ท่านเทพมาแล้ว 319-322

 บทที่ 319 สวัสดีอาจารย์อา

โดย

Ink Stone_Romance

ในสองปีนี้ยุ่งนัก ออกไปข้างนอกค่อนข้างมาก อยู่ๆ ว่างขนาดนี้ก็รู้สึกปรับตัวไม่ได้อยู่บ้าง


พูดตามจริง มู่จิ่วยังหวังให้เกิดคดีอะไรขึ้น ให้นางมีโอกาสดูว่าชายชุดเขียวจะปรากฏตัวออกมาอีกหรือไม่?


ตอนนี้พวกเขาไม่ไปตามหาชายชุดเขียว ชายชุดเขียวก็ไม่ได้มาหานาง สถานการณ์กลายเป็นฝ่ายตั้งรับ


นางถามลู่ยา “เจ้าว่าเขาจะหายไปไม่ปรากฏตัวออกมาอีกหรือไม่?”


อย่างไรร่องรอยที่เขาทิ้งไว้ก็ไม่น้อย หรือเขาไม่กลัวจะถูกสวรรค์อันสูงส่งขวางทาง? ถึงเขาจะเก่งกาจกว่านี้ก็คงไม่เก่งกาจไปกว่ามหาเทพหลายคนบนนั้นหรอกกระมัง?


ลู่ยากลับบอก “ไม่มีทาง เขาต้องปรากฏตัวออกมาอีกแน่” เขาวาดยันต์พลางพูด “เขายังทำไม่สำเร็จตามเป้าหมาย จะละมือไปได้อย่างไร? ตอนนี้โลกมนุษย์กับโลกปีศาจยังไม่มีการเคลื่อนไหว เขาเอาไปแม้กระทั่งหินวิญญาณมาร ที่เหลือก็มีเพียงวิญญาณคนและวิญญาณปีศาจที่ไม่ได้แตะต้อง…ไม่แน่ว่าอาจจะมีข่าวมาเมื่อไหร่ก็ได้ รอก่อนเถอะ”


ความสงบนิ่งของเขาถูกก่อกวนเล็กน้อย


มู่จิ่วก็รู้สึกว่ามีเหตุผล แต่ถึงแม้บนร่างต้าอี้มีวิญญาณคนอยู่ แต่ตอนนี้ฉางเอ๋อร์พบเรื่องนี้เข้าก่อน อวี้ตี้จึงใช้ของวิเศษที่หุนคุนให้ผนึกเอาไว้ แบบนั้นไม่ช้าก็เร็วเขาย่อมต้องเคลื่อนไหว เขาหลอมวิญญาณได้สี่อย่างแล้ว มีเหตุผลอะไรที่จะทิ้งวิญญาณคนกับวิญญาณปีศาจเล่า? พูดแบบนี้เขาย่อมต้องปรากฏตัวออกมาอีกแน่


นางฝนหมึกให้เขา เพียงช้อนสายตาขึ้นมาก็พลันชะงักไป


“เป็นอะไร?” ลู่ยาที่ลอบสำรวจนางอยู่แล้ว ย่อมมองออกว่านางกำลังเหม่อลอย


นางคืนสติกลับมามองเขา ฝนหมึกต่อไป “ไม่มีอะไร”


อันที่จริงมีบางครั้งที่นางรู้สึกว่าใบหน้าด้านข้างของลู่ยาเหมือนกับชายชุดเขียวบางส่วน นี่เกรงว่าเป็นเพราะพวกเขาล้วนเป็นผู้เก่งกาจ เพราะโครงร่างเข้มแข็งเด่นชัด ยังมีมุมที่ก้มหัวของพวกเขาอีก…แต่คำพูดเหล่านี้นางไม่กล้าพูด เขาอาจหึงหวงได้ ไม่แน่ว่าอาจคิดว่านางมีใจให้กับชายชุดเขียว


ที่จริงลู่ยาไมได้หึงเรื่องชายชุดเขียวแล้ว อย่างไรก็เป็นแค่อารมณ์ชั่ววูบเท่านั้น


แต่ภายหลังจะยังหึงอีกหรือไม่นั่นเป็นเรื่องไม่แน่นอน เขายังคงไม่ชอบให้ใครมองนางอยู่ดี


ภายใต้การอบรมสั่งสอนของเขาในช่วงหลายวันมานี้ อาฝูเริ่มอ่านคัมภีร์กับรุ่ยเจี๋ยแล้ว


ยามที่มู่จิ่วไม่ยุ่งนางจะนั่งอยู่นอกประตูห้องเขา ฟังพวกเขาท่องคัมภีร์ไปพลาง ใช้หินขนาดเล็กโม่แป้งไปพลาง แป้งนั้นสามารถทำอาหารได้หลายชนิด ครั้งนี้นางคิดจะลองทำเค้ก…


เค้กคือของสิ่งใด? เขาไม่เข้าใจ แต่เห็นนางว่างยิ่งนัก เช่นนั้นอยากทำก็ทำเถิด


มู่จิ่วไม่เคยคิดมาก่อนว่าเขาจะแอบมีมุมนี้ด้วย คิดเพียงว่าเมื่อไหร่จะมีคดีใหญ่ออกมาให้นางทำ ไม่เช่นนั้นแล้วก็ไม่รู้บุญกุศลของนางจะเพิ่มขึ้นได้อย่างไร


วันนี้ยามกำลังเก็บลูกหม่อนใต้ต้นหม่อน กำไลไม้บนข้อมือพลันขยับไหว จากนั้นกระเรียนกระดาษบินเข้ามาตรงหน้าทันใด ก่อนจะร่วงลงสู่พื้น


นี่เป็นกระเรียนกระดาษที่นางส่งไปให้ชิงเสียก่อนหน้านี้! มันกลับมาแล้ว?


กระเรียนกระดาษบนพื้นคลายออกมาเป็นรูปร่างเดิม นางรีบไปหยิบมาเปิดดู เห็นเพียงด้านในมีกระดาษอีกใบสอดไว้ ด้านบนมีตัวอักษรเป็นลายมือของชิงเสีย เขียนว่า ‘พรุ่งนี้ตอนบ่ายที่หงชาง’


นางพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง เห็นเป็นกลิ่นอายของชิงเสียจริง จึงเก็บกระดาษลงไปอย่างดีใจ


ชิงเสียตอบกลับมาแล้ว อย่างน้อยที่สุดพวกเขาก็ไม่ได้รับอันตราย


แต่ก่อนหน้านี้นางก็เคยส่งกระเรียนกระดาษไปหาพวกมู่หัว แต่พวกมันไม่เคยกลับมาเลย ครั้งนี้จะเป็นไปได้อย่างไร?


หรือหลิวหยางเปิดเขตพลังแล้ว?


ไม่ว่าอย่างไร มีการตอบกลับมาก็ดีแล้ว


ในวันถัดมาไม่ง่ายนักที่จะฝืนทำงานอยู่ที่หน่วย นางรีบพุ่งไปที่ตลาดซื้อเพื่อขนมมาเล็กน้อย จากนั้นขี่เมฆมุ่งหน้าไปหงชาง


เพื่อป้องกันไม่ให้ลู่ยาทำเรื่องยุ่ง นางจึงไม่ให้เขาตามมา


หงชางยังเหมือนกับคราวก่อนที่มา แต่มีปีศาจย้ายมาเพิ่มสองสามตัว เมื่อมันเห็นนางมา แต่ละตัวแอบมองดูอยู่หลังต้นไม้ มู่จิ่วโยนน้ำตาลเข้าไปนิดหน่อย พวกมันถึงค่อยๆ ออกมาหยิบไป มีบางตัวรู้จักนางก็ยังเข้ามาทักทาย


ชิงเสียยังไม่มา นางจึงพูดคุยกับพวกมันไปเป็นการฆ่าเวลา


ผ่านไปราวหนึ่งสองเค่อ ในป่าพลันมีการเคลื่อนไหว มีเสียงเหยียบใบไม้กรอบแกรบดังออกมา


มู่จิ่วลุกขึ้นยืน เห็นสาวน้อยอายุราวสิบเอ็ดสิบสองแบกหมาป่าขนาดเล็กกว่าตัวนางไม่เท่าไหร่ออกมา เดินมาถึงหน้ามู่จิ่วก็โยนหมาป่าทิ้ง จากนั้นหอบหายใจมองนาง “อาจารย์อา!”


เหล่าปีศาจด้านข้างมองเห็นก็พลันร้องตะโกนวิ่งหนีไป!


มู่จิ่วตกใจ ก่อนจะชี้ร่างหมาป่าบนพื้น “นี่เกิดอะไรขึ้น?”


“อา ข้าสังหารปีศาจหมาป่ามา เก่งหรือไม่?” ชิงเสียเอ่ยอย่างภูมิใจ


มู่จิ่วยกนิ้วโป้งให้ ก่อนรีบพูด “แต่เจ้ามาหาข้าทำไมต้องแบกปีศาจหมาป่ามาด้วย?”


“พูดไปเรื่องก็ยาว” ชิงเสียหันกลับไปมองบนเขา จากนั้นหาที่ที่มีพื้นหญ้าหนาแล้วนั่งลงไป “สองวันนี้เจ้าสำนักไม่อยู่ ข้าอ้างว่าจะออกมาจับปีศาจแอบหนีออกมา”


“เช่นนั้นช่วงนี้พวกเจ้าไปอยู่ที่ไหนกัน?!” มู่จิ่วรีบเดินขึ้นไปข้างหน้า


“ข้าก็ไม่รู้ว่าที่ไหน” ชิงเสียแบมือ “เป็นอาจารย์ที่ให้ยันต์ข้าใช้ออกมาจากเขตค่ายกล อีกอย่างนะ ข้าบอกท่านให้ ตอนที่พวกเราย้ายบ้านกัน พวกเราหลายคนไม่รู้ตัวเลยสักนิด! จนวันที่สองเดินออกมาข้างนอกพบว่าไม่ใช่หงชาง ถึงได้รู้ว่าย้ายบ้านแล้ว!”


มู่จิ่วพูดไม่ออก ตอนหลิวหยางย้ายหนีไปก็พาไปด้วยทั้งหมด พวกเขาที่อยู่ด้านในย่อมต้องไม่รู้ตัว


“แล้วศิษย์พี่ยอมให้เจ้าออกมา?”


“ข้าเอากระเรียนกระดาษของท่านให้เขาดูแล้ว” ชิงเสียบอก “อันที่จริงข้าไม่ใช่คนเก็บกระเรียนกระดาษ เป็นอาจารย์ใหญ่ที่เก็บได้ เขาเอามาให้ข้าและไม่ได้พูดอะไร ตอนหลังข้าไปขอร้องอาจารย์ ตอนแรกเขาไม่ยอม บอกว่าเจ้าสำนักสั่งไว้ แต่พอดีสองวันนี้เจ้าสำนักออกไปทำธุระ ข้าจึงอ้างเรื่องจับปีศาจกับเขาเพื่อออกมา”


แต่เดิมศิษย์พี่เจ็ดรู้แล้ว เช่นนั้นหลิวหยางสั่งอะไรพวกเขาไว้?


นางครุ่นคิดก่อนถามอีก “เช่นนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้าสำนักออกไปทำธุระอะไร?”


“เขาไปพบจื่อเย่าเจินเหริน”


“จื่อเย่าเจินเหริน?!” มู่จิ่วเกือบถูกสี่คำนี้ทำให้ตกใจตายแล้ว นางกำลังคิดว่าทำอย่างไรถึงจะจับคนนี้ได้ ตอนนี้กลับโผล่ออกมาแล้ว? “จื่อเย่าเจินเหรินผู้นี้สนิทกับอาจารย์?”


“ใช่แล้ว” ชิงเสียตอบ “อย่างไรช่วงนี้จื่อเย่าเจินเหรินผู้นี้ก็มาหาอาจารย์บ่อยมาก และยังดูสนิทสนมกันอีก ทั้งคุยทั้งหัวเราะ แต่ไม่ใช่ยามที่อยู่ในสำนักเรา พวกเขานัดกันข้างนอก”


มู่จิ่วรีบถาม “เช่นนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่าจื่อเย่าเจินเหรินผู้นี้มีที่มาอย่างไร?”


“ไม่รู้เลย” ชิงเสียแบมือ “จริงๆ แล้วข้าเพิ่งรู้ว่ามีคนเช่นเขาอยู่ตอนที่เจ้าสำนักย้ายบ้าน ใบหน้าของจื่อเย่าเจินเหรินผู้นี้อ่อนโยนนัก พูดน้อย เป็นกันเองกับพวกเรามาก แต่ไม่รู้ว่าว่าทำไมเจ้าสำนักถึงสนิทสนมกับเขานัก ยังเคยพาเขาไปดื่มชาถึงห้องสนครวญด้วย”


ถึงแม้หลิวหยางจะย้ายทั้งสำนักไป แต่แน่นอนว่าสิ่งปลูกสร้างแต่ละแห่งยังคงเดิมอยู่


…………………………………………………..


บทที่ 320 คือหายนะ

โดย

Ink Stone_Romance

แต่สิ่งที่ชิงเสียพูดประหลาดมาก ปกติเขาเป็นคนถือตัวเช่นนั้น ทำไมถึงได้สนิทสนมกับเซียนที่เพิ่งรู้จักกันได้ไม่นาน และยังเชิญเข้ามาในห้องสนครวญและชงชาให้ดื่มอีก? หรือจื่อเย่าผู้นี้คือเพื่อนเก่าแก่? หรือเขาพลันเปิดใจ ตัดสินใจเข้าสู่สังคมไปใช้ชีวิต?


มู่จิ่วสับสน นี่ไม่ใช่หลิวหยางที่เก็บความรู้สึกและปลีกวิเวกในความทรงจำของนาง


“เช่นนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่าจื่อเย่าผู้นี้อาศัยอยู่ทีไหน?” นางถามอีก


“อา ข้าจะรู้ได้อย่างไร? เจ้าสำนักไม่บอกข้าหรอก แม้แต่อาจารย์กับอาจารย์อาทั้งหลายก็อาจจะไม่รู้” ชิงเสียทำปากยื่นพลางพูด สายตาก็จับจ้องไปยังแขนเสื้อนาง ค้อมตัวลงมอง “อาจารย์อาไม่ได้เอาอะไรมาให้ข้ากินหรือ? ข้าไม่ได้ลงจากเขาไปซื้อของกินเล่นนานแล้ว!”


“เอามาๆ!” มู่จิ่วหยิบห่อขนาดใหญ่ออกจากกำไลไม้ “เอาไปแบ่งให้เหล่าสหายตัวน้อยด้วย”


“เข้าใจแล้ว!” ชิงเสียกอดห่อผ้า ยิ้มทั้งหูและตา


มู่จิ่วมองฟ้าก่อนกำชับอีก “เจ้ารีบกลับไปเถอะ อย่าให้เจ้าสำนักจับได้ และพวกเจ้าต้องสืบหาที่มาของจื่อเย่าผู้นี้ให้ได้ คนผู้นี้ใช้ชื่อปลอม บนทะเบียนเซียนของสวรรค์ไม่มีชื่อของเขา ข้าคิดว่าน่าสงสัยมาก มีข่าวอะไรติดต่อข้าได้ตลอด” นางพูดพลางหยิบเอากระเรียนเซียนที่ตนทำไว้ส่งให้


“เรื่องที่อาจารย์อากำชับไว้ พวกเราไม่กล้าลืม” ชิงเสียเก็บกระเรียนเซียนไว้อย่างดี จากนั้นมือหนึ่งแบกห่อผ้าขึ้น อีกข้างแบกปีศาจจิ้งจอกไว้บนไหล่ เดินหอบหายใจหายเข้าไปในป่า


จนนางหายลับตาไป มู่จิ่วถึงได้ชักเท้าที่อยู่บนหินกลับ ขมวดคิ้วถอนหายใจ แล้วบินกลับสวรรค์ไป


ลู่ยากำลังสอนวิชาต่อสู้ให้อาฝู มู่จิ่วมองเขาสั่งสอนท่าทางให้อาฝูจนเป็นอยู่ด้านข้าง จึงค่อยตามเขาออกไปข้างนอก


และเล่าเรื่องที่เจอชิงเสียให้เขาฟัง ลู่ยาหันกลับมา “เขาสนิทสนมกับจื่อเย่าถึงเพียงนี้เชียว?”


มู่จิ่วพยักหน้า “ชิงเสียเล่ามาเช่นนี้ พวกเขาย่อมไม่หลอกข้า”


ลู่ยาครุ่นคิด


จุ่นถีเป็นคนเช่นไรลู่ยาย่อมรู้ เขาไม่ใช่คนสนิทสนมกับใครง่ายๆ เช่นนี้


และเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะไม่รู้ว่าจื่อเย่านี้ปลอมแปลงฐานะมา แต่เมื่อรู้ชัดแจ้งแล้วกลับยังสนิทสนมกับจื่อเย่า…เขาต้องไม่ได้สติเสียแน่นอน ในเมื่อสติไม่เสีย แบบนั้นก็บอกได้ว่าระหว่างสองคนนี้มีความลับ ไม่แน่ว่าการหนีไปของหลิวหยางอาจเกิดจากการยุยงของจื่อเย่า…


เอาเป็นว่า เรื่องที่เขากับมู่จิ่วอยู่ด้วยกันจุ่นถีไม่มีหนทางคัดค้าน และไม่สนใจถึงปัญหาเรื่องระดับรุ่นของตนเองด้วย ดังนั้นคราวก่อนที่เขาไปหามู่จิ่วที่หงชาง อีกฝ่ายก็ไม่ได้ว่ากระไร ไม่ได้หนีไป อีกทั้งยังสนับสนุนให้มู่จิ่วกลับมา แต่จื่อเย่าที่ปรากฏตัวออกมาเสียเฉยๆ นั้นกลับกลายเป็นปัญหา ไม่รู้ว่าทำอย่างไรจึงทำให้หลิวหยางซ่อนตัวจากเขาได้!


“ข้าว่าผิดปกติที่จื่อเย่าผู้นี้ เจ้าให้ชิงเสียจับตาดูไว้แล้วหรือยัง?” เขาถามพลางโยนผ้าเช็ดมือลงพาดบนอ่างสามขาที่ฝังทองไว้


“บอกแล้วๆ!” มู่จิ่วตอบ “ไม่ง่ายเลยที่จะได้เบาะแสมา ต้องให้นางจับตาไว้ ข้าก็รู้สึกว่าเขาประหลาดนัก ไม่รู้ว่าทำไมอาจารย์เจอเขาแล้วถึงได้เปลี่ยนนิสัยไป…”


พูดถึงตรงนี้นางก็พลันคิดถึงภาพเหตุการณ์ที่พบในวังมาร อดหันไปมองลู่ยาคราหนึ่งไม่ได้


ลู่ยาก็เหลือบมองนางอย่างเข้าใจ ไพล่มือเงยหน้าขึ้น แสร้งทำเป็นมองดอกบ๊วยที่ระเบียงทางเดิน


ยามที่มู่จิ่วกับลู่ยามองดอกบ๊วยที่ระเบียงทางเดินนั้น หลินเจี้ยนหรูกำลังถูกหัวชิงลากกลับไปที่เรือนยอดนภา


คนในเรือนไม่มากนัก มีเพียงเหลียงชิวฉานและหัวชิง กับผู้อาวุโสในสำนักอีกสองคน


“พูดมา พลังวิญญาณในร่างเจ้ามาได้อย่างไร?”


ทุกคนล้วนนั่งอยู่ มีเพียงหลินเจี้ยนหรูที่คุกเข่าอยู่บนพื้น หัวชิงรินชา สีหน้าเคร่งเครียดกว่าผู้อื่นนัก


แต่เดิมเขาเพียงจับหลินเจี้ยนหรูกลับมาเพื่อเอาเรื่องที่ล่วงเกินเหลียงชิวฉาน แต่กลับเกิดเรื่องเหนือความคาดหมายขึ้น ในตอนนี้หลินเจี้ยนหรูต่างจากในสมัยก่อน ถึงแม้เขาสืบหาไม่ได้ว่าพลังบำเพ็ญของอีกฝ่ายล้ำลึกไปถึงไหน แต่ย่อมไม่สามารถอธิบายได้ด้วยการกินยาเซียนไม่กี่เม็ด…ไม่ผิด คำตอบของเขาคือกินยาเซียนที่เซียนบนสวรรค์ให้มา


แม้ยาเซียนจะเพิ่มพลังบำเพ็ญได้ แต่ไม่มีหนทางเพิ่มพลังวิญญาณ คำพูดนี้ของหลินเจี้ยนหรู เขาย่อมไม่เชื่อ!


“ข้าบอกท่านไปแล้ว หากเจ้าสำนักไม่เชื่อข้าก็จนปัญญา”


หลินเจี้ยนหรูยกยิ้ม แลบลิ้นเลียเลือดที่มุมปาก พร้อมกับเหลือบมองเหลียงชิวฉาน ท่าทางไม่ยี่หระ


เขาคาดเดาไม่ผิด หัวชิงจับเขากลับมาเพราะเหลียงชิวฉานจริง?


ผู้หญิงคนนี้คงอยากจะเอาเรื่องเขาให้ถึงที่สุด


แต่เขาก็ไม่กลัว เขาไม่ใช่หลินเจี้ยนหรูในสมัยก่อนอีกต่อไปแล้ว พวกเขาทำอะไรเขาไม่ได้ ยามนี้ที่ยังนิ่งเฉยเป็นเพราะหัวชิงยังไม่สงสัยเรื่องหลินเซี่ยกับมหาโอสถทองเท่านั้น


“เจ้ายังกล้าปากแข็ง?!” หัวชิงตบโต๊ะและยืนขึ้นมา ร่ายมนตร์คาถารัดร่างเขาทันที “ไม่เพียงเจ้ากล้าก่อเรื่องลับหลังสำนัก แต่ยังล่วงเกินศิษย์พี่เจ้า แรกพยับกลับมีศิษย์ที่ไม่ได้ความเช่นเจ้า! ในสายตาเจ้ายังมีขื่อมีแปอยู่หรือไม่?…ใครก็ได้ จับเขาเข้าไปที่ถ้ำลมหนาว!”


มีศิษย์สองคนจากด้านนอกเข้ามาจับเขา


เขายืนขึ้นเอง เงยหน้าขึ้น เหลือบมองเหลียงชิวฉานที่ด้านหน้าก่อนเดินออกไป


เหลียงชิวฉานกุมมือทั้งสองข้าง จนเขาเดินออกไปก็ยังไม่อาจคลายไหล่ที่แข็งเกร็งได้


ถึงแม้ไม่ได้มองเขา นางก็รู้สึกถึงสายตาของเขาที่มองมาได้


นางก็ไม่รู้ว่าเขาเอาพลังบำเพ็ญอันล้ำลึกกับพลังวิญญาณที่แข็งแกร่งมาจากไหน เขาอาจจะเกลียดชังนาง หากไม่ใช่เพราะนาง หัวชิงคงไม่จับเขาไปยังถ้ำลมหนาว?


“หลินเจี้ยนหรูผู้นี้ไม่ใช่สวะเช่นแต่ก่อนแล้ว มีพลังบำเพ็ญล้ำลึกเช่นนี้ ต้องมีคนมอบให้เขาแน่! เขาต้องไปรู้จักคนที่อันตรายข้างนอกแน่นอน!”


ขณะกำลังตกอยู่ในภวังค์ นางราวกับได้ยินเสียงเบาๆ จึงเงยหน้าขึ้นมา พบว่าเหล่าผู้อาวุโสออกไปแล้ว หัวชิงไพล่มือยืนอยู่หน้าเรือน สีหน้าเย็นชายิ่งนัก


เหลียงชิวฉานใจสั่น มีคนให้พลังวิญญาณแก่หลินเจี้ยนหรู จะเป็นไปได้อย่างไร? ใครจะมอบพลังให้แก่คนที่ไม่เกี่ยวข้องผูกพันกัน? นางพลันสังหรณ์ใจไม่ดีนัก “อาจารย์จะสังหารเขาหรือไม่?”


หัวชิงหันมามองนางอย่างล้ำลึก เนิ่นนานกว่าจะเอ่ย “พลังวิญญาณในร่างเขาไม่ใช่สายมาร ข้าจะเอาเหตุผลใดมาสังหารเขา?”


เหลียงชิวฉานโล่งใจ แต่กลับเคร่งเครียดขึ้นมาอีก…ไม่มีเหตุผลจะฆ่า ไม่ได้หมายความว่าฆ่าไม่ได้หรือจะไม่ฆ่า นางกระจ่างแจ้งแล้วว่าหัวชิงในตอนนี้คิดอะไรอยู่…


“ถึงแม้ข้าจะเกลียดเขา แต่ไม่ต้องการให้อาจารย์สังหารเขา อาจารย์ท่าน…” เหลียงชิวฉานร้อนรนเล็กน้อย นางเพียงอยากให้พวกหัวชิงสั่งสอนเขาสักหน่อย นางก็คิดไม่ถึงว่าหลินเจี้ยนหรูจะพลันมีพลังสูงส่งจนทำให้หัวชิงกลัวได้


“เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องยุ่ง”


หัวชิงกวาดตามองนางก่อนออกไป


………………………………………………


บทที่ 321 คุณค่าของชีวิต

โดย

Ink Stone_Romance

แท้จริงแล้วถ้ำลมหนาวคือคุกใต้ดินของสำนักแรกพยับ


หลินเจี้ยนหรูอยู่ในคุกน้ำด้านในสุด ที่นี่ไม่เพียงอยู่ในส่วนลึกที่สุดของกลางไหล่เขา แต่ยังหนาวเย็นจนเสียดแทงกระดูก และไม่ใช่ที่อยู่สำหรับมนุษย์


แต่เขาก็รู้สึกว่ายังสงบใจได้ เมื่อผ่านไปสามวัน นอกจากเท้าชาและบาดแผลบนไหล่ที่เปิดออกแล้ว ก็ไม่มีอะไรถึงขั้นเอาชีวิต เมื่อหวนนึกถึงตอนที่โดนรังแกมามากในสำนักแรกพยับ เขาจำได้ว่ามีครั้งหนึ่งถูกจีหมิ่นจวินตีจนขาหัก จากนั้นเมื่อตกดึกจีหย่งฟางก็แอบเอามีดเข้ามา กรีดสร้างแผลตรงขาที่หักและใส่หนอนลงไป


ครั้งนั้นเขาเกือบเอาชีวิตไม่รอด


ก็ไม่รู้ว่ารอดมาได้อย่างไร


แน่นอนว่าคุกใต้ดินนี้ก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันเท่าไหร่ แต่พลังบำเพ็ญและพลังวิญญาณนี้เป็นของดีจริงๆ นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกขอบคุณชายชุดเขียวผู้นั้น ไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องอื่น อย่างน้อยเขาก็รับมือกับคุกนี้ได้ไม่มีปัญหา


เรื่องที่ยากลำบากเพียงสิ่งเดียวคือ เขาออกไปไม่ได้


คุกนี้มีเขตพลังที่เจ้าสำนักสร้างไว้ หากหัวชิงไม่สั่งปล่อยตัว เขาก็ไม่มีหนทางออกไปได้ตลอดชีวิต


และหัวชิงไม่มีความคิดจะปล่อยตัวเขาออกไปแน่ นอกจากเขาจะพูดความจริงออกไป!


นี่เป็นเรื่องที่ทำให้เขาปวดหัวนัก


เขาลองขับเคลื่อนพลังปราณทำลายเขตพลัง แต่ก็ไม่สะเทือน


ครั้นลองอีกครั้ง กลับมีคนพลันเข้ามาจากประตูคุก สองขามาหยุดยืนอยู่ด้านหน้า


เขาหรี่ตามอง เห็นใบหน้าเรียบเฉยมองไม่ออกถึงอารมณ์ความรู้สึก


เขายิ้มเย้ยหยัน ลูบใบหน้าก่อนถอยไปชิดกำแพงด้านหลัง มือทั้งสองยันหินข้างกาย เชิดคางขึ้นพลางเหลือบตามองนาง


เหลียงชิวฉานยืนอยู่ริมสระ มองเขาจากที่สูง แต่กลับไม่รู้สึกถึงความสูงส่งกว่าเลยสักนิด เขาแช่อยู่ในน้ำที่เย็นจนสามารถสลายกระดูกได้ บาดแผลบนไหล่เปิดออก ทำให้เสื้อถูกย้อมเป็นปื้นดำไปเป็นส่วนใหญ่ แต่ตัวเขากลับเหมือนคนปกติทุกอย่าง สายตาเย็นชาไม่แยแสสบมองนาง ราวกับเขาต่างหากเป็นคนที่มีอิสระและอยู่เหนือกว่าทุกอย่าง


ลมหายใจของนางติดขัดเล็กน้อย “เจ้าไม่กลัวตายหรือ!”


“คำพูดเช่นนี้ พวกเจ้าควรถามข้าตั้งแต่เมื่อสองร้อยปีก่อนแล้ว” หลินเจี้ยนหรูยกมุมปาก “เวลาสองร้อยปีที่ข้าอยู่ในสำนักแรกพยับ มีเวลาไหนบ้างที่มิใช่อยู่มิสู้ตาย?”


เขายกมือขึ้นเช็ดเลือดบนหัวไหล่ ก่อนยกขึ้นจรดริมฝีปากแล้วเลีย เลือดที่เปื้อนบนมุมปากทำให้เขายิ่งดูเต็มไปด้วยอันตราย


เหลียงชิวฉานใจสั่น ก้าวไปข้างหน้าครึ่งก้าวโดยไม่อาจหักห้าม “เจ้าไม่แยแสความตายเช่นนี้ ก็ให้อาจารย์มาสังหารเจ้าเสียให้จบ! ข้าจะไม่ใจอ่อนอย่างเด็ดขาด จะไม่ขวางเขาสักก้าวเดียว! และจะให้เขาลงมือต่อเจ้าอย่างโหดร้าย ถึงจะคู่ควรกับความแค้นในใจข้า!”


น้ำเสียงของนางเปลี่ยนไปเล็กน้อย เสียงดังสะท้อนอยู่ในถ้ำ


“ก็แล้วแต่” หลินเจี้ยนหรูพูด แววตาเหมือนกับลำแสงที่พุ่งตรงและมั่นคง “ถึงแม้เจ้าลงมือฆ่าข้ากับมือ ข้าก็ไม่ตกลงว่าจะอยู่ร่วมกับเจ้าอย่างเด็ดขาด”


มือทั้งสองของเหลียงชิวฉานกำประตูคุกแน่น ตัวสั่นเทา น้ำเสียงก็ขาดเป็นห้วงๆ “ทำไม?!”


เหตุผลหลักเป็นเพราะเขาสัญญาไว้แล้วว่าจะไม่ทำร้ายผู้อื่นอีก เขาตอบในใจ ถึงแม้เหตุที่เขาไม่คิดทำร้ายนาง ไม่ได้เป็นเพราะตัวนางเอง แต่ไม่ว่าอย่างไร ตอนนี้เขาไม่อยากทำร้ายจิตใจนางก็เป็นเรื่องจริง เขาไม่อาจชมชอบนางหรือชอบคนที่เคยดูถูกรังแกตนเองมาก่อนได้ ถึงแม้อยู่ด้วยกัน เขาก็ทำได้เพียงใช้ประโยชน์นาง


เขารู้สึกว่ามันไม่มีความหมาย


“เจ้าจะต้องเสียใจ!”


เหลียงชิวฉานยืนขึ้น กัดฟันชี้เขา “เจ้าจะต้องเสียใจ!”


เขายกยิ้ม แววตายามที่มองนางเจือไปด้วยความจริงใจหลายส่วน


นางหมุนตัวกลับออกไปราวกับลม


หลินเจี้ยนหรูทิ้งมือลง ร่างจมลงไปในน้ำดุจหินหนัก


ถึงแม้อาศัยพลังบำเพ็ญและพลังวิญญาณของชายชุดเขียว ทำให้ไม่ถึงกับตาย แต่น้ำเย็นนี้ยังคงทำให้เขาค่อยๆ รู้สึกชา สระที่ถูกขนานนามว่าเป็นน้ำเย็นสลายกระดูกไม่อาจดูแคลนได้เลย


เหลียงชิวฉานพุ่งออกจากถ้ำด้วยความโกรธกริ้ว ลมเย็นตรงปากประตูพัดเข้ามาปะทะ ทำให้นางสั่นขึ้นมาคราหนึ่ง น้ำตาก็ร่วงหล่นลงมาเช่นเดียวกัน


เจ้าสัตวเดรัจฉาน ปีศาจที่ต่ำช้าไร้ยางอาย!


เขาตายก็ดีแล้ว! นางจะไม่สนใจเขาอีก! ให้เขาอยู่ที่สระน้ำเย็นนั่นจนตายไปซะ! หรือให้หัวชิงผลักเขาลงหลุมตัดวิญญาณไปเป็นเพื่อนจีหย่งฟางเสียเลย!


นางปล่อยให้น้ำตาไหลรินอยู่ครู่หนึ่ง ไม่นานนางก็กลับเข้าไปในคุกราวกับลม


หลินเจี้ยนหรูไม่คาดคิดว่านางจะกลับมาอีก เขากำลังดิ้นรนขับเคลื่อนพลังวิญญาณภายใต้อาคมมัดกาย คิดจะดิ้นรนออกไป น้ำเย็นทำให้แขนขาเขาซีดขาว ตัดกับใบหน้าและลำคอแดงเถือกที่เกิดจากการพยายามใช้พลังของเขา ดูแล้วไม่ต่างจากคนตาย ยามที่เขาเห็นนางก็รีบเก็บพลังไปทันที ลอยคอหอบหายใจอยู่ในน้ำ


เหลียงชิวฉานยอบกายลงมองเขาอยู่นาน จากนั้นหยิบยาฟื้นฟูกำลังสองเม็ดจากในกระเป๋าเล็กส่งให้เขา “กินนี่ลงไปซะ!”


หลินเจี้ยนหรูเหลือบมองนางอย่างไร้เรี่ยวแรง ไม่ขยับเขยื้อน อันที่จริงเขาไม่มีแรงจะขยับแล้ว เขาควรจะเข้าปะทะกับหัวชิงตั้งแต่แรก หนีออกจากสำนักแรกพยับก่อนค่อยว่ากัน แต่ถึงแม้มีเรี่ยวแรงเขาก็ไม่อาจรับความเห็นใจจากนางได้ นางอยากจะฉีกเขาเป็นชิ้นยิ่งกว่าสิ่งใด จะมอบยาให้เขาได้อย่างไร?


เหลียงชิวฉานออกจะร้อนใจ มองซ้ายขวาก็ไม่พบสิ่งใดที่จะลากเขาเข้ามาได้ เมื่อคิดดูก็นึกได้ว่าตนเองมีกระชอนอันหนึ่งจึงรีบหยิบออกมา โยนมันออกไปเกี่ยวเสื้อเขา จากนั้นดึงตัวเขาเข้ามาริมสระ


นางบีบปลายคางเขาแล้วป้อนยาเข้าไป ตั้งแต่ช่วงอกของหลินเจี้ยนหรูลงไปไปถูกอาคมมัดกายรัดอยู่ ทำได้เพียงรับการกระทำของนางไว้ แต่ถึงแม้ยาจะเข้าไปในปากแล้ว เขากลับไม่กลืนลงไป จนเมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีอันตรายจึงค่อยกลืน


เหลียงชิวฉานเห็นสีหน้าเขาค่อยๆ ดีขึ้น จึงได้ปล่อยมือที่กำตะรางคุกสำริดอยู่ลง


นางคุกเข่านั่งบนพื้น หลินเจี้ยนหรูก็ปรับลมหายใจอยู่ในน้ำ


บรรยากาศในคุกค่อยถึงเริ่มผ่อนคลายลงหน่อย


“เจ้ายินดีที่จะตายมากกว่าเคียงคู่กับข้าหรือ?” นางมองเขาอย่างอ่อนแรง น้ำตาเหือดแห้งไปแล้ว และน้ำเสียงก็สงบนิ่งนัก


หลินเจี้ยนหรูมองนางอยู่นาน ก่อนเอ่ยว่า “สองร้อยปีที่ข้าอยู่สำนักแรกพยับ พูดจากลับกลอกมามาก ทำเรื่องผิดมาเยอะ ตอนนี้ไม่อยากทำเช่นนั้นอีกแล้ว ข้าบอกว่าข้าไม่อาจชอบเจ้าได้ เช่นนั้นชาตินี้ชีวิตนี้ก็ไม่อาจเคียงคู่กับเจ้าได้”


“เจ้าคนระยำ!” เหลียงชิวฉานตะโกนลอดประตูคุกมา ไม่รู้ว่าเพราะโกรธหรือเจ็บปวด น้ำตาไหลลงมาอีกแล้ว


“ข้ารู้” เขาขยับแขนเล็กน้อย เปลี่ยนท่าทาง เอ่ยอย่างเย้ยหยัน “ที่จริงด่าว่าระยำยังน้อยไปสำหรับข้าด้วยซ้ำ เจ้าควรด่าข้าว่าเดรัจฉาน สวะ บางครั้งข้าก็ด่าตนเองเช่นนี้ เจ้ารู้หรือไม่? ตอนข้าฆ่าหลินเซี่ยไม่ได้ลังเลเลยแม้แต่น้อย ทั้งยังไม่เสียใจด้วย หากย้อนหลับไปอีกครั้ง ข้าก็คงยังทำเช่นนั้น”


“เพราะข้าต้องการมีชีวิตอยู่”


“หากข้าต้องตาย ข้าก็อยากตายเพื่อคนที่คู่ควร หากข้าจะมีชีวิตอยู่ ข้าก็อยากอยู่เพื่อช่วยคนที่ทำดีกับข้า นี่ถึงจะเรียกว่าใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่า ตายก็ตายอย่างมีคุณค่า”


“หลินเซี่ยไม่คู่ควรให้ข้าละเว้น ยังมีจีหย่งฟางอีก พวกเขาสมควรตาย แต่หากข้ามีทางเลือกอื่น ข้าก็คงไม่ลงมือฆ่าพวกเขา”


…………………………………………………..


บทที่ 322 ไม่ใช่ชะตาร้าย

โดย

Ink Stone_Romance

“ยามนั้นพวกเจ้าแต่ละคนล้วนดูแคลนข้า ด่าว่าข้า…แกล้งข้าเพื่อความบันเทิง แม้ข้าเคยคิดจะ…เอาคืน แต่ก็ไม่เคยคิดจะเอาชีวิต”


“คนเรามักจะจดจำความเจ็บปวดได้ลึกซึ้ง เจ้าไม่มีทางทำให้ข้ามีใจกตัญญูต่อสำนักแรกพยับได้ ที่ผ่านมาข้าสูญเสียมามากแล้ว ข้าเบื่อหน่ายชีวิตที่ลวงหลอกและอันตราย ข้าต้องการใช้ชีวิตเคียงคู่กับหญิงจิตใจดีงามผู้หนึ่งชั่วชีวิต อาศัยอยู่ในบ้านไม้ไผ่ ให้กำเนิดลูกชายลูกสาว ศึกษาธรรมบำเพ็ญเป็นเซียน ชีวิตแบบนี้เจ้าทำให้ข้าไม่ได้”


เหลียงชิวฉานกำลูกกรงแน่น น้ำตาหลั่งริน แต่กลับพูดไม่ออก


นี่เป็นคำพูดที่หลินเจี้ยนหรูพูดกับนางยาวที่สุด และลึกซึ้งที่สุด


แต่ไหนแต่ไรนางไม่รู้ว่าในใจเขาเป็นอย่างไร นางแน่ใจว่าเขาต้องเกลียดสำนักแรกพยับแน่ ดังนั้นนางจึงระแวดระวังเขาในตอนแรก แต่นางไม่รู้เลยว่าสิ่งที่เขาต้องการคือชีวิตสงบสุข และสิ่งที่ทำให้นางเจ็บปวดใจที่สุดคือ เขาบอกว่านางไม่อาจให้ชีวิตแบบที่เขาปรารถนาได้อย่างนิ่งเฉยเช่นนี้!


ก่อนหน้านี้เคยได้ยินคำพูดที่โหดร้ายกว่านี้มาแล้ว และแต่ก่อนนางก็ยังไม่ได้ลุ่มหลงจนถึงขาดเขาไม่ได้


แต่เขาในตอนนี้กลับทำให้ใจนางสั่นไหวเป็นครั้งแรก ราวกับทลายสิ่งกีดขวางที่ขวางอยู่บนตัวเขา ทำให้นางเข้าถึงตัวตนจริงๆ ของเขาได้ในพริบตา…นางพลันกระจ่างแจ้งแก่ใจ ตลอดมานางไม่เคยเข้าถึงใจเขาเลย ความอ่อนโยนเอาใจใส่ของเขาล้วนเป็นเรื่องลวงหลอก แต่ไหนแต่ไรเขาไม่เคยมองนางเป็นคนของเขามาก่อน!


“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าทำให้เจ้าไม่ได้?” นางกัดฟันตัวสั่น ใจไม่ยอมรับ


“เพราะคนที่ข้าต้องการไม่ใช่เจ้า” เขายังคงสงบนิ่ง แหงนหน้ามองพื้นคุกเหมือนกับปลานอนหงายท้อง


ในคุกหินมีเพียงเสียงสะอื้นเบาๆ ของเหลียงชิวฉาน


นี่ทำให้หลินเจี้ยนหรูรู้สึกอยากบอกลาโลกนี้ทันที


แต่ตอนนี้ความปรารถนาของเขาสำเร็จแล้ว ที่จริงตายไปก็ไม่กระไร อย่างน้อยเขาก็ได้ใช้ชีวิตเพื่อตัวเองแล้วครั้งหนึ่ง ได้ทำตามใจปรารถนาแล้ว


ตั้งแต่ชิงเสียส่งข่าวมา ใจอันห่อเหี่ยวของมู่จิ่วก็พองฟูขึ้นมา ถึงแม้รู้ว่าไม่อาจได้รับข่าวเพิ่มเติมมาอีกในเร็ววันนี้ แต่ก็ยังกำชับพวกเสี่ยวซิงไว้ว่าหากมีของส่งมาถึงนางหรือมีคนมาหา ทางที่ดีที่สุดให้แจ้งนางทันที แน่นอนว่าหากหานางไม่พบก็สามารถบอกลู่ยาแทนได้


สองวันนี้ลู่ยายุ่งอยู่กับการวิเคราะห์เรื่องจื่อเย่าเจินเหรินกับหลิวหยาง แน่นอนว่าสำหรับตอนนี้เป็นเพียงแค่การคาดเดาเท่านั้น หลิวหยางไม่ทิ้งเส้นผมไว้สักเส้น ทั้งยังมีฤทธิ์เดชสูง และเข้าใจศัตรูมาก ไม่ง่ายเลยหากต้องการตามหาเบาะแสเขาภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ แต่เพราะตอนนี้เรื่องที่พวกเขาอยู่แห่งหนไหนไม่สำคัญนัก ดังนั้นจึงยังดีอยู่ อย่างไรก็ไม่ร้อนใจเท่าตอนแรก


ตั้งแต่ได้ยินเรื่องของหลินเจี้ยนหรูกับเหลียงชิวฉานด้วยตัวเอง มู่จิ่วเย็นชาต่อเขามาก หลายวันมานี้ไม่ได้สนใจเขาอีก แต่ยามที่ใจกระหวัดนึกถึงคมดาบของเหลียงชิวฉานซึ่งทำร้ายเขาก็รู้สึกทนไม่ได้อยู่บ้าง อย่างไรนี่ก็เป็นการเข้าใจผิด อันที่จริงนางสามารถพูดกับเหลียงชิวฉานให้เข้าใจได้


แต่สุดท้ายนางก็ล้มเลิกความคิด


เวรกรรมระหว่างพวกเขา คิดดูแล้วก็เป็นชะตาลิขิต เพราะเขาเหลียงชิวฉานถึงได้มาถามนาง ย่อมต้องมีความรู้สึกลึกซึ้ง และคำปฏิเสธเด็ดขาดของหลินเจี้ยนหรูก็แสดงว่าไม่ได้รู้สึกสิ่งใดต่อนางโดยแท้จริง ตอนนี้เขาตัดสินใจตัดสัมพันธ์กับนาง ย่อมมิใช่ไม่ใช่เรื่องดี เรื่องยุ่งยากนี้นางอยากแบกไว้ก็แบกเถิด ถึงแม้แผ่นหลังของนางจะฉีกขาดก็ช่าง อย่างไรก็แค่ไม่ต้องเข้าไปพัวพันด้วย


ช่วงเช้าหลายวันมานี้ไม่เห็นเขาปรากฏตัว นางก็ไม่ประหลาดใจ


อาการบาดเจ็บนั้นไม่เบานัก พลังบำเพ็ญเขาน้อยถึงเพียงนั้น ยังไม่รู้ว่าทำอย่างไรถึงจะฟื้นตัวได้


เขาพูดได้รุนแรงขนาดนั้น ดาบของเหลียงชิวฉานแทงมาด้วยความบอบช้ำ ย่อมต้องไม่อาวรณ์เขาแน่นอน


แต่ถึงแม้เป็นเช่นนี้ มู่จิ่วก็ไม่มีความคิดจะไปหาเขา


แม้นางจะใจอ่อนกว่านี้ ก็ยังไม่อาจยอมทนต่อการหลอกลวงของเขาได้ ถึงแม้เรื่องนี้เกิดขึ้นก่อนที่เขาจะให้สัตย์สาบานว่าจะไม่กระทำชั่วอีกกับนาง แต่ในความเป็นจริงคำสาบานก็ผูกมัดตัวเขาเอง คนที่ได้รับผลประโยชน์ย่อมเป็นเขา จะดีจะร้ายก็เป็นตัวเขาเลือกเอง นางจะมีกำลังไปบังคับเขาให้เลือกได้อย่างไร?


วันนี้อยู่เวรรอบเช้า นางเข้าประตูหน่วยลาดตระเวนไปกลับพบว่ามีคนหน้าใหม่อยู่ในห้องเพิ่มขึ้นมาอีกคน ตอนแรกเข้าใจว่าเป็นสหายร่วมงานคนใหม่ กำลังจะเข้าไปทักทาย หลิวจวิ้นกลับเอ่ยขึ้นมาท่ามกลางผู้คน “นี่คือคนที่จะมาแทนหลินเจี้ยนหรูชั่วคราว นามว่าซูเจ๋อ รอจนหลินเจี้ยนหรูมาแล้วค่อยกลับไป”


มู่จิ่วถึงได้รู้ว่าหลินเจี้ยนหรูไม่ได้อยู่ในทัพทหารสวรรค์แล้ว


นางอดไม่ได้ถาม “เขาไปไหน?”


“กลับสำนักไปแล้ว เจ้าสำนักเขามาแจ้งข่าว” หลิวจวิ้นตอบ


กลับสำนักแรกพยับ? หัวชิงมาส่งข่าว?


มู่จิ่วนึกถึงตอนที่เหลียงชิวฉานหุนหันออกจากเรือนไป พลันรู้สึกว่าไม่ใช่เรื่องเล็กๆ แล้ว


ทางนี้ยังไม่ทันได้เอ่ยคำ ตอนกลับบ้านไปกินข้าวเที่ยง นางก็ถามเสี่ยวซิง “หลายวันมานี้เจ้าเห็นเหลียงชิวฉานหรือไม่?”


เสี่ยวซิงส่ายหน้า “ไม่เจอเลย”


มู่จิ่วครุ่นคิดก่อนเอ่ย “เจ้าพาอาฝูไปเดินเล่นที่หอวิหคแดง ทำเหมือนไปหาเสวี่ยรั่ว แล้วไปสืบข่าวมาเสียหน่อย”


เสี่ยวซิงลุกขึ้นมา พาอาฝูเดินออกไป


มู่จิ่วเพิ่งเดินหมากกับลู่ยาได้เพียงครึ่งกระดาน พวกเขาก็กลับมาแล้ว เสี่ยงซิงบอก “เหลียงชิวฉานไม่อยู่ นางกลับสำนักแรกพยับ ไปได้สักหกเจ็ดวันแล้ว”


หกเจ็ดวัน? นับดูแล้วมิใช่หลังจากที่ทะเลาะกับหลินเจี้ยนหรูหรือ?


ลู่ยาเท้าคางถาม “เกิดเรื่องอะไรขึ้นอีกหรือ?”


มู่จิ่วเล่าเรื่องให้ลู่ยาฟัง ก่อนเอ่ย “ข้าคิดว่าหัวชิงต้องไม่ได้มาสวรรค์เพียงเพื่อขอลาพักแทนหลินเจี้ยนหรู ต้องเป็นเพราะเหลียงชิวฉานแน่ๆ หลินเจี้ยนหรูกลับไปครั้งนี้ก็ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตกลับมาหรือไม่”


ลู่ยาขยับหมากเล็กน้อย แล้วจึงกล่าว “มีความเสี่ยงอยู่บ้าง”


มู่จิ่วยื่นหน้าเข้ามา แต่นางไม่เคยเห็นดวงชะตาที่ทำนายมาจากการเดินหมากมาก่อน “ถึงตายหรือไม่?”


“อย่างน้อยตอนนี้ยังไม่ตาย” ลู่ยาเลิกคิ้ว “แต่หลังจากนั้นไม่อาจรู้ได้”


“เหลียงชิวฉานล่ะ?”


“ข้าไม่รู้จักคนผู้นั้น ไม่อาจตรวจดูได้” ลู่ยาพูดตามตรง


มู่จิ่วชะงัก และไม่ได้พูดสิ่งใดอีก


เหลียงชิวฉานดูไม่ใช่หญิงเขลาที่วิ่งเข้าหาความตาย ถึงแม้นางจะกลับไปสำนักแรกพยับ ย่อมต้องปลอดภัยดี


ในขณะที่หลินเจี้ยนหรูล้มลุกคลุกคลานอยู่ในสำนักแรกพยับแต่เด็ก มีหนทางเอาตัวรอด ในเมื่อไม่ได้เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นมาในหลายวันนี้ เช่นนั้นคงจะไม่เกิดอันตรายอะไรขึ้น เพียงแต่ไม่รู้ว่าเรื่องที่เขาสังหารหลินเซี่ยกับจีหย่งฟางแดงออกมาหรือยัง?


ใจของนางถึงว้าวุ่นสองครา สุดท้ายก็วางใจลง


อย่างไรนางก็บอกไว้แต่แรกแล้วว่าจะไม่เข้าไปยุ่ง ไม่มีใครตายก็ดีแล้ว


แต่พูดตามจริง นางหวังอย่างยิ่งว่าหลินเจี้ยนหรูจะพบหญิงที่จริงใจกับเขา ไม่ว่าอย่างไร เขาก็ลำบากมามากแล้ว หากเขาพบคนที่ใช่ มีคนใส่ใจดูแล บางทีอาจจะต่างออกไปจากนี้ มนุษย์มิใช่ล้วนเป็นแบบนี้หรือ ใช้ชีวิตอยู่ได้ด้วยความหวัง แต่ก่อนเขาอยู่เพื่อมารดา ตอนนี้สมปราถนา ก็ไม่รู้ว่าจะอยู่เพื่อใครแล้ว


……………………………………………….

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)