หมอดูยอดอัจฉริยะ 319-320
ตอนที่ 319 ประลองฝีมือ (4)
โดย
Ink Stone_Fantasy
แม้จะกำลังตกตะลึงต่อพลังอันมหาศาลผิดมนุษย์ของคนที่ชื่อ ‘อาฮวา’ แต่เยี่ยเทียนก็ยังอดรู้สึกขบขัน กับเจ้าเหมาโถวไม่ได้ เพราะในกรงเล็บน้อยๆ ของมันนั้น ถึงกับถือเนื้องูจงอางอยู่ชิ้นหนึ่ง
“แกเป็นคนเลี้ยงมันรึ?”
เมื่อเห็นเหมาโถวกระโจนเข้าสู่อ้อมแขนของเยี่ยเทียน ร่างอันอ้วนท้วนของชาญ ทองทวนก็สั่นระริกขึ้นมา ด้วยความเดือดดาล ก็ไอ้เจ้าตัวจิ๋วนี่มันกินหนอนพิษที่เขาอุตส่าห์เลี้ยงไว้มาหลายปีไปจนหมดเกลี้ยงเลยน่ะสิ!
“ฉันเลี้ยงไว้เองแหละ ทำไมรึ?”
เยี่ยเทียนยิ้มพลางวางเหมาโถวไว้บนบ่า เจ้าตัวน้อยนี่ก็ยังไปยักคิ้วหลิ่วตาใส่งูจงอางตัวนั้น พลางโบกอุ้งเท้าน้อยๆ ของมันไปมา ท่าทางน้ำลายสออยากจะกินเจ้างูตัวนั้นสุดขีด
“ฉัน…ฉันจะทำให้แกต้องร้องโหยหวนไปเจ็ดวันเจ็ดคืนถึงจะตายได้!”
ชาญ ทองทวนนึกไม่ถึงเลยว่า เจ้าสัตว์ตัวนี้จะเป็นสัตว์เลี้ยงของเยี่ยเทียน อย่างนั้นเรื่องที่มันกินหนอนพิษของเขาไป ก็ต้องเป็นเพราะเยี่ยเทียนบอกให้ทำแน่แล้ว
เพลิงโทสะแผดเผาจนชาญ ทองทวนจนขาดสติ ทันใดนั้นเขาก็ท่องคาถาบางอย่างที่ยากจะจับใจความได้ออกมา แล้วสะบัดชายแขนเสื้อข้างขวา หมอกควันสีดำกลุ่มหนึ่งปกคลุมอยู่เบื้องหน้าร่างของเขา
“ไป!”
เมื่อชาญ ทองทวนชี้เป้าไปที่เยี่ยเทียน หมอกควันกลุ่มนั้นก็พุ่งตรงมาทางเยี่ยเทียนทันทีราวกับมีจิตวิญญาณ แล้วเยี่ยเทียนซึ่งอยู่ห่างจากชาญทองทวนไปเจ็ดแปดเมตรนั้น ก็สูดหายใจได้กลิ่นเหม็นขึ้นมาทันที
“ศิษย์น้องเยี่ย ระวังนะ นั่นมันมนตร์เหาะเหินในวิชาคุณไสย!”
เมื่อเห็นหมอกดำกลุ่มนี้ปรากฏขึ้น จั่วเจียจวิ้นก็เปลี่ยนสีหน้าไปทันที สมัยก่อนอาจารย์ของชาญ ทองทวน นายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ก็เคยอาศัยจังหวะยามตกกลางคืนปล่อยมนตร์เหาะเหินออกมาลอบทำร้ายเขาเช่นกัน
หลังจากถูกเล่นงานครั้งใหญ่ไปตอนนั้น จั่วเจียจวิ้นก็กลับไปฮ่องกง และพยายามค้นหารวบรวมข้อมูล เกี่ยวกับวิชาคุณไสยมาได้บ้าง แต่ผลกลับยิ่งทำให้เขาหวาดหวั่นต่อวิชาคุณไสยประเภทมนตร์เหาะเหินยิ่งขึ้นไปอีก
วิธีการของหมอคุณไสยนั้น ส่วนมากมักจะใช้หนอนคุณไสยที่ตนเลี้ยงไว้และยาคุณไสย ที่ดองไว้ในการควบคุมหรือทำร้ายสังหารศัตรู
แต่หนอนพิษหรือยาคุณไสยนั้นจะต้องให้ ‘ตัวคุณไสย’ สัมผัสถูกเหยื่อทางกายภาพโดยตรง ซึ่งก็หมายความว่า ผู้ตกเป็นเหยื่อจะต้องเผลอกินหนอนพิษเข้าไป หรือไม่ก็ถูกหนอนพิษกัดถึงจะได้ผล
แต่มนตร์เหาะเหินนั้นไม่เหมือนกัน เพราะมนตร์เหาะเหินสามารถที่จะจู่โจมเหยื่อจากระยะไกลได้โดยตรง
ควันดำที่ออกมาจากแขนเสื้อของชาญทองทวนนั้น ที่จริงก็ทำขึ้นจากน้ำมันพรายผสมกับหนอนและสิ่งมีพิษต่างๆ นั่นเอง มันคือปราณชั่วร้ายและปราณมรณะชนิดหนึ่งที่เกิดจากสิ่งมีพิษสารพัดอย่างและน้ำมันพรายผสมกัน ปราณชั่วร้ายชนิดนี้จะเรียกว่าเป็น ‘คำสาป’ ที่น่ากลัวที่สุดและชั่วร้ายที่สุดในโลกเลยก็ว่าได้
มนตร์เหาะเหินนั้นสามารถควบคุมหนอนพิษให้เหาะไปจู่โจมผู้ถูกคุณไสยโดยใช้การส่งจิตเพ่งสมาธิและยันต์คาถาได้ แต่มีขีดจำกัดด้านระยะทางอยู่ในระดับหนึ่ง และไม่สามารถใช้วิชานี้ในสถานที่ที่แสงอาทิตย์ส่องถึงได้ จึงมักจะใช้ในยามโพล้เพล้หรือยามกลางคืน
แน่นอนว่า ในวิชาคุณไสยยังมีการเลี้ยงวิญญาณซึ่งน่ากลัวยิ่งกว่าอีก แต่วิชาคุณไสยประเภทนี้จะต้องเลี้ยงผีไว้ แล้วนำพลังพยาบาทและปราณพิฆาตมารวมกัน เพื่อใช้กระตุ้นมนตร์คาถาในวิชาคุณไสย ทำให้ผีตนนั้นดุร้าย ขึ้นมาอย่างไร้เทียมทาน
เพียงแต่การเลี้ยงวิญญาณนั้นนั้นแม้จะใช้กับคนธรรมดาได้ผลดีมาก แต่หากนำมาใช้กับเยี่ยเทียนและจั่วเจียจวิ้น ก็กลับจะไม่ได้ผลอะไรเลย เพราะเป็นคนในวงการศาสตร์ลี้ลับเหมือนๆ กัน ปราณพิฆาตจึงไม่มีประสิทธิภาพ ในการบั่นทอนต่อพวกเขามากนัก
“มนตร์เหาะเหิน? เฮอะ ศิษย์พี่ ดูวิชาอาคมของผมซะก่อน!”
เยี่ยเทียนหวั่นเกรงก็แต่เจ้า ‘คน’ ที่ชื่ออาฮวานั่นเท่านั้น ถ้าชาญ ทองทวนใช้วิชาคุณไสยมาจัดการกับเขาเสียงเอง กลับจะกลายเป็นถูกใจเยี่ยเทียนเสียอีก สาเหตุที่เขาไม่ด่วนใช้ค่ายกลเก้าตำหนักพิฆาตนั้น ก็เพราะว่าเยี่ยเทียนอยากจะขอชม ยอดศาสตร์มืดจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นี้ดูสักครั้ง!
เมื่อเห็นว่าหมอกดำใกล้จะพัดมาถึงตัวแล้ว สองมือของเยี่ยเทียนก็จับนิ้วร่ายอาคมอย่างต่อเนื่อง มือขวาเป็นหยาง มือซ้ายเป็นหยิน วาดออกไปกลางอากาศอย่างว่องไว
“หกเพลิงสี่ลักษณ์ เหล่าพลังหยางแห่งสวรรค์ จงแผดเผา!”
ทันใดนั้นเยี่ยเทียนก็เปล่งเสียงตวาดออกไป แล้วกระแสปราณหยินและหยางก็ถักสานกันขึ้นมาเบื้องหน้า จนถึงขั้นเกิดเปลวเพลิงขึ้นมากลางอากาศ และปกคลุมหมอกดำกลุ่มนั้นไว้ภายใน
อาคมที่เยี่ยเทียนใช้อยู่นี้ ถ้าไปปรากฏแก่สายตาของผู้คนในสมัยโบราณ ก็คงจะถูกเรียกว่าเป็นปาฏิหาริย์แน่นอน ในคัมภีร์เต๋ากล่าวไว้ว่า พลังปราณแห่งไฟหยาง สิ่งอันเป็นหยางบริสุทธิ์ และเพลิงสมาธิวิเศษซึ่งประกอบรวมด้วยแก่นสาร พลังปราณ และดวงจิตนั้น หากจุดขึ้นมาแล้ว จักสามารถแผดเผาได้ทุกสรรพสิ่ง
เยี่ยเทียนเชื่อมโยงปราณหยางเข้าด้วยกัน แล้วใช้ปราณหยินจุดชนวนขึ้นมา อีกทั้งออกซิเจนในอากาศ ยังเป็นเชื้อเพลิงอย่างดี เปลวเพลิงที่เกิดขึ้นจากความว่างเปล่านี้จึงลุกโชนอย่างรุนแรง ชาญ ทองทวนยังไม่ทันได้ สั่งให้หมอกดำกลุ่มนั้นถอยกลับไป มันก็ถูกเปลวเพลิงปกคลุมไว้หมดแล้ว
ที่เยี่ยเทียนปล่อยออกมานี้แม้จะไม่ใช่เพลิงสมาธิของไท่ซั่งเหล่าจวิน แต่เปลวเพลิงที่ใช้วิชาอาคมก่อขึ้นมาชนิดนี้ ก็มีอุณหภูมิที่สูงอย่างยิ่ง
อีกทั้งไฟธาตุหยางเดิมทีก็เป็นดาวข่มของสรรพสิ่งที่เป็นธาตุหยินร้ายอยู่แล้ว จริงอยู่ที่มนตร์เหาะเหินของชาญ ทองทวนนั้นเป็นการรวมตัวกันของปราณชั่วร้ายและปราณมรณะอันน่ากลัวอย่างยิ่ง แต่ก็ยังคงถูกเปลวเพลิง กลุ่มนี้เผาไหม้จนเกิดเสียงดังฉู่ฉี่ และขนาดก็หดเล็กลงเรื่อยๆ
เมื่อเห็นเยี่ยเทียนใช้วิชานี้ ชาญ ทองทวนที่ตอนแรกมีท่าทางกระหยิ่มใจอยู่นั้น ก็กระโดดพรวดขึ้นมาทันที แล้วชี้นิ้วตะโกนใส่เยี่ยเทียนว่า “วิชาอาคม วิชาอาคมของแดนจีน แก…แกเป็นคนในวงการศาสตร์ลี้ลับของยุทธภพงั้นเรอะ?”
“แกก็รู้จักศาสตร์ลี้ลับของยุทธภพเหมือนกันรึ?” เยี่ยเทียนยิ้มยิงฟัน “แล้วบรรพบุรุษแกเคยบอกแกรึเปล่าล่ะ ว่าห้ามมากร่างในถิ่นประเทศจีนนี่?”
เยี่ยเทียนเคยได้ยินอาจารย์เล่าว่า ในช่วงสมัยเปลี่ยนผ่านราชวงศ์อันยาวนานนั้น วงการศาสตร์ลี้ลับในประเทศ เคยได้ต่อสู้กับสำนักวิชาอาคมจากประเทศอื่นๆ อยู่บ่อยครั้ง และก็มีหลายครั้งที่แทบจะกวาดล้างศิษย์ในสำนักนั้นๆ ไปจนหมดสำนักเลยทีเดียว
ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกวิชาคุณไสยทางเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือพวกที่มีเวทมนตร์ดำทางทวีปยุโรป ก็มีน้อยนักที่จะกล้ามาเหิมเกริมถึงในแผ่นดินจีน
ในช่วงสงครามอันโหดร้ายสมัยทศวรรษที่ 40 นั้น การต่อสู้โรมรันในวงการศาสตร์ลี้ลับก็ได้ดำเนินไปอย่างลับๆ เช่นกัน แม้ว่าพวกผู้รู้ศาสตร์ลี้ลับจากประเทศหมู่เกาะแห่งนั้นจะพ่ายแพ้ไปอย่างยับเยิน แต่วงการศาสตร์ลี้ลับ ในแดนจีนเอง ก็เสียพลังไปเช่นกัน
จนกระทั่งเมื่อถึงช่วงสถาปนาประเทศ รัฐได้จัดรวมปรากฏการณ์ทุกอย่างที่ไม่อาจอธิบายได้ ด้วยวิทยาศาสตร์ให้เป็นเรื่องศักดินางมงายทั้งหมด และดำเนินการกวาดล้าง คนในวงการนี้จึงยิ่งเหลือที่ยืนน้อยลงไปอีก ส่งผลให้วิทยาการต่างๆ สูญหายไปมากมาย และไม่อาจฟื้นฟูกลับมาได้อีกเลย
แต่เมื่อเกิดการประดิษฐ์อาวุธปืนขึ้นมา วงการวิชาอาคมในต่างประเทศก็ต้องประสบกับ ความเสี่ยงที่วิชาจะสูญสิ้นไปเช่นกัน ดังนั้นในหลายสิบปีที่ผ่านมานี้จึงไม่มีหมอคุณไสยบุกเข้ามาในเขตประเทศจีน วงการศาสตร์ลี้ลับที่นี่จึงอยู่อย่างสงบสุขมาได้เป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว
การกระทำของชาญ ทองทวนในตอนนี้ ถ้าไปอยู่ในสมัยก่อนสถาปนาประเทศละก็ จะต้องเป็นการจุดชนวน ความขัดแย้งขึ้นมาอย่างแน่นอน วงการวิชาอาคมของทั้งสองประเทศอาจจะสู้รบกันไม่เลิกราเลยก็เป็นได้
“วิชาอาคมของพวกแกน่ะ มันก็สวะทั้งนั้นแหละ!แก…ฉัน ฉันจะฆ่าแก!”
ชาญ ทองทวนเพิ่งจะด่าออกไปได้ประโยคเดียว ก็ได้สติกลับมาแล้ว เพราะเขาตระหนักว่า มนตร์เหาะเหินของตัวเองถึงกับถูกเปลวเพลิงนั้นแผดเผาไปจนหมดสิ้นภายในเวลาเพียงสิบกว่าวินาทีเท่านั้นเอง
“อาฮวา ฆ่ามันซะ ฆ่ามันทั้งสองคนเลย!”
เมื่อรู้แล้วว่าเยี่ยเทียนเป็นคนในวงการศาสตร์ลี้ลับ ชาญทองทวนก็นึกแค้นซ่งเสี่ยวหลงเป็นที่สุด ถึงปากจะทำเป็นคุยโว ที่จริงในใจกลับรู้สึกหวาดหวั่นต่อวิชาอาคมของเยี่ยเทียนเป็นที่สุด
สมัยที่ชาญ ทองทวนยังเป็นเด็ก มีอยู่ครั้งหนึ่งอาจารย์ผู้ที่เขาเคารพเทิดทูนดั่งพระเจ้า ต้องหนีกลับประเทศไทยด้วยร่างกายที่บาดเจ็บอย่างหนัก ต้องใช้เวลาเยียวยาไปเกือบสามปี ร่างกายถึงจะฟื้นฟูกลับมาได้
ชาญ ทองทวนได้รู้จากปากอาจารย์ในตอนนั้นเองว่า ท่านได้รับบาดเจ็บจากค่ายกลในศาสตร์ลับของประเทศจีน และเตือนชาญ ทองทวนไว้ว่า อย่าได้เข้าสู่ประเทศจีน หลายสิบปีที่ผ่านมานี้ ชาญ ทองทวนก็ไม่กล้าขัดคำตักเตือน ของอาจารย์ข้อนี้เลยสักครั้ง
แต่แม้จะรู้สถานะของเยี่ยเทียนแล้ว และมนตร์เหาะเหินก็ถูกทำลายไป แต่ชาญ ทองทวนก็ไม่ได้รู้สึกหวาดกลัว เท่าไรนัก เพราะเขายังมีไพ่ใบสุดท้ายอยู่ นั่นก็คือ ‘อาฮวา’!
ชายวัยกลางคนที่ติดตามชาญทองทวนมาตลอดจากประเทศไทยเหมือนเป็นเงาตามตัวนั้น ถ้าจะว่ากันจริงๆ ก็ไม่ถือว่าเป็นคนแล้ว
ในวิชาคุณไสย คนประเภทนี้เรียกว่า ‘ผีลูกผสม’ เป็นวิชาอาคมขั้นสูงสุดในวิชาคุณไสย ถึงในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะมีหมอคุณไสยอยู่มากมายเหลือคณานับ แต่ผู้ที่เคยได้ยินชื่อ ‘ผีลูกผสม’ นี้มาก่อน จะต้องมีอยู่ไม่เกินสามคนแน่นอน
วิธีสร้าง ‘ผีลูกผสม’ ในวิชาคุณไสยนั้น มีเงื่อนไขที่ทำได้ยากอย่างยิ่ง จะต้องเสาะหาคนที่มี คุณสมบัติทางกายผ่านเกณฑ์ แล้วจัดการสังหารในฉับพลันขณะที่ไม่มีการป้องกันตัว โดยไม่อาจใช้อาวุธปืนในสมัยปัจจุบันได้ และยังต้องทำลายเฉพาะที่ระบบประสาทส่วนกลางในสมองของคนผู้นั้นอีกด้วย
หลังจากสังหารคนผู้นั้นแล้ว หมอคุณไสยก็จะใช้คาถาอาคมปลุกเสกเป็นเวลาเจ็ดสิบเก้าวัน จากนั้นก็จะสร้างตัวประหลาดที่ไม่ใช่ทั้งคนและผีนี้ออกมาได้แล้ว เพราะมันไม่ใช่ทั้งคนและก็ไม่ใช่ซอมบี้ จึงถูกเรียกว่า ‘ผีลูกผสม’!
แม้ว่าวิธีการสร้างผีลูกผสมจะขาดการสืบทอดในประเทศไทยมานานแล้ว ในช่วงหนึ่งร้อยปีที่ผ่านมานี้ ก็ไม่เคยได้ยินว่ามีใครสร้างออกมาได้สำเร็จ
เมื่อสิบปีก่อนด้วยเหตุบังเอิญครั้งหนึ่ง นายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์จึงไปได้วิธีทำศาสตร์มืดนี้มา หลังจากผ่านการเตรียมการอย่างยากเข็ญไปห้าปี คนที่เสียชีวิตด้วยน้ำมือเขามีไม่ต่ำกว่าร้อยคน ในที่สุดนายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ก็สร้าง ‘ผีลูกผสม’ ออกมาได้
แต่ถ้าจะว่ากันโดยเคร่งครัด ‘ผีลูกผสม’ ที่นายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์สร้างขึ้นมานี้ก็ยังถือว่าเป็นผลงานที่ล้มเหลวอยู่ เพราะผีลูกผสมที่แท้จริงนั้นไม่เพียงแต่มีพลังมหาศาลเท่านั้น แต่สติปัญญายังต้องเหมือนกับคนทั่วไปอีกด้วย ไม่ใช่เบลอๆ เอ๋อๆ แบบนี้
ผีลูกผสมตนนี้แม้จะมีร่างกายแข็งแกร่งและมีพลังมหาศาล แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่นายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ต้องการ ดังนั้นหลังจากที่เขาถ่ายทอดวิธีควบคุมผีลูกผสมให้แก่ลูกศิษย์แล้ว ตนเองก็ไปเตรียมการที่จะสร้างผีลูกผสมที่แท้จริงขึ้นมาใหม่
แน่นอนว่า ในความคิดของชาญ ทองทวนนั้น ร่างกายที่คงกระพันต่อทั้งมีดและปืน และเปี่ยมด้วยปราณพิฆาตนี้ ไม่จำเป็นต้องกลัววิชาอาคมของเยี่ยเทียนเลย อาศัยแค่ร่างกายอันแข็งแกร่งก็สามารถสังหารทั้งสองคนได้แล้ว
“โฮก..แฮ่!”
เมื่อได้ยินคำสั่งของชาญ ทองทวน อาฮวาผู้ไม่ใช่คนไม่ใช่ผีก็เปล่งเสียงที่ฟังไม่ได้ศัพท์ออกมา แล้วโถมเข้าไปหาเยี่ยเทียนและจั่วเจียจวิ้น
ขณะนั้นเยี่ยเทียนและจั่วเจียจวิ้นกำลังหลบอยู่หลังโซฟาในห้องรับแขก เจ้าอาฮวานี่มันไม่รู้จักเดินอ้อม โซฟาหนังแท้ที่ขวางอยู่ข้างหน้ามันตัวนั้น จึงถูกยกขึ้นมาแล้วใช้สองมือฉีกทึ้งไปเสียเลย
“เวรเอ๊ย นี่มันตัวประหลาดอะไรกันแน่วะ?”
เมื่อเห็นการกระทำของอาฮวา เยี่ยเทียนก็ใจหายวาบ รีบถอยหลังไปก้าวหนึ่ง แล้วอาศัยจังหวะ ที่ยังมีโซฟาขวางทางอยู่นั้น ขยับมือร่ายอาคม ปากก็ตะโกนว่า “เก้าราศีโคจร ก่อเกิดเวียนวน งามเลิศเจิดจรัส จิตเดิมแยกสลาย เก้าตำหนักแปดทิศ แหฟ้าตาข่ายดิน จงกางออก!”
พอเยี่ยเทียนตวาดออกไป ง้าวที่เดิมทีตั้งตรงอยู่กลางห้องรับแขกนั้นก็ส่งเสียงดังแหลมขึ้นมา แล้วกระแสพลังหยินพิฆาตอันโหมกระหน่ำก็พุ่งขึ้นสู่ฟ้า ค่ายกลเก้าตำหนักพิฆาตเริ่มทำงานแล้ว และปกคลุมบ้านทั้งหลังไว้ราวกับตาข่ายยักษ์
ในห้องรับแขกที่ตอนแรกมีดวงไฟสว่างไสวอยู่หลายดวงนั้น เพียงชั่วพริบตาก็เกิดสายลมเย็นเยียบพัดหอบเป็นระลอก ส่วนชาญ ทองทวนซึ่งกำลังยืนอยู่ตรงประตูที่เชื่อมกับห้องโถงใหญ่ก็เห็นว่าเบื้องหน้ามืดทะมึนไปหมด มองไม่เห็นแล้วว่าเยี่ยเทียนและจั่วเจียจวิ้นอยู่ตรงไหน
……
ตอนที่ 320 ประลองฝีมือ (5)
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ค่ายกล?”
ชาญ ทองทวนที่สงบนิ่งอยู่ พอเห็นฉากในห้อง ก็ปรากฏแววหวาดผวาขึ้นบนใบหน้า ร่างกายนิ่งค้าง ไม่กล้าขยับแม้แต่นิดเดียว
อาจารย์เคยบอกกับชาญ ทองทวนว่า ถ้าหากหลงเข้าไปในค่ายกลแล้วห้ามเดินไปทั่วเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นจะไปกระตุ้นค่ายกลมรณะ ทำให้พลังพิฆาตเข้าโจมตี
อาจารย์ของชาญ ทองทวนคือนายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ วิชาการทำของไสยศาสตร์ ของนายทักษิณเหนือกว่าเขามาก แม้แต่ตอนที่ชาญ ทองทวนรุ่งเรืองถึงขีดสุด เขาก็ไม่ได้คิดว่าตัวเองจะเก่งกว่าอาจารย์ได้เลย
โชคของชาญ ทองทวนนั้นดีกว่าอาจารย์มาก เพราะตำแหน่งที่เขายืนอยู่ ยังไม่ใช่จุดเริ่มต้นของ ค่ายกลพิฆาตเก้าตำหนักพอดี ดังนั้นถึงจะมองไม่เห็นเหตุการณ์ภายนอก แต่ก็ไม่ถูกพลังพิฆาตโจมตี
“อาฮวา ฆ่าพวกเขาเสีย ฆ่าพวกเขา!” ไขมันในร่างกายของชาญ ทองทวนเร่มตึงตัวขึ้น เขารู้ว่า ค่ายกลนี้ไม่สามารถกักขังวิญญาณที่เขาพามาด้วย
นายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ หลายปีมานี้ได้ออกตามหาวิชาไสยศาสตร์ที่สาบสูญ จนในที่สุดก็สามารถสร้างวิญญาณร้ายขึ้นมาได้ ก็เพื่อใช้ต่อกรกับเวทมนต์ค่ายกลแปลกประหลาดในประเทศจีน
วิญญาณร้ายไม่มีความคิดแบบมนุษย์ ดังนั้นพลังค่ายกลจึงไม่สามารถทำให้วิญญาณเกิดภาพหลอนได้ อีกทั้งวิญญาณนี้เกิดจากการรวมตัวกันของแรงอาฆาต พลังพิฆาตในค่ายกลจึงไม่มีผลกับมัน
ค่ายกลใช้ลักษณะของพื้นที่กับพลังเวทร่วมกัน ทำให้โดยรอบเกิดเป็นภาพหลอนหรือทำให้ประสาทหลอน แต่ไม่สามารถสกัดกั้นเสียงได้
เสียงร้องของชาญ ทองทวนเรียกให้วิญญาณอาฮวาพุ่งเข้าไปที่ตัวของเยี่ยเทียนกับจั่วเจียจวิ้น ถลึงตาสีแดงเลือด พุ่งหมัดเหล็กเข้าใส่เยี่ยเทียน
“ศิษย์พี่ ไปที่เนตรค่ายกลปรับค่ายเร็ว ผมจะรั้งมันไว้เอง!”
เยี่ยเทียนรุดออกไปรับ มือขวาทั้งฉุดทั้งดึง เพื่อสลายแรงอันมหาศาลของผีร้าย ทำให้ร่างกาย องเขาถูกลากถูลู่ถูกังไปด้านหน้า
สยบความแข็งด้วยความอ่อนเป็นหลักการของเต๋า การปล่อยตามธรรมชาติ ในจักรวาลมีส่งเสริมและยับยั้ง สิ่งที่แข็งกร้าวต้องไม่ใช้ความแข็งเข้ารับมือ แต่ควรใช้ความอ่อนโยนหาจุดอ่อนของฝ่ายตรงข้าม
ถูกไม้นี้ของเยี่ยเทียนเข้าไป ผีร้ายเกือบล้มลงบนโซฟา กรีดร้องแล้วหันหลังกลับ ใช้มือและเท้า โจมตีเยี่ยเทียนอย่างบ้าคลั่ง
ทั้งคนและผีรวมกันเป็นหนึ่ง ถึงแม้ว่าจะเป็นคนแรงมหาศาลอยู่แล้ว ยังมีนายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ ที่ทำไสยศาสตร์ขึ้น ร่างกายยิ่งแข็งแกร่งดังเหล็กกล้า แต่เมื่อเจอวิชากังฟูการยืมแรงสู้แรงของเยี่ยเทียนเข้าไป ก็เสียเปรียบได้
แรงหมัดของเยี่ยเทียนถึงจะโดนทุกหมัดแต่กับวิญญาณแล้วไม่สามารถทำให้เกิดบาดแผลได้เลย กลายเป็นโดนแรงสะท้อนกลับให้เจ็บมือเจ็บเท้าเปล่าๆ
“นี่มันตัวอะไรกันเนี่ย?”
เมื่อเห็นผีอาฮวาที่ล้มลงแล้วลุกขึ้นได้ใหม่อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เยี่ยเทียนหลบข้าง แล้วหมุนตัวไปด้านหลังของศัตรูอย่างรวดเร็ว ซัดหมัดออกไปที่ไขสันหลังของผีอาฮวาแล้วขูดตามแนวยาว
ถ้าดูดีๆ จะเห็นว่าระหว่างนิ้วมือของเยี่ยเทียนมีวัตถุที่สะท้อนแสงซ่อนอยู่นั่นคือเครื่องรางอู๋เหิน ที่ใช้คมกรีดลงมาตามแนวไขสันหลังของอาฮวา
“อะไรนะ? ไม่เป็นไรเลย!?”
พอเยี่ยเทียนขูดเสร็จ ก็ตะลึงตาค้าง เพราะว่าบนแผ่นหลังของผีร้ายไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน นอกจากรอยเสื้อขาด บนผิวหนังมีแต่รอยขีดสีขาวเป็นเส้นเท่านั้น
เห็นแบบนี้แล้ว เยี่ยเทียนอดตกใจไม่ได้ เครื่องรางอู๋เหินนั้นคมกริบ สามารถตัดทองตัดเหล็กได้
แต่กลับไม่สามารถทำอันตรายอาฮวาได้เลยแม้แต่ผิวหนัง สิ่งที่อยู่ตรงหน้านี้มีเลือดเนื้อจริงหรือไม่? ในใจของเยี่ยเทียนกลับรู้สึกหมดแรงขึ้นมา
“ให้ตายเถอะ เอาใหม่!” เยี่ยเทียนเป็นคนจิตใจหนักแน่น รวบรวมลมปราณทั้งหมดไปที่เครื่องรางอู๋เหิน พอดีกับจังหวะที่ผีร้ายหันกลับมาพอดี เยี่ยเทียนใช้อู๋เหิน กรีดไปที่ใบหน้าของมัน
พลังลมปราณแท้ทั้งหมดของเยี่ยเทียนรวมอยู่ที่ใบมีด เชื่อว่าถึงจะเป็นคนเหล็กก็สามารถใช้อู๋เหินแทงทะลุได้
พอกรีดลงไปเท่านั้น บนใบหน้าของมันก็ปรากฏรอยเลือดเป็นทางยาวตั้งแต่หางตาจนถึงมุมปากจนหนังเปิดออก จากผีที่ดูดุร้ายอยู่แล้ว ตอนนี้ยิ่งคลุ้มคลั่งเข้าไปใหญ่
“กรี๊ด!!” ไม่รู้ว่าเพราะเลือดสดที่สาดออกมาเป็นกระตุ้นให้วิญญาณยิ่งทวีความดุร้ายมากขึ้น ตอนโจมตีเยี่ยเทียนในแต่ละครั้งหนักหน่วงรวดเร็วยิ่งกว่าเดิม
ทุกหมัดที่ปล่อยออกมา มีพลังความแค้นพิฆาตหมายเอาชีวิตรวมอยู่ด้วย อยู่ๆ เยี่ยเทียนได้กลิ่นหวานอย่างหนึ่ง ไม่ระวังจึงสูดเข้าจมูกไป พลังลมปราณก็เกิดติดขัดขึ้นมา
“ยาพิษ?”
เยี่ยเทียนตกใจ ไม่คิดเลยว่าวิญญาณร้ายจะปล่อยพิษออกมาได้ด้วย เขาเองก็ไม่ทันระวัง จึงถูกพิษเข้า
ช่วงอกและท้องมีรู้สึกคันแสบร้อนขึ้นมา เยี่ยเทียนรีบก้าวถอยหลัง ใช้โซฟาที่พลิกตะแคงอยู่กับพื้นเป็นที่กำบัง ควักเอาขวดดินเผาออกมาจากในเสื้อ เทลงบนฝ่ามือ แล้วส่งยาเข้าปาก
คืนก่อนที่เยี่ยเทียนจะออกเดินทางมาฮ่องกงได้ปรุงยาถอนพิษขึ้นมา แม้ว่าจะใช้เวลาเคี่ยวยาได้ไม่นานพอ แต่ก็เป็นยาที่ใช้ต้านพิษร้ายพวกนี้โดยเฉพาะ หลังจากกลืนยาลงไปแล้ว ความรู้สึกแสบร้อนกลางอกค่อยทุเลาลง
เยี่ยเทียนคิดไม่ถึงว่าอาฮวาจะกัดไม่ปล่อย ตอนที่หลบไปเดินลมปราณขับพิษก็ตะโกนออกไปว่า “ศิษย์พี่ รีบเปลี่ยนค่ายกล ฆ่าชาญ ทองทวนทิ้งซะ!”
ค่ายกลพิฆาตเก้าตำหนักนั้นไม่ใช่ว่ายืนอยู่ตรงเนตรค่ายกลแล้วจะรอดเสมอไป หากเพิ่มกำลังภาพหลอนในค่ายขึ้น ตำแหน่งเป็นก็จะเปลี่ยนเป็นตำแหน่งตายทันที พอได้ยินเสียงร้องของเยี่ยเทียน จั่วเจียจวิ้นดีดนิ้ว ภาพตรงหน้าก็เปลี่ยนไปทันที
ชาญ ทองทวนที่ตอนแรกยืนอยู่ในตำแหน่งเป็น อยู่ๆ ก็รู้สึกว่าตัวเองหลุดเข้าไปในห้วงน้ำลึก ร่างกายถูกตรึงรัดไว้จากทุกทิศทาง ลมหายใจกระชั้นถี่ขึ้น
พลังพิฆาตที่สะสมอยู่ในค่ายกลแปรเปลี่ยนเป็นภาพหลอนในหัวของชาญ ทองทวน คนที่เคยถูกเขาฆ่าตายกลายเป็นผีดิบยื่นมือดึงไขว่คว้าเข้ามาหาเขา
“แตก ทำลายเสียเดี๋ยวนี้!”
คนที่อยู่ใช้พลังพิฆาตศาสตร์มืดมานานอย่างชาญ ทองทวนมีหรือจะหวาดหลัวภาพหลอนพวกนี้ หยิบเอาของชิ้นหนึ่งออกมายื่นเข้าใส่ภาพหลอนและฝูงผีดิบนั้นสะบัดเพียงทีเดียว ทุกอย่างก็อันตรธานหายไป
“นั่นมันอะไร?” เยี่ยเทียนที่กำลังโดดหลบผีร้ายไปมา เห็นชาญทองทวนถือของบางอย่างที่ทำลายพลังพิฆาตได้ จึงทั้งตกใจและประหลาดใจ
“เหอะๆ พวกแกต้องตาย!”
ชาญ ทองทวนมองสิ่งของในมืออย่างฮึกเหิม นี่เป็นยันต์เรียกวิญญาณที่ทำจากหนังมนุษย์ ภายในผสมด้วยสารพัดพิษ ไม่เพียงแต่ดูดซับพลังชั่วร้าย ยังสามารถใช้โจมตีศัตรูได้ด้วยเป็นของที่อันตรายมาก
ชาญ ทองทวนถือยันต์เรียกวิญญาณไว้ในมือ ไม่กลัวจะมีภาพหลอนจากค่ายกล เดินก้าวยาวๆออกไปข้างหน้า เขากำลังยืนอยู่หน้าประตู ดูแล้วเป็นตำแหน่งเนตรของค่ายกล
ชาญ ทองทวนพอมีความรู้เรื่องค่ายกลบ้าง ตอนแรกรู้สึกว่าง้าวอันใหญ่ที่ห้องรับแขกดูแปลกๆ รอจนค่ายกลเริ่มทำงานแล้ว ถึงแน่ใจว่าต้องเป็นตำแหน่งเนตรของค่ายกล
ทุกค่ายกลมักมีจุดอ่อน ตำแหน่งเนตรถ้าถูกทำลาย ค่ายกลก็จะไม่มีผลอีก ชาญทองทวนมีจุดประสงค์ด้วยเหตุนี้
จั่วเจียจวิ้นที่แขนขวาขาดไปแล้ว เห็นชาญทองทวนเดินบุกเข้ามาในค่ายกล ก็ตกใจร้อนรน ไม่สนอาการบาดเจ็บของตัวเอง รีบรุดออกไปเผชิญหน้ากับชาญ ทองทวน
“หลบไป!” เห็นจั่วเจียจวิ้นยืนขวางอยู่ ชาญ ทองทวนเอามืออันใหญ่โตอย่างกับใบพาย ตบทั้งหัวทั้งหน้าของจั่วเจียจวิ้นออกไปให้พ้นทาง
แม้ว่าแขนขวาบาดเจ็บ แต่จั่วเจียจวิ้นยังคล่องแคล่วกว่าชาญ ทองทวน ตอนนั้นก้มตัวหลบการโจมตีของฝ่ายตรงข้ามได้แล้วใช้มือซ้ายชกเข้าไปที่ท้องของชาญ ทองทวน
แต่สิ่งที่จั่วเจียจวิ้นอึดอัดใจคือตอนที่เขาชกหมัดนั้นเข้าที่ท้องของชาญ ทองทวน กลับรู้สึกเหมือนชกปุยนุ่น รู้สึกนุ่มนิ่มไปหมด เขาอึดอัดจนรู้สึกอยากกระอักเลือดออกมา
“ไปตายซะ!” ชาญทองทวนแค่นหัวเราะ ยังไม่ทันที่จั่วเจียจวิ้นจะชักมือกลับ ร่างทั้งร่างก็พุ่งไปข้างหน้า อย่างกับมีแรงระเบิดมาชนเข้ากลางอกของเขา
“ปึ้ง” เสียงดังตามมา จั่วเจียจวิ้นถูกชาญทองทวนชนเข้าเต็มรัก ร่างกายสะท้อนกลับไปทางด้านหลัง กระอักเอาเลือดออกมาเป็นสาย แล้วตกแอ้กลงบนพื้น
“ศิษย์พี่?!” เห็นจั่วเจียจวิ้นถูกชาญ ทองทวนอัดลงไปนอนอยู่ที่พื้นไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย เยี่ยเทียนก็ตาแดงขึ้นมา
ความแข็งแกร่งกับความแปลกประหลาดของพวกหมอคุณไสยเกินกว่าที่เยี่ยเทียนจะคาดเดาได้ โดยเฉพาะเจ้าครึ่งผีครึ่งคนนั่น มันคอยคุกคามเยี่ยเทียนอยู่ตลอด แม้ว่าจะเตรียมตัวมาดีแล้วแต่ก็ยังเกิดเรื่องไม่คาดฝันจนได้
ใช้เท้าถีบผีร้ายกระเด็นไปหลายเมตร เยี่ยเทียนรีบเคลื่อนเข้าไปที่ใจกลางค่ายกล ยื่นมือขวาไปจับ ด้ามง้าวจันทร์เสี้ยวเอาไว้
ตอนแรกเยี่ยเทียนจะใช้ค่ายกลจัดการกับชาญ ทองทวน แต่วิญญาณร้ายกับยันต์หนังมนุษย์แผ่นนั้น ทำให้ค่ายกลทั้งหมดไม่เกิดผล คงเหลือแต่การต่อสู้ตัวต่อตัวแล้ว
หลังออกจากสำนักเต๋ามา นี่เป็นครั้งแรกที่เยี่ยเทียนได้พบกับอันตรายใหญ่หลวง กลับปลดปล่อยพลังใจอันร้อนแรงของเขาออกมา แม้แต่พิษร้ายที่กลางหน้าอกเขาก็ไม่สนใจมันแล้ว มือหนึ่งถือง้าวจันทร์เสี้ยวรับมือกับผีร้ายที่พุ่งเข้าใส่ตน
“แหลกไปซะ!”
เยี่ยเทียนมือขวาชูง้าวจันทร์เสี้ยวไว้ มือซ้ายกดด้ามง้าวไว้ ใช้พลังลมปราณทั้งหมดที่มีถ่ายทอดเข้าไปในตัวง้าว ตอนที่ออกแรงฟันลงไป รอยตัดยาวสามนิ้วของง้าวปรากฏขึ้น
“ตายซะ!”
เมื่อเห็นว่าผีร้ายตรงหน้าไม่ได้หลบเลยแม้แต่น้อย แรงง้าวอันหนักหน่วงถูกสับลงบนใบหน้าของผีร้าย “พรวด” เสียงเบาๆ แว่วตามมา ร่างกายใหญ่โตของผีร้ายถูกตรึงไว้กับที่
ครั้งแรกที่ฟันลงไปเยี่ยเทียนไม่ได้มองที่ฝ่ายตรงข้าม พอเงื้อง้าวขึ้นมาอีกครั้งก็บุกทะยานเข้าหาชาญทองทวน ศิษย์พี่ที่นอนอยู่ที่พื้นยังไม่รู้เป็นหรือตาย ทำให้เยี่ยเทียนเคียดแค้นชาญ ทองทวนมาก
ตั้งแต่เยี่ยเทียนนำเอาง้าวจันทร์เสี้ยวออกมา ค่ายกลทั้งหมดก็เสื่อมฤทธิ์ลงทันที ชาญ ทองทวนเพิ่งจะเห็นชัดว่าเยี่ยเทียนถือง้าวอันใหญ่พุ่งเข้ามาหาตน
“อาฮวา?!” ตอนที่เยี่ยเทียนหันหลังกลับ ชาญทองทวนตะลึงกับภาพที่อยู่ตรงหน้า ร้องออกมาด้วยเสียงน่าสมเพช
……
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น