที่ใหม่นั้นก็ต้องย้ายออกก่อน ไม่ว่าจะเป็นห้วงมิตินี้หรือไม่ ขอเพียงแค่มีการเคลื่อนไหวก็ย่อมไม่อาจหลุดลอดจากตาข่ายฟ้าดินของเขาได้ แต่ทำไมจนถึงตอนนี้กลับยังไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ เลย?


เขาไม่เชื่อว่าจุ่นถีจะมีความสามารถถึงเพียงนี้ได้


ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจมาสืบหาที่หงชางอีก


หากที่อื่นไม่มีการเคลื่อนไหว นั่นก็แสดงว่าจุ่นถีสร้างเขตพลังที่แข็งแกร่งมากขึ้นเพื่อซ่อนตัวที่นั่น คราวก่อนตอนที่ชิงเสียนัดพบมู่จิ่วก็มิใช่ที่หงชางหรือ? นี่ก็เป็นการยืนยันข้อสงสัยนี้ได้


“เซียนจากที่ไหนกัน!”


เขาเพิ่งกินผลไม้ไปได้ครึ่งผล ก็พลันมีเสียงกระด้างเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากกลางตาข่าย


ลู่ยาหรี่ตามองไปยังตรงกลางเขตพลัง เห็นเพียงระหว่างคลื่นพลังวิญญาณมีคนถูกขังอยู่ในนั้น!


เขาเคลื่อนตัวเข้าไปทันที กระทั่งหินที่นั่งอยู่ก็เคลื่อนเข้าไปพร้อมกัน ชายเสื้อสะบัดพลิ้ว คลื่นพลังวิญญาณในนั้นพลันปรากฏร่างคนขึ้นมา เสื้อคลุมสีดำขลับ ครอบมวยผมสูงครึ่งฉื่อ สิ่งที่เด่นสะดุดตาคือเม็ดไฝสีแดงที่อยู่ระหว่างคิ้ว…หลีหัง? นี่ไม่ใช่หลีหังที่เขาเรียกมาทำความเคารพที่วังโตวลวี่แล้วจะเป็นใครไปได้?


“ทำไมเจ้ามาอยู่ที่นี่?” ลู่ยาคิดไม่ถึงว่าจะเจอเขาที่นี่ ดวงตาจึงเบิกโตยิ่งกว่าเมล็ดผลไม้ที่ปรากฏครึ่งหนึ่งในมือเสียอีก


หลีหังหมอบอยู่บนพื้น ถูกขังอยู่ในตาข่ายนั่นจะขยับตัวได้อย่างไร เขาช้อนสายตามองลู่ยา หน้าตาท่าทางแบบนี้ของเขาน่าขันนัก แต่ลู่ยาไม่ได้ล้อเลียน เพราะตนเองก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันเท่าไหร่


เมื่อเขาหมอบอยู่บนพื้น จึงจำต้องยืดคอขึ้น “ตอบอาจารย์อาใหญ่ ข้ามาตามหาเฟยอีภรรยาของข้า”


ตามหาเฟยอี?


ลู่ยารีบนำเขาออกมาจากกลางเขตพลัง ก่อนถาม “เจ้าตามหาเฟยอี ทำไมถึงมาตามหาที่นี่?”


เมื่อเขาถามออกไป หลีหังพลันตระหนก นึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้แจ้งเรื่องตนกับเฟยอี ไม่เข้าใจว่าเหตุใดเทพตำแหน่งสูงใหญ่เช่นเขาถึงรับรู้เรื่องราวอย่างรวดเร็ว และพูดชื่อเฟยอีออกมาอย่างคล่องปากเช่นนี้?


แต่เขาเป็นถึงอาจารย์อาบรรพบุรุษ อาคมแก่กล้า คิดว่าย่อมต้องเข้าใจเรื่องเล็กๆ ของเขากับอู่เต๋อกระจ่างนานแล้ว


ดังนั้นเขาจึงปัดๆ เสื้อคลุม ก่อนตอบ “ตั้งแต่ได้รับคำตัดสินจากฝ่าบาทและเหนียงเหนียงที่วังหลิงเซียวตอนนั้นแล้ว เพื่อทำตามความปรารถนาของอู่เต๋อและเพื่อทำตามความปรารถนาของตนเอง ยามว่างจึงได้เริ่มตามหาเฟยอีไปทั่วทั้งหกภพ ก่อนหน้านี้สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของเฟยอีที่ซีหนิวในชั่วระยะสั้นๆ ช่วงนี้จึงตามหาอยู่แถวนี้ คิดไม่ถึงว่าจะพบอาจารย์อาใหญ่ ไม่ทราบว่าท่านมาที่นี่ทำไมขอรับ?”


ลู่ยาตอบอืมคำหนึ่ง โยนผลไม้ทิ้งไป “ข้าก็มาตามหาคน”


พูดจบก็เหลือบมองเขาคราหนึ่ง เห็นว่าเขาผอมลงไปจากคราวก่อนบ้าง ครุ่นคิดดูแล้วเกรงว่าเรื่องของเฟยอีกับชายชุดเขียวก็มีส่วนเกี่ยวข้องกันอยู่ จึงถามไป “เจ้าเจอกลิ่นอายของเฟยอีที่ซีหนิวได้อย่างไร?”


หลีหังชะงักก่อนตอบ “นางกับข้ามีวาสนาต่อกันหลายชาติ ข้ายังคงมีเส้นผมกับของติดตัวขางนางอยู่ ถึงแม้วิธีใช้กลิ่นอายตามหาคนจะด้อยที่สุด แต่สถานการณ์เช่นนี้ก็ไม่มีหนทางอื่นอีก ข้าใช้เลือดหัวใจนำทาง พบว่าวิญญาณของนางไปสู่ปรโลกเก้าแดน จากนั้นวิญญาณของนางก็หลุดออกมาจากที่นั่น มุ่งไปทางทิศตะวันตกจนกระทั่งมาเจอที่นี่เข้า”


การใช้เลือดหัวใจตามหาคนเป็นวิธีที่อับจนหนทางที่สุด และยังเป็นวิชาที่ทำร้ายร่างเซียนที่สุด เพราะจิตต้นกำเนิดอาศัยเลือดหัวใจหล่อเลี้ยง สูญเสียเลือดหัวใจไปหยดหนึ่งต้องใช้เวลาร้อยปีในการฟื้นฟู คิดไม่ถึงว่าเพื่อตามหาเฟยอี หลีหังจะไม่สนใจกระทั่งพลังบำเพ็ญของตน


ลู่ยาครุ่นคิดก่อนเอ่ย “เอาเส้นผมนางให้ข้าดูหน่อย”


แต่เดิมเขาไม่คิดข้องเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ตอนนี้เบื้องหลังเรื่องมีชายชุดเขียวเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เขาย่อมต้องช่วยหาดูหน่อย


หลีหังรีบส่งเส้นผมของเฟยอีให้


ลู่ยาวางไว้กลางฝ่ามือ ใช้มือขวาเขียนยันต์เหนือมัน เพียงเห็นพลังวิญญาณวูบไหวเลือนรางเคลื่อนย้ายไปยังทิศตะวันตกเฉียงเหนือ


“ไปยังถิ่นทุรกันดารทางเหนือ” เขาบอก


เพิ่งพูดออกไป เขาก็พลันชะงัก


ถิ่นทุรกันดานทางเหนือ?


ชายชุดเขียวปรากฏตัวต่อหน้ามู่จิ่วที่ถิ่นทุรกันดานทางเหนือ เขาหลอมวิญญาณร้ายขึ้นมาจากที่นั่น นี่คือเรื่องบังเอิญหรือจงใจกันแน่?


…………………………………………………


บทที่ 327 สถานที่ต้องห้ามของหกภพ

โดย

Ink Stone_Romance

เขาพลันมองไปยังหลีหัง “ระหว่างทางเจ้าพบเจออะไรประหลาดหรือไม่? อะไรที่เกี่ยวกับเฟยอี”


หลีหังกำลังจะบอกลาเขาเพื่อเดินทางไปถิ่นทุรกันดารทางเหนือ เห็นสีหน้าเขาประหลาดนักจึงไม่ได้เอ่ย เมื่อฟังเขาถามเช่นนี้แล้วก็ขมวดคิ้วพึมพำขึ้นมา “ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ เพียงแต่ร่องรอยระหว่างทางล้วนเกิดขึ้นราวๆ ห้าพันปีก่อน หรือก็หมายความว่าเรื่องเกิดขึ้นหลังจากที่นางจบชีวิตลงที่โลกมนุษย์ไม่นาน และก็เป็นช่วงตอนที่ข้ากับอู่เต๋อกลับไปยังสวรรค์”


ห้าพันปีก่อน จากปรโลกมุ่งไปยังทางเหนือ?


นี่คงไม่ใช่เรื่องบังเอิญแล้ว


ลู่ยาชะงักเล็กน้อย ก่อนลงมาจากหิน “ข้าจะไปถิ่นทุรกันดารทางเหนือกับเจ้า”


ต่อให้หลีหังเป็นคนหนักแน่นอย่างไร แต่เดินทางมานานเช่นนี้ก็อดดีใจไม่ได้ “ดียิ่งนัก! เชิญอาจารย์อาใหญ่!”


มีลู่ยานำทาง ดีกว่าตอนที่เขาเดินคลำทางไปเองทีละก้าวกว่าตั้งเท่าไหร่?


ทั้งสองขึ้นเมฆไป ตามกลิ่นอายของเส้นผมที่ปรากฏออกมา มุ่งไปยังถิ่นทุรกันดารทางเหนือ


อันที่จริงพวกเขาสามารถเดินทางได้อย่างรวดเร็ว แต่กลิ่นอายของเส้นผมเคลื่อนไปอย่างเชื่องช้านัก ก่อนถึงถิ่นทุรกันดารทางเหนือยังคงสภาพดีอยู่ แต่เมื่อเข้าเขตแดนไปแล้ว กลิ่นอายนั้นกลับแตกกระจาย ลู่ยาใช้อาคมปกป้องมันไว้ กลิ่นอายจึงมุ่งตรงไปอีกครั้ง


“ยังคงมุ่งไปยังทิศตะวันตกเฉียงเหนือ” หลีหังพูด “แต่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือก็คือที่ที่กันดารที่สุด ต้นไม้ใบหญ้าไม่งอกงาม ไม่มีสิ่งมีชีวิตใด”


เขารับราชการทหารอยู่นานขนาดนั้น ทั้งยังฝึกฝนมาไม่น้อยยามรับหน้าที่อยู่ที่วังโตวลวี่ แผ่นดินเช่นนี้มีลักษณะอย่างไรเขาย่อมรู้


ลู่ยาหรี่ตามองตรงไปข้างหน้า ก่อนเอ่ย “หากข้าจำไม่ผิด ห่างออกไปไม่ไกลน่าจะเป็นคลื่นจิตพสุธา”


“คลื่นจิตพสุธา?” หลีหังตื่นตกใจเล็กน้อย


คลื่นจิตพสุธาไม่ใช่สถานที่ธรรมดา ที่นั่นคือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเป็นทางเข้าออกที่ปฐมวิญญาณผนึกลมปราณชั่วร้ายในฟ้าดินไว้ อีกทั้งเป็นสถานที่ต้องห้าม แม้สถานที่นี้จะสำคัญมาก แต่เพราะในหกภพนี้มีคนจำนวนน้อยมากที่จะสามารถไปที่นั่นได้ มันจึงเปรียบเหมือนสวรรค์เหนือสวรรค์ ถึงแม้จะคุ้นหูแต่กลับห่างไกล ตอนนี้พวกเขาไล่ตามวิญญาณของเฟยอีจนมาถึงคลื่นจิตพสุธานี่ได้ นี่มิชวนให้ประหลาดใจหรือ?


“ความหมายของท่านคือเฟยอีเข้าไปที่คลื่นจิตพสุธา?”


เขาไม่กล้าเชื่อเรื่องนี้


ไม่ต้องพูดถึงว่าด้านในคลื่นจิตพสุธามีอาคมของปฐมวิญญาณคุ้มครองอยู่ เพียงแค่หกวิญญาณที่เฝ้าอยู่ที่นั่น แรงกดดันก็มากพออยู่แล้ว แม้แต่ไท่ซ่างเหล่าจวินอาจารย์ของเขาจะเข้าไปได้หรือไม่เขายังไม่กล้าคาดเดา พลังบำเพ็ญเพียงหลักหลายหมื่นปีของเฟยอี เกรงว่ายังไม่ทันเหยียบย่างเข้าไปยังเขตแดนของที่นั่น วิญญาณก็คงสลายไปแล้ว เขาไม่อยากให้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น


แต่ลู่ยากลับไม่คิดเช่นนั้น


ชายชุดเขียวยอมรับกับมู่จิ่วแล้วว่าเขาเกี่ยวข้องกับเรื่องเหล่านี้ทั้งหมด และตอนนี้กลิ่นอายของเฟยอีมุ่งตรงมายังถิ่นทุรกันดารทางเหนือ หกวิญญาณที่ชายชุดเขียวหลอมขึ้นก็เป็นหกวิญญาณที่ตอนนั้นปฐมวิญญาณหลอมขึ้นมาเช่นเดียวกัน เรื่องเหล่านี้หากมองแยกจากกันก็ไม่มีอะไรผิดปกติ แต่หากคิดเชื่อมโยงกันก็ไม่ธรรมดาแล้ว…


วิญญาณของเฟยอีย่อมต้องไม่ออกมาจากปรโลกเก้าแดนเองแน่ ในเมื่อหายตัวไป นั่นเป็นไปได้มากว่าชายชุดเขียวจะเป็นคนลงมือ


ชายชุดเขียวปล่อยนางออกมา ย่อมไม่ปล่อยออกมาอย่างไร้จุดประสงค์แน่ และทิศทางที่นางมุ่งตรงมาในตอนนี้ก็ยืนยันได้ว่าชายชุดเขียวเป็นคนพานางมา ซ้ำยังเป็นไปได้ว่าเขาจะชักนำนางไปยังคลื่นจิตพสุธา…แน่นอน เขาไม่รู้ว่าชายชุดเขียวมีจุดประสงค์อะไร แต่ตอนนี้กลับไม่มีคำอธิบายที่ดีกว่านี้


“พวกเราเข้าไปยังคลื่นจิตพสุธากัน”


เขาพูด จากนั้นจึงปรับความเร็วของกลิ่นอายเส้นผม เปลี่ยนให้มุ่งตรงไปยังถิ่นทุรกันดารทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือทันที


ถึงแม้หลีหังไม่อยากเชื่อว่าจะเจอเฟยอีที่คลื่นจิตพสุธา แต่ก็ไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธ ดังนั้นจึงรีบเดินตามไป


ไม่นาน ทิวทัศน์ทั้งสองข้างก็เคลื่อนผ่านช้าลง ทิวเขาค่อยๆ ห่างไกล พื้นราบเรียบเข้ามาในครรลองสายตา พื้นที่ราบนี้กว้างใหญ่ที่สุดเท่าที่หลีหังเคยเห็นมา เนินเขาต้นไม้ใบหญ้าหายไปจากสายตา รอบด้านเงียบสงัด มีเพียงเมฆบนฟ้ากับดินบนพื้นเท่านั้น


พวกเขายืนอยู่ริมพื้นราบนี้ แม้จะห่างจากใจกลางมากนัก แต่กลับรู้สึกเลือดลมเดือดพล่าน ต้องใช้จิตต้นกำเนิดต้านทานไว้


“ที่นี่คงเป็นคลื่นจิตพสุธา” เขาพูด “เพียงแต่ไม่รู้ว่าทางเข้าอยู่ไหน?”


ลู่ยาไม่ได้ตอบทันที แต่เดินไปข้างหน้าหลายก้าว ขับเคลื่อนพลังบนมือ แล้วลอยขึ้นไปกลางอากาศ ซัดพลังไปยังทิศทั้งสี่หลายครั้งก่อนลอยกลับลงมา


พริบตาเดียว พื้นที่ราบเรียบเหมือนกระจกพลันเกิดคลื่นพลังวิญญาณยักษ์กระเพื่อมขึ้น แต่ละคลื่นๆ เหมือนกับคลื่นน้ำ หลีหังต้านทานคลื่นพลังนี้ไม่ได้ จึงกระอักเลือดออกมา ร่างก็ถูกดูดเข้าไปในคลื่นโดยไม่ทันตั้งตัว ลู่ยารีบส่งม่านเซียนไปครอบกายเขาไว้ ก่อนเอ่ย “เห็นเจ้ากับอู่เต๋อก่อเรื่องวุ่นวายกันเช่นนั้น ก็เข้าใจไปว่าฝีมือไม่เบา ไม่คิดเลยว่ายังไม่ทันได้เข้าไปก็ต้านทานไม่อยู่เสียแล้ว”


ใบหน้าหลีหังแดงเถือก ไม่กล้าพูดอะไรอีก


เมื่อมองใจกลางของคลื่นพสุธานี้ ตอนนี้พลันมีแสงสว่างสาดส่องไปทั่ว ประตูหยกขนาดใหญ่ผุดขึ้นมา


ประตูกว้างราวร้อยจั้ง สูงราวสิบจั้ง แยกเป็นประตูหลักกับประตูรองซ้ายขวา ชัดเจนว่ามีเพียงประตูเท่านั้น ด้านหลังไม่มีสิ่งใด แต่เมื่อมองตรงไป ด้านในประตูกลับมืดมิดไม่รู้ความลึก ส่วนประตูรองด้านข้าง ด้านในประตูซ้ายกลับเต็มไปด้วยหมอก มีแสงสว่างจ้า ในขณะที่ประตูขวามีลมฤดูใบไม้ร่วงพัดหวีดหวิว ต้นไม้ล้มตาย ไร้ซึ่งสัญญาณชีวิต


“ด้านซ้ายคือประตูปราณบริสุทธิ์ ด้านขวาคือประตูปราณชั่วร้าย หกวิญญาณไม่เพียงมีหน้าที่คุ้มครองคลื่นพสุธา แต่ยังสามารถเปลี่ยนปราณชั่วร้ายเป็นปราณบริสุทธิ์ได้ด้วย” ลู่ยาอธิบาย จากนั้นมองอักษรโบราณบิดเบี้ยวสามตัวตรงประตูหลัก เขาลอยขึ้นไปใช้วิชาคลายผนึก จากนั้นจึงลงมาพูด “เดินเข้าไปยังประตูหลัก”


หลีหังพยักหน้า ถอยไปครึ่งก้าว ให้เขานำไปก่อน


เมฆหมอกในประตูหลักลอยเข้ามาปะทะหน้า แต่เมื่อลู่ยาจะก้าวเท้าเข้าไปข้างใน ร่างกายกลับถูกพลังขุมหนึ่งผลักให้ถออยกลับมา…ถึงแม้จะปะทะเข้ามาเบาๆ แต่กลับทำให้พวกเขาทั้งสองตระหนกจนหน้าถอดสี!


ปฐมวิญญาณผนึกคลื่นจิตพสุธาไว้แล้ว เพื่อป้องกันไม่ให้ปราณชั่วร้ายเล็ดลอดออกมาหลังจากที่เขารวมเป็นหนึ่งกับธรรมชาติ ศิษย์ทั้งสี่ของเขาถูกกำหนดให้เป็นเทพปกป้องวิถีฟ้าและรักษาสมดุลของหกภพ แน่นอนว่าย่อมต้องมีสิทธิขาดในการเข้าออกและปกป้องคลื่นพสุธา ในหลายสิบหมื่นปีนี้ลู่ยาเข้าออกที่นี่ไม่ต่ำกว่าหนึ่งครั้ง ทำไมถึงถูกผลักออกมาได้?


ไม่เพียงหลีหังยากจะเชื่อ ลู่ยาก็ไร้คำอธิบาย!


เขาลองก้าวเข้าไปอีกครั้ง เท้าที่ยกออกไปราวกับเตะลูกหนังขนาดใหญ่ พริบตาเดียวก็มีพลังผลักเขาออกมา


“นี่คือเรืองอันใด?” หลีหังถาม


ลู่ยาขมวดคิ้วก่อนตอบ “มีคนสร้างเขตพลังที่นี่”


“เขตพลัง?” หลีหังชะงักไปนิด “หรือจะเป็นอาจารย์อาใหญ่อีกสองคน?”


“ไม่ใช่” ลู่ยาจับจ้องเข้าไปด้านใน ก่อนจะยื่นมือเข้าไป พริบตาเดียวสีหน้าพลันเปลี่ยน “คนที่สร้างเขตพลังนี้ใช้พลังสายเสวียนหมิง!”


……………………………


บทที่ 328 เกินไปแล้ว

โดย

Ink Stone_Romance

พลังสายเสวียนหมิง!


หลีหังพลันไร้คำพูด


ต้นกำเนิดของพลังสายเสวียนหมิงคือลู่ยา ไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องที่เขาไม่เคยรับศิษย์มาก่อน และถึงแม้จะเคยรับไว้ ก็ไม่มีเหตุผลที่เขาจะเข้าเขตพลังนี้ไม่ได้!


นี่เป็นไปได้อย่างไร?


“อาจารย์อาใหญ่แน่ใจหรือ?” เขาไม่กล้าเชื่อเลยจริงๆ


ลู่ยาไม่ตอบ สีหน้าเคร่งขรึมยิ่ง เพียงยื่นมือออกไปแล้วปล่อยพลังเข้าไปยังเขตพลังนี้ พลังวิญญาณที่เข้าไปนั้นเหมือนวัวปั้นจากโคลนที่ร่วงหล่นลงทะเล และยามที่เขาชักพลังกลับมา เขตพลังนั้นก็ผลักพลังของเขาออกมาด้านนอกเช่นกัน แต่ก็ยังไม่พอให้เขาเก็บมันกลับเข้าร่างได้!


“หากไม่ใช่พลังสายเสวียนหมิง เช่นนั้นเขตพลังนี้ย่อมต้องดูดพลังของข้าเข้าไปไม่ได้ และก็ไม่สามารถผลักพลังข้าออกมาได้ด้วย” ลู่ยามองฝ่ามือของตนเองพลางพูดช้าๆ


นี่เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้มากที่สุด แต่กลับเกิดขึ้นกับเขา คนที่เป็นต้นกำเนิดของพลังสายเสวียนหมิงกลับถูกขวางด้วยพลังของตนเอง!


ถึงแม้เขาจะไม่เคยโดนคนตบหน้ามาก่อน แต่ตอนนี้ใบหน้าก็รู้สึกเจ็บขึ้นมาแล้ว


เขาพลันหมุนตัวมา พาหลีหังออกจากใจกลางคลื่นจิตพสุธา ก่อนเอ่ยว่า “ถึงแม้เฟยอีจะไม่อยู่ที่คลื่นจิตพสุธาก็ต้องอยู่ที่ถิ่นทุรกันดารทางเหนือ เจ้าไปตามหาเองก่อน!”


จากนั้นก็หายวับไป


หลีหังคิดจะรั้งเขาไว้ถามสักคำสองคำแต่กลับไม่ทัน


ลู่ยาไม่ได้กลับไปสวรรค์ อีกทั้งไม่ได้กลับไปหงชาง ทว่ามุ่งตรงไปยังสวรรค์อันสูงส่งแทน


เขาไปหาหุนคุนที่วังจิตกระจ่างก่อน แต่หุนคุนไม่อยู่ ดังนั้นจึงเปลี่ยนไปวังเทียนสวี่


หนี่ววากำลังหวีผมอยู่หน้ากระจก บนกระจกสูงสามฉื่อสะท้อนใบหน้ารูปไข่อันงดงามอ่อนโยนของนาง แต้มสีชาดระหว่างคิ้ว ช่วยขับเน้นความงามพิสุทธิ์ส่วนหนึ่งขึ้นมาจากความเรียบง่าย นางที่กำลังพูดคุยกับเซียนหญิงรับใช้ว่าจะใช้ชาดอะไรดีมองเห็นลู่ยาจากในกระจก ยังไม่ทันได้หันไปหาก็ยิ้มน้อยๆ ออกมา แล้วเอ่ยทักอย่างเอ็นดู “น้องสี่ของพวกเรากลับมาแล้ว”


นางหมุนกายกลับไป ลู่ยาก็เดินมาถึงข้างหน้าแล้ว เมื่อก่อนเขามักจะเอ่ยชมนางสักคำสองคำหรือออดอ้อนอะไร วันนี้กลับไม่ได้ทำ และเอ่ยถามทันที “ช่วงนี้ศิษย์พี่ได้ไปที่คลื่นจิตพสุธาหรือไม่?”


“คลื่นจิตพสุธา?” หนี่ววาชะงักเล็กน้อย เดินไปยังม่านก่อนถาม “ไม่ได้ไปเลย ทำไมหรือ?”


“เช่นนั้นก็ประหลาดแล้ว!” ลู่ยานั่งลงข้างนาง ขมวดคิ้วพูด “มีคนใช้พลังเสวียนหมิงผนึกที่นั่นไว้ แม้แต่ข้าก็เข้าไปไม่ได้!”


หนี่ววามองเขาคราหนึ่ง “เจ้าไม่มีธุระอะไร ไปที่นั่นทำไม?”


“ข้าไปหาคน” ลู่ยาไม่ได้สนใจสีหน้าของหนี่ว์วา ตกอยู่ในห้วงความคิดตนเอง จากนั้นเล่าเรื่องที่ช่วงนี้เขาพบชายชุดเขียวซึ่งมีที่มาไม่ชัดเจนได้อย่างไร รวมถึงเรื่องที่ได้พบจุ่นถีแล้วเขาหายไปอย่างไร้ร่องรอยด้วย “คนผู้นี้สามารถเข้าไปในคลื่นจิตพสุธาได้ และยังสามารถใช้พลังสายเสวียนหมิงสร้างเขตพลังขึ้นมาอีก หรือคลื่นจิตพสุธาจะถูกเขาควบคุมแล้ว?”


หนี่ว์วาหยิบผลเซียนป๋ายหรูขึ้นมาปอก เอ่ยช้าๆ ว่า “เป็นไปไม่ได้กระมัง ไม่มีใครสามารถทำเช่นนี้ได้ หากแอบไปก่อเรื่องพวกเราก็ต้องรู้ก่อน” นางแบ่งผลไม้ที่ปอกเปลือกแล้วส่งให้เขาครึ่งหนึ่ง ก่อนพูดอีก “ชายชุดเขียวที่เจ้าพูดถึง เขาเคยทำเรื่องร้ายอะไรกับเจ้า?”


“ยังไม่ได้ทำเรื่องร้ายอะไร แต่ไม่อาจปล่อยผ่านไปได้!” ลู่ยานั่งหลังตรง อารมณ์พลุ่งพล่าน “ไม่แน่ว่าเขตพลังนี้เขาคงเป็นคนสร้าง หากเป็นจริง เช่นนั้นเจตนาของเขาก็ยิ่งน่าสงสัย! แล้วเขาสามารถฝึกฝนพลังสายเสวียนหมิงของข้าได้อย่างไร? หรืออาจารย์จะเคยรับศิษย์อีกคนที่ฝึกพลังสายเสวียนหมิง?”


เขาต้องสืบเรื่องนี้ให้กระจ่าง แต่ก่อนเขาก็คิดแบบเดียวกับหนี่ว์วา เพียงแค่ชายชุดเขียวไม่ได้ก่อเรื่องร้ายแรง เขาก็จะละเว้นปล่อยให้กำแหงไปก่อน แต่ตอนนี้กลับทำไม่ได้แล้ว! ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่สร้างเขตพลังมาตบหน้าเทพอันสูงส่งเช่นเขา พูดถึงแค่เรื่องที่ชายชุดเขียวเก่งกาจขนาดนี้ เขาผนึกคลื่นจิตพสุธาไว้เพราะคิดจะทำอะไรกันแน่?


เมื่อครุ่นคิดดูแล้ว หรือว่าไม่ควรจะให้ความสำคัญกับชายชุดเขียว?


“เจ้าพูดเพ้อเจ้ออันใด?” หนี่ว์วาขมวดคิ้ว “อาจารย์มองเจ้าเป็นดั่งแก้วตาดวงใจ จะรับศิษย์อีกคนมาฝึกพลังสายเสวียนหมิงของเจ้าได้อย่างไร? ถึงแม้จะเกิดขึ้นจริงก็คงไม่อาจปิดบังพวกเรา และให้เขากลับมาแว้งกัดเจ้านี่? ภายหลังอย่าได้พูดเช่นนี้อีก ศิษย์พี่ใหญ่ได้ยินเข้าจะลงโทษเจ้าเอา”


พูดจบก็อดเหลือบมองเขาไม่ได้


ลู่ยาก็รู้ว่าตนพูดเกินไป มือทั้งสองกุมเข่าไม่เอ่ยอะไรอีก


หนี่ว์วาผ่อนน้ำเสียงลง ก่อนพูดต่อ “ในเมื่อเจ้าสงสัยอาจารย์ได้ ทำไมถึงไม่สงสัยตัวเจ้าเอง? บางทีเจ้าอาจจะเคยรับศิษย์ที่เก่งกาจมาก่อน และตอนนี้ก็ร่ำเรียนสำเร็จแล้ว? ไม่แน่ว่าเจ้าอาจลืมเขาไป แต่เขากลับฝึกสำเร็จจนแกร่งกล้า” อย่างไรก็เป็นศิษย์น้องที่นางเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ หนี่ว์วาจึงอดปลอบโยนเขาไม่ได้


เมื่อพูดจบพลันมีสายลมหนึ่งลอยมาทีริมหู พัดปอยปมนางขึ้นมา


“เป็นไปไม่ได้” ลู่ยายืนยันหนักแน่น “มีหรือไม่มีศิษย์ มีหรือที่ข้าจะจำไม่ได้?”


อีกอย่าง ศิษย์คนนั้นของเขาจะสามารถขวางเขาผู้เป็นอาจารย์ได้หรือ?


หนี่ว์วาบิผลไม้ ไม่รู้จะกล่าวอะไรดี


“ศิษย์พี่หญิง ท่านไม่คิดจะไปดูจริงหรือ? คนผู้นี้ทำเกินไปแล้ว!” ลู่ยาเขย่าแขนนาง เขาเข้าไปไม่ได้ ทำได้เพียงขอร้องให้หนี่ว์วาหรือหุนคุนพาเขาเข้าไป รอให้เขาเข้าไปสืบหาความจริงได้ก่อน ชายชุดเขียวไม่รอดแน่!


หนี่ว์วาจนปัญญา เงียบอยู่นานก่อนจะเหลือบตามองเขา “เจ้าสี่น้อย เรื่องนี้เจ้าต้องแก้ปัญหาด้วยตนเอง ศิษย์พี่ก็ช่วยเจ้าไม่ได้”


“ชัดเจนว่าคนผู้นั้นเก่งกว่าข้า หากศิษย์พี่ไม่ไป ข้าจะเข้าไปได้อย่างไร?” ลู่ยาน้อยใจเล็กน้อย


“ศิษย์พี่รองก็เก่งกาจกว่าเจ้า มิใช่ว่าเจ้ารังแกเขาอยู่บ่อยๆ หรือ” ไม่ว่าเขาจะพูดอย่างไร หนี่ว์วาก็ไม่ไป “เจ้าเป็นศิษย์ที่อาจารย์รักที่สุด สอนวิชาให้เจ้าไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ ถึงแม้ชายชุดเขียวจะเก่งกว่าเจ้า นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเจ้าจะเอาชนะเขาไม่ได้ เจ้าเอาเปรียบผู้อื่นจนชิน อยู่ๆ ทำไมถึงกลัวผู้อื่นขึ้นมาเสียล่ะ?”


ลู่ยาเม้มปาก ไม่ได้พูดอะไรอีก


เขาไม่ได้เกรงกลัวชายชุดเขียว แต่เมื่อคิดถึงความสนิทสนมระหว่างเขากับมู่จิ่ว และยังมีความเป็นไปได้ว่าฝ่ายนั้นจะเป็นผู้สร้างเขตพลังซึ่งผนึกคลื่นจิตพสุธาขึ้น เขาก็ร้อนรนอย่างไม่มีเหตุผล เมื่อเปรียบเทียบกับศัตรูแบบนี้ หลินเจี้ยนหรูกับอ๋าวเจียงเทียบไม่ติดเลย เห็นได้ว่าเมื่อก่อนเขาเสียเวลาใส่ใจเรื่องของคนเหล่านี้ไปไม่น้อย?


เมื่อเป็นเช่นนี้ เขาไม่อาจปล่อยให้มู่จิ่วกับคนผู้นั้นพบเจอกันได้อีก


ใครเจอศัตรูหัวใจเช่นนี้แล้วจะไม่ร้อนอกร้อนใจบ้าง?


เขาลุกขึ้นมาอย่างอึดอัด ปรายตามองหนี่ว์วา ก่อนเดินจากไปอย่างเงียบเชียบ


หนี่ว์วากุมหน้าผากถอนหายใจ


ริมหูพลันมีเสียงเนิบนาบลอยเข้ามา “เขานี่นะ ช่างเอาแต่ใจเสียจริง”


หนี่ว์วาหันไปมองเงาร่างที่โผล่มาจากประตู ขยับปากคิดจะแก้ต่างให้สักสองประโยค แต่สุดท้ายก็กลืนคำพูดกลับลงไป


ศิษย์น้องคนนี้ของนาง บางครั้งก็เอาแต่ใจเกินไปจริงๆ


ลู่ยาออกมาจากสวรรค์อันสูงส่งก็ไม่รู้จะไปที่ไหน จึงกลับไปสวรรค์


เขาไปอยู่ที่สวรรค์อันสูงส่งสักพัก บนสวรรค์ก็ผ่านไปแล้วสองสามวัน มู่จิ่วเห็นเขาหัวเสียกลับมาจึงรีบตามเข้าไปในห้อง “เจ้าเป็นอะไรไป?”


……………………………………………


บทที่ 329 เจ้าเก่งที่สุด

โดย

Ink Stone_Romance

ลู่ยารู้สึกเสียหน้าจึงไม่ตอบรับ นั่งขัดสมาธิด้วยความหงุดหงิด


มู่จิ่วกังวลยิ่งนัก รินชาให้เขา ทั้งยังนั่งคุกเข่าลงข้างๆ พลางพัดให้ จับจ้องเขาแบบไม่กะพริบตา


ถึงแม้นางจะสงสัยว่าเขาไปไหนมาในช่วงหลายวันนี้ แต่เมื่อเทียบกันแล้วการที่เขาอารมณ์ไม่ดีนั้นสำคัญกว่ามาก


“มีคนยั่วโมโหเจ้าหรือ?” นางถามเสียงเบาพลางลูบอกลูบหลังเขา


ลู่ยาถอนหายใจยาวก่อนตอบ “ข้าเพิ่งไปหงชางมา”


มู่จิ่วกลับไม่ประหลาดใจเลย วันนั้นรุ่ยเจี๋ยบอกว่าหลังจากพวกเขาพูดกันเรื่องจื่อเย่าจบแล้ว ลู่ยาก็ออกไปทันที นางเดาว่าเขาคงออกไปตามหาคน แต่ในเมื่อไปหงชาง ทำไมถึงอารมณ์เสียอีกล่ะ? “จากนั้นล่ะ?”


“จากนั้นข้าก็เจอหลีหัง” ลู่ยาสูดลมหายใจลึก มองไปนอกหน้าต่างอย่างหมดหวัง “เขาก็ไปตามหาคนเช่นกัน ไปหาเฟยอี ข้านึกขึ้นได้ว่าการหายตัวไปของเฟยอีก็เกี่ยวข้องกับชายชุดเขียว ดังนั้นจึงนำเขาไปยังถิ่นทุรกันดารทางเหนือ หาจนไปถึงคลื่นจิตพสุธา”


“เจ้าไปที่คลื่นจิตพสุธา?” สถานที่ในตำนานของหกภพแห่งนี้ มู่จิ่วยังนึกหวั่นเกรงอยู่บ้าง ทั้งยังรู้สึกประหลาดใจกับการเดินทางครั้งนี้ของเขา แต่นางก็ยังคงจับประเด็นไม่ได้ “ไปที่คลื่นจิตพสุธาแล้วอย่างไร?”


“ประตูหน้าของคลื่นจิตพสุธาถูกผนึกไว้ อีกทั้งคนที่ผนึกไว้ยังใช้พลังสายเสวียนหมิง” ลู่ยามองนาง ความขุ่นเคืองค่อยๆ ปรากฏชัดในแววตา “ไม่เพียงใช้พลังสายเสวียนหมิงผนึกประตูไว้เท่านั้น แม้แต่ข้ายังเข้าไปไม่ได้! เจ้าคนระยำสมควรตาย กล้าใช้พลังของข้าขวางไม่ให้ข้าเข้าไป!”


มู่จิ่วฟังจบก็เบิกตากว้างพูดไม่ออก


เขาถูกพลังเสวียนหมิงของตนเองขวางทางไว้! หนำซ้ำคนที่ผนึกยังแข็งแกร่งกว่า ทำไมฟังดูเหมือนเรื่องล้อเล่นนัก…ไม่ๆๆ นี่ย่อมไม่ใช่เรื่องล้อเล่น แต่ประเด็นคือเรื่องนี้เป็นไปไม่ได้แน่ เขาเป็นต้นกำเนิดของพลังสายเสวียนหมิง จะถูกผู้อื่นใช้พลังนี้ขวางทางได้อย่างไร?!


นางเหม่อมองลู่ยาอยู่นาน เข้าใจความคับแค้นของเขาอยู่บ้าง


ยังไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องพลังเสวียนหมิงของเขา แต่เขาเป็นถึงลู่ยาเต้าจู่ที่สั่นสะเทือนทั้งหกภพ ถึงแม้พลังบำเพ็ญจะไม่แข็งแกร่งเท่าศิษย์พี่หญิงชาย แต่ด้วยความเอ็นดูที่ปฐมวิญญาณและศิษย์พี่มีต่อเขา เขาจึงไม่เคยถูกรังแกมาก่อน แค่เห็นเขาทำกับจื่อจิ้งเช่นนั้น มู่จิ่วก็สามารถจินตนาการได้ทันทีว่า ถึงแม้เขาจะมีช่วงเวลาที่ถูกกลั่นแกล้ง แต่สุดท้ายก็เป็นคนที่ลงไปร้องไห้ชักดิ้นชักงอแล้วหัวเราะทีหลังเสียมาก


ตอนนี้ดีนัก เขากลับโดนคนอื่นใช้พลังของตนเองมาขวางไว้ คนรักศักดิ์ศรีหน้าตาเช่นเขาต้องเจ็บปวดอยู่แน่ๆ


นางยื่นมือเข้าไปประคองหน้าเขา เอ่ยปลอบว่า “เอาละ ไม่ต้องโมโหไป ไม่แน่ว่าคนคนนั้นอาจใช้ประโยชน์จากช่องโหว่อะไร เจ้าเพียงไม่รู้ตัวเท่านั้น จะมีใครฝึกฝนพลังสายเสวียนหมิงได้เก่งกาจเท่าเจ้าอีก? หากปะทะกันโดยตรง ไม่แน่ว่าเขาอาจจะรับฝ่ามือแรกของเจ้าไม่ได้ด้วยซ้ำ”


“รู้ไว้ด้วยว่าเจ้าคือเทพชั้นสูงที่เก่งกาจที่สุดในใจข้า”


“จริงหรือ?” ลู่ยามองนางอย่างน่าสงสาร


“แน่นอน อย่างไรข้าก็เชื่อว่าไม่มีใครเก่งกว่าเจ้าแน่นอน” มู่จิ่วพยักหน้าหนักแน่น


แววตาของลู่ยาฉายแววภูมิใจออกมาเล็กน้อยในที่สุด เขามองนางก่อนเอ่ย “ข้าเดาว่าคนผู้นี้อาจเป็นชายชุดเขียว”


“ชายชุดเขียว?” มู่จิ่วชะงัก


“เพราะเบาะแสเกี่ยวกับเฟยอีมีส่วนเกี่ยวข้องกับเขาอยู่บ้าง” ลู่ยาพูดต่อ “วิญญาณของเฟยอีไปยังถิ่นทุรกันดารทางเหนือ และวิญญาณที่เขาหลอมขึ้นมาก็เป็นวิญญาณของหกภพ…ข้ายังไม่มีหลักฐานที่แน่ชัด สรุปคือข้าเพียงสังหรณ์ใจ ชายชุดเขียวคือคนที่ผนึกประตูใหญ่ของคลื่นจิตพสุธาไม่ให้ข้าเข้าไป ข้าก็ไม่รู้เหตุผลที่เขาทำเช่นนี้ แต่แน่นอนว่าไม่ใช่เหตุผลที่ดีแน่!”


มู่จิ่วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดเสียงอ่อนโยน “ถึงจะเป็นชายชุดเขียวก็ไม่เป็นไร ถึงแม้เขาจะบำเพ็ญพลังสายเสวียนหมิง ก็ไม่อาจบำเพ็ญอีกสามพลังที่เหลือได้ เมื่อถึงยามคับขัน เหล่าศิษย์พี่ของเจ้าต้องยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือแน่นอน” และกล่าวต่ออีก “เจ้าเคยเอาเรื่องนี้ไปพูดกับหนี่ว์วาเหนียงเหนียงแล้วหรือยัง?”


“พูดแล้ว” เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ลู่ยาก็อารมณ์ไม่ดีอีก “แต่เมื่อครู่ข้าไปที่วังเทียนสวี่มา ศิษย์พี่บอกว่านี่เป็นเรื่องของข้า ให้ข้าจัดการเอง แม้แต่ประตูข้าก็ผ่านไปไม่ได้ แล้วจะจัดการเรื่องนี้อย่างไร? อีกอย่าง เรื่องคลื่นจิตพสุธานี้เกี่ยวข้องกับใต้หล้าฟ้าดิน จะกลายเป็นเรื่องของข้าเองได้อย่างไร? กระทั่งไปดูนางยังไม่ไป จากนั้นก็ไล่ส่งข้าออกมา”


มู่จิ่วยิ่งรู้สึกว่าเขาเหมือนเด็กน้อยที่กำลังงอแงกับศิษย์พี่เพราะเจออุปสรรค จึงทำได้เพียงปลอบเขาต่อ “เหนียงเหนียงต้องเชื่อมั่นในตัวเจ้าแน่ ดังนั้นจึงได้มอบหมายให้เจ้าจัดการเรื่องสำคัญเช่นนี้ เจ้าดูตัวเองเที่ยวเล่นอยู่ข้างนอกตลอด เรื่องบนสวรรค์อันสูงส่งล้วนเป็นศิษย์พี่เจ้าจัดการดูแลทั้งนั้น ให้เจ้าจัดการเรื่องนี้ก็สมเหตุผลอยู่”


“เจ้าคือลู่ยาเต้าจู่ผู้แข็งแกร่งและมีชื่อเสียงลือเลื่อง เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ต้องทำอะไรเจ้าไม่ได้แน่ ข้าไม่เชื่อว่าชายชุดเขียวนั่นจะทำอะไรเจ้าได้”


ลู่ยาปรายตามองนาง ถึงแม้ไม่ได้เอ่ยคำ แต่ใบหน้ากลับแสดงความพึงพอใจอย่างมาก


มู่จิ่วเอ่ยอย่างอ่อนโยน “ไม่เช่นนั้น ข้ากับเจ้าไปเฝ้าที่นั่น ดูกันว่าใครเป็นคนทำ?”


“จะทำได้อย่างไร? เจ้ายังไม่ทันเข้าไปก็อาจถูกพลังวิญญาณที่นั่นเผาจนเป็นเถ้าถ่านแล้ว” ลู่ยาปฏิเสธนางทันควัน


ลู่ยาเก็บสองขาขึ้นไปนั่งขัดสมาธิบนตั่ง ยื่นปากชี้ไปบนโต๊ะ “ข้ากระหายน้ำ”


มู่จิ่วรินน้ำให้เขา


“เช่นนั้นพวกเราก็อย่าไปคิดถึงมันเลย ในเมื่อแม้แต่ศิษย์พี่หญิงเจ้ายังคิดว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย เจ้าย่อมต้องแก้ปัญหาได้เองอยู่แล้ว”


ลู่ยากลับไม่มีคำพูดใดเอ่ยตอบ


ปกติเขาทำตามคำสั่งเท่านั้น กลับเป็นพวกหงจวินที่ดูแลเรื่องราวในหกภพเสียมาก หากผนึกนั้นเป็นคนนอกทำขึ้นมาจริง และหากเป็นชายชุดเขียวที่ภูมิหลังลึกลับคนนั้นจริง พวกเขาจะยังนั่งเฉยได้อยู่อีกหรือ? เกรงว่าจะรู้อยู่นานแล้ว นั่นยิ่งไม่มีเหตุผลที่จะนิ่งเฉยรอให้เขาวิ่งไปฟ้องเข้าไปใหญ่


แต่ในเมื่อไม่ใช่คนนอกที่วางแผนอะไรอยู่ เช่นนั้นเป็นใครเล่า?


บนโลกนี้ คนที่สามารถสำแดงพลังเสวียนหมิงได้ถึงขีดสูงสุดและบำเพ็ญได้บริสุทธิ์เช่นนี้มีเพียงลู่ยาเท่านั้น อีกคนก็เป็นปฐมวิญญาณ เขาเกิดมาพร้อมกับพรสวรรค์ในการควบคุมบัญชาสรรพสัตว์ ปฐมวิญญาณสามารถใช้พลังเสวียนหมิงขวางทางลู่ยาได้ แต่ประเด็นคือเขาไม่อยู่แล้ว จะสามารถออกจากการดับสูญมาขวางทางลู่ยาได้อย่างไร?


ใช่แล้ว พลังเสวียนหมิงนี้สามารถขวางทางเขาและคนที่พลังบำเพ็ญต่ำกว่าเขาได้ พวกหุนคุนพลังสูงส่งกว่าเขา เข้าไปย่อมไม่เป็นปัญหา แต่ทำไมคนผู้นี้ต้องขวางทางกันด้วย? หรือเขาคำนวณได้แม่นยำว่าลู่ยาจะต้องไปที่นั่น?


ใครจะเก่งกาจเยี่ยงนี้?


มุ่งเป้ามาทางเขา?


อีกอย่างคนผู้นี้ขังเขาอยู่ข้างนอก ข้างในซ่อนความลับอะไรไว้หรือกำลังทำเรื่องอื่นใดกันแน่?


“อย่าขมวดคิ้วเลย ไม่ว่าอย่างไรนี่ก็เป็นเบาะแสหนึ่ง หากมีเวลาว่างค่อยสืบเสาะ ไม่แน่ว่าอาจมีความคืบหน้าก็ได้”


มู่จิ่วนวดคลายคิ้วที่ขมวดอยู่ของเขา เดิมทีนางก็กังวลอยู่บ้าง อาจมีคนที่เก่งกล้าสามารถวางแผนอะไรบางอย่างอยู่จริง ตอนนี้แม้แต่หนี่ว์วาก็ไม่ยื่นมือเข้ามาช่วย เรื่องนี้ก็ควรจะเป็นเรื่องเล็ก แต่นางเพิกเฉยต่อเรื่องนี้จนเกินไปไม่ได้เหมือนกัน อย่างไรคนผู้นี้ก็ก่อเรื่องไม่ดีไว้ กระทั่งใช้วิธีชั่วช้ากับลู่ยา ช่างร้ายกาจเกินไปแล้ว!


…………………………………………………………………..


บทที่ 330 ตาต่อตาฟันต่อฟัน

โดย

Ink Stone_Romance

“รู้แล้ว” ลู่ยาอารมณ์ดีขึ้นมาก


แม้เบื้องหน้าเขาจะทำเหมือนไม่มีอะไร แต่ในใจต้องสะกดกลั้นความโกรธไว้ ไม่ว่าอย่างไรเขาต้องสืบเรื่องนี้ให้กระจ่างให้ได้!


มู่จิ่วปลอบเขาอยู่สักครู่ เมื่อเห็นเขาสบายใจแล้วจึงเดินทางไปหน่วย


เรื่องที่ลู่ยาเจอหลีหังที่หงชางทำให้นางประหลาดใจ แต่เมื่อคิดดูดีๆ แล้วก็มีเหตุผลอยู่ ไม่ว่าจะนับเป็นความรับผิดชอบของใคร การหาเฟยอีเจอก็นับเป็นจุดจบสุดท้ายสำหรับคดีนั้นของพวกเขา


ไม่รู้ว่าอู่เต๋ออยู่ที่โลกมนุษย์จะเป็นอย่างไรบ้าง?


นางเคยรับปากจะมอบของที่เขาฝากไว้ให้เฟยอี


แม้ไม่ได้รับปากว่าจะไปตามหาให้ แต่หากหลีหังตามหาจนพบก็นับว่าลบล้างเรื่องที่ติดค้างในใจนางได้


ถึงแม้มู่จิ่วจะปลอบลู่ยาไม่หยุด แต่ใจกลับยังสงสัยในเรื่องนี้ ทำไมนางถึงรู้สึกว่าหนี่ว์วานิ่งเฉยเหมือนรู้เรื่องอยู่แล้ว? หากหนี่ว์วาไม่รู้มาก่อนแล้วเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น นางย่อมต้องเดินทางไปดูสิ? แต่นี่กลับทำสงบนิ่งบอกเพียงให้ลู่ยาไปจัดการด้วยตัวเอง…ไหนเลยจะเหมือนหนี่ว์วาผู้เปี่ยมเมตตาคนนั้น?


อีกทั้งทุกวันนี้ก็ยังไม่รู้ว่าหงจวินไปอยู่ที่ไหน ไม่พบเบาะแสเลยแม้แต่น้อย


ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเทพเซียนผู้ยิ่งใหญ่เหล่านี้กำลังทำอะไรอยู่


แต่ตอนนี้มีลู่ยาขบคิดปัญหาเหล่านั้นแทนนาง ไม่จำเป็นต้องให้นางเปลืองสมองเป็นกังวล คิดดูแล้วช่างสบายนัก หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น เกรงว่าเก่งกว่านี้ก็ไม่อาจทำให้นางสงบใจได้


ในขณะที่ทางด้านนางกำลังเดินออกจากบ้านไป ทางลานสนเขียว หลินเจี้ยนหรูก็ออกไปข้างนอกเช่นกัน


เพิ่งจะเดินไปถึงประตูด้านหน้าก็พลันมีคนเข้ามาขวางทาง


“เจ้าจะไปไหน?”


หูเจียงเต๋อยืนขวางทางพลางเอามือไพล่หลัง เชิดหน้ายืดอก ราวกับเป็นพัศดีที่ควบคุมเขา


หลินเจี้ยนหรูไม่สนใจ เดินอ้อมเขาไปยังประตู


“เจ้าหูหนวกหรือ?!”


หูเจียงเต๋อพุ่งเข้าไปขวางข้างหน้าอีก สีหน้าเต็มไปด้วยความดูแคลน “วันนี้เจ้าไม่ต้องไปทำงาน เจ้าจะไปที่ไหน?! อาจารย์ลุงเจ้าสำนักมีคำสั่ง ไม่ว่าเจ้าจะไปที่ไหนก็ต้องรายงานข้า! หากไม่ตอบก็อย่าได้คิดออกไป!”


หลินเจี้ยนหรูกัดฟันแน่น สายตาที่จับจ้องไปยังสนด้านนอกปรากฏประกายเย็นเยียบ


“ดูหน้าโง่ๆ ของเจ้าสิ!” หูเจียงเต๋อยังล้อเลียนต่ออย่างไม่กลัวตาย แต่ก็โทษเขาไม่ได้ แต่ก่อนในสำนักแรกพยับ ใครอารมณ์ไม่ดีมาก็สามารถเตะหลินเจี้ยนหรูได้ เหมือนกับตอนที่เหลียงชิวฉานรู้ว่าเขาเป็นคนสังหารหลินเซี่ย ก็สามารถบุกเข้ามาถามหาเรื่องเขาอย่างโมโห…เมื่อกระทำมากเข้าก็กลายเป็นความเคยชินมาเนิ่นนาน จะเปลี่ยนแปลงชั่วข้ามคืนได้อย่างไร?


หลินเจี้ยนหรูมองสนต้นนั้น หรี่ตาลงก่อนหมุนตัวไป ยกปากขึ้นพูดกับเขาว่า “เจ้าอยากรู้ว่าข้าจะไปไหน?”


หูเจียงเต๋อชะงักเล็กน้อย พูดด้วยความโมโห “นี่เป็นคำสั่งของอาจารย์ลุงเจ้าสำนัก เจ้ากล้าไม่เชื่อฟังรึ?!”


“ไม่กล้า” รอยยิ้มของหลินเจี้ยนหรูกดลึกลงอีกเล็กน้อย พริบตาเดียวกลับยื่นมือไปคว้าลำคออีกฝ่ายไว้! เสียงกระดูกดังกร๊อบดังตามขึ้นมาทันที!


เขาไม่หวาดกลัวหรือลังเลเลยสักนิด กระทั่งมีรอยยิ้มเยาะหยันอยู่บางๆ ราวกับแค่ยื่นมือออกไปบี้มดตัวหนึ่งเท่านั้น


หูเจียงเต๋อไม่คาดคิดว่าเขาจะลงมือ! ทั้งยังมองไม่ออกเลยว่าลงมือตอนไหน!


เขาเบิกตากว้างมองหลินเจี้ยนหรู ปากอ้ากว้าง สองมือกำข้อมือหลินเจี้ยนหรูไว้แน่น ใบหน้าขึ้นสีม่วงคล้ำ ในขณะที่ช่วงล่างลงไปรวมถึงมือที่กำลังออกแรงนั้นกลับซีดขาว!


“เจ้าคงคิดว่าข้าเป็นเพียงสุนัขที่เรียกใช้ได้ตามใจชอบตัวหนึ่งเท่านั้น แต่ถึงแม้ข้าจะเป็นสุนัขจริง เจ้าไม่เคยได้ยินเลยหรือว่าสุนัขก็กัดคนเป็น?” แววตาของหลินเจี้ยนหรูคมดุจใบมีด มือทั้งสองก็แข็งดุจคีมเหล็ก


เขาอดกลั้นความโกรธแค้นมาถึงสองร้อยกว่าปี แต่สองวันนี้กลับทำให้เขาทนไม่ได้และไม่คิดจะทนจริงๆ


แต่เดิมเขาคิดว่าตนเองสามารถเปลี่ยนแปลงดวงชะตาได้ อย่างเช่นว่าเขาเติมโตมาในสภาพแวดล้อมไม่ดีนัก แต่ก็ยังสามารถผลักดันตัวเองให้หลุดพ้นเหล่าศิษย์พี่น้อง ดิ้นรนมายังทัพทหารสวรรค์ พยายามด้วยตนเองจนได้รับความนับหน้าถือตาในกองทัพ และทุ่มเทจนสามารถซ่อมแซมจิตต้นกำเนิดของมารดาได้ แต่ตอนนี้ สิ่งที่พูดกันว่าให้ทำความดีเพื่อเจริญยิ่งขึ้นกลับไร้ประโยชน์สิ้นดี


อย่างน้อยที่สุด เขาก็ไม่ยินยอมปล่อยสุนัขรับใช้สำนักแรกพยับอย่างหูเจียงเต๋อไป


พวกมันสมควรตาย ตาต่อตาฟันต่อฟัน! ให้พวกมันรู้ว่าอะไรคือกรรมตามสนอง!


เขายกยิ้ม “การตายเช่นนี้ ไม่รู้เจ้าพอใจหรือไม่?”


หูเจียงเต๋อขยับไม่ได้ พูดก็ไม่ออก ลิ้นปลิ้นออกมา ร่างกายบิดงอไปข้างหลัง แต่สติที่ยังเหลืออยู่เพียงน้อยนิดยังบอกว่าหลินเจี้ยนหรูคิดจะฆ่าเขา! เขายังคิดว่าหลินเจี้ยนหรูเป็นเพียงสวะที่อยู่ขั้นจู้จีอย่างเช่นเมื่อสองร้อยปีก่อน เข้าใจว่าอีกฝ่ายยังเป็นเพียงสุนัขที่หมอบคลานใต้เท้าคนทั้งสำนักแรกพยับ แต่ตอนนี้ตนกลับกำลังจะตายในเงื้อมมือหลินเจี้ยนหรู!


เวลานี้ทุกคนต่างก็ไปทำงาน การที่จะมีคนบังเอิญมาเจอเข้าเป็นไปได้น้อยมาก แน่นอนว่าขนาดคนที่จะช่วยเขายังไม่มี!


เข่าทั้งสองของเขาอ่อนทรุดลงไป สุดท้ายก็คุกเข่าลงบนพื้น เขาใช้กำลังทั้งหมดอ้าปาก คิดจะขอให้หลินเจี้ยนหรูไว้ชีวิต แต่กลับไม่มีเสียงออกมาแม้แต่น้อย!


“หลินเจี้ยนหรู!”


ตอนนี้พลันมีคนพุ่งเข้ามา ไม่ถึงพริบตาเดียวก็มาถึงตรงหน้า “ปล่อยเขา!”


เหลียงชิวฉานจับข้อมือเขา ดึงมันให้แยกออกอย่างเอาเป็นเอาตาย


หลินเจี้ยนหรูปล่อยมือ มองนางอย่างเย็นชา ก่อนเหยียบลงไปบนหน้าหูเจียงเต๋อที่ล้มอยู่บนพื้น แล้วหมุนตัวออกจากประตูไป


หูเจียงเต๋อหมอบตัวสั่นอยู่บนพื้น ทั้งใบหน้าและจมูกเต็มไปด้วยเลือด แม้แต่หายใจแรงๆ ยังไม่กล้า


เหลียงชิวฉานมองตามหลินเจี้ยนหรูไป ก่อนหันกลับมามองหูเจียงเต๋อ ตำหนิด้วยความโกรธว่า “เจ้าไม่มองเขาเป็นมนุษย์ ก็อย่าโทษที่เขาทำกับเจ้าราวกับไม่ใช่มนุษย์! เขาอยากจะฆ่าเจ้าก็เป็นเรื่องง่ายดายนัก ดูสิว่าวันหลังเจ้าจะยังกล้าทำเรื่องสมควรตายต่อหน้าเขาอีกหรือไม่!”


“ข้า ข้าไม่กล้าอีกแล้ว!”


แม้แต่เสียงของหูเจียงเต๋อยังสั่นพร่า


เขาไม่รู้ว่าเหลียงขิวฉานเข้ามาได้จังหวะเวลาได้อย่างไร แต่เขารู้ว่าหากนางไม่มา วันนี้เขาต้องตายแน่!


ที่แท้หลินเจี้ยนหรูเก่งกาจถึงเพียงนั้น ลงมือรวดเร็วจนเขามองไม่ทัน พอเขานึกถึงท่าทางกร่างที่ตนแสดงต่อหน้าหลินเจี้ยนหรูในหลายวันนี้ ร่างกายก็หลั่งเหงื่อเย็นออกมาต่อเนื่องไม่หยุด หัวชิงใช้ให้เขาอยู่ที่ลานสนเขียวเพื่อจบตาดูหลินเจี้ยนหรู นี่มิใช่การส่งเขามาตายหรอกหรือ? จากนี้ไปเขาจะยังกล้าอาศัยอยู่ที่นี่ต่อไปหรือไร? ไม่ระวังชั่วครู่เดียวก็ตายแล้ว!


เขาลุกขึ้นมาเกาะขานาง “ศิษย์พี่ฉานช่วยข้าด้วย! ข้าไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว ท่านช่วยไปพูดกับอาจารย์ลุงเจ้าสำนักที ให้ท่านยกเลิกคำสั่งแล้วปล่อยข้าไป! วันหลังหากท่านให้ข้าไปบุกน้ำลุยไฟที่ไหนข้าล้วนไม่เกี่ยง!”


เหลียงชิวฉานถอยหลัง ทำหน้าตึง “ในเมื่อเป็นคำสั่งของเจ้าสำนัก จะเปลี่ยนแปลงได้ง่ายๆ อย่างไร?”


หูเจียงเต๋อกุมหน้าที่เต็มไปด้วยเลือดพลางร้องห่มร้องไห้


เหลียงชิวฉานมองเขาก่อนเอ่ยช้าๆ “อาจารย์ให้เจ้าจับตาดูเขา ไม่ได้ให้มาก่อเรื่องให้ แค่รู้จักอยู่ให้เป็น ก็มิใช่ว่าจบเรื่องแล้วหรือ?”


อยู่ให้เป็น…


หูเจียงเต๋อเงยหน้า เห็นเหลียงชิวฉานจับจ้องเขาอย่างจริงจังก่อนจะจากไป


เหลียงชิวฉานกลับมาถึงห้อง มือยังคงสั่นระริก


นางยังจำสายตาของหลินเจี้ยนหรูที่ตั้งใจจะฆ่าหูเจียงเต๋อได้ นั่นเป็นสายตาที่ต้องการฆ่าอย่างแท้จริง


นางก็ไม่รู้ว่าอะไรผลักดันให้ตนตรงเข้าไป นางเพียงไม่ต้องการให้หลินเจี้ยนหรูฆ่าเขา!


………………………………………


บทที่ 331 วิญญาณหกภพ

โดย

Ink Stone_Romance

ถึงแม้เขาจะร้ายกาจยิ่งกว่านี้ก็ตาม แต่มือของเขาไม่อาจเปื้อนเลือดอีกแล้ว แม้หัวชิงจะปล่อยเขาไปเพราะคำขอร้องของนาง แต่กลับไม่ได้เลิกระแวดระวังเขา ในฐานะเจ้าสำนัก หัวชิงอาจจะไม่สนใจความสัมพันธ์ฉันท์หญิงชายระหว่างพวกเขา แต่ย่อมไม่อาจเพิกเฉยต่อคนที่อาจจะมีภัยคุกคามต่อสำนักได้!


หากเขาฆ่าหูเจียงเต๋อ นางกล้ารับประกันว่าอีกไม่นานหัวชิงก็ต้องรู้ ถึงตอนนั้นก็ปิดเรื่องที่พลังของเขามากขึ้นไม่อยู่แล้ว จีหมิ่นจวินต้องออกมาซ้ำเติมแน่…นางไม่ยอมให้เขาเป็นเช่นนั้น ดังนั้นจึงพุ่งเข้าไปโดยไม่สนใจอะไร ในยามนั้นนางกระทั่งเตรียมใจไว้แล้วว่าอาจจะต้องตายด้วยเงื้อมมือเขา!


นางไม่เข้าใจว่าทำไมตนเองถึงเข้าไปขวาง และก็ไม่เข้าใจว่าทำไมยังต้องแอบชี้แนะหูเจียงเต๋ออีก


หูเจียงเต๋อย่อมเข้าใจว่านางหมายถึงอะไร อยู่ให้เป็นเสียหน่อย ในเมื่อไม่อาจขัดคำสั่งของหัวชิงได้ ทั้งยังไม่อาจหาเรื่องหลินเจี้ยนหรู วิธีที่ดีที่สุดคืออะไร? ทำได้เพียงดื้อตาใส เปิดตาข้างปิดตาข้างเท่านั้น


นางหวังว่าหลินเจี้ยนหรูที่สุดท้ายก็ปล่อยหูเจียงเต๋อไปแล้วก็จะให้โอกาสเขาเช่นกัน


นางยกแก้วดื่มเหล้า จากนั้นนั่งลง มือกุมหน้าผาก


เขาไม่ต้องการนาง นางก็ไม่ได้ถึงขนาดขาดเขาไม่ได้


แต่นางย้อนกลับไปเหมือนเมื่อก่อนไม่ได้อีกแล้ว ตั้งแต่เขาเอ่ยความในใจกับนางที่ถ้ำลมหนาวนั้น นางก็ไม่อาจกลับไปดูแคลนรังแกเขาเช่นในอดีตได้อีก ทั้งยังไม่อาจไม่สนใจเรื่องของเขาด้วยเหมือนกัน


แต่เดิมนางไม่ใช่คนใจดำ แต่ครานั้นนางผิดที่ช่วยคนชั่ว


ถือว่านางติดค้างเขาก็แล้วกัน


ลู่ยาอารมณ์ดีขึ้นมากแล้วในวันถัดมา


แต่มู่จิ่วรู้ว่าเขาเหย่อหยิ่งขนาดนั้น เป็นไปไม่ได้ที่จะวางเฉยไม่สนใจจริงๆ ดังนั้นในเมื่อเขาไม่พูดถึงเรื่องนั้นนางก็ไม่พูด เพียงทำตัวตามปกติ นอกจากหาโอกาสป้อยอเขามาตลอดหลายวันจนสีหน้าเขาสดใสขึ้นมาก วันนี้ก็ออกไปดูตาข่ายสวรรค์ที่ตัวเขาสร้างไว้ที่หงชาง


มู่จิ่วกลับกังวลที่เขาทำแบบนี้ เพราะมันอาจขัดขวางชิงเสียที่จะส่งข่าวมาหานาง แต่ลู่ยาบอกว่าไม่เป็นไร เพราะตาข่ายสวรรค์ที่เขาสร้างขึ้น แม้แต่จุ่นถีก็หาไม่พบ หากพวกเขาซ่อนตัวอยู่ที่เขาหงชางจริง ตาข่ายนี้ก็ไม่รบกวนการเข้าออกตามปกติ เพราะสิ่งที่ลู่ยาต้องการก็คือการปรากฏตัวของพวกเขา


มู่จิ่วได้ยินเช่นนี้ก็วางใจ


อีกทั้งนางพบว่าลู่ยาดูยุ่งขึ้นมาก แต่ก่อนเหมือนพวกคนติดบ้านอยู่ในห้องทั้งวันไม่ออกไปไหน ช่วงนี้กลับออกไปข้างนอกทุกวัน บางครั้งออกไปครึ่งค่อนวัน บางครั้งไปหนึ่งถึงสองวัน ทั้งยังไม่บอกอะไรชัดเจนกับนาง นางเดาว่าเขาต้องกำลังจัดการเรื่องของคลื่นจิตพสุธาอยู่แน่ จึงไม่ได้ว่าอะไร ปล่อยให้เขาจัดการตามใจชอบ


ตอนนี้ในหน่วยรับคดีเล็กน้อยมาหลายคดี แต่ใช้เวลาเพียงสามถึงห้าวันก็จัดการเรียบร้อย


สบายก็สบายอยู่ แต่คดีเหล่านี้สะสมบุญกุศลได้น้อยเหลือเกิน บางคดีถึงกับถูกละเลยด้วยซ้ำ ไม่มีบุญกุศล วาสนาเซียนย่อมไม่เพิ่ม หากวาสนาเซียนไม่เพิ่ม วันที่จะได้เลื่อนขั้นของนางยิ่งห่างไกลออกไป


ดังนั้นช่วงนี้นางจึงครุ่นคิดว่าช่วงนี้ที่ไหนมีคดีใหญ่อะไรให้ทำได้บ้าง


แต่น่าเสียดายที่ไม่มี ตั้งแต่มูจิ่วเข้ามารับตำแหน่ง หน่วยของนางก็กลายเป็นกลุ่มรับทำคดีใหญ่ที่มีชื่อเสียงท่ามกลางสำนักบัญชาการทั้งหมด กระทั่งนางยังไม่มีคดีให้ทำ คนอื่นก็ย่อมต้องไม่มี


บางครั้งนางก็รู้สึกว่าตนเองชั่วร้ายอยู่บ้าง หากมีคดีใหญ่นั่นก็หมายความว่ามีคนลำบาก เพื่อขึ้นเป็นเซียนนางกลับหวังให้คนอื่นตกที่นั่งลำบาก เช่นนี้ก็ไม่ดีนัก


วันนี้นางพาอาฝูและรุ่ยเจี๋ยไปเยี่ยมหลิวจวิ้นที่จวน เห็นหลิวจวิ้นกำลังอ่านหนังสือในสวนดอกไม้ จึงเดินเข้าไป “ใต้เท้ากำลังอ่านอะไรอยู่หรือ?”


หลิวจวิ้นวางหนังสือลงบนโต๊ะ เอ่ยตอบ “ไม่นานมานี้หลีหังเจินเหรินกลับมายังสวรรค์แล้ว เขาเอ่ยถึงเรื่องคลื่นจิตพสุธา ข้าจึงหาบันทึกโบราณมาอ่านเสียหน่อย”


หลีหังกลับมาสวรรค์ ทั้งยังเล่าเรื่องนี้ให้หลิวจวิ้นฟัง?


“เขาว่าอย่างไรบ้าง?” มู่จิ่วรีบถาม


“บอกว่าจิตวิญญาณของเฟยอีอาจจะอยู่ที่คลื่นจิตพสุธา” หลิวจวิ้นจิบชาคำหนึ่ง


“ยังว่าอะไรอีกหรือไม่?” มู่จิ่วอยากรู้ว่าเขาได้ป่าวประกาศเรื่องที่ลู่ยาถูกขวางด้วยเขตพลังออกไปทั่วหรือไม่


“ยังมีอะไรอีก?” หลิวจวิ้นเริ่มอารมณ์ไม่ดีอีก ด้วยไม่ชอบคนจี้ถามเช่นนี้ “ยังมีอะไรต้องเล่าอีกหรือ?”


มู่จิ่ววางใจ


หากหลีหังกล้าพูด นางต้องหาโอกาสไปฟ้องหวังหมู่เหนียงเหนียงแน่นอน!


มู่จิ่วหยิบบันทึกขึ้นมาพลิกเปิด เมื่อเห็นหน้าแรกก็ชะงักงันไป “หกวิญญาณในคลื่นจิตพสุธาสามารถกลายร่างเป็นร่างเซียนได้?”


“เวลาหลายหมื่นปีไม่ว่าอะไรก็กลายเป็นร่างคนได้ วิญญาณหกภพเดิมก็คือวิญญาณท่ามกลางเหล่าวิญญาณ กลายเป็นร่างคนจะมีอะไรประหลาดกัน” หลิวจวิ้นมองนางด้วยสายตาประหลาด


มู่จิ่วกลับเพิ่งได้ยินครั้งแรก ไม่รู้ว่าวิญญาณหกภพกลายเป็นร่างเซียนแล้วจะมีรูปอย่างไร?


นางเปิดต่อไปอีก


นี่เป็นบันทึกเกี่ยวกับสถานที่ลึกลับบนเก้าทวีปสี่ทะเล บันทึกเกี่ยวกับเรื่องคลื่นจิตพสุธา


เพราะว่าสถานที่นี้ห่างไกลจากคาวโลกีย์ อีกทั้งคนยังรู้จักน้อย มู่จิ่วจึงไม่ค่อยรู้เกี่ยวกับมันนัก นอกจากรู้ว่าปฐมวิญญาณเคยหลอมหกวิญญาณเพื่อใช้ประโยชน์ในการสะกดควบคุมก็ไม่รู้เรื่องอื่นอีกแล้ว ตอนนี้เมื่ออ่านถึงเพิ่งได้รู้ ที่แท้หกวิญญาณอยู่ที่คลื่นจิตพสุธามาถึงสามแสนปีแล้ว แต่ก่อนหน้านี้ถูกปฐมวิญญาณผนึกด้วยยันต์เอาไว้


แต่ในบันทึกนั้นกล่าวไว้เพียงเล็กน้อย ที่เหลือเป็นภาพวาด ตำแหน่งที่อยู่ส่วนใหญ่ และลักษณะของหกวิญญาณ คงเป็นเพราะผู้เขียนก็ไม่เคยไปเยือนที่นั่นมาก่อน ภายในเป็นอย่างไรจึงไม่อาจบรรยายออกมาได้ แต่ภาษาที่ใช้ต่างจากในบันทึกปกติ ทั้งยังทำให้รู้สึกหวาดหวั่นยิ่งนัก


มู่จิ่วอ่านส่วนที่เกี่ยวกับหกวิญญาณอย่างตั้งใจ หากปล่อยหนึ่งในหกวิญญาณออกมา ถึงแม้พลังวิญญาณจะแข็งแกร่งมาก แต่ก็ปลดปล่อยได้เพียงส่วนที่พิเศษของตนเองเท่านั้น หากหกวิญญาณรวมพลังกันจะสามารถทำลายใต้หล้าได้ พวกมันเป็นตัวแทนของพลังชั้นยอดในหกภพ เฉกเช่นการก่อกำเนิดศักราชของมนุษย์ตอนเบิกฟ้าผ่าพิภพ


ไม่ว่าพลังวิญญาณในคลื่นจิตพสุธาจะแก่กล้าขนาดไหน มีพวกมันอยู่ก็ไม่ต้องกลัวว่าพลังชั่วร้ายจะรั่วไหลออกมา


“แต่พลังวิญญาณในคลื่นจิตพสุธาแก่กล้าขนาดนี้ เฟยอีจะไปที่นั่นได้อย่างไร?”


“นั่นต้องถามคนผู้นั้นที่บ้านเจ้าแล้ว” หลิวจวิ้นบิเมล็ดสนสองเมล็ด มองนางพลางตอบ


มู่จิ่วพูด “แต่เขาก็ยังไม่เจอตัวเฟยอี” ตามที่ลู่ยาบอกไว้ หลังจากที่เฟยอีเข้าไปในถิ่นทุรกันดารทางเหนือแล้ว กลิ่นอายของนางก็หายไป หากชายชุดเขียวเป็นคนพานางออกมาจากปรโลกเก้าแดนจริง ทำเช่นนี้ต้องมีเป้าหมาย เขาคงไม่ทำเพียงเพื่อพาเฟยอีไปทำลายที่คลื่นจิตพสุธาหรอก?


ที่แท้เฟยอีไปไหนกันแน่?


หรือไปที่คลื่นจิตพสุธา?


ชายชุดเขียวทำให้นางเข้าไปในคลื่นจิตพสุธาได้อย่างไร? เป็นเขาจริงหรือที่ทำเขตพลังที่คลื่นจิตพสุธา?


แต่ชายชุดเขียวฝึกพลังเสวียนหมิงจนเก่งกาจกว่าลู่ยาได้อย่างไร?


“เจ้าคิดอะไรอยู่?” หลิวจวิ้นกินเมล็ดสนพลางเอ่ยถาม


“ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ” มู่จิ่วเลิกคิ้วตอบ ก่อนเก็บมือที่เท้าคางเข้ามา ไม่ใช่ว่านางคิดจะปิดบังเรื่องชายชุดเขียวกับเขา แต่เกรงว่าการพูดถึงชายขุดเขียวจะทำให้โยงถึงเรื่องเขตพลังตรงคลื่นจิตพสุธา นางจะเอ่ยเรื่องที่ทำให้ลู่ยาขายหน้าได้อย่างไร


………………………………


บทที่ 332 วาสนาพลิกผัน

โดย

Ink Stone_Romance

หลิวจวิ้นเหลือบมองนางอยู่นาน ก่อนจะเช็ดมือพลางเอ่ย “เห็นเจ้าว่างจนเป็นเช่นนี้ ไว้ข้าหาอะไรให้เจ้าทำดีหรือไม่?”


“เรื่องอะไรเจ้าคะ?” มู่จิ่วนั่งหลังตรงอย่างรวดเร็ว


หลิวจวิ้นกระแอมเล็กน้อย “มิใช่ว่าหลีหังมาเล่าเรื่องคลื่นจิตพสุธาหรือ ถึงแม้บอกว่าเรื่องนี้ไม่ค่อยเกี่ยวข้องกับพวกเรา แต่เพราะช่วงนี้หน่วยว่างงานนัก เหล่าพี่น้องว่างจนจะจับมดอยู่แล้ว เมื่อวานข้าจับพวกที่แอบดอดไปเล่นพนันที่โลกมนุษย์ได้ ก็ถูกหลีหังพบเข้าพอดี”


“ดังนั้นพวกเราจึงควรแสดงความพยายามบ้าง มิฉะนั้นแล้วหากไท่ซ่างเหล่าจวินเอาไปรายงานกับฝ่าบาท พวกเราจะรับไม่ไหวเอา พรุ่งนี้เจ้าพาเฉินอิงและหูเหยียนนำคนไปจำนวนหนึ่ง ลาดตระเวนบริเวณประตูสวรรค์แดนใต้ในระยะห้าร้อยลี้ แบ่งเป็นสามกะ จะแบ่งอย่างไรพวกเจ้าจัดการกันเอง มีอะไรผิดปกติก็อย่าปล่อยไว้”


มู่จิ่วได้รับคำสั่งก็ตื่นตัวขึ้น “ใต้เท้าวางใจได้ พรุ่งนี้เช้าข้าจะไปกับนายทหารเฉินอิงและหูเหยียนเจ้าค่ะ!”


หลิวจวิ้นโบกมือ


มู่จิ่วจึงพาอาฝูและรุ่ยเจี๋ยที่กำลังเล่นหนังยางกันอยู่กับเหล่าเซียนน้อยกลับบ้านอย่างดีอกดีใจ


ถึงแม้จะแค่ไปลาดตระเวนเท่านั้น ก็ยังดีกว่าจัดการเรื่องจุกจิกในหน่วยงานทุกวันมากนัก!


อย่างน้อยก็ฆ่าเวลาได้บ้าง


มู่จิ่วได้รับงานใหม่ วันถัดมาพาเฉินอิงกับหูเหยียนไปทำงานไม่ขอเอ่ยถึง


ตอนเที่ยงนางไม่กลับไปกินข้าว หลายวันนี้ลู่ยาก็ไม่ค่อยอยู่บ้าน ดังนั้นนางจึงอยู่กับซ่างกวนสุ่นและพวกเด็กๆ


ทั้งสามคนมีลักษณะนิสัยเฉพาะตัว คนหนึ่งฉลาดหลักแหลม คนหนึ่งน่ารักยิ่ง อีกคนหนึ่งมักจะมองเฉยๆ มากกว่าพูด นิสัยต่างกันนัก แต่กลับไม่ห่างเหินและสนิทสนมกันยิ่งนัก จื่อจิ้งขี้โม้โอ้อวดจนหลังคาจะพัง กระทั่งเสี่ยวซิงและซ่างกวนสุ่นฟังยังมองค้อนเขา แต่อีกสองตัวน้อยนั้นกลับฟังกันตาไม่กะพริบ


เสี่ยวซิงพูดไม่ออกจริงๆ


แต่อย่างนี้ก็ดีแล้ว แต่เดิมนางยังกังวลว่าจื่อจิ้งจะเข้ากับพวกเขาไม่ได้ ในเมื่อพวกเขาเข้ากันได้ก็นับเป็นเรื่องดี


อีกทั้งยามที่ลู่ยาไม่อยู่ จื่อจิ้งยังช่วยเตือนทั้งสองให้ฝึกฝนพลังด้วย ทำให้เสี่ยวซิงพอใจเขามากขึ้นหน่อย


ส่วนตัวเสี่ยวซิงเองก็ก้าวหน้าขึ้น นอกจากการชี้แนะของลู่ยา กลิ่นอายเซียนในสวรรค์ก็เข้มข้นนัก และยังสามารถซื้อผลไม้เซียนได้ตลอดเวลา มู่จิ่วยังนำยาเซียนมาให้เสริมกำลังอีก ความก้าวหน้าในสองปีนี้ของนาง ที่จริงมากกว่าห้าร้อยปีก่อนแล้วด้วยซ้ำ เพียงแต่ยังไม่อาจนับเป็นอะไรได้ แต่เดิมพวกปีศาจบำเพ็ญตนก็ไม่อาจเทียบได้กับมนุษย์อยู่แล้ว นางยังไม่อาจสู้กับพวกมนุษย์ได้


แต่ยังดีที่นางไม่ได้บำเพ็ญเพื่อไปต่อสู้ นางเป็นเพียงกระต่ายตัวหนึ่ง จะเก่งได้ขนาดไหนกันเชียว? ดังนั้นนางจึงบำเพ็ญเป็นเซียนกระต่ายอย่างสงบ อยู่เคียงข้างมู่จิ่วไปชั่วชีวิตก็พอ


แต่หากเจอคนมารังแก นางจะทำอย่างไร? จื่อจิ้งถาม


“รังแก? เห็นองค์ชายเจ็ดแห่งเขาเนินอารามอย่างข้าเป็นอะไร!”


ซ่างกวนสุ่นที่ผ่านทางมาไม่สบอารมณ์ โยนไชเท้าหัวใหญ่ที่อยู่ในตะกร้าใส่เขา


จื่อจิ้งรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายความรักบางอย่างจึงรีบหนีไป


ในบ้านสกุลกัวทางนี้ต่างคนต่างยุ่ง ส่วนความกดดันทางด้านลานสนเขียวก็ลดลงไม่น้อย


นอกจากเวลาพักผ่อนแล้ว ช่วงนี้กลับไม่เห็นเงาของหลินเจี้ยนหรู หัวชิงส่งคนมาจับตาดูเขามิใช่หรือ? เช่นนั้นก็มาเลย! ดูสิว่าจะจับตาดูไปได้ขนาดไหน ใช่ว่าหัวชิงจะจับร่องรอยที่เขาเดินทางไปทั่วได้ทั้งหมด!


เมื่อวานเขาเพิ่งกลับมาตอนเที่ยงคืน ตอนเช้าเขาก็ลุกขึ้นมาอาบน้ำเตรียมตัวจนเสร็จทั้งที่ยังห่างจากเวลาเข้ากะถึงครึ่งชั่วยาม


ทางนี้เพิ่งเปิดประตู หูเจียงเต๋อก็ยกอาหารเข้ามาด้วยรอยยิ้ม “ศิษย์พี่หลิน กินอาหารเช้าเถิด”


เขาพูดพลางวางปิ่นโตไว้บนโต๊ะ หยิบโจ๊กร้อนควันกรุ่นออกมา


หลินเจี้ยนหรูหันหน้ามองเขา เห็นเพียงใบหน้าที่แต่ก่อนเต็มไปด้วยความดูแคลนและรังเกียจกลับกลายเป็นยิ้มแย้มแจ่มใส จมูกที่เขาเอาเท้าเหยียบในวันนั้น ตอนนี้งองุ้มลงอย่างชัดเจน


หลินเจี้ยนหรูมองเขาอยู่ครู่หนึ่ง เห็นซาลาเปาบนโต๊ะ จงหยิบขึ้นมาลูกหนึ่งก่อนถาม “ให้ข้าหรือ?”


“ใช่แล้ว” หูเจียงเต๋อยิ้มสู้เสือ


“ไม่มีพิษ?” หลินเจี้ยนหรูหรี่ตาลง


“ไม่มีแน่นอน!” หูเจียงเต๋อชูมือขึ้นสาบาน


“ข้าไม่เชื่อ” หลินเจี้ยนหรูโยนซาลาเปาลงพื้น รินชาให้ตัวเองแก้วหนึ่ง “นอกจากเจ้าจะเก็บมันขึ้นมากิน”


หูเจียงเต๋อรู้สึกลำบากใจ แต่คิดๆ ดูแล้วตนเองยังเจ็บคอและจมูกอยู่ จึงกัดฟันก้มตัวลงไป


แต่ซาลาเปาลูกนั้นกลับกลิ้งไปถึงเท้าหลินเจี้ยนหรู เขาเหยียบมัน ดื่มชาไปพลาง เหยียบมันไปพลาง ก่อนเตะไปตรงหน้าหูเจียงเต๋อ “กินสิ”


หูเจียงเต๋อหน้าสั่น มองหลินเจี้ยนหรูอย่างไม่เชื่อสายตา


หลินเจี้ยนหรูเหลือบมองเขา ใบหน้าเผยความเย็นชาที่แสดงออกว่าไม่ให้เขาปฏิเสธ


“ศิษย์พี่หลิน…”


มุมปากหลินเจี้ยนหรูขยับน้อยๆ ยกชาขึ้นเอ่ย “ไม่อยากกินหรือ?”


“ไม่ๆ! ข้าจะกิน ข้าจะกิน” หูเจียงเต๋อรีบโน้มตัวลง หยิบซาลาเปาที่ไม่เหลือรูปเดิมขึ้นมา ยัด ‘ซาลาเปา’ ที่ไส้ข้างในทะลักออกมาหมดเข้าไปในปาก


หลินเจี้ยนหรูมองเขา หมุนแก้วในมือเบาๆ ใจกลับไม่ได้รู้สึกยินดีนัก


หากวันนั้นเหลียงชิวฉานช้าไปกว่านั้นก้าวนึง แม้แต่เขาก็ไม่รู้ว่าผลลลัพธ์จะเป็นเช่นไร


หากหลินเจี้ยนหรูต้องการฆ่าหูเจียงเต๋อก็เป็นเรื่องง่ายดายนัก แต่เขาไม่รู้สึกว่าทำเช่นนี้จะมีความหมายอะไร


หากฆ่าคนเพื่อล้างแค้น เช่นนั้นเขาก็เพียงไปฆ่าจีหมิ่นจวินที่สำนักแรกพยับเสียเลย…ไม่สิ ถ้าฆ่านางเขาอาจยังรู้สึกสาแก่ใจ อย่างไรนางก็อยู่คนละระดับกับหูเจียงเต๋อ แต่ก่อนอื่นเขาควรทำให้นางรู้สึกอยู่มิสู้ตายก่อน จากนั้นค่อยให้นางตายไม่ใช่หรือ?


ตอนนั้นหลินเจี้ยนหรูจึงยอมปล่อยให้หูเจียงเต๋อมีโอกาสรอใครผ่านมา ที่เขายอมปล่อยมิใช่เพราะเหลียงชิวฉาน และยิ่งมิใช่เพราะว่ากลัวสำนักแรกพยับ


หากบอกว่าแต่ก่อนเขายังสะกดตนเองไว้ ตอนนี้ก็นับว่าไม่มีแล้ว


ไม่ว่าใครมายั่วยุเขา เขาสามารถทำแบบเดียวกับที่ทำกับหูเจียงเต๋อได้ หากควบคุมไม่ได้ก็ฆ่าเสียก่อน หากคุมได้ก็เก็บไว้ทรมาน


ตอนนี้เขาเพียงรอดูว่าใครจะทนไม่ได้ก่อน


หลินเจี้ยนหรูดื่มชาไปครึ่งแก้ว หูเจียงเต๋อก็กินซาลาเปาจนหมด เขายืดคอกลืนคำสุดท้ายลงไป ก่อนเอ่ย “ศิษย์พี่หลินโปรดดู มันไม่มีพิษ! ข้าไม่กล้าวางพิษในอาหารของศิษย์พี่หรอก!”


เหลียงชิวฉานเตือนเขาว่า ‘จงอยู่ให้เป็น’ ตอนแรกเขายังกลัว แต่ตอนหลังพบว่าหลินเจี้ยนหรูจะกลับมาหรือไม่ กลับมาตอนไหน เขาก็ไม่รู้ทั้งสิ้น ไม่ต้องพูดถึงเรื่องจับตาหรือไม่จับตามองเลย เขากลัวว่าจะไม่มีเรื่องอะไรไปรายงานหัวชิง แต่ก็ไม่กล้ากลับไปฟ้องเหมือนกัน คิดไปคิดมาเลยทำได้เพียงทำใจกล้าเข้าใกล้หลินเจี้ยนหรู รักษาความสัมพันธ์ไว้ก่อนค่อยว่ากัน


“ไม่มีพิษ? เป็นไปไม่ได้กระมัง” หลินเจี้ยนหรูมองโจ๊กที่เหลืออยู่ จากนั้นเรียกนกกระเต็นเข้ามา มือหนึ่งคว้าคอไว้ มือหนึ่งป้อนขนมเข้าไปในปากมัน จากนั้นส่งพลังเข้าท้องมันสักหน่อย นกตัวนั้นก็ตายในมือเขาทันที เขาแบมือพูด “ตายแล้วนี่ไง หากไม่มีพิษ มันจะตายได้อย่างไร?”


………………………………………………


บทที่ 333 คนงานยุ่ง

โดย

Ink Stone_Romance

สีหน้าของหูเจียงเต๋อเดี๋ยวซีดเดี๋ยวเขียวคล้ำ ลุกขึ้นมาจากพื้น “นี่ นี่เห็นชัดว่าศิษย์พี่…”


“ข้าวางยาเอง?” หลินเจี้ยนหรูไม่มองเขา “ข้าจะวางยาตนเองอย่างนั้นหรือ?”


หูเจียงเต๋อรู้สึกคาวที่คอ ซาลาเปาที่ยังคงติดอยู่ถูกตีย้อนขึ้นมาเพราะความโกรธ เกือบจะอาเจียนออกมา


…เขาไม่เคยเจอคนที่เลวร้ายไร้ยางอายเช่นนี้มาก่อน! นกนั่นตายเพราะพลังของหลินเจี้ยนหรูชัดๆ แต่อีกฝ่ายกลับบอกว่ามันตายเพราะถูกวางยาในอาหาร! และยังพูดได้อย่างนิ่งเฉย…เจ้าลูกนอกสมรสที่ถูกคนรุมด่าทอ ตอนนี้กลับกลายเป็นคนโหดเหี้ยมไปแล้ว!


เขากำหมัดแน่น ทั้งร่างกำลังสั่นสะท้าน


เขาอยากจะชักกระบี่เข้าสั่งสอนหลินเจี้ยนหรูให้หนักสักครั้ง ถีบกลับลงโคลนตมไปแล้วด่าประณาม แต่เขากลับยกขาไม่ขึ้นเพราะไม่กล้า วันนั้นเขาเกือบตาย ร่องรอยนั้นยังคงอยู่บนร่างเขา เขาไม่กล้าเอาความเป็นความตายของตัวเองไปเสี่ยง…


“ศิษย์พี่โปรดไว้ชีวิต!”


เข่าทั้งสองของเขาอ่อนยวบ คุกเข่าลงไปดังตุ้บ “ข้าผิดเอง ข้าไม่ควร…”


หลินเจี้ยนหรูไพล่มือยิ้มเยาะ ไม่ได้เอ่ยคำ แววตาเย็นชาจนทำให้คนที่ได้มองตัวสั่น


นี่สิคือท่าทางของคนไร้ค่า


เมื่อก่อนเขาก็ถูกกดดันจนจนตรอกเช่นนี้ ทำได้เพียงถอยหลังรักษาชีวิตไว้


แต่ตอนแรกใช่ว่าเขาจะยินยอม จนกระทั่งถูกอัดจนน่วมถึงได้ก้มหัวให้ ในภายหลังเขาจึงจำต้องเรียนรู้ที่จะสงบเสงี่ยม ก่อนที่พวกเขาจะลงมือก็เอ่ยปากอ้อนวอน ทำเรื่องน่ารังเกียจที่แม้แต่ตนเองยังไม่อยากหวนกลับไปคิดถึงชั่วชีวิตเพื่อเอาใจพวกเขา


ท่าทางเช่นนี้ของหูเจียงเต๋อทำให้เขาเหมือนเห็นตนเอง เขายกเท้าขึ้นเตะ มองหูเจียงเต๋อกลิ้งลงไปกับพื้น เลือดไหลออกจากจมูก!


เขาอยากฆ่าจริง


เขาอยากฆ่าหูเจียงเต๋อที่กำลังดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอด เหมือนกับฆ่าตนเองที่อ้อนวอนขอความเมตตาเมื่อครั้งอดีต!


เขาตามเข้าไปอีก หูเจียงเต๋อร้องไห้เสียงดัง ล้มลุกคลุกคลานหนีเอาชีวิตรอด


เขาติดตามไปอย่างไม่ลดละ ไม่ได้ใช้พลังเลยแม้แต่น้อย ใช้เพียงสัญชาตญาณดิบไล่ฆ่าอีกฝ่าย สมัยเขาอยู่สำนักแรกพยับ ยามเผชิญหน้ากับคนที่ความจริงแล้วไม่ได้เรื่องพวกนั้น เขาก็หนีเอาชีวิตเช่นนี้ ตอนแรกเขาไม่ร้องไห้ไม่ตะโกน ตอนหลังทนไม่ไหว น้ำตาไหล อ้อนวอนขอชีวิตเช่นกัน!


เขาร้องไห้ไม่เป็นนานแล้ว น้ำตาเหือดแห้งไปในช่วงปีนั้นจนหมด


แต่เขาก็ยังรังเกียจหูเจียงเต๋อที่เป็นแบบนี้ รังเกียจภาพตนเองในอดีตที่สะท้อนออกมาจากตัวหูเจียงเต๋อ


หลินเจี้ยนหรูจับคอเสื้อของหูเจียงเต๋อขึ้นมา จากนั้นสะกดจุดเขา ยกมือขึ้นตบหู ก่อนกระชากผมเหวี่ยงไปกระแทกกำแพงอย่างหนักหน่วง หูเจียงเต๋อที่ร้องไม่ออกใบหน้าเต็มไปด้วยเลือด ปากจมูกอ้ากว้าง หายใจราวกับที่สูบลม ไม่มีเสียงใด เหลือเพียงความหวาดหวั่นในดวงตา


หลินเจี้ยนหรูมองเขาอยู่นานแล้วพลันปล่อยตัวไป คลายจุดใบ้ที่ถูกสะกดไว้ออก แล้วลุกขึ้นมาอย่างโงนเงน


หูเจียงเต๋อตัวสั่นเทิ้มราวสุนัขในลมหนาว สั่นงันงกอยู่ริมผนัง นอกจากความหวาดหวั่นแล้วยังมีความกลัวเกรง


หลินเจี้ยนหรูยืนหันหลังให้เขาอยู่นาน จากนั้นหมุนตัวมา ใช้แขนเสื้อเช็ดเลือดบนใบหน้าออกก่อนถาม “อยากมีชีวิตอยู่หรือไม่?”


หูเจียงเต๋อมองเขาอย่างว่างเปล่า ลูกกระเดือกขยับขึ้นลง แล้วจึงพยักหน้า


เขาพูด “อยากมีชีวิตอยู่ก็ต้องเชื่อฟัง เหมือนอย่างนี้ เหมือนสุนัขตัวหนึ่ง”


หูเจียงเต๋อพุ่งเข้ามาที่เท้าเขา “ข้าจะเชื่อฟัง ข้าจะเชื่อฟัง ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปข้าจะเป็นสุนัขรับใช้ของศิษย์พี่!”


หลินเจี้ยนหรูหยิบโจ๊กบนโต๊ะมาสาดลงบนพื้น จัดเสื้อผ้าแล้วเดินจากไป


หูเจียงเต๋อไม่พูดพร่ำทำเพลง ก้มหน้าลงกินโจ๊กเหล่านั้น


เขารอดมาจากน้ำมือยมบาลได้สองครั้งแล้ว เขาไม่กล้าขัดขืนอีก


หลินเจี้ยนหรูคือคนเสียสติ เป็นมารร้าย อย่างไรเขาก็ไม่มีวันสู้ได้!


เหลียงชิวฉานเดินเข้ามาในประตูลานบ้านที่ว่างเปล่าและเงียบงัน มองทะลุเข้ามายังประตูที่เปิดอยู่ เห็นหูเจียงเต๋อกำลังคุกเข่าเลียโจ๊กบนพื้น แววตาพลันเต็มไปด้วยความตระหนก!


นางพลันหันหน้าไปมองหลินเจี้ยนหรูที่เดินจากไปไกลแล้ว จากนั้นหันกลับมามองหูเจียงเต๋อในห้อง ความรู้สึกที่อยากจะเข้าไปห้ามในร่างกายที่แข็งเกร็งค่อยๆ หายไป


ภาพนี้ทำไมคุ้นตานัก…


ตอนนั้นพวกจีหย่งฟางก็เคยบังคับให้เขาทำแบบนี้


นางจำได้ว่าเขาเคยเลียโจ๊กบนพื้นจนสะอาดหมดจด พี่น้องตระกูลจีถึงได้ยอมปล่อยไป หลังจากนั้นเขาเป็นอย่างไรนางไม่รู้ แต่จำได้ว่าหลายวันให้หลังเขาขาดคาบเรียนตอนเช้า จึงถูกหัวชิงลงโทษให้ไปเก็บฟืนเป็นเวลาหนึ่งเดือน


นางมองหูเจียงเต๋ออยู่นาน วางมือที่จะแง้มประตูเปิดลง ก่อนจากไปอย่างช้าๆ


หลิวจวิ้นคิดไว้อย่างรอบคอบแล้วจริงๆ ถึงแม้หลีหังแค่เล่าเรื่องที่เคยไปคลื่นจิตพสุธาเท่านั้น แต่ช่วงนี้ในฝ่ายทหารมีคำสั่งลงมาบ่อยๆ ไม่เพียงขอให้หน่วยลาดตระเวนกวดขันคดีที่รับผิดชอบยิ่งขึ้น แต่ละหน่วยที่เหลือก็ควบคุมเข้มงวดมากกว่าเดิม แน่นอนว่าไม่ใช่ว่าทุกคนจะรู้เรื่องคลื่นจิตพสุธา แต่หลิวจวิ้นจับทางลมได้ถูกในเรื่องนี้


คลื่นจิตพสุธาเป็นสถานที่สำคัญ ยิ่งเมื่อที่นั่นถูกสร้างเขตพลังไว้ แน่นอนว่าสวรรค์ในฐานะ ‘ผู้ปกครอง’ ที่รักษาความสงบของหกภพย่อมไม่อาจมองข้าม


แต่เดิมมู่จิ่วเข้าใจว่าเพียงไปลาดตระเวนที่ประตูสวรรค์แดนใต้เท่านั้น ไม่ได้คิดเลยว่าจะไม่สบายอย่างที่คิด นอกจากจะมีเวลาพักเพียงครึ่งชั่วยามในการผลัดกันสี่กะแล้ว เวลาที่เหลือต้องวิ่งรอกตลอด ดีที่นางเป็นคนอดทน การลาดตระเวนเช่นนี้ไม่นับเป็นอะไร


ช่วงนี้ลู่ยายุ่งอย่างมาก มู่จิ่วรู้ว่าเขากำลังยุ่งเรื่องหงชาง แต่ไม่รู้ว่าเขาได้ผลลัพธ์อะไรมาบ้าง อย่างไรช่วงนี้ก็มีหลายวันที่ไม่ได้กินข้าวร่วมโต๊ะ เรื่องเดินไปดูดาวด้วยกันยิ่งไม่มี


ช่วงว่างนางอยู่บ้านครึ่งวัน เห็นเขารีบร้อนเดินกลับเข้ามาพอดี “พวกเราไปดูการร่ายรำกันดีหรือไม่? เถ้าแก่หงส์มีการแสดงเรื่องใหม่ที่ร้าน”


ลู่ยาครุ่นคิดสักครู่หนึ่ง “วันอื่นเถอะ วันนี้ข้ามีเรื่องด่วน อีกสักครู่ต้องออกไปอีกแล้ว”


พูดจบก็เข้าไปหยิบของสักอย่างในห้อง จากนั้นลูบท้ายทอยนาง มือคว้าจื่อจิ้งที่อยู่แถวนั้น ก่อนหายไปในพริบตา


มู่จิ่วตามพวกเขาไม่ทัน ทำได้เพียงปล่อยวาง แล้วจึงชวนเสี่ยวซิงกับอิ่นเสวี่ยรั่วไปชมการแสดงด้วยกัน


ทั้งสามสาวสั่งอาหารมาเล็กน้อยกับเหล้าหนึ่งกา นั่งอยู่บนแท่นเมฆ ชมการแสดงในศาลาริมน้ำ นับว่ารื่นรมย์ดี


ตอนนี้ชีวิตความเป็นอยู่ในโลกมนุษย์นับวันยิ่งดี เทพเซียนที่ไปเดินเล่นในโลกมนุษย์มากขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งสำหรับพวกเขาแล้วระยะทางไม่ใช่ปัญหาแม้แต่น้อย การค้าบนสวรรค์เลยลำบากขึ้นทุกที


สองปีที่ผ่านมานี้เถ้าแก่หงส์จึงมีการแสดงร่ายรำให้ดูเพื่อคงบรรยากาศคึกคักและเรียกแขกมา อย่างเช่นไม่นานมานี้ก็เชิญเซียนที่ร่ายรำทำเพลงเป็นมาร้องเพลงทุกสามวันห้าวัน หรือส่งเซียนรับใช้ไปเรียนการเล่าเรื่องจากโลกมนุษย์ สรุปคือเถ้าแก่หงส์เป็นคนทำการค้าเป็น


เวทีแสดงถูกสร้างอยู่กลางทะเลสาบ ส่วนผู้ชมนั่งอยู่บนแท่นเมฆล้อมรอบเวที มีภาพลวงตาเป็นอาคารบ้านช่อง ดูกว้างขวางสวยงาม พอเวลากลางวันก็เก็บเอาพวกบ้านช่องเวทีพวกนี้เข้าไป จึงไม่กระทบกับการค้าขาย


………………………………………..


บทที่ 334 คิดแผนชั่วช้า

โดย

Ink Stone_Romance

ยามที่มู่จิ่วดูงูขาวงูเขียวจับสวี่เซียนยกขึ้น เสี่ยวซิงพลันเขย่าตัวนาง “เจ้าดูนั่น หลินเจี้ยนหรู”


หลินเจี้ยนหรู?


มู่จิ่วมองไปตามทางที่นางชี้ เห็นเขานั่งอยู่บนแท่นเมฆเยื้องไปฝั่งตรงข้าม ด้านข้างมีสหายหน่วยลาดตระเวนอยู่ด้วยจำนวนหนึ่ง พวกเขาเห็นนางมองมาพอดีจึงโบกมือขึ้นทักทาย นางก็ยกมือขึ้นตอบเช่นเดียวกัน แต่หลินเจี้ยนหรูกลับเพียงเหลือบมองนางนิ่งๆ ก่อนชมการแสดงต่อไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น


มู่จิ่วชะงัก แล้วจึงละสายตากลับมาเช่นกัน


หลังจากที่ปฏิเสธไปเมื่อคราวก่อน เขาก็ไม่ได้ปรากฏตัวมาอีกเลย โดยปกติเขารู้จักวางตัวมาตลอด ถึงแม้นางจะเป็นเพียงคนผ่านทางเขาก็ยิ้มน้อยๆ ให้ได้ แต่ตอนนี้เหลือเพียงความเย็นชา เป็นไปได้ว่ายังคงติดใจเรื่องเมื่อคราวก่อนอยู่


มู่จิ่วก็ไม่ได้นึกเสียใจ เพราะนางเตรียมใจไว้แต่แรกแล้ว


อันที่จริงหลินเจี้ยนหรูเห็นมู่จิ่วนานแล้ว


แต่เห็นแล้วอย่างไร? นางทอดทิ้งเขาไปแล้ว!


เขาดูการแสดงบนเวที มุมปากยิ้มเหยียด


“ศิษย์พี่หลิน ศิษย์พี่หญิงฝากมาบอกให้ท่านกลับไปเสียหน่อย”


ระหว่างกำลังครุ่นคิดอยู่ก็พลันมีคนมาสะกิดแขนเขา


เขาหันไป เห็นเพียงสหายที่อยู่ร่วมลานบ้านเดียวกันยิ้มตาหยีประจบ


เขาเข้าใจว่าแค่ล้อเล่นจึงยิ้มๆ และไม่ได้สนใจ ไหนเลยจะรู้ว่าอีกฝ่ายกลับทำสีหน้าจริงจัง “ข้าไม่ได้ล้อท่านเล่น เป็นเรื่องจริง ก่อนข้ามาหูเจียงเต๋อได้รับสารกระเรียนกระดาษจากสำนักแรกพยับ แม่นางเหลียงพบเข้าพอดีจึงให้ข้ามาบอก บางทีสำนักของท่านอาจเกิดเรื่องอะไรขึ้น ท่านลองไปดูเถิด”


หลินเจี้ยนหรูถึงได้เชื่อ


แต่สำนักแรกพยับมีจดหมายถึงหูเจียงเต๋อ เกี่ยวอะไรกับเขาด้วย?


เขานิ่งเงียบ แต่สุดท้ายก็ลุกขึ้น


ทางด้านลานสนเขียว มือทั้งสองของหูเจียงเต๋อยังคงสั่นเทา


เหลียงชิวฉานขู่เขา “เจ้ากลัวอะไร? ในเมื่ออาจารย์ส่งเจ้ามา ช้าเร็วเจ้าก็ต้องกลับไปรายงาน”


หูเจียงเต๋อกลืนน้ำลายลงคอ พุ่งเข้าไปคุกเข่าต่อหน้านาง “ข้าไม่รู้ว่าจะพูดอะไรจริงๆ ศิษย์พี่โปรดช่วยชี้แนะด้วย!”


“มีอะไรพูดไม่ได้กัน เจ้าเพียงต้องจำไว้ว่าหากพูดไม่ดีก็อาจตายด้วยน้ำมือข้า”


เหลียงชิวฉานยังไม่ทันตอบ เสียงของหลินเจี้ยนหรูก็ลอยเข้ามาจากด้านนอก เขาก้าวเข้าประตูมาแล้วเดินไปหยุดตรงหน้าหูเจียงเต๋อ เหลือบตาลงมองจากด้านบน จากนั้นดึงกระดาษที่คลี่ออกในมืออีกฝ่ายขึ้นมาดูก่อนโยนใส่หน้า “ยังนิ่งอึ้งอยู่อีก? อยากให้ข้าไปเป็นเพื่อนเจ้าหรือ?”


สีหน้าของหูเจียงเต๋อซีดขาวตั้งแต่เขาปรากฏตัว รีบลุกขึ้นออกเดินทางทันที


เหลียงชิวฉานรอจนเขาลับสายตาไปถึงหันมาจ้องหลินเจี้ยนหรู “เจ้าต้องทำเช่นนี้ให้ได้หรือ?”


“เช่นนี้แล้วอย่างไร?” เขาพูดเรียบๆ “เทียบได้กับหนึ่งในสิบของสิ่งที่พวกเจ้าทำกับข้าหรือ?”


เหลียงชิวฉานนิ่งอึ้ง เหม่อมองเขาที่จากไปแล้วเช่นกัน


มู่จิ่วกลับบ้านหลังจากชมการแสดงเสร็จ ลู่ยายังไม่กลับมา แต่เมื่อดูจากกระจกสำริดในห้องเขา ก็เห็นว่าเขากำลังนั่งเฝ้าอยู่ที่เขาลูกหนึ่ง ยามกลางคืนมองไม่ชัดว่าเป็นที่ไหน และก็มองไม่เห็นโครงร่างของเขา รู้เพียงสถานการณ์คร่าวๆ เท่านั้น


เขาสบายดีก็พอแล้ว


หลังจากอาบน้ำกลับห้อง นางหยิบยันต์ขึ้นมาหลายแผ่น ถือโอกาสรอเขากลับมาด้วยเลย


ลู่ยาอยู่ที่หงชาง


ที่จริงเขาก็อยากไปดูการแสดงเป็นเพื่อนนาง แต่ตอนนี้ไม่อาจไปได้ เขามีเรื่องเร่งด่วนสำคัญต้องทำ


กลับจากคลื่นจิตพสุธาคราวก่อนเขาอารมณ์เสียไปหลายวัน เขาเป็นต้นกำเนิดพลังสายเสวียนหมิง ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นไปไม่ได้ที่จะมีคนใช้พลังเสวียนหมิงมาขวางทางเขา แต่มันกลับเกิดขึ้น…ตอนแรกเขามัวแต่จับจดอยู่กับตัวตนของคนผู้นี้ แต่ตอนหลังเขานึกขึ้นได้ว่าเรื่องที่หงชางยังไม่จบ และเรื่องทั้งสองก็แปลกพอกัน เขาจึงกลับมาให้ความสนใจเรื่องการหายไปของจุ่นถีอีกครั้ง


ตาข่ายที่เขาสร้างไว้วันนั้นยังอยู่ ช่วงหลายวันมานี้เขาเฝ้าอยู่ที่หงชาง


การมาเฝ้าที่หงชางไม่ใช่เพราะว่าเขามีหลักฐานแน่ชัด แต่ส่วนหนึ่งเป็นเพราะลางสังหรณ์ อีกส่วนหนึ่งเกิดจากการคาดเดา


ตามที่จื่อจิ้งบอก จื่อเย่าเจินเหรินผู้นั้นมาจากสวรรค์อันสูงส่ง เขาเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ส่วนที่สงสัยคือเซียนที่กำเนิดมาจากหลินจือจะได้รับเกียรติจากจุ่นถีได้อย่างไร? แต่ส่วนที่เชื่อคือหากจุ่นถีกับจื่อเย่าเจินเหรินไม่ได้รู้จักกันบนสวรรค์อันสูงส่งก่อน จุ่นถีคงไม่มีท่าทีสนิทสนมกับเขาเช่นนั้น


ตอนนี้เขายังไม่มีหลักฐานยืนยันว่าปัญหาอยู่ที่จื่อเย่าแน่นอน


และไม่สามารถยืนยันว่าจื่อเย่าคือชายชุดเขียว


แต่ปัญหาทั้งหมดในตอนนี้ คำตอบอยู่ที่การหาตัวจุ่นถีให้เจอ


อย่างไรหากชายชุดเขียวไม่ปรากฏตัวมาเขาก็หาไม่พบ จึงทำได้เพียงเฝ้าอยู่ที่นี่


หลายวันมานี้แม้จะไม่ได้ผลลัพธ์อะไร ในหงชางก็ดูสงบนัก ไม่ต้องเอ่ยถึงเหล่าเทพเซียน แม้แต่มนุษย์เดินดินก็ไม่มีให้เห็น ทำให้เขารู้สึกว่าตนเองคิดผิดไปหรือไม่ เพราะพวกเขาไม่น่าทนได้นานขนาดนี้ และจุ่นถีไม่น่าจะสามารถรับรู้ถึงตาข่ายสวรรค์ของเขาได้ ถึงแม้อาคมของเขาก้าวหน้าขึ้นก็ไม่อาจก้าวหน้าได้เร็วขนาดนี้ แต่…ทั่วทั้งสี่ทะเลเก้าทวีปล้วนเงียบสงบ ทำให้เขายิ่งมั่นใจในการคาดเดานี้ เขาเชื่อว่าพวกจุ่นถียังอยู่ที่หงชางแน่!


ดังนั้นตกบ่ายเขาจึงครุ่นคิด ก่อนกลับสวรรค์ไปลากจื่อจิ้งออกมา


เมื่อกลับมาถึงหงชางจึงกล่าวขึ้น “อีกสักพักข้าจะขับเคลื่อนพลัง เจ้าเพียงร่ายมนตร์โชคร้ายไปยังตาข่ายสวรรค์นั่น”


จื่อจิ้งไม่เข้าใจ “ท่านวางแผนชั่วร้ายแกล้งใครอีก?”


ลู่ยากวาดตามองเขา ไม่ได้พูดอะไรด้วยมากนัก เพียงแค่บอกว่าอีกสักพักต้องทำอย่างไร จากนั้นก็นั่งขัดสมาธิกลางอากาศ แล้วร่ายคาถาไปยังตาข่ายสวรรค์ที่ปกคลุมทั้งสี่ทิศบนเขา


จื่อจิ้งไม่กล้าขัดคำสั่ง แน่นอน เขาย่อมไม่อาจยอมรับว่าตนจัดการลู่ยาไม่ได้ เพียงแต่แค่เห็นอีกฝ่ายทำมานานขนาดนี้ก็ยังไม่สำเร็จจึงช่วยเสียหน่อยเท่านั้น อันที่จริงเขาก็มีใจชอบช่วยเหลือผู้อื่นอยู่


จื่อจิ้งจึงทำตามที่ลู่ยาสั่ง


รอจนพลังของลู่ยาปกคลุมทั้งภูเขา ไม่นานก็ค่อยๆ รู้สึกว่าทั้งตาข่ายสวรรค์ค่อยๆ สั่น เขาเล็งเส้นเล็กๆ ที่คล้ายไหมเส้นหนึ่งบนนั้น แล้วส่งมนตร์โชคร้ายไปทันควัน!


ลู่ยาเก็บพลังเข้ามา ตาข่ายสวรรค์จึงค่อยๆ กลับคืนสู่สภาพเดิม


ช่วงเวลาที่เขาร่ายคาถาสั้นเสียจนคนไม่อาจสังเกตเห็น


แต่จื่อจิ้งรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ค่อยสมเหตุผลนัก เขาจึงถาม “ท่านมั่นใจได้อย่างไรว่าวิธีนี้ใช้ได้ผล? หากไม่มีคนโดนมนตร์นั้นเข้าล่ะ?”


มนตร์โชคร้ายของเขาถึงแม้จะขลัง แต่ก็ต้องโดนตัวเสียก่อนจึงจะได้ผล ภูเขาลูกใหญ่ขนาดนี้ ถึงแม้ซ่อนอยู่ที่นี่จริง ใครจะรู้ว่ามันจะโดนพวกเขาเข้าแน่ๆ?


“ถึงแม้จะไม่โดนคน ก็ต้องโดนสัตว์อะไรบ้าง หรือหากไม่มีสัตว์เดินผ่านก็ต้องมีใบไม้ดอกไม้ร่วงหล่นบ้างมิใช่หรือ?” ลู่ยาก้าวช้าๆ สะบัดเสื้อ “และถึงแม้ไม่โดนพวกใบไม้ดอกไม้ก็ยังมีธุลีดิน เพียงแค่มีธุลีดินโดนมนตร์ของเจ้าเข้า มันจะต้องแสดงปฏิกิริยาออกมาบ้าง เรื่องหลายเรื่องก็จะหลุดจากการถูกควบคุม ย่อมต้องเป็นปัญหาไม่ช้าก็เร็ว”


จื่งจิ้งขมวดคิ้ว ยังคงเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง สายตาจับจ้องไปยังยอดเขาที่มืดครึ้ม


…………………………..


บทที่ 335 สามีของอาจารย์อา

โดย

Ink Stone_Romance

จื่อจิ้งรู้สึกจนปัญญาอยู่บ้าง


แต่จะเป็นม้าหรือเป็นลาก็ไหลไปตามน้ำก่อน


ลู่ยาคิดแผนไว้เรียบร้อยแล้ว ความเหนื่อยยากในหลายวันมานี้ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น หากไม่มั่นใจเขาคงไม่ไปลากจื่อจิ้งมา นอกเสียจากจุ่นถีจะไม่ได้อยู่ที่นี่ แต่ขอเพียงเขาอยู่ที่นี่ อย่างไรหางก็ต้องโผล่ออกมา!


ทั้งสองนั่งจับตามองอยู่บนเมฆเหนือหงชาง บนเขาเข้าสู่ฤดูหนาวแล้ว ใบไม้ต้นไม้ต่างแห้งไปหมด เหล่าสัตว์พากันจำศีล ลมเหนือพัดส่งเสียงหวีดหวิว ใบไม้ร่วงปลิวว่อน หนาวเหน็บเหงาหงอยยิ่งนัก สองคนนั่งเบื่ออยู่บนเมฆจนอยากจะงีบหลับ ทั้งยังดูน่าเวทนาอย่างบอกไม่ถูก ราวกับเป็นคนจรจัดที่กำลังหนาวและหิว รวมถึงไม่มีบ้านให้กลับด้วย


จื่อจิ้งจ้องมองดาวในคืนหนาวพลางหาวหวอด เขาลุกขึ้นกำลังจะขอตัวจากไปก่อน ก็พลันได้ยินเสียงมาจากพุ่มไม้บนเขา เขากลั้นหายใจมองตามไป ลู่ยาก็ยืดคอมอง จากนั้นมีหัวกลมๆ โผล่ออกมาจากในพุ่มไม้! หัวนี้มองไปซ้ายขวาก่อนจะหันกลับไป และด้านหลังก็มีหัวโผล่ออกมาอีก!


หลังของลู่ยายืดตรงขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว!


“มาแล้ว! มาแล้วจริงๆ!” จื่อจิ้งผลุงขึ้นมาร้องเสียงดัง


ลู่ยาได้ยินเขาพูดก็รู้สึกว่าไม่ดี เสียงเพิ่งจะดังขึ้น สองหัวนั้นก็พลันหลบกลับเข้าไปในพุ่มไม้ดังคาด! แต่ลู่ยาจะปล่อยพวกเขาไปได้อย่างไร? พูดเหมือนช้าทว่าความจริงเร็ว ไม่ทันได้กะพริบตาเขาก็ไปอยู่ตรงหน้าพวกเขาแล้ว มือข้างหนึ่งจับตัวหนึ่ง ดึงพวกเขาออกมาจากในเขตพลัง!


“ช่วยด้วย ช่วยด้วย! อาจารย์ช่วยด้วย!”


เสียงเด็กน้อยสองเสียงดังขึ้นมาตรงไหล่เขา ร่างสูงไม่ถึงสามฉื่อแขวนอยู่กลางอากาศ แขนขาอวบอ้วนเหมือนรากบัวเหวี่ยงไปมาไม่หยุด


“อาจารย์ของพวกเจ้าคือใคร? เขามีนามว่าอะไร?” จื่อจิ้งรีบพุ่งเข้ามา เชิดหน้าขึ้นถามพวกเขา


“ซี่…ซี่มู่เหยา” เด็กน้อยทางฝั่งซ้ายตอบเขาด้วยเสียงเล็กๆ ขณะร้องไห้


“มู่เหยา?” เมื่อลู่ยาได้ยินชื่อนี้ก็พลันยกยิ้ม ถึงแม้ลู่ยาจะไม่รู้จักศิษย์พี่ของมู่จิ่ว แต่เมื่อได้ยินชื่อนี้แล้ว อย่างไรก็หนีไม่พ้น! สองคนนี้คือหลานศิษย์ของจุ่นถี ในที่สุดหางก็โผล่มาให้เขาจับจนได้ พวกเขาหลบซ่อนอยู่ที่นี่ ไม่ได้ไปไหนไกลจริงๆ!


จื่อจิ้งก็รีบคืนสติกลับมา เดิมทีเขาไม่เชื่อ ตอนนี้กลับต้องเชื่อแล้ว คิดไม่ถึงว่าสุดท้ายลู่ยาจะจับได้จริง! จึงรีบถาม “พวกเจ้าออกมาจากไหน? คนอื่นล่ะ?”


“เมื่อครู่อาจารย์พาพวกเรามานั่งใต้ต้นเหมย ไม่รู้ว่าใครทำรังต่อบนนั้นพัง ตัวต่อต่อยอาจารย์ อาจารย์กลัวพวกเราจะโดนต่อยด้วย จึงผลักพวกเราออกมา ข้าก็ไม่รู้ว่าออกมาได้อย่างไร!” เด็กอ้วนทางขวาพูดพลางปาดน้ำตา


คนนี้เป็นเด็กผู้ชาย


ครั้นเห็นเขาร้องไห้ เด็กหญิงทางซ้ายก็ร้องตามเสียงดัง “อาจารย์! ข้าอยากหาอาจารย์!”


ทั้งสองร้องเป็นจังหวะเดียวกัน ก่อนจะนั่งลงไปร้องไห้โฮบนพื้น ภูเขาที่เมื่อครู่ยังสงบเงียบ ตอนนี้กลับถูกเสียงร้องไห้ดังสนั่นราวฟ้าคำรามทำลายความสงบไป ลู่ยายืนหลังตรงก่อนเอ่ย “พวกเจ้าลุกขึ้นมา”


สองเด็กน้อยไหนเลยจะฟัง


ลู่ยาจนปัญญา เขาพูดอีกว่า “พวกเจ้าลุกขึ้นมาพูด!”


ทั้งสองกลับยิ่งร้องไห้หนักขึ้น อีกทั้งในต้นไม้ที่ห่างไกลออกไปยังมีดวงตาสีเขียวของหมาป่าสว่างเรืองรอง!


ปกติลู่ยาเจอคนรับมือยากมาหลายรูปแบบ แต่ตอนนี้กลับไม่รู้จะทำอย่างไร จะตีก็ตีไม่ได้ จะด่าก็ด่าไม่ได้ ทำได้เพียงเรียกจื่อจิ้ง “เจ้าจัดการที!”


จื่อจิ้งขนหัวลุก “ท่านยังจนปัญญา แล้วข้าจะทำได้อย่างไร? ข้าเองก็ยังเป็นเด็กอยู่เลย!”


ลู่ยาไม่พูดพร่ำทำเพลง ดึงเขาไปอยู่ตรงหน้าเจ้าพวกเด็กขี้แย “หากทำไม่ได้ อย่าคิดจะกลับสวรรค์!”


จื่อจิ้งลอบด่าเขาในใจ ถูกบีบจนไร้หนทาง ทำได้เพียงนั่งยองลงไป มองทั้งสองคนนั้นเงียบๆ


“อย่าร้องๆ ถ้าร้องปีศาจจะออกมา!” เขาขู่


เด็กทั้งสองชะงักเล็กน้อย ก่อนจะยิ่งร้องเสียงดังขึ้น


จื่อจิ้งขนหัวลุก รีบยอบตัวลงหยอกล้อพวกเขา ก่อนจะเอาขนมงาตัดที่ทั้งกรอบทั้งหอมออกมาหลายชิ้น “ใครเงียบก่อนจะได้กินขนมงาตัด!”


วิธีนี้นับว่าได้ผล เพิ่งพูดไปเสียงร้องไห้อันน่ากลัวก็พลันหยุดลง เจ้าเด็กอ้วนกลมทั้งสองน้ำตาคลอมองขนมงาตัดในมือเขา สะอึกสะอื้นไปพลางน้ำลายไหลไปพลาง ก่อนจะนั่งสงบเสงี่ยมทันที


จื่อจิ้งหักแบ่งขนมส่งให้พวกเขาทั้งสอง ก่อนเอ่ย “ไม่ให้ร้องแล้ว หากร้องอีกข้าจะเก็บขนมนี่ไป!”


ตอนนี้แม้แต่เสียงสะอึกสะอื้นก็เงียบหาย


ลู่ยาจึงค่อยเดินเข้ามาอย่างพอใจ นั่งยองลงไปพูด “พวกเจ้าชื่ออะไร?”


เด็กชายชี้เด็กหญิงที่ค่อยๆ ก้มหน้าแกะห่อขนม “นางคือซี่ชิงถง ข้าซี่ชิงเหมย” ตาทั้งสองเลื่อนมาหาเขาอย่างรวดเร็ว “ท่านเป็นใครหรือ?”


“ข้าหรือ ข้าคือสามีของอาจารย์อาพวกเจ้า” ลู่ยาเลิกคิ้วพลางเอ่ย เขาจงใจเอ่ยคำว่าสามีของอาจารย์อาชัดๆ จนไม่อาจชัดเจนกว่านี้ได้แล้ว


“สามีของอาจารย์อา? “ ชิงถงกับชิงเหมยมองหน้ากัน ราวกับไม่เคยได้ยินคำนี้มาก่อน


“ข้าเป็นสามีของมู่จิ่ว อาจิ่วคืออาจารย์อาของพวกเจ้า แน่นอนว่าข้าย่อมต้องเป็นสามีของอาจารย์อาพวกเจ้า” ขอเพียงพวกเขาไม่ร้องไห้ ความจริงลู่ยายังมีความอดทนมากพอจะคุยเล่นกับเด็กๆ ได้ “อาจารย์ของพวกเจ้าคือลำดับที่ไหร่?”


เด็กทั้งสองนิ่งเงียบ แม้ใบหน้ายังดูมึนงง แต่ก็พยายามทำความเข้าใจสิ่งที่เขาพูด คนผู้นี้มองดูแล้วไม่น่ากลัว หน้าตาหล่อเหลายิ่ง ถึงแม้เป็นสามีของอาจารย์อา พวกเขาก็พอรับได้ ชิงเหมยมองชิงถงที่กินขนมงาตัดเข้าไปเงียบๆ กลืนน้ำลายก่อนเอ่ย “ข้าอยู่ลำดับสิบ”


ลู่ยาพยักหน้า ก่อนพูดอีก “ข้าจะถามคำถามพวกเจ้าสักหน่อย หากพวกเจ้าตอบได้ ข้าจะให้ขนมงาตัดเต็มห้อง”


ดวงตาของชิงเหมยสว่างวาบ ชิงถงก็เงยหน้าขึ้นมาจากขนม


“ขนมงาตัดเต็มห้อง ใหญ่ขนาดห้องนอนของพวกเราหรือไม่?”


“แน่นอน ใหญ่กว่าเรือนสนครวญของเจ้าสำนักพวกเจ้าเสียอีก”


ใหญ่กว่าเรือนสนครวญของเจ้าสำนัก นั่นใหญ่ขนาดไหนกันนะ? ชิงเหมยชิงถงรีบลุกขึ้นมา “เช่นนั้นท่านก็ถามมาเถิด”


ลู่ยาถาม “ช่วงนี้เจ้าสำนักของพวกเจ้าอยู่เรือนหรือไม่?”


“อยู่” ทั้งสองคนแย่งกันพยักหน้า “อยู่ทุกวัน ทั้งยังไม่ให้พวกเราออกมาข้างนอกด้วย”


ลู่ยาพยักหน้าอีก อยู่ก็ดี ดูซิว่าตอนนี้จะซ่อนไปได้ถึงไหน!


เขาถามต่อ “เช่นนั้นพวกเจ้านำทาง ข้าจะเข้าไปหาเจ้าสำนักของพวกเจ้า”


ชิงเหมยนิ่งคิดอยู่พักหนึ่ง แล้วพลันยื่นปาก “ข้าก็ไม่รู้ว่าจะกลับเข้าไปอย่างไร ข้าหาทางไม่เจอเลย!”


ลู่ยาชะงักไป เมื่อคิดดูพวกเขาก็ถูกมู่เหยาโยนออกมา กลับไปไม่ถูกย่อมเป็นเรื่องปกติ


แต่เมื่อมาถึงตรงนี้แล้วก็ไม่มีเหตุผลที่จะปล่อยไป จึงส่งสองคนนี้ให้จื่อจิ้ง ลุกขึ้นมุ่งไปยังพุ่มหญ้าที่พวกเขาโผล่หน้าออกมาเมื่อครู่


มันเป็นพุ่มไม้แสนจะธรรมดาที่งอกอยู่ในหลุมตื้น กระทั่งกระต่ายก็ยังหลบไม่ได้ แน่นอนว่าไม่ต้องดูก็รู้ มันจะเป็นปากถ้ำไปได้อย่างไร


แต่พวกเขาทั้งสองสามารถออกมา ก็ยืนยันได้ว่าตรงนี้คือจุดอ่อนแน่


………………………………..

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)