ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง 319-322

ตอนที่ 319 เจ้าคิดว่าเราจะไม่ปวดใจหรื...

 

ตู๋กูซิงหลัน “!!!”


 


 


ชื่อหลี “เอ่อ…..”


 


 


ตอนที่อยู่ในถุงเฉียนคุน จีเฉวียนทรงได้ยินคำพูดของพวกนางอย่างชัดเจนหมดแล้ว


 


 


ฟังจากคำพูดของชือหลี ก็รู้ว่าก่อนหน้านี้นางจับบุรุษมาให้ตู๋กูซิงหลันมากมาย


 


 


นี่ย่อมทำให้พระองค์ทรงพิโรธอยู่บ้าง แต่พอคิดว่าบุรุษเหล่านั้นไม่มีโอกาสแม้แต่จะได้สัมผัสเส้นผมสักเส้นของนาง พระทัยของพระองค์ก็ค่อยสงบลงได้อีกครั้ง


 


 


ดวงเนตรหงส์คู่นั้นจดจ้องมองนาง


 


 


แยกจากกันไปหนึ่งเดือนกับอีกแปดวัน สำหรับพระองค์แล้วแต่ละวันล้วนเป็นความทรมานที่ไม่รู้จักจบจักสิ้น


 


 


พระองค์ทรงทอดพระเนตรมองนางไปทุกส่วนอย่างไม่ยอมให้สิ่งใดเล็ดลอดพระเนตรไป นับตั้งแต่เจอกันจนถึงตอนนี้ นางก็นั่งอยู่บนพื้นมาโดยตลอด ตั้งแต่ส่วนเอวลงไปไม่เคยขยับเลยสักนิด


 


 


พระหัตถ์ข้างหนึ่งของจีเฉวียนยังคงจับตัวของนางเอาไว้โดยไม่ยอมคลาย เมื่อครู่ไม่ทันสังเกต แต่ตอนนี้ทรงรู้สึกได้ว่าร่างกายของนางเย็นกว่าแต่ก่อนมาก


 


 


ในร่างกายของนาง มีไอหยินที่รุนแรงสายหนึ่งอย่างชัดเจน


 


 


แววพระเนตรของพระองค์อึมครึมกว่าเดิม แต่มิได้ทรงตรัสถามเรื่องที่เดินขึ้นภายในโลงทองแดงหลังนั้น


 


 


เพียงแค่ทรงเห็นใบหน้าที่ซูบผอมของนาง พระทัยก็เจ็บปวด


 


 


ทั้งยังมีพระพิโรธ


 


 


นางยินยอมตามเทพธิดาสายน้ำมาที่นี่ แต่กลับไม่ยอมกลับไปหาพระองค์ที่เมืองหลวง เพราะต้องการปฏิเสธพระองค์ถึงเพียงนี้เชียวหรือ?


 


 


องครักษ์ลับของพระองค์ไม่ได้กินแต่ข้าวเปล่า นางอยู่ในเมืองกู่เย่วแท้ๆ แต่พวกเขากลับหานางไม่เจอแม้แต่เงา ก็แสดงให้เห็นชัดเจนเลยว่านางจงใจซ่อนตัว


 


 


พระหัตถ์ของจีเฉวียนที่จับเอวของนางเอาไว้ยิ่งออกแรงมากกว่าเดิม


 


 


สีหน้าของตู๋กูซิงหลันเปลี่ยนไปทันที นางหันไปสบตากับชือหลีอย่างเงียบๆ


 


 


ชือหลี ดูสิว่าเจ้าทำอะไรลงไป?


 


 


จับใครมาไม่จับ ไปจับเจ้าฮ่องเต้สุนัขนี่มา นี่ไม่ใช่ว่าเขาคิดจะบี้นางให้ติดกับพื้นหรอกหรือ?


 


 


ชือหลีลังเลไปเล็กน้อย ยังคงเดินไปข้างหน้าสองก้าว “ฮ่องเต้ต้าโจว ท่านทำให้นางตกใจแล้ว”


 


 


จีเฉวียนหันพระเศียรไปช้าๆ กวาดพระเนตรมองดูชือหลี ก็ไม่รู้ว่าทำไม ชือหลีที่เป็นถึงเทพธิดาแห่งสายน้ำ กลับรู้สึกตัวแข็งขึ้นมา แม้แต่หัวใจก็ยังชาวาบ


 


 


นางรีบถอยหลังไปอีกก้าว “ข้าหมายความว่า ฝ่าบาททรงเป็นฮ่องเต้แห่งต้าโจวสมควรรักบุปผาถนอมหยกให้มากหน่อย”


 


 


“โดยเฉพาะ นางยังคงเป็นสาวน้อยที่บริสุทธิ์ผุดผ่อง”


 


 


ตู๋กูซิงหลัน “!!!” โว้ย ชือหลีไม่ต้องกลัวเอามากขนาดนี้ได้หรือไม่? อย่างไรก็เป็นถึงเทพธิดาแห่งสายน้ำ! มั่นใจในตัวเองหน่อยได้ไหม!


 


 


นี่นางกลับขายสหายทิ้งเอาดื้อๆ มันน่าตีให้ตายนัก


 


 


ชือหลีพูดจบแล้วก็แปลงเป็นครึ่งคนครึ่งงู เลื้อยออกจากห้องทางหน้าต่าง ขึ้นไปแขวนตัวอยู่บนต้นไห่ถางขนาดใหญ่ในทันที


 


 


จากนั้นก็ไม่ลืมส่งเสียงมายังในห้องว่า “ข้าไม่อยู่รบกวนแล้ว ขอรับลมอยู่ด้านนอกนี่แล้วกัน”


 


 


ใครจะไปรู้ว่าโอรสสวรรค์แคว้นโจวผู้นี้คือตัวอะไรกันแน่ …..ถูกเขาจับจ้องเข้ารอบหนึ่ง นางก็รู้สึกเหมือนจะโดนเอาชีวิตเสียแล้ว


 


 


ถึงอย่างไร…….เขาก็เป็นถึงฮ่องเต้ บนร่างจะมากจะน้อยย่อมต้องมีไอมังกรอยู่บ้าง หากใช้ไอมังกรสลายไอหยิน อาจจะดีกว่าใช้ไอหยางก็เป็นได้ละมั้ง?


 


 


พอคิดได้เช่นนี้ ชือหลีก็สะบัดชายแขนเสื้อออกไปครั้งหนึ่ง ประตูหน้าต่างก็ถูกปิดลงในทันที


 


 


‘การรักษา’ อย่างว่า นางไม่ต้องดูเสียดีกว่า


 


 


พอคิดๆ ดูให้ละเอียด นี่นางก็ไม่ได้พบตู๋กูเจวี๋ยมาเดือนกว่าแล้วสินะ


 


 


เมื่อชือหลีไปแล้ว ภายในห้องก็เหลือแต่ความเงียบงัน


 


 


จีเฉวียนยังคงกอดนางเอาไว้โดยไม่ยอมปล่อย ลมหายใจเย็นของเขายังคงจรดอยู่บนใบหน้าของนาง


 


 


“ฝ่าบาท พระองค์ทรงเหยียบชายกระโปรงของหม่อมฉันแล้ว” ตู๋กูซิงหลันเบี่ยงหน้าออกไปกระตุกกระโปรงผ้าที่ถูกเขาทับเอาไว้


 


 


จีเฉวียนไม่ยอมขยับ แต่กลับเลื่อนมือไปที่เอวของนาง “ถ้ากระโปรงมันยุ่งยากนักก็ถอดออกไปเถอะ”


 


 


ตู๋กูซิงหลันรีบยื่นมือลงไปจับที่ขอบเอวของตนเองเอาไว้ด้วยความรวดเร็ว แต่ที่จับได้กลับไม่ใช่เอวของตนเอง แต่กลับเป็นไปคว้าหลังพระหัตถ์ของจีเฉวียนเอาไว้แทน


 


 


ตู๋กูซิงหลันถึงกับมุมปากกระตุก น่าตายนัก ไม่พบกันเดือนหนึ่ง ไยฮ่องเต้สุนัขผู้นี้ถึงได้ทำอะไรเป็นเล่นไปหมด


 


 


“ซิงซิง” จีเฉวียนขยับพระองค์น้อยๆ “นี่เจ้ากำลังยั่วยวนเราอยู่”


 


 


ตู๋กูซิงหลันถูกเขาหยอกเย้าเสียจนหูแดง หากมิใช่ว่านางเป็นคนใจแข็งดั่งเหล็กกล้า เกรงว่าตอนนี้หัวใจคงผู้เขาเป่าจนระเบิดไปแล้ว


 


 


ให้ฟ้าผ่าตายเถอะ ใครก็ได้ช่วยมาเอาตัวมารนี้ออกไปที


 


 


“ฝ่าบาท คงมิใช่ว่าแม้แต่คนพิการพระองค์ก็ไม่ทรงละเว้นกระมัง?” มือของนางยังคงคว้าหลังพระหัตถ์ของเขาเอาไว้ ดวงตาดอกท้อคู่นั้นจดจ้องไปยังเขา


 


 


มีแค่เพียงแสงสว่างจางๆ จากห้องข้างๆ ที่ส่องเข้ามา แต่แสงนั้นกลับสะท้อนเข้าไปในดวงตาของนาง


 


 


พิการ สองคำนี้ดังกึกก้องเข้าไปในใจของจีเฉวียน ปลายพระหัตถ์ลูบไปบนข้างแก้มของตู๋กูซิงหลัน ค่อยสัมผัสลูบไล้นางเบาๆ


 


 


พระหัตถ์อีกข้างคว้ามือของนางเอาไว้ นำมาประทับลงบนพระอุระอย่างช้าๆ


 


 


“ซิงซิง เจ้าไม่คิดว่าเราเองก็ปวดใจหรอกหรือ?”


 


 


หัวใจของเขาเต้นเร็วมาก ตึก…ตึก…..ตึก……


 


 


ทั้งๆ ที่หน้าอกของเขาออกจะเย็นแท้ๆ แต่ไม่รู้ว่าทำไมตู๋กูซิงหลันถึงได้กลับรู้สึกว่าร้อนลวกมือ


 


 


“ก็แค่บาดเจ็บเล็กน้อย ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร” นางกลบเกลื่อนไป


 


 


นางไม่ใช่พวกอ่อนไหวเพียงนั้น พอได้รับบาดเจ็บก็ต้องโวยวายให้ใครๆ ได้รู้


 


 


แค่ประโยคเดียว ก็ทำเอาจีเฉวียนต้องหลุบตาลง กุมมือของนางเอาไว้อย่างแนบแน่น พิการไปแล้ว แต่นางกลับบอกว่าเป็นเพียงแค่บาดเจ็บเล็กน้อย?


 


 


นางไม่รู้หรือว่า ต่อให้นางแค่ปลายนิ้วแตก เขาก็ปวดใจมากแล้ว


 


 


ยามนี้เขาถึงกับพูดอะไรไม่ออก คิดแต่อยากจะพานางกลับวัง กักตัวเอาไว้ ถนุถนอมให้ดี


 


 


ดวงตาหงส์ทอประกายข่มขู่ ทอดพระเนตรมายังตู๋กูซิงหลันอย่างตัดสินพระทัยบางประการ


 


 


นางพึ่งจะขยับตัว จีเฉวียนก็โถมพระองค์ลงมาเกือบทั้งตัว


 


 


ร่างครึ่งล่างจากเอวลงไปของตู๋กูซิงหลันไม่มีเรี่ยวแรง พอจีเฉวียนโถมเข้ามา นางก็หงายลงไปทั้งตัว


 


 


นางยังไม่ทันกระทบพื้น พระหัตถ์ของจีเฉวียนก็ยื่นมารองรับแผ่นหลังของนางเอาไว้เสียก่อน ดึงตัวนางกลับขึ้นมาทั้งตัว


 


 


ชั่วขณะที่ตู๋กูซิงหลันรู้สึกว่าตัวเองลอยเคว้ง สมองมึนงงไป ก็พลันถูกเขาโอบกอดเอาไว้เสียแล้ว


 


 


จีเฉวียนอุ้มนางขึ้นมาอย่างรวดเร็ว พาไปที่เตียง ค่อยวางลงไปช้าๆ


 


 


“พื้นเย็นมาก นอนตรงนั้นไม่ได้” พระองค์ประทับนั่งลงข้างกายตู๋กูซิงหลันสายพระเนตรตั้งแต่ต้นจนจบยังไม่คลาดไปจากนางแม้แต่วินาทีเดียว


 


 


ที่จริงแล้วสำหรับตู๋กูซิงหลัน ในเมื่อพิการก็พิการไปแล้ว ต่อให้ต้องนอนบนพื้นก็ไม่เป็นไร


 


 


ยิ่งจีเฉวียนอ่อนโยนมากเท่าไร่ หัวใจของนางก็ยิ่งว้าวุ้นมากเท่านั้น


 


 


ราวกับว่าตนเองเป็นนักโทษประหาร ที่ได้รับข้าวมื้อสุดท้ายอย่างไรอย่างนั้น นางคิดแต่ว่าจีเฉวียนจะต้องลงมืดจัดการลงโทษนางอย่างแน่นอน


 


 


เพราะตอนนั้น……นางทิ้งเขาไปจริงๆ


 


 


คนที่หยิ่งผยองในตนเองอย่างฮ่องเต้ ไหนเลยจะยอมกล้ำกลืนเรื่องเช่นนี้ได้?


 


 


ตู๋กูซิงหลันยิ่งคิดก็ยิ่งหวาดหวั่น นางรู้สึกว่าสมควรจะต้องกล่าวอะไรเกี่ยวกับเรื่องนั้นสักหน่อย จึงกระแอมออกมาสองครั้ง “ฝ่าบาท นั่น เอ่อ….”


 


 


“หืม?” น้ำเสียงของจีเฉวียนอ่อยโยน พระหัตถ์ข้างหนึ่งอยู่ที่ริมหูของนาง ช่วยเหน็บเส้นผมไว้ที่ข้างหูของนาง


 


 


“ตอนนั้น หม่อมฉันมิได้ตั้งใจจะละทิ้งฝ่าบาท” ตู๋กูซิงหลันกล่าวเสียงอู้อี้ “สถานการณ์ในตอนนั้นพระองค์ก็ทรงได้เห็นแล้ว มันวุ่นวายมาก ยมราชผู้นั้นร้ายกาจมากจริงๆ ทั้งยังแทงพระองค์ไปดาบหนึ่ง หากหม่อมฉันไม่ไปละก็ เขาจะต้องไม่ยอมเลิกราเป็นแน่”


 


 


ตอนนี้นางถูกจีเฉวียนจับตัวได้แล้ว ต่อให้หนีก็หนีไม่ได้ ได้แต่สุ่มหาทางออกดู


 


 


คิดแล้วนางก็เริ่มใช้แผนเรียกร้องความสงสาร “หม่อมฉันเพียงแต่คิดเสียสละส่วนน้อย เพื่อสนับสนุนสิ่งที่สำคัญกว่า พระองค์จะทรงเป็นบุรุษที่ครองแผ่นดินทั่วหล้า หม่อมฉันย่อมไม่อาจปล่อยให้พระองค์ได้รับบาดเจ็บ”


 


 


 


 


——


 


 


ไรท์ : ฮือ รู้แล้ว จะเริ่ม ‘รักษา’ กันได้หรือยัง? แอบดูอยู่บนหลังคา ยุงเยอะมาก


 


 


ตอนต่อไป “เจ้าผิดหวังเรื่องอะไร?” 

 

 


ตอนที่ 320 เจ้าผิดหวังเรื่องอะไร?

 

“ทอดพระเนตรสองขาของหม่อมฉันสิเพคะ ตอนนี้ไปกันใหญ่แล้ว ถึงกับใช้การไม่ได้เสียเลย ก็มิใช่เพราะว่าหม่อมฉันรับบาดเจ็บแทนพระองค์หรอกหรือ….”


 


 


หากคิดดูให้ดีแล้ว ถ้านางไม่ได้ใช้ยันต์แลกอาการบาดเจ็บล่ะก็ ตอนที่ปะทะกับมือสีดำภายในช่องว่างมิติเวลา ก็คงไม่ต้องบาดเจ็บจนถึงขั้นนี้


 


 


ดังนั้นถ้านางพูดออกมาเช่นนี้ก็สมควรจะไม่ใช่เรื่องผิดอะไร


 


 


ตู๋กูซิงหลันให้กำลังใจตนเอง


 


 


หลังจากนั้นก็เงยหน้าขึ้นทีละน้อย จดจ้องไปยังจีเฉวียน


 


 


ทันทีที่มองขึ้นไป พระโอษฐ์ของจีเฉวียนก็โผเข้ามา ประกบลงไปบนริมฝีปากของนางอย่างเนิ่นนาน


 


 


การที่นางพยายามจะอธิบายกับพระองค์ด้วยตนเอง ก็แสดงให้เห็นชัดเจนเลยว่ามิใช่ว่าในใจของนางไม่มีพระองค์อยู่


 


 


เป็นเพราะกังวลห่วงใยถึงได้พยายามอธิบายมิใช่หรือ?


 


 


คำพูดของตู๋กูซิงหลันล้วนถูกผนึกอยู่ใต้ริมฝีปาก พอถูกจีเฉวียนจุมพิตลงมา สมองของนางก็มีแต่เสียงวิ้งวิ้ง หัวใจเจ็บแปลบครั้งหนึ่ง


 


 


นางต้องรวบรวมพละกำลังอยู่นานถึงได้สามารถระงับอาการเจ็บหัวใจนี้ได้สำเร็จ ถึงจะพยายามปฏิเสธเช่นไรก็ไม่อาจทำได้


 


 


ตอนนี้นางกลายเป็นคนพิการไปแล้ว ยังจะไปต่อสู้อะไรกับจีเฉวียนได้อีก?


 


 


ชือหลีที่ขายมิตรสหายทิ้งนั้นก็เผ่นแน่บไปตั้งนานแล้ว ทิ้งนางเอาไว้ตรงนี้เพียงผู้เดียว ราวกับว่านางก็คือเนื้อปลาบนเขียง


 


 


ดูเอาเถอะขนาดสัตว์อสูรในพันธสัญญาของจีเฉวียนก็ยังอยู่ด้านข้างมองอยู่แท้ๆ


 


 


นี่มันชัดเจนเลยว่าเขาจงใจลากมันออกมาข่มขู่นางใช่ไหม?


 


 


“ทีหลัง ไม่อนุญาตให้เจ้าทำเรื่องโง่เช่นนี้อีก” เนิ่นนาน จีเฉวียนถึงได้ปล่อยตัวนาง


 


 


“ก็ได้” ตู๋กูซิงหลันพยักหน้าอย่างว่าง่าย อีกหน่อยเวลามีเรื่องอันตราย นางจะผลักเขาออกไปข้างหน้าก่อนเลย


 


 


นางจะไม่เอาตนเองออกไปหาเรื่องจนต้องมากลายเป็นเนื้อปลาบนเขียงอีกแล้ว


 


 


ยากนักที่จะได้เห็นนางเชื่อฟังวาจา จีเฉวียนจึงจุมพิตลงไปที่ข้างแก้มของนางอีกครั้ง จากนั้นค่อยเอนพระองค์ลงนอนที่ข้างกายของนาง


 


 


พระองค์ยื่นพระหัตถ์มาคว้านางเข้าไปในอ้อมพระพาหา กอดเอาไว้จนแนบแน่น ตรัสเบาๆ ที่ริมหูของนางว่า “เรื่องอื่นๆ ปล่อยไปก่อน เราจะรักษาเจ้าเสียก่อน”


 


 


ตู๋กูซิงหลันรู้สึกเหน็บหนาวขึ้นมาทั่วร่างในทันที


 


 


ความคิดของฮ่องเต้สุนัขทำไมถึงได้กระโดดไปกระโดดมาได้รวดเร็วปานนี้?


 


 


นางเกือบจะตามไม่ทันเอา


 


 


“เราจะทำตามที่เทพธิดาสายน้ำแนะนำเอาไว้”


 


 


ร่างกายของตู๋กูซิงหลันตื่นเต้นจนแข็งทื่อไปหมดแล้ว


 


 


ในร่างของจีเฉวียนมีไอหยินที่แข็งแกร่งอย่างยิ่ง แต่ก็มีไอมังกรอยู่ด้วยจริงๆ


 


 


ตอนนี้เบื้องหน้าของนางมีทางเลือกอยู่สามทาง


 


 


ทางแรกก็คือ ชิงร่าง เปลี่ยนเป็นร่างใหม่


 


 


ทางที่สอง คือทำตามที่ชือหลีว่า เพื่อสลายไอหยินขุมนั้นไปเสีย


 


 


ทางที่สาม อยู่อย่างทรมานเช่นนี้เป็นคนพิการไปทั้งชาติ


 


 


หรือไม่ก็กลับไปยังโลกปัจจุบัน หากมีท่านอาจารย์อยู่ ไม่แน่ว่าอาจจะมีวิธีอื่นก็ได้


 


 


แต่เพราะว่าตอนนี้นางยังไม่อาจกลับไปได้


 


 


ตู๋กูซิงหลันคิดๆ ดูแล้ว ยังคงต้องยอมรับว่าวิธีที่สองคือวิธีที่ดีที่สุดในตอนนี้


 


 


มิว่าเรื่องใดๆ หากนำมาเปรียบเทียบกับเรื่องชีวิตและสุขภาพแล้ว ก็ไม่อาจเทียบค่าได้ทั้งนั้น


 


 


พอสรุปได้เรียบร้อยแล้ว ก็กวาดตาไปมองดูดวงพักตร์ที่งดงามเกินใครเทียบของจีเฉวียน ในที่สุดนางก็ตัดสินใจทุบหม้อข้าว


 


 


เมื่อมีกฏของสำนักค้ำคออยู่ นางย่อมไม่อาจใช้วิธีชิงร่าง ทั้งยังไม่คิดจะเป็นคนพิการไปจนชั่วชีวิต


 


 


ช่างเถอะ….ยอมๆ ไปก็แล้วกัน


 


 


อย่างมากก็ต่อไปภายหน้าเชิดหนีไม่รับเสียก็สิ้นเรื่อง อย่างไรเสียเรื่องหน้าไม่อายทั้งหลายนางก็เคยกระทำมานักต่อนักแล้ว


 


 


หลังจากที่ได้คำตอบในใจแล้ว ตู๋กูซิงหลันก็จำต้องยอมรับ


 


 


จีเฉวียนเห็นท่าทีที่เชื่อฟังไม่มีการต่อต้านของนาง พระหัตถ์ใหญ่โตก็คว้าลงไปบนบั้นเอวนั้นทันที


 


 


เอวของนางเล็กบาง ราวกับว่าแค่ใช้แรงมากไปสักหน่อยก็จะหักแล้ว


 


 


พระหัตถ์ของจีเฉวียนเย็นมาก พอสัมผัสลงมาก็ทำเอาตู๋กูซิงหลันหนาวสั่นไปทั้งตัว แม้แต่เสื้อผ้าก็ยังพลอยเย็นเฉียบไปด้วย


 


 


ด้านนอกห้อง ชือหลีเจาะรูเล็กๆ บนหน้าต่าง เพื่อแอบดู


 


 


จุ๊ จุ๊ …..โอสรสวรรค์ช่างสมเป็นโอรสสวรรค์ แม้แต่แตงที่ฝืนหักมาก็ยังจะเสวยให้ได้ ลงมือรวดเร็วยิ่งนัก


 


 


พอมองเข้าไปนางก็เห็นว่า ไอหยินบนร่างของจีเฉวียนกำลังกำจายตัวออกมา


 


 


ฟู่ ฟู่ ฟู่…….


 


 


ภายในห้องเกิดลมพัด สายลมนั้นพัดออกไปจนทำให้แสงเทียบจากห้องข้างๆ ดับวูบไป


 


 


จากนั้นหมอกสีดำกลุ่มหนึ่งก็มาขวางอยู่ตรงหน้าต่างบังรอยเจาะนั่นเอาไว้


 


 


เมียเมียออกไปเฝ้าข้างนอกโดยมิต้องให้บอก มันออกไปขวางอยู่ตรงหน้าชือหลี ตาสบตากันอยู่ตรงนั้น


 


 


ชือหลี “…….” คนที่เป็นถึงโอรสสวรรค์ทำไมถึงได้ใจแคบขนาดนี้ ดูนิดดูหน่อยก็ไม่ได้ ใช่ว่ามีใครจะเป็นอะไรสักหน่อย


 


 


ทันทีที่แสงเทียนจากห้องข้างๆ ดับไป ภายในห้องที่ตู๋กูซิงหลันอยู่ก็พลอยมืดสนิทลงไปด้วย


 


 


ในตอนนั้นเอง จีเฉวียนก็กัดลงไปที่เอวของนางคำหนึ่ง


 


 


พระหัตถ์ของจีเฉวียนคว้ามือของนางเอาไว้ ทั้งสิบนิ้วประกบเข้าหากันอย่างแนบแน่น


 


 


“โอ้ย เจ็บจะตายแล้ว!” ตู๋กูซิงหลันเจ็บจนแทบจะดีดขึ้นมานั่ง


 


 


ความเจ็บนี้ ทำเอาคนแทบขาดใจตาย


 


 


นี่จีเฉวียนเกิดความชอบพิศดารอะไรกับเอวของนางหรือไม่? ขนาดมีเสื้อผ้าอยู่ยังสามารถกัดทะลุลงไป


 


 


ในความมืด ตู๋กูซิงหลันหันไปจับจ้องดูเขา “ฝ่าบาท ทรงเห็ว่าเอวของหม่อมฉันเป็นเนื้อลายติดมันหรืออย่างไรเพคะ?”


 


 


จีเฉวียนบีบลงไปใต้พระหัตถ์เบาๆ “ผอมมากเกินไป ไม่มีไขมันเลย ไม่ใช่เนื้อลายหรอก….”


 


 


ตู๋กูซิงหลัน “…..”


 


 


“ซิงซิง เจ้าผิดหวังในที่ใด?” จีเฉวียนเงยพระพักตร์ขึ้นมา มองดูรูปร่างของนางในความมืด “เจ้าอยากให้เราทำอย่างอื่นด้วยหรือ?”


 


 


จะช้าหรือเร็วนางก็ต้องเป็นของเขา


 


 


แต่จะต้องมิใช่เพราะถูกสถานการณ์บีบบังคับเช่นนี้


 


 


พระองค์ทรงเป็นฮ่องเต้ที่มีศักดิ์ศรีสูงส่ง มีแต่เรื่องนี้เท่านั้นที่พระองค์จะไม่ทรงบีบบังคับนาง


 


 


พระองค์รักนาง จึงเคารพการตัดสินใจของนาง ขณะที่นางยังไม่ยอมรับพระองค์ พระองค์ก็จะยังไม่ล่วงเกินนาง


 


 


ตู๋กูซิงหลันถูกเขาดักคอจนพูดอะไรไม่ออก


 


 


อะไรกัน….ที่แท้ผู้รู้ดีอย่างนางถึงกับเข้าใจทุกอย่างผิดไปเอง?


 


 


นางผิดหวังกับผีที่ไหน!


 


 


ตู๋กูซิงหลันพูดอะไรไม่ออกอยู่นาน จนจีเฉวียนตรัสออกมาอีกครั้ง “หากว่าเจ้าต้องการละก็ เราก็พร้อมจะสนอง”


 


 


ตายโห….ง!


 


 


พูดอย่างงี้ได้อย่างไร?


 


 


นางคาดหวังอะไรที่ไหนกัน?


 


 


นางก็แค่อยากจะมีร่างกายที่แข็งแรงเท่านั้น!


 


 


หัวใจของตู๋กูซิงหลันระทึกจนเต้นตูมตาม นางสูดหายใจเข้าไปลึกๆ อีกหลายครั้ง จากนั้นค่อยบอกกับจีเฉวียนว่า “ฝ่าบาท หม่อมฉันไม่อยากจะเป็นคนพิการไปชั่วชีวิต”


 


 


ดังนั้นรบกวนท่านอย่าได้พิรี้พิไร ใช้ไอมังกรอันสูงส่งของท่าน ช่วยหม่อมฉันสลายไอหยินในชีพจรออกไปเร็วๆ โอเค?


 


 


ประโยคหลังๆ เหล่านั้น ตู๋กูซิงหลันไหนเลยจะกล้าพูดออกไป


 


 


“เรารู้แล้ว” จีเฉวียนพยักพระพักตร์น้อยๆ”


 


 


พระองค์เคยมีความคิดจะตัดขานางอยู่หลายครั้ง ให้นางหนีไปไหนไม่ได้อีก แต่พอได้มาเห็นนางพิการเข้าแล้วจริงๆ ในพระทัยนอกจากความเจ็บปวดก็มีแต่ความเจ็บปวดมากกว่าเดิม


 


 


ทรงรักนางมาถึงเพียงนี้ ไหนเลยจะอยากให้นางต้องทนรับความเจ็บปวดแม้เพียงเล็กน้อย


 


 


ตรัสแล้ว ก็ทรงกัดซ้ำลงไปอีกคำโต


 


 


ตู๋กูซิงหลันเจ็บจนต้องสูดลมหายใจเย็นเฉียบเข้าไปอีกเฮือก นางรู้สึกได้ถึงบางสิ่งที่กำลังแทรกเข้าไปภายใต้ผิวเนื้อได้อย่างชัดเจน


 


 


ราวกับว่าถูกคมเขี้ยวของสุนัขดุร้ายฝังลงไป


 


 


ความเจ็บปวดนี้ลึกลงไปถึงแก่นกระดูก


 


 


แม่จ๋าแม่! ฮ่องเต้สุนัขผู้นี้ต้องเป็นโรคจิตแน่ๆ!


 


 


ตู๋กูซิงหลันฝืนทนต่อความเจ็บปวดคิดไปถึงเหล่าลูกสะใภ้ภายในวังหลัง พูดตามตรงนะ….ผู้ที่ถูกฮ่องเต้สุนัขผู้นี้หมายตา ช่างน่าสงสารแท้ๆ


 


 


เขาชอบกัดคน! กัดจมเขี้ยวถึงตาย!


 


 


โอ้ย ไม่ไหวแล้ว พอแล้วเถอะ!


 


 


จีเฉวียนทรงใคร่ครวญอยู่ในพระทัยอย่างเงียบๆ ว่านางผอมเกินไปแล้ว บนเอวนี่ไม่มีเนื้อเลยสักนิด


 


 


เอาไว้พากลับไปแล้ว จะต้องบำรุงให้มากๆ เลี้ยงนางให้อวบอ้วนขึ้นมาให้ได้


 


 


ตอนนี้ตู๋กูซิงหลันไม่กล้าแม้แต่จะขยับเขยื้อน ถึงอย่างไรก็ถูกฮ่องเต้สุนัขผู้นี้กัดไปแล้ว เขาอยากจะกัดอีกนานเท่าไหร่ก็กัดไปเถอะ


 


 


นางเป็นคนหนังหนา ถึงถูกกัดไปหลายคำก็คงไม่ตาย


 


 


นางเหมือนกับปลาเค็มที่วางอยู่บนเขียง ความปวดบริเวณที่บาดเจ็บลดลงไปแล้ว


 


 


พอผ่านไปครู่หนึ่ง ก็รู้สึกว่ามีไอหยินขุมหนึ่งแทรกซึมเข้าไปในจุดที่บาดเจ็บ


 


 


เย็นเฉียบอย่างยิ่ง หนาวเย็นเสียยิ่งกว่าไอหยินที่อยู่ภายในจุดชีพจรที่บาดเจ็บ


 


 


 


 


——


 


 


ตอนต่อไป “เจ้าต้องการเช่นไร” 

 

 


ตอนที่ 321 เจ้าต้องการให้ทำอะไร

 

ไอหยินขุมนั้นกำลังรุกคืบเข้าไปภายในเส้นชีพจรของนาง


 


 


ตู๋กูซิงหลันถึงกับชะงักลมหายใจไป ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าไปอีกครั้ง


 


 


จีเฉวียน….กำลังถ่ายทอดพลังปราณของตนเองให้กับนาง?


 


 


พลังหยินที่หนาแน่นกลุ่มนั้น หากเปรียบเทียบกับพลังไอหยินที่ค้างอยู่ในร่างกายของนางแล้ว ไอหยินของเขามีพลังคุกคามมากกว่า


 


 


พอแทรกซึมเข้าไป ก็จัดการสลายพลังหยินที่อยู่ในชีพจรของนาง


 


 


ได้แต่บอกว่าไอหยินที่อยู่ภายในร่างของนางเป็นเหมือนกับงูน้อยตัวหนึ่ง ส่วนไอหยินที่จีเฉวียนส่งเข้ามากลับเหมือนดั่งอสรพิษขนาดใหญ่


 


 


งูใหญ่กลืนกินงูเล็ก ก็เป็นเพียงเรื่องง่ายๆ เพียงครู่เดียวเท่านั้น


 


 


แต่ว่าสำหรับตู๋กูซิงหลันแล้ว นี่คือความเจ็บปวดอย่างที่สุด


 


 


เส้นชีพจรของนางทั้งหมดแทบจะถูกฉีกออก ความเจ็บปวดที่ส่งออกมาราวกับว่ากำลังถูกเลาะเอ็นถอดกระดูกอย่างไรอย่างนั้น


 


 


นางได้แต่สูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ ด้วยความเหน็บหนาว ศีรษะหลั่งเหงื่อเย็นๆ ออกมาจนทั่ว เวลาเพียงครู่เดียวนั้นสำหรับนางแล้วกลับเป็นความทรมานยาวนานอย่างที่สุด


 


 


นางเจ็บจนแทบจะสลบไปแล้ว


 


 


กระทั่งไอหยินของจีเฉวียนกลืนกินไอหยินภายในร่างของนางเข้าไปจนหมดสิ้น ตู๋กูซิงหลันถึงได้รู้สึกมีชีวิตคืนมาอีกครั้ง


 


 


วิธีที่จีเฉวียนใช้คือใช้พิษต้านพิษ


 


 


เมื่อกลืนกินไปหมดแล้ว สิ่งที่ยังคงอยู่ในเส้นชีพจรของตู๋กูซิงหลันก็คือพลังปราณของเขา


 


 


พระหัตถ์ใหญ่โตนั้นประกบลงไปบนเอวของนาง เพียงแต่สัมผัสเบาๆ ก็ส่งปราณขุมนั้นกระจายไปทั่วทั้งร่างของนาง


 


 


จากนั้นค่อยคลายพระหัตถ์ออก


 


 


จุมพิศลงไปเบาๆ ที่หน้าผากของนางครั้งหนึ่ง


 


 


ในความมืดมิด ตู๋กูซิงหลันไม่อาจมองเห็นดวงพักตร์ที่ซีดขาวของพระองค์ได้ชัดเจน แต่ยังคงได้ยินเสียงลมหายใจที่สับสนวุ่นวายอยู่บ้าง


 


 


ตู๋กูซิงหลันปาดเช็ดเหงื่อเย็นๆ บนหน้าผากทิ้งไป


 


 


ในดวงจิตของนางมีผนึกของเศษหยกสรรพชีวิตทั้งหกชิ้นอยู่ ตอนนี้จีเฉวียนมอบไอหยินของตนให้กระจายไปจนทั่วทั้งร่างของนาง


 


 


ไอหยินของเขาไม่เหมือนกับของผู้อื่น มันถูกห่อหุ้มด้วยพลังปราณ ไม่ได้ทำร้ายนางเลยสักนิด


 


 


เมื่อพลังขุมนั้นเข้าสู่ร่างกายก็ถูกหยกสรรพชีวิตดูดกลืนลงไปอย่างรวดเร็ว


 


 


จีเฉวียนนอนลงข้างกายนาง พระหัตถ์ข้างหนึ่งโอบกอดนางเอาไว้ สูดกลิ่นดอกฮว๋ายฮวาที่คุ้นเคยเข้าไป


 


 


ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ตาม ของเพียงมีตู๋กูซิงหลันอยู่ข้างกาย เขาก็จะสงบใจลงได้


 


 


หากทำตามวิธีที่ชือหลีบอก ย่อมเป็นวิธีที่จะรักษานางได้อย่างรวดเร็วที่สุด


 


 


แต่นางย่อมต้องถูกบีบคั้นให้จำยอม


 


 


ดังนั้นเขาจึงได้แต่ใช้วิธีเอาพิษข่มพิษเช่นนี้


 


 


แต่ว่าวิธีนี้ช่างทุกข์ทรมานผู้คน เจ็บปวดราวกับหมื่นดาบทิ่มแทงหัวใจ คนทั่วไปไม่อาจทนรับได้


 


 


“วิธีการ ‘สลายพิษ’ ของฝ่าบาทเมื่อครู่ หม่อมฉันเห็นว่าดีมากๆ แล้ว เรื่องอื่นพวกเราอย่าได้พูดถึงอีกเถอะนะเพคะ” ตู๋กูซิงหลันพูดพลางเช็ดเหงื่อเย็นๆ ที่ซึมออกมา นางคิดไม่ถึงว่าจีเฉวียนจะใช้วิธีนี้ช่วยนาง


 


 


ถึงแม้ว่าวิธีนี้จะต้องเจ็บปวดยากจะทนทาน แต่สำหรับนางแล้ววิธีนี้ก็ยังเป็นวิธีที่ดีมากอยู่ดี


 


 


“ ‘พิษ’ ที่อยู่ในชีพจรซ่อนลึก แค่ครั้งเดียวยังไม่อาจสลายไปได้จนหมดสิ้น” จีเฉวียนโอบนางเข้าไปชิดอีกนิด “อย่าพึ่งรีบดีใจไป ยังต้องรักษาอีกหลายครั้งจึงจะสลายได้จนหมดสิ้นจริงๆ”


 


 


ตู๋กูซิงหลัน “???” ทำไมนางถึงได้รู้สึกว่าชีพจรทั่วร่างปลอดโปร่งราบลื่น ขาดเพียงแค่ให้เจียงชวี้ปิ้งเชื่อมต่อเส้นเอ็นที่ขาดไปเท่านั้น?


 


 


“เราเป็นโอรสสวรรค์ ย่อมไม่โกหกผู้อื่น” จีเฉวียนกอดนางเอาไว้ พระหัตถ์อีกข้างหนึ่งวางลงไปที่หน้าท้องของนาง


 


 


กริยาลูบไล้เบาๆ นั้น คนที่ไม่รู้ย่อมต้องคิดว่านางตั้งครรภ์แน่แล้ว


 


 


ตู๋กูซิงหลันไม่อยากจะเชื่อถือว่าจาผีสางของเขา ฮ่องเต้สุนัขจีเฉวียนผู้นี้ ไหนเลยเคยพูดความจริงออกมา


 


 


ฝีปากโป้ปดมดเท็จของเขาสามารถเทียบชั้นกับนางได้อย่างแน่นอน


 


 


จีเฉวียนกระซิบที่ข้างหูของนางเบาๆ ว่า “พวกพี่ชายของเจ้าคิดถึงเจ้ามาก อีกไม่กี่วันติดตามเรากลับวังดีไหม?”


 


 


พอเอ่ยถึงพวกพี่ชาย ในใจของตู๋กูซิงหลันก็บังเกิดความละอายขึ้นมาในทันที


 


 


อยู่ๆ นางก็หายตัวไปเดือนกว่า คาดว่าพี่ใหญ่และพี่รองคงแทบจะเป็นบ้าไปแล้ว


 


 


เดิมทีนางไม่ต้องการให้จีเฉวียนหาตัวนางเจอ ดังนั้นจึงไม่กล้าบอกความเคลื่อนไหวของตนเองกับพวกพี่ชาย


 


 


ในเมื่อตอนนี้ถูกจีเฉวียนจับตัวได้แล้ว หากยังไม่กลับไปก็คงจะพูดกันได้ยากแล้ว


 


 


“ตกลง” นางพยักหน้า “จบเรื่องที่กู่เย่วเรียบร้อยแล้วค่อยกลับไปกัน”


 


 


“งั้นก็รับปากให้เราสลายพิษที่เหลือต่อไปใช่ไหม?”


 


 


ตู๋กูซิงหลัน “……”


 


 


ฮ่องเต้สุนัขขุดหลุมดักนางชัดๆ!


 


 


“หากว่าเจ้าไม่ชอบวิธีนี้ พวกเราก็ใช้วิธีอื่นก็ได้” สายพระเนตรของจีเฉวียนทำเอานางกระโดดหนีไม่พ้น


 


 


น้ำเสียงของพระองค์กระซิบอยู่ที่ริมหู ลมหายพระทัยเป่ารดที่ลำคอของนาง ตู๋กูซิงหลันรู้สึกเหมือนกับว่าตัวจะระเบิดแล้ว


 


 


นางขยับตัวน้อยๆ คิดจะหันหลังให้กับเขา แต่กลับถูกเขาพลักตัวกลับมาเผชิญหน้ากัน จมูกกับจมูกชนกัน


 


 


ริมฝีปากทั้งสองคู่นั้นเกือบจะประกบกันอยู่แล้ว


 


 


“ซิงซิง ต่อไปเราจะปกป้องเจ้าเอง จะไม่ยอมให้เจ้าต้องรับบาดเจ็บอีกแล้ว”


 


 


ตู๋กูซิงหลันครุ่นคิดอย่างเงียบๆ ที่ฮ่องเต้สุนัขตรัสออกมาล้วนเป็นวาจาไร้สาระ มีครั้งไหนบ้างที่นางไม่ได้บาดเจ็บเพราะเขากัน?


 


 


นางรู้สึกว่าหากตนเองไปให้ไกลจากตัวเขาเท่าไหร่ นั่นจึงจะเป็นการปกป้องที่ดีที่สุด


 


 


เห็นนางไม่พูด จีเฉวียนก็ตรัสอีกว่า “ต่อไปหากมีอันตราย ให้เจ้าส่งเราออกไปก่อน”


 


 


ตู๋กูซิงหลัน “ฝ่าบาท พระองค์เสวยยาผิดไปหรือไม่?”


 


 


หากไม่ใช่ว่ากินยาผิด นางคิดว่าเขาคงจะถูกสิงร่างเข้าแล้ว


 


 


เขาถึงกับเป็นฝ่ายพูดออกมาว่า ให้ผลักเขาออกไปเสี่ยงก่อนเชียว?


 


 


หากว่ากันตามอุปนิสัยร้ายกาจของเขาแล้ว คนที่ถูกทอดทิ้งเช่นเขาสมควรจะจับนางมัดเอาไว้และเฆี่ยนสักรอบจึงจะสมเหตุสมผล


 


 


ตู๋กูซิงหลันรู้สึกอึดอัดอย่างไม่คุ้นเคย ราวกับว่าไม่ถูกตีมาสามวันนางก็ครั่นเนื้อครั่นตัวไปหมดแล้ว


 


 


ฮ่องเต้ทรงรู้สึกว่าเรื่องการทำลายบรรยากาศดีๆ นั้น ไม่มีผู้ใดที่เก่งเกินไปกว่าตู๋กูซิงหลันอีกแล้ว


 


 


ยามที่เขากำลังสบโอกาสที่จะแสดงความรู้สึกลึกซึ้งออกมาเป็นต้องถูกนางทำลายไปจนหมด


 


 


มันน่าจับนางมัดแล้วฟาดสักรอบนัก สมองของนางจะได้กลับมาเป็นปกติกับเขาบ้าง


 


 


เขาได้แต่กอดนางเอาไว้ ไหนเลยจะหักใจตีได้จริงๆ


 


 


จากกันเนิ่นนานพึ่งจะได้พบกันอีกครั้ง เขาเพียงต้องการอยู่กับนางอย่างเงียบๆ เท่านี้ในใจก็สงบสุขแล้ว


 


 


หลงรักคนที่ใจแข็งประดุจเหล็ก ทำเอาเขารู้สึกทุกข์ทรมานแทบตาย


 


 


แต่ว่าภายใต้ความทุกข์ทรมานนี้ เขากลับสัมผัสได้ถึงความหวานจางๆ


 


 


มิว่าอย่างไร การตัดสินใจเดินทางมาเมืองกู่เย่วรอบนี้ เป็นการตัดสินใจเดินทางที่คุ้มค่ามากที่สุดในชีวิต


 


 


“เราเสียสติไปแล้ว ความคิดถึงซึมถึงกระดูกไม่อาจรักษา” จีเฉวียนลูบไล้ศีรษะของนาง “เจ้าเป็นหญิงใจร้าย ไม่ช้าก็เร็วคงต้องทรมานเราจนถึงตาย”


 


 


ทั้งที่นางก็คือตัวยา แต่กลับไม่ยอมรักษาเขา


 


 


ตู๋กูซิงหลัน “???”


 


 


เสียสติไปแล้ว!


 


 


นางรู้สึกว่าพื้นอารมณ์ของจีเฉวียนในตอนนี้


 


 


ประเดี๋ยวก็เรียกนางว่าเสี่ยวซิงซิง ประเดี๋ยวก็ว่านางว่าเป็นผู้หญิงใจร้าย


 


 


หากว่านางเป็นยัยตัวร้ายจริงๆ ละก็ เกรงว่าคนที่นอนเป็นปลาเค็มอยู่ในตอนนี้คงไม่ใช่นาง แต่ว่าเป็นฮ่องเต้ผู้สูงส่งกว่าผู้ใดแล้ว


 


 


ใครกันแน่ที่เป็นคนที่รังแกผู้อื่น


 


 


ตู๋กูซิงหลันได้แต่ทำฮึดฮัดอยู่ในใจ ปากของนางยังคงประจบต่อไปว่า “ฝ่าบาท บุคคลเช่นพระองค์แค่ดูก็รู้แล้วว่าเป็นประมุขที่อายุยืนยาวกว่าผู้ใด ไหนเลยจะสวรรคตได้ง่ายๆ”


 


 


จีเฉวียน “เราอ่อนแอมากนะ อาจสิ้นไปได้ง่ายๆ”


 


 


ตู๋กูซิงหลัน “……” ++!


 


 


ฮ่องเต้ผู้นี้พอจะสาปแช่งตนเองขึ้นมาก็เล่นเสียใหญ่โต


 


 


นางเบ้ริมฝีปาก คิดจะกล่าวอะไรออกมา ก็เห็นจีเฉวียนยื่นพระดัชนีออกมา ปิดกั้นริมฝีปากของนางไว้


 


 


จากนั้นกระซิบลงมาที่ข้างหู “ชู่ว…..”


 


 


น้ำเสียงพึ่งจะกระทบหู ก็ได้ยินเสียงลมกรรโชกที่ด้านนอกห้อง กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งทะลักเข้ามาทางหน้าต่างทำให้คนอยากอาเจียน


 


 


ด้านนอกเรือน ชือหลีเองก็ตาโตเป็นประกาย จับจ้องหมอกสีแดงที่ลอยลงมาจากบนฟ้าด้วยความเคร่งเครียด


 


 


เพียงแค่ครู่เดียว สายลมกรรโชกนั้นก็พัดประตูหน้าต่างห้องของตู๋กูซิงหลันเปิดออก


 


 


“กรุ้งกริ้ง ๆ ….” กระดิ่งลมที่ตู๋กูซิงหลันแขวนเอาไว้ ตามชายคารอบๆ เรือนแกว่งไกวขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียง


 


 


ดวงตาของนางเป็นประกาย ทอดมองออกไปที่ด้านนอกในทันที


 


 


 


 


——


 


 


ไรท์ ต้องบอกไหมว่าใครมา


 


 


แต่ว่าตอนต่อไปชื่อ “ตื่นขึ้นมาก็ได้เห็นฉากรักหวานเชื่อม” อ่ะ! ยังไงกัน 

 

 


ตอนที่ 322 ตื่นขึ้นมาก็ได้เห็นฉากรักห...

 

ภายในเรือนมีแต่หมอกสีแดงแน่นขนัด ซึ่งเกิดจากจิตวิญญาณคับแค้นรวมตัวกัน


 


 


พวกมันกำลังกรีดร้องอย่างเกรี้ยวกราด พอพึ่งจะบุกเข้ามาได้ก็พบว่าบนพื้นปรากฏแสงสว่างเรืองรองขึ้นมา


 


 


พอลำแสงนั้นสาดกระจายออกไป ก็สาดส่องลงไปบนกลุ่มหมอกสีแดงเหล่านั้น


 


 


ท่ามกลางลำแสงสว่างนั้น คือแผ่นยันต์สีเหลืองมากมาย


 


 


แผ่นยันต์สีเหลืองทองกลายเป็นลำแสงวงแหวน รายล้อมกลุ่มหมอกสีแดงเอาไว้ตรงกลาง


 


 


เพียงแค่ครู่เดียว เงาสีแดงนั้นก็ถูกยันต์สีเหลืองบีบเค้นจนสลายกลายเป็นขี้เถ้า เมื่อสายลมพัดโชยมาก็ร่วงหล่นลงไปกลายเป็นเถ้าธุลีสีแดง


 


 


ชือหลีรีบรุดเหาะลงมาจากต้นไม้อย่างรวดเร็วนางยืนอยู่ที่ข้างประตูห้องของตู๋กูซิงหลัน


 


 


“ความยุ่งยากมาเยือนแล้ว” นางเคาะประตูห้องเบาๆ “ฮ่องเต้แห่งต้าโจว ท่านเสร็จกิจแล้วหรือยัง?”


 


 


ตู๋กูซิงหลันอยากจะหาอะไรมาอุดปากของชือหลีเสียจริง คำบางคำใช้ออกไปมั่วๆ ไม่ได้นะ


 


 


งูตัวนี้คือฆ้องปากแตกจริงๆ


 


 


จีเฉวียนขยับตัวลุกขึ้นช้าๆ ชำเลืองมองผ่านด้านหลังของตู๋กูซิงหลันออกไปด้านนอก


 


 


ที่ด้านนอกนั้น แผ่นยันต์สีแหลืองเหล่านั้นบีบทำลายหมอกสีแดงจนกลายเป็นผุยผง


 


 


“ยังไม่เสร็จ” ครู่หนึ่ง จีเฉวียนถึงได้เอ่ยพระโอษฐ์ขึ้นมา พลางก้มพระพักตร์มองดูหญิงสาวในอ้อมพระพาหา “ยังต้องทำอีกหลายวัน”


 


 


ชือหลีตกตะลึงไปแล้ว ฮ่องเต้ผู้นั้นมิใช่คนหรืออย่างไร?


 


 


ถูกสูบหลายวันติดกัน? เขายังฝืนทนได้อีกหรือ?


 


 


ตู๋กูซิงหลัน “……”


 


 


“ฝ่าบาท ในสถานการณ์เช่นนี้ พวกเราจริงจังกันหน่อยได้หรือไม่เพคะ?” นางเงยหน้าขึ้นช้าๆ อย่างไรเสียก็กำลังจะต้องเผชิญหน้ากับหนึ่งในสิบยมราชเชียวนะ


 


 


“เราไม่จริงจังในที่ใด?” จีเฉวียนถามอย่างใส่พระทัย “เป็นเพราะว่าเราเข้าใจเรื่องการเอาจริงเอาจังผิดไปหรือไม่?”


 


 


หากให้เขาไม่ต้องจริงจังเลยเถิดได้ขึ้นมา เกรงว่าป่านี้นางคง…


 


 


พอคิดถึงตรงนี้จีเฉวียนก็อดไม่ได้ที่จะ ก้มพระพักตร์ลงพระสรวลออกคำหนึ่ง น้ำเสียงนั้นถึงกับทำให้ตู๋กูซิงหลันต้องขนลุกกราวไปทั้งตัว


 


 


เพียงแค่เลิกพระขนงแย้มพระสรวลบางๆ รอยยิ้มสังหารนั้นก็แย้มพรายออกมา


 


 


ทำเอานางถึงกับเกือบจะลืมเลือนอันตรายที่รออยู่ด้านนอกไปชั่วขณะ


 


 


ที่นอกเรือน ฉู่เจียงนั่งอยู่ภายในเกี้ยวสีแดงเลือด


 


 


เกี้ยวหลังนั้นลอยอยู่กลางท้องฟ้า ปรากฏตัวขึ้นมาท่ามกลางหมู่เมฆ เมื่อสายลมพัดโชย ปัดเป่าผ้าม่านออกไป ก็เปิดเผยให้เห็นดวงตาสีมรกตคู่นั้น


 


 


ชายเสื้อสีแดงโบกปลิวไปมาท่ามกลางสายลม เส้นผมสีเงินยวงลอยพลิ้วออกมานอกตัวเกี้ยว เกี่ยวกระหวัดเข้ากับผ้าคาดผมสีแดงเส้นนั้น


 


 


ดวงตาสีเขียวมรกตจับจ้องลงไปที่เรือนหลังนั้น พอเห็นว่าวิญญาณแค้นที่อยู่ใต้การควบคุมของตนเองถูกยันต์สีเหลืองบีบเค้นจนกลายเป็นเถ้าธุลี ดวงตาของเขาก็วาวโรจน์ขึ้นมา


 


 


ท่ามกลางความมืดมิดที่ไม่มีแสงสว่างใดๆ เขาได้แต่อาศัยสัมผัสของลมหายใจเพื่อตามหาคน


 


 


ในร่างของเหลียงเซิงเซิงมีไอหยินของเขาอยู่ เพียงครู่เดียวเขาก็รู้สึกได้ถึงไอหยินกลุ่มนั้น จนสามารถคาดเดาตำแหน่งของตู๋กูซิงหลันได้


 


 


เดิมทีตู๋กูซิงหลันเองก็อยู่ในห้องติดกันกับเหลียงเซิงเซิง คนทั้งสองอยู่ใกล้กันมาก ประกอบกับการรบกวนจากยันต์สีเหลือง ทำให้ฉู่เจียงไม่อาจระบุถึงตำแหน่งที่แม่นยำ


 


 


เขาหรี่ตาลง ชายแขนเสื้อกวาดโบกเบาๆ ก็มองผ่านหน้าต่างเข้าไปเห็นหนึ่งชายหนึ่งหญิงอยู่ด้วยกันบนเตียง


 


 


เส้นผมสยายลงมา เสื้อผ้าไม่เรียบร้อย


 


 


สีหน้าของฉู่เจียงเปลี่ยนไปในทันที บนร่างของเขาปรากฏไอสังหารกำจายออกมา


 


 


หมอกสีแดงบนร่างยิ่งทียิ่งเข้มข้น เขาทะยานลงมาจากเกี้ยวในก้าวเดียว


 


 


เงาร่างที่ทะยานลงมาทอทาบลงไปบนผ้าม่านเรือนชั้นนอก หมอกสีแดงฉีกทำลายอาคมป้องกันทิ้งไปทันที สองมือของเขาไพล่ไปด้านหลัง เพียงพริบตาเดียวก็เหาะลงมาจากท้องฟ้าเข้าไปในห้องเล็กๆ ของตู๋กูซิงหลัน


 


 


ชือหลีที่เป็นถึงเทพธิดาสายน้ำ กลับเผ่นไปแอบเสียแล้ว


 


 


ที่จริงนางก็อยากจะดูให้รู้เหมือนกันว่าโอรสสวรรค์ต้าโจวนั้นคือใครกันแน่


 


 


ตอนที่อยู่ลี่โจวเขาใช้ดาบเดียวสังหารน้องสาวของนาง ตอนอยู่ในสระสวรรค์ของแคว้นเซอปี่ซือก็บุกเข้าไปในโลงทองแดงทั้งที่บาดเจ็บด้วยตัวคนเดียว แม้เผชิญหน้ากับยมราชสีหน้าก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง


 


 


ที่ย่ำแย่ไปกว่านั้นก็คือ นางเป็นถึงเทพธิดาแห่งสายน้ำแท้ๆ แต่กลับมองฐานะของเขาไม่ออก


 


 


ถึงตอนนี้ใครจะบอกว่านาง ‘ดูอยู่ข้างๆ โดยไม่ช่วยเหลือ’ ก็ช่างเถอะ อย่างน้อยๆ ก็จะได้เห็นว่าโอรสสวรรค์แคว้นโจวผู้นี้ยังมีความสามารถใดอีกบ้าง


 


 


เพราะตอนนี้เขาคงต้องเผชิญกับตัวร้ายเสียแล้ว


 


 


เมียเมียมองดูชือหลีที่วิ่งหนีไปแอบด้วยความไม่เข้าใจ แต่ไม่รู้ว่าในสมองของมันเกิดคิดอะไรขึ้นมา ถึงกับติดตามนางไปด้วย


 


 


…………………………………………


 


 


 


 


สายตาของฉู่เจียงจับจ้องไปที่หนึ่งชายหนึ่งหญิง เขายิ้มเย็นชาออกมา “เหยื่อของข้า เจ้ากล้าแตะต้อง?”


 


 


“หืม? นางในดวงใจของเรากลายเป็นเหยื่อของเจ้าตั้งแต่เมื่อใด?” จีเฉวียนประทับนั่งอยู่ข้างเตียงอย่างทรนงองอาจ พระเกศาสยายลงมาถูกลมโชยจนปลิวไสว


 


 


เส้นพระเกศาปลิวอยู่บนใบหน้าของตู๋กูซิงหลัน ทำเอานางรู้สึกคันยุบยิบไปหมด


 


 


ในตอนนั้นเอง วิญญาณทมิฬที่ ‘ตาย’ ไปนานก็ถูกปลุกขึ้นมา


 


 


ก่อนหน้านี้มันถูกแรงบีบอัดภายในช่องว่างแห่งมิติเวลาทำร้ายจนรับบาดเจ็บหนัก จนสลบไสลไม่ได้สติมาโดยตลอด ตอนนี้จึงสะลึมสะลืออยู่ในอ้อมแขนของตู๋กูซิงหลัน


 


 


หากมิใช่เพราะว่ามีไอหยินเข้มข้นที่อัดแน่นอยู่ภายในห้องจนแทบทะลุขึ้นฟ้า เกรงว่ามันก็คงยังจะสลบไสลต่อไป


 


 


ตอนนี้พอลืมตาขึ้นมาก็ได้ยินคำว่านางในดวงใจอะไรนั่น ทำเอาวิญญาณทมิฬเองก็ตกตะลึงจนแข็งค้างไปแล้ว


 


 


พอมันมองเห็นเงาหลังของฮ่องเต้สุนัข ก็เกือบจะสลบลงไปอีกครั้ง


 


 


สถานการณ์ตรงหน้าเกิดอะไรขึ้นกัน


 


 


ฮ่องเต้นั่นทำไมถึงได้ไล่ตามมาได้เร็วถึงเพียงนี้?


 


 


ตื่นขึ้นมาก็ต้องมาเจอฉากรักหวานเชื่อม ดีที่ไหนกัน?


 


 


ขนาดซื่อมั่วก็ยังไม่เคยทำอะไรถึงขั้นนี้มาก่อนเลย!


 


 


พอมันหันมามองดูตู๋กูซิงหลัน ก็เห็นว่าเสื้อผ้าของนางหลุดรุ่ย!


 


 


เพราะฉะนั้นตอนที่มันหลับไหลไป เกิดอะไรขึ้นกันแน่?


 


 


แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดก็เกิดขึ้นไปแล้ว ตอนนี้วิญญาณทมิฬได้แต่เขียนคำอาลัยถึงซื่อมั่วด้วยความเจ็บปวดใจ


 


 


ผักกาดขาวน้อยๆ ที่ตนเองบำรุงเลี้ยงดูขึ้นมาโดยตลอด อยู่ๆ ก็มาถูกหมูงาบไปกินเสียแล้ว?


 


 


ที่ด้านนอกเรือน ฉู่เจียงเองก็ถูกคำว่านางในดวงใจกระแทกจนหัวเราะเย็นออกมา


 


 


ดวงตาทั้งคู่ของเขาจับจ้องเข้าไปในห้อง ในมือปรากฏแส้สีแดงเส้นหนึ่ง ทันทีที่แส้สีแดงตวัดออกไปก็รวดเร็วประหนึ่งเป็นสายฟ้าสีแดงฟาดออกมา


 


 


เพียงครั้งเดียวบานประตูก็ทลายลงจนกระเด็นออกไป


 


 


สิ้นเสียงโครมครามนั้น ก็ได้ยินเสียงของฉู่เจียงเอ่ยออกมาว่า “ข้าอยู่มาตั้งนานหลายปี ยังไม่เคยพบเห็นผู้ที่ยโสโอหังเช่นนี้มาก่อน เจ้ารู้หรือไม่ว่ากำลังแย่งชิงสตรีกับผู้ใด?”


 


 


“เราก็อยู่มานานจนป่านนี้แล้ว ก็ไม่เคยเห็นคนบ้าเช่นกัน” จีเฉวียนสงบนิ่งดุจขุนเขา เพียงแต่ใช้พระองค์เองกำบังตู๋กูซิงหลันเอาไว้อย่างเต็มที่เท่านั้น


 


 


เพราะแบบนี้ถึงได้ไม่อาจวางใจให้นางไปอยู่ภายนอกได้แม้แต่นาทีเดียว


 


 


ดูสิ แค่ช่วงเวลาหนึ่งเดือนสั้นๆ ก็ไม่รู้ว่ามีตัวอะไรมาตามติดพันซิงซิงของเขาอีกแล้ว


 


 


เจ้านี่มาได้จังหวะเวลาพอดี หากว่าคืนนี้เกิดลุกเป็นไฟจะได้เป็นการเชือดไก่ให้ลิงดูไปเสียเลย


 


 


นับจากวันนี้ไป หากว่ามีหน้าไหนยังกล้ามาติดพันนางอีกละก็ ต้องประหารทิ้งไปเสียให้หมด


 


 


ฮ่องเต้ทรงซุกซ่อนความคิดทั้งหมดเอาไว้ในพระทัย กับซิงซิงเพียงแสดงแต่ด้านที่อ่อนโยนเท่านั้น ด้านที่โหดเ**้ยมของพระองค์ย่อมต้องใช้จัดการกับพวกดอกท้อที่มายุ่มย่ามทั้งหลาย


 


 


อืม เช่นนี้แหละดีแล้ว


 


 


“เรา?” ถึงตอนนี้ฉู่เจียงถึงค่อยคิดถึงคำที่ได้ยินอย่างละเอียด เรียกตนเองว่าเรา ในใต้หล้านี้จะมีสักกี่คน?


 


 


เขาหรี่ตาลง แส้สีแดงในมือกำแน่นขึ้น “ที่แท้ เจ้าคงจะเป็นฮ่องเต้สุนัขที่บังคับให้นางแต่งงานด้วยสินะ?”


 


 


แน่แล้ว…..ต้าจี้ซือไม่ได้โกหกเขา ฮ่องเต้ผู้นี้เสด็จมาด้วยตนเองจริงๆ พอมาถึงก็คิดช่วงชิงนาง


 


 


แค่ออกราชโองการแต่งตั้งยังไม่พอ ตอนนี้กลับมาเพื่อจัดการกับนางถึงขั้นนี้


 


 


ทีเขาอุตส่าห์รอมานานหลายปียังไม่ทันได้ลงมือเลย!


 


 


ฮ่องเต้สุนัข…….สมควรตาย


 


 


ในสมองของวิญญาณทมิฬมีแต่คำถาม


 


 


“หลันหลัน นี่เจ้าไปหว่านเสน่ห์ไปทั่วอีกแล้วหรือ? แม่เจ้าโว้ย รอบนี้ถึงกับเป็นยมราชเลยหรือ? เจ้าจะตกใครขึ้นมาทั้งทีก็เอาตัวใหญ่ขนาดนี้เลยรึ?” วิญญาณทมิฬตื่นตะลึงจนถามออกมาติดๆ กันถึงสามคำถาม ในใจของมันคิดถึงซื่อมั่วด้วยความเจ็บปวด


 


 


มีลูกศิษย์ที่ทั้งงดงามเกินไปทั้งยังดึงดูดผู้คน แค่กวักมือออกไปก็ตกได้ตัวสำคัญขึ้นมา แบบนี้ยังจะยังไงไหว


 


 


ในสมองของตู๋กูซิงหลันที่อยู่ด้าน


 


 


 


 


——


 


 


ไรท์: ไฮ้ย่ะ สงสัยต้องเปิดโต๊ะให้เสียแล้ว งานใหญ่จะมา มุมดำมุมแดง ลงลำไหนว่ามาเลย


 


 


ตอนต่อไป “เทพเซียนตีกัน”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)