ท่านเทพมาแล้ว 315-318
บทที่ 315 จื่อเย่าเจินเหริน
โดย
Ink Stone_Romance
“เจ้ากลับมาได้เวลาพอดี” หัวชิงกับนางเดินเข้าไปในเรือน “ในสำนักเกิดบางเรื่องขึ้น ทำให้ข้าปวดหัวอยู่เล็กน้อย”
หัวชิงมองนางเป็นศิษย์หญิงคนโปรด แต่ก่อนตอนอยู่บนเขา นางติดตามเขาไปทุกหนทุกแห่ง เขาให้นางจัดการเรื่องสำคัญส่วนใหญ่ ทั้งยังขัดเกลานางอย่างตั้งใจ เขาชอบความสุขุมและความมุ่งมั่นของนางนัก ในหลายร้อยปีมานี้ความรู้สึกของสาวแรกรุ่นเช่นนางเขาก็รู้ดี แต่เขาไม่เคยพูดออกมา และก็ไม่ได้ต้องการคนเคียงข้าง แต่หากนางสามารถสำเร็จเป็นเซียนก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
คนเช่นเขา เรื่องความรักของหนุ่มสาวนั้นไม่สำคัญ แต่นางปักใจอยู่กับเขา นอกจากเขาแล้วนางก็ไม่เคยคุยหยอกเล่นกับผู้ชายคนไหน เขาพอใจนัก มีใครไม่พอใจบ้างเมื่อได้รับความเทิดทูนจากสาวน้อยแรกรุ่นผู้งดงาม? ถึงแม้เขาจะไม่สนใจเรื่องความรักหนุ่มสาวนัก แต่นางก็เติมเต็มความทะนงตนของชายผู้หนึ่งได้ในระดับหนึ่ง
พวกเขานั่งอยู่ในห้อง เหลียงชิวฉานมองของวิเศษจำพวกกระดองเต่าและกระดิ่งที่วางอยู่บนโต๊ะตรงกลางตั่ง
และใต้ฉากกั้นลมด้านหลังเขามีกระถางดอกจุหลันซึ่งกำลังบานเต็มที่ ใบจุหลันเขียวชอุ่มชุ่มน้ำถูกผ้าไหมกว้างขนาดหนึ่งข้อนิ้วผูกไว้เป็นปมที่สวยงาม
ยอดเขาขลุ่ยหยกมีศิษย์หญิงอยู่ห้าหกคน แต่ศิษย์หญิงที่สามารถเข้าไปในเรือนยอดนภาได้มีเพียงนางเท่านั้น นางไม่ได้มาที่นี่นานมากแล้ว และไม่เคยผูกผ้าไหมแดงไว้กับใบจุหลัน ยิ่งไปกว่านั้นหัวชิงไม่มีผ้าไหมสีสดเช่นนี้
นางก้มหน้ารับถ้วยชาที่เขารินให้ ก่อนจิบอึกหนึ่ง
มู่จิ่วยังคงตื่นตกใจกับเรื่องของเหลียงชิวฉานและหลินเจี้ยนหรูอยู่
หรือบอกได้ว่ายังคงผิดหวังอยู่บ้าง
เหตุที่นางยอมเชื่อเขา เป็นเพราะเขาไม่ได้บ่ายเบี่ยงหรือลังเลยามบอกเรื่องที่หลินเซี่ยตายด้วยเงื้อมมือตัวเอง และตอนปฏิเสธเรื่องที่ฆ่าจีหย่งฟาง เขาที่เป็นเช่นนี้ทำให้นางรู้สึกว่า ถึงแม้เขาจะเดินทางผิด แต่อย่างน้อยก็จริงใจกับนาง และเพราะแบบนี้เอง นางถึงได้ช่วยเขาหยิบยืมกุญแจจันทรา ไปช่วยอู่หลานเอ๋อร์กับเขา
เรื่องของเหลียงชิวฉานติดค้างอยู่ในใจนาง ระหว่างนางกับเหลียงชิวฉานไม่ได้มีบุญคุณความแค้นใดกัน ถึงแม้ว่ามี เขาใช้วิธีนี้ปฏิบัติต่อหญิงสาวคนหนึ่งก็ช่างไม่ตรงไปตรงมาเอาเสียเลย นางไม่เข้าใจว่าเขาเปลี่ยนไปเป็นคนเช่นนี้ได้อย่างไร นางอยากจะไปถามเขาว่าคิดสิ่งใดอยู่กันแน่ แต่จนแล้วจนรอดนางก็ไม่ได้ไป
นางแนะนำเขาไปมากพอแล้ว จนบางครั้งนางยังรู้สึกว่าตนเองทำเกินพอดีไปด้วยซ้ำ
เขาสามารถหลอกใช้เหลียงชิวฉาน ในขณะเดียวกันก็สาบานกับมู่จิ่ว เช่นนั้นเขาคงไม่ยินยอมสูญเสียอะไรไปอีกแล้วกระมัง?
ลู่ยาก็มองออกว่าหลายวันนี้มู่จิ่วมีเรื่องกังวลใจ ยามค่ำคืนเมื่อว่างจึงเรียกนางเข้ามาดื่มชาในห้อง
มู่จิ่วคิดไปคิดมา ก็เล่าเรื่องหลินเจี้ยนหรูให้เขาฟัง “ตัดเรื่องวิธีการของหลินเจี้ยนหรูออกไปก่อน พูดถึงแค่เรื่องความรักของพวกเขาก็ไม่ปกติยิ่งนัก ข้าเข้าใจว่าคนที่ไม่อาจรักหลินเจี้ยนหรูได้มากที่สุดบนโลกนี้คือเหลียงชิวฉาน แต่คิดไม่ถึงเลย มีเพียงข้าที่คิดไม่ถึง แท้ที่จริงไม่มีเรื่องที่คนบนโลกนี้ทำไม่ได้”
ลู่ยารินชาเงียบๆ ให้นาง ก่อนเอ่ย “เรื่องความรักหนุ่มสาวเป็นเรื่องที่เข้าใจยากที่สุดในโลกแล้ว”
จนถึงตอนนี้เขาก็ไม่เข้าใจว่าชอบนางที่ตรงไหน แต่ละทิ้งไม่ได้สลัดไม่หลุด ราวกับทำอะไรไปตามสัญชาตญาณ เหมือนถูกกำหนดไว้แล้วว่าเขาต้องปฏิบัติเช่นนี้ต่อนาง น้อยกว่านี้สักนิดก็ไม่ได้
มู่จิ่วเท้าคางพลางยิ้ม “แม้แต่เทพเซียนเช่นเจ้าก็จนปัญญาเช่นนั้นหรือ?”
“ถูกแล้ว” ลู่ยาเหลือบมองนาง คว้าจับดอกท้อที่ลอยเข้ามาทางหน้าต่าง แปลงมันเป็นดอกไม้ประดับตรงกลางฝ่ามือ ก่อนติดมันลงบนหน้าผากนาง เอ่ยพร้อมมองอย่างพินิจพิเคราะห์ “จนปัญญากับเจ้าจริงๆ”
มู่จิ่วเอนซบไหล่เขา ริมฝีปากยกยิ้ม
นางเงยหน้าขึ้นมองหน้าเขา กอดแขนเขาก่อนจุมพิตแก้มเขาไปทีหนึ่ง
ลู่ยาก้มหน้ามองมู่จิ่ว ยกริมฝีปากสัมผัสแก้มนางเช่นกัน
เขาเรียกผังเข็มทิศออกมา ก่อนพูด “สักสองสามวันมานี้ข้าไปที่เขาหงชางมา”
มู่จิ่วนั่งตัวตรง “เป็นอย่างไรบ้าง?”
“ข้าครุ่นคิดเรื่องการหายไปของหลิวหยางใหม่อีกครั้ง มีเรื่องหนึ่งค่อนข้างน่าสงสัย” เขาชี้ไปบนผังเข็มทิศ จากนั้นภาพก็ลอยขึ้นมา เป็นวันนั้นที่เขาไปหงชาง เห็นภาพเหล่าเด็กอ้วนกำลังเก็บลูกพลับ เขาเอ่ยว่า “ตั้งแต่ข้าเข้าไปในภูเขาจนเจอกับจื่อจิ้ง ออกมาแล้วเข้าไปอีกรอบ ข้ามั่นใจว่าหลิวหยางสัมผัสถึงข้าไม่ได้”
มู่จิ่วมองอย่างละเอียด เงยหน้าขึ้นพูด “แล้วอย่างไรเล่า?”
“ไม่เพียงเขาสัมผัสถึงข้าไม่ได้ เหล่าศิษย์พี่ของเจ้าก็สัมผัสถึงข้าไม่ได้ ในเมื่อไม่มีคนพบเจอข้า ทำไมตอนที่ข้ากับจื่อจิ้งกลับไปเจอไผ่กำราบหกสัมผัสกับต้นไม้เจ็ดอัญมณี เขาที่ไม่ได้อยู่เรือนสนครวญถึงตัดสินใจหนีหายไปได้อย่างรวดเร็วเช่นนั้น?” ลู่ยายังคงพูดช้าๆ ทว่าคำพูดแต่ละคำกลับมีน้ำหนักยิ่งนัก
มู่จิ่วชะงักเล็กน้อย “นี่ไม่ได้แปลกประหลาดอะไร วิชาอาคมของหลิวหยางไม่ด้อย และหากเขาเป็นจุ่นถีจริง เขาใช้วิชาหลบลี้ไปก็ไม่ใช่เรื่องยาก ยิ่งไปกว่านั้นเจ้าเจอต้นไม้เจ็ดอัญมณีก่อนจะไปเรือนสนครวญ ระว่างนั้นมีเวลาตั้งมากให้เขารู้เรื่องและตัดสินใจ ไม่นับว่าเป็นเรื่องยาก”
“แต่เขาไม่เคยพบข้ามาก่อนมิใช่หรือ” ลู่ยาจับจ้องนางแน่นิ่ง “ครานั้นที่เจ้าพารุ่ยเจี๋ยกับอาฝูกลับไปหงชาง ข้าก็ไปมาด้วยเช่นกัน ตอนนั้นข้าคิดไม่ถึงว่าเขาเป็นจุ่นถี จึงไม่ได้อำพรางกายอย่างดี เขาย่อมต้องเห็นข้าแน่นอน แต่ตอนนั้นเขากลับไม่หนีไป และก็ไม่ได้ตื่นตกใจจนเสียกิริยา”
มู่จิ่วนิ่งอึ้ง ครั้งนั้นเขาไปหงชาง นางกลับไม่รู้เลยแม้แต่น้อย
แต่เมื่อครุ่นคิดตามคำพูดของเขาแล้วก็มีเหตุผลนัก หากหลิวหยางไม่อยากเจอหน้าลู่ยา เช่นนั้นทำไมเขาถึงไม่จากไปทันทีที่นางออกจากหงชางไป? ไม่เพียงไม่จากไป เขายังสนับสนุนให้มู่จิ่วกับลู่ยาอยู่ด้วยกันเสมอ อีกทั้งเขาไม่ต่อต้านและไม่ได้มีปัญหา หรือเพียงไม่ได้คิดว่าภายหลังลู่ยาจะกลับมาหงชาง?
เหตุใดเขาจึงเลือกจากไปอย่างเร่งร้อนเพียงนั้น?
“เช่นนั้นเจ้าคิดว่าอย่างไร?” นางถาม
“ตอนนี้ข้าก็ไม่มีความคิดที่ชัดเจนเช่นกัน” ลู่ยามองผังเข็มทิศ “เบาะแสน้อยเกินไป คาดเดาเช่นไรก็มีความเป็นไปได้ทั้งนั้น”
มู่จิ่วละสายตากลับมา นิ่งอยู่พักหนึ่งก่อนมองไปยังผังเข็มทิศของเขา
ลู่ยาในภาพเดินเข้าไปในห้องของหลิวหยาง หลิวหยางที่นั่งขัดสมาธิอ่านหนังสือกับเขาในความทรงจำนางไม่มีอะไรแตกต่าง ลู่ยากำลังพิจารณาเขา และเขากำลังครุ่นคิดเหม่อลอยพร้อมกับเคลื่อนผังดวงชะตา
“นี่เป็นคำทำนายที่ดี”
ลู่ยามองนาง
มู่จิ่วไม่ได้พูดอะไร นางจับตาดูต่อไป จนเห็นมู่หัวเข้ามารายงาน “อาจารย์ จื่อเย่าเจินเหรินมาขอพบ…”
เสียงไม่ใคร่ชัดเจนนัก เหล่าศิษย์ต่างสำรวมเมื่ออยู่ต่อหน้าหลิวหยางเสมอ
แต่มู่จิ่วกลับขมวดคิ้วเอ่ย “จื่อเย่าเจินเหริน?”
“ตอนนั้นเป็นเช่นนี้ หลังจากจื่อเย่าเจินเหรินผู้นั้นมาถึง หลิวหยางก็ออกไป” ลู่ยาถาม “เจ้ารู้จักหรือไม่?”
“ไม่รู้จัก” มู่จิ่วยืดตัวขึ้น “สหายของอาจารย์ไม่มาก สหายเซียนที่คบหากับอาจารย์นับรวมกันแล้วไม่เกินห้านิ้วมือ จื่อเย่าเจินเหรินผู้นี้ข้าไม่เพียงไม่เคยเห็น ยังไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อนด้วย”
…………………………
บทที่ 316 หาคนผู้นี้ไม่เจอ
โดย
Ink Stone_Romance
“เช่นนั้นทำไมเขาถึงมาหาหลิวหยางได้?” ลู่ยาสับสน
“นี่เป็นเรื่องผิดปกติ อาจารย์ไม่เพียงแค่มีเพื่อนที่ข้าไม่รู้จักเลย ทั้งยังลุกขึ้นไปพบอย่างไม่ครุ่นคิดอีกด้วย ยิ่งเห็นได้น้อยนัก” มู่จิ่วมองเขาพลางเอ่ย “อาจารย์ไม่พบกับคนแปลกหน้า ครั้งก่อนข้าถล่มภูเขาของสำนักตะวันอำพรางไป คนของพวกเขาบุกมาถึงหงชาง อาจารย์ยังไม่พบเลย”
ลู่ยาเงียบไป
มู่จิ่วจึงเงียบตาม
หลิวหยางที่แต่ไหนแต่ไรมาไม่รับแขกแปลกหน้ากลับไปพบจื่อเย่าเจินเหรินผู้นี้อย่างไม่ลังเล ทั้งเขายังทำนายผังดวงชะตาเหมือนกับครุ่นคิดอะไรอยู่ จื่อเย่าเจินเหรินนี้คือผู้ใด ผังดวงชะตานี้เป็นของใครกัน?
“พรุ่งนี้เจ้าไปฝ่ายบริหาร สืบค้นว่าจื่อเย่าเจินเหรินคือผู้ใด พวกเราลองค้นหาดูก่อน” ลู่ยาเก็บผังดวงชะตาไป
มู่จิ่วพยักหน้าก่อนยกชาเย็นชืดตรงหน้าขึ้นดื่มจนหมด
ถึงแม้ไม่มีใครพูดชัดเจน แต่ความหมายที่อยู่เบื้องหลังของคำถามนี้ชัดเจนนัก
ถึงแม้หลิวหยางมีหลักฐานยืนยันมากมายว่าเขาไม่ใช่ชายชุดเขียว แต่ตัวเขายังมีปริศนาที่ยังไม่คลี่คลายอยู่อีก พวกมู่จิ่วคิดไม่ออกจริงๆ ว่าเหตุใดเขาต้องหลบหนีไป
ความจริงมู่จิ่วไม่อาจยอมรับได้ว่าหลิวหยางคือชายชุดเขียว ให้เหมือนเขาสักนิดก็ไม่ยินยอม จื่อเย่าเจินเหรินที่พลันปรากฏตัวออกมานี้เป็นราวแสงสว่างส่องหนทาง ภูมิหลังของเขาได้กลายเป็นตัวแปรสำคัญ นางหวังว่าเขาจะเป็นเพียงซ่านเซียนธรรมดาผู้หนึ่ง เพราะต้องติดต่อกับหลิวหยางจึงได้มาเยี่ยมถึงสำนัก
เมื่ออดกลั้นความอยากรู้อยากเห็นไม่อยู่ วันถัดมานางจึงมุ่งตรงไปยังฝ่ายบริหารแต่เช้าทันที
นางเดินอยู่แถววังหลิงเซียวบ่อยครั้ง เจ้าหน้าที่ในหกหน่วยต่างรู้จักนาง เมื่อได้ยินคำขอของนางก็เปิดทะเบียนเซียนขึ้นมาพลิกดู
เจ้าหน้าที่เซียนพลิกไปรอบหนึ่ง จากนั้นพลิกอีกรอบหนึ่ง ก่อนพูด “ไม่มีเซียนที่ชื่อจื่อเย่าเจินเหริน ใต้เท้ากัวจำผิดหรือไม่?”
ไม่มี?
มู่จิ่วยืนขึ้น รับทะเบียนเซียนมาเปิดเอง พบว่าไม่มีจริงๆ! นางจึงหาทั้งเสียง ‘จื่อ’ และ ‘จือ’ ทว่าไม่มีคนชื่อเช่นนี้เลย
นี่แปลกนัก
หรือจื่อเย่าเจินเหรินก็ปลอมตัวมา?
นางครุ่นคิดอยู่สามวินาที คืนทะเบียนเซียนก่อนเอ่ยขอบคุณ แล้วมุ่งกลับบ้านไปอย่างรวดเร็ว
ลู่ยาได้ยินเรื่องนี้ก็ไม่ได้ตกใจอะไร เขาเพียงครุ่นคิดสักครู่ก่อนเอ่ย “ในเมื่อหาไม่เจอ นั่นก็แสดงว่าพวกเราเดินมาถูกทางแล้ว จื่อเย่าเจินเหรินผู้นี้ผิดปกติ หลิวหยางก็เช่นกัน” พูดถึงตรงนี้เขาก็ชะงัก “ถึงแม้พวกเขาไม่เกี่ยวกับชายชุดเขียว แต่ย่อมต้องมีความลับแน่”
เขาเชื่อคำพูดของหุนคุน ในเมื่อฝ่ายนั้นยืนกรานว่าหลิวหยางไม่ใช่ชายชุดขียว เช่นนั้นต้องไม่ใช่แน่นอน
แต่หากต้องการหาที่อยู่ของเขา เกรงว่าก่อนอื่นต้องรู้ให้ได้ก่อนว่าจื่อเย่าเจินเหรินคือผู้ใด
ความเป็นไปได้ที่หลิวหยางจะโดนลักพาตัวหรือโดนทำร้ายนั้นมีไม่มาก ในเมื่อจื่อเย่าเจินเหรินปรากฏตัวก่อนหน้าที่เขาจะหายตัวไปพอดี นั่นนับได้ว่าทั้งสองอาจจะหายไปด้วยกัน หรือคาดเดาได้ว่าการหายไปของหลิวหยางอาจเป็นเพราะการมาเยือนของจื่อเย่า ไม่ใช่เพราะลู่ยา…
และผังดวงชะตาที่หลิวหยางทำนายไว้ก่อนหน้าถือเป็นเบาะแส เป็นไปได้หรือไม่ว่าเป็นการทำนายการมาถึงของจื่อเย่า?
“วางเรื่องนี้ลงก่อน พวกเราต้องพุ่งเป้าไปที่ชายชุดเขียว และการหายไปของหลิวหยางไม่ได้หมายถึงเรื่องไม่ดี” เขาพูด
คำพูดสุดท้ายนี้เตือนสติมู่จิ่ว การหายตัวไปของหลิวหยางไม่ได้หมายความว่าไปทำเรื่องไม่ดี ถ้าหากเป็นเรื่องดีล่ะ?
ลู่ยาปลอบนาง “เจ้าวางใจเถิด ในเมื่อศิษย์พี่ของข้าบอกว่าเขาไม่ใช่ชายชุดเขียว ย่อมต้องไม่ใช่เขาแน่”
แน่นอนว่านางเชื่อคำพูดของหุนคุน จึงยักไหล่และวางเรื่องนี้ไปก่อน
แต่เพียงกลับไปถึงเรือนของตนเอง นางกลับอดนึกถึงจื่อเย่าผู้นี้ไม่ได้
การปรากฏตัวของเขาประหลาดเกินไปแล้ว
น่าเสียดายที่ช่วงนี้ไม่มีคดีน่าสงสัยอะไรให้ทำ และดูไม่ออกว่าจื่อเย่าผู้นี้เกี่ยวข้องกับชายชุดเขียวหรือไม่ ถึงแม้หลิวหยางไม่ผิดปกติ แต่ใครจะยืนยันได้ว่าจื่อเย่าซึ่งไม่รู้ที่มาที่ไปนี้ผิดปกติหรือไม่?
นางครุ่นคิดอยู่นานก่อนลุกเข้าไปในห้อง เปิดห่อผ้าหยิบห่อกระดาษ นำเอานกกระเรียนกระดาษขึ้นมา
นางส่งพลังวิญญาณให้กระเรียนกระดาษ และเขียนลงไปอีกหลายประโยค จากนั้นหยิบใบไม้แห้งแปะลงไป ก่อนปล่อยมันบินออกทางหน้าต่าง
ใบไม้แห้งนั้นเป็นใบต้นเฟิง (เมเปิ้ล) ที่ชิงเสียศิษย์ของศิษย์พี่เจ็ดเก็บมาจากบนเขา ตอนที่นางออกมาจากหงชาง ชิงเสียให้ไว้เป็นของขวัญ
เด็กผู้นั้นเห็นนางเป็นผู้นำมาตลอด กระเรียนกระดาษเป็นสิ่งที่หลิวหยางให้นางเมื่อปีก่อน อาคมย่อมแก่กล้า นางเก็บมันไว้เพื่อขอความช่วยเหลือจากหลิวหยางในยามขับขัน หากมันสามารถหาตัวชิงเสียได้ นางต้องติดต่อมู่จิ่วกลับมาแน่
…ขอเพียงแค่กระเรียนกระดาษไปถึงมือชิงเสีย
ทางด้านลู่ยา เรื่องของชายชุดเขียวไม่มีอะไรคืบหน้า
การคาดเดาของเขาถูกต้องชัดเจน ชายชุดเขียวไม่ได้มาปรากฏตัวที่สวรรค์
ช่วงนี้มู่จิ่วก็ไม่มีคดีอะไรให้ต้องจัดการ เขาจึงมุ่งความสนใจไปกับการฝึกฝนรุ่ยเจี๋ยและอาฝู
เพราะเบื่อหน่ายนัก จื่อจิ้งจึงกลับไปยังวังจิตกระจ่าง แต่ถูกหุนคุนเตะกลับมา ดังนั้นเลยยิ่งซึมเซา ไร้ความกระตือรือร้น ไม่มีกระจิตกระใจแม้แต่จะพูดโอ้อวด
เหลียงชิวฉานอยู่ที่สำนักแรกพยับสองวัน เป็นลูกมือให้หัวชิงสองวันเต็ม
กฎของสำนักแรกพยับคือเมื่อเจ้าสำนักเลื่อนขั้นเป็นจินเซียนแล้วต้องสละตำแหน่งให้เจ้าสำนักคนใหม่ และอดีตเจ้าสำนักต้องออกท่องยุทธจักรบำเพ็ญเพียรทำความดี สั่งสอนวิชาที่ได้มาให้แก่คนรุ่นหลัง หัวชิงก็ใกล้ผ่านด่านเคราะห์พอดี ดังนั้นเรื่องสำคัญของสำนักแรกพยับในช่วงนี้คือคัดเลือกเจ้าสำนักคนใหม่
กลายเป็นเจ้าสำนักแน่นอนว่าต้องมีข้อดีไม่น้อย นอกจากอำนาจที่จะได้แล้ว ยังได้ครอบครองคัมภีร์บำเพ็ญเพียรลับของเจ้าสำนัก ทั้งยังได้มหาโอสถทองที่มีเพียงหนึ่งเดียว สิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องรับประกันว่าเจ้าสำนักทุกรุ่นย่อมสำเร็จเป็นเซียน สุดท้ายจะสามารถกลับมาคืนคุณแก่สำนักได้
การคัดเลือกเจ้าสำนักทุกรุ่นจึงเข้มงวดยิ่งนัก
ครั้งนี้คนที่ดูเป็นเดือดเป็นร้อนที่สุดเห็นจะเป็นจีหมิ่นจวินและผู้อาวุโสหลิวเติงเจินเหริน
หัวชิงเป็นคนรุ่นก่อนหลิวเติงเจินเหริน
หลิวเติงเจินเหรินเป็นหลานศิษย์ของหัวชิง ศิษย์สายตรงของเจ้าสำนักคนก่อน มากความสามารถ เต็มไปด้วยคุณธรรม สามร้อยปีก่อนเลื่อนขั้นเป็นเซียน ยามที่ขึ้นเป็นเป็นเซียนนั้นอายุเพียงแปดพันปีเท่านั้น หนำซ้ำอาวุโส เหมาะจะเป็นผู้สืบทอด เหล่าผู้อาวุโสก็ไม่คัดค้าน อันที่จริงฐานะของพวกเขาก็ไม่ด้อย ถึงแม้เข้าชิงตำแหน่งก็ครองตำแหน่งไว้ได้ไม่นาน ทั้งยังอาจไม่จำเป็นต้องใช้คัมภีร์ลับยาเซียนเหล่านั้นแล้วด้วย
ดังนั้นการแย่งชิงตำแหน่งเจ้าสำนักจึงล่อตาล่อใจเหล่าศิษย์รุ่นเยาว์ผู้มีความสามารถมากกว่า
จีหมิ่นจวินไม่เห็นด้วยกับพวกหัวชิง นางคิดว่าลูกชายของนางจีเทียนเฉินเหมาะสมกับตำแหน่งเจ้าสำนักยิ่งกว่า เหตุผลคือความสามารถของเขาไม่น้อย ตระกูลจีของพวกเขาก็เป็นเครือญาติของราชวงศ์อาณาจักรจื่อจิว อีกทั้งเขายังเป็นถึงหัวเสินแล้ว ห่างกับหลิวเติงไม่มาก กลับกัน เขาสามารถดำรงตำแหน่งได้นานกว่าหลิวเติง สร้างความมั่นคงกับแรกพยับได้ดีกว่า
ทุกคนต่างดูออกว่าเหตุผลทั้งหมดนั้นเป็นข้ออ้าง ความจริงคือหมายตาตำแหน่งเจ้าสำนักไว้
…………………………………………….
บทที่ 317 เวลาผันผ่านก่อกำเนิดความรัก
โดย
Ink Stone_Romance
แต่ถึงแม้รู้แล้วจะทำอย่างไรได้?
อย่างไรนางก็วางอำนาจบาตรใหญ่จนเคยตัวแล้ว ไม่เคยไว้หน้าแม้กระทั่งหัวชิง
ลับหลังยามที่อยู่กันเพียงลำพัง เหลียงชิวฉานก็แอบถามหัวชิงอย่างอดไม่ได้ “ถึงแม้นางจะเป็นเชื้อสายของราชวงศ์ แต่เมื่อเข้ามาในสำนักแรกพยับแล้วย่อมเป็นศิษย์ของสำนัก ทำไมอาจารย์ต้องกลัว?”
หัวชิงเพียงตอบ “เจ้าไหนเลยจะรู้ถึงความร้ายกาจของนาง?”
ด้านหนึ่งก็อึดอัดขับข้องใจในการมาของจีหมิ่นจวินมาก
เหลียงชิวฉานจึงไม่พูดมากอีก
ก็ไม่รู้อย่างไร มาครั้งนี้หัวชิงที่แต่ก่อนดูสมบูรณ์แบบกลับดูธรรมดาสามัญ ทำให้รู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง เริ่มตั้งแต่เห็นผ้าผูกแดงที่ผูกช่อจุหลันในห้อง จนถึงความไร้กำลังและการถอยให้ยามเผชิญหน้ากับจีหมิ่นจวิน ทั้งที่เป็นหัวหน้าสำนักผู้หนึ่งแต่กลับละล้าละหลังไม่กล้าตัดสินใจกระทำเด็ดขาด นางรู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง
นางไม่รู้ว่าความลุ่มหลงมัวเมาที่มีต่อเขาเมื่อก่อนนั้นมาจากไหน แต่เขาไม่เคยเปลี่ยนมาตลอด เป็นนางที่เปลี่ยนไปเอง
การแทรกเข้ามาของหลินเจี้ยนหรูเข้าแทนที่ตำแหน่งของหัวชิงในใจนาง นางพลันรู้สึกเหนื่อยกับความใกล้ชิดที่หัวชิงแสดงกับนาง
สองวันนี้นางตั้งใจจับตามองเหล่าศิษย์หญิงในยอดเขาขลุ่ยหยก ด้วยสัญชาตญาณของหญิงสาว นางพุ่งเป้าไปที่ศิษย์หญิงชื่อฟู๋อิงซึ่งเพิ่งเข้าสำนักมาได้ไม่ถึงสามร้อยปี หลังจากเลือกเป้าหมายได้แล้วก็ลอบสังเกต และก็จับได้ไม่ยากนัก ฟู๋อิงมายุ่มย่ามอยู่ที่เรือนยอดนภาบ่อยครั้งหลังจากนางออกจากสำนักไป และเป็นคนที่ให้ดอกจุหลันผูกผ้าแดงแก่หัวชิง
ตอนนี้นางกลับไม่มีเรี่ยวแรงหึงหวงด้วยซ้ำ
แต่การมีอยู่ของฟู๋อิง เป็นการบอกว่าข้างกายหัวชิงไม่ได้มีเพียงนางเท่านั้น
นางเคยพยายามยืนยันความสำคัญของตัวเองกับหัวชิง แต่ตอนนี้หัวชิงกลับปล่อยให้คนอื่นเข้ามารับช่วงต่ออย่างง่ายดาย
นางไม่ได้คิดจะโทษอะไรเขา พวกเขาก็ไม่ได้ให้สัตย์สาบานต่อกัน ทั้งเขายังเป็นอาจารย์ผู้ประสิทธิ์ประศาสตร์วิชาให้นาง นางไม่มีคุณสมบัติอะไรไปกล่าวโทษเขา
นางเพียงแค่ผิดหวัง บางครั้งของที่เจ้าพยายามเลือดตาแทบกระเด็นเพื่อให้ได้มา กลับเป็นเพียงเรื่องง่ายๆ ในสายตาคนอื่น
“อาฉาน?”
หัวชิงใช้ด้ามพู่กันแตะแขนเหลียงชิวฉาน ขัดจังหวะความคิดนาง
นางคืนสติกลับมา ถึงเห็นว่าหมึกที่ฝนอยู่กระเซ็นออกมาหมด
“เจ้ามีเรื่องกังวลใจอันใด?” หัวชิงมองออก
นางกุมหน้าคิดถึงสีหน้าสับสนของตนเอง หากต้องการปฏิเสธอีก เกรงว่าเขาคงไม่เชื่อ
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น?” หัวชิงหันมาเผชิญหน้ากับนาง ก่อนเอ่ย “ทำไมอยู่ๆ เจ้าถึงกลับมากลางดึก?”
น้ำเสียงอ่อนโยนนี้ไม่ต่างกับท่าทีเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ตอนที่เผชิญหน้ากับความไร้เหตุผลของจีหมิ่นจวิน แต่เวลานี้กลับทำให้ใจที่ผิดหวังของนางอบอุ่นขึ้น
ขอบตานางร้อนผ่าว หลุบตาต่ำแล้วกล่าว “เพียงแค่คิดถึงบ้านเท่านั้นเจ้าค่ะ”
“ไม่เพียงเท่านี้หรอกกระมัง?” หัวชิงขมวดคิ้ว “ข้าเห็นว่าเจ้าผ่ายผอมลง หลายวันนี้ไม่ค่อยมีสมาธิ เจ้าต้องเจอเรื่องอะไรมาแน่”
นางไม่กล่าว ในใจร้อนรนยิ่ง
หัวชิงมองนางอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนขมวดคิ้ว “หรือเจ้าจะมีคนในใจแล้ว?”
ใจนางสั่นไหวเล็กน้อย อดเงยหน้าขึ้นไม่ได้
สีหน้าของหัวชิงเย็นชา “เขาเป็นใคร?”
เหลียงชิวฉานไม่กล้าตอบ และไม่คิดจะตอบด้วย
แต่เวลานี้นางพลันมีความคิดชั่วร้ายอย่างหนึ่ง
หัวชิงไม่ได้มีนางเพียงคนเดียว ด้วยนิสัยอ่อนโยนของเขาคงไม่ทำอะไรนางเพราะเรื่องนี้ หลินเจี้ยนหรูเป็นศิษย์ในสำนัก นางก็เป็นเช่นเดียวกัน ไม่มีใครออกกฎว่าศิษย์ชายหญิงในสำนักห้ามคบหากัน ถึงแม้เขาจะเป็นลูกนอกสมรสก็ตาม นางพลันอยากเห็นหลินเจี้ยนหรูถูกหัวชิงจับกลับมา นางอยากดูว่าเขาจะเตรียมรับมือกับคำถามของหัวชิงอย่างไร
ถึงแม้นางรู้ว่าเขาไม่ใช่คนดีอะไร อาจลากนางมาเป็นแพะรับบาป แต่นางเพียงอยากเห็น อยากเล่นกับไฟ
“เป็นหลินเจี้ยนหรู”
นางมองตาทั้งสองของหัวชิง เอ่ยชื่อนี้ออกมาอย่างช้าๆ
สีหน้าของหัวชิงในสายตานางนั้นตื่นตะลึง แข็งค้าง ดวงตาทั้งสองเบิกกว้าง คาดไม่ถึงว่าจะเป็นชื่อนี้
“เจ้า ทำไมเจ้าถึงคบหากับเขา!”
หากบอกไม่โกรธก็โกหกแล้ว ตั้งแต่นางเข้ามาในสำนัก ความรู้สึกแรกรักของสาวน้อยก็เป็นของเขาทั้งหมด ทำให้เขาจนปัญญาจะรับไว้ ผู้ติดตามที่เขาเข้าใจว่าเทิดทูนปักใจกับเขา กลับปันใจไปให้ชายอื่นโดยฉับพลัน อีกทั้งชายคนนั้นยังเคยเป็นคนที่นางดูถูก เคยเกลียดชัง ทั้งอาจจะเป็นคนที่ต้อยต่ำที่สุดในสำนักซึ่งเคยลงมือรังแกด้วย!
“ข้ากับเขาอยู่ด้วยกันนานจนเกิดความรักต่อกัน”
นางเอ่ยช้าๆ และก็คอยมองไม่ให้พลาดสีหน้าใดๆ ของเขา
นางรู้สึกพอใจกับเขาอยู่บ้าง
คล้ายกับเป็นการเอาคืนเล็กๆ น้อยๆ
ถึงแม้นางเป็นสมบัติของเขา ครานี้สมบัตินี้ปันใจเป็นอื่น ไม่รู้เขาจะมีความรู้สึกถูกหักหลังหรือไม่
นี่เป็นความรู้สึกเหมือนกับตอนที่นางเห็นดอกจุหลันผูกผ้าแดง หรือยามที่เห็นฟู๋อิงกับเขาเดินเคียงกันไปบนถนน
หัวชิงยังคงเงียบไม่เอ่ยปากอยู่นาน
เปลวเพลิงในดวงตาเขาดับไป ใช้ระยะเวลาราวครึ่งก้านธูป
เขามองนางที่อยู่ใกล้ๆ ความรู้สึกเหมือนโคมไฟที่ถูกดับ ค่อยๆ มืดลง
ถึงแม้คิดไม่ถึงอย่างสิ้นเชิง แต่นางเป็นเพียงศิษย์ของเขาเท่านั้น ถึงจะปันใจไปรักผู้อื่น เขาก็ไม่เหมาะจะพูดอะไร
เขาก็ไม่ได้ขาดศิษย์หญิง
แต่เขาก็ยังคงรับไม่ค่อยได้อยู่ดี “เจ้าชอบเขาได้อย่างไร?”
“เขาก็ดีมาก”
เหลียงชิวฉานหลุดปากพูด พูดจบถึงรู้สึกว่าพูดเร็วเกินไป ถึงแม้หลินเจี้ยนหรูเคยทำร้ายนาง หลอกนาง นางกลับรู้สึกว่าเขาเป็นชายชาตรีมากกว่าหัวชิงนัก
นางชอบความเด็ดขาด ความมั่นคง ความดุดันที่ทำร้ายนางโดยไม่คำนึงถึงผลลัพธ์ใด ถึงแม้ส่วนมากสิ่งเหล่านี้แสดงออกมาเพื่อปฏิบัติต่อนาง หัวชิงก็สู้ไม่ได้เลย เมื่อเทียบหลินเจี้ยนหรูกับเขาแล้ว นางยินดีจะเชื่อมากกว่าว่าหัวชิงเป็นคนไม่ชัดเจน รักพี่เสียดายน้อง แต่หลินเจี้ยนหรูกับมู่จิ่ว…ไม่แน่เรื่องอาจจะไม่เป็นอย่างที่นางคิด
แต่นางไม่เคยพูดวิจารณ์มาก่อน ยิ่งไม่เคยพูดกับหลินเจี้ยนหรู
ดังนั้นคำนี้จึงหลุดออกมา แม้แต่นางเองยังคิดไม่ถึง
“ออ…”
หัวชิงรับคำอย่างงุนงง เขาเป็นเจ้าสำนัก ไม่ค่อยมีโอกาสเจอหลินเจี้ยนหรูเท่าไหร่นัก ตำแหน่งต่างกันมากเกินไป บางครั้งไม่ได้ใส่ใจการมีอยู่ของเขาเลยด้วยซ้ำ แต่เพราะความสัมพันธ์ของจีหมิ่นจวิน คนในสำนักแรกพยับปฏิบัติต่อเขาอย่างไร หัวชิงกลับรู้ชัดแจ้งดี
เห็นแก่หลินเซี่ย เขาไม่ได้มองหลินเจี้ยนหรูไม่ดี สิ่งที่เขาควรได้รับล้วนได้รับ ดังนั้นเขาก็มีโอกาสคัดตัวไปสวรรค์เช่นเดียวกัน ถึงอย่างไรก็เป็นลูกชายของหลินเซี่ย หากเป็นลูกนอกสมรสของเขาเอง เขาย่อมต้องไม่ดูถูกหลินเจี้ยนหรูแน่ ดังนั้นที่นางพูดว่าเขาก็ดีมาก หัวชิงจึงไม่มีความเห็นอะไร หญิงสาวใจหวั่นไหวแล้ว ย่อมต้องรู้สึกว่าอีกฝ่ายนั้นดียิ่ง
“เช่นนั้นเจ้ากลับมาทำไม?” เขาถาม
เหลียงชิวฉานคิดว่าเขาจะโกรธจัด จึงได้แอบเตรียมใจไว้
ตอนนี้เขากลับสงบนิ่ง ถามอย่างอ่อนโยนเช่นนี้ น้ำตาของนางจึงไหลออกมา
ตอนแรกที่นางหลงมัวเมาในตัวเขา เป็นเพราะเขาใจกว้างเช่นนี้หรือ? หากนี่สามารถเรียกว่าใจกว้างได้ละก็
“เขา…”
“เขาทำไม?”
“เขา…”
มือทั้งสองของนางกุมกระโปรงแน่น ทรวงอกสะท้อนขึ้นลง สุดท้ายนางกัดฟันพูด “เขาพรากความบริสุทธิ์ของข้าไป แล้วยังทอดทิ้งข้า!”
………………………………………………
บทที่ 318 ผ่อนคลายดุจเซียน
โดย
Ink Stone_Romance
นางปิดดวงตาลงทั้งสองข้าง…มีทางให้เดินมากมาย มีคำให้พูดมากมาย นางกลับผลักตนเองมาหนทางอันตรายนี้! เมื่อพูดคำนี้ออกไป นางกับหัวชิงก็จบกันสิ้นแล้ว
หัวชิงตกใจอีกครั้ง ก่อนยืนขึ้นมา “เจ้าสัตว์เดรัจฉาน! เขาอยู่ที่ไหน?!”
นางเงยหน้าขึ้นมองเขา “บนสวรรค์”
เหลียงชิวฉานแทงหลินเจี้ยนหรู ทิ้งปากแผลขนาดเจ็ดแปดชุ่นไว้ หากเป็นแต่ก่อนแผลใหญ่เช่นนี้สามารถทำให้เขานอนซมอยู่เป็นเตียงหลายวัน มาตอนนี้เขาเพียงแค่นั่งปรับพลังลมปราณก็สามารถหยุดเลือดได้แล้ว เพียงแค่เลือดหยุด ลงยารักษาบาดแผลไป จากนั้นปรับลมหายใจรักษาตนเองให้ตรงเวลา ผ่านไปไม่กี่วันก็จะกลับคืนสู่สภาพเดิม
นางช่างเป็นแม่เสือดุร้ายเสียจริง!
แต่ได้ตัดขาดกันชัดเจนเช่นนี้ก็นับว่าคุ้ม
ดังนั้นสองวันนี้เขาจึงไม่ได้เดินไปทางถนนตะวันตกเลยเพียงเพื่อหลบหน้าเหลียงชิวฉาน
หลินเจี้ยนหรูไม่รู้ว่านางกลับสำนักแรกพยับ และไม่กังวลว่านางจะไปไหน แต่เดิมก็แค่ลวงหลอกความรู้สึก ตอนนี้แตกหักกันไปแล้ว เขายังจะอาลัยอาวรณ์สิ่งใดอีก?
วันนี้ยามบ่ายงีบหลับสักหน่อย กินข้าวเย็นก่อนเข้าไปที่หน่วย เพิ่งเดินออกจากประตูใหญ่ได้พลันมีลมสายหนึ่งปะทะเข้ามาด้านหลัง เขารีบหลบพร้อมเคลื่อนพลังมาที่ฝ่ามือทั้งสอง…ลมนี้มาอย่างไร้ต้นสายปลายเหตุ ต้องไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่
รอจนเขายืนมั่น ด้านหน้าก็มีคนปรากฏตัว
เมื่อมองไปกลับเป็นหัวชิงขมวดคิ้วยืนประจันหน้าอยู่!
ใจของเขาเต้นเร็ว ไม่รู้ว่าทำไมหัวชิงมาอยู่ที่นี่!
“ทำไม เจ้าคิดจะลงมือกับข้าหรือ?” หัวชิงมองหลินเจี้ยนหรูอย่างเย็นชา ใบหน้ากราดเกรี้ยว
“ศิษย์ไม่กล้า!” เขารีบค้อมตัว “ศิษย์เพียงไม่รู้ว่าอาจารย์จะมาที่นี่” พูดจบก็ยืดตัวขึ้น มองหัวชิงเล็กน้อย ก่อนถาม “อาจารย์มาพบสหายเซียนที่สวรรค์หรือขอรับ?” เขานึกออกแต่เพียงเหตุผลนี้ จะยังมีสาเหตุอะไรให้มาพบเขาอีก? กว่าครึ่งต้องมาพบสหายเซียน ระหว่างทางกลับเจอเขาเข้าพอดี
หัวชิงไม่ได้ตอบเขา แน่นอนว่าเหตุผลที่เขามาไม่เหมาะจะพูดกลางแจ้ง เขาเอ่ยช้าๆ “ข้ามีเรื่องอยากถามเจ้าสักหน่อย เจ้าตามข้ากลับไป”
หลินเจี้ยนหรูอยู่ที่แรกพยับมานานหลายปีขนาดนั้น อีกทั้งตอนนี้ยังมีความผิดติดตัว ทำไมต้องตามเขากลับไปเวลานี้ด้วย?
จึงกล่าว “ศิษย์ยังคงมีภาระหน้าที่ หากอาจารย์มีเรื่องอะไร สามารถพูดที่นี่ได้เลยขอรับ”
“ข้าไปบอกที่หน่วยแทนเจ้าแล้ว ไปเถอะ!” น้ำเสียงของหัวชิงแข็งกร้าวขึ้น
หลินเจี้ยนหรูยิ่งรู้สึกต่อต้าน เหลียงชิวฉานมีความสำคัญต่อหัวชิงมากขนาดไหนเขาย่อมรู้ดีแก่ใจ แม้แต่จีหมิ่นจวินยังต้องไว้หน้านางถึงสามส่วน ครั้งนี้หัวชิงขึ้นสวรรค์มาจับเขาด้วยตนเอง เหลียงชิวฉานต้องอยู่เบื้องหลังแน่นอน! เขายังไม่โง่ขนาดจะเดินไปรับโทษเอง!
แต่หัวชิงกลับไม่เคยให้โอกาสเขา เห็นเขากำลังถอยก็ปลดปล่อยพลังวิญญาณกักแขนขาของเขาทันที
มีหรือที่หลินเจี้ยนหรูจะยินยอมให้จับ เพียงชั่วพริบตาเดียวก็ปล่อยฝ่ามือออกไป มือที่เคลื่อนไหวเป็นอิสระนี้พุ่งเข้าไปปะทะครอบมวยผมของหัวชิง!
“เจ้า…”
ถึงแม้หัวชิงจะไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่ก็ตกใจจนหน้าถอดสี “เจ้ามีพลังบำเพ็ญกับพลังวิญญาณสูงแบบนี้ได้อย่างไร!”
ตั้งแต่เขาขึ้นเป็นเจ้าสำนัก ก็ไม่มีใครแตะที่ครอบมวยผมของเขาอีก แต่ยามนี้หลินเจี้ยนหรูที่ชัดเจนว่ายังเป็นเพียงขั้นจู้จีเท่านั้น กลับสะบัดมือเบาๆ มาตีมันแตกได้ จะไม่ทำให้เขาตกใจได้อย่างไร!
ถึงแม้หลินเจี้ยนหรูรู้ว่าต้องมีวันที่จะถูกเปิดโปง แต่กลับไม่คิดว่าจะเร็วขนาดนี้!
เวลานี้สีหน้าจึงเปลี่ยน ยืนนิ่งอยู่ที่เดิมไม่ขยับ
ดวงตาหัวชิงสว่างวาบ ไม่กล้าลังเลอีก ปล่อยเชือกมัดเซียนออกมารัดเขาไว้แล้วพากลับสำนักแรกพยับ!
ทางด้านมู่จิ่วกำลังรอข่าวจากชิงเสีย หลายวันนี้ออกไปข้างนอกน้อยมาก กินข้าวเสร็จก็ไม่ขยับตัว ใบหน้าอิ่มเอิบขึ้น จึงไปปลูกผักกับพวกเสี่ยวซิงเพื่อออกกำลังกาย
เวลานี้ซ่างกวนสุ่นเป็นมือหนึ่งในการปลูกผัก ทุกวันอยู่ในแปลงผัก โรครักความสะอาดของเขาจึงดีขึ้นไม่น้อยแล้ว
ช่วงนี้เป็นเวลาที่เหมาะแก่การปลูกแตง พวกรุ่ยเจี๋ยกับจื่อจิ้งจึงถูกลากมาทำงานด้วย เสี่ยวซิงให้พวกเขาลงต้นอ่อนในหลุม จื่อจิ้งนั่งยองๆ ข้างหลุมพลางบ่น “ข้าอยู่ที่วังจิตกระจ่างไม่เคยทำงานเช่นนี้ มาถึงที่นี่ไม่เพียงแต่อยู่อย่างลำบากมากขึ้น ยังต้องทำงานอีก ข้าคิดผิดจริงๆ!”
แต่ไม่มีใครสนใจคำพูดของเขา รุ่ยเจี๋ยที่อยู่ตรงข้ามก็ไม่ตอบคำ เขาอดไม่ได้ โยนต้นอ่อนในมือทั้งหมดไปที่รุ่ยเจี๋ย อาฝูที่คาบตะกร้าผักมาจากด้านหลังยกอุ้งเท้าขึ้นเตะก้นเขาไป จื่อจิ้งกลิ้งลงไปในหลุมแล้วกินดินเข้าไปเต็มๆ!
“ใครทำ?!” เขากุมก้นกระโดดขึ้นมา
อาฝูสะบัดก้นเดินไปตรงหน้ามู่จิ่วที่กำลังทำที่สำหรับปลูกแตง วางตะกร้าไว้บนพื้น จากนั้นเบือนหน้ากลับไปมองเขาเล็กน้อย ก่อนจะหันกลับไป
จื่อจิ้งเกือบระเบิดออกมา!
มู่จิ่วไม่สนใจพวกเด็กๆ เหล่านี้
แน่นอนว่านอกจากปลูกผักแล้ว นางยังสามารถทำอย่างอื่นได้ เช่นคิดสูตรอาหารใหม่เป็นต้น
ลู่ยาค่อนข้างเลือกกิน สิ่งที่ชอบกินก็ชอบมาก หากไม่ชอบก็จะไม่แตะเลยแม้แต่น้อย แม้นางจะลงมือทำเอง หากเขาไม่กินก็คือไม่กิน…เรื่องนี้ไม่ได้คิดมากอะไร กลืนของที่ไม่อยากกินลงท้องไปนั่นก็เป็นการลงโทษกันเกินไปแล้ว! ทุกคนต่างคุ้นชินกัน ไม่กดดันกันจะดีกว่า
มู่จิ่วจนปัญญา ทำได้เพียงเลือกวัตถุดิบที่เขาชอบมาทำอาหาร
เช่นนี้จึงเลี่ยงไม่ได้ ต้องไปประตูสวรรค์แดนใต้มากหน่อย
เหล่าลิงขนทองตั้งแผงขายของในตลาดอีกแล้ว ตอนนี้เป็นช่วงฤดูใบไม้ผลิ พวกเขาเอาของป่ามามากมาย แน่นอนว่าต้องมีเรื่องนินทา
มู่จิ่วไม่ไปก็แล้วไป แต่เมื่อไปทีก็สามารถนั่งอยู่ได้ครึ่งค่อนวัน
เหล่าลิงเล่าเรื่องได้ออกรสชาติกว่าคนธรรมดานัก ประเด็นคือพวกเขารู้เรื่องเบื้องหลังที่เหล่าคนธรรมดาไม่รู้ เช่นเร็วๆนี้ข่าวที่ใหญ่ที่สุดคือป๋ายซู่เจิน (นางพญางูขาว) กลายเป็นแม่คนอีกแล้ว ไม่นานมานี้นางเพิ่งให้กำเนิดบุตรสาว ได้ยินว่าปิดประตูทะเลาะกับสวี่เซียน แต่เมื่อออกมากลับรักใคร่กลมเกลียวจนน่าอิจฉา
อีกเรื่อง ลูกสาวของมังกรทะเลทิศประจิมตกหลุมรักหลานของมหาเทพตงหัว ชายหนุ่มที่แค่ถูกสาวมองก็หน้าแดง สองคนคนหนึ่งตามคนหนึ่งวิ่งหนีไม่รู้เป็นอย่างไร แต่ล่าสุดมีปีศาจไก่เห็นว่าฝ่ายชายไปปีนเขาหัวแอบมองมังกรสาว ดวงตานั้นเป็นประกายระยิบระยับ เหล่าปีศาจที่ผ่านมาต่างก็สนใจ
ยามที่เหล่าลิงนินทาเรื่องคนอื่น อาการกังวลเรื่องการแต่งงานของน้องสาวเมื่อก่อนหน้านั้นไม่มีให้เห็นเลย มู่จิ่วสงสัยจริงๆ ว่าพวกเขาขี้นินทาขนาดนี้แล้วบำเพ็ญสำเร็จเป็นปีศาจได้อย่างไร
แต่นางยังคงให้ยาที่เหมาะกับพวกเขาไปเสริมกำลัง ยามอยู่บนสวรรค์นางไม่มีหนทางหลอมยา แต่ก่อนหน้านี้พวกมู่หัวให้นางมาไม่น้อย เพื่อให้นางไว้ผูกมิตรกับคนนอกไว้
ดังนั้นทุกวันเหล่าปีศาจมักจะเลือกเห็ด หน่อไม้ ต้นเซียงชุน (ฟลามิงโก้) และปลาที่สดที่สุดให้นาง
สิ่งของเหล่านี้สามัญนัก ของที่ลู่ยาเคยกินบนสวรรค์อันสูงส่งย่อมต้องหายากกว่านี้ แต่เขากลับไม่เคยรังเกียจ อย่างไรก็ล้วนเป็นของกินที่เขาชอบ เขาจึงรับได้
………………………………………….
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น