กระบี่จงมา 318.1-321.2

 บทที่ 318.1 ผู้อื่นไร้เทียมทานควรทำเช่นไร

ProjectZyphon

บนถนนใหญ่ที่เงียบสงบ คนรู้จักได้กลับมาพบกันอีกครั้ง


บนกระบี่บินเล่มหนึ่งที่หยุดลอยนิ่ง อวี๋เจินอี้ที่ใบหน้าเหมือนเด็กน้อยยืนอยู่ แสงกระบี่ใต้ฝ่าเท้าเป็นประกายใสแวววาวดุจแก้วเนื้อดี


เจ้าประมุขพรรคหูซาน ผู้นำฝ่ายธรรมะแห่งใต้หล้า มีวิชายุทธ์เลิศล้ำ แต่กลับละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างหันไปฝึกวิชาคาถาของตระกูลเซียน สุดท้ายกลายเป็นเทพที่แม้จะสำเร็จจะบรรลุผลถึงขั้นสูงสุดแล้วก็ยังมุมานะบากบั่นต่อไป


ในที่สุดหลังจากเสียงกลองดังขึ้นบนภูเขากู่หนิวเป็นครั้งแรก เขาก็ได้มาปรากฏตัวที่เมืองหลวง


เมื่อออกมาจากภูเขากู่หนิวที่ตั้งอยู่นอกเมืองหลวง ซึ่งเป็นสถานที่ลั่นกลองสวรรค์เพื่อบินทะยาน คนแรกที่ได้พบก็คือพี่น้องที่เคยร่วมเป็นร่วมตายในอดีตอย่างจ้งชิวราชครูแคว้นหนันเยวี่ยน


ดูเหมือนว่าจ้งชิวจะคาดเดาได้ล่วงหน้าว่าอวี๋เจินอี้ต้องมาขัดขวางตนเอง เขาจึงไม่ได้แปลกใจเท่าไหร่ ไม่เพียงแต่ไม่หยุดเท้า กลับยังเดินขึ้นหน้า จนกระทั่งอยู่ห่างจากอีกฝ่ายแค่ยี่สิบก้าวถึงได้หยุดเดิน


จ้งชิวถามด้วยรอยยิ้ม “ทำพัดไม้ไผ่หยกเล่มนั้นเสร็จแล้วรึ? ใช้มันเป็นของแทนกายเจ้าประมุขพรรคหูซานในอนาคตจะไม่ดูอ่อนโยนบอบบางไปหน่อยหรือไง?”


เหมือนการทักทายปราศรัยระหว่างเพื่อนทั่วไป


เหมือนคนที่กลับมาในค่ำคืนที่พายุหิมะตกหนักแล้วได้ดื่มเหล้าอุ่นๆ ร่วมกันหนึ่งจอก?


อวี๋เจินอี้ถาม “สามครั้งแล้ว ทำไม?”


แต่อีกฝ่ายกลับเอ่ยด้วยประโยคซักไซ้เอาความผิด


จ้งชิวถามกลับ “เจ้าจะถามว่าทำไมข้าถึงช่วยลู่ฝ่าง ทำไมถึงช่วยเฉินผิงอันผู้นั้น?”


ในดวงตามืดดำดุจบ่อน้ำนิ่งของอวี๋เจินอี้ที่ฝ่าด่านออกมาด้วยร่างของเด็กน้อยมีริ้วคลื่นกระเพื่อมน้อยๆ เห็นได้ชัดว่าโมโหมากจริงๆ อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน


อวี๋เจินอี้ไม่เอ่ยอะไร แต่กระบี่บินใต้ฝ่าเท้าที่จิตเชื่อมโยงกับเจ้านายกลับแผ่ประกายแสงที่ยิ่งงดงามชวนหลงใหล คล้ายผลึกแก้วชิ้นหนึ่งที่ร่วงหล่นจากสรวงสวรรค์ลงมายังโลกมนุษย์


จ้งชิวชำเลืองตามองกระบี่บินตระกูลเซียนที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าอวี๋เจินอี้ ก่อนถอนสายตากลับมาแล้วพูดด้วยสีหน้าเป็นปกติว่า “เจ้ารู้คำตอบแต่แรกแล้วไม่ใช่หรือ?”


อวี๋เจินอี้ถอนหายใจเบาๆ ในใจพลันหวนระลึกถึงความทรงจำ


นี่ไม่ใช่ว่าอวี๋เจินอี้ใจอ่อน ทว่าเรื่องมาถึงขั้นนี้ ในเมื่อผ่านไปนานตั้งหลายปีแล้ว จ้งชิวกลับยังหลงงมงายในความเชื่อผิดๆ เขาก็คงต้องใจแข็งแล้ว


คำเล่าลือในยุทธภพที่บอกว่าอวี๋เจินอี้กับราชครูจ้งต้องแตกหักกันเพราะสาวงามที่เป็นภัยต่อบ้านเมืองอะไรนั่น ถือเป็นการดูถูกพวกเขามากจริงๆ


ปีนั้นพวกเขาสองคนเพิ่งจะมีชื่อเสียงในยุทธภพ ก็เป็นเพราะพบเจอกับเจ๋อเซียนท่านหนึ่ง สองพี่น้องจึงแยกทางกันเดิน


ตอนนั้นอวี๋เจินอี้ตัดสินใจเด็ดขาดว่าจะสังหารเจ๋อเซียนคนนั้น จ้งชิวกลับเห็นว่าความผิดของเขาไม่ถึงโทษตาย อีกทั้งความเสี่ยงมีมากเกินไป ไม่มีความจำเป็นต้องทุ่มหมดหน้าตัก แต่อวี๋เจินอี้กับยังบุกไปลอบสังหารเจ๋อเซียนผู้นั้นเพียงลำพัง ช่วงเวลาระหว่างความเป็นความตาย จ้งชิวปรากฎตัวกะทันหัน รับกระบี่ปลิดชีพแทนอวี๋เจินอี้มาหนึ่งครั้ง จากนั้นก็เป็นอย่างที่ติงอิงบอกกับพวกเขาตอนอยู่แคว้นหนันเยวี่ยน หลังจากที่เจ๋อเซียนผู้นั้นถูกสังหารก็มีโชควาสนาสองส่วนหล่นลงมาจากร่างของเขา หนึ่งคือวิชาลับตระกูลเซียนที่สามารถฝึกตนให้เป็นอมตะ อีกหนึ่งคือกระบี่แก้วที่แข็งแกร่งมิอาจทำลาย


ท่ามกลางม่านฝนที่เทกระหน่ำ อวี๋เจินอี้มือหนึ่งกำตำราสวรรค์ซึ่งไม่รู้ว่าทำมาจากวัสดุชนิดใดเล่มหนึ่งเอาไว้ อีกมือหนึ่งถือกระบี่ แหงนหน้าแผดเสียงคำรามยาว


จ้งชิวจากไปอย่างหม่นหมอง


อวี๋เจินอี้โยนกระบี่เซียนเล่มนั้นออกไปเบาๆ บอกว่าสองพี่น้องสามารถร่วมเป็นร่วมตายก็ต้องร่วมเสวยสุขและความมั่งคั่งมีเกียรติได้ วันหน้ากฎเกณฑ์ของใต้หล้าแห่งนี้ ไม่ว่าจะเป็นราชสำนักที่สูงส่งหรือยุทธภพที่กว้างไกล เจ้าจ้งชิวชอบอ่านหนังสือก็ให้เจ้าเป็นคนตั้งกฎ ข้าอวี๋เจินอี้แสวงหามหามรรคาที่เป็นอมตะมาจึงจะฝึกวิชาเซียน แน่นอนว่าจะต้องช่วยเจ้าปกป้องใต้หล้า ข้าจะสอนเจ๋อเซียนทุกคนบนโลกว่าต้องก้มหน้าเชื่อฟังคำสั่งอย่างว่าง่าย จะไม่มีใครกล้าทำตัวกำเริบเสิบสานอีก…


แต่จ้งชิวกลับไม่รอให้อวี๋เจินอี้พูดจบ เขาเดินดิ่งไปข้างหน้าอย่างเดียว ปล่อยให้อาวุธที่มีมูลค่าควรเมืองชิ้นนั้นร่วงหล่นลงสู่ดินโคลน ปล่อยให้ถ้อยคำที่ออกมาจากใจจริงของอวี๋เจินอี้ลอยหายไปท่ามกลางฟ้าดินที่ถูกชะล้างด้วยสายฝน


หลิวจงคนลับมีดออกมาจากถนนใหญ่ที่เละเทะเส้นนั้น พอเดินพ้นหัวเลี้ยวมาก็มองภาพนี้อยู่ไกลๆ เขาสะอึ้งอึกไปทันที ลังเลอยู่ชั่วขณะหนึ่งก็เลือกเดินหน้าต่อช้าๆ ไม่ได้หวาดกลัวจนมิกล้าเดินหน้า แล้วก็ไม่ได้ฉวยโอกาสเผ่นหนีไป


หลิวจงเชื่อในคำพูดของเด็กหนุ่มคนนั้น เชื่อว่า ‘เด็กชาย’ ที่ขี่กระบี่อยู่ตรงหน้า ใต้เท้าอวี๋ต้าเจินเหรินที่เดิมทีควรต่อสู้กับมารใหญ่ติงอิงแปดร้อยตลบคงตัดสินใจแล้วว่าจะสังหารจ้งชิวผู้เคยเป็นสหายรักให้ได้


การที่เขาเชื่อก็เพราะว่าเจ๋อเซียนหนุ่มผู้นั้นถึงขั้นสามารถทำให้จ้งชิวยอมเป็นฝ่ายป้อนหมัดเพื่อช่วยกระชับขอบเขตของเขาให้แน่นหนาด้วยตัวเอง เพื่อสะดวกให้เขารับศึกใหญ่ในลำดับถัดไป


จ้งชิวไม่เคยเป็นคนที่ทำอะไรตามความรู้สึก ทุกคำพูดทุกการกระทำล้วนมีกฎของเขาเองเสมอ


จ้งชิวคือวิญญูชนจอมปลอมที่แสร้งวางมาดให้น่าภูมิฐานหรือเป็นกุนซือผู้ถนัดวางแผนช่วงชิงใต้หล้า? ล้วนไม่ใช่ หลิวจงอยู่ในเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนมานานขนาดนี้ ราชครูจ้งเป็นคนอย่างไร หลิวจงรู้จัดเจน เขาเป็นทั้งปรมาจารย์วิถีวรยุทธ์ และเป็นทั้งอริยะแห่งด้านวรรณกรรมที่แท้จริง ศึกษาจนเชี่ยวชาญมีความรู้รอบด้าน ใช้พละกำลังของตัวเองคนเดียวขยับยอดสูงสุดของขอบเขตหมัดนอกในใต้หล้าแห่งนี้ให้สูงขึ้นไปอีกหนึ่งระดับ อีกทั้งสำหรับการแบ่งแยกธรรมะและอธรรม จ้งชิวก็มองอย่างทะลุปรุโปร่ง คลื่นมรสุมในเมืองหลวงหลายครั้งที่ไม่ว่าจะมาจากคำตำหนิวิพากษ์วิจารณ์จากในราชสำนักหรือจากยุทธภพ เดิมทีแค่ฆ่าคนก็จบเรื่อง ทั้งสาแก่ใจ ทั้งประหยัดแรงกายแรงใจ ทว่าจ้งชิวกลับเป็นคนคอยเก็บกวาดอยู่อย่างลับๆ จัดการได้อย่างเที่ยงตรงและทำให้เกิดความสมดุล ทำให้หลิวจงที่มองดูดายอยู่ข้างๆ ต้องยกนิ้วโป้งให้พลางเอ่ยชื่นชมว่าเขาคือวีรบุรุษที่แท้จริง


ดังนั้นเมื่อคนหนุ่มผู้นั้นพูดว่าเขากับจ้งชิวคือ ‘คนบนเส้นทางเดียวกัน’


หลิวจงก็ตัดสินใจโดยไม่ลังเลว่า มีดที่อยู่ในชายแขนเสื้อเล่มนั้น ต้องชักออกมา


นอกจากปณิธานที่เหมือนกันแล้ว ยังเพื่อช่วงชิงโอกาสรอดชีวิตให้แก่ตัวเองด้วย


บอกตามตรง เกี่ยวกับความสัมพันธ์อันแปลกประหลาดระหว่างอวี๋เจินอี้และจ้งชิว ใต้หล้านี้ไม่มีใครที่ไม่สงสัยใคร่รู้


แน่นอนว่าคนลับมีดหลิวจงก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น ต้องรู้ว่าเวลาอยู่ที่ร้านขายแพรต่วน ยามใดที่ได้พูดคุยกับภรรยาและสาวน้อยสาวใหญ่ทั้งหลายถึงเรื่องสัพเพเหระของคนข้างบ้าน ได้ยินว่าพ่อผัวบ้านไหนได้กับลูกสะใภ้ หญิงสาวบ้านใครถูกใจใคร ตอนกลางคืนที่บ้านหญิงหม้ายแซ่หลิวมักจะมีเสียงแมวร้องเป็นประจำ ชายฉกรรจ์บ้านไหนแอบไปหอโคมเขียว ใช้เงินที่เก็บสะสมไว้หมดเกลี้ยงจนภรรยาโวยวายว่าจะแขวนคอตาย เรื่องในหมู่ชาวบ้านพวกนี้ หลิวจงคุยจ้อได้นานยิ่งกว่าพวกสตรีเสียอีก


มือข้างที่ซ่อนไว้ในชายแขนเสื้อของหลิวจงกำหมอเตา (ชื่อของมีดซึ่งแปลว่าลับมีด) เล่มนั้นไว้แน่น


ตนยังไม่ทันได้ถามเลยว่าแมวที่ร้องตอนกลางคืนในบ้านของหญิงหม้ายแซ่หลิวคือใครกันแน่ วันนี้จะมาตายอยู่ที่นี่ไม่ได้!


อีกอย่างหลังจากจับตามองมานานหลายปีขนาดนี้ ตัวเลือกที่มีหวังว่าจะให้มาเป็นลูกศิษย์บุกเบิกขุนเขา ขณะเดียวกันก็เป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายของตน ก็พอจะรู้ผลแล้วด้วย


จ้งชิวมองเด็กชายที่เหยียบอยู่บนกระบี่ซึ่งลอยนิ่งอยู่กลางอากาศแล้วทอดถอนใจแผ่วเบา “อวี๋เจินอี้ เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่า ตอนนี้เจ้ากับเจ๋อเซียนพวกนั้นยังพอมีความแตกต่าง แต่หากเจ้ายังเดินบนทางเส้นนี้ต่อไป สักวันหนึ่งเจ้าก็จะกลายมาเป็นพวกเขา หลังจากนั้นก็จะมีจ้าวเจินอี้ หม่าเจินอี้คนใหม่มาฆ่าเจ้าโดยที่พวกเขาต่างก็รู้สึกว่านี่เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลตามหลักของฟ้าดิน”


อวี๋เจินอี้ส่ายหน้า “จ้งชิว เจ้าคงยังไม่รู้กระมัง สถานที่ในการบินทะยานครั้งนี้ยังคงอยู่ที่ภูเขากู่หนิว แต่จำนวนคนกลับเปลี่ยนไปแล้ว ไม่ใช่สิบคนอีกต่อไป แต่มีแค่สามคนเท่านั้น และสามคนนี้ที่มีคุณสมบัติได้อยู่บนประวัติศาสตร์แท้จริงของพื้นที่มงคลดอกบัวก็จะสามารถเลือกคนได้ห้า สามและหนึ่งให้บินทะยานไปจากที่นี่ด้วยกัน เพียงแต่คนทั้งเก้านี้อาจกลายมาเป็นหุ่นเชิดใต้บังคับบัญชา ข้าลองอนุมานมาก่อนแล้ว ติงอิง ข้า โจวเฟยต่างก็เป็นคนสามคนที่มีโอกาสมากที่สุดว่าจะได้บินทะยานในท้ายที่สุด”


หลังจากนั้นอวี๋เจินอี้ก็ร่ายรายชื่อสิบคนสุดท้ายที่อยู่บนประกาศให้จ้งชิวฟังหนึ่งรอบ


ไม่มีลู่ฝ่างและถงชิงชิง


จ้งชิวขมวดคิ้วถามคำถามที่เป็นกุญแจสำคัญที่สุดทันที “เจ้าจะจากไป?”


อวี๋เจินอี้ส่ายหน้า “ข้าย่อมไม่ไป ก่อนหน้าที่เสียงกลองจะดังขึ้นเป็นครั้งที่สาม ข้าจะไม่ขึ้นไปบนภูเขากู่หนิว นั่นย่อมเป็นการละทิ้งโอกาสบินทะยานโดยอัตโนมัติเหมือนกับจูเหลี่ยนผู้บ้าคลั่งในปีนั้น เพียงแต่ว่าเขาทำไปเพื่อพาเรือนกายที่มีเลือดเนื้อบินทะยานไปเป็นครั้งที่สอง ส่วนข้าจะพิสูจน์ให้เจ้าเห็นว่า สังหารเจ๋อเซียนผู้นั้นในปีนั้น ข้าอวี๋เจินอี้ทำถูกแล้ว เจ้าจ้งชิวทำผิด ข้าต้องการให้หนึ่งวันที่ข้าอยู่บนโลกมนุษย์ โลกก็จะสงบสุขไปหนึ่งวัน การชดเชยแก้ไขของเจ้าจ้งชิวไม่มีความหมายแม้แต่น้อย”


คำพูดประโยคนี้วางโตยิ่ง ทว่าอวี๋เจินอี้กลับพูดอย่างผ่อนคลายสบายอารมณ์


จ้งชิวเอ่ยยิ้มๆ “ปณิธานต่างย่อมไม่อาจร่วมทาง”


อวี๋เจินอี้เอ่ยเนิบช้าว่า “ตอนนี้เจ้ายังมีโอกาสครั้งสุดท้าย ร่วมมือกับข้าสังหารเจ๋อเซียนโจวเฝยผู้นั้น ติงอิงจะไม่มีทางขัดขวาง ถึงเวลานั้นเจ้าก็จะมีชีวิตอยู่จนถึงท้ายที่สุด ส่วนจะเลือกไปบินทะยานยามกลางวันที่ภูเขากู่หนิวหรือไม่ก็ตามใจเจ้า”


จ้งชิวถาม “ถ้าอย่างนั้นคนอื่นๆ ที่เหลือบนประกาศ หลิวจง ปี้เซิ่งเฉิงหยวนซาน ถังเถี่ยอี้แม่ทัพใหญ่หลงอู่แห่งแคว้นเป่ยจิ้น ภิกษุอวิ๋นหนีแห่งวัดจินกัง ใครจะเป็นคนสังหาร? เป็นเจ้าอวี๋เจินอี้ หรือเป็นติงอิง? คนเหล่านี้ต่างก็ไม่ใช่เจ๋อเซียน”


คนสองคนเหมือนเป็ดคุยกับไก่ ต่างคนต่างคุยกันไปคนละเรื่อง


อวี๋เจินอี้พลันเดือดดาลอย่างหนัก “หากคนอื่นพูดประโยคโง่เง่านี้ ข้าก็คงมองเป็นความเห็นของสตรีบ้านนอก คร้านจะสนใจ! เจ้าจ้งชิวเป็นถึงราชครูแคว้นหนันเยวี่ยนจะไม่รู้เลยหรือว่า บนโลกนี้มีอุบัติภัยที่ไม่ทำให้คนตายอย่างอยุติธรรมเสียที่ไหน?!”


จ้งชิวพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “ข้าย่อมต้องรู้อยู่แล้ว หลายปีมานี้เพื่อความเจริญรุ่งเรืองของแคว้นหนันเยวี่ยน ข้าเองก็ทุ่มเททำอะไรไปมากมาย แต่ตอนนี้ข้าถามเจ้าอวี๋เจินอี้ ไม่ได้ถามอุบัติภัยที่ไม่เคยมีมาก่อนเป็นพันปี ไม่ได้ถามใต้หล้าแห่งนี้ ไม่ได้ถามพื้นที่มงคลดอกบัวของเจ๋อเซียนอะไรทั้งนั้น ข้าถามเจ้า อวี๋เจินอี้จากอำเภอจิวหลัน เขตการปกครองจัวแคว้นซงไล่”


อวี๋เจินอี้หัวเราะเสียงเย็น “ดื้อดึงไม่เปลี่ยน เจ้าจ้งชิวมีนิสัยเช่นนี้มาตั้งแต่เด็ก ต่อให้อ่านหนังสือมากแค่ไหน ฝึกวิชาหมัดมากเท่าไหร่ก็ยังคงเป็นก้อนหินเหม็นในห้องส้วมอยู่ดี”


จ้งชิวหัวเราะ “แต่เจ้าอวี๋เจินอี้นี่สิเปลี่ยนไปเยอะมาก”


หลิวจงที่ฟังอยู่รู้สึกอกสั่นขวัญผวา


เขากลัวจริงๆ ว่าจ้งชิวจะพยักหน้าตอบรับ กลับกลายมาเป็นร่วมแรงกับอวี๋เจินอี้สังหารคนสี่คนบนประกาศซึ่งรวมถึงเขาด้วย แบบนั้นคงไม่ต่างอะไรจากการฆ่าไก่ตัวหนึ่ง เว้นเสียจากว่าอวี๋เจินอี้เข้าสู่สภาวะการณ์ที่มหัศจรรย์บางอย่าง นั่นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเจ้าถิ่นแคว้นหนันเยวี่ยนอย่างราชครูจ้งเลย ต่อให้เขาหลิวจงและเฉิงหยวนซาน ถังเถี่ยอี้ ภิกษุอวิ๋นหนีร่วมมือกัน ก็ยังไม่มีโอกาสชนะอยู่ดี


โชคดีที่จ้งชิวไม่เสียแรงที่เป็นราชครูจ้งที่เขาหลิวจงให้ความเคารพนับถือ!


จ้งชิวเงยหน้ามองไปยังทิศทางของบ้านเกิดแวบหนึ่ง ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเสียใจเล็กน้อย “พูดมามากมายขนาดนี้ เจ้าอวี๋เจินอี้ก็แค่อยากให้ตัวเองสังหารข้าได้อย่างสบายใจเท่านั้น ข้อนี้ แต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เคยเปลี่ยน”


อวี๋เจินอี้ยืนอยู่บนกระบี่บิน


จ้งชิวไม่ได้หันหน้ากลับมา เพียงหัวเราะเสียงดังกังวาน “หลิวจง! เป็นเพื่อนบ้านกันอยู่ในเมืองหลวงมานานหลายปีขนาดนี้ แต่ไม่เคยไปแวะเที่ยวหาเจ้าสักครั้ง หาใช่ว่าดูถูกคนลับมีดอย่างเจ้า แต่เป็นเพราะการคบหาของวิญญูชนเป็นดั่งสายน้ำใสสะอาด ข้าจ้งชิวจะออกหมัดก่อน เจ้าอยู่ข้างๆ คอยคุมท้าย หากการแพ้ชนะห่างกันมากเกินไป เจ้าหลิวจงหนีได้ก็หนี ตรงไปหาภิกษุอวิ๋นหนี รับรองว่าไม่ขายหน้า!”


คนลับมีดหลิวจงอึ้งตะลึง พึมพำเบาๆ ว่า “แม่งเอ๊ย ไม่เสียแรงที่เป็นราชครูจ้ง คำประจบนี้ ข้านายท่านหลิวฟังแล้วสบายใจยิ่งนัก สบายใจ!”


ได้เป็นสหายกับคนมหัศจรรย์เช่นนี้ก็เหมือนได้ดื่มเหล้าหมักกับผีขี้เหล้า ไหนเลยจะมีโอกาสฟื้นคืนสติขึ้นมาได้ ถ้าอย่างนั้นจะมีเหตุผลอะไรให้ไม่เมามายอย่างเต็มคราบเล่า?


หลิวจงที่ไม่กลัวตาย แต่กลับไม่เคยรนหาที่ตายก้าวออกไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ตายก็ตายสิ เมาให้ตายมันไปเลย!


อวี๋เจินอี้โน้มตัวมาข้างหน้าเล็กน้อย พลิ้วตัวออกมาเบาๆ เท้าทั้งสองข้างแตะลงบนถนน จากนั้นก็สะบัดชายแขนเสื้อไปข้างหน้าหนึ่งครั้งพร้อมเสียงเอ่ยแผ่ว “ไป”


กระบี่บินที่แสงกระบี่ใสแวววาวดุจกระจกซึ่งอยู่ด้านหลังวาดวงโค้งขนาดใหญ่ยักษ์แหวกผนังออกไป จากนั้นแหวกทะลุผนังกลับมาปรากฎตัวบนถนนเส้นนี้อีกครั้ง อ้อมผ่านราชครูจ้งชิว ตรงดิ่งเข้าหาหลิวจงคนลับมีดที่อยู่ด้านหลังเขาพอดี


อวี๋เจินอี้ก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างเนิบช้าเอื่อยเฉื่อย ยกมือสองข้างขึ้นส่ายเบาๆ จากนั้นก็วางไว้ด้านหลังแล้วเอ่ยยิ้มๆ ว่า “จ้งชิว เจ้าได้รับการขนานนามให้เป็นอันดับหนึ่งแห่งใต้หล้าไม่ใช่หรือ มาสิ ข้าจะไม่ตอบโต้ เจ้าปล่อยหมัดออกมาได้เลย”


จ้งชิวพยักหน้ารับ แต่แล้วจู่ๆ ก็ถามขึ้นว่า “ออกไปสู้กันนอกเมืองได้หรือไม่?”


อวี๋เจินอี้คลี่ยิ้มกล่าว “ราชครูจ้ง เจ้าไม่ต้องกังวลว่าคนบริสุทธิ์จะเดือดร้อน เพราะเจ้าไม่มีความสามารถนั้น”


จ้งชิวหลุดหัวเราะพรืด


หลังจากฝึกวิชาเซียนมาถึงท้ายที่สุด ไอ้หมอนี่ก็กลายมาเป็นเด็กน้อยปากกล้าที่ชอบคุยโว เขาจ้งชิวได้เรียนรู้วิชาอภินิหารของเซียนแล้วจริงๆ


อวี๋เจินอี้เอามือสองข้างไพล่หลัง บอกเป็นนัยให้จ้งชิวรู้ว่าสามารถปล่อยหมัดได้เต็มกำลัง


ไม่เพียงเท่านี้ เขายังดีดปลายเท้าเล็กน้อย ลอยตัวอยู่กลางอากาศจนมีความสูงเท่าเทียมกับจ้งชิว เพื่อให้จ้งชิวปล่อยหมัดได้สะดวก!


จ้งชิวไม่เพียงแต่ไม่โมโหเพราะรู้สึกว่าถูกเหยียดหยาม กลับกันคือสีหน้าเปลี่ยนมาเป็นเคร่งขรึม


หนึ่งหมัดปล่อยออกไป


หมัดของจ้งชิวหยุดอยู่ห่างจากใบหน้าอ่อนเยาว์ของอวี๋เจินอี้ไปสามฉื่อ


แล้วหมัดนั้นก็ได้แต่ขยับไปข้างหน้าทีละชุ่นอย่างเชื่องช้า


คล้ายคนแก่ที่เดินขึ้นเขา ทุกย่างก้าวล้วนลำบากยากเข็ญ


ระหว่างคนทั้งสองมีระยะห่างแค่สามฉื่อ แต่กลับเหมือนห่างกันราวฟ้ากับดิน


อวี๋เจินอี้ที่เอาสองมือไพล่หลังส่ายหน้าน้อยๆ แววตาเต็มไปด้วยความเวทนา “คิดไม่ถึงเลยว่าจ้งชิวจะมีดีแค่นี้เอง”


……


จนกระทั่งติงอิงปรากฏตัวเพื่อปิดฉากความวุ่นวายในครั้งนี้ หม่าเซวียนจินกังชมพูก็ยังไม่มีความเคลื่อนไหว ต่อให้ปรมาจารย์หลายท่านอย่างถังเถี่ยอี้ เฉิงหยวนซาน โจวเฝย ฯลฯ จะพากันจากไปแล้ว หม่าเซวียนก็ยังคงนอนอยู่ที่เดิม


ยุทธภพก็เป็นเช่นนี้ น้ำลึกน้ำตื้นล้วนสามารถท่วมทับคนให้ตายได้ แล้วนับประสาอะไรที่คำโบราณยังกล่าวไว้ว่า คนที่ว่ายน้ำเก่งมักจะจมน้ำตายเสมอ


อันที่จริงชีวิตนี้ของหม่าเซวียนมีค่ามาก เดิมทีควรมีค่ามากกว่าห้าร้อยตำลึงทองด้วยซ้ำ ในวงการการต่อสู้ของพื้นที่มงคลดอกบัว ทองเพียงเท่านี้ซื้อได้แค่ชีวิตของยอดฝีมือระดับสอง หรือไม่ก็ชีวิตของขุนนางตำแหน่งเจ้าเมืองเท่านั้น


มองดูเหมือนจะหลุดพ้นจากวงล้อมอันตรายมาได้ แค่ต้องรับมือกับผู้เฒ่าสวมกวานดอกบัวคนเดียว คนเดียวเท่านั้น ทว่าฝ่ามือของเฉินผิงอันกลับเต็มไปด้วยเหงื่อ นี่ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับความกล้าหาญและสภาพจิตใจ ล้วนเป็นเพราะว่าหลังจากที่ติงอิงปรากฏตัว ปราณสังหารของเขาเข้มข้นเกินไป การพบเจออันตรายแล้วต้องหลีกเลี่ยงคือสัญชาตญาณอย่างหนึ่งของมนุษย์ เพียงแต่ว่าหากสามารถเดินขึ้นหน้าต้านรับถึงจะเรียกว่าการขัดเกลาบนวิถีวรยุทธ์ที่แท้จริงก็เท่านั้น


ติงอิงรับมือได้ยากแค่ไหน แค่ดูจากกระบี่บินสืออู่ที่ถูกคีบระหว่างสองนิ้วของเขาก็รู้ได้แล้ว


บทที่ 318.2 ผู้อื่นไร้เทียมทานควรทำเช่นไร

ProjectZyphon

ติงอิงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “นี่ก็คือกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของเจ๋อเซียนกระมัง? เป็นของเล่นที่แปลกใหม่มากจริงๆ น่าจะเพิ่งปรากฏบนอาณาเขตของพื้นที่มงคลดอกบัวเป็นครั้งแรก อีกทั้งยังเข้ามาที่แห่งนี้ด้วยเรือนกายและจิตวิญญาณที่สมบูรณ์แบบอีกด้วย นับว่าหาได้ยากยิ่ง มิน่าเล่าเจ้าถึงชักนำให้เกิดเรื่องไม่คาดฝันได้มากมายขนาดนี้ แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะว่าในพื้นที่มงคลดอกบัวมีข้าติงอิงอยู่”


เฉินผิงอันไม่พูดไม่จา เขาพ่นลมหายใจขุ่นมัวออกมาหนึ่งเฮือก ก่อนจะตั้งกระบวนท่าไอเมฆเหนือบึงใหญ่


ติงอิงกวาดตามองไปรอบด้าน สองนิ้วของมือขวายังคงคีบกระบี่บินงดงามที่ส่องแสงสีเขียวมรกตเล่มนั้นเอาไว้ จากนั้นก็ยื่นมือซ้ายออกมาข้างหน้า “พูดคุยกันจบแล้วก็ควรจะลงมือได้แล้ว ข้าจะลองดูว่าจะฆ่าเจ้าด้วยมือเดียวได้หรือไม่”


ติงอิงชำเลืองตามองท่าหมัดของเฉินผิงอัน ก่อนจะส่ายหน้ากล่าวว่า “แนะนำเจ้าว่าควรเปลี่ยนเป็นท่าหมัดที่ช่วยในการจู่โจมจะดีกว่า ข้ายังหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้เห็นวิถียุทธ์ที่ทำให้คนดวงตาเป็นประกาย ไม่อย่างนั้นหากข้าชิงลงมือก่อนก็จะเหมือนหมัดก่อนหน้านี้ที่เจ้าต่อยให้ลู่ฝ่างและจ้งชิวถอยร่น เจ้าจะไม่เหลือกำลังให้ต้านทานเลยแม้แต่นิดเดียว”


ติงอิงกวักมือเรียกเฉินผิงอันด้วยรอยยิ้ม “ก่อนหน้านี้เจ้าปล่อยหมัดได้มากสุดแค่สิบหมัด แต่ข้าแน่ใจว่าเจ้าต้องทำได้มากกว่านั้นแน่ ข้าอยากรู้นักว่ามากสุดเจ้าจะต่อยได้สักกี่หมัด? เจ้าจงปล่อยหมัดออกมาอย่างวางใจ ข้าจะรับทุกหมัดไว้เอง!”


เฉินผิงอันเปลี่ยนมาเป็นกระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าจริงๆ พลังอำนาจตลอดทั้งร่างพลันเปลี่ยนจากขุนเขาสูงนครใหญ่มาเป็นกองทัพมาเหล็กที่ควบทะยานดุจน้ำขึ้นในทันที


ติงอิงพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม ยังคงใช้มือข้างหนึ่งพันธนาการกระบี่บินเล็กจิ๋วเล่มนั้น ใช้มือแค่ข้างเดียวรับมือกับเฉินผิงอัน “มา!”


ทันใดนั้นก็เห็นเพียงว่าบนถนนตรงจุดเดิมที่เฉินผิงอันยืนอยู่ได้ยุบยวบลงไปเป็นหลุมใหญ่ยักษ์ที่มีเส้นรัศมีรอบวงหลายจั้ง ทว่าเงาร่างชุดขาวนั้นกลับไม่เหลืออยู่แล้ว


ติงอิงพยักหน้า เร็วใช้ได้


มิน่าเล่าลู่ฝ่างที่เลื่อนสู่ขั้นการควบคุมกระบี่มาได้ครึ่งก้าวถึงมีสภาพอเนจอนาถขนาดนั้น


ติงอิงใช้ฝ่ามือต้านรับหมัดของเจ๋อเซียนหนุ่มผู้นั้น ในขณะที่เขากำลังจะกำฝ่ามือ แรงหมัดที่ส่งมาพลันคลายออก หมัดที่สองพุ่งมาถึงซี่โครงของเขาแล้ว


ติงอิงกระจ่างแจ้งอยู่ในใจ หากเป็นอย่างที่ตนคาดเดาเอาไว้ กระบวนท่าหมัดนี้ ทุกครั้งที่หมัดถูกปล่อยออกมา ไม่ว่าจะเป็นความเร็ว พละกำลังหรือจิตวิญญาณล้วนเพิ่มขึ้นในทุกหมัด จุดที่มหัศจรรย์ที่สุดอยู่ที่ว่า หมัดที่ปล่อยออกมาติดๆ กันนี้ไม่เว้นพื้นที่ให้คนหลบเลี่ยง ได้แต่ฝืนแข็งใจต้านรับไว้เท่านั้น มองครั้งแรกเป็นเพียงภูเขาลูกเล็ก แต่หากมีเซียนใช้วิชาอภินิหารแหวกเปิดพื้นที่พันหมื่นลี้ออกดูก็จะค้นพบว่าภูเขาที่ไม่สะดุดตานี้คือ ‘เส้นทางมังกร’ ที่สมบูรณ์แบบทั้งเส้น กลับกลายมาเป็นบรรพบุรุษแห่งขุนเขาในใต้หล้า


ก่อนจะถึงหมัดที่แปด เท้าของติงอิงไม่ขยับเคลื่อนไหวเลยแม้แต่นิดเดียว ทุกครั้งล้วนสามารถใช้ฝ่ามือต้านรับหมัดได้อย่างพอดิบพอดี


รอบกายเหมือนมีเจียวหลงสีขาวหิมะตัวหนึ่งว่ายวนโอบล้อม มองไม่เห็นเงาคน


หมัดที่เก้าติงอิงถอยหลังไปหนึ่งก้าว ยังคงใช้ฝ่ามือต้านหมัดที่พุ่งเข้ามายังหว่างคิ้ว


การลงมือของติงอิงที่มองดูเหมือนเรียบง่ายธรรมดาอย่างถึงที่สุดนี้ แท้จริงแล้วกลับแฝงไว้ด้วยแก่นแห่งวรยุทธ์เก้าชนิดที่รวบรวมมาจากสำนักและพรรคต่างๆ ในพื้นที่มงคลดอกบัว ไม่ต้องพูดถึงหอจิ้งซินที่ติงอิงเห็นเป็นเหมือนสวนดอกไม้หลังบ้านของตัวเอง แม้แต่พรรคหูซานของอวี๋เจินอี้ วิชาหมัดที่จ้งชิวสืบทอดให้แก่ลูกศิษย์ผู้สืบทอด ยอดเขาเหนี่ยวคั่นและตำหนักคลื่นวสันต์ กระบวนท่าหิมะถล่มอันเป็นวิชาทวนของเฉิงหยวนซาน เวทลับที่ไม่แพร่งพรายให้คนนอกของปรมาจารย์ใหญ่หลายคนอย่างเทพแปดกรเซวียยวน ติงอิงล้วนนำมาปรับใช้ได้อย่างเชี่ยวชาญ วิชาบางอย่างที่อยู่ในขั้นสูงสุดอยู่แล้วก็จะคงสภาพเดิมไว้ ไม่ไปแตะต้อง แต่วิชาบางส่วนที่ยังเหลือช่องว่าง ติงอิงที่อยู่ว่างๆ ก็จะช่วยปรับแก้ให้สมบูรณ์แบบมากขึ้น


หมัดที่สิบ


ติงอิงขยับไปด้านข้างหลายก้าว แต่กลับยังคงเปิดปากเอ่ยกลั้วหัวเราะด้วยสีหน้าผ่อนคลาย “วิชาหมัดนี้ของเจ้า มีความบกพร่องเดียวในความสมบูรณ์แบบก็คือ ใช้วิธีทำลายศัตรูหนึ่งพัน ตัวเองกลับเสียหายแปดร้อย ข้าอยากจะรู้นักว่าเจ้าจะทนได้ถึงหมัดที่เท่าไหร่ และหมัดสุดท้ายนั้นจะร้ายกาจมากแค่ไหน”


เฉินผิงอันตั้งหน้าตั้งตาปล่อยหมัดอย่างเดียว หัวใจเหมือนจมดิ่งสู่ก้นบ่อโบราณ


การต่อสู้ครั้งนี้ไม่มีใครมาร่วมชม


เพราะไม่กล้า


เดิมทีมารเฒ่าติงก็ขึ้นชื่อเรื่องชอบฆ่าคนที่มาชมศึกอยู่ด้านข้างอยู่แล้ว


พวกเจ้าเป็นคนไม่กลัวตาย ชอบมานั่งดูอยู่บนกำแพง ชอบมาชี้ไม้ชี้มือวิจารณ์ ชอบปรบมือร้องให้กำลังใจอยู่ด้านข้าง ชอบทำหน้าตกตะลึงเหมือนเห็นผีกลางวันแสกๆ กันนักใช่ไหม ทุกครั้งที่มีจังหวะว่างระหว่างประมือกับคนอื่น มารเฒ่าติงจะต้องตบพวกคนที่มาชมการต่อสู้จนเละเป็นเนื้อบดด้วยฝ่ามือเดียวเหมือนคนใช้พัดตบยุงบนมุ้ง ตบแมลงวันบนผนังเสมอ


ดังนั้นอาจารย์ที่ลักษณะคล้ายลิงผอมแห้งขององค์รัชทายาทเว่ยเหยี่ยนเพิ่งจะมาถึงได้ไม่นาน เดิมทีหลบซ่อนอยู่ไกลๆ แต่พอเห็นว่ามารเฒ่าติงลงมือด้วยตัวเองก็รีบถอยออกมาทันที


นิสัยเช่นนี้ติงอิงเป็นอยู่คนเดียว บุคคลที่อยู่บนยอดเขาอย่างพวกจ้งชิว อวี๋เจินอี้ที่แม้จะไม่ชอบให้คนนอกมานั่งดูไฟชายฝั่ง แต่ส่วนใหญ่ก็ไม่ให้ความสนใจเท่าใดนัก


ทว่าการชมการเข่นฆ่าระหว่างยอดฝีมือระดับสองคือข้อห้ามใหญ่ของคนในยุทธจักร เพราะใครก็ไม่ชอบให้ความสามารถก้นกรุของตนต้องมาเปิดเผยสู่สายตาคนนอก คนมากปากมาก หนึ่งเล่ากันไปสิบ สิบเล่ากันไปร้อย จนแม้แต่คนเดินถนนก็ยังรู้ แบบนั้นจะยังเรียกว่าของก้นกรุอีกได้อย่างไร? ยุทธภพจะบอกว่าใหญ่ก็ไม่ใหญ่ โดยเฉพาะหลังจากที่ได้เลื่อนเป็นปรมาจารย์ระดับหนึ่งแล้ว วรยุทธ์ก็จะยิ่งเล็กแคบลงมาอีก


ระยะห่างระหว่างคนทั้งสองอยู่ในระยะสองช่วงแขน แต่หมัดที่สิบเอ็ด ดูเหมือนติงอิงจะได้ลิ้มรสถึงความร้ายกาจของกระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าบ้างแล้ว เขาจึงขยับระยะห่างเหมือนตั้งใจแต่ก็คล้ายไม่เจตนา พอถูกหนึ่งหมัดต่อยก็ถอยออกไปหนึ่งจั้งกว่า


ตอนนั้นลู่ฝ่างถูกสิบหมัดต่อยจนบาดเจ็บสาหัส หนึ่งเพราะเหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างฉุกละหุก เขาไม่ทันได้ตั้งตัวรับมือ ทว่าติงอิงกลับเตรียมพร้อมมาตั้งแต่แรกเริ่มแล้ว สองก็เพราะลู่ฝ่างใฝ่เรียนวิชากระบี่อย่างเดียว ความทุ่มเทและความตั้งใจทั้งหมดอยู่ที่กระบี่ ร่างกายจึงมิอาจเทียบเคียงกับติงอิงได้ ลู่ฝ่างกินสิบหมัดของเฉินผิงอันเข้าไปก็เหมือนทหารเดินเท้ากลุ่มหนึ่งที่เจอกับทหารม้าเหล็กในผืนป่า เพียงปะหน้าก็แตกฉานซ่านเซ็น แน่นอนว่าย่อมพ่ายแพ้เหมือนภูเขาที่ล้มครืน สิบหมัดเหมือนกัน แต่ติงอิงกลับเหมือนได้ครอบครองนครยักษ์ที่มีป้อมปราการสูง กองกำลังทหารยังคงกร้าวแกร่ง


นี่หาใช่เพราะศักยภาพที่แท้จริงระหว่างลู่ฝ่างกับติงอิงแตกต่างกันราวฟ้ากับเหวไม่


จะว่าไปแล้ว การที่ติงอิงรับมือได้อย่างผ่อนคลายเช่นนี้ยังต้องยกให้เป็นความดีความชอบของบทเรียนก่อนหน้านี้ที่ลู่ฝ่างและจ้งชิวมอบให้เขา


หลังหมัดที่สิบเอ็ดผ่านไป ติงอิงไปยืนอยู่ห่างหนึ่งจั้ง ฉวยโอกาสที่หมัดต่อไปยังไม่เข้ามาประชิดตัวรีบสะบัดชายแขนเสื้อ สลายพายุหมัดที่ยังคงหมุนเวียนวนอยู่กลางฝ่ามือทิ้งไป กล่าวสัพยอกว่า “หากปล่อยมาอีกสักสามสี่หมัด เกรงว่าข้าคงต้องบาดเจ็บเล็กน้อยแล้ว”


หมัดที่สิบสองพุ่งเข้ามาแสกหน้า ติงอิงจึงออกหมัดเป็นครั้งแรก หมัดนั้นชนเข้ากับกระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าของเฉินผิงอัน


เฉินผิงอันถอยหลังไปหลายก้าว แต่ความมหัศจรรย์ของกระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าก็แสดงออกมาอย่างเต็มกำลัง เฉินผิงอันใช้ความเร็วและวิถีวงโคจรที่อยู่เหนือหลักการทั่วไปปล่อยหมัดนี้ออกไปด้วยความเร็วที่มากกว่าเดิม


ติงอิงที่ไม่ทันได้ออกหมัด ได้แต่ยกศอกขึ้นต้านบังอยู่ด้านหน้าอย่างฉุกละหุก


ปลายศอกของตัวเองกระแทกเข้าที่หน้าอก


ติงอิงกระเด็นออกไปดังปัง แต่ปราณแท้จริงในชุดคลุมยาวกลับพองโป่งขึ้นมา ช่วยลดทอนพายุหมัดไปเกินครึ่ง


ชั่วเวลาประกายไฟแลบ สัมผัสได้ว่าคู่ต่อสู้คล้ายจะช้าไปเสี้ยวขณะหนึ่ง ติงอิงก็หรี่ตา ถอยกรูดออกไปด้านหลัง ขณะเดียวกันกับที่รับหมัดที่สิบสี่ก็เอ่ยพลางยิ้มบางๆ ไปด้วยว่า “ก่อนหน้านี้ในที่พักของเจ้า มีเจ้าตัวน้อยลักษณะเป็นภูตประหลาดตัวหนึ่ง มันไม่รู้จักกลัวตาย ถึงได้พยายามแอบเอากระบี่บินมุดดินมาหาเจ้า แต่ถูกข้าจับได้ ไม่รู้ว่าถูกแรงกระเทือนตายอยู่ในใต้ดินไปแล้วหรือเปล่า”


แล้วก็จริงดังคาด แม้ว่าคนหนุ่มจะสัมผัสได้ แต่ก็ยังไม่ยอมหยุดมือ หมัดที่สิบห้าพุ่งออกมาอย่างว่องไว


หนึ่งหมัดผ่านไป


ติงอิงถอยหลังอีกครั้ง อีกทั้งสองนิ้วที่คีบกระบี่บินสืออู่เอาไว้ยังสั่นน้อยๆ ด้วย


ติงอิงไม่ตกใจ กลับกันยังดีใจมากเดียวซ้ำ เพียงแต่เก็บกดอารมณ์นี้ไว้อย่างลึกล้ำ


มองภายนอกเหมือนว่ามารเฒ่าติงที่ได้ครอบครองบัลลังก์อันดับหนึ่งในใต้หล้าอย่างมั่นคงมาหกสิบปีผู้นี้จะทระนงตัวจนกลายเป็นความประมาท ทว่าอันที่จริงส่วนลึกในใจของติงอิงนั้นอยากได้แก่นของกระบวนท่าหมัดนี้มาครอบครองยิ่งกว่าใคร


มีความเป็นไปได้มากว่าหากเขาเข้าใจวิชาหมัดนี้อย่างทะลุปรุโปร่ง มันก็ช่วยให้เขามีความมั่นใจเพิ่มขึ้นว่าจะทำเรื่องบางอย่างที่คิดไว้ในใจได้สำเร็จ


นั่นคือเขย่าคลอนกฎสวรรค์ของพื้นที่แห่งนี้!


ติงอิงไม่สนใจสักนิดว่าการเปิดปากพูดของเขาจะทำให้ลมปราณที่แท้จริงไหลหายออกไปข้างนอกอย่างรวดเร็ว ยังคงยิ้มบางกล่าวว่า “สี่หัวก่อนหน้านี้ ข้าเป็นคนให้ยาเอ๋อร์และโจวซื่อหิ้วออกมาให้เจ้าดูเอง เด็กคนนั้น หากข้าจำไม่ผิดน่าจะชื่อเฉาฉิงหล่าง เขามาเจอกับเจ๋อเซียนอย่างเจ้า นับว่าโชคร้ายจริงๆ”


ต่อให้ติงอิงจะมองเห็นใบหน้าของเฉินผิงอันได้ไม่ชัดเจน แต่ผู้เฒ่ากลับสามารถสัมผัสได้ถึงจิตสังหาร ‘เล็กน้อย’ ของคนผู้นี้


ไม่ใช่ความโกรธเคือง ถึงขั้นไม่ใช่จิตสังหารที่ไหลแผ่ออกมาอย่างบ้าคลั่ง แต่เป็นจิตสังหารที่จงใจกดข่มไว้ให้เป็นเพียงเส้นบางๆ จากนั้นก็ขยำหนึ่งเส้นให้กลายเป็นหนึ่งก้อน


แบบนี้ก็น่าสนใจแล้ว


สภาพจิตใจของคนผู้นี้โดดเด่นแตกต่างไปจากบรรดาเจ๋อเซียนทั้งหลายที่ติงอิงเคยพบเห็นและเคยสังหารมา


ตลอดชีวิตที่ผ่านมา ติงอิงเรียนรู้มาหลากหลาย ไม่มีหนังสือเล่มใดที่ไม่ถูกเขาเปิดอ่าน เขาเคยอ่านเจอประโยคหนึ่งในตำราของลัทธิเต๋า กล่าวว่า ‘ล่องอยู่ในธาราไม่หลบเลี่ยงเจียวหลง คือความกล้าของคนขับเรือ ท่องอยู่ในป่าเขา ไม่กลัวหมาป่าและหมาใน คือความกล้าของนายพราน ร้อยคมมีดตัดสลับอยู่เบื้องหน้า ไม่หวั่นเกรงต่อความตาย ก็คือความกล้าของวีรบุรุษ เมื่อพละกำลังของคนหมดสิ้นลง ยามเผชิญกับหายนะใหญ่ยังเยือกเย็นไม่สะทกสะท้าน นั่นก็คือความกล้าแห่งอริยะ’


หากคิดจะเยือกเย็นไม่สะทกสะท้าน จิตใจต้องมั่นคงก่อน


อะไรที่เรียกว่าเมื่อพละกำลังของคนหมดสิ้นลง? ก็คือเมื่อเฉินผิงอันที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้คิดว่าคนในครอบครัวนั้นตายหมดแล้ว และเจ้าตัวน้อยนั่นก็อาจตายไปด้วย ภายใต้เงื่อนไขนี้ เขาไม่เพียงแต่ต้องรู้ว่าความละอายใจและความเคียดแค้นของตัวเองล้วนไร้ความหมาย เพราะมีแต่จะพาตัวเองไปตาย มีเพียงมุ่งมั่นตั้งใจเท่านั้นถึงจะรอดไปจากสถานการณ์ตอนนี้ได้ และเมื่อรู้แล้วว่าควรทำอย่างไรก็ต้องทำให้ได้ด้วย


การรับรู้เป็นเรื่องง่าย แต่จะกระทำได้หรือไม่นั้น กลับยากยิ่งกว่า


ทว่าเฉินผิงอันผู้นี้ไม่ทำให้ติงอิงผิดหวัง


เขาออกหมัดอย่างไม่มีอืดอาด ไม่มีพันธนาการใดๆ มาพันมือพันเท้า ตรงข้ามกันเลยด้วยซ้ำ ต่อให้จะรู้ดีว่าทุกหมัดที่ปล่อยออกมาจะยิ่งช่วยให้ติงอิงเข้าใจกระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้ามากขึ้น ทว่าการออกหมัดของเขากลับยังไร้ซึ่งความกังวล ทำลายศัตรูหนึ่งพัน ตัวเองเสียหายแปดร้อย หากติงอิงไม่ตายภายใต้หมัดของตัวเอง ตัวเองก็ต้องเส้นชีพจรปริแตก จิตวิญญาณแหลกสลาย เลือดเนื้อพังทลาย ตายอยู่ท่ามกลางการส่งหมัดกระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าหมัดสุดท้ายไปอย่างองอาจผึ่งผาย


หมัดที่สิบหก


ติงอิงพยักหน้ารับเบาๆ แล้วหัวเราะเสียงดังลั่นอย่างอารมณ์ดี เห็นเพียงว่าท่ามกลางกวานดอกบัวสีเงินเหนือศีรษะของเขามีประกายแสงเหมือนน้ำตกที่ไหลรินลงมาอาบย้อมไปทั่วร่างของติงอิง


คราวนี้ติงอิงแค่ถอยสามก้าวเท่านั้น อีกทั้งยังไม่ได้รับความเสียหายใดๆ


เฉินผิงอันเก็บหมัด อาศัยแรงดีดสะท้อนกลับของหมัดดีดตัวออกไปข้างหลังหลายจั้ง


พอยืนได้มั่นคงแล้วก็ยกแขนขึ้น ใช้หลังมือปาดคราบเลือด


ติงอิงไม่มีความคิดจะเปลี่ยนจากการป้องกันมาเป็นการโจมตี ถามด้วยรอยยิ้มว่า “ทำไมไม่ออกหมัดต่อแล้วเล่า? ดูจากสภาพของเจ้า อย่างน้อยก็น่าจะยังประคับประคองไปได้อีกสองหมัด อย่างน้อยที่สุดน่ะนะ”


ติงอิงมองคนหนุ่มที่เงียบงันไม่พูดไม่จาแล้วยกมือขวาขึ้น “ไม่คิดบ้างหรือว่าหากออกหมัดอีกสักครั้งหรือสองครั้งจะสามารถต่อยให้ข้าปล่อยสองนิ้วนี่ได้?”


ติงอิงถอนหายใจด้วยความเสียดายเล็กน้อย หากไม่เรียกใช้กวานดอกบัว ลางสังหรณ์ก็บอกกับเขาว่าตัวเองต้องเผชิญกับอันตรายแน่นอน มีความเป็นไปได้มากว่าจะต้องพินาศย่อยยับกันไปทั้งสองฝ่าย


แต่คนเราก็ไม่ควรหวังให้ทุกเรื่องสมดังใจปรารถนาไปเสียหมัด แค่สิบกว่าหมัดนี้ก็มากพอให้เขานำมาศึกษาใคร่ครวญต่อแล้ว


มองออกว่ากระบวนท่าหมัดนี้คือหนึ่งในกระบวนท่าที่มีพลังพิฆาตสูงสุดของเจ๋อเซียนหนุ่มผู้นี้แล้ว


ติงอิงรู้สึกว่าแค่นี้ก็เพียงพอ อันดับต่อไปควรจะทำเรื่องที่เป็นจริงเป็นจังได้แล้ว


เฉินผิงอันกวาดตามองไปรอบด้าน


ทุกอย่างล้วนแปลกประหลาดถึงเพียงนี้


แต่ก็เพราะเหตุนี้ เฉินผิงอันถึงได้รู้สึกว่าลมปราณที่ไม่สงบในหัวใจใกล้จะระเบิดออกมาเต็มที


เหมือนตอนที่ยังเป็นเด็กหนุ่มแล้วได้เห็นหลิวเสี้ยนหยางนอนแบ๊บอยู่บนเตียง หลังจากเดินออกมาเขาก็มุ่งหน้าไปยังสะพานอย่างเงียบเชียบ


ความรู้สึกสิ้นหวังเช่นนั้น ต่อให้ผ่านมาหลายปีขนาดนี้ เดินมาไกลขนาดนี้ ฝึกหมัดมามากมายถึงเพียงนี้ เฉินผิงอันก็ยังคงจดจำได้เหมือนเพิ่งเกิดขึ้นไม่นาน


ฟ้าดินกว้างใหญ่ เดียวดายเพียงลำพัง เมื่อเจอกับหลุมใหญ่บางแห่ง ให้ตายเจ้าก็ข้ามไปไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นหากไม่อัดอั้นจนตายก็เท่ากับรนหาที่ตาย ยังจะทำยังไงได้อีก?


ในเวลานี้น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ตรงเอวยังเหมือนถูกปิดผนึกเอาไว้ ชูอีไม่สามารถออกมาได้


ชุดคลุมอาคมจินหลี่ก็ยังมีแต่กลิ่นอายความตายเข้มข้น


ส่วนสืออู่ที่เป็นทั้งกระบี่บินและเป็นทั้งวัตถุฟางชุ่นก็ถูกติงอิงพันธนาการอยู่ระหว่างสองนิ้วอย่างแน่นหนาตลอดเวลา


ยังดีที่ในปีนั้นเฉินผิงอันเคยเป็นลูกศิษย์เตาเผามังกรมาก่อน


เฉินผิงอันถ่มเลือดทิ้งหนึ่งคำ “เจ้าลืมของบางอย่างเอาไว้ ไม่ได้เก็บมาหรือเปล่า?”


ติงอิงหัวเราะฮ่าๆ “เจ้าหมายถึงกระบี่ที่เจ้าวางไว้บนโต๊ะเล่มนั้นน่ะหรือ? เจ้าคิดจะไปหยิบมันเพื่อมาสังหารข้า? แต่เมื่ออยู่ภายใต้เปลือกตาของข้า เจ้าคิดว่าตัวเองจะเดินไปถึงที่นั่นไหม?”


ติงอิงถามเองตอบเอง ส่ายหน้าพูดว่า “ขอแค่ข้าไม่เต็มใจให้เจ้าไป เจ้าเฉินผิงอันก็เดินออกไปได้ไม่ถึงสิบจั้ง ข้าแน่ใจเลยว่าเจ้าเป็นแค่ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวในกลุ่มของเจ๋อเซียนเท่านั้น ไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ หาไม่แล้วข้าก็คงไม่อาจกักตัวกระบี่บินเล่มเล็กๆ นี้ไว้ได้”


เฉินผิงอันแสยะปาก ปรายตามองกวานเต๋าเหนือศีรษะของติงอิง “ฟ้าอำนวยดินอวยพรคนสามัคคี เจ้าล้วนยึดครองไปหมดแล้ว สะใจมากเลยใช่ไหมล่ะ?”


ติงอิงหรี่ตาลง ปราณสังหารพลันท่วมทะลักออกมา “อ้อ? ไอ้หนู ไม่ยอมแพ้งั้นรึ แต่เจ้าจะทำอย่างไรได้เล่า?”


“ก่อนหน้านี้เจ้าพูดคำว่า ‘มา’ อะไรนั่น?”


เฉินผิงอันยกแขนข้างหนึ่งปาดออกมาเบื้องหน้า “ถูกไหม?”


ติงอิงไม่เอ่ยอะไร แค่ตอบกลับมาด้วยเสียงหัวเราะเยียบเย็น


ในใจคิดว่าเจ๋อเซียนที่ไม่เหมือนใครผู้นี้ต้องกำลังคิดดิ้นรนก่อนตายอย่างแน่นอน


เขาแค่รอดูการเปลี่ยนแปลงอย่างเดียวก็พอ


เฉินผิงอันพูดในใจตัวเองว่า ‘กระบี่ จงมา!’


ในห้องด้านข้างของบ้านหลังนั้น กระบี่ปราณยาวที่แค่ปราณกระบี่ก็หนักหลายสิบจินพลันพุ่งออกจากฝักในเสี้ยววินาที


จากนั้นก็เหมือนว่าจะติดตามร่องรอยคร่าวๆ ของเฉินผิงอันที่ทิ้งไว้ในครั้งสุดท้ายที่เดินออกจากประตู ราวกับต้องการจะสำแดงบารมีต่อฟ้าดินแห่งนี้ กระบี่ยาวจึงเหมือนสายรุ้งสีขาวที่แหวกทะลุหน้าต่าง พุ่งออกจากลานบ้านมาถึงตรอก พุ่งผ่านตรอกเข้ามาในถนนเส้นใหญ่ พุ่งผ่านไหล่ติงอิงไป


เมื่อเฉินผิงอันคว้าจับ ‘รุ้งขาว’ เส้นนี้


ปราณกระบี่สีขาวหิมะที่ปานประหนึ่งแม่น้ำสายยาวยังคงเหลือค้างไว้ในโลกมนุษย์ มีทั้งคดงอ มีทั้งที่เป็นเส้นตรง แต่กลับไม่มีวี่แววว่าจะสลายหายไป


เมื่อเฉินผิงอันยื่นมือไปคว้ากระบี่ปราณยาวเล่มนั้นมา


ตัวกระบี่เหมือนน้ำค้างแข็ง ปราณกระบี่ก็เหมือนรุ้งขาว ชุดคลุมตัวยาวยิ่งเจิดจ้าเหนือกว่าหิมะ


ในโลกมนุษย์แห่งนี้ เฉินผู้ไร้เทียมทานในหนึ่งช่วงแขน


นอกเหนือจากหนึ่งแขนแล้วยังมีกระบี่อีกหนึ่งเล่ม


บทที่ 319.1 แค่ออกกระบี่เท่านั้น

ProjectZyphon

ติงอิงยกแขนขึ้น กวานดอกบัวสีเงินบนศีรษะผลิบานราวกับมีชีวิตจริง กลีบดอกบัวที่เดิมทีตูมเต่งคลี่ขยายออกมาภายนอก ส่ายสะบัดอย่างมีชีวิตชีวา ติงอิงเอากระบี่บินเล่มจิ๋วที่อยู่ตรงปลายนิ้ววางไว้ข้างในนั้น กลีบดอกสีเงินค่อยๆ หุบเข้าหากัน กวานเต๋าหวนคืนกลับสภาพเดิม


ติงอิงเอาสองมือไพล่หลัง ก้มหน้าลงมองปราณกระบี่ยาวเหยียดที่อยู่ใกล้ในระยะประชิด ต่อให้เป็นติงอิงก็ยังรู้สึกว่าภาพนี้ช่างงดงามอย่างที่ไม่เคยได้พานพบมาก่อนในชีวิต


ติงอิงก้มหน้าลงมองลำธารสีขาวหิมะที่หยุดค้างอยู่ในโลกมนุษย์พลางเปิดปากถามยิ้มๆ ว่า “เฉินผิงอัน นี่คือเวทบังคับกระบี่ของอาจารย์กระบี่กระมัง? เจ้าเคยใช้กับเฝิงชิงป๋ายมาก่อน เป็นข้าประมาทเอง คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะสามารถบังคับกระบี่มาได้ไกลขนาดนี้ แต่ก็ไม่เป็นไร สถานการณ์โดยรวมมั่นคงดีแล้ว อีกอย่างในฐานะที่เจ้าเป็นเจ้าของกระบี่เซียนเล่มนี้ กลับไม่กำด้ามกระบี่อย่างแท้จริง แค่ใช้เวทอำพรางตาทำท่าเหมือนกำอยู่เท่านั้น แบบนี้จะไม่น่าเสียดายไปหน่อยหรือ?”


ติงอิงดึงสายตากลับ หันตัวไปมองเฉินผิงอัน “หรือจะบอกว่าอันที่จริงเจ้าไม่สามารถควบคุมกระบี่เล่มนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ น่าเสียดายยิ่งนัก หรือว่าเจ้าพวกที่มองดูเหมือนหมอกแต่ไม่ใช่หมอก เหมือนน้ำแต่ไม่ใช่น้ำเหล่านี้ล้วนเป็นปราณกระบี่ทั้งหมด? ถ้าอย่างนั้นปราณกระบี่ก็ต้องเผาผลาญไปเร็วมากสิถึงจะถูก”


เฉินผิงอันคิดไม่ถึงว่าติงอิงจะสายตาเฉียบคมขนาดนี้ แปบเดียวก็มองออกแล้วว่าตนกับกระบี่เล่มนี้ ‘ภายนอกประสาน แท้จริงใจห่าง’


ปราณยาวเล่มนี้ ตอนที่อยู่นอกป้อมอินทรีบิน เฉินผิงอันเคยชักออกจากฝักหนึ่งครั้ง ตอนนั้นเลือดเนื้อตลอดทั้งแขนของเฉินผิงอันถูกปราณกระบี่สลายไปเสียสิ้น เหลือให้เห็นเพียงกระดูกขาว เป็นเพราะลู่ไถใช้ยาวิเศษของสำนักหยินหยางถึงได้มีเลือดเนื้องอกขึ้นมาใหม่ เวลานี้เขาสามารถบังคับพาปราณยาวมาไว้ข้างกาย แน่นอนว่าหาใช่เพราะบรรลุถึงจุดสูงสุดของอาจารย์กระบี่ถึงได้ควบคุมกระบี่ยาวมาได้ไกลขนาดนี้ แต่เป็นเพราะเมื่อเฉินผิงอันกับปราณยาวอยู่ด้วยกันนานวันเข้า ปราณกระบี่ได้แทรกซอนเข้ามาในร่างกายของเขา และจิตวิญญาณของเขาก็เป็นฝ่ายชักนำปราณกระบี่ ดังนั้นต่อให้ทั้งสองจะแยกจากกันก็ยังคงมีเส้นใยที่เชื่อมโยงพวกเขาไว้ด้วยกัน


ติงอิงชี้ไปที่กวานดอกบัวของตัวเอง “คราวนี้เจ้าเอากระบี่มาได้แล้ว ส่วนข้ากลับสูญเสียวิชาอภินิหารจากกวานเต๋าของเซียนชิ้นนี้ไปชั่วคราว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ อันดับต่อไปก็สามารถประมือกันได้อย่างยุติธรรมแล้วใช่ไหม?”


นิ้วทั้งห้าของเฉินผิงอันที่กำด้ามกระบี่ไว้หลอกๆ เพิ่มน้ำหนักเล็กน้อย ลำธารปราณกระบี่ที่เริ่มต้นมาจากลานบ้านในตรอกเล็กและหยุดลงที่ฝ่ามือของเฉินผิงอันพลันรวบเข้ามาหากันในเสี้ยววินาที ปราณกระบี่กลับมารวมตัวกันบนตัวกระบี่อีกครั้ง กระบี่ปราณยาวที่อยู่ในมือไม่เหลือภาพเหตุการณ์ผิดปกติอะไรอีก


เฉินผิงอันลอง ‘ชั่ง’ น้ำหนักของกระบี่ปราณยาวดูรอบหนึ่ง แล้วก็รู้สึกว่ากำลังดี เมื่อเทียบกับกระบี่ชือซินที่อยู่ในกระบี่บินสืออู่แล้วถือว่าหนักกว่ามาก นับตั้งแต่ที่เฉินผิงอันได้ ‘คัมภีร์เวทกระบี่ที่แท้จริง’ มาจากนครมังกรเฒ่า แล้วเริ่มฝึกวิชากระบี่มาตั้งแต่บนเกาะกุ้ยฮวา เขาก็รู้สึกมาตลอดว่าเบาเกินไป ตอนนี้ต่อให้เพียงแค่กุมปราณกระบี่ไว้ปลอมๆ กลับรู้สึกว่ามันเหมาะมือ


น้ำหนักเหมาะสมก็ดีแล้ว


จนกระทั่งบัดนี้ติงอิงถึงเพิ่งจะยกระดับเฉินผิงอันจากขั้นเดียวกับพวกลู่ฝ่าง จ้งชิวให้เท่าเทียมกับอวี๋เจินอี้ที่ฝึกวิชาเซียน


ความต่างของทั้งสองฝ่ายก็คือไม่ว่าวิชากระบี่ของเจ้าลู่ฝ่างจะมหัศจรรย์แค่ไหน วิชาหมัดของเจ้าจ้งชิวจะไร้ศัตรูทัดเทียมเท่าไหร่ แต่เมื่อมาอยู่ต่อหน้าข้าติงอิงก็ยังเหมือนเด็กน้อยที่แกว่งกิ่งหลิว เหมือนคนแก่โบกหมัด ใต้หล้านี้มีเพียงอวี๋เจินอี้ที่ไม่ว่าจะโจมตีหรือต้านรับก็อยู่ในระดับสูงสุดเท่านั้นที่ถึงจะมีโอกาสทำร้ายเขาติงอิงได้


เฉินผิงอันพ่นลมหายใจออกมาหนักๆ หนึ่งครั้ง


ข้อดีอย่างเดียวของสถานที่แห่งนี้ก็คือการต่อสู้ระหว่างผู้ฝึกยุทธ์จะไม่ส่งผลกระทบต่อการผลัดเปลี่ยนลมปราณของเฉินผิงอัน


ราวกับว่าผู้ฝึกยุทธ์ของฟ้าดินแห่งนี้ขาดขั้นที่หนึ่งในการเป็นผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวของใต้หล้าไพศาลไป เมื่อเฉินผิงอันอยู่ที่นั่น หากผู้ฝึกยุทธ์และผู้ฝึกลมปราณคิดจะเดินไปบนเส้นทางที่ผิดต่อวิถีสวรรค์ จำเป็นต้องสลายปราณวิญญาณทั้งหมดในร่างกายออกไปเสียก่อน แล้วจึงสกัดดึงเอาลมปราณบริสุทธิ์ที่แท้จริงเฮือกหนึ่งขึ้นมา ลมปราณเป็นดั่งเจียวหลงที่ว่ายวนไปตามอวัยวะและช่องโพรงลมปราณในร่างกาย เหมือนกองทหารม้าชายแดนที่บุกเบิกที่ดิน เปิดเส้นทางเส้นแล้วเส้นเล่าที่เหมาะสมแก่การโคจรของลมปราณแท้จริง ถึงจะถือว่าได้เดินขึ้นไปบนวิถีวรยุทธ์อย่างแท้จริง


ทว่าเมื่ออยู่ในใต้หล้าแห่งนี้ บางทีอาจเป็นเพราะปราณวิญญาณที่เบาบาง ผู้ฝึกยุทธ์จึงไม่มีความพิถีพิถันในเรื่องนี้ ด้านการหล่อหลอมหายไป ดังนั้นรากฐานที่ถูกปูมาแต่แรกเริ่มจึงไม่ดีนัก ปรมาจารย์วิถีวรยุทธ์หลายคนในยุทธภพแสวงหาการกลับคืนสู่ธรรมชาติดั้งเดิม แท้จริงแล้วก็เพียงแค่เพราะว่าเมื่อเดินไปถึงจุดสูงในระดับหนึ่งบนเส้นทางแห่งวิถีวรยุทธ์แล้วกลับเข้าใจอย่างกระจ่างแจ้งในฉับพลัน ถึงได้เริ่มเดินย้อนกลับหลังไปเริ่มใหม่อีกครั้ง


ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ ตลอดร้อยปีในยุทธภพก็ยังมีผู้มีพรสวรรค์อันโดดเด่นอย่างพวกติงอิง อวี๋เจินอี้ จ้งชิวผุดขึ้นมา และในประวัติศาสตร์ก็ยิ่งมีบุคคลฝีมือเลิศล้ำอย่างเว่ยเซี่ยน หลูป๋ายเซี่ยงและสุยโย่วเปียน


ติงอิงยิ้มบางกล่าวว่า “นอกจากกวานดอกบัวบนศีรษะนี่แล้ว กระบี่ในมือของเจ้าเฉินผิงอันก็คือของอย่างที่สองที่ข้าติงอิงต้องการได้มาครอบครอง”


ใช้ท่าจับเสมือนจริงกุมปราณยาว


เฉินผิงอันขยับไปข้างหน้าด้วยการเดินนิ่งหกก้าวของวิชาหมัดเขย่าขุนเขา ซึ่งในท่าทางนี้ยังแฝงไว้ด้วยแก่นสูงสุดของกระบวนท่าหมัดใหญ่ของจ้งชิว


ความกว้างในแต่ละก้าวสั้นยาวไม่เท่ากัน ทว่าหลังจากฝึกหมัดครบล้านครั้งแล้ว ทุกอย่างล้วนผสานรวมกันอย่างเป็นธรรมชาติ ปณิธานหมัดได้ซึมลึกเข้าสู่แก่นกระดูกของเฉินผิงอันนานแล้ว บวกกับจุดสูงสุดแห่งวิชาหมัดที่ก่อนหน้านี้จ้งชิวแสร้งทำเป็นเข่นฆ่ากับเขา ทว่าแท้จริงแล้วกลับเป็นการถ่ายทอดวิชาให้เขาอย่างลับๆ สองอย่างผสานรวมกันเกิดเป็นท่วงทำนองดุจเมฆคล้อยน้ำไหล ประสานกันได้อย่างราบเรียบไร้ช่องโหว่


ด้วยสายตาของติงอิง เขากลับมองช่องโหว่ใดๆ จากการก้าวย่างหกก้าวนี้ของเฉินผิงอันไม่ออก นี่คือคนกับฟ้าผสานเป็นหนึ่ง สอดคล้องเข้ากับมหามรรคาอย่างแท้จริง


ในช่วงเวลาหกสิบปีที่ผ่านมา ติงอิงเสาะหาและรวบรวมวิชาวรยุทธ์ในใต้หล้ามาอย่างกำเริบเสิบสาน อีกทั้งตัวติงอิงเองยังเป็นผู้มีพรสวรรค์ในการฝึกวรยุทธ์ที่ร้อยปียากจะพานพบสักครั้ง มีความรู้หลากหลายรอบด้าน จึงพยายามจะเรียบเรียงตำราวิเศษที่สอนสุดยอดเคล็ดวิชายุทธ์ในใต้หล้าขึ้นมา


เมื่อเห็นท่าเดินหกก้าวที่ราบเรียบไร้ความมหัศจรรย์นี้ ดวงตาของติงอิงก็พลันเป็นประกาย ดูท่าในตำราลับเล่มนั้นของตนยังมีจุดที่ต้องให้ตรวจสอบและเติมเต็มช่องโหว่


ในเมื่อไม่มีโอกาสปลิดชีพในการโจมตีเดียว บวกกับที่คิดอยากจะเรียนวรยุทธ์นอกฟ้าจากตัวของเฉินผิงอันให้มากขึ้นอีกนิด ติงอิงจึงเลือกที่จะหลบเลี่ยงประกายคมกริบของฝ่าย


แต่เพียงไม่นานติงอิงก็ตระหนักได้ว่าการถอยครั้งนี้ของตน เป็นการเลือกที่ผิดพลาด


หลังจากก้าวเดินมาถึงก้าวที่หก พลังอำนาจทั่วร่างของเฉินผิงอันก็ไต่ทะยานสู่จุดสูงสุด ปณิธานหมัดเข้มข้นจนถึงขั้นที่คล้ายจะรวมตัวกันขึ้นเป็นน้ำ ประหนึ่งหยดน้ำจำนวนมากที่กลิ้งไหลอยู่บนใบบัว การขัดเกลาหล่อหลอมจิตวิญญาณจากการแบกปราณยาวไว้บนหลังวันแล้ววันเล่า ปณิธานกระบี่ที่เดิมทีแทรกซึมเข้ามาในร่างของเฉินผิงอันช้าๆ ก็คือเส้นใยบนใบบัวใบนั้น


เขากระโดดขึ้นสูง เงื้อกระบี่ฟันฉับลงไป


มือทั้งคู่ของเฉินผิงอันจับกระบี่ สลับคมกระบี่จากตั้งมาเป็นนอน ประกายแสงเส้นหนึ่งพุ่งวาบ


ถนนใหญ่ถูกปราณกระบี่เส้นนั้นฟันออกเป็นสองฝั่งซ้ายขวา หากมีคนยืนอยู่สองข้างฝั่งของถนนก็จะค้นพบว่าวินาทีนี้ ภาพเหตุการณ์ที่อยู่ตรงข้ามกับฝั่งถนนกลายมาเป็นพร่ามัว บิดเบี้ยว


ติงอิงถอยห่างออกไปสามจั้ง บิดข้อเท้าเบี่ยงตัว พายุกระบี่สีขาวหิมะพุ่งสวบผ่านไปด้านหน้า


ประหนึ่งนักท่องเที่ยวที่ยืนมองคลื่นยักษ์กระทบชายฝั่ง


ติงอิงที่เรือนกายด้านข้างเผชิญกับกระบี่ที่สองยกมือขึ้นปรบกัน เท้าทั้งสองข้างพ้นจากพื้น ลำตัวลอยขึ้นกลางอากาศ หลบปราณกระบี่ดุร้ายที่ฟันผ่ากลางเอวมาได้ ฝ่ามือข้างหนึ่งสัมผัสกับตัวกระบี่ปราณยาวพอดี เมื่อฝ่ามือกับกระบี่เทพสัมผัสกันก็เหมือนก้อนหินที่บดเบียดเสียดสีกัน


ติงอิงขมวดคิ้ว เลือดโชกไหลนองออกมาจากฝ่ามือ เขาพลันเพิ่มแรง งอนิ้วดีดกระบี่ปราณยาว ถือโอกาสม้วนตัวกลับ พลิ้วกายลอยไปด้านหลัง


เพียงแต่ว่าติงอิงที่เสียโอกาสชิงจู่โจมก่อนไปแล้ว คิดจะสลัดเฉินผิงอันให้หลุดกลับไม่ง่ายนัก


การเดินนิ่งหกก้าวครั้งต่อไปของเฉินผิงอัน ก้าวแรกเหยียบบนกลางอากาศที่เหนือพื้นมาชุ่นกว่า ก้าวที่สองเหยียบตรงจุดที่ลอยพ้นพื้นมาหนึ่งฉื่อ แต่ละก้าวล้วนเดินขึ้นฟ้า ขณะเดียวกันเขาก็ปล่อยกระบี่ปราณยาวออก มันกลายเป็นสายรุ้งสีขาวที่พุ่งตามติดไปไล่ฆ่าติงอิง


แน่นอนว่านี่ไม่ได้เป็นเพราะเฉินผิงอันเลื่อนสู่ขอบเขตเจ็ดบังคับลมของวิถีวรยุทธ์แล้ว แต่เป็นเพราะเขาอาศัยพลังของกระบี่ อาศัยที่ลมปราณของหนึ่งคนหนึ่งกระบี่เชื่อมโยงกัน ถึงได้สามารถบังคับลมเดินกลางอากาศ ทว่าก่อนหน้านี้ตอนที่ต่อสู้กับจ้งชิว หลังจากปรับแก้มังกรใหญ่เขาได้ฝ่าขอบเขตเป็นครั้งแรก เลื่อนสู่ขอบเขตห้า ตอนนั้นที่เขาเดินกลางอากาศข้ามผ่านร่องลึกบนถนนที่ถูกกระบี่ของลู่ฝ่างผ่าไว้มาได้สำเร็จ ล้วนเป็นเพราะลมปราณเหมือนน้ำบ่าที่ทะลักออกมาภายนอก ยังไม่มั่นคงอย่างแท้จริงเท่านั้น ดังนั้นเมื่อจ้งชิวมองเห็นสายสนกลในถึงได้ออกหมัดช่วยเฉินผิงอันขัดเกลาวิถีวรยุทธ์ให้แน่นหนามากขึ้น


ติงอิงก้าวออกมาหนึ่งก้าว ใต้ฝ่าเท้าก็เกิดเสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหว ร่างเอียงไปยังกลางอากาศตำแหน่งที่สูงยิ่งกว่าเดิมแล้วก้าวออกไป ยังคงเป็นภาพปรากฎการณ์เดียวกันนั่นคือใช้ลมพายุที่ปลดปล่อยออกไปข้างนอกให้รวมตัวกันกลายเป็นหินรองฝ่าเท้า ก่อนที่เท้าจะเหยียบลงมันก็ถูกเอามา ‘วาง’ ไว้กลางอากาศรออยู่ก่อนแล้ว เป็นเหตุให้ติงอิงสามารถเดินไปยังตำแหน่งใดในอากาศก็ได้ตามที่ใจปรารถนา


นี่แทบจะเรียกได้ว่าเป็นเค้าโครงรูปร่างของขอบเขตบังคับลมในใต้หล้าไพศาลแล้ว


หากติงอิงสามารถบินทะยานออกไปจากพื้นที่มงคลดอกบัว ระดับความสำเร็จของเขาย่อมสูงอย่างที่ใครก็ไม่อาจจินตนาการได้ถึง


คนอีกสิบเก้าคนในใต้หล้านอกเหนือจากติงอิง ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ในท้องถิ่นหรือเจ๋อเซียน เมื่อมาอยู่ในกรงขังอย่างพื้นที่มงคลดอกบัวก็ล้วนกำหนดให้ยอดเขาที่คนและฟ้ารวมเป็นหนึ่งคือจุดสูงสุด กว่าจะเดินมาถึงก้าวนี้ต้องเปลืองแรงอย่างมาก เผาผลาญพลังกายพลังใจไปนับไม่ถ้วน แต่ติงอิงนั้นไม่เหมือนกัน เป็นเพราะจุดสูงสุดของพื้นที่มงคลดอกบัวมีเพียงขอบเขตฟ้าคนผสานเป็นหนึ่งขอบเขตเดียวเท่านั้น เขาถึงได้หยุดอยู่ที่เดิมมาปีแล้วปีเล่า รอให้คนอื่นเดินขึ้นเขามาทีละก้าว โดยเขาเองที่อยู่บนจุดสูงสุดมานานหลายปีทำเพียงก้มหน้าหลุบตามองโลกมนุษย์ ใช้ชีวิตอย่างน่าเบื่อหน่าย


ดังนั้นติงอิงถึงได้มองกฎเกณฑ์และมหามรรคาของฟ้าดินแห่งนี้เป็นศัตรูของตัวเอง


บทที่ 319.2 แค่ออกกระบี่เท่านั้น

ProjectZyphon

ศึกบนฟ้าที่น่าตะลึงพรึงเพริดครั้งนี้


เฉินผิงอันใช้วิธีบังคับกระบี่ของอาจารย์กระบี่


ส่วนกระบวนท่าที่ใช้คือกระบวนท่าหิมะทลายใน ‘คัมภีร์เวทกระบี่ที่แท้จริง’


เขาไม่ยอมปล่อยให้ติงอิงทิ้งระยะห่าง ขณะเดียวก็ไม่ให้ติงอิงขยับเข้ามาใกล้ เข้าหรือออกล้วนอยู่ในระยะสองช่วงแขน


คนทั้งสองอยู่บนอากาศเหนือเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยน ต่อสู้โรมรันกันไม่หยุด ขยับย้ายไปทางทิศใต้ของเมืองเรื่อยๆ


ปราณกระบี่กับพายุหมัดปะทะพุ่งชนกันส่งเสียงดังครืนครั่นเหมือนเสียงหิมะถล่ม ทำให้ชาวบ้านทุกคนที่อยู่ในเมืองหลวงอดเงยหน้าขึ้นมองไม่ได้


คนหนุ่มที่สวมชุดคลุมยาวสีขาวหิมะบังคับกระบี่ยาวที่เป็นเหมือนรุ้งขาวเส้นหนึ่ง ภาพเหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่ชวนตื่นตาตื่นใจนี้คล้ายหิมะใหญ่เท่าขนห่านที่เกล็ดหิมะไม่มีวันร่วงลงมาข้างล่าง


ในบรรดากลุ่มคนที่มองดูอยู่มีฮ่องเต้แคว้นหนันเยวี่ยนที่ถูกห้อมล้อมอารักขาจากกองทหารรักษาพระองค์


มีพ่อครัวชราของตำหนักองค์รัชทายาทที่สวมผ้ากันเปื้อนวิ่งออกมานอกห้องครัว รัชทายาทเว่ยเหยี่ยนและเทพธิดาฝานกว่านเอ่อร์แห่งหอจิ้งซิน


โจวเฝยกับลู่ฝ่างที่ยืนเคียงไหล่กันอยู่นอกร้านเหล้าตรงหัวมุมถนน


สตรีที่ถูกกำหนดมาแล้วว่าไม่อาจเดินไปถึงที่พักของบัณฑิตเจี่ยง นางนั่งพิงอยู่ใต้กำแพงมุมหนึ่งอย่างหมดเรี่ยวแรง เงยหน้ามองภาพเหตุการณ์ที่อยู่เหนือศีรษะ หญิงสาวเต็มไปด้วยความเสียดาย นางหลับตาลงช้าๆ รู้สึกเหนื่อยมากแล้วจริงๆ ต่อให้ได้เปิดประตูของบ้านหลังเล็กเข้าไป ได้พบกับบัณฑิตที่ตัวเองรัก แล้วจะอย่างไรเล่า? จะให้เขาเห็นสภาพที่ทั่วร่างของตนเต็มไปด้วยคราบเลือดอย่างนั้นหรือ? ช่างเถิด ไม่ได้พบหน้ากันเป็นครั้งสุดท้าย ต่อให้เขาฟังคำจากคนอื่นแล้วคิดว่านางเป็นคนชั่วร้าย แต่สุดท้ายนางก็ยังเป็นสตรีที่งดงามในใจเขาได้


ดังนั้นนางจึงเอียงศีรษะ คลี่ยิ้มแล้วหลับไป


ฮองเฮาโจวซูเจินไม่ได้กลับวังหลวง นางแฝงตัวเข้ามาในตำหนักองค์รัชทายาท บนร่างมีกระจกทองแดงเพิ่มขึ้นมาหนึ่งบาน


เฉาฉิงหล่างที่อยู่ในลานบ้านเดียวดายไร้ที่พึ่ง โยนมีดผ่าฟืนทิ้ง นั่งยองกุมหัวร้องไห้โฮ


รอบด้านไม่มีใครอยู่แล้ว เด็กหญิงร่างผอมแห้งหิ้วม้านั่งตัวเล็กเดินเตร็ดเตร่เลี้ยวเข้าไปในตรอกเล็ก เหลียวซ้ายแลขวาอย่างเต็มไปด้วยความสงสัยใคร่รู้


กลางอากาศทางทิศใต้ของแคว้นหนันเยวี่ยน


เฉินผิงอันบังคับกระบี่ได้คล่องแคล่วเชี่ยวชาญมากขึ้นทุกขณะ


คมกระบี่เฉียบคมเกินไป ปราณกระบี่พลุ่งพล่านเกินไป ท่ากระบี่แปลกประหลาดเกินไป


หกสิบปีมานี้ นี่เป็นครั้งแรกที่ติงอิงมีสภาพอเนจอนาถเช่นนี้ เขาได้แต่มุ่งมั่นป้องกันตัวเองอย่างเดียวเท่านั้น


ติงอิงเริ่มหงุดหงิดขึ้นมาบ้างแล้ว ทว่าในชั่วระยะเวลาสั้นๆ นี้เขายังทำอะไรไม่ได้ จึงพยายามสงบจิตสงบใจตัวเอง เขาก็อยากจะเห็นเหมือนกันว่าเจ๋อเซียนหนุ่มผู้นี้จะรักษาขอบเขตไร้ที่ติของตัวเองไว้ได้นานแค่ไหน ขอแค่อีกฝ่ายเผยช่องโหว่ให้เห็น ติงอิงก็จะทำให้เขาเฉินผิงอันบาดเจ็บสาหัส และติงอิงเองก็ไม่ได้อยู่เฉยๆ วิชาหลายแขนงที่ได้เล่าเรียนมาล้วนถูกเขาดึงมาใช้ หนึ่งหมัดที่ต่อยออกไปเอียงๆ ไม่ได้โดนเฉินผิงอันสักนิด ทว่าพายุหมัดกลับระเบิดอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน บ้างก็เป็นตรงหว่างคิ้ว ตรงไหล่ ตรงหน้าอก ยากจะคาดเดาว่าจะปรากฏมุมไหน เกินความคาดคิด นี่ก็คือฉีเหมินตุ้นเจี่ยและวิชาจับยามดอกเหมย (หนึ่งในวิชาทำนาย วิชาพยากรณ์แบบโบราณของจีน) ที่ติงอิงเอามาใช้กับวิชาหมัด การเคลื่อนไหวร่างกายที่แปลกประหลาดของใบหน้ายิ้มเฉียนถัง เมื่อมาเจอกับติงอิงก็เหมือนเรื่องน่าหัวเราะเยาะในสายตาของผู้เชี่ยวชาญ


มือข้างหนึ่งของติงอิงประกบสองนิ้วเข้าด้วยกัน ดีดนิ้วเบาๆ ลมพายุเป็นกลุ่มก็กลายมาเป็นเหมือนกระบี่ยาว


มือข้างหนึ่งทำมุทราร่ายวิชาอภินิหารที่สามารถยกภูเขาย้ายแม่น้ำ ดึงเอาหลังคาบ้านและต้นไม้แถบใหญ่มาจากบนพื้นดินเพื่อต้านทานปราณกระบี่สีขาวหิมะที่ซัดตลบอบอวล


สุดท้ายคนทั้งสองพลิ้วกายลงบนกำแพงสูงแห่งหนึ่งนอกเมืองหลวง


บนทางเดินม้าเส้นนี้ ป้อมสำหรับพลธนูซุ่มยิงหลายแห่งรวมไปถึงผนังหลายแถบล้วนแตกระเบิดกระจัดกระจาย ฝุ่นคลุ้งปลิวว่อนไปทั่วทั้งในและนอกเมือง


ดูเหมือนว่าเมื่อมาถึงสถานที่แห่งนี้แล้ว พันธนาการเล็กน้อยส่วนสุดท้ายได้สูญหายไป เฉินผิงอันถึงได้ปลดปล่อยตัวเองออกมาอย่างเต็มที่


วิชาบังคับกระบี่แทบจะกลายมาเป็นวิชาควบคุมกระบี่


ทางเดินม้าเส้นยาวเหยียดถูกปราณกระบี่ของปราณยาวที่เป็นดั่งสายรุ้งทำลายเสียจนพังพินาศย่อยยับ


บางครั้งที่เกิดจังหวะช่องว่าง ติงอิงที่คิดจะสลัดตัวเองให้หลุดพ้นไปจากที่แห่งนี้ก็จะถูกหนึ่งหมัดของเฉินผิงอันต่อยให้กลับเข้ามาในกรงขังปราณกระบี่


ติงอิงผู้ยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งในใต้หล้า ตลอดระยะเวลาหกสิบปีที่ขึ้นสู่จุดสูงสุดในยุทธภพ นี่เป็นครั้งแรกที่ถูกคนคนหนึ่งซึ่งยึดครองความได้เปรียบไว้ได้อย่างมั่นคงบีบบังคับให้จำต้องเป็นฝ่ายถูกกระทำ ต้องเฝ้าป้องกันอย่างเดียว


แม้ว่าติงอิงจะไม่ได้รับบาดเจ็บ ทว่าชายแขนเสื้อของแขนสองข้างกลับเกิดรอยปริแตกจำนวนนับไม่ถ้วน


เรือนกายของเฉินผิงอันที่คล่องแคล่วปราดเปรียวกำลังเดินก้าวย่างเอื่อยเฉื่อยอยู่บนทางเดินม้าสภาพผุพังในระยะไม่ใกล้ไม่ไกล


ส่วนติงอิงก็เห็นได้ชัดว่าโมโหขึ้นมาจริงๆ แล้ว หลายครั้งที่กระบี่ปราณยาวถูกปลายนิ้วแตะลงบนตัวกระบี่หรือด้ามกระบี่ พายุกระบี่จะแหลกสลาย ตัวกระบี่สั่นสะเทือนไม่หยุด ทว่าปราณกระบี่กลับยังคงเปี่ยมล้นมากพอจะก่อตัวกลายเป็นธารน้ำไหลยาว ความเสียหายเพียงเท่านี้สามารถมองข้ามไปได้โดยตรง เพราะเหมือนทุ่มหินยักษ์กระแทกใส่น้ำแล้วสะเก็ดน้ำกระจายขึ้นมาบนฝั่งเท่านั้น


ความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาในหัวของเฉินผิงอัน เขาขึ้นไปยืนอยู่บนป้อมยิงธนูโดดเดี่ยวเพราะสองป้อมที่ขนาบข้างพังหักไปแล้ว ประกบสองนิ้วเป็นท่ายื่นนิ่งเจี้ยนหลูของวิชาหมัดเขย่าขุนเขา


ปราณยาวที่เดิมทีล้อมพัวพันรอบกายติงอิงอย่างบ้าคลั่งพลันทะยานขึ้นกลางอากาศหลายสิบจั้ง ความเร็วของกระบี่บินที่แต่เดิมก็เร็วสุดขีดอยู่แล้วกลับเร็วกว่าเดิมผิดไปจากหลักการทั่วไป อยู่ดีๆ ก็หายไปจากกลางอากาศ จากนั้นรุ้งขาวที่หอบเอาสายลมและสายฟ้าก็ดิ่งลงมาจากท้องนภา กระบี่ยาวแหวกผ่าหัวกำแพงเมืองของแคว้นหนันเยวี่ยน ก่อนจะทะลุออกมาจากมุมกำแพงที่แตกพัง พริบตาเดียวก็มาลอยหยุดอยู่ข้างกายเฉินผิงอันที่ยืนอยู่บนหัวกำแพง ส่งเสียงหวึ่งๆ อื้ออึง


ฝุ่นสลายหายไป ติงอิงยกมือขึ้น ชายแขนเสื้อของมือข้างขวาฉีกขาดย่อยยับไปหมดแล้ว


เฉินผิงอันยื่นมือทำท่ากุมด้ามกระบี่ไว้หลอกๆ ฝ่ามือสัมผัสเข้ากับด้ามกระบี่ครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็ปล่อยออก


ติงอิงหัวเราะเสียงดัง “หกสิบปีมานี้ เส้นเอ็นและกระดูกไม่เคยได้ยืดเส้นยืดสายขนาดนี้มาก่อนเลย”


เฉินผิงอันถามคำถามในทำนองเดียวกัน “สะใจมากเลยใช่ไหม?”


คราวก่อนติงอิงเพิกเฉยต่อคำถามนี้ได้ แต่คราวนี้เขากลับรู้สึกวางหน้าไม่ถูกสักเท่าไหร่


ติงอิงกระทืบเท้า ร่างพลันพร่าเลือน พอจะมองเห็นได้ว่ามือสองข้างของเขายกขึ้นตั้งเป็นท่าหมัดไม่รู้ชื่อท่าหนึ่ง


แล้วผู้เฒ่ากวานดอกบัวที่เรือนกายพร่าเลือนก็มาปรากฎตัวด้านหลังเฉินผิงอัน นิ้วทั้งสิบของมือสองข้างทำมุทราโบราณของเทพสวรรค์ท่าหนึ่ง


กลางอากาศนอกเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนที่อยู่ทางฝั่งขวามือ ติงอิงบิดหมุนสองมือ ขยำก้อนแสงจ้าบาดตาก้อนหนึ่งอยู่กลางฝ่ามือ


กลางอากาศในขอบเขตของเมืองหลวงที่อยู่ฝั่งซ้ายมือ แขนสองข้างของติงอิงกางออก นิ้วมือทั้งห้างอเป็นตะขอ บนกำแพงเมืองก็ปรากฏเป็นรอยปริร้าวสองเส้นที่ยาวหลายสิบจั้ง


เฉินผิงอันกุมปราณยาวไว้ปลอมๆ ปราณกระบี่อยู่ในท่าหิมะทลายทะลวงขบวนรบ ส่วนกระบี่ยาวในมือนั้นอยู่ในท่าสยบเสินโถวต้านรับศัตรูของคัมภีร์เวทกระบี่ที่แท้จริง


หนึ่งใจแบ่งใช้เป็นสอง


เพียงแค่ครู่เดียว


กำแพงเมืองแถบใหญ่ของเมืองหลวงก็เกิดรูโหว่ใหญ่ยักษ์ยาวห้าจั้ง สูงหกจั้ง


ชั่วขณะนั้นฝุ่นตลบคละคลุ้งมืดฟ้ามัวดิน


ติงอิงยืนอยู่ริมฝั่งหนึ่งของช่องโหว่ แผ่กลิ่นอายลุ่มลึกดุจผืนน้ำ สูงตระหง่านดุจขุนเขาสมกับเป็นปรมาจารย์


ด้านหลังคือเมฆหมอกที่กลิ้งหลุนๆ นี่คือผลลัพธ์จากการที่ติงอิงไม่จงใจพันธนาการลมพายุที่ซัดกระหน่ำรุนแรงในร่างไว้อีกต่อไป เมฆหมอกเหล่านั้นรวมตัวกันไม่จางหาย สุดท้ายก็กลายเป็นเค้าโครงร่างของเทวรูปเมฆหมอก ประหนึ่งทวยเทพเยื้องกรายลงมาเยือนโลกมนุษย์


เฉินผิงอันสีหน้าเป็นปกติดังเดิม เขายืนอยู่อีกฝั่งหนึ่ง ไม่แม้แต่จะชำเลืองตามองภาพปรากฎการณ์ทางธรรมชาติที่ติงอิงสร้างขึ้นมาเลยด้วยซ้ำ


เขาเพียงแค่ใช้มือหนึ่งกำด้ามกระบี่ปราณยาว อีกมือหนึ่งประกบสองนิ้วเข้าด้วยกัน แล้วปาดบนตัวกระบี่จากซ้ายไปขวาเบาๆ


นี่คือวิชากระบี่ที่เฉินผิงอันเรียนรู้มาจากในม้วนภาพวาดแม่น้ำและภูเขาของเหวินเซิ่งซิ่วไฉเฒ่า


ต่อให้จะคล้ายคลึงแค่ส่วนเดียวก็ตาม


กระบี่ปราณยาวที่พยศไม่ยอมถูกกำราบง่ายๆ กลับสั่นสะท้านเบาๆ คล้ายกำลังเกิดการขานรับกับเฉินผิงอัน


ราวกับว่าในที่สุดก็ยอมรับเฉินผิงอัน กำลังพูดกับเฉินผิงอันว่า เจ้ามีคำพูดใดจะเอ่ยกับฟ้าดินแห่งนี้?


ก็จงพูดออกมาตามใจปรารถนา!


ก่อนหน้านี้แม้แต่ด้ามกระบี่ปราณยาวเฉินผิงอันก็กุมไว้ไม่อยู่ เป็นเหตุให้แค่ได้อยู่ใกล้ปราณกระบี่ แต่ไม่อาจถือกระบี่ไว้ในมือได้อย่างแท้จริง


ตอนนี้ต่างหากถึงจะเรียกได้ว่าเขาพกหนึ่งกระบี่มาเยือนโลกมนุษย์แห่งนี้


เฉินผิงอันพลันคว้าจับด้ามกระบี่ นาทีนั้นประกายแสงพร่างพราวงดงามก็ส่องลอดออกมาจากร่องนิ้วมือขวาของเขา


ราวกับดวงจันทร์ที่ลอยขึ้นกลางนภา ส่องสว่างทั่วทั้งฟ้าดินดั่งกระแสน้ำขึ้นที่กรูกันมาจากสี่ด้านแปดทิศ


เดิมทีก็เป็นเวลากลางวันที่ดวงอาทิตย์ส่องแสงเจิดจ้าอยู่แล้ว บัดนี้เมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนกลับยิ่งสว่างเพิ่มขึ้นอีกหลายส่วน


หลังจากกุมด้ามกระบี่ได้แล้ว


ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ก็เหมือนเคียงคู่อยู่ด้วยกัน


เวลานี้ปราณยาวไม่มีฝักกระบี่ ทว่าเฉินผิงอันกลับยังทำท่าชักกระบี่ออกจากฝัก


ติงอิงค้นพบด้วยความตกตะลึงว่าตัวเองไม่สามารถข้ามออกจากรูโหว่นี้ไปได้ แม้จะสะท้านสะเทือน แต่ก็ไม่ถึงขั้นตื่นกลัว พายุที่อยู่ด้านหลังก่อตัวขึ้นกลายเป็นเทวรูปองค์หนึ่งที่สูงสามจั้ง กำลังหลุบตามองมายังหนึ่งคนหนึ่งกระบี่ที่เล็กกะจ้อยร่อยนั้น


ติงอิงรู้ดีว่าตัวเองจะถอยอีกไม่ได้


ทั้งๆ ที่ร่างกายของเขาไม่ขยับ ทว่าแขนสองข้างกลับจำแลงกลายมาเป็นแขนหลายสิบแขนจนคนมองตาลาย บ้างก็ทำมือเป็นท่ามุทราของศาสนาพุทธ ธรรมเทศนามุทรา สมาธิมุทรา มุทราปราบมาร มุทราประทานพร มุทราไร้เกรงกลัว มุทราแต่ละท่าล้วนส่องประกายแสงสีทองอร่าม


บ้างก็เป็นท่ามุทราของลัทธิเต๋า ดรรชนีตรีวิสุทธิ์ ดรรชนีห้าอสนี ดรรชนีพลิกฟ้า ดรรชนีเทียนซือ ทุกท่ามุทราล้วนมีลมพายุพัดโชย มีเสียงสายฟ้าดังอวลอล


และยังมีพายุชายแขนเสื้อของอวี๋เจินอี้ หมัดถล่มทลายของจ้งชิว มีชี้กระบี่ของหอจิ้งซิน หมอเตาของหลิวจง ทวนโค้งของเฉิงหยวนซาน…


ทวยเทพองค์นั้นก็ทำแบบเดียวกัน ไม่ว่าติงอิงจะทำมุทราหรือทำท่าอะไร มันก็ทำเช่นนั้น อีกทั้งยังทรงพลังมากยิ่งกว่า


ตบะและวิถีวรยุทธ์ของติงอิงได้รวบรวมข้อดีของร้อยสำนักใต้หล้าเอาไว้


อวี๋เจินอี้ยืนอยู่บนยอดเขาแห่งมรรคกถาของใต้หล้า ลู่ฝ่างยืนอยู่บนยอดแห่งเวทกระบี่ จ้งชิวยืนอยู่ยอดบนสุดของวิชาหมัด หลิวจงยืนอยู่บนยอดของวิชามีด…


ทว่าจุดที่สูงยิ่งกว่ากลุ่มยอดเขาทั้งหลายนั้น แท้จริงแล้วยังมีติงอิงที่ลอยตัวอยู่กลางอากาศมานานแล้ว เป็นเหตุให้ติงอิงที่อยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัว เป็นดั่งดวงตะวันกลางนภา


อันที่จริงนี่ไม่ค่อยมีเหตุผลเท่าใดนัก


เฉินผิงอันมีเพียงกระบี่เล่มเดียว


แค่ออกกระบี่เท่านั้น


หนึ่งกระบี่ฟาดฟันออกไป


ทวยเทพแหลกสลาย


หมื่นอาคมถูกทำลาย


มองไม่เห็นติงอิง


บทที่ 320.1 เหตุใดถึงไร้เทียมทาน

ProjectZyphon

บนถนนเส้นที่อยู่ในเมือง นับตั้งแต่ที่สองฝ่ายลงมือประหัตประหารกันอย่างน่าครั่นคร้าม


ถึงตอนนี้ศึกใหญ่ก็ยังคงดำเนินต่อ


กระบี่บินแก้วใสแวววาวเล่มหนึ่งเหมือนสิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญา เพียงแค่กระบี่เล่มเดียวก็สามารถโรมรันพัวพันจนหลิวจงคนลับมีดกระดิกตัวไปไหนไม่ได้


มีดเลาะกระดูกที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วใต้หล้าเล่มนั้นของหลิวจง เขาใช้มาชั่วชีวิต ไม่เคยมีความเสียหายใดๆ ศึกในวันนี้มีดของเขายังไม่ทันได้แตะชายอาภรณ์ของอวี๋เจินอี้ก็ถูกกระบี่บินฟันจนบิ่นหักไปหลายจุดแล้ว


หลิวจงไม่มีเวลามามัวเสียดาย


เพราะหากเสียสมาธิเมื่อไหร่ก็ตายเมื่อนั้น


กระบี่บินคมกริบ รวดเร็วสุดขีด พายุลมกรดอัดแน่นอยู่เต็มในรัศมีหลายสิบจั้ง เมื่อหลิวจงตกอยู่ท่ามกลางลมพายุนี้ จะทำอะไรย่อมติดขัดอย่างเลี่ยงไม่ได้


ไม่เสียแรงที่อวี๋เจินอี้เจ้าประมุขพรรคหูซานเป็นเทพเซียนที่แท้จริง


ประมือกับเขาอย่างน้อยต้องมีหลิวจงคนลับมีดสองคน


ซึ่งหลิวจงอยู่อันดับห้าของใต้หล้า


และเท่าที่มองตามหางตาของหลิวจงไป ก็มีความเป็นไปได้มากว่าต้องมีราชครูจ้งชิวสองคน


อวี๋เจินอี้พลิ้วกายลงมาบนพื้นแล้ว เขายืนเอามือไพล่หลังอยู่อย่างนั้น ปล่อยให้จ้งชิวต่อยใส่หมัดแล้วหมัดเล่า ทว่ากลับไม่มีหมัดไหนที่สามารถทำลายพายุลมกรดที่มองไม่เห็นของเขาได้ มีแค่ไม่กี่หมัดที่ขาดอีกแค่ชุ่นกว่าก็สามารถสัมผัสโดนใบหน้าของอวี๋เจินอี้ ทำให้ขนคิ้วของเขาพลิ้วไหวเล็กน้อย จอนผมสะบัดปลิว แต่ก็แค่นี้เท่านั้น


จ้งชิวออกหมัดไม่หยุด แต่ก็ต้องกลับมามือเปล่าทุกครั้ง ทว่าสีหน้าของเขาก็ยังเป็นปกติ ดวงตาเป็นประกายเจิดจ้า ไม่มีท่าทางห่อเหี่ยวหมดอาลัยตายอยากแม้แต่น้อย ยังคงเป็นราชครูจ้งชิวคนนั้น


แต่ยิ่งเป็นเช่นนี้ก็ยิ่งทำให้คนเจ็บปวดใจ


ราวกับว่าเรื่องทางโลกไม่ควรเป็นเช่นนี้ ง่ายนักที่จะทำให้คนเกิดความคลั่งแค้นและโทสะอัดอั้น


จ้งชิวเอาแต่ออกหมัด


อวี๋เจินอี้กลับเดินไปข้างหน้าเหมือนเดินกินลมชมทิวทัศน์ อย่างมากสุดก็แค่เดินอ้อมสนามรบระหว่างหลิวจงและกระบี่บินเท่านั้น เขาเดินผ่านร้านรวงต่างๆ ที่ตั้งอยู่ริมถนน แหงนหน้ามองกรอบป้ายหน้าร้าน มองกลอนคู่วันปีใหม่ที่ผ่านลมผ่านฝนของปีนี้มาแล้ว


อวี๋เจินอี้ถามด้วยรอยยิ้ม “รู้สึกเสียใจที่ปีนั้นไม่ยอมรับกระบี่เซียนเล่มนั้นแล้วใช่ไหม?”


“เส้นทางที่เจ้าเลือกเดินเหมาะแค่ให้คนบนโลกเดินเท่านั้น ขึ้นเขา เจ้าก็ขึ้นไปไม่ถึงจุดที่สูงที่สุด ต่อให้จะมอบเวลาให้เจ้าอีกสามสิบปี เมื่อเดินไปถึงยอดบนสุดของภูเขาแล้วก็ไม่มีทางให้เจ้าเดินอีก ถึงเวลานั้นเจ้ามีแต่จะยิ่งเสียใจภายหลังมากขึ้น”


“จ้งชิว จากเล็กจนโต เจ้าเอาแต่สนใจเรื่องที่คนในโลกไม่สนใจ ในสายตาของข้าแล้ว นี่ไม่ได้เรียกว่านกกระเรียนในฝูงไก่ นี่เรียกว่าโง่”


จ้งชิวไม่พูดอะไรสักคำ


ภาพเหตุการณ์นี้ประหลาดอย่างยิ่ง อวี๋เจินอี้ที่รับหมัดอย่างต่อเนื่องเดินเลี้ยวมาถึงถนนที่กว้างขวางเส้นหนึ่งแล้ว หากเดินไปข้างหน้าอีก สุดปลายทางก็คือวังหลวงของแคว้นหนันเยวี่ยน และยังมีตำหนักใหญ่ที่โอ่อ่ายิ่งกว่าวังหลวงของแคว้นซงไล่ บนสันหลังคาแปดเส้นล้วนมีรูปปั้นเซียนและสัตว์ลักษณะประหลาดสิบตัว ตามหลังเซียนขี่หงส์ที่เป็นผู้นำก็เป็นสัตว์ที่เรียงลำดับกันได้แก่มังกร หงส์ สิงโต ม้าสวรรค์ ม้าทะเล ซวนหนี (บุตรคนที่ห้าของมังกร ลักษณะคล้ายราชสีห์ มีนิสัยรักความสงบ ชอบควันและชอบนั่ง)  หยาหยู (ปลาวิเศษ อยู่ใต้ท้องทะเลลึก ทำให้เมฆกลายเป็นฝน คอยดับไฟยามเกิดเพลิงไหม้ เป็นสัญลักษณ์ป้องกันอัคคีภัย) เซี่ยจื้อ (เป็นสัตว์ตระกูลเดียวพญาสิงห์ มีความสามารถพิเศษ คือเมื่อฟังคนพูดแล้ว สามารถแยกแยะได้ว่าคนนั้นพูดจริงเท็จประการใด เป็นสัญลักษณ์ของความยุติธรรม) โต้วหนิว (ตามตำนานจีนเป็นมังกรไม่มีเขาประเภทหนึ่ง  ทำให้เกิดฟ้าครึ้มและเมฆหมอก  เป็นสัญลักษณ์ของการกันอัคคีภัยเช่นเดียวกับหยาหยู) และหางสือ (เหมือนลิง แต่มีปีก มือถือกระบอง สามารถหยุดปีศาจต่างๆ ได้ นอกจากนี้หน้าตายังเหมือนกับเทพแห่งสายฟ้า การประดับไว้บนหลังคาสามารถกันฟ้าผ่าได้)


ในบรรดารูปปั้นเหล่านี้ บางรูปจักรพรรดิ เสนาบดีและแม่ทัพที่มีอำนาจอยู่ในมือสามารถได้เห็นของจริง แต่บางอย่างพวกเขาก็ไม่เคยเห็น


อวี๋เจินอี้ยื่นนิ้วชี้ไปข้างหน้า “จำได้ว่าตอนที่พวกเรายังเด็ก เจ้าเคยอ่านคำบรรยายเกี่ยวกับสิบสัตว์ที่อยู่บนหลังคาแล้วสงสัยใคร่รู้อย่างมาก บอกว่าวันหน้าจะต้องได้มาเห็นพวกมันกับตาของตัวเอง ดังนั้นภายหลังเจ้าจึงอาศัยอยู่นอกวังหลวงมาหลายสิบปี ยังมองไม่พออีกหรือ?”


ในที่สุดจ้งชิวก็เปิดปากพูด “อวี๋เจินอี้ อย่าคิดว่าตัวเองร้ายกาจนักเลย ฝึกตนเป็นเซียนก็ไม่เห็นว่าตัวเองเป็นคนแล้วอย่างนั้นรึ มองอะไรก็ใช้ตาที่สูงกว่าหลุบมองลงมา คิดถึงคนหรือเรื่องราวอะไรก็ล้วนพยายามหวนนึกถึงความทรงจำ เจ้าต้องหัดมองดูการพบพรากและความสุขความทุกข์ของบนโลกในทุกวันนี้ให้มาก…แน่นอนว่าเรื่องพวกนี้เจ้าคงฟังไม่เข้าหูอีกแล้ว”


อวี๋เจินอี้พยักหน้ารับ “นี่เป็นความคิดสามัญทั่วไป อยู่ตำแหน่งไหนก็พิจารณาถึงเรื่องของในตำแหน่งนั้น การฝึกตนก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน จ้งชิว หาใช่เพราะเหตุผลของเจ้าไม่ถูกต้อง แค่เพราะเหตุนี้ยังไม่สูงมากพอ นั่นก็เพราะเจ้ายืนอยู่ต่ำเกินไป”


ดวงตาของจ้งชิวมีประกายของความเสียใจพุ่งผ่าน


เขาหยุดการออกหมัด มองไปทางวังหลวง


อวี๋เจินอี้เองก็หยุดเดิน ถามยิ้มๆ ว่า “หมัดเบาหวิวขนาดนี้ จ้งชิว หรือว่าเจ้าไม่ได้กินข้าวมาหลายวันแล้ว? ไม่อย่างนั้นให้ข้ารอเจ้าอยู่ที่นี่อีกสักครึ่งชั่วยาม รอให้เจ้ากินอิ่มแล้วค่อยกลับมาสู้กันใหม่ดีไหม?”


จ้งชิวสบถด่าหยาบคายอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน “ข้าผู้อาวุโสจะต่อยให้เจ้าขี้แตกด้วยหมัดเดียว!”


จ้งชิวยังคงเป็นจ้งชิวคนนั้น ต่อให้อ่านหนังสือมามากเท่าไหร่ เมื่อถูกบีบให้โมโหเข้าจริงๆ ก็ยังคงเป็นเด็กบ้านนอกจากอำเภอจิวหลันเขตการปกครองจัวแคว้นซงไล่อยู่ดีไม่ใช่หรือ?


อวี๋เจินอี้ตบท้องหัวเราะฮ่าๆ “อ่านหนังสือสวรรค์ เล่าเรียนวิชาเทพเซียน เดินบนสะพานแห่งความเป็นอมตะ ฝึกวิชาขั้นสูงสุด หลังจากปิดด่านก็หลีกเลี่ยงธัญพืชทั้งห้ามาหลายปี (ปี้กู่ การฝึกอย่างหนึ่งของนักพรตเต๋า นั่นคือการไม่กินธัญพืชทั้งห้าอันได้แก่ข้าว ข้าวโพด ข้าวฟ่าง ข้าวสาลีและถั่ว) จะให้มีขี้เยี่ยวออกมาคงไม่ได้จริงๆ”


จ้งชิวถอนหายใจ “อันที่จริงเจ้ากำลังรอคอยให้รู้ผลแพ้ชนะของศึกนั้นสินะ?”


อวี๋เจินอี้พยักหน้ารับ “เจ้ามองความจริงออกแล้วอย่างไร ถึงอย่างไรเจ้าก็ทำลายพายุลมกรดของข้าไม่ได้อยู่ดี”


จากนั้นเขาก็ส่ายหน้า “ไม่ได้เรียกว่ารู้ผลแพ้ชนะหรอก ต้องเรียกว่ารอให้คนหนุ่มที่ชื่อเฉินผิงอันผู้นั้นตายต่างหาก”


จ้งชิวพลันหันหน้ากลับมา ก้มหน้าลงมองอดีตเพื่อนรักที่อยู่ในลักษณะของเด็กน้อยแล้วยิ้มประหลาด


อวี๋เจินอี้เงยหน้า ถามว่า “อะไร?”


จ้งชิวตอบ “ยังจำปีนั้นที่นอกกำแพงของที่ว่าการนายอำเภอหม่าได้หรือไม่?”


อวี๋เจินอี้คิดแล้วก็ทำสีหน้ากระจ่างแจ้ง “หากเจ้าไม่พูดถึง ข้าก็ลืมไปแล้วจริงๆ”


ปีนั้นตอนที่อยู่ในอำเภอจิวหลันบ้านเกิด อวี๋เจินอี้คือบุตรชายของข้าหลวงตำแหน่งเล็กๆ ที่ไม่มีระดับขั้นในราชสำนัก ส่วนครอบครัวของจ้งชิวก็ยิ่งเทียบไม่ติด ทว่าคนทั้งสองกลับเป็นเพื่อนรักกันมาตั้งแต่เด็ก อวี๋เจินอี้ฝักใฝ่ในยุทธภพ แต่จ้งชิวกลับชื่นชอบบัณฑิต ทว่าลึกๆ แล้วกลับไม่ใช่คนที่สงบเสงี่ยมเรียบร้อยอะไร ตอนหนุ่มเลือดลมพลุ่งพล่าน จ้งชิวหลงรักคุณหนูของนายอำเภอหม่า อวี๋เจินอี้จึงช่วยเขาออกความคิดดีๆ มากมาย เดิมทีหญิงสาวคนนั้นก็ไม่ได้ชอบจ้งชิว ภายหลังจึงยิ่งห่างเหินและยิ่งรังเกียจจ้งชิว มีครั้งหนึ่งดื่มเหล้าจนเมามายถึงกลางดึก คนทั้งสองจึงพากันไปฉี่รดกำแพงของเรือนด้านหลังที่ว่าการอำเภอ นึกไม่ถึงว่าหญิงสาวคนนั้นจะลอบออกจากบ้านพร้อมกับสาวใช้เพราะนัดพบกับบัณฑิตต่างถิ่นพอดี ผลกลับกลายเป็นว่าพอเปิดประตูบ้านออก หญิงสาวทั้งสองก็มาเจอภาพเหตุการณ์นั้นเข้าอย่างจัง


คุณหนูบุตรสาวนายอำเภอเป็นคนหน้าบาง ทว่าสาวใช้กลับมีนิสัยดุดัน นางถึงขั้นชำเลืองมองมาที่กางเกงของอวี๋เจินอี้และจ้งชิว ก่อนจะกล่าวด้วยสีหน้ารังเกียจว่า “ไส้เดือนน้อยสองตัว ดึกดื่นป่านนี้ออกมาร่อนหาอะไร?”


หลังจากนั้นจ้งชิวกับอวี๋เจินอี้ก็ไม่มีหน้าไปใกล้ที่ว่าการอำเภออีก


อวี๋เจินอี้ที่ได้รับคำเตือนจากจ้งชิวจึงนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาได้ แต่เขาก็ไม่ได้รู้สึกว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจอะไร


เพียงแต่เหตุใดจ้งชิวถึงต้องพูดถึงเรื่องนี้ หรือว่ายังมีความหมายที่ลึกล้ำซ่อนอยู่?


จ้งชิวยิ้มบางๆ “เทพเซียนผู้เฒ่าอวี๋ วันนี้เจ้าเทียบกับไส้เดือนน้อยไม่ได้เลยด้วยซ้ำ”


อวี๋เจินอี้หน้าไม่เปลี่ยนสี ทว่าสายตากลับเย็นเยียบ “ราชครูจ้ง การคุยเรื่องเก่าในอดีตจบลงแล้ว พวกเรามาประมือกันได้แล้วกระมัง?”


จ้งชิวส่งยิ้มให้แทนคำตอบ


อวี๋เจินอี้หัวเราะเสียงเย็น “ไม่สู้พวกเรามาลองเดิมพันกันดูก่อน หากหลิวจงไม่ตาย เขาจะเป็นฝ่ายอ้อนวอนขอความตายเหมือนเจ้าหรือไม่?”


จ้งชิวพยักหน้ารับ “ตกลง ถ้าอย่างนั้นข้าเดิมพันว่าเขาไม่มีทางจากไปเพียงลำพัง”


อวี๋เจินอี้จึงเตรียมจะยกมือเรียกกระบี่เซียนแก้วเล่มนั้นเข้ามาไว้ในมือ แต่ไม่นานเขาก็วางมือลง ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ข้าจะไม่มอบโอกาสรอดชีวิตนี้ให้แก่หลิวจง”


จ้งชิวไม่เอ่ยอะไรอีก


คนทั้งสองยืนเคียงไหล่กัน


ทว่ามีเพียงแค่ราชครูจ้งแห่งแคว้นหนันเยวี่ยนและอวี๋เจินอี้แห่งแคว้นซงไล่แล้ว


อวี๋เจินอี้พลันเอ่ยขึ้นว่า “เจ้าผิดแล้ว พลังการสังหารของข้าไม่ได้อยู่บนกระบี่เล่มนั้น เพียงแต่ว่าก่อนหน้านี้รู้สึกว่าเจ้าจ้งชิวยังพอจะมีทางเยียวยา จึงจงใจยอมอ่อนข้อให้เจ้า ก็เหมือนกับปีนั้น ตั้งแต่เล็กจนโต ไม่ว่าอะไรข้าก็ยอมให้เจ้า แถมยังคอยใส่ใจความรู้สึกของเจ้า”


แต่จ้งชิวกลับเอ่ยด้วยประโยคประหลาดที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกันเลย เขาหันหน้าไปทางกำแพงเมืองฝั่งใต้ เอ่ยเสียงเบาว่า “อวี๋เจินอี้ ตำแหน่งของเจ้าน่ากระอักกระอ่วนที่สุด ทั้งไม่ใช่ดวงอาทิตย์ที่ร้อนแรง และไม่ใช่ดวงจันทร์ใสกระจ่าง หากใต้หล้านี้ขาดเจ้าไป กลับกลายเป็นว่าจะยิ่งสมบูรณ์แบบ”


……


เด็กหญิงร่างผอมแห้งหิ้วม้านั่งตัวเล็กเดินเข้าไปยังบ้านหลังเดียวในตรอกที่ไม่ปิดประตูหน้าบ้าน มองเห็นเฉาฉิงหล่างที่กุมหัวร้องไห้โฮ


นางเคาะประตูแล้วเดินข้ามธรณีประตูเข้าไป แสร้งทำเป็นถามว่า “นี่ๆๆ มีคนอยู่ไหม? หากไม่มีข้าจะเข้าไปล่ะนะ”


รอจนเฉาฉิงหล่างเงยหน้าที่เต็มไปด้วยความระแวงขึ้นมา นางถึงได้โยนม้านั่งตัวเล็กลงบนพื้น เหลียวซ้ายแลขวา กล่าวอย่างไม่อินังขังขอบ “นี่คือบ้านของเจ้าใช่ไหม? ข้าเอาของมาคืนน่ะ”


เฉาฉิงหล่างคว้ามีดผ่าฟืนบนพื้นขึ้นมาถือไว้เบื้องหน้าเพื่อป้องกันตัว “เจ้าเป็นใคร?!”


นางยังคงกวาดตามองไม่หยุด แต่ปากก็พูดเสียงขุ่นว่า “ข้าเป็นพวกเดียวกับคนมีเงินที่สวมชุดขาวผู้นั้น ไม่ใช่พวกเดียวกับคนที่สวมหมวกดอกไม้บนศีรษะ”


นางมองไปทางห้องที่อยู่ด้านข้าง แล้วหันหน้ามาพูดกับเฉาฉิงหล่าง “ก่อนหน้านี้ข้าเห็นคู่สุนัขชายหญิงหิ้วศีรษะคนสี่คนออกมาโยนไว้นอกถนน ศีรษะพวกนั้นกลิ้งหลุนๆ เลือดนองเต็มพื้น ข้าหวังดีเลยช่วยเก็บศีรษะพวกนั้นมารวมไว้ด้วยกัน พวกเขาเป็นอะไรกับเจ้าหรือเปล่า? เจ้ายังไม่รีบไปดูอีกหรือ?”


น้ำตาทะลักทลายออกมาจากดวงตาของเฉาฉิงหล่าง เขารีบวิ่งออกไปนอกบ้านทันที


นางพลันขวางเขาไว้ ถลึงตาใส่อย่างขุ่นเคือง “หยุดนะ!”


เฉาฉิงหล่างมีสีหน้างงงัน


นางถาม “เจ้าจะไม่ขอบคุณข้าเลยรึ?”


เฉาฉิงหล่างอึ้งตะลึง ขยับปากจะพูดแต่ก็ไม่พูด สุดท้ายวิ่งออกไปน้ำตาอาบหน้า


นางไม่กล้าขวางคนที่ถือมีดผ่าฟืนไว้ในมือหรอก จึงทำเพียงแค่เบ้ปาก เปิดทางให้ พึมพำเบาๆ “สุนัขใจดำ สมควรแล้วที่ต้องกลายเป็นเด็กกำพร้า”


นางผลักประตูห้องที่เป็นที่พักของเฉินผิงอันให้เปิดออก


ผ้าห่มบนเตียงพับวางไว้อย่างเป็นระเบียบ หนังสือบนโต๊ะก็วางเรียงอย่างเป็นระเบียบเช่นกัน


ทั้งห้องสะอาดสะอ้าน


บนโต๊ะยังมีฝักกระบี่เปล่าอยู่อีกหนึ่งฝัก


หาของกินไม่เจอ แล้วก็ไม่เจอเหรียญทองแดงหรือเศษเม็ดเงิน


ทำเอานางโมโหจึงเดินไปหน้าโต๊ะแล้วผลักหนังสือที่กองกันไว้บนโต๊ะให้ร่วงระเนระนาดอยู่บนพื้น


จู่ๆ ดวงตานางก็เป็นประกาย หนังสือก็เอามาขายเป็นเงินได้นี่นา จากนั้นนางก็จ้องไปที่ฝักกระบี่แล้วถอนหายใจ ช่างเถิด หากแอบเอาหนังสือไปขาย คนชุดขาวผู้นั้นคงไม่ทำอะไรตน แต่หากเอาฝักกระบี่ไปขาย เขาน่าจะต้องจัดการกับตนอย่างโหดเหี้ยม ถึงเวลานั้นต่อให้ตนอายุน้อยก็คงไม่มีประโยชน์


นางหอบหนังสือเหล่านั้นมาแล้ววิ่งหนีออกไปข้างนอก


นางตัดสินใจไว้แล้วว่าหลังจากได้เงินเหรียญทองแดงมากำใหญ่ จะรีบเอาไปใช้ให้หมด มีเพียงเปลี่ยนพวกมันเป็นอาหารลงท้องเท่านั้น เขาถึงจะเอากลับคืนไปไม่ได้!


บทที่ 320.2 เหตุใดถึงไร้เทียมทาน

ProjectZyphon

โจวเฝยหิ้วไหล่ของโจวซื่อและยาเอ๋อร์กลับมาหาลู่ฝ่างใหม่อีกครั้ง ยังคงมาดื่มเหล้าที่ร้านเหล้าข้างทาง ไม่เพียงแต่ร้านเหล้าตรงมุมถนนไม่เหลือผู้คน ตลอดทั้งถนนสายใหญ่ก็ว่างเปล่า น่าจะเป็นเพราะทางราชสำนักของแคว้นหนันเยวี่ยนออกคำสั่งมานานแล้วว่า หากมีปรมาจารย์ต่อสู้กันก็จะป้องกันร้านรวงทุกแห่งอย่างเข้มงวด ส่วนกฎระเบียบอย่างละเอียดให้อิงตามการห้ามเข้าออกเคหะสถานยามวิกาลในประวัติศาสตร์ ซึ่งนี่ต้องเป็นฝีมือของราชครูจ้งชิวอย่างแน่นอน


สตรีแต่งงานแล้วหน้าตางดงามที่มาจากสำนักเดียวกับลู่ฝ่างนอนตัวอ่อนฟุบคว่ำอยู่บนโต๊ะเหล้า


ศีรษะของใบหน้ายิ้มเฉียนถังและกระบี่ต้าชุนต่างก็วางไว้บนโต๊ะอีกตัวที่อยู่ข้างกัน


โจวเฝยคลายมือปล่อยคนทั้งสองแล้วเดินก้าวยาวๆ เข้าไปในร้าน หลังจากที่นั่งลงเรียบร้อยก็คลี่ยิ้มพูดอย่างฉุนๆ ว่า “เจ้ามอมนางให้เมาอยู่ฝ่ายเดียวสินะ?”


ลู่ฝ่างรินเหล้าให้เขาหนึ่งถ้วย “แล้วจะให้ทำยังไงล่ะ?”


โจวเฝยมองประเมินลู่ฝ่าง “นับว่าไม่ทำให้ข้าเหนื่อยยากเปลืองแรงเปล่า ยังพอจะได้เรื่องได้ราวอยู่บ้าง”


เมื่อเทียบกับท่าทางห่อเหี่ยวหดหู่เหมือนเมื่อครั้งที่ได้พบกันก่อนหน้านี้ คราวนี้ลู่ฝ่างคืนสติกลับมาแล้ว อีกทั้งจิงชี่เสินเป็นเส้นๆ ยังมารวมตัวกันจนเหมือนสิ่งที่จับต้องได้จริง เพียงแค่ว่ายังไม่ได้ขมวดรวมให้เป็นปมเท่านั้น แต่แค่นี้ก็มากพอให้ลู่ฝ่างมีชีวิตอยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัวไปอีกหกสิบปี ไม่แน่ว่าอาจจะยังมีโอกาสพากายหยาบบินทะยาน นั่นก็ถือได้ว่าโชคร้ายมาพร้อมกับโชคดีแล้ว


ความเร็วในการไหลรินของแม่น้ำแห่งกาลเวลาในพื้นที่มงคลดอกบัวและในใต้หล้าไพศาลสองแห่งนี้เป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก เพราะยังคงต้องดูที่อารมณ์ของคนผู้นั้น


หากคนผู้นั้นรู้สึกว่าดูมาจนพอใจแล้ว กาลเวลาหกสิบปีในพื้นที่มงคลดอกบัวก็อาจจะเท่ากับแค่ห้าหกปีในใต้หล้าไพศาล แต่หากเขารู้สึกว่าน่าเบื่อหน่าย ก็อาจจะต้องซวยไปด้วย ครั้งที่หลอกต้มคนจนเปื่อยมากที่สุดในประวัติศาสตร์ก็คือ หลังจากที่คนในพื้นที่มงคลผ่านความลำบากยากเข็ญมานับพันนับหมื่นประการกว่าจะได้บินทะยาน พอกลับคืนไปยังใต้หล้าไพศาลกลับค้นพบว่าเวลาผ่านไปสามร้อยปีแล้ว เกือบทำให้จิตแห่งเต๋าของคนผู้นั้นเสียการควบคุม


ถึงอย่างไรต่อให้เป็นผู้ฝึกตน เวลาสามร้อยปีก็ยาวนานมากพอจะทำให้ผู้คนเปลี่ยนแปลงไปแล้ว คนที่อยากพบเจอก็อาจจะไม่อยู่บนโลกนานแล้ว คนที่อยากจะฆ่าก็อาจจะได้เสพสุขกับความหรูหรามั่งคั่งอย่างเต็มที่และตายไปแล้ว


โจวซื่อกับยาเอ๋อร์เลือกนั่งลงข้างโต๊ะตัวหนึ่ง ต่างคนต่างมีความคิดเป็นของตัวเอง หนุ่มปักบุปผาไปค้นเหล้ากิ่งไผ่ที่ผลิตเฉพาะในแคว้นหนันเยวี่ยนมาหนึ่งไห หลังจากรอดตายมาได้ก็ควรจะจิบเหล้าร่วมกับสตรีในดวงใจสักครั้ง ส่วนสัญญาหกสิบปีที่บอกว่าจะขึ้นมาเป็นสิบอันดับแรกหรือถึงขั้นสามอันดับแรกของใต้หล้านั้น ถึงอย่างไรโจวซื่อก็เป็นบุตรชายของโจวเฝย บวกกับที่เดิมทีตำหนักคลื่นวสันต์ก็อยู่บนยอดเขาของพื้นที่มงคลดอกบัวอยู่แล้ว โจวซื่อย่อมไม่ขาดสติปัญญาในเรื่องนี้ เขามั่นใจว่าหากได้พบกับนางในอีกหกสิบปีให้หลังจะต้องสามารถจับมือกันเดินทางไปยังบ้านเกิดของบิดาได้แน่นอน


ยาเอ๋อร์คิดอย่างไร โจวซื่อเดาไม่ออก แต่ก็ไม่อยากคิดให้มากความ เพราะโจวซื่อเชื่อมั่นในฝีมือและรากฐานของบิดาอย่างถึงที่สุด โดยเฉพาะหลังจากที่ได้บินทะยานไปแล้ว นั่นก็เหมือนเจียวหลงกลับคืนสู่น้ำ พยัคฆ์กลับคืนสู่ขุนเขา ต้องรู้ว่าพื้นที่มงคลดอกบัวก็เป็นแค่พื้นที่มงคลระดับกลางเท่านั้น แต่พื้นที่มงคลถ้ำเมฆาของสกุลเจียงสำนักกุยหยกที่โจวเฝย ‘บิดา’ ของตนได้ครอบครองกลับเป็นพื้นที่มงคลขนาดใหญ่อันดับหนึ่งในใต้หล้า


ความสามารถในการขัดเกลา สั่งสอนและปราบพยศจิตใจสตรีของโจวเฝย โจวซื่อไม่เคยเรียนรู้มาได้ โจวเฝยเคยพูดด้วยรอยยิ้มว่า นั่นเรียกว่า ‘กายลวงใจจริง’ คือวิชาอภินิหารอย่างหนึ่งของตระกูลเซียน เจ้าโจวซื่อเรียนรู้ได้แค่ผิวเผินก็ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่นี่มากพอจะให้เจ้าห้อตะบึงไปตามพุ่มบุปผาใต้หล้านี้แล้ว


ลู่ฝ่างเอ่ยถาม “ทางด้านนั้นเป็นอย่างไรบ้าง?”


โจวเฝยยกถ้วยเหล้าขึ้นชนกับสหายรักผู้นี้หนึ่งที จิบเหล้าหนึ่งอึก รสชาติห่วยแตกยิ่งนักจึงรีบวางลงแล้วเอ่ยอธิบายว่า “วุ่นวายมากเลยล่ะ เฝิงชิงป๋ายถูกสหายรักอย่างถังเถี่ยอี้สังหาร เฉิงหยวนซานยังไม่ทันได้ผายลมก็เผ่นหนีไปแล้ว จ้งชิวเล่นลูกไม้ ไม่ได้ต่อสู้เอาเป็นเอาตายกับเฉินผิงอัน หลังจากรู้ว่าวิชาหมัดของใครสูงของใครต่ำแล้ว กลับเหมือนว่าประลองฝีมือเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้กันมากกว่า เขาช่วยเสริมสร้างขอบเขตของเฉินผิงอันให้มั่นคง เพราะวิถีวรยุทธ์ของไอ้หมอนั่นค่อนข้างจะแปลกประหลาด ขาดอีกนิดเดียวก็สามารถฝ่าทะลุคอขวดขอบเขตหกได้ในรวดเดียว จ้งชิวมองสายสนกลในออกจึงค่อยๆ ต่อยให้ขอบเขตวิถีวรยุทธ์ของเฉินผิงอันกลับไปที่ขอบเขตห้าช้าๆ และระหว่างที่ประมือกัน จ้งชิวก็อาศัยกระบวนท่าหมัดของเฉินผิงอันมาพิสูจน์ความคิดในการเรียนวรยุทธ์บางอย่างด้วย หากคนผู้นี้สามารถเดินออกไปจากพื้นที่มงคลดอกบัวได้ ในอนาคตการเลื่อนเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเก้าก็คือเรื่องที่แน่นอนแล้ว”


โจวเฝยยกถ้วยเหล้าขึ้นมาตามจิตใต้สำนึก แต่พอนึกถึงรสชาตินั้นก็ถอนหายใจอย่างเศร้าใจ ได้แต่บีบจมูกแล้วกรอกเข้าปากหนึ่งคำ “จากนั้นติงอิงและอวี๋เจินอี้ก็ปรากฏตัว คนหนึ่งมาดักเฉินผิงอัน อีกคนหนึ่งขวางจ้งชิวเอาไว้ ข้าว่าสองศึกนี้ต่างหากที่อันตรายมากที่สุด ย่อมต้องต่อสู้จนรู้เป็นรู้ตายแน่นอน”


ลู่ฝ่างยื่นนิ้วชี้ไปที่หนุ่มปักบุปผาและยาเอ๋อร์ที่นั่งอยู่นโต๊ะด้านหลัง “หม่าเซวียนจินกังชมพูและสตรีอุ้มผีผา รวมไปถึง…ใบหน้ายิ้ม อันที่จริงเฉินผิงอันไม่ได้คิดจะฆ่าพวกเขา แต่เด็กสองคนนี้ เชื่อว่าหากไอ้หมอนั่นมีโอกาสต้องฆ่าทิ้งแน่นอน เหอะ นิสัยเช่นนี้กลับเหมือนจอมยุทธ์พเนจรผู้มีจิตใจดีงามยิ่งกว่าเฝิงชิงป๋ายเสียอีก”


“ไม่พูดถึงเจ้าและถงชิงชิง บุคคลที่อยู่ในใต้หล้าแห่งนี้ คนที่สามารถเข้าตาข้าได้มีเพียงติงอิงและอวี๋เจินอี้เท่านั้น คนอื่นๆ ก็มีดีแค่นั้น ต่อให้เป็นจ้งชิว ต่อให้เขาได้เป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเก้าในอีกสี่สิบห้าสิบปีให้หลัง แล้วจะอย่างไร?”


โจวเฝยโบกมือ “ข้าไม่สนใจเรื่องพวกนี้หรอก ครั้งนี้มานั่งอยู่ที่นี่ก็เพื่อรอให้เสียงกลองครั้งที่สองดังขึ้นบนภูเขาหนิวกู่ ข้าจะพาแค่ยาเอ๋อร์ที่อยู่ด้านหลังเจ้าและพวกผู้หญิงไป ดังนั้นอีกหกสิบปีให้หลัง คงต้องฝากให้เจ้าช่วยดูแลโจวซื่อที่ไม่เอาไหนด้วย”


ลู่ฝ่างพยักหน้าตอบรับ ก่อนจะถามด้วยความประหลาดใจ “เจ้าไม่คิดจะชักชวนอวี๋เจินอี้บ้างหรือ? ได้รับผลประโยชน์เพราะเป็นคนใกล้ชิดไปอีกหกสิบปี ถึงอย่างไรก็ถือว่าได้รับโอกาสมากกว่าสำนักใบถง อีกอย่างตามคำบอกของเจ้า อันดับของเจ้าอยู่ล่างสุด สามารถพาคนไปได้แค่คนเดียว นั่นก็คือยาเอ๋อร์แห่งลัทธิมารผู้นี้ อวี๋เจินอี้กลับสามารถพาคนไปได้อย่างน้อยสามคน เว่ยเซี่ยน หลูป๋ายเซี่ยง สุยโย่วเปียน จู่เหลี่ยน มีคนใดบ้างที่ไม่ใช่พวกตัวประหลาดที่พรสวรรค์เลิศล้ำ ถ้ำสวรรค์หลีจูของแจกันสมบัติทวีปมีตัวอ่อนที่เหมาะสมแก่การฝึกตนผุดขึ้นไม่ขาดสาย พื้นที่มงคลดอกบัวแห่งนี้ก็มีคนเก่งด้านวิถีวรยุทธ์มากมาย เจ้าดึงอวี๋เจินอี้มาเป็นพวกได้ก็เท่ากับว่าสกุลเจียงจะมีผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างจ้งชิวเพิ่มขึ้นมาอีกสามคน”


โจวเฝยยื่นนิ้วชี้หน้าลู่ฝ่าง “ถือว่ามโนธรรมในใจเจ้าไม่ถูกสุนัขกินไปหมด ยังรู้จักคิดพิจารณาเพื่อข้าบ้าง”


ยาเอ๋อร์เปิดปากพูดเป็นครั้งแรก นางถามอย่างขลาดกลัวว่า “เจ้าตำหนักโจว เซียนกระบี่ลู่ ถงชิงชิงคือใครกันแน่?”


โจวเฝยและลู่ฝ่างต่างก็แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน


เพราะยาเอ๋อร์ไม่รู้ถึงน้ำหนักของเจ้าประมุขสกุลเจียงสำนักกุยหยก เจ้าของพื้นที่มงคลถ้ำเมฆา และเซียนกระบี่คนหนึ่งที่อาจเลื่อนสู่ขอบเขตสิบเอ็ดเลยสักนิด


 หากยาเอ๋อร์ได้เลื่อนสู่อันดับสิบคนของพื้นที่มงคลดอกบัวก็อาจจะยังพอมีคุณสมบัติที่จะมาพูดคุยกับพวกเขา


แน่นอนว่านี่ก็เกี่ยวข้องกับนิสัยเย็นชาอันเป็นนิสัยดั้งเดิมของลู่ฝ่างและโจวเฝยด้วย


หากเปลี่ยนมาเป็นเจ๋อเซียนอย่างเฝิงชิงป๋ายที่เป็นจอมยุทธ์พเนจรก็ยังไม่มีนิสัยยากจะตีสนิทเช่นนี้


……


บนหัวกำแพง หลังจากที่เฉินผิงอันปล่อยไปหนึ่งกระบี่


มุมตะวันตกสุดของทางเดินม้าที่เป็นเส้นตรงมีผู้เฒ่าคนหนึ่งที่อาภรณ์ตรงหน้าอกถูกฉีกเป็นรูกว้างขนาดใหญ่ เผยให้เห็นบาดแผลเลือดโชกเส้นหนึ่ง


ผู้เฒ่าทำสิ่งที่อยู่เหนือการคาดการณ์ของผู้คน เขายกมือขึ้น ปลดกวานดอกบัวชิ้นนั้นโยนไปไว้บนพื้นด้านข้าง


ส่วนเรื่องที่ว่ากระบี่บินเล่มนั้นจะสามารถหลุดพ้นจากพันธนาการ กลับคืนไปสู่ข้างกายของเจ้านาย ทำให้ศัตรูยิ่งมีพละกำลังที่แข็งแกร่งมากขึ้นหรือไม่


เมื่อสูญเสียการปกป้องจากสมบัติอาคมเซียนอย่างกวานเต๋าชิ้นนี้แล้ว ท่ามกลางศึกใหญ่ที่ต้องเข่นฆ่ากับศัตรูซึ่งมีพละกำลังเท่าเทียมกันจะทำให้สูญเสียโอกาสเอาชนะไปส่วนหนึ่งหรือไม่


ติงอิงไม่สนใจแม้แต่น้อย


ติงอิงม้วนชายแขนเสื้อขึ้นอย่างเชื่องช้าและประณีตบรรจง


เขาคิดแล้วก็ก้มหน้าลงมองกวานดอกบัวที่เป็นหนึ่งในของเดิมพันชิ้นนั้น ครั้นจึงสะบัดชายแขนเสื้อหนึ่งครั้งขว้างมันไปไกลถึงเส้นทางสำหรับจักรพรรดิที่อยู่ในเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยน


ติงอิงเดินมาด้านหน้าช้าๆ ท่วงท่าก้าวเดินไม่ต่างจากคนธรรมดาทั่วไป


ไม่ได้เป็นเทพแห่งพายุลมกรดที่ยิ่งใหญ่ดุจขุนเขาอีกต่อไปแล้ว ขนาดกวานเต๋าสีเงินชิ้นนั้นติงอิงก็ยังสละทิ้งได้อย่างไม่ใยดี


มีเพียงมือเปล่าที่เดินเข้าหาเฉินผิงอัน


ติงอิงรู้สึกว่าทั้งร่างโล่งสบาย ไม่เคยรู้สึกเหมือนอยู่จุดสูงสุดบนยอดเขาเช่นนี้มาก่อน


เวลาต่อสู้กับใครก็ควรจะเป็นเช่นนี้!


เอาชนะคนที่อยู่อันดับสองของใต้หล้า ก็ย่อมได้เป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้า หลักการนี้ง่ายมาก


ทว่าหลักการเช่นนี้ ไม่ว่าคนนอกจะให้น้ำหนักมากแค่ไหน หรือจะอยู่ไกลเกินเอื้อมสักเท่าไหร่ ติงอิงก็ยังรู้สึกว่ายังเบาเกินไป เล็กเกินไป


ติงอิงไม่เห็นอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย!


ใช้พละกำลังของคนคนเดียวเอาชนะการร่วมมือกันของคนอีกเก้าคนที่เหลือในใต้หล้า นั่นต่างหากถึงเรียกว่าไร้เทียมทานอย่างที่ติงอิงต้องการอย่างแท้จริง


ดังนั้นท่ามกลางการเวลาอันยาวนาน ติงอิงที่มีเพียงความเงียบเหงาเดียวดายอยู่เป็นเพื่อนถึงได้ตั้งใจศึกษาข้อดีของร้อยสำนัก ดึงความรู้ด้านวิถีวรยุทธ์ของปรมาจารย์ใหญ่ทั้งหลายให้สูงขึ้นไปอีกระดับ นี่ไม่ใช่เพราะติงอิงต้องการใช้พวกมันมาเป็นยันต์คุ้มกันกายให้กับตัวเอง แต่เป็นเพราะติงอิงเตรียมพร้อมมานานแล้วว่า แค่ตนเองออกกระบวนท่าไปตามอารมณ์ก็สามารถทำลายอาคมที่แกร่งกร้าวที่สุดของปรมาจารย์ใหญ่อย่างพวกอวี๋เจินอี้ จ้งชิว หลิวจงได้อย่างง่ายดาย


เพียงแต่ว่าตอนนี้กลับมีเรื่องไม่คาดฝันใหญ่เทียมฟ้าปรากฏขึ้นมา


แต่ติงอิงกลับรู้สึกว่าแบบนี้ถึงจะถูกต้อง


แล้วก็ไม่จำเป็นต้องใช้กระบวนท่าที่มีลูกเล่นอะไรพวกนั้นอีกแล้ว เพราะว่ามันช้าเกินไป


บนเส้นทางที่มุ่งไปข้างหน้า ไม่มีศัตรูที่แข็งแกร่งมากพอ ต่อให้ติงอิงยืนรอ ต่อให้ติงอิงหันกลับไปมองก็ยังมองไม่เห็นเงาร่างของคนที่อยู่อันดับสอง ยิ่งไม่มีใครสามารถไล่ตามติงอิงมาได้ทัน ไม่มีใครยืนเคียงไหล่กับติงอิงได้ ดังนั้นจึงรู้สึกเพียงว่าฟ้าดินแห่งนี้ช่างเงียบเหงา มีเพียงติงอิงคนเดียวที่ช่วงชิงแข่งขันอยู่กับสวรรค์


เจ๋อเซียนที่ชื่อเฉินผิงอันผู้นี้มาเยือนได้ถูกเวลายิ่ง มีหินรองฝ่าเท้าก้อนนี้ ข้าติงอิงมีแต่จะขยับเข้าใกล้แผ่นฟ้าได้มากขึ้น!


ติงอิงก้าวเร็วๆ ไปข้างหน้าพลางหัวเราะร่าอย่างสาแก่ใจ


เฉินผิงอันจับกระบี่ยาวไว้ในมือ ฝ่ามือร้อนลวก แต่กลับไม่ได้ถูกปราณกระบี่ทำร้ายให้บาดเจ็บ เขารู้สึกว่ากระบี่ที่สองนี้สามาถฟันออกไปได้เร็วกว่าเดิม


บนหัวกำแพงเมืองทางทิศใต้ของแคว้นหนันเยวี่ยน


จากรูโหว่ขนาดใหญ่ยักษ์ของกำแพงเมืองไปจนถึงทางทิศตะวันตกสุด ตลอดทางเดินม้าทั้งเส้นล้วนเต็มไปด้วยปราณกระบี่สีขาวหิมะที่ไหลบ่าทะลักทลายซัดหลุนๆ ไปเบื้องหน้า


ส่วนกำแพงเมืองทางฝั่งตะวันตกก็มีติงอิงที่ปล่อยหมัดออกไปครั้งแล้วครั้งเล่า ประหนึ่งองค์เทพแห่งสรวงสรรค์ที่กำลังต่อยขุนเขา แต่ละหมัดต่อยให้ปราณกระบี่ที่กรูเข้ามาปะทะใบหน้าแตกฉานซ่านเซ็น แล้วติงอิงก็เดินไปข้างหน้าทวนกระแสปราณกระบี่ประดุจผ่าลำไม้ไผ่เช่นนี้


บทที่ 321.1 นักพรตเฒ่าที่อยู่ข้างบ่อน้ำ

ProjectZyphon

ก่อนจะแอบเข้ามาในตำหนักรัชทายาท ฮองเฮาโจวซูเจิน หรือควรจะเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าเจ้าหอจิ้งหย่าง หรืออีกสถานะหนึ่งคือนักรบเดนตายของหอจิ้งซิน นางได้อำพรางตัวอยู่ท่ามกลางเงามืดที่ร่มเย็นแห่งหนึ่ง มองไปทางกำแพงเมืองทิศใต้ที่คนทั้งสองกำลังต่อสู้กันด้วยความปลงอนิจจังอย่างถึงที่สุด


ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันจนภูเขาถล่มพื้นดินปริแยก


ต่อให้เปิดเอกสารลับที่มีฝุ่นเกาะหนาชั้นมากที่สุดในหอจิ้งหย่างออกดู ก็เป็นเวลาหลายหกสิบปีมาแล้วที่พื้นที่มงคลดอกบัวไม่เคยมีการเข่นฆ่าที่สะท้านฟ้าสะเทือนดินเช่นนี้มาก่อน


คนเพียงสองคน แต่กลับตีกันเหมือนสองกองทัพประจัญบาน สร้างภาพบรรยากาศดุจดั่งมีทะเลทรายเหลืองอร่ามหมื่นลี้และกองทัพม้าเหล็กทวนทอง


ฮ่องเต้เว่ยเซี่ยนผู้บุกเบิกแคว้นหนันเยวี่ยนคือผู้ไร้เทียมทาน ในช่วงยุคสมัยนั้นไม่มีใครเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้ หลูป๋ายเซี่ยงในช่วงยุคหลังก็เป็นเช่นเดียวกัน เขาสามารถใช้กำลังของตัวเองคนเดียวข่มให้คนทั้งยุทธภพหายใจหายคอไม่สะดวกนานถึงหกสิบปี เซียนกระบี่สาวสุยโย่วเปียนก็ยิ่งเงียบเหงาจนได้แต่ขี่กระบี่บินทะยาน จูเหลี่ยนผู้บ้าคลั่งวรยุทธ์เลือกที่จะเป็นศัตรูกับคนทั้งโลก ใช้กำลังของคนคนเดียวต่อสู้กับคนเก้าคน ปรมาจารย์สิบท่านบนอันดับรายชื่อแห่งใต้หล้าถูกเขาสังหารไปเกินครึ่ง


คราวนี้ติงอิงได้มาเจอกับเจ๋อเซียนหนุ่มที่มีชื่อว่าเฉินผิงอัน


ก็ราวกับดวงตะวันและดวงจันทราแข่งขันประชันแสงโดยมีท้องนภาอยู่เบื้องบน


ทุกคนได้แต่ยืดคอยาวๆ ออกไปดู รอคอยผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้น


โจวซูเจินถอนหายใจหนึ่งที ชำเลืองตามองชายหนุ่มหญิงสาวสองคนที่อยู่บนหลังคาสิ่งปลูกสร้างหลังหนึ่ง นางไม่ได้พุ่งทะยานตรงไปหาพวกเขา แต่พลิ้วกายลงในระเบียงแห่งหนึ่งอย่างเงียบเชียบแล้วเดินทอดน่องเอื่อยเฉื่อย หากเจอพวกสาวใช้หรือผู้ดูแลก็จะหลบอ้อมไปอยู่หลังเสา แนบตัวติดกับเสาบดบังสายตาจากมนุษย์ธรรมดาเหล่านั้น


บางครั้งก็กระโดดขึ้นไปบนเสาคาน มองดูแล้วประหนึ่งแถบผ้าหลากสีสันที่กำลังล่องลอยไปเบื้องหน้า สถานะของนางในตอนนี้ไม่เหมาะให้เผยตัวในตำหนักแห่งนี้


แม้ว่านางจะเป็นฮองเฮาคนปัจจุบันของแคว้นหนันเยวี่ยน แต่กลับไม่ใช่มารดาแท้ๆ ของรัชทายาทและองค์ชายรอง ถึงขั้นยังมีความเกี่ยวข้องกับอาการป่วยตายของฮองเฮาคนก่อน ข่าวลือและความลับต่างๆ ในวังหลวงล้วนมีเกี่ยวพันกับโจวฮองเฮาอย่างที่นางเลี่ยงไม่ได้


ร่างที่พุ่งวูบไปมาของโจวซูเจินทำให้เว่ยเหยี่ยนและฝานกว่านเอ่อร์สังเกตเห็นได้พอดี คนทั้งสองจึงทะยานลงมาจากหลังคา มาพบกับฮองเฮาที่มีความงามเสียงเลื่องลือผู้นี้ในสวนดอกไม้


ฝานกว่านเอ่อร์ค่อนข้างจะสงสัยและเป็นกังวล เพราะไม่รู้ว่าเหตุใดโจวซูเจินถึงมาอยู่ที่นี่ อีกทั้งยังเผยกายต่อหน้านางและรัชทายาทเว่ยเหยี่ยนด้วย


โจวซูเจินผู้นี้ก็คือศิษย์พี่หญิงที่ปีนั้นเป็นคนพบเจอฝานกว่านเอ่อร์และพานางไปอยู่ที่หอจิ้งซิน หลังจากนั้นไม่นานโจวซูเจินก็ได้สวมรอยเป็นสาวงามผู้เข้าร่วมการคัดเลือกซึ่งเป็นตัวตนที่ทางหอจิ้งซินสร้างให้อย่างตั้งใจ ได้เข้าไปอยู่ในวังหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนอย่างราบรื่น ก่อนจะเดินทีละก้าวจนมาสู่ตำแหน่งฮองเฮา


โจวซูเจินกล่าวอย่างจนใจ “สถานการณ์คับขัน ไม่ทันกาลแล้ว ต้องโทษที่ศิษย์พี่หญิงอย่างข้าทำอะไรไม่เรียบร้อย แล้วก็ต้องโทษมารเฒ่าติงที่ปรากฏตัวอย่างประจวบเหมาะเกินไป”


เว่ยเหยี่ยนมอง ‘เสด็จแม่’ แล้วค่อยหันกลับมามองฝานกว่านเอ่อร์ ในใจเหมือนมีพยับเมฆหนาชั้นปกคลุม


เขาไม่ถือสาหากตัวเองต้องลงเรือลำเดียวกับฝานกว่านเอ่อร์เพื่อเอาชนะน้องชายที่ยาเอ๋อร์แห่งลัทธิมารเป็นผู้สนับสนุน จากนั้นเดินทีละก้าวจนขยับเข้าใกล้กับเก้าอี้มังกรตัวนั้น ขึ้นครองราชย์อย่างราบรื่น สุดท้ายจับมือกับสาวงามวางแผนรวบรวมสี่แคว้นให้เป็นปึกแผ่น แต่หากบอกว่าสกุลเว่ยทุกคนในแคว้นหนันเยวี่ยนล้วนถูกหญิงสาวจากหอจิ้งซินเหล่านี้กุมเล่นไว้ในกำมือมานานแล้ว ถ้าเช่นนั้นต่อให้ตนจะได้นั่งเก้าอี้มังกร ได้สวมชุดคลุมมังกร แล้วจะยังมีความหมายอะไร?


แต่โจวซูเจินกลับไม่มีเวลามาสนใจความคิดของกษัตริย์ที่ก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างของเว่ยเหยี่ยน นางพูดเข้าประเด็นกับฝานกว่านเอ่อร์ว่า “ปีนั้นการที่อาจารย์ส่งตัวข้ามาอยู่เมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยน นอกจากสถานะฮองเฮานี้แล้ว อาจารย์ยังต้องการให้ข้าทำเรื่องหนึ่งให้สำเร็จ นั่นก็คือได้กระโปรงเขียวชุดนั้นมาครอบครอง ไม่ช้าไม่เร็ว จำเป็นต้องเป็นช่วงสุดท้ายก่อนระยะเวลาหกสิบปีนี้จะหมดลงพอดี แต่ข้าไม่กล้าเข้าใกล้มารเฒ่าติงเกินไป ไม่กล้าปรากฏตัวให้เขาเห็นเลยด้วยซ้ำ เพราะกลัวว่าจะทำให้มารเฒ่าหงุดหงิด”


กล่าวมาถึงตรงนี้ นางก็ยิ้มขออภัยให้ฝานกว่านเอ่อร์ กล่าวเสียงขื่น “ดังนั้นศิษย์พี่หญิงจึงได้แต่ถอยมาเลือกลำดับรองลงมา ก่อนที่โจวเฝยจะลงจากภูเขาก็เคยป่าวประกาศแล้วว่าต้องการเจ้าศิษย์น้องหญิงเป็นของรางวัล เขาปรารถนาในความงามของเจ้ามานานแล้ว ดังนั้นข้าจึงจงใจให้คนเปิดเผยความลับแก่ตำหนักคลื่นวสันต์ บอกว่าเจ้าอยากครอบครองชุดกระโปรงตัวนั้น แล้วโจวเฝยก็ตรงไปหาภิกษุอวิ๋นหนีที่วัดจินกังจริงๆ ด้วยนิสัยของโจวเฝย หากเจ้าตกอยู่ในกำมือของเขา ขอแค่ศิษย์น้องหญิงเอ่ยปาก ไม่ว่าจุดประสงค์เดิมที่โจวเฝยไปแย่งกระโปรงสีเขียวชุดนั้นมาจะคืออะไร เขาก็ต้องยินดีมอบกระโปรงตัวนั้นให้ศิษย์น้องอย่างแน่นอน”


ฝานกว่านเอ่อร์ยังคงไม่เข้าใจ “ข้าได้กระโปรงตัวนั้นมาแล้วอย่างไร? ได้หนึ่งในสี่โชควาสนาใหญ่ก็จะโชคดีได้บินทะยานงั้นหรือ? แต่ก่อนหน้านี้ศิษย์พี่หญิงก็เคยพูดไม่ใช่หรือว่า อาจารย์เคยสั่งไว้ว่า ไม่ให้ข้าจงใจไล่ตามโอกาสในการบินทะยาน?”


“น่าเสียดายก็แต่ตอนนี้โจวเฝยได้มอบกระโปรงตัวนั้นให้กับยาเอ๋อร์แห่งลัทธิมารไปแล้ว เรื่องมาถึงขั้นนี้…ยังดีที่อาจารย์ก็เคยคาดเดาสถานการณ์เช่นนี้มาไว้แล้ว”


โจวซูเจินควักกระจกทองแดงบานเล็กออกมาด้วยสีหน้าจริงจัง “อาจารย์จึงบอกกับข้าว่าเมื่อถึงเวลานั้น ให้ข้ามอบมันแก่เจ้า”


ฝานกว่านเอ่อร์รับกระจกมาแล้วพลิกกลับไปกลับมา หมุนซ้ายหมุนขวา แต่ก็มองความผิดปกติใดๆ ไม่ออกแม้แต่น้อย


โจวซูเจินส่ายหน้า “ข้าศึกษามันมาหลายปีก็มองเส้นสนกลในไม่ออกเหมือนกัน ดูเหมือนว่าจะเป็นแค่กระจกธรรมดาบานหนึ่งเท่านั้น”


โจวซูเจินหันไปคลี่ยิ้มให้เว่ยเหยี่ยน “องค์ชาย ไม่ต้องกังวลว่าตัวเองจะกลายมาเป็นหุ่นเชิดของหอจิ้งซินเรา พวกเราไม่ได้มีความคิดเช่นนั้น แล้วก็ไม่มีศักยภาพมากพอให้มีความทะเยอทะยานนี้ด้วย อาจารย์เคยบอกไว้ว่า บนโลกมีติงอิง อวี๋เจินอี้และจ้งชิวสามคนนี้อยู่ ก็เหมือนมีภูเขาสามลูกใหญ่ที่ไม่อาจข้ามผ่านไปได้ โดยเฉพาะหากสองคนแรกมีชีวิตอยู่ในโลกมนุษย์ แผนการทั้งหมดของหอจิ้งซินก็เป็นแค่การละเล่นของเด็กที่ไม่มีความหมายต่อใต้หล้านี้เลย”


เพราะยึดกฎเลี่ยงการเอ่ยนามของผู้สูงศักดิ์ โจวซูเจินจึงไม่เต็มใจเอ่ยคำพูดบางอย่างซึ่งเกี่ยวข้องกับเรื่องราวของถงชิงชิงผู้เป็นอาจารย์ต่อหน้าคนนอกอย่างเว่ยเหยี่ยน


อันที่จริงปีนั้นตอนที่ถงชิงชิงมาพบหน้าโจวซูเจินผู้เป็นลูกศิษย์เป็นครั้งสุดท้าย นางได้เอ่ยคำพูดที่ออกมาจากใจจริงอีกบางส่วน นางบอกว่า ‘ทำมามากมายขนาดนี้ก็เพียงแค่เพราะข้ากลัวตาย ดังนั้นข้าถึงได้อยากรู้ว่าทั่วทุกมุมในใต้หล้าแห่งนี้มีใครทำอะไรบ้าง ข้าต้องการรู้ทุกเรื่อง เพื่อที่ข้าจะสามารถหลบเลี่ยงอันตรายทั้งหมดได้’


อีกอย่างโจวซูเจินก็ไม่เชื่อว่านี่เป็นคำพูดจากใจจริงของอาจารย์


อาจารย์มีตบะสูงถึงเพียงนั้น กลายเป็นหนึ่งในสี่ปรมาจารย์ใหญ่ของใต้หล้ามาตั้งนานแล้ว พรสวรรค์ในการฝึกยุทธ์ที่เลิศล้ำของอาจารย์ คนนอกอาจจะไม่รู้ แต่โจวซูเจินกลับรู้ดีว่า นางเป็นรองแค่มารเฒ่าติงอิงเท่านั้น! ขอแค่อาจารย์ตั้งใจ สามอันดับแรกในใต้หล้าย่อมเป็นของที่อยู่ในกระเป๋าของนาง แล้วนับประสาอะไรกับที่เบื้องหลังอาจารย์ยังมีหอจิ้งซิน มีสายสืบและนักรบเดนตายมากมายอยู่ในราชสำนักของสี่แคว้น ยังต้องกลัวอะไรอีก? ใต้หล้านี้สิที่ต้องกลัวนางถึงจะถูก ไม่ใช่หรือ?


รัชทายาทเว่ยเหยี่ยนครุ่นคิดอย่างตั้งใจ เขาไม่เชื่อคำพูดของอีกฝ่ายสักเท่าไหร่ หรือควรจะพูดอีกอย่างว่าไม่ได้เชื่อทั้งหมด


ฝานกว่านเอ่อร์ถือกระจกทองแดงไว้ในมือ จมสู่ภวังค์ความคิด


……


ภิกษุเฒ่าวัดจินกังถอดจีวร เปลี่ยนมาสวมอาภรณ์ของคนปกติทั่วไป เขารู้สึกไม่ค่อยเคยชินเท่าไหร่นัก เวลานี้เขาไปเยือนวังหลวงเพื่อไปทวงคืนอรหันต์ร่างทองของวัดป๋ายเหอมาจากฮ่องเต้ ก่อนเข้าวัง ทหารยามบอกให้เขารอฮ่องเต้เรียกพบอยู่หน้าประตูวังก่อน เขาจึงพนมมือทั้งสิบ ท่องคำหนึ่งว่าอามิตาภพุทธ


พอเข้าวังมาแล้ว ฮ่องเต้ก็มารอภิกษุเฒ่าที่ห้องทรงพระอักษรด้วยองค์เอง ก่อนหน้านี้ต่อให้เป็นฮ่องเต้แคว้นหนันเยวี่ยนก็ยังไม่รู้จักภิกษุผู้อธิบายพระธรรมแห่งวัดจินกังท่านนี้ เพียงแต่ว่าเมื่อรายชื่อสิบคนปรากฏขึ้นในครั้งล่าสุดถึงได้รู้ว่าภิกษุผู้ต่อดวงประทีปที่ไร้สัญชาติไร้นามผู้นี้ นอกจากจะมีศักดิ์สูงในวัดจินกังแล้ว ยังมีวิชาอภินิหารของศาสนาพุทธที่ลึกล้ำจนมองไม่เห็นก้นบึ้งอีกด้วย


เกี่ยวกับเรื่องอรหันต์ร่างทอง ฮ่องเต้สกุลเว่ยตอบรับอย่างไม่มีความลังเล ยอมให้อดีตภิกษุอวิ๋นหนีนำกลับไป


ภิกษุเฒ่าที่เพิ่งกลับมาเป็นฆราวาสได้ไม่นานรู้สึกทำอะไรไม่ถูกเล็กน้อย เดิมทีเขายังคิดเตรียมคำพูดไว้มากมาย ยกตัวอย่างเช่นรับปากว่าจะอุทิศตนให้แก่สกุลเว่ยแคว้นหนันเยวี่ยนไปอีกสามสิบปี


ปี้เซิ่งเฉิงหยวนซานไม่ได้ไปรวมตัวกับพวกลูกศิษย์ เพราะทำอย่างนั้นจะสะดุดตาเกินไป ง่ายที่จะถูกคนพบตัว


อีกทั้งผู้เฒ่าก็ไม่สะดวกถือทวนเดินเตร่ไปมา จึงได้แต่เลือกมาหลบร้อนอยู่ใต้สะพานหินโค้งแห่งหนึ่ง


เขาตัดสินใจแล้วว่าเมื่อเสียงกลองครั้งที่สองดังขึ้นบนภูเขากู่หนิว หากคนสิบคนบนรายชื่อที่อยู่ในเมืองหลวงตายกันไปแล้วอย่างน้อยเกินครึ่ง เขาถึงจะเผยตัว หาไม่แล้วก็ยอมสูญเสียโอกาสบินทะยานครั้งนี้ไปดีกว่า


เฉิงหยวนซานหวังเป็นอย่างยิ่งว่าพวกปรมาจารย์ที่อยู่บนรายชื่อจะตายกันไปให้หมด


ส่วนข้อที่ว่าทำแบบนี้จะผิดต่อความตั้งใจเดิมหรือไม่ เฉิงหยวนซานไม่สนใจ เขาสนใจแค่ผลลัพธ์เท่านั้น ถ้อยคำเป็นหมื่นเป็นพันในหนังสือประวัติศาสตร์ นอกจากสี่คำว่าชนะเป็นราชาแพ้เป็นโจรที่โชกไปด้วยเลือดนี้แล้ว ยังจะมีอะไรอีก?


ถังเถี่ยอี้ที่อยากจะใช้เฉิงหยวนซานมาเป็นหินลับมีด เมื่อหาปี้เซิ่งไม่เจอก็ได้แต่ล้มเลิกความคิด ตอนนี้โอกาสในการเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ใหญ่ที่สุด แท้จริงแล้วอยู่ที่สถานะของเขา


หากถูกเปิดโปงว่าแม่ทัพใหญ่แคว้นเป่ยจิ้นมาเดินเล่นอยู่ในเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนต้องเกิดปัญหาใหญ่มากแน่นอน แม้จะบอกว่าความสัมพันธ์ระหว่างเป่ยจิ้นกับหนันเยวี่ยนนับว่าพอใช้ได้ แต่แคว้นหนันเยวี่ยนมีความทะเยอทะยานสูง เคยป่าวประกาศมานานแล้วว่าจะรวบรวมใต้หล้าให้เป็นหนึ่งเดียว ถังเถี่ยอี้ไม่คิดว่าตัวเองจะถูกพาส่งออกนอกอาณาเขตของอีกฝ่ายอย่างมีมารยาท หากไม่ต้องยอมสวามิภักดิ์ต่อสกุลเว่ยก็ต้องตายอย่างเฉียบพลันอยู่ในเมืองหลวงต่างแคว้นแห่งนี้


บทที่ 321.2 นักพรตเฒ่าที่อยู่ข้างบ่อน้ำ

ProjectZyphon

ยอมสวามิภักดิ์แก่หนันเยวี่ยน สำหรับอนาคตของตัวเองแล้ว แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องดี แต่ก็ไม่ได้แย่เสมอไป ถึงอย่างไรหนันเยวี่ยนก็เป็นแคว้นแข็งแกร่งอันดับหนึ่งที่พร้อมสำหรับการทำสงคราม ทว่ารากฐานทั้งหมดของถังเถี่ยอี้ในเป่ยจิ้น ไม่ว่าจะเป็นตระกูล ภรรยา อำนาจทางการทหาร หรือชื่อเสียงก็ล้วนจะกลายเป็นฟองอากาศ ขุนนางบุ๋นบู๊ของหนันเยวี่ยนจะเคารพและเกรงใจเขาที่เป็นคนนอกคนหนึ่งได้สักเท่าไหร่?


ถึงอย่างไรถังเถี่ยอี้ก็เป็นคนที่มีฝีมือสูงและใจกล้า อีกทั้งเมื่อเทียบกับปี้เซิ่งที่แก่ชราแล้ว แม่ทัพใหญ่ผู้เป็นเสาหลักของเป่ยจิ้นที่อายุแค่สี่สิบกว่าปีย่อมต้องมีกำลังวังชาที่เปี่ยมล้นมากกว่า เขาไม่เพียงแต่ไม่เลือกไปหลบอยู่ในพื้นที่ห่างไกลอย่างเฉิงหยวนซาน กลับกันยังเลือกไปหอสุราที่มีการค้าคึกคักแห่งหนึ่ง เรียกหาเหล้าชั้นดี นั่งฟังคนเล่านิทานเล่าเรื่องราว คนเล่านิทานเป็นผู้เฒ่าวัยชรา เล่าเรื่องเก่าปีมะโว้ ถังเถี่ยอี้กลับฟังอย่างเพลิดเพลิน รู้สึกว่าหากวันหน้าได้เป็นขุนนางของหนันเยวี่ยนดูท่าก็คงไม่เลวเหมือนกัน


สักวันหนึ่ง ในอาณาเขตของสี่แคว้นจะต้องพากันกล่าวขานถึงชีวิตบนหลังม้าของเขาถังเถี่ยอี้


ถังเถี่ยอี้ดื่มเหล้า หรี่ตาลง จิตใจเคลิบเคลิ้มล่องลอยไป


โจวเฝยและลู่ฝ่างยังอยู่ที่ร้านเหล้าข้างทางดื่มเหล้ารสชาติย่ำแย่ รอคอยให้ศึกบนหัวกำแพงเมืองปิดฉากลง


เมื่อมารเฒ่าติงและอวี๋เจินอี้ลงมือ บุคคลคนคนหนึ่งที่เดิมทีหลุดออกจากสถานการณ์นี้ไปแล้วกลับเปลี่ยนมาเป็นน่าสนใจอีกครั้ง


คนผู้นั้นก็คือ ถงชิงชิงปรมาจารย์ใหญ่แห่งหอจิ้งซิน


ก่อนหน้านี้ยาเอ๋อร์ที่สวมชุดกระโปรงสีเขียวถามขึ้นอย่างใคร่รู้ โจวเฝยกับลู่ฝ่างต่างก็ไม่สนใจจะตอบ ทว่าเมื่อยาเอ๋อร์เงียบไป โจวเฝยกลับหัวเราะเป็นฝ่ายพูดถึงเจ๋อเซียนที่น่าสนใจอย่างถึงที่สุดผู้นี้ขึ้นมาเอง ดูเหมือนโจวเฝยจะนึกอะไรออกจึงชำเลืองตามองยาเอ๋อร์ แล้วเล่าเรื่องราวบางอย่างของถงชิงชิงตอนที่อยู่ที่อื่นให้โจวซื่อฟัง


หลังจากฟังจบ หนุ่มปักบุปผาก็รู้สึกเพียงว่านี่เป็นเรื่องที่เหลวไหลสิ้นดี


หนึ่งคือผู้ฝึกกระบี่ที่อนาคตไร้ขีดจำกัด อีกหนึ่งคือเจ้าหอจิ้งซินที่ทำตัวหลบๆ ซ่อนๆ


นิสัยของคนทั้งสองต่างกันราวฟ้ากับเหว


บ้านเกิดของบิดาโจวเฝยมีสำนักแห่งหนึ่งที่เรียกว่าภูเขาไท่ผิง บนภูเขามีนักพรตหญิงคนหนึ่งที่พรสวรรค์การฝึกตนสูงล้ำ โชคดีอย่างถึงที่สุด วาสนาก็ลึกล้ำ สร้างความอิจฉาให้แก่ผู้คน


แจกันสมบัติทวีปมีสถานที่แห่งหนึ่งชื่อว่าสำนักโองการเทพ มีหญิงสาวคนหนึ่งที่อายุน้อยกว่านาง คนทั้งสองมีส่วนที่คล้ายคลึงกัน ดังนั้นจึงถูกเรียกขานว่าคนผู้นี้ที่สอง


นักพรตหญิงคนนี้มีน้ำใจและมีความจริงใจ นิสัยองอาจห้าวหาญ หากพบเจอเรื่องอยุติธรรมก็จะต้องซักไซ้เอาความให้ถึงที่สุด มองความเป็นความตายเป็นเรื่องเล็ก ละเมิดเจตจำนงเดิมของผู้ฝึกตน อาจารย์ผู้มีพระคุณเคยตักเตือนด้วยความหวังดีอยู่หลายครั้ง แต่ก็ไม่เคยทำให้นางสั่นคลอนได้ ทุกครั้งที่เตือน นางก็จะทำตัวสงบเสงี่ยมแค่ช่วงระยะเวลาหนึ่ง สุดท้ายก็กลับมาเป็นอีหรอบเดิม ไม่ว่าเรื่องอยุติธรรมใดบนโลก ขอแค่นางได้ไปพบไปเห็นก็จะปรี่เข้าไปจัดการทันที อีกทั้งมีหลายครั้งที่ต้องลากตัวคนบงการเบื้องหลังออกมาถึงจะยอมเลิกรา ส่วนข้อที่ว่าการที่นางชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านจะถ่วงการฝึกตนหรือไม่? นางไม่สนใจแม้แต่น้อย จะพาตัวไปตกอยู่ในอันตรายหรือไม่? นางก็ยิ่งเหลือกตามองสูงใส่ ด้วยสาเหตุนี้ยังทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างภูเขาไท่ผิง สำนักใบถงและสำนักกุยหยกชะงักงัน กับสำนักฝูจีก็ยิ่งเหมือนน้ำกับไฟ เพียงแต่เห็นแก่หน้าของสำนักศึกษา ทั้งสองฝ่ายจึงพยายามระงับอารมณ์ไม่ลงไม้ลงมือต่อกัน


เข่นฆ่ามาตลอดทาง ทั้งยังตกอยู่ในอันตรายครั้งแล้วครั้งเล่า แต่นางกลับยังอยู่รอดปลอดภัยจนกระทั่งได้เลื่อนสู่ขอบเขตก่อกำเนิด


เป็นเหตุให้แม้แต่บุรพาจารย์ท่านหนึ่งของภูเขาไท่ผิงซานที่เป็นอัจฉริยะบุรุษซึ่งเก็บตัวเงียบไม่เผยตัวต่อโลกภายนอก รวมถึงอาจารย์อาไท่ซ่างเจ้าประมุขคนปัจจุบันต่างพันตกอกตกใจกับการเลื่อนขอบเขตของนาง


เซียนดินในสายตามนุษย์ทั่วไปอย่างโอสถทองและก่อกำเนิดในภูเขาไท่ผิงมีมากถึงเก้าคน แต่ละคนสามารถมองทวีปหนึ่งด้วยสายตาเย่อหยิ่ง ทว่ากลับไม่มีผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตสิบเอ็ดเลยแม้แต่คนเดียว


มีเพียงบุรพาจารย์ขอบเขตสิบสองเซียนเหรินคนเดียวเท่านั้นที่ช่วยประคับประคองสถานการณ์


หันกลับไปมองทางสำนักใบถงและสำนักกุยหยก ไม่ว่าจะขอบเขตเซียนเหรินหรือขอบเขตหยกดิบก็ล้วนมีหมด บวกกับสำนักฝูจีที่ทั้งสามีและภรรยาล้วนเป็นขอบเขตหยกดิบแห่งนั้น อย่างน้อยในด้านการสืบทอดและด้านขอบเขตก็ไม่เคยขาดช่วง


ดังนั้นนักพรตหญิงคนนี้ของภูเขาไท่ผิงจะเลื่อนสู่ห้าขอบเขตกลางได้หรือไม่ เป็นเรื่องที่สำคัญอย่างถึงที่สุด


หากนางเลื่อนสู่ขอบเขตหยกดิบได้สำเร็จ ผนวกรวมเข้ากับโชควาสนาที่ติดตัวนางมาตั้งแต่เกิด ถ้าเช่นนั้นความสำเร็จในท้ายที่สุดของเว่ยจิ้นแห่งศาลลมหิมะแจกันสมบัติทวีปก็จะถูกนางข่มทับอยู่หนึ่งระดับ


บุคคลเช่นนี้ หากเอาไปไว้ในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางก็ล้วนเรียกได้ว่าเป็นขนหงส์เขากิเลน เพราะมีหวังต่อมหามรรคา ซึ่งคนนอกต่างก็มองเห็นได้อย่างชัดเจน


พูดกันง่ายๆ ก็คือมีโอกาสที่จะขยับเข้าไปยืนใกล้สิบคนในใต้หล้า หรืออาจถึงขั้นเบียดคนคนหนึ่งให้ตกจากอันดับแล้วเข้ายึดครองตำแหน่งแทน


และในสิบคนนั้นก็มีเทียนซือใหญ่ของภูเขามังกรพยัคฆ์ มีเจ้านครจักรพรรดิขาว และคนล่าสุดก็คือเทพีสงครามแห่งราชวงศ์ต้าตวน เผยเปย


นอกจากสิบคนนี้ แปดทวีปที่เหลือในใต้หล้าไพศาล แน่นอนว่าต้องมีบุคคลที่ตบะเลิศล้ำเป็นหนึ่งอยู่ในแต่ละทวีป ยกตัวอย่างเช่นเฉินฉุนอันผู้มากความรู้แห่งทักษินาตยทวีป เทพแห่งโชคลาภแห่งธวัลทวีป ทว่าเมื่อเทียบกับทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางแล้ว บรรยากาศโดยภาพรวมกลับต่างกันอักโขนัก


……


เด็กหญิงร่างผอมแห้งที่หอบตำรามาเต็มอ้อมอกวิ่งห้อออกจากลานบ้านไปถึงตรอกด้านนอก


นางอายุไม่มาก แต่เคยเห็นคนชั่วร้ายทำเลวมาไม่น้อย บางเรื่องก็ร้ายต่อผู้อื่น บางเรื่องก็ร้ายต่อตัวนางเอง แล้วก็เคยเห็นคนดีมาบ้าง บางคนทำดีก็ไม่ได้ดีตอบแทน คนดีบางคนก็เปลี่ยนไปเป็นคนชั่วร้าย


นางเคยเจอกับผู้เฒ่าบ้าคนหนึ่งที่เดินถือโคมไฟเตร่ไปทั่วทิศเกินครึ่งวัน พร่ำพูดว่าโลกนี้ดำมืดเกินไป หากไม่ถือโคมจะมองไม่เห็นทาง มองไม่เห็นคน


นางวิ่งจนเหงื่อแตกเต็มแผ่นหลัง เงยหน้ามองดวงอาทิตย์ก็ราวกับว่าบนท้องฟ้าแขวนโคมไฟดวงใหญ่ที่ส่องแสงสว่าง ยามฟ้าดินหมุนโคจรก็ราวกับว่าไม่ว่าใครก็ขาดมันไม่ได้ แต่นางชอบมันในช่วงหน้าหนาวและฤดูใบไม้ผลิเท่านั้น หากสี่ฤดูในหนึ่งปีไม่มีอากาศหนาวเลย นางก็ไม่ชอบมันสักนิด อยากให้บนท้องฟ้าไม่มีมันไปเลยด้วยซ้ำ พอมีมัน รอบด้านก็สว่างเกินไป เรื่องหลายอย่างที่นางทำจึงง่ายที่จะถูกคนจับได้ ยกตัวอย่างเช่นขโมยของกิน


ตอนที่นางเดินผ่านบ่อน้ำบ่อหนึ่งก็หยุดฝีเท้า นั่งพักบนปากบ่อ หอบหายใจฮักๆ


ชำเลืองตามองบ่อน้ำเห็นเพียงความมืดมิด


นางเตรียมจะถ่มน้ำลายลงไปในนั้นก็พลันเงยหน้าขึ้น พบว่าข้างกายมีผู้เฒ่าสูงใหญ่คนหนึ่งยืนอยู่


เขาสวมเสื้อผ้าที่น่าจะเรียกว่าชุดคลุมเต๋า เมื่อแหงนหน้ามองเขา เด็กหญิงร่างผอมแห้งก็ไม่กล้าขยับเขยื้อน ราวกับว่าถ้าตัวเองขยับนิ้วข้างหนึ่ง หรือแม้แต่มีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาในหัว นางก็จะต้องตายทันที


ตั้งแต่เล็กจนโตนางแทบจะไม่เคยกลัวใครขนาดนี้มาก่อน


นักพรตเต๋าร่างสูงใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบของกวานเต๋าหรือของชุดคลุมเต๋าก็ล้วนพบเห็นได้ยาก


ภายใต้แสงแดดที่สาดส่อง ผิวหนังของนักพรตเฒ่าส่องประกายแสงเรืองรอง บนชุดคลุมไม่มีฝุ่นเกาะแม้แต่เม็ดเดียว


ราวกับว่าเดิมทีเขาก็ไม่ได้ยืนอยู่ใต้ฟ้าดินแห่งนี้


ผู้เฒ่าชำเลืองตามองเด็กหญิงร่างผอมแห้งแล้วยื่นมือออกมาคว้าจับกลางอากาศหนึ่งครั้ง เด็กหญิงร่างเล็กบางที่แอบชำเลืองมองเขาอยู่ตลอดเวลาร้องโหยหวน โยนหนังสือที่อยู่ในอ้อมอกทิ้ง มือสองข้างกุมดวงตาเอาไว้แน่น ใบหน้าเต็มไปด้วยน้ำตา เรือนกายผอมแห้งลงไปกลิ้งอยู่บนพื้น


เพราะเมื่อครู่นี้นางเห็นอย่างชัดเจนว่าผู้เฒ่าคนนั้นเอื้อมมือไปคว้าดวงอาทิตย์จากบนฟ้ามาคีบไว้ในระหว่างร่องนิ้วของเขา


เด็กหญิงร่างผอมแห้งเจ็บปวดจนร่างที่กลิ้งอยู่กระแทกชนบ่ออย่างแรง


นักพรตเฒ่าไม่สะทกสะท้าน ทั้งไม่รู้สึกว่าน่าสงสาร แล้วก็ไม่รู้สึกรังเกียจ มีเพียงความเฉยชาเท่านั้น


ความสุขความทุกข์บนโลกมนุษย์ เคยเห็นมาหนึ่งครั้งหลายครั้งกับเคยเห็นมานับพันนับหมื่นครั้งเป็นความรู้สึกที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง


นักพรตเฒ่าคนนี้เพียงแค่ก้มหน้าลงจ้องมองดวงอาทิตย์ที่อยู่ระหว่างสองนิ้ว


มันไม่ใช่ภาพลวงตา แต่เป็นของจริงที่จับต้องได้จริง กลับเป็นดวงอาทิตย์ดวงใหญ่ที่อยู่บนท้องฟ้าเวลานี้ต่างหากที่เป็นของปลอม


นักพรตเฒ่าเอา ‘ไข่มุก’ เม็ดนี้เก็บไว้ในชายแขนเสื้อชั่วคราว ครั้นจึงเงยหน้ามองกำแพงเมืองทางทิศใต้แวบหนึ่ง


‘ติงอิง’ ผู้นี้ทำให้เขาผิดหวังไม่น้อย อวี๋เจินอี้กับจ้งชิวนับว่ายังพอถูไถ แต่คำว่าถูไถนี้ไม่ได้บอกว่าการแสดงออกของอวี๋เจินอี้กับจ้งชิวดีอะไร แต่เป็นเพราะเดิมทีนักพรตเฒ่าก็ตั้งความหวังกับพวกเขาไว้ต่ำอยู่แล้ว


แต่ติงอิงนั้นไม่เหมือนกัน


ต้องรู้ว่าติงอิงผู้นี้ ไม่ว่าจะเป็นฐานกระดูกหรือนิสัยใจคอก็ล้วนใกล้เคียงกับเต๋าเหล่าเอ้อร์ผู้นั้นมากที่สุด หรือหากจะพูดว่าเป็นผลิตภัณฑ์กึ่งสำเร็จรูปก็ถือว่าเป็นของเลียนแบบที่มีความใกล้เคียงกับของจริงที่สุดแล้ว


ไม่ว่าจะไปอยู่ในที่ใดของใต้หล้าไพศาล ติงอิงก็ล้วนต้องเป็นขอบเขตสิบสองอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ก็หยุดอยู่เพียงเท่านี้ คอขวดเห็นชัดเจนเกินไป ของเลียนแบบที่ไม่เลวชิ้นหนึ่งมักจะไม่ได้ย่ำแย่สักเท่าไหร่ แต่จะดีได้สักแค่ไหนกันเชียว?


นักพรตเฒ่ายังคงรู้สึกไม่พอใจ


ติงอิงที่ดึงเอาข้อดีของเว่ยเซี่ยน หลูป๋ายเซี่ยง จูเหลี่ยนสามคนมารวมให้เป็นหนึ่ง กลับยังไม่ได้เรื่องถึงเพียงนี้


และในวินาทีที่เขาเตรียมจะสะบัดชายแขนเสื้อตบศีรษะติงอิงให้เละนั้นเอง นักพรตเฒ่ากลับเกิดความลังเล เขาเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า


ผู้เฒ่ายืนอยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัว มองไปเห็นถ้ำสวรรค์เหลียนฮวา (พื้นที่มงคลดอกบัวชื่อภาษาจีนใช้คำว่าโอ่วฮวาที่แปลว่าดอกบัว ส่วนถ้ำสวรรค์เหลียนฮวาก็แปลว่าดอกบัวเช่นเดียวกัน)


ถ้ำสวรรค์และพื้นที่มงคลสองแห่งนี้เชื่อมต่อกัน การดำรงอยู่ที่แปลกประหลาดเช่นนี้ ในสี่ใต้หล้าใหญ่มีแค่สองสถานที่นี้เท่านั้น


นักพรตเฒ่าที่ยืนอยู่ข้างบ่อน้ำมองประสานสายตากับนักพรตที่ ‘หลุบตามองต่ำมายังพื้นที่มงคล’ ซึ่งอยู่เหนือศีรษะของเขา ทันใดนั้นชายแดนระหว่างพื้นที่มงคลดอกบัวกับถ้ำสวรรค์เหลียนฮวาก็พลันถูกดึงขยายจนเกิดเป็นร่องลึกกว้างนับพันนับหมื่นจั้ง


นักพรตเฒ่าแค่นเสียงเย็นชา


‘ไข่มุก’ ที่อยู่ในชายแขนเสื้อเม็ดนั้นเผาไหม้ชายแขนเสื้อชุดคลุมเต๋าของเขาจนเป็นรูโหว่


ทว่าในถ้ำสวรรค์ที่เต็มไปด้วยบ่อดอกบัวแห่งนั้นก็มีใบบัวมากมายแห้งเหี่ยวไปเช่นกัน


ผู้เฒ่าที่อยู่ข้างบ่อน้ำถอนสายตากลับมา เพียงไม่นานชายแขนเสื้อก็กลับมาเป็นปกติ เชื่อว่าบ่อบัวของที่แห่งนั้นก็คงไม่ต่างกัน


เด็กหญิงร่างผอมแห้งที่อยู่ข้างเท้านักพรตเฒ่ายังคงร้องไห้จ้าอยู่บนพื้น ความรู้สึกจ้องมองแสงอาทิตย์ในระยะประชิดเช่นนั้นตราตรึงล้ำลึกลงไปไกลยิ่งกว่าจิตวิญญาณ หากไม่เป็นเพราะโชคดีในโชคร้าย ได้มาหลบอยู่ใน ‘ร่มเงา’ ของนักพรตเฒ่าพอดี อดีตชาติและชาติหน้าของนางจะต้องแหลกสลายกลายเป็นเพียงความว่างเปล่าในเสี้ยววินาที


นักพรตเฒ่าสบถอย่างขุ่นเคือง “เหล่าซิ่วไฉ เจ้าไม่เบื่อบ้างหรือไง?!”


ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)