ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา 313-324
บทที่ 313 วงสังคม
โดย
Ink Stone_Fantasy
ทานมื้อเที่ยงรสเผ็ดจนต้องซี๊ดปากอย่างเอร็ดอร่อย ฉินสือโอวกับวินนี่ทานอาหารอย่างเผ็ดแสบและมีความสุข หลิวชิงไม่ได้ทำอาหารจีนสไตล์ฝรั่งมาให้ทั้งสองคนทาน ใช้วิธีทำแบบอาหารจีนหูหนานแท้ๆ ร้อยเปอร์เซ็นต์ แบบที่เรียกว่าเซียงล่า (เผ็ดร้อน) นั่นเอง
ทานมื้อเที่ยงเสร็จแล้วพักผ่อนสักครู่ เอี๋ยนตงเหล่ยก็ให้หลิวชิงพาพวกเขาไปที่หอประชุมกัปตันเจมส์ คุก
หอประชุมแห่งนี้ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันออกบนโกร์ ฮิลล์ กินพื้นที่ราวๆ ห้าหกพันตารางเมตร มีพื้นที่สีเขียวที่ดีมาก บริเวณรอบๆ อาคารเขียวชอุ่มไปด้วยไม้จำพวกต้นสพรูส เมเปิลแดง เป็นธรรมชาติและมีชีวิตชีวามาก
ทางฝั่งตะวันตกของหอประชุม ก็คือสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของคอร์เนอร์ บรูค แหล่งประวัติศาสตร์แห่งชาติกัปตันเจมส์ คุก นั่นเอง ถ้าเดินตรงไปก็จะเป็นหุบเขาแห่งหนึ่ง ตั้งสูงตระหง่าน เมื่อยืนอยู่ด้านหน้าประตูของหอประชุมก็จะมองเห็นความงดงามจากทิวทัศน์ของหุบเขา
ตอนที่ฉินสือโอวและคนอื่นๆ มาถึง สนามหน้าหอประชุมก็มีรถหรูหลายคันที่มาจอดอยู่ก่อนแล้ว บีเอ็มดับเบิลยู 760 เมอร์เซเดสเบนซ์ เอสคลาส ออดี้อาร์ 8 มาเซราติควอทโทรปอร์เต้ พอร์ช คาเยนน์ต่างๆ รถคาดิลแลควันอยู่ที่นี่ก็เหมือนกับโฟลคสวาเก้นที่ดูบ้านๆ เท่านั้น
“คนประเทศเรานี่ร่ำรวยกันจริงๆ” ฉินสือโอวมองบีเอ็มดับเบิลยูที่อยู่ทางซ้ายกับรถพอร์ชที่อยู่ทางขวาแล้วพูดอย่างทอดถอนใจ
หลิวชิงที่นั่งอยู่ด้านหลังพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เป็นเพราะรถที่แคนาดาราคาถูก อีกทั้งยิ่งเป็นรถหรู ระดับความกว้างของราคาก็ยิ่งถูกกว่ารถที่จีน เพราะงั้นพอคนชาติเรามาอยู่ที่แคนาดา เลยพากันเริ่มซื้อรถหรู ยังไงรถที่ขับตอนอยู่ที่จีนก็แพงยิ่งกว่านี้ แถมยังไม่ได้หรูขนาดนี้อีกต่างหาก”
พอลงจากรถ ฉินสือโอวก็เห็นผู้คนบางตากำลังจับกลุ่มยืนคุยกันอยู่ บรรยากาศตอนนี้ก็ไม่ได้แตกต่างกับงานเลี้ยงทั่วไป เพียงแต่ว่าทุกคนต่างก็สวมชุดที่เป็นทางการกว่าเดิม
ในตอนแรกเขาคิดไว้ว่าจะได้เห็นประตูที่แขวนป้ายตัวอักษรสีแดงขนาดใหญ่ไว้ตรงกลางหรือไม่ก็ภาพของคนที่มาตะโกนต่อต้านญี่ปุ่นเพื่อช่วยเหลือจีน แต่จนกระทั่งตอนนี้ก็ยังไม่ปรากฏให้เห็น นี่ทำให้คนหนุ่มผู้เกรี้ยวโกรธอย่างเขารู้สึกเสียดายนิดหน่อย
หลังจากหลิวชิงลงมาจากรถแล้วก็มีคนเข้ามาทักทายเขา ฉินสือโอวไม่รู้จักใครเลยสักคน ทว่าคนพวกนี้ก็เป็นมิตรมาก หลังจากที่เขากับวินนี่ลงมาจากรถก็พากันเข้ามาพูดคุยกับพวกเขา จากนั้นทั้งสองฝ่ายก็ผลัดกันแนะนำตัว
คุยกับคนเหล่านี้อยู่สักพัก ฉินสือโอวก็พูดกับหลิวชิงว่า “เพื่อนร่วมชาติของพวกเราอบอุ่นจังเลยนะ ผมเคยคิดว่าถ้าคนแปลกหน้าอย่างผมมาก็น่าจะถูกกีดกัน”
หลิวชิงเป็นผู้ชายหูหนานที่พูดอย่างตรงไปตรงมา เขาบอกกับฉินสือโอวว่า “จะเป็นไปได้ยังไง หัวหน้าสมาคมเอี๋ยนเป็นคนไปรับนายด้วยตัวเอง ทั้งยังไปกินข้าวด้วยกันอีกต่างหาก แค่นี้พวกเขาก็รู้แล้วว่านายต้องสุดยอดมาก ไม่มีทางที่จะไม่สนใจนายหรอก”
ฉินสือโอวแอบเช็ดเหงื่อเย็นๆ อยู่ในใจ ทักษะการสังเกตผู้คนของชาวจีน น่าจะจัดอยู่ในแนวหน้าของระดับนานาชาติแล้วล่ะ
ถึงเวลาบ่ายหนึ่ง คนกลุ่มนี้ก็พากันทยอยเข้าไปในงาน เริ่มรายการแรกของงานชุมนุม
การประชุมครั้งนี้ไม่มีความเกี่ยวข้องกับฉินสือโอวสักเท่าไรนัก กล่าวแนะนำสมาคมช่วยเหลือคนแคนาดาเชื้อสายจีนและชาวจีนโพ้นทะเลในแคนาดาก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นใจความสำคัญก็คือการบรรยายการพัฒนาด้านศึกษา เศรษฐกิจ การเมืองและด้านอื่นๆ ของชาวจีนในพื้นที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ ในตอนท้ายก็เปิดเผยรายละเอียดการใช้จ่ายเงินของกองทุนช่วยเหลือเพื่อการพัฒนา
กองทุนร่วมกันช่วยเหลือเพื่อการพัฒนาแห่งนี้ ก็คือแม่งานที่เป็นผู้จัดสรรเงินทั้งหมดที่จะได้จากการประมูลในค่ำคืนนี้ เงินรายรับและรายจ่ายทั้งหมดล้วนแต่มีความชัดเจน ทุกคนในสมาคมสามารถสอบถามจากผู้ที่มีหน้าที่รับผิดชอบด้านการเงินได้ จำนวนเงินแปลเป็นหยวนอย่างละเอียด ไม่มีทางเกิดเหตุการณ์อย่างการคอร์รัปชันหรือโยกย้ายเงินแน่ๆ
ฉินสือโอวไม่สนใจเรื่องงานประชุมมาตั้งแต่ยังเด็ก หลังจากเรียนจบแล้วเขาก็ถูกการประชุมน้อยใหญ่ในบริษัทน้ำมันแห่งชาติของจีนและทรมานอยู่สี่ปี ดังนั้นในการประชุมครั้งนี้เขาจึงถือโทรศัพท์คุยแชทในคิวคิว กับเพื่อนร่วมชั้นในจีนอย่างมีความสุขจนออกนอกหน้าแทน
ที่จีนตอนนี้เป็นเวลาเกือบย่ำรุ่งแล้ว ทว่าคนส่วนใหญ่ล้วนแต่เป็นมนุษย์กลางคืนด้วยกันทั้งนั้น พอฉินสือโอวออนไลน์ กลุ่มเพื่อนๆ ที่กำลังแอบซุ่มอยู่ก็พากันปรากฏตัวขึ้นมา
เหมาเหว่ยหลงต่อว่าเขาจนหัวแทบหมุน ด่าแรงจนใจเขาเดาะแล้ว ฉินสือโอวส่งอีโมจิรูปโมโหไปติดๆ กันหลายอัน ถามเหมาเหว่ยหลงว่าใครเป็นคนเอาเรื่องของเขาไปโพสต์ในเวยป๋อ
พอพูดถึงเวยป๋อ เพื่อนร่วมชั้นหลายคนก็พากันยุให้เขาสมัครเวยป๋อ ไม่แน่ว่าเล่นไปได้ไม่นานก็อาจจะกลายเป็นเน็ตไอดอลก็ได้
ฉินสือโอวไม่รู้สึกสนใจ จุดมุ่งหมายของเขาคือการได้ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย เป็นเน็ตไอดอล เป็นเศรษฐีขี้อวด เป็นคนมีชื่อเสียง ล้วนแต่ไม่อยู่ในความสนใจของชีวิตเขาทั้งสิ้น
หลังเที่ยงคืนฉินเผิงก็ออนไลน์ แล้วถามกับเขาว่า “เสี่ยวโอว ปู่บอกว่าอาทิตย์หน้าแกจะกลับมาที่นี่เหรอ?”
‘ปู่’ ที่ฉินเผิงพูดถึง ก็คือพ่อของฉินสือโอวนั่นเอง พวกเขาอาวุโสกว่า ถึงแม้ว่าฉินเผิงจะอายุเท่าๆ กันกับฉินสือโอว แต่ถ้านับตามความอาวุโสก็ต้องเรียกเขาว่าอาเรียกพ่อของฉินสือโอวว่าปู่
ฉินสือโอวตอบ “ประมาณนั้นแหละ กลับไปฉลองเทศกาลไหว้พระจันทร์ ตอนนี้แกเป็นยังไงบ้าง? ทำไมดึกขนาดนี้แล้วยังออนไลน์อยู่อีก?”
ฉินเผิงส่งอีโมจิยิ้มซื่อๆ แล้วตอบกลับมาว่า “เมียฉันกำลังจะคลอดวันสองวันนี้ ฉันกลัวตกดึกจะเกิดเรื่องขึ้น ก็เลยงีบหลับตอนกลางวัน ตอนกลางคืนจะได้ตาสว่างน่ะ”
ฉินสือโอวถอนหายใจ “โอ้โห นี่ฉันกำลังจะกลายเป็นคุณปู่แล้วเหรอ? ให้ตายสิไอ้หยา วันเวลาผ่านไปเร็วเหมือนสายน้ำเลยไอ้น้อง ตอนนี้ฉันยังจำเรื่องตอนเด็กที่เราพากันแก้ผ้าลงไปจับปลาในแม่น้ำไป๋หลงได้อยู่เลย”
ฉินเผิงส่งอีโมจิพูดไม่ออกแล้วพิมพ์ตอบกลับมาว่า “ดูแกเรียกตัวเองสิ แบ่งลำดับญาติมั่วหมดแล้วโว้ย อีกอย่าง ลูกของพวกฉันจะเรียกแกว่าปู่ไม่ได้ ต้องนับตามลำดับอาวุโสของพ่อแม่แก ถ้านับแบบแกเขาเรียกว่านับตามความรู้สึกโว้ย”
ในตอนท้ายทั้งสองคนเถียงกันเอาเป็นเอาตาย ฉินสือโอวก็ไม่รู้ว่าประชุมเรื่องอะไรบ้างแล้ว รู้แค่ว่าตอนแบตเตอรี่โทรศัพท์ใกล้จะหมดงานปาร์ตี้น้ำชาก็เริ่มขึ้นแล้ว
ปาร์ตี้น้ำชาย้ายสถานที่จัดงานอีกรอบ ไปที่ห้องโถงเล็กห้องหนึ่งของโรงแรมวินสตัน วูดเดน โบ๊ท ภายในจัดเตรียมกาแฟ น้ำผลไม้ ชา น้ำแร่และเครื่องดื่มชนิดต่างๆ ไว้แล้ว นอกจากนี้ยังมีผลไม้ เค้ก คุกกี้กับขนมขบเคี้ยวไว้อย่างพร้อมสรรพ รูปแบบงานก็เหมือนกับการดื่มน้ำชายามบ่าย
ฉินสือโอวถูกเอี๋ยนตงเหล่ยดึงตัวไปด้วย เขาช่วยแนะนำคนบางส่วนให้ได้รู้จัก “ท่านนี้คือคุณยะซึโอะ อิโนอุเอะ หัวหน้าวิศวกรเครื่องกลของโรงงานกระดาษขนาดใหญ่ ท่านนี้คือคุณโคตะ คานายะ เจ้าของร้านอาหารอากิโนะกาวะ…”
ได้ยินเขาแนะนำแบบนี้ ฉินสือโอวก็รู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก ทำไมถึงมีคนญี่ปุ่นด้วยล่ะ? แต่ว่าเวลานี้คงไม่เหมาะที่จะถามออกไป เขาจึงยิ้มประจบพร้อมทั้งจับมือและแลกนามบัตรกับพวกเขาแต่ละคน
ยะซึโอะ อิโนอุเอะเป็นชายหัวล้านวัยกลางคนอายุประมาณสี่สิบกว่าปี ตอนเอี๋ยนตงเหล่ยแนะนำเขาก็โค้งคำนับกว่าเก้าสิบองศา หลังจากนั้นทั้งสองก็จับมือแสดงความเคารพและแลกนามบัตรกัน
ทางฉินสือโอวก็ทำอะไรไม่ได้ จึงโค้งตัวคำนับต่ำเพื่อทำความเคารพกลับไปเช่นกัน ต่อมาชาวญี่ปุ่นก็ยังโค้งคำนับต่อ เขาจึงต้องคำนับตัวไปเรื่อยๆ จนดูเหมือนเขามาร่วมงานศพของผู้นำอย่างไรอย่างนั้น
ต่อมาพอเช็กดูนามบัตรของผู้คนเหล่านี้ ฉินสือโอวเห็นนามบัตรของยะซึโอะ อิโนอุเอะที่เขียนไว้ว่าช่างกล ‘โรงงานกระดาษขนาดใหญ่’ ถึงเพิ่งจะเข้าใจ ที่แท้คำว่าโรงงานกระดาษใหญ่ไม่ใช่ชื่อรอง แต่เป็นชื่อของมันจริงๆ อีกทั้งยังเป็นหนึ่งในสี่โรงงานผลิตกระดาษขนาดใหญ่ในทวีปอเมริกาเหนือ และมีกิจการครอบคลุมทั่วโลก
หลังจากแนะนำเสร็จแล้ว เอี๋ยนตงเหล่ยก็พูดเสียงเบาด้วยความเอาใจใส่เพื่อถามเขาว่า “สงสัยใช่ไหมว่าทำไมงานชุมนุมวันรำลึกกรณี 18 กันยายนถึงได้มีคนญี่ปุ่นอยู่ด้วย?”
ฉินสือโอวก็พูดเสียงเบากลับไปว่า “พวกนี้เป็นคนญี่ปุ่นที่ฝักใฝ่จีนเหรอ?”
เอี๋ยนตงเหล่ยพูดกับเขาด้วยรอยยิ้ม “ฉลาดจริงๆ ใช่แล้ว พวกเขาเป็นคนญี่ปุ่นที่ฝักใฝ่จีนกันทุกคนนั่นล่ะ ทุกปีพวกเขาจะมาร่วมงานวันรำลึกกรณี 18 กันยายน เพื่อทบทวนถึงสงคราม เตือนสติคนรุ่นหลัง แน่นอนว่า พวกเขาก็อยากจะใช้โอกาสจากการประชาสัมพันธ์เพื่อพัฒนาความสัมพันธ์ทางสังคมด้วย”
ฉินสือโอวคิดว่าจุดประสงค์ของพวกเขาคืออย่างหลังอย่างหาก คนญี่ปุ่นเหรอจะคิดทบทวนถึงสงครามรุกรานประเทศจีน? เหลวไหลทั้งนั้น เขาไม่เชื่อเด็ดขาด ถ้าหากอยากจะเตือนสติคนรุ่นหลังจริงๆ ก็อย่าบิดเบือนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสงครามในหนังสือเรียนสิ
……………….……………………………….
บทที่ 314 ถูกที่ถูกทาง
โดย
Ink Stone_Fantasy
ปาร์ตี้น้ำชาก็คืองานชุมนุมที่คนหมู่มากมาทำความรู้จักกัน และงานเลี้ยงตอนเย็นก็เพื่อเชื่อมความสัมพันธ์ และสร้างความประทับใจให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
สิบสองคนต่อหนึ่งโต๊ะ โต๊ะทั้งยี่สิบกว่าตัวในภัตตาคารล้วนแต่เป็นชาวจีนที่มาเข้าร่วมงานเลี้ยงในครั้งนี้
งานดินเนอร์ของสมาคมช่วยเหลือคนแคนาดาเชื้อสายจีนและชาวจีนโพ้นทะเลมีบรรยากาศดีมาก ผู้ที่มาเข้าร่วมงานไม่ได้มีเพียงแต่เจ้าของห้างร้าน นักธุรกิจที่ร่ำรวย หรือนักการเมืองท้องถิ่นเท่านั้น แต่ยังมีคนธรรมดาทั่วไป ไปจนถึงกระทั่งแรงงานข้ามชาติจากจีนที่เข้ามาทำงานในแคนาดา
จุดประสงค์ของงานก็คือ คนจีนสามัคคีกลมเกลียว คนจีนช่วยเหลือกันและกัน คนจีนทั้งหมดพร้อมใจพัฒนา นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่คำขวัญเท่านั้น ในที่แห่งนี้มีนักธุรกิจชาวกว่างตงที่เพิ่งจะซื้อโรงงานผลิตกระดาษแห่งหนึ่งได้พูดคุยตกลงกันกับหัวหน้าคนงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบส่งออกแรงงาน โดยที่ทางโรงงานจะให้สิทธิพิเศษพิจารณาคนงานจากจีนที่เขาเป็นคนแนะนำเข้ามาเป็นอันดับแรก
ฉินสือโอวเองก็อยากจะฝึกการแสดงออกบ้าง แต่เมื่อคิดดูดีๆ แล้วสิ่งที่ฟาร์มปลาต้องการล้วนแต่เป็นชาวประมงที่มีความชำนาญ อีกทั้งอำนาจของคนพวกนี้ยังใช้ที่เมืองแฟร์เวลไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงไม่ลังเลที่จะล้มเลิกความคิดเรื่องการประจบประแจงคนพวกนี้
คุณูปการที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เขามีต่องานนี้ ก็คือการนำหอยเบี้ยสีทองมาเป็นสินค้าเพื่อการประมูล
เปลือกหอยสมบัติถูกทำให้เป็นสินค้ารายการสุดท้าย ก่อนหน้านั้นล้วนแต่เป็นของประมูลทั่วๆ ไป ก็เหมือนกับที่เอี๋ยนตงเหล่ยได้บอกไว้ คุณจะนำตัวอักษรพู่กันจีนที่เขียนเองหรือรูปที่ลูกของคุณวาดมาเป็นสินค้าประมูลก็ได้ทั้งนั้น
ฉินสือโอวย่อมไม่สนใจสินค้าประมูลพวกนี้อยู่แล้ว แต่เมื่อมาถึงช่วงกลางของงานก็มีพ่อค้าแร่เงินคนหนึ่งที่นำกระดิ่งคู่หงส์เคียงมังกรมาเสนอ ทำให้เขารู้สึกสนใจมากทีเดียว
สำหรับกระดิ่งหงส์เคียงมังกร ฉินสือโอวมีความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่แค่ละครเรื่อง ปักกิ่งเลิฟสตอรี่เท่านั้น ในละครผู้ชายอบอุ่นอย่างอู๋ตี๋ซื้อกระดิ่งมาหนึ่งคู่หลังจากนั้นก็ก่อให้เกิดเรื่องราวน้ำเน่าขึ้นมา ในตอนต้นก็จะแนะนำระฆังคู่นี้ก่อน ว่าเป็นเครื่องรางความรักของหนุ่มสาวยูนนาน
กระดิ่งหงส์เคียงมังกรคู่นี้เป็นของทำมือแท้ๆ พิธีกรจับกระดิ่งทั้งคู่ให้แยกกันสั่น มันก็จะส่งเสียงที่ไม่เหมือนกันออกมาสองแบบ แต่ตอนที่มันอยู่ด้วยกัน ก็จะสามารถส่งเสียงแบบที่สามออกมาได้ น่ามหัศจรรย์มาก
ฉินสือโอวเห็นว่าวินนี่ชอบ จึงร่วมประมูลกระดิ่งคู่นี้
ผู้ที่มาเข้าร่วมการประมูลครั้งนี้ส่วนมากเป็นคนวัยกลางคน ล้วนแต่แต่งงานมีลูกกันหมดแล้ว พวกเขาย่อมไม่สนใจของชิ้นเล็กที่เกี่ยวกับความรักแบบนี้
ดังนั้น เมื่อฉินสือโอวตะโกนเสนอราคาห้าพันหยวนให้กับของที่มีราคาประมูลเริ่มต้นที่หนึ่งพันห้าร้อยหยวนออกไป พวกเขาก็รู้แล้วว่าฉินสือโอวต้องการชนะการประมูลกระดิ่งคู่นี้ จึงไม่ได้จริงจังกับมันนัก แล้วปล่อยให้เขาประมูลมันไปได้อย่างง่ายดาย
ในตอนสุดท้ายหอยเบี้ยสีทองก็ถูกนำขึ้นเวที เมื่อหอยสมบัติสีแดงสวยสดปรากฏตัวขึ้น บรรยากาศอบอุ่นในห้องอาหารที่ถูกสร้างไว้เมื่อก่อนหน้านี้ก็ตึงเครียดขึ้นมาทันที
หลังจากที่พิธีกรประกาศราคาขั้นต่ำห้าพันหยวนออกมา เถ้าแก่หลายคนที่ชอบของสะสมก็เริ่มแข่งกันเสนอราคาทันที จากราคาขั้นต่ำก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วถึงสิบเท่าจนมีราคาถึงห้าหมื่น สุดท้ายตกลงราคาขายอยู่ที่เจ็ดหมื่นสองพัน กลายเป็นสินค้าประมูลที่มีราคาสูงที่สุดในงาน และถูกศาสตราจารย์จากโทรอนโตคว้าไป
เงินจำนวนนี้ก็ถูกนำเข้าสู่กองทุนช่วยเหลือเช่นกัน เอี๋ยนตงเหล่ยมอบเกียรติบัตรสีแดงสดให้กับฉินสือโอว ถ้าใช้เกียรติบัตรอันนี้ เขาจะสามารถดำเนินการกู้เงินดอกเบี้ยต่ำได้ถึงห้าแสน
สำหรับฉินสือโอวแล้ว นี่เป็นเพียงแค่สัญลักษณ์แห่งเกียรติยศเท่านั้น เงินห้าแสนไม่มีประโยชน์อะไรสำหรับเขา ซื้อลูกพันธุ์ปลาหนึ่งล็อตก็มากกว่าห้าแสนแล้ว
แต่แน่นอนว่า เกียรติบัตรใบนี้ก็ยังมีข้อดีอยู่หนึ่งอย่าง เจ้าของโรงแรมวินสตัน วูดเดน โบ๊ทใจป้ำ ยกเว้นค่าที่พักให้พวกเขา ทั้งยังให้พักอยู่ที่นี่ได้นานเท่าไรก็ได้
พอนึกถึงกิจกรรมที่จะได้ทำตอนนอนร่วมเตียงกันในคืนนี้ ฉินสือโอวก็ตื่นเต้นจนแทบทนไม่ไหว แต่ปรากฏว่าขณะที่เขากำลังดีใจสุดขีดก็เกิดเรื่องน่าเศร้าขึ้นแทน เพื่อนร่วมชาติของเขาล้วนแต่ชื่นชอบการรินเหล้าเพื่อเป็นเกียรติ พวกเขาอยากจะคบค้าสมาคมกับฉินสือโอวอย่างถึงที่สุด ดังนั้นจึงเข้ามาชนแก้วกับเขาอย่างไม่ขาดสาย
ด้านฉินสือโอวเองก็ยินดี เขาดื่มไปหลายแก้วอย่างเลี่ยงไม่ได้ แก้วแล้วแก้วเล่า สุดท้ายเกิดอะไรขึ้นบ้าง เขาเองก็ไม่รู้เช่นกัน แต่เมื่อตื่นมาตอนเช้า ตัวเขาก็นอนเปลือยกายอยู่บนเตียง ส่วนวินนี่ยอดดวงใจกลับไม่อยู่ตรงนี้…
เปิดผ้าม่านออกมองดูแสงอาทิตย์สดใสที่อยู่ด้านนอก ฉินสือโอวก็ตีตัวเองเบาๆ หนึ่งที แล้วด่าตัวเองว่า “แกนะแก ไอ้เวรเอ๊ยแกนี่ไม่ได้เรื่องเลยจริงๆ ไม่ได้เรื่องเลยจริงๆ ! ดื่มทำไม? เมื่อคืนนี้แกดื่มเข้าไปทำไม? ชีวิตนี้ไม่เคยเห็นเหล้ามาก่อนเหรอ? โอกาสดีขนาดนี้แท้ๆ พลาดไปได้ยังไง!”
‘แก๊ก’ ประตูถูกผลักออกมา วินนี่ถือเอาถาดหนึ่งอันเข้ามาในห้อง เห็นฉินสือโอวทำหน้าเศร้าซึม เธอก็กลั้นยิ้มไว้ไม่ได้ “เช้าขนาดนี้คุณแก้ผ้ายืนติดหน้าต่างทำไมคะ? จะโชว์ว่าตัวเองหุ่นดีเหรอ?”
ฉินสือโอวไม่มีคำพูดที่จะแสดงออกถึงความเศร้าของตัวเองเลยจริงๆ เหมือนหมีดำที่พ่ายแพ้การต่อสู้ เขานั่งหมดอาลัยตายอยากอยู่บนโซฟา ใช้มือปิดหน้าไม่พูดไม่จาอยู่อย่างนั้น
วินนี่นั่งลงข้างๆ เขา เธอยื่นนมสดกับโดนัทแล้วถามเขาว่า “คุณเป็นอะไรคะ? มาค่ะ ทานอะไรหน่อยนะ ฉันคิดว่าคุณน่าจะตื่นตอนหกโมงเช้า ก็เลยตั้งใจลงไปเอาอาหารมาให้คุณ”
“ผมกินไม่ลง”ฉินสือโอวพูดพึมพำเสียงต่ำ
วินนี่ตีหน้าขรึม แล้วแกล้งถามอย่างโกรธเคือง “นี่เป็นอาหารเช้าที่มาจากความรักของฉัน แต่คุณบอกว่ากินไม่ลงเหรอคะ?”
พอฉินสือโอวได้ยินอย่างนี้ ก็รีบรับนมวัวมาดื่มลงไปหนึ่งอึก พอทานมื้อเช้าเขาก็รู้สึกฮึกเหิมขึ้นมาบ้างแล้ว เขามองไปที่วินนี่ แล้วถามเธอด้วยความคาดหวัง “ที่รักครับ เมื่อคืนนี้ ผมไม่ได้ทำอะไรคุณใช่ไหม?”
วินนี่นับนิ้วด้วยใบหน้าจริงจังแล้วพูดกับเขาว่า “ทำหลายอย่างเลยล่ะค่ะ คุณทับตัวฉัน คุณกอดฉัน คุณจูบฉันด้วย…”
ฉินสือโอวตาเป็นประกายขึ้นมาทันที เขาถามเธอด้วยความรู้สึกฮึกเหิมว่า “ผมทำแบบนั้นเหรอ?”
วินนี่ส่งยิ้มพราวเสน่ห์แล้วพูดกับเขาว่า “คุณต้องทำแบบนั้นอยู่แล้ว ฉันประคองคุณ ตัวคุณเลยแนบทับกับตัวฉัน ฉันเหนื่อยแทบตายแน่ะ หลังจากนั้นคุณก็กอดฉัน ฉันลากคุณมา ถึงจะพาคุณมาที่เตียงได้ สุดท้ายคุณก็จูบราตรีสวัสดิ์ แล้วก็นอนหลับไปแบบว่าง่ายๆ”
ฟังวินนี่พูดจบ ฉินสือโอวก็ตะลึงจนตาค้าง แล้วถามเธออย่างทึ่มๆ ว่า “หมดแล้วเหรอ?”
วินนี่หน้าแดง เธอก้มหน้ายักไหล่ แล้วพูดขึ้นมาว่า “หมดแล้วค่ะ”
“แล้วเสื้อผ้าผมล่ะ? ใครเป็นคนถอด?”
“ไม่รู้สิคะ คุณถอดเองหรือเปล่า”
“เป็นไปไม่ได้ ผมเมาทีไรก็ไม่เคยถอดเสื้อนอนเลย! คุณเป็นคนถอดแน่ๆ ต้องใช่แน่! คุณต้องรับผิดชอบผม!”
“ไม่ใช่นะ ฉันไม่ถอดเสื้อผ้าคุณหรอก อาจจะเป็นพนักงานก็ได้นะคะ คิกๆ ”
“ไม่ได้ คุณต้องรับผิดชอบผม!”
พอฉินสือโอวพูดจบ ก็ทิ้งโดนัทที่กัดไปแล้วครึ่งหนึ่ง แล้วโผเข้าหาวินนี่ แพะหายแล้วต้องล้อมคอก เมื่อคืนไม่มีอะไรเกิดขึ้น งั้นเช้านี้ก็ชดเชยมันซะเลย!
………………………………………..
บทที่ 315 เด็กโง่โกรธแล้ว
โดย
Ink Stone_Fantasy
ฉินสือโอวเคยคาดฝันถึงครั้งแรกของตัวเองมานับครั้งไม่ถ้วน แต่เขาคิดว่าไม่ว่าจะเคยคาดฝันไว้ยังไง ก็ไม่มีครั้งไหนที่จะสมบูรณ์แบบเท่าตอนนี้แล้ว
เมื่อสิ้นสุดลงเขาก็นอนกอดวินนี่อยู่บนเตียง กอดเธอเอาไว้แน่นๆ ทั้งสองคนอิงแอบแนบชิดจนไม่เหลือที่ว่างระหว่างกัน
นี่คือประสบการณ์ที่เขาได้เรียนรู้มาเมื่อก่อนจากคำบอกเล่าของรุ่นพี่บนเว็บไซต์ยอดนิยมของผู้ชาย เมื่อร่วมรักกันเสร็จแล้ว โดยเฉพาะครั้งแรก ต้องกอดเธอเอาไว้อย่างเข้มแข็ง จะทำให้เธอรู้สึกถึงความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น
วินนี่พยายามเงยใบหน้างดงามของเธอขึ้น เธอพูดกับเขาอย่างจนใจว่า “ที่รักคะ ฉันใกล้จะถูกรัดตายแล้ว…”
พอได้ยินอย่างนี้ ฉินสือโอวก็รีบคลายอ้อมแขน แล้วแอบด่าพวกที่เรียกตัวเองว่าผู้มีประสบการณ์อยู่เงียบๆ ในใจ ขี้คุยจริงๆ
ปรากฏว่า พอเขาคลายอ้อมแขน วินนี่ก็มุดใบหน้าเล็กเรียวของเธอลงไปในอ้อมกอดของเขาอีกครั้ง แล้วพูดอย่างอ่อนโยนว่า “ไม่ๆ คุณกอดฉันไว้แบบเมื่อกี้นี้ ที่รักคะ ไม่ต้องปล่อยมือนะ”
แสงแดดด้านนอกส่องสว่าง ทว่าฉินสือโอวก็นอนกอดเกยกันอยู่บนเตียงจนถึงเที่ยง ถึงค่อยลุกขึ้นจากเตียงอย่างอาลัยอาวรณ์
วินนี่ที่สวมแค่เสื้อเชิ้ตสีขาวของฉินสือโอวก็กระโดดลงมาจากเตียง สะบัดผมสวยสีดำไปไว้ด้านหลัง แล้วมัดรวบไว้อย่างง่ายๆ เธอหันหน้ากลับมาส่งยิ้มหวาน ฉินสือโอวก็รู้สึกเหมือนตัวเองเมาเหล้าอีกแล้ว
ตั้งแต่วันนี้ไป เขาไม่ได้อยู่ที่แคนาดาตัวคนเดียวแล้ว ฉินสือโอวคิดอย่างมีความสุข เขารู้สึกเต็มอิ่มไปทั้งใจ
ในตอนนี้ เขารู้สึกปลื้มปีติเป็นอย่างยิ่ง ถ้าหากเมื่อก่อนเขาไม่ได้เลือกที่จะยืนหยัดความยึดมั่นจากส่วนลึกของใจไว้อย่างแน่วแน่ แต่เลือกที่จะไปยุ่งกับผู้หญิงในงานปาร์ตี้ของเบลค ที่บาร์ของกลอสเตอร์ หรือทำตามอำเภอใจกับสาวสวยชาวจีนที่มาในตอนนั้น ก็คงจะไม่มีทางได้สัมผัสความสุขจากการที่ได้กอดวินนี่แน่นๆ เหมือนเมื่อสักครู่นี้
เมื่อก่อนเขาเคยอิจฉาเบลค บิลลี่ สเต็มเมอร์หรือแม้กระทั่งนีลเซ็นกับชาร์คและคนอื่นๆ ที่มีความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิงอย่างอิสระ แต่ว่าถ้าให้เขาเลือกอีกครั้ง เขาก็จะยังเลือกอยู่ตัวคนเดียว ยืนหยัดเพื่อรอคอยให้วันนี้มาถึงอย่างซื่อสัตย์
ได้ผสานทั้งจิตวิญญาณและร่างกายกับวินนี่ ทำให้เขาได้รู้ว่า ก่อนหน้านี้ที่เขายอมยืนหยัดมามันคุ้มค่ากันแล้ว ขอแค่แบบนี้ ทุกอย่างก็ถือว่าคุ้มค่าแล้ว
ในช่วงบ่ายทั้งสองคนจูงมือกันไปเที่ยวเล่นในเมืองเล็ก ยามเดินไปบนถนนที่โบราณและเรียบง่าย ทั้งสองคนก็มักจะสบตากันแล้วยิ้มน้อยๆ ออกมาอยู่เสมอ ณ ช่วงเวลานั้นในใจของฉินสือโอวก็เหมือนกาลเวลาหยุดลงไปชั่วขณะ
แสงแดดเป็นประกายสดใส ฟ้าใสอากาศปลอดโปร่ง บางครั้งจะมีรถขับผ่านมาข้างๆ มักจะมีคนออกมาเดินเล่นอยู่เสมอ มีคนในพื้นที่ แล้วก็มีนักท่องเที่ยว แต่ไม่ว่าจะเป็นใคร หรือแม้กระทั่งรถราที่ขับผ่านไป ฉินสือโอวก็รู้สึกได้ถึงความผ่อนคลายที่เหนือกว่าทั้งโลก
เดินทอดน่องมาเรื่อยๆ ทั้งสองคนก็มาถึงท่าเรือลาร์ค ฮาร์เบอร์ของคอร์เนอร์ บรูค ที่นี่คือบริเวณปากแม่น้ำฮัมเบอร์ที่มีความยิ่งใหญ่งดงาม น้ำในแม่น้ำที่เชี่ยวกรากจะไหลมารวมกันที่มหาสมุทรแอตแลนติก
มองดูแม่น้ำที่เชี่ยวกราก อยู่ดีๆ วินนี่ก็ยิ้มออกมา เธอกอดฉินสือโอวไว้แล้วพูดว่า “ตอนที่ฉันเพิ่งจะเริ่มทำงานเป็นแอร์โฮสเตส ฉันเคยสับสนมากๆ ฉันไม่รู้ว่าตัวเองอยากมีชีวิตแบบไหน ตอนนั้นพี่สาวน้องสาวของฉันหลายคน ก็หลงทางเหมือนกันกับฉัน เพราะว่าพวกเราได้เจอดาราหล่อๆ กับนักการเมืองชื่อดังและเศรษฐีที่ดูมีระดับเยอะแยะไปหมด”
“มีพี่สาวน้องสาวบางคน ที่เคลิบเคลิ้มไปกับความสัมพันธ์คลุมเครือของคนดังกับนักธุรกิจที่ร่ำรวยพวกนั้น ตอนนั้นฉันไม่รู้จะทำยังไงดี ก็เลยโทรศัพท์หาคุณย่าของฉัน คุณย่าพูดกับฉันมาหนึ่งประโยค ตอนนี้ฉันรู้สึกขอบคุณคำพูดประโยคนั้นของท่านจริงๆ”
“พูดว่าอะไรเหรอครับ? หรือว่าท่านดูดาวบนท้องฟ้ายามค่ำคืน พอนับนิ้วทำนายแล้วก็พบว่าบุรุษแห่งโชคชะตาของคุณคือหนุ่มหล่อแซ่ฉิน?” ฉินสือโอวยิ้มพร้อมทั้งพูดจาหยอกเย้า
วินนี่ตีเขาอย่างโกรธเคือง แล้วพูดด้วยความหงุดหงิดว่า “ฉันจริงจังอยู่นะคะ”
“โอเคครับภรรยาที่รัก ผมจะตั้งใจฟังแล้ว”
“คุณย่าของฉันพูดว่า วินนี่ ในชีวิตของผู้หญิงคนหนึ่งจะได้เจอกับคนที่ใช่แค่หนึ่งคนเท่านั้น ตอนที่ได้เจอกับเขา จะเป็นช่วงเวลาที่งดงามที่สุดในชีวิตของผู้หญิงคนนั้น ถ้าหนูไม่สามารถรักษาชีวิตที่สมบูรณ์แบบที่สุดไปจนถึงช่วงที่สวยงามที่สุดของชีวิต ก็คงจะรู้สึกเสียดายมากเลยใช่ไหมล่ะ?”
ฉินสือโอวเงียบไปพักหนึ่ง เขากระชับกอดเธอไว้แน่นแล้วพูดกับเธอว่า “ใช่แล้ว วินนี่ ผมรู้สึกว่าตัวเองโชคดีมาก ที่ผมได้เผยตัวเองในแบบที่ดีที่สุดให้คุณได้เห็นในเวลาที่ดีที่สุด ไม่อย่างนั้นผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองจะต้องเสียใจภายหลังมากมายแค่ไหน”
เดิมทีคิดไว้ว่าคงจะอยู่ที่เมืองเล็กแห่งนี้แค่สองวัน แต่ปรากฏว่าเมื่อทั้งสองคนได้ใกล้ชิดกันแล้ว จากสองวันก็กลายเป็นสามวันและจากสามวันก็กลายเป็นสี่วัน
ในช่วงเวลาเหล่านี้ ทั้งสองคนรักกันหวานซึ้งราวกับน้ำผึ้ง เวลาทานข้าวก็ไม่ได้ทานของใครของมัน แต่ยังผลัดกันป้อนอีกด้วย
ประเพณีของสังคมในเมืองเล็กค่อนข้างจะมีความอนุรักษนิยม ทว่าชาวตะวันตกมีทัศนคติที่ดีต่อความรักของชายหญิง เห็นท่าทางรักกันหวานชื่นของทั้งสองคน เจ้าของร้านอาหารก็ได้มอบของขวัญเล็กน้อยสำหรับคู่รักให้กับพวกเขา
เมื่อก่อนฉินสือโอวรำคาญเพื่อนที่ชอบอวดความรักในโมเมนต์[1]ที่สุด วันนี้มาถึงคราวของเขาแล้ว เขาเขียนโพสต์ลงในนั้นมากกว่าใคร ทำร้ายพวกคนโสดอย่างไม่หยุดหย่อน
เมื่อพวกเขาอยู่ที่นี่มานานเกินไป ท้ายที่สุดพาวลิสก็ไม่รู้จะทำอย่างไร จึงโทรศัพท์มาหาเขาพร้อมกับทำหน้าเหมือนอยากจะร้องไห้ “ฉงต้า หู่จือกับเป้าจือพวกมันไม่ยอมกินอาหาร แถมยังร้องครวญครางทั้งวันทั้งคืนอีก พระเจ้า พวกเราใกล้จะบ้าตายแล้ว! พวกคุณจะกลับมาเมื่อไรเหรอครับ? ถึงจะยังไม่กลับ ก็วิดีโอคอลหาพวกมันหน่อยเถอะครับ ช่วยปลอบเจ้าพวกโง่นี่หน่อยเถอะ!”
ได้ยินข่าวนี้ ฉินสือโอวกับวินนี่ก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าที่บ้านยังมีสัตว์เลี้ยงอยู่อีกกองโต ช่วงนี้ดันลืมพวกมันไปซะอย่างนั้น เร่งรีบขับรถเพื่อออกเดินทาง เร่งความเร็วเต็มที่กลับเกาะแฟร์เวล
สำหรับการจากไปโดยที่ไปได้บอกลา แถมทั้งสองคนยังใช้เวลาอยู่นอกบ้านนานถึงสี่วันอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน เจ้าพวกโง่ทั้งหลายจึงแสดงออกถึงความโมโหอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อนเช่นกัน
หลังจากฉินสือโอวกับวินนี่ลงมาจากรถ หู่จือ เป้าจือ ฉงต้า ต้าป๋าย ปอหลัว เสี่ยวหมิง เชสเตอร์ บุช เหล่าสัตว์เลี้ยงก็ขยับตัวเข้าไปใกล้ๆ กัน ไม่มีใครโผเข้าไปต้อนรับพวกเขาเหมือนที่เคยทำเลยสักตัว อีกทั้งยังแกล้งทำเป็นมองไม่เห็น หลบอยู่ใต้ร่มไม้แล้วเล่นด้วยกันเอง
“เฮ้ เด็กๆ คุณแม่ผิดไปแล้ว คุณแม่ลืมไปว่ายังมีพวกหนูที่รอคุณแม่อยู่ที่บ้าน มา เข้ามากอดแม่เถอะนะ แม่ไม่เคยคิดจะทิ้งพวกหนูเลย”
วินนี่เข้าไปกอดพวกมันตัวนั้นตัวนี้ด้วยความรักสุดหัวใจ ทั้งขอโทษทั้งให้คำสัญญา เหล่าสัตว์เลี้ยงไม่ยอมรับคำขอโทษ หู่จือเป้าจือถึงกับกลายมาเป็นพันธมิตรกับอริเก่าอย่างปอหลัว พวกมันพิงอยู่ด้วยกัน แล้วมองมาที่วินนี่ด้วยแววตาโกรธเคือง
ฉงต้าใช้อุ้งเท้ากดเข้ากับท้องแฟบๆ ของตัวเองแล้วส่งเสียงร้องครวญคราง วินนี่เข้าไปกอดก็ถูกมันผลักออก แล้วก็ร้องไห้ครวญครางต่อ ทั้งยังใช้อุ้งเท้าตบลงไปบนพื้นครั้งแล้วครั้งเล่า เพื่อแสดงออกถึงอารมณ์โกรธเคืองของมัน
วินนี่พูดขึ้นมาอย่างจนปัญญาว่า “พระเจ้า เด็กๆ พวกนี้พากันโกรธแล้ว ทำยังไงดีล่ะ?”
นีลเซ็นยักไหล่น้อยๆ แล้วตอบเธอว่า “วินนี่ คุณจริงจังเกินไปแล้ว พวกมันเป็นแค่สัตว์เลี้ยงนะ ไม่ได้มีความรู้สึกนึกคิดเหมือนกันกับคนหรอก ผมว่า ตอนนี้พวกมันก็แค่…”
“เงียบนะ นีลเซ็น อย่าพูดแบบนี้ต่อหน้าเด็กๆ พวกเขาก็เป็นสมาชิกในครอบครัวของเราเหมือนกัน เหมือนกับพวกนาย เหมือนกับพวกเราทุกคนนั่นแหละ” วินนี่พูดอย่างจริงจัง
นีลเซ็นยักไหล่ ส่วนเบิร์ดก็พยักหน้าแล้วพูดขึ้นมาว่า “มาดามพูดถูก ถ้านายทำเหมือนพวกมันเป็นแค่สัตว์ ถ้าอย่างนั้นพวกมันก็จะเป็นแค่สัตว์ตลอดไป”
“โอเค บิ๊กเบิร์ด ฉันเข้าใจที่นายจะสื่อ ถ้านายมองว่ามันเป็นหมา มันก็จะเป็นแค่หมา ไม่มีทางกลายเป็นนักรบได้ ใช่ไหม?” นีลเซ็นกล่าว
ประโยคนี้คือคำพูดเตือนสติของกองนาวิกโยธินของสหรัฐอเมริกาที่มีต่อ มาสคอตของกองทัพที่เกรียงไกรที่สุดในโลก อย่างสุนัขพันธุ์บูลด็อกที่มีชื่อว่า เอสจีที เชสตี้ ระหว่างที่สุนัขตัวนี้ยังอยู่ในตำแหน่งมันเคยได้รับ ‘รางวัลนาวิกโยธินผู้สร้างคุณูปการ’ ‘เหรียญเกียรติยศแห่งนาวิกโยธิน’ และเกียรติยศในด้านต่างๆ จนในที่สุดก็ได้รับการเลื่อนยศเป็นสิบโทของทั้งกองนาวิกโยธินและกองทัพบก
เรื่องราวของสิบโท เอสจีที เชสตี้ สามารถเขียนหนังสือขึ้นมาได้เป็นเล่มๆ กล่าวโดยสรุปแล้ว สุนัขตัวนี้มีตำแหน่งพิเศษในกองทัพอเมริกา
เนื่องจากการดำรงอยู่ของมันทำให้ปัญหาความเท่าเทียมทางเชื้อชาติในกองทัพได้รับการให้ความสำคัญ ดังนั้นจึงเกิดประโยคนี้ขึ้นมา ‘ถ้านายมองว่ามันเป็นหมา มันก็จะเป็นแค่หมา ไม่มีทางกลายเป็นนักรบได้’ คำว่า ‘หมา’ ในประโยคนี้ ไม่ได้มีความหมายว่าหมาแท้ๆ เพียงอย่างเดียว แต่ยังมีความหมายโดยนัยที่หมายถึงคนผิวเหลืองและคนผิวดำอีกด้วย
เห็นวินนี่แสดงอาการหนักอกหนักใจ ฉินสือโอวก็ยิ้มแล้วบอกกับเธอว่า “ไม่ต้องกังวลนะครับ รอดูผมเถอะ จัดการกับเจ้าพวกนี้ก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไรใช่ไหม? ถ้ายังจะทำอารมณ์ไม่ดีใส่พ่ออีก แค่เดี๋ยวเดียวพ่อจะทำให้รู้ว่าคนที่อาบน้ำร้อนมาก่อนมันเป็นยังไง!”
……………………………………
[1] โมเมนต์ ฟังก์ชันการใช้งานในแอพพลิเคชัน WeChat สำหรับการแชร์รูปภาพ วิดีโอและข้อความ
บทที่ 316 เคารพความน่ารัก
โดย
Ink Stone_Fantasy
ฉินสือโอวพูดให้วินนี่ฟังว่า “อันดับแรก คุณต้องแยกเจ้าพวกนี้ออกจากกันก่อน อย่าให้พวกมันอยู่ในแนวรบเดียวกัน ขอแค่แยกพวกมันออกมา ก็จะไม่มีตัวอย่างให้พวกมันทำตามกันแล้ว และเดี๋ยวพวกมันก็ทำตัวดีขึ้นเอง”
พูดจบ ฉินสือโอวก็กลับเข้าไปในครัวแล้วหาถ้วยข้าวใบใหญ่ของฉงต้ามาหนึ่งใบ จากนั้นก็ใส่สเต๊กกับสลัดผลไม้ใส่น้ำเชื่อมลงไปข้างใน
พอฉงต้าที่กำลังร้องครวญครางอยู่มองเห็นอาหารพวกนี้ มันก็กะพริบดวงตาเล็กๆ สีดำสนิทของมันปริบๆ หันหน้าไปมองหู่จือเป้าจือและเพื่อนร่วมกระทำการตัวอื่นๆ จากนั้นก็วิ่งไปหาฉินสือโอวอย่างไร้ซึ่งความซื่อสัตย์ต่อเพื่อนพ้อง
“โฮ่งๆ โฮ่งๆ” หู่จือกับเป้าจือยื่นคอเห่าเรียกหลายครั้ง ฉงต้าก็น่าจะรู้สึกว่าการหักหลังแบบนี้เป็นเรื่องที่น่าอับอาย จึงวิ่งกลับไปที่เดิม
ฉินสือโอวรู้สึกแปลกใจทำไมยอดนักกินอย่างฉงต้าสามารถต้านทานการยั่วยวนของอาหารอร่อยทั้งๆ ที่ท้องกำลังหิวได้ ปรากฏว่าการกระทำของฉงต้าก็ไม่ได้ทำให้เขาผิดหวังเลย พอวิ่งกลับไปแล้วมันก็ไปลากต้าป๋าย แล้ววิ่งกลับมาอีก
ฉงต้ากำลังจะกิน ปอหลัวที่มีท่าทีจริงจังก็รีบวิ่งเข้ามา ไม่พูดรำทำเพลงมันก้มหัวลง เขากวางเรียบแบนก็ทิ่มลงไปกับพื้นแล้วยกขึ้นมาอีกครั้ง จนฉงต้ากลายเป็นผลน้ำเต้าที่กลิ้งไปกับพื้นดิน
พอไล่ฉงต้าไปแล้ว ปอหลัวก็ชะโงกหน้าเข้าไปในชามแล้วกินอาหารเข้าไป มันคายสเต๊กออกมา แล้วกินผลไม้เข้าไปอย่างตะกละตะกลาม
ฉงต้าแผดเสียงคำรามด้วยความโมโห ทั้งตีอกทั้งชกพื้น ปอหลัวก็ไม่คิดจะสนใจมัน ก้มหน้ากินต่อไปอย่างเอร็ดอร่อย
ฉินสือโอวกลัวว่าพวกมันจะตีกัน จึงเข้าไปกอดฉงต้าแล้วปลอบมันว่า “พอแล้วพอแล้ว ไม่ต้องโกรธแล้ว เดี๋ยวป๊ะป๋าจะเข้าไปทำจานใหม่เอาให้อร่อยกว่านี้อีกดีไหม? ไม่ต้องตีอกตัวเองแล้ว แกเป็นหมี ไม่ใช่ลิงอุรังอุตัง!”
พูดจบ เขาก็เข้าไปดุปอหลัวต่อ “แย่งอาหารของเพื่อนตัวเอง ทำไมแกถึงทำได้ลงกันนะ…”
วินนี่บอกกับเขาพร้อมทั้งแย้มรอยยิ้ม “ไม่ใช่ค่ะ ฉิน คุณน่ะผิดแล้ว ชามใส่อาหารอันนี้เป็นของปอหลัวนะคะ ไม่ใช่ของฉงต้า ปอหลัวเห็นฉงต้ากินอาหารในชามของตัวเอง ก็ต้องโกรธเป็นธรรมดา”
ฉินสือโอวมองดูชามสเตนเลสที่แทบจะเหมือนกันเป๊ะๆ แล้วถามด้วยความงงงันว่า “แตกต่างกันด้วยเหรอครับ?”
วินนี่หยิบอีกอันที่เหมือนๆ กันออกมา เธอเขย่ามันไปมาแล้วพูดอย่างลำพองใจว่า “อันนี้ต่างหากที่เป็นของฉงต้า”
แล้วก็เป็นเช่นนั้น พอมองเห็นชามใส่อาหาร ถึงจะไม่มีอะไรอยู่ข้างใน แต่ฉงต้าก็ยังขยับก้นอ้วนๆ ของมันวิ่งเข้ามาหา
สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวกลุ้มใจก็คือ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะฉงต้าอยู่กับหู่จือเป้าจือมานานเกินไปหรือเปล่า ตอนที่กำลังเดินล้อมวินนี่ หางเล็กๆ ที่อยู่ตรงก้นด้านหลังก็ยกขึ้นมาขยับส่าย ‘ฟึบฟับๆ’ อย่างรวดเร็ว
“หมีก็ส่ายหางด้วยเหรอ?” ฉินสือโอวรู้สึกเหมือนทัศนคติที่มีต่อชีวิตของเขาถูกทำลายไปหมดแล้ว
เบิร์ดพูดกับเขาว่า “ส่ายได้เหมือนกันครับ เพียงแต่ว่าสั่นได้แค่นิดเดียวเท่านั้น เนื่องจากกระดูกที่หางของพวกมันเสื่อมถอยลงอย่างรุนแรง ส่ายได้แบบต้าฉง ผมเองก็เคยเห็นครั้งนี้เป็นครั้งแรกเหมือนกัน”
“ชื่อว่าฉงต้า ไม่ใช่ต้าฉง” นีลเซ็นช่วยแก้ให้ถูกต้อง เขาใช้ภาษาจีนพูดคำว่า ‘ฉงต้า’ ออกมา แถมยังออกเสียงได้ถูกต้องอีกด้วย
ไม่ว่าจะเป็นใคร ก็สรุปได้แค่ว่าค่ายพันธมิตรของเหล่าสัตว์เลี้ยงก็ล่มสลายลงแล้ว พอเสาหลักอย่างคู่ฉงต้ากับปอหลัววิ่งไปแล้ว หู่จือกับเป้าจือก็เลียหน้าแล้ววิ่งเข้ามาเช่นกัน
ส่วนพวกที่ยืนหยัดที่สุดกลับกลายเป็นเชสเตอร์กับบุช ตัวหนึ่งนอนหมอบอยู่บนพงหญ้า ส่วนอีกตัวก็มุดเข้ามุดออกอยู่ระหว่างปีกของคุณพ่อติดบ้าน ยังไงพวกมันก็ไม่หิวอยู่แล้ว เชสเตอร์บินออกไปแย่งปลาเองได้ อีกทั้งยังเอามาป้อนให้บุชกินจนอิ่มได้อีก
ส่วนเสี่ยวหมิงกับพวกกระรอกดินน่ะเหรอ? พวกมันแค่อยากมีส่วนร่วมเท่านั้นแหละ เออร์บักบอกว่าอาหารของเจ้าพวกนี้ไม่เคยเหลือเลยสักมื้อ
วินนี่ให้อาหารพวกมันทีละตัว รอจนพวกมันกินอิ่มแล้วก็เอาชามใส่อาหารไปขัดให้สะอาด เธอกอดพวกมันอย่างรักใคร่ ไม่ต่างอะไรกับกอดลูกเลย
กลับมาที่วิลล่า เอนตัวอยู่บนโซฟา จิตสำนึกแห่งโพไซดอนของฉินสือโอวก็ว่ายวนไปที่ฟาร์มปลา
ที่เขารู้สึกเป็นห่วงที่สุดก็คือเมนล็อบสเตอร์ล็อตนั้น แต่ความจริงก็ได้ถูกพิสูจน์แล้วว่าพลังของจิตสำนึกแห่งโพไซดอนมีอำนาจมากจริงๆ ห่างไปสิบกว่าวันที่ไม่ได้เพิ่มพลังลงไป แต่พวกมันก็ยังสามารถมีชีวิตต่อไปได้อย่างดี
ซากของกุ้งมังกรพวกนั้นถูกปลาแฮร์ริ่ง ปลาซาบะ ปูเสฉวนบกและปูก้ามดาบกินเข้าไป จนพื้นใต้ทะเลสะอาดหมดจด
กุ้งมังกรที่ยังเหลืออยู่ ก็หาแนวปะการังจนพบ แล้วใช้เป็นถิ่นฐานในการดำรงชีวิต เปลือกภายนอกดูเหมือนจะแข็งขึ้นมาแล้ว ตอนขยับก็ไม่ได้ดูอ่อนยวบ ไร้ชีวิตชีวาเหมือนก่อนหน้านี้ อีกทั้งยังวางท่ากร่าง และเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังชีวิต
นอกจากนี้ฉินสือโอวยังรู้สึกว่าพลังของจิตสำนึกแห่งโพไซดอนทำให้ลักษณะของกุ้งมังกรพวกนี้เปลี่ยนไปนิดหน่อย ไม่รู้ว่าดีหรือไม่ดี
เมนล็อบสเตอร์ทั่วไป (มีอีกชื่อว่าอเมริกันล็อบสเตอร์ หรือบอสตันล็อบสเตอร์) จะมีลำตัวสีเขียวมะกอกหรือไม่ก็สีเขียวปนน้ำตาล สีส้ม สีแดงส้มกับสีดำบนตัวเดียวกันก็มีอยู่ค่อนข้างมาก ว่ากันว่ายังมีการเปลี่ยนแปลงอยู่อีกสองแบบ การเปลี่ยนเป็นสีฟ้าประมาณ 1 ใน 2 ล้านและการเปลี่ยนเป็นสีเหลืองประมาณ 1 ใน 30 ล้าน
ทว่ากุ้งมังกรที่อยู่ในแนวปะการังตอนนี้ กลับมีสีม่วงอ่อน ฉินสือโอวจำได้แน่ชัดว่า ตอนที่เพิ่งซื้อมาพวกมันมีสีเขียวปนน้ำตาลเป็นส่วนใหญ่ ใครจะรู้ว่าตอนนี้เปลือกของพวกมันจะกลายเป็นสีม่วง
เห็นว่าในที่สุดกุ้งมังกรพวกนี้ก็มีแรงต่อต้านแบคทีเรียขึ้นมาแล้ว ฉินสือโอวจึงรู้สึกใจชื้นขึ้นมาบ้างแล้ว เขาใช้พลังของจิตสำนึกแห่งโพไซดอนปกคลุมด้านบนแนวปะการังเอาไว้ ส่วนจะได้รับผลอย่างไร ก็คงต้องพึ่งดวงชะตาแล้วล่ะ
โชคดีที่ปลาค็อด ปู ปลาเเซลมอนแปซิฟิก หอยกูอีดั๊ก และสัตว์น้ำชนิดอื่นๆ ไม่ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปด้วย ไม่อย่างนั้นฉินสือโอวคงจะมีเรื่องให้กลุ้มใจแล้ว
เขาไปหาฝูงฉลามขาวอีกครั้ง มองออกไปไกลๆ ก็เห็นว่าในฝูงฉลามขาว มีฉลามขาวยักษ์ที่มีลำตัวขนาดใหญ่เป็นพิเศษรวมอยู่ในนั้นด้วย
ดูเหมือนว่าเฮยป้าหวังจะทำตัวให้กลายเป็นพวกเดียวกันกับฉลามขาวไปแล้ว ใช้ชีวิตอยู่ในฝูงฉลามอย่างลงตัวแบบแปลกๆ ตามติดฝูงฉลามเหมือนจิ้งจอกแอบอ้างบารมีเสือ ไล่ปลาค็อดตามจับกุ้งปู ใช้ชีวิตได้อย่างแฮปปี้
ช่วงนี้หาอาหารได้ง่าย เฮยป้าหวังได้รับอาหารบำรุงร่างกายอย่างอุดมสมบูรณ์ แผลบนร่างกายผสานกันได้พอสมควรแล้ว เพียงแต่ว่าหนังบนร่างกายตรงส่วนสีดำด้านบน ยังหลงเหลือรอยแผลเป็นน่ากลัว ทำให้มันดูดุร้ายยิ่งกว่าเดิม
บอลหิมะกับไอซ์สเกตยังคงเป็นกลุ่มสัตว์สันโดษของฟาร์มปลา พวกมันเป็นเหมือนเจ้าชาย ถึงแม้ว่าตัวจะเล็ก แต่มีความน่าสนใจเป็นอย่างมาก ฉินสือโอวเพิ่มพลังของจิตสำนึกแห่งโพไซดอนเข้าไปในตัวของพวกมันมากที่สุด สุขภาพของพวกมันจึงแข็งแรงที่สุด มีมันสมองที่สุด
ช่วงนี้ฉินสือโอวไม่ค่อยได้มาที่นี่ บอลหิมะกับไอซ์สเกตก็เปลี่ยนกิจกรรมความบันเทิงมาเป็นการไล่ตามพี่น้องฉลามกบทั้งเจ็ดตัว ภายใต้ความช่วยเหลือของพวกมัน ตอนนี้พี่น้องฉลามกบทั้งเจ็ดตัวก็มีความระมัดระวังตัว ระดับความรวดเร็วก็เรียกได้ว่าว่องไว
บางครั้ง บอลหิมะกับไอซ์สเกตก็จะเข้าไปแกล้งแหย่ฝูงฉลาม ด้านฝูงฉลามก็ขี้เกียจจะสนใจพวกมัน เฮยป้าหวังขู่ให้พวกมันกลัวไปแล้วสองครั้ง เป็นเพียงพลังในร่างกายที่มีเหมือนกันเท่านั้น ทั้งสองฝ่ายไม่ได้ทำร้ายกันแต่อย่างใด
เรื่องของพวกหู่จือเป้าจือทำให้ฉินสือโอวได้รับประสบการณ์มาแล้ว ต่อไปจะมองแค่ว่าพวกมันเป็นเพียงสัตว์เลี้ยงไม่ได้ เขาต้องเคารพสติปัญญาของพวกมันด้วย ถึงแม้สติปัญญาจะไม่ได้สูงนัก แต่จะทำร้ายพวกมันไม่ได้เด็ดขาด
ฉินสือโอวปลอบโยนบอลหิมะกับไอซ์สเกต เขาพาพวกมันไปสำรวจฟาร์มปลา หลังจากที่เฮยป้าหวังสัมผัสได้ถึงจิตสำนึกแห่งโพไซดอนมันก็ว่ายน้ำดุ๊กๆ ดิ๊กๆ เข้ามา แล้วตีเนียนเป็นจิ้งจอกหลอกใช้บารมีเสือต่อไป
ตัวใหญ่หนึ่ง ตัวเล็กสอง หนึ่งดำสองขาว สัตว์น้ำทั้งสามตัวทำตัวอวดเบ่งอยู่ในฟาร์มปลา ฉินสือโอวไม่ได้จะเข้าไปจัดการกับพวกมัน เพียงแค่ตั้งใจพาพวกมันมายังตำแหน่งของดงสาหร่ายสีน้ำตาลเท่านั้น
พอเข้ามาในดงสาหร่ายสีน้ำตาล ทรัพยากรปลาในนี้อุดมสมบูรณ์มาก พวกมันทั้งสามตัวตื่นเต้นดีใจ ว่ายน้ำเพ่นพ่านไปทั่วทุกทิศ
ในตอนสุดท้าย พวกมันต้องเจอกับเรื่องใหญ่เสียแล้ว
พวกงูเหลือมทะเลนึกว่าพวกมันจะเข้ามาบุกรุก ภายใต้การนำพาของพี่ใหญ่ งูเหลือมทะเลหนึ่งฝูงก็ค่อยๆ โอบล้อมเข้ามาอย่างเงียบเชียบจากทั่วทิศทาง ขณะเดียวกันในตอนสุดท้ายก็ปรากฏเงาร่างที่ทั้งเหี้ยมโหดและดุร้าย!
ในตอนแรกเห็นแค่งูเหลือมทะเลหนึ่งตัว เฮยป้าหวังยังแข็งแกร่งอยู่มาก มันอ้าปากใหญ่ปรากฏให้เห็นฟันแต่ละแถวที่แหลมคมยิ่งกว่ามีดดาบขู่จนงูเหลือมทะเลตกใจกลัว
แต่ปรากฏว่า งูตัวแล้วตัวเล่า ฝูงแล้วฝูงเล่า งูเหลือมทะเลก็ยิ่งเยอะขึ้นไปทุกที
เฮยป้าหวังปิดปากของมันอย่างไม่ลังเล ถอยกลับมาอยู่ระหว่างไอซ์สเกตกับบอลหิมะ พวกมันทั้งสามตัวเกาะกลุ่มกันหวังเอาตัวรอด พากันกลัวจนแทบทนไม่ไหว
……………………………………….
บทที่ 317 สวมผ้าแพรเดินเหินยามราตรี
โดย
Ink Stone_Fantasy
ฉินสือโอวมองดูด้วยความสนุกสนาน เขาวางตัวออกห่าง ไม่เข้าไปยุ่งกับพวกมัน ปล่อยให้งูเหลือมทะเลเหล่าทหารองครักษ์ขู่ให้พวกมันกลัวเสียก่อน ถึงจะพาพวกมันทั้งสามตัวออกมา
ได้รับบทเรียนจากเหล่าทหารองครักษ์อย่างงูเหลือมทะเล พวกมันทั้งสามตัวก็ทำตัวสงบเสงี่ยมขึ้น ต่อมาพอเห็นปลาแสงอาทิตย์ตัวใหญ่บึกบึนหลายตัวอยู่ในดงสาหร่ายสีน้ำตาล พวกมันก็ไม่กล้าเข้าไปยุ่ง
สำหรับพวกฉลามแล้ว ปลาแสงอาทิตย์ที่มีลำตัวขนาดมหึมาทั้งยังมีท่าทางงุ่มง่ามเชื่องช้าก็ย่อมถือว่าเป็นอาหารอันโอชะอยู่แล้ว มันสามารถอดทนอดกลั้นเอาไว้ได้ จึงพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าคราวนี้เฮยป้าหวังได้เรียนรู้จากบทเรียนที่ผ่านมาแล้ว
เริ่มสำรวจตั้งแต่ทางฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ของเกาะมาจนถึงมุมฝั่งทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ฉินสือโอวหว่านพลังของจิตสำนึกแห่งโพไซดอนอย่างต่อเนื่อง การถ่ายทอดพลังในครั้งนี้ไม่ได้มุ่งไปยังสิ่งมีชีวิตชนิดใดชนิดหนึ่ง แต่เพื่อปรับปรุงคุณภาพน้ำให้ดีขึ้น เพื่อให้สาหร่ายทะเลและแพลงก์ตอนสามารถเติบโตได้ดีขึ้นกว่าเดิม
จัดการเรื่องพวกนี้เรียบร้อยแล้ว ฉินสือโอวก็ผายมือสั่งให้เฮยป้าหวังว่ายน้ำลงไปในมหาสมุทรลึก เขาต้องทำการสำรวจมหาสมุทรรอบที่สองแล้ว ครั้งนี้เป็นคราวของฉลามขาวยักษ์เฮยป้าหวังกับฉลามขาวที่ต้องออกไปปฏิบัติการ มันทั้งสองต่างก็เป็นสัตว์ที่มีร่างกายขนาดใหญ่
หลายวันที่เหลืออยู่ ฉินสือโอวก็เกาะติดอยู่กับวินนี่ด้วยความรักใคร่อย่างสุดซึ้ง เก็บกลั้นมาแล้วตั้งยี่สิบหกยี่สิบเจ็ดปี ความต้องการของฉินสือโอวนั้นน่าตกใจมาก เมื่อได้ปลดปล่อยออกมาแล้วแม้กระทั่งเขาก็ยังรู้สึกกลัวตัวเอง
ผู้หญิงย่อมมีเหตุผลมากกว่าผู้ชายอยู่แล้ว วินนี่มีข้อกำหนดเกี่ยวกับเพศสัมพันธ์ที่จริงจังมาก เธอไม่อนุญาตให้ฉินสือโอวเอาแต่หมกมุ่นเรื่องนี้ ในบางคืนเธอถึงกับพาพวกฉงต้า หู่จือ เป้าจือขึ้นมานอนด้วย
ใกล้จะถึงเทศกาลไหว้พระจันทร์แล้ว ฉินสือโอวต้องกลับจีน เขาวางแผนไว้ว่าจะพาวินนี่กลับไปด้วย
วินนี่เองก็ไม่รู้จะทำอย่างไรดี เธอพูดกับเขาว่า “ที่รักคะ ฉันอยากไปเจอที่บ้านคุณมากเลย แต่ว่าอย่างแรกเลยคือก่อนหน้านี้ฉันลางานบ่อยเกินไป ตอนนี้ฉันก็ยังเป็นไกด์ของเมืองนี้อยู่ อีกอย่างถ้าพวกเราไม่อยู่ทั้งคู่ แล้วใครจะดูแลเด็กๆ ล่ะคะ?”
หู่จือเป้าจือฉงต้านั่งเรียงกันเป็นแถว พวกมันเงยหน้ามองมาที่ฉินสือโอวด้วยใบหน้าไร้เดียงสา มีทั้งความเชื่อใจและอาลัยอาวรณ์ในสายตา
ฉินสือโอวทำได้เพียงกลับประเทศจีนไปตัวคนเดียว แต่ก็ไม่เป็นไร ครั้งนี้เขาคิดไว้แล้วว่าจะพาพ่อแม่มาที่นี่ด้วยกันทั้งหมด ดังนั้นวินนี่ก็แค่ได้พบพ่อแม่สามีช้ากว่าเดิมไม่กี่วันเท่านั้น
ยังเป็นเออร์บักที่ช่วยเขาจองตั๋วเครื่องบิน ตอนนี้เขามีเงินถุงเงินถัง จึงไม่ต้องปล่อยให้ตัวเองต้องลำบากแล้ว ตลอดการเดินทางเป็นที่นั่งชั้นเฟิร์สคลาสทั้งหมด วินนี่เตรียมตำราเกี่ยวกับการจัดการด้านการเงินไว้ให้เขาเอาไว้อ่านตอนอยู่บนเครื่องบินจะได้ไม่ต้องเล่นเกม
พอมาถึงสนามบินโทรอนโตแล้ว ขณะที่ฉินสือโอวกำลังรอเครื่องบินอยู่ เบลคก็โทรศัพท์มาหาเขา พูดอย่างปิดความตื่นเต้นดีใจเอาไว้ไม่มิด “สำเร็จแล้ว เพื่อน ของของพวกเราถูกขายออกไปหมดแล้ว รายได้จากการประมูลทั้งหมดสามสิบสี่ล้านกับอีกห้าแสน ได้ทองคำทั้งหมดคิดเป็นยี่สิบเก้าล้านกับอีกแปดแสน! ไปได้สวย ไปได้สวยจริงๆ!”
เบลคอยู่ด้วยกันกับแบรนดอน แบรนดอนรับเอาโทรศัพท์ไปคุยต่อ เขาบอกฉินสือโอวให้เตรียมบัตรธนาคารเอาไว้ “บัตรธนาคารของนายกำลังจะมีเงินก้อนโตเพิ่มขึ้นอีกก้อนแล้ว พระเจ้า ฉันอิจฉานายจริงๆ นายเป็นสุดยอดมหาเศรษฐีที่อายุน้อยที่สุดเท่าที่ฉันเคยรู้จักมาเลย…”
เมื่อพูดอย่างตื่นเต้นแล้ว ทั้งสองคนก็ถามว่าจะจัดปาร์ตี้ฉลองได้ตอนไหน ให้ฉินสือโอวรีบไปอเมริกา พร้อมทั้งบอกกับเขาว่าปาร์ตี้ที่อเมริกาถึงจะสนุกสุดยอด
ฉินสือโอวรอจนพวกเขาพูดจบ แล้วจึงตอบกลับไปว่า “ขอโทษจริงๆ เพื่อน ตอนนี้ฉันอยู่ที่โทรอนโต กำลังจะบินกลับบ้านเกิด เพราะอย่างนั้นฉันคงจะไม่มีโอกาสได้ไปปาร์ตี้ด้วย”
เมื่อถามจนรู้แน่ชัดแล้วว่าฉินสือโอวต้องกลับไปฉลองเทศกาล แบรนดอนก็ทำได้แค่อวยพรเขา จากนั้นก็พูดกับเขาว่า “นายกำลังรอเครื่องบินอะไรอยู่ที่โทรอนโต? ฉันไม่เข้าใจเลย น้องชาย นายมีบัตรแบล็ก อาเม็กซ์ ระดับแอลวี 2 ถ้าเป็นฉัน ฉันจะจ่ายเงินเพิ่มอีกนิดหน่อยแล้วเช่าเครื่องบินส่วนตัวสักลำ”
ให้ตาย ทำแบบนี้ได้ด้วยเหรอ? ฉินสือโอวลองถามดู แบรนดอนอธิบายให้เขาฟังว่าบัตรแบล็ก อาเม็กซ์ของเขาใบนี้มีการใช้งานที่สุดยอดมาก ทั้งยังมีส่วนลดสำหรับการเช่าซื้อสินค้าที่มีความหรูหราอีกด้วย
คนทั่วไปเช่าเครื่องบินส่วนตัวหนึ่งลำบินจากนครเซนต์จอห์นไปปักกิ่งต้องใช้ประมาณเงินสามสี่แสนดอลลาร์แคนาดา แต่ถ้าเป็นเขา ก็จะใช้เงินแค่สองแสนดอลลาร์เท่านั้น
เหตุผลง่ายๆ ก็คือ ไม่ว่าจะเป็นบริษัทสินค้าลักชัวรี่ที่ไหน ต่างก็อยากจะติดต่อกับมหาเศรษฐีอายุน้อยอย่างเขากันทั้งนั้น ขอแค่กลายมาเป็นมิตร ต่อให้มีค่าใช้จ่ายที่ต้องแลกเล็กน้อยก็ไม่เป็นไร
ก็เหมือนกับตอนที่ซื้อเครื่องบินจากสกายซิตี้เมื่อก่อนหน้านี้ ที่โอเมอร์ใช้เครื่องบินเที่ยวบินพิเศษในการรับ-ส่งฉินสือโอว อีกทั้งยังให้สิทธิพิเศษกับเขาตั้งหลายอย่าง
มูลค่าในการค้าทั้งหมดหนึ่งล้านสามแสนดอลลาร์ สกายซิตี้จะทำเงินได้เท่าไรกัน ทำไมถึงให้ความสำคัญกับเขาขนาดนั้น? ต้องรู้ก่อนว่าลูกค้าทั่วไปถึงแม้จะไปซื้อเฮลิคอปเตอร์หลายเครื่องยนต์ราคาหลายล้านดอลลาร์ ทว่าสกายซิตี้กรุปก็ไม่ได้ดูแลไปรับไปส่ง
ที่ฉินสือโอวได้รับสิทธิพิเศษเช่นนี้ ก็เพื่อเป็นการให้เกียรติบัตรแบล็ก อาเม็กซ์ สกายซิตี้กรุปเชื่อมั่นว่า มหาเศรษฐีอายุน้อยที่ครอบครองบัตรใบนี้ ตลอดทั้งชีวิตไม่มีทางซื้อเครื่องบินเพื่อการเกษตรกับเฮลิคอปเตอร์แค่อย่างละลำ ขอเพียงแค่สร้างความสัมพันธ์ให้มั่นคง ต่อไปเขาต้องซื้อเครื่องบินส่วนตัวลำหรูอย่างแน่นอน
แล้วเครื่องบินส่วนตัวลำหรูมีราคาเท่าไรน่ะเหรอ? เริ่มต้นที่สิบล้าน ไม่ต่ำกว่านี้!
หลังจากวางสาย ฉินสือโอวก็ทอดถอนใจเล็กน้อย ย้อนกลับไปครึ่งปี ทุกครั้งที่กลับบ้านเขาก็มักจะลังเลระหว่างรถไฟความเร็วปกติเบาะแข็งกับรถไฟความเร็วสูง ตอนนี้เขาก็ยังลังเลอยู่ แต่เป็นความลังเลว่าจะจ้างเครื่องบินส่วนตัวหรือนั่งเครื่องบินชั้นเฟิร์สคลาสดี
แน่นอนล่ะ เขาแค่ลังเลนิดหน่อย ต่อจากนั้นสายการบินก็เริ่มเปลี่ยนบอร์ดดิ้งพาส เขาสามารถเตรียมตัวขึ้นเครื่องได้แล้ว
เที่ยวบินระยะเวลากว่าสิบชั่วโมง ฉินสือโอวอ่านหนังสือไปได้ไม่เท่าไรก็หลับไป ลืมตาขึ้นมาอีกที ก็ตอนที่แอร์โฮสเตสสาวสวยท่าทางอ่อนหวานมาปลุกเขาให้เตรียมตัวลงจากเครื่องบิน
ปักกิ่ง มาถึงแล้ว
ตอนที่มาถึงปักกิ่งเพิ่งจะเป็นเวลาย่ำค่ำ เหมาเหว่ยหลงก็เลิกงานพอดี จากนั้นก็ค่อยขับรถมารับเขา
ฉินสือโอวสะพายกระเป๋าเป้อย่างง่ายๆ หนึ่งใบ พร้อมกับลากกระเป๋าเดินทาง เสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่ก็ยังเป็นเสื้อทีเชิ้ตตัวเดียวกันกับที่เขาซื้อตอนไปเดินเล่นกับเหมาเหว่ยหลงที่ห้างสรรพสินค้าเซนต์จอห์นโคสท์ที่เขียนว่า จุดไฟเผาภูเขา รอวันเข้าคุก
เหมาเหว่ยหลงขับรถมารับเขา แล้วพูดหยอกขึ้นมาว่า “ลูกพี่เศรษฐีบ้านนอกนี่ติดดินจังเลยนะ เลือกกลับมาถึงบ้านเกิดตอนกลางคืน นี่หมายความว่ายังไงเหรอ?”
ฉินสือโอวกลอกตาใส่เขาแล้วตอบกลับไปว่า “จะมีความหมายบ้าอะไรล่ะ ไฟล์ทบินที่มาถึงตอนเย็นมันถูกไง”
“จุ๊ๆ พี่ชายเศรษฐีบ้านนอกนี่ปลอบใจพวกขี้แพ้อย่างฉันได้ดีจริงๆ ใครจะไม่รู้ทันจุดประสงค์ของแก แกคิดจะสวมผ้าแพรเดินเหินยามราตรี[1]ล่ะสิ”
“เหอะๆ แกฉลาดขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน? โคโกโร่เพื่อนรัก ดูท่าว่าพรรคคอมมิวนิสต์คงไม่ได้เลี้ยงแกเสียข้าวสุกแล้วล่ะ”
ทั้งสองคนคุยกันมาตลอดทาง รถยนต์ขับเข้ามาถึงใจกลางเมือง เหมาเหว่ยหลงใช้โอกาสช่วงรถติดไฟแดง ถามเขาแบบคลุมๆ เครือๆ ว่า “เอ่อ ฉินโซ่ว คุณนางฟ้าของฉันเป็นยังไงบ้าง?”
“นางฟ้าของแกคนไหน?” ฉินสือโอวถามอย่างไม่ได้ใส่ใจ
“อยากทุบแกให้ตายจริงๆ ก็ต้องเป็นนางฟ้าสาวแว่นหน้าอกบึ้มของฉันน่ะสิ คุณครูคนสวย เชอร์ริลไง!” เหมาเหว่ยหลงทำหน้าบึ้งตึง
“ฉันไม่ได้สนใจอะไรหรอกนะ ยังไงธุระสำคัญของฉันก็คลี่คลายแล้ว ช่วงนี้ฉันมีความสุขสุดๆ เลยล่ะ” ฉินสือโอว พยายามพูดแหย่เหมาเหว่ยหลงทุกทาง
“ฉันชอบเวลาที่แกเกลียดฉันแต่ทำอะไรฉันไม่ได้จริงๆ ถ้าแกกล้ากัดฉัน หรือไม่เคารพฉันพอกลับไป ฉันจะรีบไปจีบเชอร์ริลเลย อย่าหาว่าฉันไม่เตือนแล้วกัน ยิ่งตอนนี้เชอร์ริลเป็นคุณครูที่ปรึกษาของเชอร์ลี่ย์กับพาวลิสอยู่ด้วย”
ในบรรดาเพื่อนสมัยเรียนมหาวิทยาลัยของทั้งคู่ ถึงแม้จะมีหลายคนที่อยู่ที่ปักกิ่ง ทว่าความสัมพันธ์ตอนที่ยังเรียนอยู่ก็แค่ทั่วๆ ไป คืนวันนั้นทุกๆ คนก็มาทานข้าวด้วยกันหนึ่งมื้อหลังจากนั้นก็แยกย้ายกันไป ไม่ได้รู้สึกอะไรเป็นพิเศษ วันต่อมาฉินสือโอวก็ขับรถฉางอันคันเก่าของเหมาเหว่ยหลงกลับบ้านไป
เหมาเหว่ยหลงทายถูกแล้ว ฉินสือโอวอยากจะสวมชุดแพรเดินเหินยามราตรีจริงๆ อาจจะเป็นเพราะเขาอยู่ที่ดินแดนในอุดมคติอย่างเมืองแฟร์เวลมานานเกินไป ทำให้นับวันเขาก็ยิ่งชอบชีวิตที่สงบสุขและเรียบง่ายแบบนั้น
……………………………………………
[1] สวมผ้าแพรเดินเหินยามราตรี หมายถึงคนที่ประสบความสำเร็จแล้วแต่เมื่อกลับบ้านเดิมก็ไม่ได้ทำตัวโอ้อวด
บทที่ 318 รสชาติของอาหารที่บ้าน
โดย
Ink Stone_Fantasy
ขับรถฉางอันที่เหมาเหว่ยหลงดูแลเหมือนลูก ฉินสือโอวขับรถขึ้นทางด่วนโดยตรง น่าเสียดายที่คุณภาพของรถไม่ดีนัก จึงไม่ได้ขับพุ่งทะยานออกไป ทำได้แค่ขับด้วยความเร็วหนึ่งร้อยกิโลเมตรต่อชั่วโมงเท่านั้น
ห่างจากเทศกาลไหว้พระจันทร์อยู่แค่สองวัน หลายคนที่ทำงานอยู่ในปักกิ่งก็ทยอยกันกลับบ้านเกิดไปฉลองวันเทศกาล ดังนั้นนอกจากเวลาเช้าตรู่ พอมาถึงช่วงสาย รถบนทางหลวงก็เริ่มเยอะขึ้นแล้ว
เมื่อเป็นเช่นนี้ ฉินสือโอวจึงต้องขับไปอย่างช้าๆ ในตอนแรกเขาถือว่าตัวเองมีปฏิกิริยาตอบสนองที่รวดเร็ว มีทักษะในการขับรถดี จึงขับรถแซงขึ้นหน้าเรื่อยๆ เพื่อใช้เวลาและช่องว่างให้เป็นประโยชน์
แต่ปรากฏว่า ต่อมาเขาก็ต้องหยุดรถ การจราจรบนทางด่วนแน่นขนัด ด้านหน้าเกิดอุบัติเหตุขึ้น
ทางด้านหนึ่งของถนน มีรถฮอนด้าแอคคอร์ดหนึ่งคันที่แทบจะพังยับอยู่แล้ว และด้านหลังยังมีรถพ่วงยี่ห้อออร์แมนจอดอยู่ด้านหลัง เห็นได้ชัดว่ารถทั้งสองคันชนเข้าด้วยกัน
รถตำรวจกับรถฉุกเฉิน 120 จอดอยู่ข้างๆ ผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังนั่งยองๆ ร้องไห้กอดลูกอยู่ข้างถนน ตำรวจจราจรที่มีใบหน้าเครียดขรึมก็ออกคำสั่งให้ผู้ใช้รถทุกคนขับรถผ่านไป ตอนที่ฉินสือโอวขับผ่าน ตำรวจจราจรก็เจาะจงเตือนเขาเป็นพิเศษ “ไอ้หนุ่ม ขับรถช้าลงหน่อย”
เมื่อออกเดินทางต่อ ฉินสือโอวก็ไม่กล้าเอาความเคยชินตอนอยู่แคนาดามาใช้แล้ว เขาลดความเร็วลง แล้วขับรถตรงไปข้างหน้าอย่างมั่นคง ที่จริงแล้วไม่จำเป็นจะต้องขับรถเร็วเลย อย่างมากที่สุดก็คงถึงบ้านเร็วกว่าเดิมแค่หนึ่งชั่วโมง ไม่คุ้มค่าที่จะเสี่ยงเพื่อเวลาเพียงน้อยนิดแบบนี้เลย
พอขับเข้ามาถึงปากทางของทางด่วนในเขตอำเภอ ฉินสือโอวก็รู้จักเส้นทางหลังเป็นอย่างดี พอดีกับที่ปากทางอยู่ไม่ไกลจากร้านที่เขาซื้อแล้วให้ฉินเผิงยืมเปิดเป็นอู่ซ่อมรถชั่วคราว เขาจึงขับรถแวะเข้าไปหา
กิจการอู่ซ่อมรถเจริญรุ่งเรืองมาก รถบรรทุกสินค้าขนาดเล็กสองคันจอดอยู่ที่ลานซ่อมรถ ที่ด้านนอกประตูก็มีรถเก๋งคันเล็กจอดอยู่หลายคัน ฉินเผิงสวมชุดทำงานที่เต็มไปด้วยคราบน้ำมันยุ่งอยู่กับงานพร้อมเด็กหนุ่มอีกสองคน
พอเขาบีบแตรเรียก ฉินเผิงก็เงยหน้าขึ้นมามอง แล้วตะโกนถามว่า “รถเป็นอะไรเหรอ? ถ้ายังไม่มีเรื่องด่วนก็รอก่อนนะ สองคันนี้ต้องรีบไปส่งของ ผมต้องซ่อมให้พวกเขาก่อน”
ฉินสือโอวบีบแตรอีกครั้ง เด็กหนุ่มคนหนึ่งก็ถูจมูก พร้อมทั้งขมวดคิ้วแล้วพูดขึ้นมาว่า “รถจากปักกิ่งคันนี้นิสัยเสียจริงๆ ก็บอกแล้วว่าให้รอคิวก่อน จะมาบีบแตรใส่อยู่หน้าประตูทำไมกัน?”
พอฉินเผิงได้ยินว่าเป็นรถที่มีป้ายทะเบียนจากเมืองหลวง เขาก็เดาได้ทันทีว่าฉินสือโอวมานี่แล้ว ตอนที่คุยกันตอนนั้นฉินสือโอวก็เคยบอกวันที่จะกลับบ้าน
ถอดถุงมือออก ฉินเผิงไปลากฉินสือโอวลงมา เด็กหนุ่มลูกจ้างของเขาทั้งสองคนก็รีบวิ่งเข้ามาดึงฉินเผิงออก แล้วพูดกับเขาว่า “นายช่าง นายช่าง ทำไมถึงได้โมโหขนาดนี้ล่ะ? ไม่ถึงกับต้องตีกันหรอก พวกเราใจเย็นลงหน่อยเถอะนะ”
ฉินสือโอวหัวเราะแล้วถามขึ้นมาว่า “คนกากๆ แบบแกก็เป็นนายช่างได้เหรอ?”
ฉินเผิงดันเด็กหนุ่มทั้งสองคนออกแล้วต่อยฉินสือโอวไปหนึ่งหมัด เขาพูดกับเด็กหนุ่มทั้งสองคนอย่างอารมณ์ไม่ดีว่า “ไปๆ พวกแกไปเปลี่ยนน้ำมันเครื่องก่อน เดี๋ยวเรื่องอื่นฉันจะจัดการเอง เพื่อนสมัยเด็กฉันมาหา เดี๋ยวฉันคุยอะไรกับมันหน่อย”
ภายใต้การนำพาของฉินเผิง ฉินสือโอวเดินเข้ามานั่งดื่มชาอยู่ในลานซ่อมรถ เขาถามถึงความเป็นไปของภรรยาของฉินเผิง ฉินเผิงบอกว่าตอนนี้เธอถูกส่งไปอยู่ที่โรงพยาบาลแล้ว เพิ่งจะส่งไปเมื่อวานนี้เอง จะได้ทันเวลาคลอด พ่อแม่ของเขาก็ไปที่นั่นแล้ว ส่วนเขายังมีงานหลายอย่าง เลยต้องอยู่ทำงานที่อู่ก่อน
“กิจการเป็นยังไงบ้าง?”
“ดีสุดๆ เลยล่ะ แกเลือกซื้อที่ได้ถูกทำเลแล้ว อาศัยทางแยกตรงทางด่วน แล้วรัฐบาลก็วางแผนจะทำถนนเชื่อมกับทางเข้ามณฑลตรงสามแยกอีกเส้นหนึ่ง ถ้าทำเสร็จแล้ว ก็จะยิ่งมีรถขับผ่านมาทางนี้เยอะกว่าเดิม ก่อนหน้านี้ มีคนมาหาฉันเพราะอยากซื้อที่ตรงนี้ไปทำซูเปอร์มาร์เก็ต แต่ให้ราคาไม่สูงพอ ฉันเลยปฏิเสธแทนแกไปแล้ว คิดว่าถ้ากดดันนิดหน่อยพวกเขาก็น่าจะให้ราคาเพิ่มอีก”
“ก็ที่ตรงนี้ทำเลมันดีนี่นะ เพราะงั้นจะให้ราคาเท่าไรก็ไม่ขายหรอก แกเปิดอู่อยู่ตรงให้สบายใจเถอะ”
“จะทำแบบนั้นได้ยังไงล่ะ นี่เป็นโอกาสดี…”
“ไม่ต้องเถียงแล้ว ไม่สนใจ ถือซะว่าฉันให้ของทำขวัญหลานชายคนโตของฉันก็แล้วกัน”
“ไอ้เวร นั่นหลานสาวคนโตของแก ทำไมถึงกลายเป็นหลานชายไปแล้วล่ะ?”
ทั้งสองคนคุยกันเล่นอยู่พักหนึ่ง เด็กหนุ่มคนหนึ่งก็รีบเอาจานใส่ลูกท้อกับแตงหวานมาให้ พร้อมทั้งพูดให้ฟังว่า “ที่บ้านผมปลูกเองครับ แม่ของผมเพิ่งส่งมาให้เมื่อเช้า พี่ใหญ่พี่ลองชิมดู”
ฉินสือโอวพูดขอบคุณด้วยความเกรงใจ หยิบเอาแตงหวานขึ้นมากัดเข้าไปหนึ่งคำ แล้วเอ่ยปากชมว่า “อื้ม อร่อยมาก แตงอันนี้หวานมากๆ เลย”
เด็กหนุ่มยิ้มซื่อๆ แล้วเดินกลับไป เด็กหนุ่มอีกคนที่กำลังคาบบุหรี่อยู่ก็พูดขึ้นมาว่า “พี่เหล่ยนี่รู้จักประจบประแจงจังเลยแฮะ ผมนับถือพี่จริงๆ ฮ่าๆ ครั้งหน้าต้องให้ผมเป็นคนทำเรื่องพวกนี้บ้างนะ”
เด็กหนุ่มคนที่เอาแตงมาให้ยิ้มแล้วเตะขาเขาไปหนึ่งที ทั้งสองคนเปลี่ยนน้ำมันเครื่องให้รถส่งของไปด้วยทะเลาะกันไปด้วย ฉินเผิงกระแอมไอออกมาสองครั้ง ทั้งคู่ก็หันหน้ามายิ้มแหะๆ แล้วทำงานต่อไปอย่างเงียบๆ
ฉินเผิงชี้ไปที่เด็กหนุ่มคนที่สูบบุหรี่แล้วพูดกับฉินสือโอวว่า “นั่นลูกของป้าฉัน แกยังจำได้ไหม ก่อนขึ้นมัธยมต้นก็เคยพาพวกเขาไปเล่นด้วยกันบ่อยๆ ส่วนอีกคนเป็นเพื่อนของเขา สองคนนี้มาเรียนซ่อมรถกับฉันน่ะ เป็นเด็กนิสัยดีทั้งคู่เลย”
ฉินสือโอวส่ายหัว สิบกว่าปีแล้ว กับเพื่อนเล่นสมัยเด็กพวกนี้ เขาจะยังจำได้ได้ยังไงกัน?
หลังจากหยิบเอาอาหารบำรุงกำลังที่เตรียมไว้ให้ภรรยากับพ่อแม่ของฉินเผิงออกมาแล้ว ฉินสือโอวก็กำลังจะขับรถกลับออกไป ฉินเผิงอยากให้เขาอยู่ทานข้าวด้วยกันก่อน ฉินสือโอวจึงบอกว่าเดี๋ยวเขาจะกลับมาใหม่ ตอนนี้เขายังกลับไม่ถึงบ้าน ที่บ้านคงจะเป็นห่วงแล้วแน่ๆ
แล้วก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ตอนที่เขาขับรถมาถึงหน้าประตูบ้าน รถออดี้ เอ6 แอล ที่เขาส่งให้พี่เขยก็จอดอยู่ที่หน้าประตู เสี่ยวฮุยลูกของพี่สาวของเขาก็กำลังนั่งยองๆ เล่นกับลูกสุนัขสีดำอยู่ตรงนั้น
พอฉินสือโอวเปิดประตูรถออกมา เสี่ยวฮุยก็มองมาที่เขา แล้วจึงลากลูกสุนัขตัวสีดำวิ่งกลับเข้าไปในบ้าน จากนั้นก็ตะโกนขึ้นมาว่า “แม่ฮะ คุณน้าคนชั่วกลับมาแล้ว….”
“เจ้าลูกหมาเลี้ยงไม่เชื่อง น้าไม่ให้ของขวัญแกแล้ว” ฉินสือโอวด่าทั้งรอยยิ้ม
พอเสี่ยวฮุยตะโกนออกไป พ่อแม่พี่สาวก็พากันวิ่งออกมา ลูกสุนัขสีดำก็วิ่งตามหน้าตามหลังออกมาเช่นกัน มันเห่าบ๊อกๆ ใส่ฉินสือโอวอยู่พักหนึ่ง แต่ก็ไม่มีใครสนใจ พอมันรู้สึกเบื่อ มันก็เลียปากไปมาแล้วเดินตามหลังเสี่ยวฮุยไปอย่างเชื่องๆ
ได้ยินเสียงเอะอะจากหน้าประตู เพื่อนบ้านที่อยู่บ้านข้างๆ กันก็เปิดประตูออกมา เห็นว่าฉินสือโอวกลับมาแล้ว ก็เลยทยอยกันเข้ามาทักทายเขา
ฉินสือโอวตอบพวกเขากลับไปทีละคน พร้อมทั้งหยิบเอาพวกกระเป๋าใส่ของของขวัญที่อยู่ท้ายรถกับบนเบาะติดมือมาด้วย กระเป๋าก็ถูกจัดอย่างง่ายๆ เขามีแค่กระเป๋าเป้กับกระเป๋าเดินทางอย่างละหนึ่งใบ ของขวัญเยอะแยะไปหมด ล้วนแต่เป็นของที่เหมาเหว่ยหลงเตรียมไว้ทั้งสิ้น เป็ดปักกิ่งก็มีอยู่ตั้งสิบตัว
ไม่ว่าจะเป็นในเมืองหรือเขตชนบท ยิ่งลูกมีชีวิตดีเท่าไรคนในครอบครัวก็จะยิ่งมีหน้ามีตาในสายตาของคนรอบข้างมากเท่านั้น ถึงเพื่อนบ้านจะไม่รู้ว่าฉินสือโอวทำงานอะไรกันแน่ แต่ก็พอจะรู้ว่าเขาไปร่ำรวยที่เมืองนอก เห็นเขาขนกระเป๋าใบเล็กใบใหญ่ออกมาจากรถ พวกเขาก็พากันแสดงความยินดีกับพ่อแม่ของฉินสือโอว
พ่อกับแม่ของฉินสือโอวต่างก็เป็นคนซื่อสัตย์ด้วยกันทั้งคู่ สิ่งที่ทำให้พวกท่านรู้สึกภาคภูมิใจมีอยู่สองอย่าง อย่างแรกคือเก็บเกี่ยวพืชพันธุ์ในไร่ได้อย่างดี ส่วนอย่างที่สองก็คือลูกๆ มีอนาคตที่ดี
ดังนั้น เมื่อได้ยินคำแสดงความยินดีจากเพื่อนบ้าน ท่านทั้งสองก็เอาแต่ยิ้มไม่หยุด
จัดการของเรียบร้อยแล้ว ฉินสือโอวก็กลับมาที่บ้าน สำหรับการกลับบ้านของเขาในครั้งนี้ ทั้งพ่อกับแม่ก็รู้สึกประหลาดใจมาก เนื่องจากฉินสือโอวโทรศัพท์มาบอกว่าจะกลับมาถึงบ้านพรุ่งนี้ แน่นอนว่าที่ทำแบบนั้นก็เพื่อไม่ให้พวกท่านต้องรู้สึกเป็นกังวลเรื่องความปลอดภัยบนท้องถนน
ตอนนี้เป็นเวลาอาหารเที่ยง อาหารที่บ้านก็ถูกเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว แต่ว่าก็เป็นอาหารประจำบ้านทั้งนั้น พ่อของฉินสือโอวบอกกับพี่สาวของเขาว่า “แกไปสั่งอาหารมาจากร้านที่อยู่ในเมืองหน่อย มื้อเที่ยงนี้พวกเรากินของดีๆ หน่อยละกัน”
พี่สาวพูดด้วยรอยยิ้ม “พ่อ พ่อลำเอียงเกินไปแล้ว พอเสี่ยวโอวกลับมาพ่อก็สั่งอาหารนอกบ้าน พวกเรามาที่นี่ตั้งหลายครั้งแล้วพ่อก็ยังไม่เห็นสั่งอาหารเข้ามาเลย”
พ่อของฉินสือโอวพูดว่า “ครอบครัวพวกแกสามคนมากินข้าวที่นี่ทุกสองวัน ถ้าซื้ออาหารข้างนอกเข้ามากินทุกมื้อ คงต้องให้พ่อแกเป็นเจ้าของธนาคารก่อนถึงจะทำได้”
ฉินสือโอวเห็นว่าที่บ้านมีไข่ไก่ ทั้งเนื้อสัตว์อะไรก็มี จึงพูดขึ้นมาว่า “ไม่ต้องออกไปซื้อกับข้าวที่ร้านหรอก ผมกินแผ่นไข่ทอดก็พอแล้ว แล้วก็เอาพริกผัดเนื้อด้วยนะ ตอนนี้ผมอยากกินอาหารฝีมือแม่”
………………………………………
บทที่ 319 คิดถึงบ้านเกิด
โดย
Ink Stone_Fantasy
จากบ้านไปนานกว่าห้าเดือนก็เกิดการเปลี่ยนแปลงมากมาย ที่เห็นได้ชัดที่สุดก็คือการตกแต่งบ้านใหม่ ไม่ว่าจะเป็นการปูกระเบื้องภายในบ้าน ประตูและหน้าต่างบานใหม่ และการเปลี่ยนเฟอร์นิเจอร์ชุดใหม่ สำคัญที่สไตล์การตกแต่งที่สวยงาม เรียบง่ายแต่ประณีต
ห้องครัวก็เปลี่ยนไป ชุดเครื่องครัวสีแดงขนาดใหญ่จัดเรียงอย่างประณีตเรียบร้อย แต่ยังคงเก็บรักษาเตาไว้ใช้ในการปรุงอาหารในฤดูหนาว ทั้งยังสะดวกรวดเร็วและยังให้ความอบอุ่นกับเตียงได้ ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว
แม่ของฉินสือโอวหั่นต้นหอมอย่างชำนาญ ฉินสือโอวกระเทาะไข่ ตีด้วยตะเกียบ เปิดแก๊สตั้งน้ำมัน ส่วนแม่ของเขาก็ทำไข่เจียว
ก่อนที่จะเทไข่ลงในกระทะน้ำมัน แม่เขาเหยาะซอสถั่วเหลืองลงไปเล็กน้อย นี่เป็นเคล็ดลับพิเศษของการทำอาหารในบ้านพวกเขา ถึงแม้ว่าไข่เจียวที่ทอดออกมานั้นจะไม่สวยงามนัก แต่รสชาตินั้นอร่อยมาก มีรสของไข่ไก่บวกกับรสชาติสดใหม่ของซอสถั่วเหลือง
เมื่อมองดูไข่เจียวหนาๆ สองแผ่นถูกยกออกจากกระทะและวางบนจานอย่างรวดเร็ว ฉินสือโอวก็หยิบชิมชิ้นหนึ่งแล้วหัวเราะ “อร่อยกว่าไข่เจียวที่ผมกินที่แคนาดาเยอะเลย”
“งั้นก็ทอดอีกสักสองแผ่นสิ” แม่ของฉินสือโอวกล่าว ความรักที่เธอมีต่อลูกๆ ถูกแสดงออกผ่านการกระทำ
ฉินสือโอวพูดอย่างรวดเร็วว่าพอแล้ว หลังจากนั้นเขาก็ปรุงเนื้อผัดพริกด้วยตนเอง หลังจากนำออกจากกระทะ แม่ของฉินสือโอวชิมหนึ่งชิ้น พูดด้วยอารมณ์ว่า “ลูกชายของฉันโตขึ้นแล้วจริงๆ ทำอาหารได้อร่อยกว่าพ่อแม่เสียอีก”
ในขณะที่กินข้าวเที่ยง พ่อของฉินสือโอวถามถึงสถานการณ์ในต่างประเทศ ฉินสือโอวไม่ได้พูดความจริงทั้งหมด เขาพูดถึงความสามารถของฟาร์มปลาและลดความจริงลงหนึ่งร้อยเท่า แต่ถึงแม้กระนั้นพ่อแม่ของฉินสือโอวและคนอื่นๆ ฟังไปพลางทำเสียงจุ๊ๆ อย่างชื่นชม
ภายหลังพูดถึงเรื่องการตกแต่งบ้าน พ่อของฉินสือโอวพูดว่า “ตอนนี้ทุกอย่างราคาแพง วัสดุตกแต่งบ้านพวกนี้บวกกับค่าแรง การตกแต่งบ้านเลยใช้เงินมากกว่าแปดหมื่นหยวน! ฉันกับแม่ของแกว่าจะจัดให้เรียบร้อยก็พอ แต่พี่สาวของแกบอกว่ามีหลายคนแนะนำคู่ครองให้แก ถ้ามีคนมาบ้านมาเห็นสภาพบ้านผุพังเข้า คงจะส่งผลต่อความประทับใจในครอบครัวเราได้นะ”
“พอแล้ว” พอฉินสือโอวได้ยินสองประโยคนี้ก็รู้ได้ทันทีว่าวกกลับมาเรื่องเดิม ยังคงเป็นเรื่องใหญ่ในชีวิตเขา
เขาวางตะเกียบลงและหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา ฉินสือโอวเอารูปวินนี่ออกมาแล้วส่งไปให้แม่ของเขา “ไม่จำเป็นต้องหาคู่ให้ผมแล้วนะ ดูสิครับ นี่คือลูกสะใภ้ของแม่”
ภาพถ่ายบนโทรศัพท์มือถือเป็นภาพถ่ายทั้งหมดในชีวิตประจำวันของวินนี่ ทั้งภาพลักษณ์ การหยอกล้อ ความอ่อนโยน ความสวยงาม และความสง่างาม เมื่อเทียบกับสาวๆ เหล่านั้นที่ถูกแนะนำมาล้วนต่างกันราวฟ้ากับดิน
เมื่อพ่อและแม่ของฉินสือโอวเห็นรูปหลายๆ รูปแล้วก็หัวเราะอย่างดีใจ จากนั้นก็รู้สึกเป็นกังวลใจแทน “ไอ้ลูกชาย ผู้หญิงคนนี้ดูดีมาก เธอจะตกลงปลงใจกับแกเหรอ? แกไม่ได้ทำรูปขึ้นมาหลอกพ่อกับแม่นะ?”
พี่สาวเห็นเรื่องสนุกก็อดร่วมด้วยไม่ได้ “เสี่ยวโอวอาจจ้างนางแบบมารับหน้าแทนเขาก็ได้ สมัยนี้หนุ่มอายุมากที่ไม่มีเจ้าของชอบใช้เงินจ้างผู้หญิงให้เป็นแฟน แล้วพามาที่บ้านเพื่อรับหน้าพ่อแม่ไม่ใช่เหรอ? ”
นี่เป็นประโยคแทงใจ หลังจากฟังคำพูดของพี่สาว ใบหน้าของพ่อและแม่ของฉินสือโอวก็จริงจังขึ้นมา
ฉินสือโอวร้องออกมาอย่างหมดคำพูด “อย่าไปฟังเรื่องไร้สาระที่พี่พูดเลย รอวินนี่ตื่นก่อนเถอะ ผมจะเปิดกล้องคุยกับเธอให้ทุกคนดู ผมล่ะยอมใจทุกคนจริงๆ”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ พ่อและแม่ของฉินสือโอวก็บังคับเขาไม่ได้อีกแล้ว หากมีสะใภ้อย่างวินนี่จริงๆ ทั้งสองก็ไม่มีอะไรจะพูด แค่ลักษณะภายนอกก็ยากที่จะหาได้เหมือนอย่างนี้
รูปร่างหน้าตาไม่ว่ากัน แต่หน้าที่การงาน การศึกษา อีกทั้งภูมิหลังจะเป็นยังไง
แม่ของฉินสือโอวถาม ฉินสือโอวกินไข่ไปด้วยพูดไปด้วย “วินนี่คือคนที่ผมรู้จักบนเครื่องบิน เมื่อก่อนเธอเคยเป็นแอร์โฮสเตส แต่ตอนนี้เธอทำงานเป็นมัคคุเทศก์ เธอเรียนที่มหาวิทยาลัยเวสต์เทิร์นออนตาริโอ วิทยาลัยสตรีเบรสเซีย…”
หา? แอร์โฮสเตสและมัคคุเทศก์ในสายตาของผู้สูงอายุล้วนเป็นงานที่สับสนวุ่นวายมาก และความเข้าใจของพวกเขาเกี่ยวกับแอร์โฮสเตสก็คือภาพลักษณ์มือที่สามในละครทีวี
“มหาวิทยาลัยอะไรนะ ชื่ออะไรน่ะ ทำไมไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อนเลย?”
“มหาวิทยาลัยเวสต์เทิร์นออนตาริโอ วิทยาลัยสตรีเบรสเซีย แน่นอนว่าทุกคนไม่เคยได้ยินชื่อนี้ มันเป็นหนึ่งในมหาวิทยาลัยสตรีที่ดีที่สุดในยุโรปและอเมริกา ผมอาจยังอธิบายไม่ชัดเจน เอาง่ายๆ ว่าถ้าจัดอันดับมหาวิทยาลัยในโลก มหาวิทยาลัยเวสต์เทิร์นออนตาริโอก็เป็นมหาวิทยาลัยที่ยอดเยี่ยมกว่ามหาวิทยาลัยชิงหัวและมหาวิทยาลัยปักกิ่งเสียอีก”
“เยี่ยมขนาดนั้นเลยเหรอ?”
“ที่เยี่ยมไปกว่านั้นก็คือคุณยายของวินนี่เป็นคนจีนเหมือนกับเรา เป็นศาสตราจารย์ของมหาวิทยาลัยชิงหัวด้วยนะครับ แต่ว่าตอนนี้เกษียณอายุแล้ว “
“แล้วทำไมเธอถึงต้องไปเป็นแอร์โฮสเตสล่ะ? “
“น่าจะเป็นงานอดิเรกครับ จะว่าไปแล้ววินนี่ได้รับคัดเลือกจากบริษัทแอร์แคนาดาให้เป็นกระดูกสันหลัง ถ้าไม่ลาออกเพราะผม เธอก็จะเป็นผู้จัดการทั่วไปของภูมิภาคแอร์แคนาดาได้ภายในห้าปีเลยนะ”
อาหารมื้อนั้นกลายเป็นการประชุมทำความเข้าใจเกี่ยวกับวินนี่ของคนแก่ทั้งสอง ฉินสือโอวทนไม่ไหวจริงๆ เมื่อทานอาหารเสร็จวางตะเกียบลงแล้วก็รีบออกไปจากตรงนั้น
ในตอนบ่าย ฉินสือโอวนอนพักกลางวัน พอดีกับที่วินนี่กำลังตื่นนอน เธอโทรหาเขา ฉินสือโอวมีคอมพิวเตอร์อยู่ที่บ้าน ล็อกอินเอ็มเอสเอ็นได้ก็วีดีโอคอลคุยกันได้แล้ว
วินนี่ได้เตรียมการนี้ไว้ เธอสวมชุดกีฬาแบบอนุรักษ์นิยม แต่งหน้าแบบเรียบง่าย รวบผมไว้ด้านหลัง เรียกได้ว่าเธอจะเป็นภรรยาที่ดีและแม่ที่ดีของลูกได้แน่
พ่อแม่ของฉินสือโอวมึนงงกันทั้งคู่ ทั้งสองเป็นชาวนาที่เรียบง่าย ไหนเลยจะมีโอกาสได้พูดคุยกับสาวสวยมีออร่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพูดคุยกันแบบพบปะเผชิญหน้า พูดคุยกันได้ไม่กี่คำก็ไม่รู้จะคุยอะไรต่อ
วินนี่เป็นคนชวนคุยในเรื่องต่างๆ คุยเกี่ยวกับวิถีชีวิตของฉินสือโอว เปิดเผยสิ่งที่ไม่ดีของฉินสือโอวในแคนาดา เช่น การใช้จ่ายเงินอย่างไร้สาระ ประเพณีพื้นบ้านของเมืองแฟร์เวล โดยสรุปก็วนไปมากับเรื่องของฉินสือโอวและการใช้ชีวิตสองเรื่องนี้ เธอมีหัวข้อในการสนทนากับพ่อและแม่ของฉินสือโอวอย่างต่อเนื่อง
ปกติจะเปิดวีดีโอคอลคุยกันไม่กี่นาที แต่ครั้งนี้ลากยาวไปเป็นชั่วโมง เจ้าหู่จือ เป้าจือ และฉงต้าพอจะเข้าใจวีดีโอคอลอยู่บ้าง ทุกทรั้งที่เห็นวินนี่นั่งพูดคุยอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ก็รู้ว่าจะเห็นฉินสือโอวได้เหมือนกัน
ดังนั้นในระหว่างการสนทนา เจ้าพวกนี้ต่างมีอาการกระวนกระวาย เดินวนไปมา หันหน้าไปมอง ปีนโต๊ะ กระโดดขึ้นบนเก้าอี้ ส่งเสียงร้องเจี๊ยวจ๊าวอยากเห็นหน้าฉินสือโอว
จนวินนี่หยุดพวกมันไม่ได้ จึงตัดบทเลิกการสนทนากับพ่อแม่ของฉินสือโอว แล้วลุกออกมาให้เจ้าพวกนั้นได้เห็นหน้าของเขา
หลังจากปิดวิดีโอคอล พ่อและแม่ของฉินสือโอวพึงพอใจเป็นอย่างมาก ชมไม่หยุดว่าเป็น ‘ลูกสาวที่ดี’
ในตอนบ่าย ฉินสือโอวพาพ่อแม่ของเขาไปเที่ยวบ้านญาติๆ เช่นคุณตาคุณยาย ลุงป้าน้าอา และนำของขวัญไปมอบให้กับมือ
วันถัดไปของการกลับมาบ้าน ก็คือวันไหว้พระจันทร์แล้ว
เหมาเหว่ยหลงเตรียมขนมไหว้พระจันทร์สำหรับเขา ทั้งหมดเป็นขนมจากหมู่บ้านต้าวเซียง มีไส้ช็อกโกแลต ไส้ผลไม้ ไส้งา ไส้ถั่วลิสง และไส้ธัญพืชห้าชนิดเป็นต้น มีมากกว่าสิบรสชาติ ซึ่งครอบคลุมรสชาติหลักในตลาด
ประเพณีของเทศกาลไหว้พระจันทร์ในบ้านเกิดของฉินสือโอว นอกเหนือจากการกินขนมไหว้พระจันทร์แล้ว ยังมีการกินไก่ย่าง เทศกาลไหว้พระจันทร์ต้องเตรียมอาหารเลิศรสไว้หนึ่งโต๊ะ เพื่อให้ทั้งครอบครัวรวมตัวกันลิ้มรสอาหารและเพลิดเพลินกับการชมพระจันทร์ บรรยากาศคึกคักสนุกสนาน ถึงจะเรียกได้ว่าสมบูรณ์ทุกประการ
ครั้งนี้ฉินสือโอวนำไก่งวงกลับมาจากแคนาดา ไก่ตัวนี้มีน้ำหนักเกือบสิบกิโลกรัม หลังจากอุ่นเสร็จและนำออกมา พ่อและแม่ของฉินสือโอวตกใจนี่เป็นไก่หรือนกกระจอกเทศกันแน่?
ในช่วงเทศกาลไหว้พระจันทร์ มีเพียงสามคนในครอบครัวของฉินสือโอว พี่สาวพาลูกตามพี่เขยไปที่บ้านแม่สามี ดังนั้นไม่ว่าอย่างไรฉินสือโอวก็ต้องกลับมาร่วมเทศกาลไหว้พระจันทร์ที่บ้าน ไม่อย่างนั้นจะเหลือแค่คนแก่สองคนจะดูเงียบเหงามากเกินไป
อาหารถูกยกออกมาวางบนโต๊ะกินข้าวที่ลานบ้าน บนนั้นมีไก่งวงตัวใหญ่สีแดงๆ บวกกับยำแตงกวา ยำขึ้นฉ่ายถั่วลิสง ยำหัวหมู หมูสไลซ์ราดซอสกระเทียม โดยมีเมนูผักสองเมนูเนื้อสอง รวมทั้งหมดสี่จาน อาหารเลิศรสถูกจัดเตรียมไว้บนโต๊ะเป็นที่เรียบร้อย
………………………………………………….
บทที่ 320 งานในท้องไร่
โดย
Ink Stone_Fantasy
คืนนั้นพระจันทร์เต็มดวง แสงจันทร์นุ่มนวลสาดส่องประกายบนพื้นดิน ราวกับปกคลุมหมู่บ้านบนภูเขาด้วยผ้าโปร่งสีเงิน
เสียงประทัดในหมู่บ้านดังติดต่อกัน เสียงหมาเห่าผสมกับเสียงเด็กหัวเราะ พลุดอกไม้ไฟพุ่งทะยานขึ้นไปอวดโฉมบนท้องฟ้ายามราตรี บรรยากาศแห่งความสุขของเทศกาลนี้แสดงให้เห็นอย่างเด่นชัดว่าในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้มีความสุขอย่างหาที่ไหนไม่ได้
สายลมแห่งขุนเขาพัดโชยเบาๆ ในอากาศเต็มไปด้วยกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์ของน้ำมันและการเผาไหม้ของดินปืน รวมถึงกลิ่นหอมของพืชพรรณธัญญาหารที่โตเต็มที่ในท้องทุ่ง กลิ่นเหล่านี้ถูกผสมผสานเข้าด้วยกันกลายเป็นกลิ่นอายเทศกาลของหมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้
ฉินสือโอวไปจุดประทัดกับพ่อของเขา นี่คือประทัดสองร้อยนัดที่เหลือจากการจุดในช่วงเทศกาลตรุษจีน พ่อของฉินสือโอวยกมันแล้วทอดถอนใจ แล้วพูดว่า “ตอนที่ซื้อประทัดชุดใหญ่นี้มา ฉันก็คิดว่ามันยาวมาก ควรเก็บไว้ใช้ตอนลูกแต่งงานดีไหม? ตอนนี้ชีวิตกลับดีมาก ความสุขนั้นมากกว่าตอนที่ลูกๆ แต่งงานเสียอีก ช่างดีอะไรอย่างนี้!”
พ่อของฉินสือโอวยกคันประทัดขึ้น ฉินสือโอวยิ้มและรับมา “พ่อครับ ถึงเวลาที่ผมจะยกแทนแล้ว ได้เวลาที่พ่อต้องไปพักผ่อนแล้วนะ”
เขาเอาไม้ยาวส่งให้ฉินสือโอว พ่อของฉินสือโอวจุดบุหรี่มวนหนึ่ง แล้วสูบมันอย่างดื่มด่ำ จากนั้นจุดไฟชนวน
ประทัดแตกกระจายตกลงพื้น พร้อมด้วยเสียงดังกึกก้อง พ่อของฉินสือโอวยืนยิ้มพลางสูบบุหรี่อยู่หน้าประตู มองร่างที่เลือนรางของฉินสือโอวซึ่งเขากำลังถือไม้สูงยาวเหยียดอยู่ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความพอใจและความปีติยินดี
ไม่ว่าจะผ่านไปอีกกี่ปี เกรงว่าฉินสือโอวก็ไม่อาจลืมค่ำคืนนี้ไปได้ พระจันทร์เต็มดวง คืนที่มืดมิด สายลม ประทัด รอยยิ้มที่ปรากฏบนใบหน้าของพ่อและแม่…
หลังกินอาหารเสร็จ ฉินสือโอวดูรายการทีวีที่ถ่ายทอดเกี่ยวกับเทศกาลไหว้พระจันทร์เป็นเพื่อนพ่อกับแม่ เมื่อดูเสร็จ เขาก็เปิดคอมพิวเตอร์ขึ้นอีกครั้งแล้วเริ่มการสนทนาทางวิดีโอคอลกับวินนี่ ทุกครั้งที่เปิดวิดีโอคอลจะขาดไม่ได้คือหู่จือ เป้าจือ และฉงต้า เจ้าตัวดีทั้งหลาย
เพิ่งจะใช้เวลาอยู่ด้วยกันไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์ ความสัมพันธ์ระหว่างฉินสือโอวกับวินนี่นั้นเป็นช่วงที่ผสานเข้าด้วยกันอย่างสมบูรณ์แบบ พอเปิดวิดีโอคอลแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการส่งจูบ คำรักต่างๆ นานาก็พรั่งพรูออกมา
ฉงต้ายืนขึ้น สองอุ้งเท้าวางอยู่บนพนักพิงเก้าอี้ของวินนี่ เผยให้เห็นหัวกลมๆ ขนปุยๆ มองฉินสือโอวตาละห้อย ส่งเสียงคร่ำครวญเป็นครั้งคราว หู่จือและเป้าจือความสูงไม่ถึง ทำได้แค่กระโดดไปมาอย่างกระวนกระวายอยู่ข้างๆ
ฉินสือโอวรีบทักทายพวกมัน นิมิตส์เห็นฉินสือโอว เลยยึดตัวของบุชไว้จากนั้นบินโฉบไปที่โต๊ะคอมพิวเตอร์ตัวใหญ่ พริบตาเดียวก็บังหน้าจอไว้มิด
ทันใดนั้นฉงต้าก็โมโห เหยียดอุ้งเท้าของมันตบกับพนักพิงเก้าอี้พร้อมส่งเสียงคำราม ดวงตาเล็กสีดำเข้มของมันเปล่งประกายอำมหิตยังให้ความรู้สึกราวกับว่ามันเป็นราชาแห่งขุนเขาอยู่บ้าง
แต่น่าเสียดาย นิมิตส์ถึงเป็นราชาแห่งท้องนภา ใครจะไปสนใจ มันเชิดหน้าให้แล้วเหลือบตาขาว นิมิตส์กระพือปีกขยับบุชไปหน้ากล้อง เมื่อฉินสือโอวมองหน้ากล้องก็เห็นใบหน้านกที่กำลังโมโหปรากฏอยู่
ช่วยไม่ได้ นกอินทรีมีโฉมหน้าที่ขึงขังที่สุดในบรรดาสัตว์ปีก นี่เป็นเพราะพวกมันมีจะงอยปากที่โค้งงอ กระดูกคิ้วที่นูนขึ้นและดวงตาที่แหลมคม แน่นอนว่าเหตุผลหนึ่งก็คือไอสังหารที่ถูกเลี้ยงดูมาตั้งแต่ยังเล็ก
พอวินนี่มองหู่จือและเป้าจือก็ร้อนใจ รีบย้ายบุชออกมา ฉินสือโอวถามว่าทำไมเจ้าปอหลัวไม่เข้ามา วินนี่ยิ้ม “ปอหลัวกำลังโกรธอยู่น่ะ วันนี้ฉันซื้อผลไม้มากมายจากในเมือง เพื่อไม่ให้เน่าเสีย ฉันก็เลยแบ่งให้พวกมันกินเป็นอาหาร”
“ก็ถูกแล้วนี่ อย่างนี้ไม่ดีอีกเหรอ?”
“แต่ปอหลัวจะกินหมดก็เสียดาย มันกินไปครึ่งหนึ่งแล้วก็เดินออกไป ปรากฏว่าเจ้าฉงต้ากับต้าป๋ายมากินส่วนที่เหลือหมดเกลี้ยง ทำให้ปอหลัวกับฉงต้าตัดขาดกัน มีฉงต้าอยู่ที่ไหนจะไม่มีปอหลัวอยู่ที่นั่น ปอหลัวอยู่ที่ไหนฉงต้าจะเสนอหน้าที่นั่นไม่ได้”
“เจ้าสองตัวนี่” ฉินสือโอวหัวเราะขึ้นมา
หลังจากสนทนาเสร็จ ฉินสือโอวก็ปิดคอมพิวเตอร์แล้วไปนอน เทศกาลไหว้พระจันทร์สิ้นสุดลงและผ่านไปแล้ว ส่วนงานในไร่นั้นยังต้องดำเนินต่อไป
ทุกๆ ปีในช่วงเทศกาลไหว้พระจันทร์จะเป็นช่วงที่แถวบ้านเกิดของฉินสือโอวเก็บเกี่ยวข้าวโพด ปัจจุบันใช้เครื่องจักรในการเก็บเกี่ยวหมดแล้ว ดังนั้นภาระของเกษตรกรจึงลดลงอย่างมาก ขับรถเก็บเกี่ยวข้าวโพดเข้าไปในไร่ ออกมาอีกทีเมล็ดข้าวโพดและซังก็ถูกแยกออกจากกันแล้ว เมื่อชาวไร่เปิดออก เมล็ดข้าวโพดและซังข้าวโพดจะแยกออกมา เหมือนสายการผลิตยังไงอย่างนั้น
แต่ปีนี้ครอบครัวของฉินสือโอวค่อนข้างโชคร้าย กลางเดือนกันยายนก็มีฝนตกห่าใหญ่ที่บ้าน เนื่องจากสภาพทางธรณีวิทยาที่ไม่ดี น้ำจึงไม่ซึมลงบนพื้นดิน จนถึงตอนนี้น้ำก็ยังไม่แห้ง ไม่ต่างอะไรจากโคลน รถเก็บเกี่ยวเข้าไปไม่ได้ จึงต้องเก็บเกี่ยวด้วยตนเองเท่านั้น
ฉินสือโอวรู้ว่าพูดอะไรไปก็ไม่มีประโยชน์ ในวันที่สองของเทศกาลไหว้พระจันทร์ พ่อพาฉินสือโอวเตรียมตัวไปเก็บเกี่ยวข้าวโพดในไร่
ตอนนี้ต้นข้าวโพดแทบจะทั้งหมดเปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีเหลืองแห้ง ต้นข้าวโพดแต่ละต้นมีฝักอยู่ต้นละสองสามฝัก ฉินสือโอวฉีกออกหนึ่งฝัก เผยให้เห็นเมล็ดข้าวโพดเบียดเต็มฝักอย่างหนาแน่น ปีนี้เป็นปีที่ผลผลิตอุดมสมบูรณ์
พ่อของฉินสือโอวถือจอบยืนอยู่บนพื้นไร่มองดูพืชผลในไร่ด้วยความโล่งใจ พูดว่า “ฟ้าเบื้องบนเมตตาครอบครัวของเรา แกดูสิ แกมีอนาคตสดใส ตอนนี้พี่สาวแกกับพี่เขยก็ทำธุรกิจอยู่ พืชผลของที่บ้านก็ดี ช่างดีจริงๆ”
ฉินสือโอวรีบถือโอกาสในบทสนทนานี้เรียบเรียงความคิดการทำงานให้พ่อของเขา “ใช่ครับ ชีวิตดีขึ้นแล้ว พ่อกับแม่ไม่ต้องลำบากอย่างนี้อีกต่อไป พ่อ ฟังผมนะ พ่อกับแม่ปล่อยเช่าที่ดินผืนนี้ให้กับคนอื่นแล้วไปอยู่กับผมที่แคนาดาเถอะ อย่าทำงานอย่างลำบากที่นี่อีกเลย”
เขายอมรับว่าคำพูดของเขานั้นลึกซึ้งและจริงใจ แต่พ่อแม่กลับแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน แม่ของเขาเก็บข้าวโพดอยู่ด้านหน้า ส่วนพ่อก็ใช้จอบสับต้นข้าวโพดอยู่ด้านหลัง
ฉินสือโอวเห็นว่าพูดอะไรไปก็ไม่มีประโยชน์จึงยิ้มอย่างขมขื่นแล้วตามไป เขาคุ้นเคยกับงานด้านการเกษตรตั้งแต่เล็กจนโต ถือว่าชำนาญในด้านนี้
จอบขุดลงไปสับเข้ากับรากของต้นข้าวโพดอย่างแม่นยำ จากนั้นใช้เท้าเหยียบต้นข้าวโพดให้ล้มลง ถือว่าเป็นอันเสร็จสิ้นไปหนึ่งกระบวนการ
ทำแบบนี้ซ้ำไปซ้ำมาจนกระทั่งล้มต้นข้าวโพดในไร่ซึ่งมีพื้นที่มากกว่าสองเอเคอร์ ขั้นตอนสุดท้ายใช้มีดตัดเป็นท่อนๆ มัดและนำกลับบ้าน ใช้เป็นเชื้อเพลิงในเตาเพื่อทำกับข้าวในฤดูหนาว
ตอนนี้ฉินสือโอวร่างกายแข็งแรงเป็นอย่างมาก จอบที่อยู่ในมือยกขุดอย่างรวดเร็ว ข้ามสันเขาโดยลำพัง ไม่นานนักก็ตามแม่ที่อยู่เบื้องหน้าทัน ย้อนกลับไปก็บรรจบกับพ่อของเขาอีกด้านพอดี
การทำงานของทั้งสามคนยังคงช้า ฉินสือโอวเห็นพ่อกับแม่เหงื่อไหลพรากก็รีบโทรหาพี่สาว เรียกครอบครัวของพี่สาวมาช่วยกันทั้งสามคน แน่นอนว่าจะขาดสุนัขสีดำน้ำตาลตัวนั้นที่หลานชายเพิ่งเอามาเลี้ยงใหม่ไปไม่ได้ ‘เจ้าเกี๊ยวซ่า’
พี่สาวและพี่เขยไม่ค่อยจะยินดีมากนัก อากาศร้อนๆ หนุ่มสาวที่ไหนจะอยากทำงานกลางแดด? หากไม่ใช่เพราะพ่อกับแม่รั้นมากเกินไป ฉินสือโอวก็คงไม่ยอมมาช่วยเก็บข้าวโพด และไม่ต้องมีชะตากรรมแบบนี้
แต่เสี่ยวฮุยชอบทำงานในไร่มาก พาเจ้าเกี๊ยวซ่าวิ่งไปมาเก็บข้าวโพดที่หล่นในไร่
ฉินสือโอวชมเสี่ยวฮุยยกใหญ่ เด็กๆ เมื่อได้ยินคำชมก็ยิ่งทำงานด้วยความขยันขันแข็งมากยิ่งขึ้น พี่สาวยิ้มพลางมองดูลูกชายที่กำลังทำงานอยู่ จากนั้นแอบกระซิบเหตุผลที่แท้จริงของการทำงานออกมา “ความจริงแล้วเจ้าลูกคนนี้น่ะกำลังทำการบ้านอยู่ เขาไม่ชอบทำการบ้านที่สุด ก็เลยตั้งใจใช้แรงทำงาน ขอแค่ไม่ต้องทำการบ้านก็พอ”
มีวัชพืชอยู่ในทุ่งจำนวนมาก ขณะที่เสี่ยวฮุยกำลังวิ่งก็หกล้ม ฉินสือโอวกำลังจะไปพยุงเขาให้ลุก แต่เขาก็ลุกขึ้นด้วยตนเองแล้วปัดมือสองข้าง เด็กน้อยหันกลับไปมองฉินสือโอวด้วยความตกใจเล็กน้อย “ไอหยา น้าครับ เมื่อกี้ผมตกใจแทบแย่ แต่ก็โชคดีจริงๆ ที่ไม่เป็นอะไร…”
ฉินสือโอวได้ยินก็กลอกตาไปมา หลังจากเสี่ยวฮุยพูดจบก็เลียนแบบผู้ใหญ่ถอนหายใจพูดด้วยความโมโห “ทำไมไม่ล้มจนตายนะ ตายแล้วจะได้ไม่ต้องไปโรงเรียน น่าเบื่อชะมัด…”
ฉินสือโอวไร้ซึ่งคำพูดใดๆ
ผู้ใหญ่ทั้งห้าคน ส่วนมากฉินสือโอวจะเป็นผู้ที่ทำงานอย่างแข็งขัน ไร่ข้าวโพดสองเอเคอร์ ใช้เวลาสองชั่วโมงครึ่งก็เสร็จแล้ว
จากนั้นก็เก็บฝักข้าวโพดกลับไป แกะเอาเปลือกออกแล้วตากให้แห้ง ก็สามารถแกะออกมาเป็นเมล็ดธัญพืช
…………………………………….
บทที่ 321 เงินเข้าบัญชี
โดย
Ink Stone_Fantasy
สำหรับเกษตรกรแล้ว การทำงานในไร่นั้นไม่มีที่สิ้นสุด
ความทรงจำของฉินสือโอวในวัยเยาว์ ดูเหมือนว่านอกจากฉลองวันปีใหม่หลายวันนั้นแล้ว วันอื่นๆ ก็มีงานในไร่หรือไม่ก็แปลงเกษตรของที่บ้านรอเขาให้ไปทำ เช่นรดน้ำ พรวนดิน ถอนหญ้า ไม่มีงานหนักอะไร แต่งานเล็กน้อยจิปาถะนี่ไม่น้อยเอาซะเลย
หลังจากเก็บเกี่ยวข้าวโพด พ่อแม่ของฉินสือโอวต้องแกะเมล็ดข้าวโพดในตอนกลางคืน สำหรับฉินสือโอวแล้วนี่ไม่ใช่ข่าวดีเลย ในช่วงวัยเด็กของเขา ตอนกลางคืนต้องเปิดไฟเพื่อทำงานอย่างหนักนอกบ้าน อีกทั้้งยังเป็นอาหารของยุง เขาขยาดที่ต้องเป็นอาหารของยุง เขาพูดทั้งแง่ดีและแง่ร้าย พ่อของเขาจึงรับปากว่าจะใช้เครื่องจักรในการแกะข้าวโพด
แต่เดิมฉินสือโอวคิดว่า เก็บข้าวโพดเสร็จ การเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วงสิ้นสุดลง อย่างนี้เขาก็สามารถพาพ่อแม่ของเขาไปพักผ่อนที่ฟาร์มปลาได้
ปรากฏว่า ในตอนกลางคืนที่เขาพูดถึงความคิดนี้ พ่อของฉินสือโอวก็เริ่มนับ “อีกหนึ่งอาทิตย์ก็ต้องเก็บถั่วลิสงในไร่ หลังจากเก็บเกี่ยวถั่วลิสงเสร็จ ก็ต้องรีบเก็บขิงต่อ การเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วงก็สิ้นสุดลงอย่างนี้ พอที่ว่างต้องปลูกข้าวสาลีต่อ…”
“พ่อ พ่อกับแม่จะอยู่ว่างๆ บ้างไม่ได้เหรอ? มีคำพูดเก่าแก่ที่บอกว่า ‘มีวาสนาแต่ไม่ใช้ก็เหมือนไม่มี’ นะ การใช้ชีวิตในแคนาดาดีมากจริงๆ ที่นั่นทิวทัศน์ดี อากาศก็ดี การกินการดื่มก็ดี อะไรก็ดีไปหมดทั้งนั้น พ่อกับแม่ไปเที่ยวดูหน่อยได้ไหม?” ฉินสือโอวพูดได้แค่นั้น
พ่อของฉินสือโอวสูบบุหรี่ แล้วค่อยๆ ถาม ” ทิวทัศน์ของที่นั่นดียังไง? มีต้นไม้เยอะ น้ำเยอะ นกเยอะหรือเปล่า? อากาศดีแค่ไหน? ไม่ใช่เพราะรถมีน้อย โรงงานมีไม่มากหรอกเหรอ?”
ฉินสือโอวพยักหน้า กำลังจะเริ่มพูด แต่พ่อของเขาพูดต่อ “งั้นมันแตกต่างจากบ้านเราตรงไหน? แกดูสิ ในหมู่บ้านมีต้นไม้ใหญ่ทุกหนทุกแห่ง หน้าบ้านเป็นแม่น้ำไป๋หลงที่นั่นของแกน่ะ รถน้อย โรงงานไม่มาก แต่หมู่บ้านของเราไม่มีรถไม่มีโรงงานเลย”
คำพูดนี้ทำให้ฉินสือโอวพูดอะไรไม่ออก เขาพบว่าตัวเองไม่มีคำพูดใดๆ จะพูดต่อ
“อีกอย่างตอนนี้แกก็ได้ดิบได้ดี ฉันกับแม่ของแกไม่มีความกังวลใจอะไร ปกติอยากกินอะไรก็กิน อยากซื้ออะไรก็ซื้อ ใช้ชีวิตอย่างนี้ยังไม่สบายอีกเหรอ? ไม่ต้องเป็นกังวลเรื่องพ่อแม่หรอก ใช้ชีวิตที่ดีของแกในแคนาดาก็พอแล้ว” พ่อของเขากล่าวอีกครั้ง
ฉินสือโอวก็รู้ว่าพ่อแม่ของเขาไม่ต้องการไปแคนาดา ปัญหาหลักคือพวกเขาไม่เคยออกจากบ้านและคงทิ้งไปไม่ได้ นอกจากนี้ยังมีปัญหาในการสื่อสาร ไปที่เมืองแฟร์เวลก็ไม่คุ้นเคยเลยสักนิด แม้แต่คนที่จะพูดคุยด้วยก็ไม่มี แท้จริงแล้วในใจของพวกเขาไม่ยอมจากบ้านเกิดไปไหน
สุดท้ายฉินสือโอวหมดหนทางจึงต้องใช้เคล็ดลับเด็ด “งั้นพ่อกับแม่ต้องไปดูลูกสะใภ้สักหน่อยสิ? พ่อกับแม่ไม่อยากเจอลูกสะใภ้เร็วๆ เหรอ?”
เสน่ห์ของวินนี่ใช้ได้ผลกับทุกคนจริงๆ พออ้างถึงประเด็นนี้ทั้งสองคนเริ่มมีปฏิกิริยาที่ดีขึ้น พ่อกับแม่ของเขาปรึกษากันสักพัก จากนั้นตัดสินใจอย่างแน่วแน่ “หลังจากเก็บขิงและปลูกข้าวสาลีเสร็จ พ่อกับแม่จะไปที่นั่นกับแก!”
หลังจากตกลงกันเรียบร้อย ฉินสือโอวอยู่ที่บ้านก็ไม่มีเรื่องอะไรที่ต้องทำแล้ว เดือนกว่าๆ พ่อกับแม่ก็จะไปอยู่ด้วยกันที่แคนาดา เขาก็ไม่จำเป็นต้องอยู่ที่บ้านต่อไป
ดังนั้นเขาจึงอยู่ต่อไปอีกสามสี่วันเพื่อกินข้าวร้องเพลงกับฉินเผิงและเพื่อนๆ เมื่อพบปะกันจนหายคิดถึงแล้ว เขาจึงจองตั๋วเครื่องบินกลับนครเซนต์จอห์น
ทันทีที่เขาออกจากสนามบินเซนต์จอห์น เบิร์ดที่สวมชุดพรางตาอยู่ไปช่วยเขายกกระเป๋าเดินทางและพาเขาไปที่เฮลิคอปเตอร์
อย่าเห็นว่ามันเป็นเฮลิคอปเตอร์ขนาดเล็ก เมื่อมีมันแล้วการเดินทางสะดวกขึ้นเยอะจริงๆ ถ้าไม่ใช่เพราะค่าบำรุงรักษาที่แพงเกินไป สิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง ฉินสือโอวก็วางแผนจะเปลี่ยนยานพาหนะที่ใช้ในการเดินทางทั้งหมดเป็นเครื่องบินอยู่เหมือนกัน
แน่นอนว่าสำหรับเขาแล้ว ค่าใช้จ่ายการบำรุงรักษาเครื่องบินเล็กๆ ลำหนึ่งเป็นเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น เพราะเงินของบริษัทโอดิสซีย์ มารีน เอ็กซ์โพลเรชั่นและบริษัทบริษัทกู้ซากในมหาสมุทรเสี่ยวอวี๋ต่างต้องโอนเข้าบัญชีของเขา
ฉินสือโอวไม่ได้ไปร่วมงานประมูลของล้ำค่าที่กู้ได้จากท้องทะเลที่ไมอามีจัดขึ้น แต่หลังจากนั้นเขาเห็นข่าวรายงานว่าการประมูลนั้นร้อนแรงมาก บริษัทโอดิสซีย์เชิญสื่อมวลชนจำนวนมากมาร่วมงานเพื่อสร้างชื่อเสียง และให้งานประมูลได้รับความสนใจมากพอ โอดิสซีย์เชิญสื่อจำนวนมากเข้ามาเพื่อสร้างแรงผลักดันและได้รับความสนใจเพียงพอสำหรับการประมูล
เป็นที่เข้าใจได้ว่าเมื่อก่อนที่บริษัทโอดิสซีย์ลงทุนอย่างมหาศาลเพื่อกู้เรือรบเมอซี่ ปรากฏว่าค้นหาเรือพบ สมบัติที่กู้ขึ้นมาได้นั้น รัฐบาลสเปนเข้ามาแทรกแซงแล้วเอาผลงานนั้นไป สิ่งที่เหลือให้พวกเขาคือการมีรายจ่ายมากกว่ารายรับที่ทำให้บริษัทเกือบจะล้มละลาย
สำหรับบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ที่ครอบครัวหนึ่งเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ อย่างนี้เป็นลักษณะของการถูกทำลาย ไม่ว่าจะเป็นตัวเลขสีแดงที่แสดงว่ารายจ่ายมากกว่ารายรับ และยังทำให้ราคาหุ้นปรับตัวลดลง
ดังนั้นหลังจากที่ฉินสือโอวได้ไดอารี่ของกัปตันเรือดังเคิลออสเตียสแล้ว บริษัทโอดิสซีย์จึงยอมจ่ายผลประโยชน์ 15%เพื่อที่จะได้ครอบครองไดอารี่เล่มนี้
ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องรักษาสมบัติของซากเรืออับปางชุดสุดท้ายนี้ให้ได้ ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นทุนก้อนสุดท้ายที่บริษัทโอดิสซีย์จะฟื้นกิจการขึ้นมาอีกครั้ง แต่ยังเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่พวกเขาสามารถนำมาใช้เพื่อส่งเสริมความเชื่อมั่นของนักลงทุนด้วย
สำหรับสมบัติที่มีมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ ส่วนที่เหลือถือเป็นเพียงแค่เศษเสี้ยวหนึ่งเท่านั้น การประมูลครั้งสุดท้ายคือ 1.62 ร้อยล้านเหรียญสหรัฐ
หลังจากการจ่ายภาษีที่ซับซ้อน การหลีกเลี่ยงภาษี และการคืนภาษี บริษัทโอดิสซีย์ได้รับท้ายสุดคือ 1.1 ร้อยล้าน เป็นของฉินสือโอว 15% นั่นก็คือ 16.5 ล้านเหรียญสหรัฐ!
ถือโอกาสจากการประมูลครั้งนี้เพื่อขายเหรียญทองคำของสหรัฐอเมริกา ปี 1907 ในราคาดีๆ รายได้จากการประมูลคือ 34.5 ล้านเหรียญ รายได้จากทองหล่อ 29.8 ล้านเหรียญ และมูลค่ารวม 64.3 ล้านเหรียญสหรัฐ!
เมื่อเกี่ยวข้องถึงเงินจำนวนมากขนาดนี้ การโอนเงินจึงไม่ใช่กระบวนการของการป้อนตัวเลขในคอมพิวเตอร์เท่านั้น
บริษัทโอดิสซีย์และบริษัทเสี่ยวอวี๋ดำเนินขั้นตอนต่างๆ ผ่านบริษัทหลักทรัพย์ต่างประเทศของอเมริกา สุดท้ายแล้วฉินสือโอวจะได้รับเงินในหนังสือสัญญากับบริษัทโอดิสซีย์จำนวน 16.5 ล้าน และจากบริษัทบริษัทกู้ซากในมหาสมุทรเสี่ยวอวี๋อีกจำนวนหนึ่ง รวมแล้วเป็นเงินทั้งหมด 34 ล้านเหรียญสหรัฐ
อัตราแลกเปลี่ยนของดอลลาร์สหรัฐกับดอลลาร์แคนาดาคือ 1 ต่อ 1.25 ซึ่งหมายความว่า เงินในบัญชีธนาคารของฉินสือโอวมีเงินเพิ่มขึ้นหกสิบกว่าล้านดอลลาร์แคนาดา และแน่นอน นี่คือเงินก่อนหักภาษี
เมื่อก่อนซื้อฟาร์มปลาและลงทุนในทรัพยากรประมง เงินในกระเป๋าของฉินสือโอวหายไปครึ่งหนึ่ง ตอนนี้เขายังมีเงินทุนอยู่ประมาณสี่สิบล้านดอลลาร์แคนาดาบวกกับหกสิบล้านดอลลาร์แคนาดาที่โอนเข้ามาตรงเวลาแค่เงินทุนหมุนเวียนของเขาก็มีตั้งหนึ่งร้อยล้านแล้ว!
คราวนี้เขาเข้าร่วมสโมสรมหาเศรษฐี ที่สำคัญเป็นสโมสรเงินทุนหมุนเวียนหลายร้อยล้าน หากนับรวมอสังหาริมทรัพย์แล้ว ตัวของเขาก็มีมูลค่ามหาศาล
เมื่อฉินสือโอวกลับถึงฟาร์มปลา ในวันต่อมาบิลลี่ เบลค และแบรนดอนทั้งสามคนรีบปรี่เข้าไปหาเขาพร้อมใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม เขามีของฝากให้กับทุกคน
เป็นดังที่คาดการณ์ไว้ ในการประมูลครั้งนี้ ฉินสือโอวสร้างผลกำไรที่น่าตกใจอย่างยิ่งให้กับทั้งสองบริษัท พวกเขาร่วมกันถือหุ้นของบริษัทบริษัทกู้ซากในมหาสมุทรเสี่ยวอวี๋ 49 เปอร์เซ็นต์ เงินปันผลก่อนการเสียภาษีคือสามสิบล้านดอลลาร์สหรัฐ
หลังจากพบหน้ากัน ทั้งสามคนเข้าสวมกอดฉินสือโอวทีละคนและกำลังจะเข้าไปกอดวินนี่ด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม แต่ถูกฉินสือโอวขวางไว้เสียก่อน เขายิ้มและพูดขึ้นว่า “คนนี้ไม่จำเป็นหรอก ไอ้พวกระยำ ฉันปล่อยให้วิญญาณสกปรกของพวกนายมาทำให้วินนี่ด่างพร้อยไม่ได้แน่”
บิลลี่อ้าแขนกว้างๆ แล้วพูดว่า “ไม่ ฉิน เพื่อนที่ดีของฉัน เพื่อนร่วมหุ้นในตลาดการค้าของฉัน! เราเพิ่งร่วมมือกันต่อสู้เพื่อชัยชนะ พวกเราเป็นพี่น้องกันในคูน้ำเดียวกันนะ แต่นายกลับไม่ให้ฉันกอดกับคนในครอบครัวของนาย อย่างนี้เรียกว่าอะไร?”
เบลคพูดอย่างมั่นใจว่า “มีเหตุผลเพียงสองข้อที่เขาทำแบบนี้ ข้อแรก เขาไม่ได้ปฏิบัติต่อเราในฐานะเพื่อนในคูน้ำเดียวกัน ข้อที่สองคือ วินนี่ไม่ใช่คนในครอบครัวของเขา”
แบรนดอนตบไหล่ฉินสือโอวแล้วยิ้ม “นายเลือกให้ดีๆ นะเพื่อน ขอเสริมอีกนิด ตามหลักมารยาทแล้ว พวกเราไม่เพียงแค่กอดคนในครอบครัวของนายได้ แต่ยังหอมแก้มเธอได้อีกด้วยนะ”
ฉินสือโอวหัวเราะขึ้นมา ชี้ไปที่คนสามคน พูดด้วยรอยยิ้มว่า “พวกนายนี่อยากจะเล่นคำกับฉันใช่ไหม? ได้ วันนี้ฉันจะเล่นเป็นเพื่อนพวกนายสักตั้ง ให้พวกนายได้รู้เสียบ้างว่าอะไรคือไอคิวของชาวจีน”
เมื่อพูดเสร็จ ฉินสือโอวผิวปากเสียงยาว หู่จือและเป้าจือ วิ่งทะยานออกมาเหมือนลูกกระสุนปืน ปอหลัวผละจากชายทะเลกระโดดมาทางนี้ ส่วนฉงต้าวิ่งตามมาอย่างเหนื่อยหอบ…
ไม่เพียงแค่นั้น นิมิตส์บนท้องฟ้าที่เพิ่งจับปลาแฮร์ริ่งตัวเล็กๆ ได้ มันกำลังจะดื่มด่ำกับอาหารอันโอชะ พอได้ยินเสียงผิวปากอันแหลมคม มันก็รีบบินโผลงมายืนคาบปลาแฮร์ริ่งอยู่บนไหล่ของฉงต้า เหลือกตามองบิลลี่และพวก
ฉินสือโอวปรบมือและพูดว่า “เอาเลยพวก พวกนายอยากกอดคนในครอบครัวของฉันไม่ใช่เหรอ? มาเลยทีละคน ฉันขอแนะนำหน่อย นี่คือลูกๆ ของฉันกับวินนี่ และแน่นอนว่ายังมีลูกๆ อีกหลายตัวที่กำลังมา”
บิลลี่และคนอื่นๆ หันกลับไป เห็นกระรอกกลุ่มหนึ่งกระโดดม้วนขึ้นลงวิ่งมาทางด้านนี้…
“ไม่ใช่แค่กอดนะ แต่ต้องหอมแก้มพวกมันด้วย พวกนายพูดเองนะ วันนี้หากใครไม่ทำละก็ หึๆ เบิร์ด นายว่าจะจัดการยังไงดี?” ฉินสือโอวหัวเราะยกใหญ่ เมื่อมองดูท่าทางอันขมขื่นของชายสามคน เขารู้สึกดีมาก
เบิร์ดเดินออกมาพร้อมใบหน้าที่เย็นชา ถือมีดทหารยุทธวิธีในมือ แล้วพูดอย่างใจเย็น “บอส ฟาร์มปลายังอาหารสัตว์อยู่ เอาเนื้อคนให้อาหารปลาปลาค็อด รสชาติคงอร่อยกว่า”
…………………………………………………………..
บทที่ 322 ปกป้องเจ้าเต่าน้อย
โดย
Ink Stone_Fantasy
บิลลี่และเพื่อนทั้งสามยกมือขึ้นยอมแพ้ด้วยใบหน้าอันเศร้าโศก ฉินสือโอวกับเบิร์ดแปะมือกัน และถามวินนี่อย่างภาคภูมิใจว่า “ไงที่รัก เมื่อกี้การแสดงของผมกับเบิร์ดเป็นยังไงบ้าง ไปรับรางวัลออสการ์ที่ฮอลลีวูดได้ไหม?”
วินนี่ยิ้มหวานให้เขาแล้วพยักหน้า เบิร์ดกลับรู้สึกประหลาดใจ “บอส คุณจะกำจัดไอ้ดวงซวยสามตัวนั้นไม่ใช่หรอกเหรอ?”
ฉินสือโอวมองเขากำลังอารมณ์อย่างเคร่งขรึมจริงจัง และโบกมืออย่างรวดเร็วพูดว่า “ไม่ๆ เบิร์ด เราเป็นคนดีนะ เราทำเรื่องร้ายแรงอย่างฆ่าคนไม่ได้หรอก”
บิลลี่ทั้งสามพยักหน้าและตะโกน “พวกเราก็เป็นคนดีนะ ฉิน นายเลี้ยงกลุ่มนักฆ่าไว้หรือไง?”
เบิร์ดยักไหล่ ยิ้มและพูดว่า “มาดาม ผมรู้สึกว่ามีเพียงการแสดงของผมเท่านั้นที่ควรค่ากับรางวัลออสการ์ใช่ไหม?”
วินนี่หัวเราะจนตัวงอ หลังจากเบิร์ดออกไป บิลลี่ก็แอบกระซิบกับเบลคว่า “ฉันคิดว่าไอ้หมอนั่นคงไม่ได้แค่พูดเล่นแน่”
ฉินสือโอวเชิญพวกเขาไปนั่งที่สนาม เขาแกว่งใบชาที่อยู่ในมือ แล้วพูดขึ้นว่า “นี่คือชาเขียวเกรดพรีเมี่ยมที่ฉันนำมาจากบ้านเกิดโดยเฉพาะ พวกนายลองชิมดูหน่อยไหม?”
ทั้งสามพยักหน้ารับ วินนี่จึงไปต้มน้ำเพื่อชงชาให้กับพวกเขา ขณะที่กำลังลวกใบชาด้วยน้ำร้อน ใบชาที่หดตัวอยู่ค่อยๆ คลายออกอย่างช้าๆ น้ำเดือดที่ไม่มีสีกลายเป็นน้ำชาสีเขียวอ่อน กลิ่นหอมอ่อนๆ แผ่กระจายไปรอบๆ อย่างรวดเร็ว
“เป็นชาดีจริงๆ” เบลคถอนหายใจเล็กน้อย เขาจิบชาแล้วพูดว่า “ราคาคงแพงไม่เบา?”
ฉินสือโอวพยักหน้าโดยไม่พูดอะไร แพงที่ไหนกัน ห้าสิบกรัมแค่ห้าหยวน ถ้าซื้อเยอะในตลาดยังสามารถต่อรองราคาได้ ต่อได้ถูกถึงสี่ห้าเหมา
วินนี่รินชาเสร็จแล้วเดินออกไป ปล่อยให้ชายหนุ่มทั้งสี่คนคุยเรื่องธุรกิจกัน
ในความเป็นจริงก็ไม่ได้คุยอะไรเป็นเรื่องเป็นราว ทั้งสามคนมาเพื่อกระชับความสัมพันธ์ต่างหาก
ในสายตาของบุคคลภายนอก ที่บริษัทกู้ซากในมหาสมุทรเสี่ยวอวี๋ประสบความสำเร็จในครั้งนี้เป็นผลงานของพวกเขาทั้งสามคน บิลลี่นำพาพนักงานไปค้นหาเหรียญทอง เบลคประสบผลสำเร็จในการนำเหรียญทองประมูลออกไป แบรนดอนเปลี่ยนเหรียญดอลลาร์สหรัฐสีเขียวเข้มเป็นดอลลาร์แคนาดาสีแดงฉาน
แต่มีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่รู้อยู่แก่ใจว่า อาคารสูงตระหง่านก็ไม่พ้นการวางรากฐานที่มั่นคง และสิ่งที่สำคัญที่สุดคืออะไร? การวางรากฐาน! ฉินสือโอวก็คือรากฐานของพวกเขา หากเขาหาเหรียญทองจากซากเรืออับปางไม่พบ ปราสาทบนท้องฟ้าอันงดงามของพวกเขาก็ไร้ประโยชน์
ชาวตะวันตกปฏิบัติตัวอย่างตรงไปตรงมา คุยไปคุยมา ก็เริ่มเอาของขวัญออกมา
เบลคเปิดกล่องของขวัญของเขาซึ่งบรรจุโล่สเตนเลสขนาดเล็กที่มีรูปทรงสวยงาม ด้านหน้าของโล่คือชุดปุ่มกด ด้านหลังคือโลโก้ตราสัญลักษณ์ม้าศึกของรถพอร์ช
“ฉิน มอบให้นาย นี่คือของขวัญที่พวกเราสามคนตัดสินใจเลือกให้นาย” เบลคหัวเราะ
ฉินสือโอวกดที่กุญแจแล้วพูดว่า “นี่คือรถพอร์ช 918 คันนั้นของนายเหรอ? “
เบลคส่ายหัว พูดว่า ” ไม่ ไม่ พวกเราจะมอบรถที่ฉันเคยใช้เป็นของขวัญให้นายได้อย่างไร? ถ้าฉันทำอย่างนั้นเขาสองคนต้องไม่ยอมแน่นอน! นี่คือ 918 รุ่นใหม่ล่าสุด รถคันนี้ยังส่งไม่ถึงแคนาดา ฉันซื้อมันได้โดยผ่านคำสั่งซื้อของเพื่อน”
รถพอร์ช 918 แม็คลาเรนพี 1 ลาเฟอร์รารี่ และรถสปอร์ตสุดหรูอื่นๆ ต่างเป็นรถที่มีจำนวนจำกัด รถทุกคันมีผู้ซื้อที่สั่งซื้อก่อนออกจากโรงงาน และรถยนต์เหล่านี้ใช่ว่ามีเงินก็ซื้อได้ การที่จะซื้อรถประเภทซูเปอร์คาร์นี้ ต้องผ่านระบบคัดกรองที่เข้มงวด
เรื่องของเรื่องคือหลังจากที่ผู้ซื้อได้รับการคัดเลือก แม้ว่าจะสามารถซื้อรถได้แล้ว แต่กระบวนการสั่งซื้อจนถึงการรับรถ ต้องใช้ระยะเวลานานมาก เพราะต้องรอจนกว่าคำสั่งซื้อก่อนหน้านี้ลุล่วงสมบูรณ์
หากต้องการรับรถยนต์โดยเร็วที่สุด มีวิธีเดียวก็คือเรียนรู้จากเบลคหาเพื่อนเพื่อช่วยใช้วิธีลัด หลังจากการจองรถลูกค้าบางรายจะยกเลิกคำสั่งซื้อด้วยเหตุผลต่างๆ นานา แบบนั้นคำสั่งซื้อจึงสำเร็จ
รถพอร์ช 918 นั้นมีมูลค่ามากกว่าหนึ่งล้านดอลลาร์แคนาดา ของขวัญชิ้นนี้ค่อนข้างแพงเกินไป แม้ว่าชาวตะวันตกจะไม่สนใจกับคำสุภาพแสดงความเกรงใจเท่าไร แต่ฉินสือโอวก็ผลักกุญแจกลับไปและกล่าวว่า “ไม่ เพื่อนๆ ล้อกันเล่นแล้ว ของขวัญชิ้นนี้ไม่เหมาะกับฉันหรอก”
บิลลี่โบกมือปฏิเสธอย่างกล้าหาญ “ฉิน นายทำแบบนี้จะทำให้พวกเราไม่มีความสุขนะ นายมอบของขวัญชิ้นใหญ่ให้พวกเรา ให้พวกเราได้ถือหุ้นของบริษัทเสี่ยวอวี๋ เราให้ของขวัญตอบแทนเล็กๆ น้อยๆ กับนาย นายจะไม่รับได้ยังไง? ”
“ไม่ เพื่อนๆ สิ่งที่พวกนายได้รับคือสิ่งที่พวกนายสมควรได้…”
” ใช่ พวกเราทุกคนมีส่วนร่วมลงแรงในธุรกิจแรก แต่เราไม่มีใครแทนใครได้นี่ใช่ไหม?”
นี่คือสิ่งสำคัญ ในมุมมองของเบลคและเพื่อน ตราบใดที่พวกเขารักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับฉินสือโอวไว้ ในอนาคตความมั่งคั่งคือผลที่ได้ ด้วยเหตุนี้การจ่ายหนึ่งร้อยกว่าล้านไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย? เมื่อหารกันสี่คนอย่างเท่าเทียมก็ประมาณสี่แสนกว่า ก็เท่ากับว่าลดการจัดงานปาร์ตี้หลายๆ ครั้งก็เซฟไว้ได้แล้ว
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ฉินสือโอวจึงไม่สามารถปฏิเสธได้อีก ไม่งั้นจะทำให้ทั้งสามคนไม่สบายใจ เขาจึงยอมรับกุญแจก่อนส่ายหัวแล้วพูดว่า “ในเมื่อได้รถมาแล้ว พวกเราต้องหาสถานที่ฉลองกันหน่อย”
เมื่อได้ยินอย่างนี้ ทั้งสามคนก็หัวเราะขึ้นมาทันที “ใช่ พวกเราต้องมาฉลองกัน งานปาร์ตี้ครั้งที่แล้วนายไม่อยู่น่าเสียดายชะมัด…”
ทั้งสามคนล้วนไม่ใช่ลูกเศรษฐีที่มีเวลาว่างเที่ยวเล่น ไม่ทำงาน ทุกคนมีภาระความรับผิดชอบ พวกเขามาที่นี่ในเวลานี้เพื่อให้ของขวัญแก่ฉินสือโอวเพื่อกระชับความสัมพันธ์ ดังนั้นหลังจากกินข้าวเย็นด้วยกัน ในวันต่อมาพวกเขาก็ออกจากเมืองแฟร์เวลไป
เมื่อส่งทั้งสามคนกลับ ฉินสือโอวกับเบิร์ดขับเครื่องบินส่วนตัวบินวนฟาร์มปลาหนึ่งรอบ เรดาร์แสดงให้เห็นว่าไม่มีเรือประมงขนาดใหญ่ในทะเล ซึ่งหมายความว่าไม่มีใครมาขโมยปลา ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีอะไร วันนี้สามารถพักผ่อนได้แล้ว
รัฐนิวฟันด์แลนด์ในเดือนตุลาคมได้เข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงอย่างเป็นทางการ อุณหภูมิลดลงอย่างรวดเร็ว แสงอาทิตย์ก็ไม่ร้อนระอุนัก ถ้าไม่ใช่ตอนเที่ยง การนอนบนชายหาดกินลมทะเลไม่จำเป็นต้องใช้ร่มกันแดด
ใบเรียกเก็บเงินมีแต่เลขศูนย์ ฉินสือโอวรู้สึกไม่สบายใจ เงินนี้เก็บไว้ในธนาคารก็มีค่าลดลง จำเป็นต้องเอาเงินไปลงทุนและสิ่งเดียวที่เขาทำได้ในตอนนี้คือซื้อฟาร์มปลาแกธเธอริงไว้ รวบพื้นที่ทำประมงของเมืองแฟร์เวลไว้
ทั้งเออร์บักกับแฮมเล็ตช่วยให้เขาได้มีโอกาสรู้จักกับเถ้าแก่ฟาร์มปลาแกธเธอริง ทั้งสองฝ่ายต่างเคยได้รับความพ่ายแพ้ แต่อีกฝ่ายบอกกับเขาอย่างชัดเจนว่า ไม่ขายฟาร์มปลา เขาจะพัฒนาเป็นบ้านพักตากอากาศ และแผนนี้ได้วางไว้ในวาระการประชุมแล้ว
แคนาดาเป็นประเทศทุนนิยม ทรัพย์สินส่วนตัวเป็นของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่สามารถละเมิดได้ เขาอยากทำอะไรก็ทำได้ บุคคลอื่นได้แต่มองอย่างหมดปัญญา
ฉินสือโอวคิดจนหัวระเบิดก็คิดไม่ออกและนึกไม่ถึงวิธีที่จะได้การประมงมา ถึงอย่างไรเขาก็ไม่อาจยอมรับได้ เขานอนอยู่บนเก้าอี้เอนนำจิตสำนึกโพไซดอนปล่อยลงในฟาร์มปลา
ครั้งนี้เขาเข้าสู่มหาสมุทรโดยตามปากของลำธารบนเทือกเขาเคอร์บัล กล่าวได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่าตำแหน่งนั้นยังถือได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นฟาร์มปลาของเขา
ที่ตั้งของปากแม่น้ำตอนนี้เป็นอาณาเขตหลักของญาติสนิททั้งของเต่าลายจุดกับเต่าบึงจุด ด้วยการปกป้องของฉินสือโอวทำให้เต่าลายจุดได้รับการคุ้มครองจากการรุกล้ำ และกลุ่มประชากรเต่าเริ่มมีเสถียรภาพขึ้นมา
โดยทั่วไประยะเวลาการวางไข่ของเต่าลายจุดคือเดือนมีนาคมถึงพฤษภาคม ใช้เวลาฟักไข่ประมาณสามเดือน เต่าน้อยจะกะเทาะเปลือกไข่ให้แตกแล้วจึงออกมา และติดตามพ่อเต่าแม่เต่าเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวใหญ่
เนื่องจากแคนาดาอยู่ในละติจูดที่สูง อุณหภูมิต่ำ ดังนั้นฤดูกาลการผสมพันธุ์ของเต่าลายจุดจึงล่าช้าไปสองเดือน ฤดูวางไข่จะเกิดขึ้นในเดือนพฤษภาคมและมิถุนายนเท่านั้น
ด้วยเหตุนี้ หากจับตาดูไข่เต่าอย่างใกล้ชิดในเดือนสิงหาคมและกันยายนกระทั่งเดือนตุลาคม ก็จะได้เห็นภาพของเต่าน้อยกะเทาะเปลือกออกมาสู่โลกภายนอก
ขณะนี้บริเวณปากอ่าวมีเต่าขนาดเล็กมากกว่า 50 ตัวแล้ว เต่าแม่พันธุ์ตัวหนึ่งสามารถวางไข่ได้ปีละสองถึงแปดฟอง เหตุที่เต่าน้อยตายก่อนออกมาดูโลกภายนอก เพราะอุณหภูมิไม่อบอุ่นพอหรือไม่ก็ถูกศัตรูธรรมชาติค้นพบเสียก่อน
การดำรงชีวิตอยู่ในฟาร์มปลาต้าฉินถือว่าเป็นเรื่องที่โชคดีสำหรับเต่าเหล่านี้ เพราะไม่เพียงแต่จะไม่มีผู้ลักลอบล่าสัตว์ ศัตรูตามธรรมชาตินั้นก็มีไม่มาก
งูทะเลและนกทะเลเป็นสัตว์ที่ชื่นชอบการกินไข่เต่ามากที่สุด งูทะเลของฟาร์มปลาต้าฉินวิวัฒนาการไปเป็นงูเหลือมทะเล สำหรับพวกมันแล้วไข่เต่าขนาดเล็กไม่พอจะอุดฟันของพวกมันได้ พวกมันจึงไม่หาเหยื่ออย่างนี้มาเป็นอาหาร
สำหรับนกทะเลนั้น เป็นเรื่องดีที่มีนิมิตส์ ราชาแห่งท้องฟ้าอยู่ พวกมันไม่ถูกแย่งอาหารก็ดีหนักหนาแล้ว ไหนเลยจะกล้าเข้ามาหาไข่เต่าทะเลแถวปากอ่าว?
ด้วยเหตุนี้อัตราการรอดตายการฟักไข่ของเต่าลายจุดจึงเพิ่มขึ้นโดยธรรมชาติ ฉินสือโอวเดินไปมารอบๆ เห็นเต่าน้อยตามพ่อเต่าไปหาอาหารในเขตน้ำตื้นอย่างมีความสุข เขาเตรียมจากไปด้วยความพึงพอใจ
ก่อนออกไป เขาพบไข่เต่าที่ยังมีชีวิตรอดในแอ่งน้ำแห่งหนึ่ง ไข่ใบนี้ถูกฝังในทรายครึ่งหนึ่ง และครึ่งหนึ่งแช่อยู่ในน้ำ มันมีสีซีด บนพื้นผิวมีรอยแตกเล็กน้อย เหมือนว่ามันกำลังสั่นอยู่เล็กน้อย เมื่อส่งจิตสำนึกแห่งโพไซดอนครอบไป ฉินสือโอวก็สามารถสัมผัสถึงชีวิตที่อ่อนแอในเปลือกไข่ได้
ฉินสือโอวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ไข่เต่าใบนี้น่าจะถูกแม่เต่าทิ้งไว้
เต่าลายจุดจะวางไข่ในเวลากลางคืน เต่าตัวเมียจะขุดหลุมเล็กๆ ที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางและความลึกประมาณห้าเซนติเมตรบนชายหาด จากนั้นจะวางไข่และกลบไว้ เมื่อแสงอาทิตย์สาดส่อง อุณหภูมิเหมาะสม เต่าน้อยจะกะเทาะเปลือกคลานออกมา
แต่เต่าลายจุดไม่ใช่มนุษย์ และไม่เข้าใจการพยากรณ์อากาศ บางครั้งพวกมันเลือกสถานที่ฝังไข่ของพวกมันใกล้กับมหาสมุทรมากเกินไป เมื่อมีฝนตกหนักหรือเหตุอื่นๆ เปลือกไข่ก็จะจมอยู่ใต้กระแสน้ำขึ้น
ในเวลานี้แม่เต่ามักจะละทิ้งไข่เหล่านี้ เนื่องจากไข่แช่อยู่ในน้ำอุณหภูมิก็จะต่ำเกินไป เต่าตัวเล็กไม่สามารถฟักตัวได้ และมักจะกลายเป็นไข่ที่เน่าเสียและแม่เต่าก็ละทิ้งไป
แต่ไข่ใบนี้น่าจะจมอยู่ใต้น้ำเมื่อไม่นานมานี้ สองวันก่อนหน้านี้เกาะแฟร์เวลมีฝนฤดูใบไม้ร่วงตก ทำให้ระดับน้ำในปากอ่าวเพิ่มขึ้นเล็กน้อย
ฉินสือโอวเห็นว่าเต่าตัวน้อยตัวนี้อ่อนแอจริงๆ จึงเติมพลังงานโพไซดอนบางส่วนให้มัน โดยหวังว่ามันจะมีชีวิตรอดได้
เต่าน้อยตัวนี้มันอ่อนแอจริงๆ ใช้คำว่าอ่อนแอมาอธิบายก็ยังถือว่าดีเกินไป ไข่เต่าเป็นไข่เปลือกอ่อน กล่าวได้ว่าเปลือกไข่ของพวกมันบางและนุ่มมากแม้แต่เต่าน้อยตัวนี้ก็ไม่สามารถเปิดเปลือกไข่ได้ด้วยตัวเอง ดังนั้นจึงเห็นได้ว่ามันอ่อนแอแค่ไหน
หลังจากดูดซับพลังโพไซดอน เต่าน้อยกระแทกเปิดเปลือกไข่และคลานโซเซออกมา ประจวบเหมาะที่ข้างๆ มันมีเต่าตัวใหญ่ว่ายน้ำอยู่กับเต่าตัวเล็กๆ สองตัว มันยื่นหัวเล็กๆ มองดู แล้วก็คลานไปสมทบอย่างเงอะงะ
เต่าน้ำตัวใหญ่แสดงพลังของความเป็นแม่ ถึงแม้ว่าเต่าตัวน้อยนี้จะไม่ใช่ลูกของมัน แต่มันก็ว่ายไปเอามันแบกไว้บนหลังของมัน เพื่อรับมันเข้าสู่ครอบครัว
เมื่อเห็นดังนี้ ฉินสือโอวยิ้มออกมา ขอให้มีชีวิตที่ดีนะเด็กน้อย โลกนี้โหดร้ายกว่าที่นายคิดไว้เยอะ แต่ก็น่าตื่นเต้นกว่าที่คิดไว้เสียอีก นายจะเกลียดมัน แต่ที่มากกว่านั้นก็คือความรัก
……………………………………………..
บทที่ 323 น่านน้ำของฟองน้ำทะเล
โดย
Ink Stone_Fantasy
ทันทีที่เข้าสู่ทะเล จิตสำนึกแห่งโพไซดอนก็ได้เห็นฉากชีวิตใหม่ที่กำเนิดขึ้นบนโลก ฉินสือโอวรู้สึกตื่นเต้นมาก และยังคงเดินหน้าต่อไป
เต่ามะเฟืองก็อาศัยอยู่รอบๆ เขตนี้ เมื่อเปรียบเทียบกับเต่าลายจุด เจ้าพวกนี้เป็นยักษ์ใหญ่ที่สมควรได้รับการขนานนาม
นอกจากนี้ยังเป็นสัตว์ใกล้สูญพันธุ์เหมือนกัน ตามหลักแล้วเต่ามะเฟืองมีโอกาสรอดชีวิตมากกว่าเต่าลายจุด เนื่องจากเต่าลายจุดจะออกไข่มากที่สุดเจ็ดถึงแปดไข่ฟอง แต่โดยปกติเต่ามะเฟืองจะออกไข่ประมาณ 130-140 ฟอง
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวผิดหวังคือมีเต่ามะเฟืองกว่ายี่สิบตัวในฟาร์มปลาของเขา แต่กลับไม่มีไข่ฟักออกมาเลย
นอกจากนี้เขายังกังวลอยู่หน่อยๆ หรือเพราะเขากำหนดอาณาเขตการทำกิจกรรมของเต่ามะเฟือง เลยทำให้ความเคยชินในการดำเนินชีวิตของพวกมันเปลี่ยนไป?
อย่างที่เราทุกคนรู้กันดีว่าเต่ามะเฟืองเป็นนักว่ายน้ำในมหาสมุทรที่เก่งกาจ ในช่วงชีวิตของพวกมันสามารถว่ายน้ำใต้มหาสมุทรรอบโลกได้สองรอบ ฉินสือโอวทำเพื่อปกป้องพวกมัน พยายามที่จะไม่ปล่อยให้พวกมันออกจากฟาร์มปลา เขารู้สึกว่าอาณาเขตของฟาร์มปลามีขนาดใหญ่เพียงพอ แม้แต่ปลาทูน่าครีบน้ำเงินยังดำรงชีวิตอยู่ได้ เต่าเพียงไม่กี่ตัวจะอยู่ไม่ได้เชียวหรือไง?
แต่สำหรับตอนนี้เหมือนกลายเป็นว่าเขามีเจตนาดีแต่ทำไม่ถูก ซึ่งทำให้เขารู้สึกหดหู่เล็กน้อย เขาจึงยกเลิกการควบคุมเต่ามะเฟืองและปล่อยให้พวกมันมีชีวิตรอดตามธรรมชาติ
เข้าปากแม่น้ำจากทิศตะวันออกและว่ายน้ำเรื่อยๆ ไปทางทิศตะวันตก ฉินสือโอวเดินสำรวจบริเวณอย่างคร่าวๆ ไม่มีอะไรที่น่าผิดสังเกต ฟาร์มปลาพัฒนาได้ดีมาก ฝูงปลาแข็งแรงอุดมสมบูรณ์ ดังนั้นปีหน้าก็คงเก็บเกี่ยวผลผลิตประมงได้จำนวนมหาศาล
เมื่อเขาไปถึงน่านน้ำของฟาร์มปลาของมิสเตอร์รอท ทันใดนั้นเขาก็พบว่ามีฟองน้ำทะเลมากมายในน่านน้ำ
ในน่านน้ำของสถานที่อื่นๆ ก็มีฟองน้ำทะเลเหมือนกัน แต่มีไม่มากเหมือนที่นี่ ในน้ำทะเลที่นี่เต็มไปด้วยฟองน้ำ บางชนิดเหมือนโคมไฟสีแดง บางชนิดเหมือนแจกันที่งดงาม ซึ่งดูสวยงามมาก
ฉินสือโอวรู้สึกสงสัยเพราะมันไม่น่าจะเป็นอย่างนั้น ปกติจะไม่ค่อยพบฟองน้ำทะเลได้มากนัก แต่ที่นี่มีการแพร่กระจายตัวอย่างฉับพลันของฟองน้ำทะเล ซึ่งเกี่ยวข้องกับนิสัยการใช้ชีวิตของพวกมัน พวกมันไม่มีความสามารถในการเคลื่อนที่อย่างอิสระด้วยตัวเอง ดังนั้นในบางพื้นที่ที่มีฟองน้ำทะเลจำนวนมาก อาจเป็นเพราะพวกมันเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและเติบโตอย่างรวดเร็วอีกด้วย
แม้ว่ามันจะไม่สามารถเคลื่อนที่ได้อย่างอิสระ แต่ฟองน้ำทะเลนั้นเป็นสัตว์ไม่ใช่พืช มันเป็นเนื้อเยื่อและอวัยวะที่มีเซลล์ภายในและภายนอกเพียงสองชั้น ไม่มีการแบ่งเนื้อเยื่อเป็นอวัยวะที่แตกต่างกัน เรียกได้ว่ามันเป็นสัตว์ที่มีโครงสร้างง่ายที่สุดในโลก
ในฟาร์มปลา ฟองน้ำที่ปรากฏอยู่เหล่านี้หรือที่ลอยอยู่ในน้ำหรือที่ยึดติดกับบนหินบางชนิด พวกมันไม่มีปากและไม่มีโพรงย่อยอาหาร แต่มีส่วนที่ยื่นออกมาจำนวนมากบนพื้นผิวของลำตัว ตรงกลางของส่วนที่ยื่นออกมามีรูใหญ่ ด้านข้างมีรูเล็กๆ น้ำทะเลจะไหลเข้ารูเล็กๆ และไหลออกมาจากรูขนาดใหญ่ แพลงก์ตอนเล็กๆ ในน้ำทะเลจะไหลเข้าสู่ลำตัวของฟองน้ำทะเลด้วยวิธีนี้ การไหลของน้ำจะให้สารอาหารเพื่อความอยู่รอดและการเจริญเติบโตของพวกมัน
ฟองน้ำทะเลไม่ใช่แมงกะพรุน สิ่งนี้มีเยอะก็ไม่มีพิษมีภัยต่อฟาร์มปลา มีเพียงประโยชน์ เพราะพวกมันมีความสามารถในการกรองน้ำ พวกมันสามารถกรองสิ่งสกปรกออกจากน้ำทะเลได้ และมีบทบาทในการควบคุมโลหะหนักและจุลธาตุต่างๆ
นอกจากนี้ ฟองน้ำทะเลยังเป็นอาหารโปรดของปลิงทะเลอีกด้วย ฉินสือโอวต้องการเพาะพันธุ์ปลิงทะเลอยู่เสมอ ทรัพยากรฟองน้ำทะเลในน่านน้ำนี้อุดมสมบูรณ์มาก อีกหน่อยสามารถโยนต้นกล้าปลิงทะเลที่นี่ได้เลย
นอกจากปลิงทะเลแล้ว ฟองน้ำทะเลก็ไม่มีศัตรูตามธรรมชาติในมหาสมุทรใดๆ อีก สิ่งมีชีวิตทางทะเลขนาดเล็กจำนวนมากชอบที่จะใช้ชีวิตกับฟองน้ำทะเล
จิตสำนึกแห่งโพไซดอนตรวจสอบน่านน้ำแห่งนี้ ฉินสือโอวมองเห็นในน้ำนี้มีกลุ่มปูตัวเล็กๆ กลุ่มหนึ่งเจอฟองน้ำทะเลแล้วฉีกมันเป็นชิ้นๆ จากนั้นแขวนไว้บนขาและบนกระดอง ดังนั้นดูเหมือนว่าพวกมันสวมชุดเกราะอยู่ลักษณะของลำตัวใหญ่ขึ้นสองรอบ สามารถป้องกันและข่มขู่ศัตรูธรรมชาติได้ดียิ่งกว่า
ที่มากไปกว่านั้น กุ้งก้ามกรามอเมริกันที่เมื่อก่อนรอดชีวิตมาได้ พวกมันเกือบทั้งหมดว่ายน้ำมายังบริเวณทะเลนี้ และพวกมันก็เลียนแบบปูตัวเล็กๆ ใช้ฟองน้ำทะเลห่อกระดองไว้ อย่างนี้เมื่อฟองน้ำทะเลอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม ต่างเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน ดูแล้วมีพลังเป็นอย่างมาก
ฉินสือโอวต้องการหาเหตุผลว่าทำไมอยู่ๆ จึงมีฟองน้ำทะเลจำนวนมากในน่านน้ำแห่งนี้ หาอย่างไรก็ไม่พบต้นเหตุ จึงทำได้เพียงพักความคิดนี้ไว้ก่อน
หลังจากนั้นก็ไปดงสาหร่ายสีน้ำตาล ที่นั่นมีความหลากหลายทางชีวภาพในทะเลสูงที่สุด สาหร่ายสีน้ำตาลดึงดูดปลาและหอยจำนวนมากให้มาดำรงชีวิตอยู่ที่นี่ หากทรัพยากรของสถานที่เหล่านี้มีการสะสมอยู่ตลอดเวลาผลประโยชน์ที่สามารถผลิตได้ก็มีจำนวนมากเช่นกัน
หลังจากที่วนไปรอบๆ ฟาร์มปลาแล้ว ฉินสือโอวก็ยึดจิตสำนึกแห่งโพไซดอนไว้กับเฮยป้าหวัง
ตอนนี้เขามีประสบการณ์เพิ่มขึ้น เขาไม่เพียงยึดมันติดกับลำตัวของสิ่งมีชีวิตใต้ทะเลอย่างง่ายๆ ต่อไป แต่จะเลือกสิ่งเล็กๆ ที่อยู่บนปลาตัวใหญ่ เขาติดมันเข้ากับสิ่งเล็กๆ นั้นเป็นใช้ได้ ไม่เช่นนั้นมุมมองจะแคบ ครั้งที่แล้วเอาติดไว้บนตัวฉลามขาว เขาถูกล้อมรอบไปด้วยฝูงฉลามขาวมองไม่เห็นอะไรเลย
ฉินสือโอวแขวนเพรียงตีนเต่าไว้บนหัวของเฮยป้าหวัง แต่เฮยป้าหวังก็ไม่สนใจ มันมีรูปร่างที่น่ากลัวยาวกว่าสิบเมตรและมีเพรียงเป็นปรสิตบนหน้าผาก เหมือนกระเล็กๆ ที่ขี้นบนใบหน้าของคนทั่วไปไม่เป็นที่สะดุดตา
เมื่อใช้พื้นที่บนหัวของเฮยป้าหวัง ทัศนวิสัยของฉินสือโอวจึงเปิดกว้าง
เมื่อก่อนเขาทำเช่นนี้ไม่ได้ ตอนนั้นเขาสามารถควบคุมสิ่งมีชีวิตได้ทีละตัวเท่านั้นเพราะควบคุมไม่ทั่วถึง ตอนนี้เขาสามารถควบคุมทั้งสองตัวได้ในเวลาเดียวกัน เขาไม่พอใจกับทิศทางของเฮยป้าหวังจึงเข้าสวมร่างโดยตรงเพื่อใช้มันทำตามความต้องการของเขา
ตั้งแต่ต้นจนจบ จิตสำนึกเหนือศีรษะของเพรียง ล้วนเป็นลานนั่งตกปลาที่มั่นคง
ออกตระเวนมาทั้งวันก็ไม่มีผลอะไร ฉินสือโอวจึงให้เฮยป้าหวังเดินทางด้วยตนเอง เขานั่งบนชายหาดหลังพิงปอหลัว ดูหู่จือและเป้าจือหยอกล้อกัน
กำลังมองอย่างมีความสุข ทันใดนั้นปอหลัวลุกขึ้นแล้วเดินออกไป โชคดีที่เอวของฉินสือโอวดี ไม่อย่างนั้นการดึงพนักพิงออกทันทีอาจทำให้เอวของเขาเคล็ดได้
เขาเงยหน้าขึ้นมอง ปอหลัวเดินลงไปในทะเลอย่างไม่มีความสุข ท่าทางที่ดูหดหู่เหมือนจะโดดทะเลเพื่อฆ่าตัวตายยังไงอย่างนั้น ฉินสือโอวมองอย่างตกตะลึง
ด้านหลัง ร่างของฉงต้าปรากฏขึ้น ฉงต้าลากต้าป๋ายเพื่อนตัวน้อยของมันเดินอย่างช้าๆ และไม่รู้ว่ากำลังเคี้ยวอะไรในปากกินง๊วบๆ อย่างมีความสุข เมื่อสังเกตเห็นว่าฉินสือโอวมอง แล้ววิ่งส่ายสะโพกตามมา
ฉินสือโอวมองดูปอหลัวที่จากไปแล้วเห็นฉงต้าที่ปรากฏตัวขึ้นก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา เขานึกขึ้นได้ที่วินนี่พูดว่าปอหลัวและฉงต้าเป็นปรปักษ์ต่อกัน ทั้งสองตัดความสัมพันธ์อย่างไม่เหลือใย
เหมือนเด็กๆ ที่งอแง ฉินสือโอวพาฉงต้า หู่จือและเป้าจือไปที่ท่าเรือ หาที่โยนเบ็ดตกปลาอย่างง่ายๆ และนั่งลงใช้ท่าเรือเป็นเวทีตกปลา ว่างๆ ก็ตกปลาเล่น
กวางอููฐเป็นหนึ่งในบรรดาสัตว์ที่ว่ายน้ำเก่งที่สุด ปอหลัวแช่ในน้ำว่ายขึ้นลงตามคลื่น ดูมันสบายใจมาก รอเวลาที่คลื่นสงบ มันมุดหัวลงไปและเมื่อลอยขึ้นอีกครั้ง ในปากจะคาบพืชน้ำประเภทหญ้าทะเลขึ้นมาด้วย
หลังจากเก็บเบ็ดแล้วสองคัน เบ็ดของฉินสือโอวได้ปลาลิ้นหมาขนาดพอประมาณ 1 ตัวและปลากะพงทะเลจอมตะกละ 1 ตัว ปลาลิ้นหมาเอาไว้ทำกับข้าวเย็น ปลากะพงทะเลเอาให้ฉงต้า จัดการเคลียร์ในทันที
เมื่อเห็นว่าฉินสือโอวป้อนอาหารให้ฉงต้า ปอหลัวไม่เต็มใจนัก มันแกล้งทำเป็นว่ายน้ำอย่างสบายๆ กระทั่งว่ายไปใต้ท่าเรือโดยไม่ตั้งใจ เมื่อมีมันว่ายตีปีกพั่บๆ อยู่แบบนี้ คงมีแต่วาฬเพชฌฆาตตัวใหญ่อย่างนั้นที่จะกล้ามางับเบ็ดกินเหยื่อ
พอเถอะ ไม่คิดจะตกปลาแล้ว ฉินสือโอวกลัวตะขอเบ็ดไปโดนเจ้าปอหลัวเข้า จึงดึงขึ้นมาหมุนเก็บ
ทางด้านฉงต้ายังคงรอกินปลาสด มันมองฉินสือโอวพร้อมกะพริบตาดวงน้อย ฉินสือโอวก็มองมัน ดวงตาใหญ่จ้องดวงตาเล็ก ฉินสือโอวโยกโชว์คันเบ็ดตกปลาที่สะอาดกว่าปากใหญ่ของฉงต้าไปมา พูดว่า “ไม่แล้ว ตกปลาไม่ได้แล้ว”
ฉงต้ากะพริบตาด้วยความสับสน มันกลัวมหาสมุทร มันหมอบลงที่ท่าเรือไม่กล้ามองลงไป ดังนั้นจึงไม่เข้าใจว่าปลาขึ้นมาได้อย่างไร มันรู้ว่าแค่ว่าฉินสือโอวโยนคันลงไปแล้วดึงขึ้นมาก็มีปลาติดเบ็ดมาด้วย
ดังนั้นหลังจากที่พยายามคิดอย่างหนัก ฉงต้าค่อยๆ เยื้องเท้าไปนั่งลงข้างคันเบ็ด มันเหยียดอุ้งมือขนปุยขนาดใหญ่ไปแตะเบาๆ คันเบ็ดก็กระเด็นเพราะถูกมันตบแล้วตกน้ำไป
ฉินสือโอวรีบไปจับแต่ก็จับไว้ไม่ได้ เขามองฉงต้าด้วยความเซ็ง ฉงต้ามองเขาอย่างไร้เดียงสา ในที่สุดมองไปสักพักก็ยื่นคอขึ้นคำรามสองครั้ง คงจะหมายความว่านายเอาปลามาให้ฉันกินสิ
“ไม่มีปลาอีกแล้ว คันเบ็ดถูกนายทิ้งไปแล้วยังอยากจะกินปลาอีก” ฉินสือโอวพูดด้วยความโกรธ
ฉงต้าไม่เข้าใจ ดังนั้นมันจึงยังมึนงงและมองฉินสือโอวอย่างมีความหวัง
อย่างไรก็ตามเบ็ดตกปลาก็ไม่หาย จิตสำนึกแห่งโพไซดอนถูกปล่อยออกไป บอลหิมะและไอซ์สเกตก็มาทันที เมื่อถ่ายทอดคำสั่งแล้ว ทั้งสองแย่งชิงกันเพื่อจะเอาเบ็ดตกปลาขึ้นไปให้เขา
ฉินสือโอวเก็บเบ็ดตกปลาแล้วเตรียมเดินออกไป ฉงต้ารีบขึ้นมาแล้วนอนลงที่เท้าของเขา กรงเล็บอ้วนท้วมโอบกอดขาเขาไว้หนึ่งข้าง ในลำคอส่งเสียงหึๆๆ จุดประสงค์ของท่านี้ชัดเจน ‘ไปไม่ได้นะ ตกปลากินต่อเถอะ’
ใต้ท่าเรือ ปอหลัวลอยตามกระแสน้ำ มองดูแล้วไม่เหมือนกวางอูฐจอมงุ่มง่าม แต่กลับเป็นเหมือนกระแสน้ำ มันยกหัวขึ้น กระแทกจมูกของมันเป็นครั้งคราวด้วยความหมายง่ายๆ มีฉันอยู่ อย่าคิดตกปลาเด็ดขาด
ฉินสือโอวถูกสองตัวนั้นทำให้ลำบากใจขึ้นมา โชคดีที่เรือเด็คของเออร์บักขับมาด้วยเสียงดัง ‘ครืนครืน’ ชาร์คพานีลเซ็นกระโดดขึ้นท่าเรือ เห็นฉงต้ากอดขาของฉินสือโอวก็หัวเราะออกมาดัง ๆ
ชาร์คถาม “บอส ฉงต้ากำลังกอดขาอ่อนของคุณอยู่เหรอ? ขาอ่อนของคุณยังมีที่ว่างไหม?”
ฉินสือโอวโบกมืออย่างหัวเสีย พูดว่า “ตอนนี้ไม่มีที่ว่างหรอก แต่ถ้านายดึงฉงต้าออกไปได้ ฉันจะให้ตำแหน่งที่ว่างกับนาย”
ชาร์คหัวเราะ “งั้นก็ไม่เป็นไร ตอนนี้ฉงต้ายังเล็กอยู่ ช่วงนี้ของปีหน้าผมคงเอาชนะมันไม่ได้แล้ว ผมไม่อยากสร้างศัตรูทรงพลังที่มีศักยภาพและมีภูมิหลังอันแข็งแกร่งให้ตัวเอง”
ฟังชาร์คพูดแล้วก็สนุก ฉินสือโอวลูบหูกลมขนปุยของฉงต้า อดนึกถึงนิยายเรื่องหนึ่งที่เคยอ่านเมื่อก่อนไม่ได้ มักจะมีประโยคหนึ่งที่พูดว่า ‘ยอมรังแกอาวุโสสูงวัย ดีกว่ารังแกเยาว์วัยผู้ยากไร้’
ชาร์ครายงานเกี่ยวกับการรวบรวมจุดคงที่ของปลาตัวอย่างซึ่งผลทั้งหมดนั้นค่อนข้างดีให้กับฉินสือโอว
ฉินสือโอวนึกถึงฟองน้ำทะเลที่เขาเห็นในน่านน้ำแห่งนั้น ถามว่า “ดูเหมือนว่าทางตะวันตกประมาณสามสิบกิโลเมตร สถานที่แห่งนั้นมีฟองน้ำทะเลเยอะมาก นายรู้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น?”
ชาร์คถาม “เป็นฟองน้ำทะเลชนิดไหนล่ะ? ฟองน้ำทะเล? ฟองน้ำแก้ว? หรือว่าฟองน้ำแข็ง? ผมไม่ได้ตรวจสอบสถานการณ์ในช่วงสองวันที่ผ่านมา มันเลยไม่ชัดเจนเท่าไร”
มันอยู่ห่างจากที่นี่ไม่ไกล ฉินสือโอวจึงเดินเครื่องเรือเด็คพาทั้งสองคนไป
บริเวณนี้มีฟองน้ำมากมายจริงๆ ถึงจะไม่ลงไปดูในน้ำ แค่อยู่บนเรือเด็คแล้วมองลงไปก็สามารถมองเห็นกลุ่มฟองน้ำทะเลได้
มองเห็นฟองน้ำทะเลมากมายอย่างนี้ ใบหน้าของชาร์คก็เริ่มเคร่งเครียด และพูดว่า “ถึงผมจะไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ผมคิดว่าสิ่งนี้ผิดปกติมาก…”
ฉินสือโอวรู้สึกว่าประโยคนี้คุ้นๆ หู เขาเลยปล่อยจิตสำนึกแล้วหันกลับมาพูดกับนีลเซ็นว่า “หยวนฟาง เจ้าคิดยังไง?”
นีลเซ็นไม่ค่อยเข้าใจคำที่ใช้เรียก เข้าใจแค่คำถามเท่านั้น เขาจึงครุ่นคิดก่อนจะตอบ “เอ่อ ผมยืนดูบนดาดฟ้าแล้วยังไม่แน่ใจ งั้นดำน้ำลงไปดูไหมครับ?”
……………………………………………
บทที่ 324 ปลิงทะเลขั้วโลกเหนือ
โดย
Ink Stone_Fantasy
เมื่อเทียบกับชาร์ค ฉินสือโอวคนที่เอาแต่ชี้นิ้วสั่งไม่ทำอะไรเอง ไม่มีมาดความเป็นเจ้าของฟาร์มปลาเลยสักนิด
หลังจากที่ค้นพบว่าฟองน้ำทะเลบริเวณนี้มีความหนาแน่นผิดปกติ ชาร์ครีบโทรหาบิล ซาทชี่ที่อยู่บริษัท ดิค พันธุ์พืชน้ำทะเลทันที ทั้งสองฝ่ายตกลงกันเรียบร้อยว่าวันถัดมาจะมาตรวจเช็กคุณภาพน้ำเพื่อเช็กปัญหา
คนที่เลี้ยงปศุสัตว์อ่อนไหวต่อโรคระบาดอย่างไร เจ้าของฟาร์มปลาก็มีความไวต่อฝูงปลาหรือสัตว์ทะเลที่มีความผิดปกติเช่นกัน เพราะคุณไม่มีทางรู้เลยว่าธรรมชาติจะคิดบัญชีกับคุณเมื่อไร
หลังจากที่บิลพาคนที่บอกว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญมาสองคน ผู้เชี่ยวชาญก็เก็บตัวอย่างน้ำฟองน้ำทะเลกลับไปที่ห้องทดลองเพื่อวิเคราะห์
ผ่านไปวันครึ่ง บิลรีบนั่งเรือมาอย่างร้อนรน พอเจอหน้าก็รีบเอาใบรายงานกองไว้ตรงหน้าฉินสือโอว
พอเห็นไอ้หนุ่มคนนี้ที่มีสีหน้ากระวนกระวาย ฉินสือโอวก็เริ่มใจไม่ดี รีบถามทันที “คงไม่ได้วิเคราะห์ออกมาว่าในน้ำทะเลของผมมีแบคทีเรียอีกแล้วใช่ไหม?”
ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ฉินสือโอวคงทำได้เพียงยกนิ้วกลางให้กับสวรรค์ เพาะเลี้ยงกุ้งมังกรปริมาณมากไม่ได้ก็ช่างมัน แต่ครั้งนี้จะเพาะเลี้ยงอะไรไม่ได้อีก? คงไม่ใช่เพาะเลี้ยงปลิงทะเลไม่ได้หรอกนะ?
บิลส่ายหน้าอย่างแรง “ไม่ครับ รอบนี้ไม่ได้เกี่ยวกับคุณมากนัก แต่เป็นตลาดกุ้งมังกรของอเมริกาเหนือ พระเจ้าช่วย ตลาดกุ้งมังกรของอเมริกาเหนือในปีนี้เกรงว่าได้รับผลกระทบสนั่นหวั่นไหว!”
“เกิดอะไรขึ้น พูดช้าลงหน่อย กุ้งมังกรของอเมริกาเหนือในปีนี้อาจจะได้รับผลกระทบ? ฟาร์มปลาของผมจะไปมีผลต่อตลาดของอมเริกาเหนือทั้งหมด? นี่มันไร้สาระสิ้นดี?” ฉินสือโอวภายหลังอดไม่ได้ที่จะสบถออกมา
บิลยิ้มอย่างอายแล้วอธิบายว่า “เมื่อสักครู่ผมรีบร้อนไปหน่อยเลยไม่ได้อธิบายให้ชัดเจน ผลทดสอบกับเรื่องที่ผมแจ้งไปไม่ได้เกี่ยวข้องกันมากนัก ผลของการทดสอบบอกว่าคุณภาพน้ำของคุณไม่มีปัญหา ฟองน้ำทะเลพวกนี้ก็เป็นชนิดที่พบได้บ่อยทางอเมริกาเหนือ องค์ประกอบต่างๆ ในร่างกายก็มีความสมดุล เหมาะกับเป็นอาหารให้ปลิงทะเลอย่างมาก…”
“เพื่อน สิ่งที่ผมให้คุณไปจัดการให้ชัดเจนมันไม่ใช่พวกนี้ ทำไมฟองน้ำทะเลพวกนั้นถึงไปกระจุกรวมตัวหนาแน่นแค่บริเวณนั้นล่ะ?” ฉินสือโอวถามพร้อมหน้านิ่วคิ้วขมวด
บิลหงายสองมือออกอย่างไม่รู้ บอกว่า “พวกเราก็หาสาเหตุไม่เจอเหมือนกัน ฉิน คุณอย่าเพิ่งกังวลไป เรื่องนี้ไม่ได้มีอะไรที่ต้องกังวลไม่ใช่เหรอ? ก็แค่พวกแมงกะพรุนปกติมารวมตัวกันเท่านั้น อีกอย่างวันนี้ผมจะมาบอกอีกข่าวที่น่ากลัวกับคุณ…”
หยิบหนังสือพิมพ์หนึ่งแผ่นออกมาจากรายงานผลทดสอบ พาดหัวหน้าแรกหลังจากที่คลี่หนังสือพิมพ์ท้องถิ่นชื่อดัง ‘ข่าว ณ ฟาร์มปลา’ ของรัฐนิวฟันด์แลนด์ออกก็คือ ‘น่านน้ำนอกชายฝั่งที่สำคัญสี่แห่งของอเมริกาเหนือ ส่งเสียงเตือนเชื้อราในกุ้งมังกร!’
หยิบหนังสือพิมพ์อีกฉบับมาเปิดอ่าน ฉบับนี้เป็นหนังสือพิมพ์ชื่อดัง ‘จดหมายทั่วโลก’ พาดหัวข่าวแรกด้านในหนังสือพิมพ์เขียนว่า ‘เตือนภัย วันสิ้นโลกกุ้งมังกร!’
ฉินสือโอวไม่ได้สนใจข่าวอะไรมากมาย เขาเล่นอินเทอร์เน็ตนอกจากเพื่อคุยเล่นกับเพื่อนแล้ว ก็มีไปอัปเดตพวกกระทู้ในเว็บไซต์ mop.com เว็บไซต์ hupu.com เว็บไซต์ sohu.com และ sogou.com พวกนั้นบ้าง ดังนั้นข่าวประเด็นร้อนที่เพิ่งออกมาเมื่อวานตอนเย็น เขาจึงยังไม่เข้าใจอะไร
เมื่อฉินสือโอวอ่านข่าว บิลพูดอย่างตื่นเต้นว่า “ผมมันรู้สึกช้าไป ผมมันรู้สึกช้าไปจริงๆ! ตอนนั้นที่พบเชื้อราตระกูลแก๊ฟคี่ในกุ้งมังกรที่นี่ ผมควรจะเดาได้ว่าจะมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น! อย่างที่คิดไว้ นี่มันไม่ใช่แค่หายนะของฟาร์มปลาหนึ่ง แต่เป็นหายนะของอุตสาหกรรมกุ้งมังกรทั้งอเมริกาเหนือ!”
จากรายงานของหนังสือพิมพ์หลายฉบับระบุว่ากรมประมงของสหรัฐอเมริกาและแคนาดาเพิ่งได้รับรายงานประปราย ว่าตรวจพบเชื้อราตระกูลแก๊ฟคี่ในกุ้งมังกรที่ฟาร์มปลาของตัวเองหรือไม่ก็ฟาร์มปลาสาธารณะที่อยู่ในบริเวณนั้น หวังว่าทางรัฐบาลจะช่วยแก้ปัญหาได้
แบคทีเรียนี้ไม่เป็นที่รู้จักของโลกภายนอก หลายๆ คนไม่เคยได้ยินชื่อของมัน จะมีแต่ชาวประมงที่หาเลี้ยงชีพด้วยกุ้งมังกรเท่านั้นที่จะกลัวมันมาก
จะว่าไปแล้ว เชื้อราตระกูลแก๊ฟคี่ในกุ้งมังกรไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้น มันไม่ใช่เชื้อไวรัสเหมือนพวกซาส์ที่แพร่เชื้อผ่านอากาศได้ นี่เป็นเชื้อราชนิดหนึ่งที่สามารถซึมเข้าไปในเนื้อกุ้งได้ผ่านเปลือกกุ้งมังกรที่แตกหักเท่านั้นถึงจะก่อให้เกิดภาวะติดเชื้อในกระแสเลือดแล้วตาย ถ้าเปลือกกุ้งมีสภาพที่สมบูรณ์ก็ไม่จำเป็นต้องกังวลถึงเชื้อราชนิดนี้เลย
เห็นแบบนี้แล้ว เชื้อราตระกูลแก๊ฟคี่ในกุ้งมังกรไม่ได้น่ากลัวเท่าเชื้อรากาฬโรคในกุ้งมังกรที่เป็นสายพันธุ์เดียวกัน
แต่ปัญหามันเกิดขึ้นจากวงจรที่เป็นแบบนี้ พวกเราต่างก็รู้ว่ากุ้งมังกรสิ่งมีชีวิตชนิดนี้ ว่างมากแล้วก็ชอบไปหาเรื่องชาวบ้าน ชกต่อยกับกุ้งมังกรกันเอง ไม่ก็ไปชกต่อยกับปู กับปลา แม้กระทั่งชกต่อยกับก้อนหิน…
ด้วยเหตุนี้ปัญหาจึงรุนแรงขึ้น เปลือกของกุ้งมังกรแตกหักง่ายมาก พอเปลือกแตกหรือหัก เชื้อราลามเข้าไปในร่างกายก่อให้เกิดภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด กุ้งมังกรตัวนี้จึงต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย
นอกจากนี้แล้ว จุดที่น่ากลัวอีกจุดหนึ่งของเชื้อราตระกูลแก๊ฟคี่ในกุ้งมังกรคือการแพร่เชื้อสู่ลูกกุ้ง เมื่อเปลือกกุ้งตัวเล็กๆ ขาดไคทินไปหนึ่งชั้นในการป้องกันเชื้อราชนิดนี้ จึงง่ายต่อการติดเชื้อ ตราบใดที่เชื้อราชนิดนี้ไม่ตายจากไป ถ้าเช่นนั้นลูกกุ้งมังกรที่อยู่ในบริเวณนี้ก็ยากที่จะรอด
การกำจัดสายพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่ง ทำเพียงแค่กำจัดลูกอ่อนของมัน ซึ่งเชื้อราตระกูลแก๊ฟคี่ในกุ้งมังกรก็ทำเช่นนี้
เดิมทีกรมประมงของสหรัฐอเมริกาและแคนาดาสองประเทศนี้ไม่เคยสนใจรายงานข่าวพวกนี้ แต่พอข่าวแพร่มาจากรัฐฟลอริดา สู่รัฐแมสซาชูเซตส์ รัฐออนแทรีโอ รัฐนิวฟันด์แลนด์ราวกับเกล็ดหิมะ พวกเขาจึงรู้ได้ว่ามีสิ่งผิดปกติแล้ว
กรมประมงของสองประเทศที่รู้เรื่องราวภายหลังจึงร่วมมือกันทำการสำรวจ ผลที่ออกมาสร้างความประหลาดใจให้กับทุกคน คือการติดเชื้อเชื้อราตระกูลแก๊ฟคี่ในกุ้งมังกรที่ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ได้แพร่กระจายออกไปในน่านน้ำชายฝั่งของอเมริกาเหนือและมหาสมุทรแอตแลนติก!
ที่จริงแล้วการเกิดขึ้นของเรื่องนี้ใช่ว่าไม่มีลางบอกเหตุมาก่อน สำหรับฉินสือโอว ตอนนั้นเขาไม่เข้าใจว่าทำไมมีฝูงกุ้งมังกรมากมายในน่านน้ำทะเลลึก แต่ฟาร์มปลาเขากลับไม่มี หากเขาเช็กดูตามแนวชายฝั่งอย่างละเอียดจะพบว่า ไม่เพียงแต่ฟาร์มปลาต้าฉินที่ไม่มีฝูงกุ้งมังกร ฟาร์มปลาอื่นๆ ก็ไม่มีเช่นกัน…
แบบนี้ไม่ถูกต้อง ทันใดนั้นฉินสือโอวก็สั่นสะท้าน ฟาร์มปลาของเขามีกุ้งมังกร แล้วมีลูกกุ้งมังกรแสนกว่าตัวที่อยู่รอด เมื่อวานเขายังเห็นร่องรอยพวกมันที่ถือเศษฟองน้ำทะเลอย่างมีชีวิตชีวาและเบ่งอำนาจไปทุกที่…
พอคิดไปเรื่อยๆ แสงวาบหนึ่งผุดขึ้นในสมองของฉินสือโอว เรื่องทุกเรื่องถูกผูกเข้าไว้ด้วยกัน
หลังจากที่เขาซื้อฟาร์มปลาของมิสเตอร์รอทถึงเพิ่งเริ่มเตรียมเลี้ยงกุ้งมังกร เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ปลาใหญ่กินลูกกุ้งจนหมด ตอนนั้นจึงไปเลี้ยงที่ฟาร์มปลาของมิสเตอร์รอท แล้วตอนนี้ฟองน้ำทะเลจำนวนมากก็รวมตัวอยู่ที่ฟาร์มปลาของมิสเตอร์รอท แล้วฟองน้ำทะเลกินแพลงก์ตอนที่อยู่ในน้ำเพื่ออยู่รอด ส่วนแพลงก์ตอนโดยมากก็กินพวกของเน่าเสียเพื่ออยู่รอด…
เรื่องทั้งหมดคงเป็นแบบนี้ ฟาร์มปลาของมิสเตอร์รอทก็มีเชื้อราตระกูลแก๊ฟคี่ในกุ้งมังกร หลังจากที่ลามเข้าไปอยู่ในลูกกุ้ง 90% ของมันก็ตายและเน่าเปื่อยไป หลังจากนั้นจึงเกิดเป็นบริเวณผืนน้ำที่มีแพลงก์ตอน กินของเน่าเสีย ซึ่งพวกแพลงก์ตอนเหล่านี้ก็ดึงฟองน้ำทะเลมา หรือพูดได้ว่าพวกมันบำรุงการสืบพันธุ์ที่แข็งแรงและการเติบโตของฟองน้ำทะเล เพราะถึงยังไงฟองน้ำทะเลก็ไม่ได้มีความสามารถในการเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ
พอคิดได้ ฉินสือโอวก็คลายกังวล สำหรับการแจ้งเตือนภัยของกุ้งมังกรเป็นเรื่องของรัฐบาล ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรมากกับประชาชนคนธรรมดาอย่างเขา ทางที่ดีที่สุดกุ้งมังกรนอกชายฝั่งสูญพันธุ์ไปให้หมด แบบนี้กุ้งมังกรแสนกว่าตัวในฟาร์มปลาของเขาก็จะมีมูลค่าสูง
พอส่งบิลที่ตื่นเต้นเสร็จ ฉินสือโอวก็รู้สึกอารมณ์ดี จึงเล่นอินเทอร์เน็ตหาข้อมูลเกี่ยวกับข่าวเชื้อราตระกูลแก๊ฟคี่ในกุ้งมังกร
ข่าวเรื่องนี้ดังมากทั้งในสหรัฐอเมริกาและแคนาดา แต่รายงานข่าวไม่ได้มีข้อมูลแน่นมาก หน้าเว็บส่วนใหญ่รายงานเพียงเสริมเติมแต่งเท่านั้น
สื่อที่อยู่ในเว็บไซต์มีความคิดอยู่แบบเดียว คนที่ชอบกินกุ้งมังกร ช่วงสองปีนี้จะซวยแล้ว เลือกจะไม่กินหรือไม่ก็ต้องเตรียมเงินก้อนใหญ่ซื้อกุ้งมังกรยุโรป
วันต่อมาหลังรู้เรื่องข่าวแพร่กระจายของเชื้อราตระกูลแก๊ฟคี่ในกุ้งมังกร การแข่งขันบาสเกตบอลยูไนเต็ดของเมืองซัมเมอร์คัพทาวน์ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์ก็จบลง เมืองเล็กๆ เมืองหนึ่งที่มีชื่อว่าเมืองครีกชนะการแข่งขัน ว่ากันว่าเมืองนี้เป็นทีมดั้งเดิมที่แข็งแกร่งที่สุดในเกมบาสเกตบอล
ฉินสือโอวเล่นไปสองเกม พวกเขาชนะทั้งสองเกม เกมที่สามฉินสือโอวกลับบ้านไปฉลองเทศกาลวันไหว้พระจันทร์แล้ว
ตอนนั้นพี่น้องตระกูลฮิวจ์พยายามรั้งเขาเอาไว้ แต่แน่นอนว่าฉินสือโอวไม่สามารถที่จะไม่กลับบ้านไปฉลองเทศกาลไหว้พระจันทร์กับพ่อแม่เพื่อการแข่งขันบาสเกตบอลขำๆ นี้ได้ ดังนั้นพอขาดกำลังหลัก ทำให้เมืองแฟร์เวลไม่สามารถสร้างประวัติศาสตร์ได้ ยังคงเป็นได้แค่นอกสิบหกทีมแข็งแกร่ง
แน่นอนว่า นี่เป็นแค่เกมบาสเกตบอลขำๆ ที่ปรับแต่งสีสันในชีวิตให้กับทุกคน คนแคนาดาไม่ได้สนใจในบาสเกตบอล พวกเขายังคงชอบกีฬาฮอกกี้ที่ฉินสือโอวดูไม่เข้าใจเลยสักนิดเดียว
ฮอกกี้เป็นกีฬาที่คนแคนาดาโปรดปรานมากที่สุด ไม่ใช่แค่หนึ่งในกีฬาที่โปรดปราน สันนิบาตฮอกกี้แห่งชาติเอ็นเอชแอลยังเป็นหนึ่งในลีกที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกาเหนือ เป็นลีกที่มีชื่อเสียงในอเมริกาเหนือพอๆ กับสี่ลีกใหญ่อย่างเอ็นบีเอแต่มีอิทธิพลกว่าเอ็นบีเอในแคนาดามาก
สองสามวันถัดมา ฉินสือโอวกำลังศึกษาปัญหาในการเพาะเลี้ยงปลิงทะเล ตอนนี้เขาตัดสินใจเลือกชนิดของปลิงทะเลที่จะเพาะเลี้ยงได้แล้ว นั่นก็คือปลิงทะเลขั้วโลกเหนือที่โด่งดัง
ปลิงทะเลขั้วโลกเหนือมีถิ่นกำเนิดมาจากรัฐโนวาสโกเชียที่อยู่ไม่ไกลจากเกาะแฟร์เวลในน่านน้ำมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือลงไปประมาณ 30 ฟุต มีสารอาหารอุดมสมบูรณ์ ปริมาณสารอาหารโปรตีนมีมากกว่า 60% มีมิวโคพอลิแซ็กคาไรด์ 15% อุดมไปด้วยซาโปนิน วิตามินและธาตุเล็กน้อย ปริมาณไขมันน้อยมาก ไม่มีคอเลสเตอรอล เป็นปลิงทะเลชั้นนำในตลาดโลก มีมูลค่าสูง
ด้วยมลพิษทางทะเลที่เพิ่มขึ้นทุกวันนี้ ปริมาณผลผลิตของปลิงทะเลขั้วโลกเหนือที่เกิดจากธรรมชาติลดลงเรื่อยๆ พวกมันจึงกลายเป็นอาหารของชนชั้นสูงที่มีชื่อสมคำร่ำลือ ส่วนที่มีอยู่ในตลาด ส่วนมากจะเป็นปลิงทะเลขั้วโลกเหนือที่มาจากการเพาะเลี้ยง
ทั้งปลิงทะเลขั้วโลกเหนือที่มาจากการเพาะเลี้ยง และปลิงทะเลขั้วโลกเหนือที่เกิดจากธรรมชาติล้วนเจริญเติบโตในทะเล แต่สิ่งแวดล้อมในการเจริญเติบโตจะแตกต่างกัน แบบแรกจะเลี้ยงโดยเอามากักอยู่รวมกัน รอคนมาให้เหยื่อ ให้อาหารเท่านั้น แต่แบบหลังจะต้องออกไปหาอาหารเอง
บิลก็แนะนำให้ฉินสือโอวเลี้ยงปลิงทะเลขั้วโลกเหนือแบบกักไว้เป็นกลุ่ม ปลิงทะเลขั้วโลกเหนือที่เกิดจากธรรมชาติไม่ใช่ว่าโตช้า แต่จะจับได้ยาก เป็นปัญหาคล้ายกับหอยงวงช้าง เพราะหอยงวงช้างจะมุดอยู่ในทราย แต่ปลิงทะเลขั้วโลกเหนือจะชอบเจริญเติบโตอยู่ใต้ทะเลที่หนาวเหน็บ
พูดกันโดยทั่วไปแล้ว การเก็บเอาปลิงทะเลขั้วโลกเหนือที่เกิดจากธรรมชาติของแคนาดา จะทำด้วยวิธีทอดแหทั้งนั้น ไม่ได้ให้นักดำน้ำดำลงไปจับ ไม่มีหนทางอื่น เพราะใต้ทะเลทั้งลึกทั้งหนาว คนงานที่จะเก็บทนไม่ไหว แต่การทอดแหแบบนี้ก็ลำบากเช่นกัน
ส่วนปลิงทะเลขั้วโลกเหนือที่มาจากการเพาะเลี้ยง วิธีที่ใช้ก็คือเพาะเลี้ยงโดยใช้แผงแพบนผืนน้ำทะเล หรือเพาะเลี้ยงในกรงลึกใต้ทะเล แบบนี้ก็จะสามารถกักรวมปลิงทะเลขั้วโลกเหนือไว้ได้ เมื่อถึงเวลาที่จะขาย แค่ดึงกรงขึ้นมาก็ได้แล้ว หลักการเดียวกันกับเลี้ยงไก่เลี้ยงเป็ด เพียงแต่อันหนึ่งบนบก อันหนึ่งในน้ำ
ฉินสือโอวเลือกเลี้ยงแบบปล่อยอิสระ เดือนกันยายนและเดือนตุลาคมเป็นช่วงวางไข่ของปลิงทะเลขั้วโลกเหนือพอดี ซึ่งจุดนี้คือจุดต่างของพวกมันกับปลิงทะเลทั่วไป ปลิงทะเลในน่านน้ำเขตร้อนหรือเขตอบอุ่นจะวางไข่ในช่วงเดือนพฤษภาคมและเดือนมิถุนายน ช่วงเวลาของปลิงทะเลขั้วโลกเหนือที่ลากยาวออกไปเกิดจากการได้รับผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม ตัวอ่อนของปลิงทะเลชนิดนี้กลัวร้อนแต่ไม่กลัวหนาว
นำปลิงราคาตัวละ 220 หยวน ไปซื้อปลิงทะเลเพศเมียได้ 1000 ตัว ราคาครึ่งกิโล 2000 หยวนซื้อตัวอ่อนปลิงทะเลได้ 50 กิโลกรัม ราคาครึ่งกิโล 3400 หยวน ซื้อตัวอ่อนปลิงทะเลขนาดกลางได้ 50 กิโลกรัม การเลี้ยงแบบอิสระในน่านน้ำที่ฟาร์มปลาของมิสเตอร์รอท แทบไม่ต้องไปยุ่งอะไรเลย
วิธีการจัดซื้อทั้งสามนี้ประกอบด้วยการเติบโตของโพไซดอนสามชั่วอายุคือวัยชรา วัยกลางคนและวัยรุ่น ตัวอ่อนปลิงทะเลขนาดกลาง ครึ่งกิโลกรัมมีประมาณ 60-70 ตัว เลี้ยงแบบธรรมดาสองสามปีก็สามารถเอาไปขายได้แล้ว
ตัวอ่อนปลิงทะเล ครึ่งกิโลกรัมมีประมาณ 500 ตัว ซึ่งต้องเลี้ยงหกถึงเจ็ดปีถึงจะเติบโต สำหรับปลิงทะเลเพศเมีย พวกมันให้ผลผลิตตัวอ่อนมาได้มากน้อยเท่าไร คนอื่นอาจขึ้นตามประสงค์ของพระเจ้า ส่วนฉินสือโอวขึ้นกับพลังจิตสำนึกแห่งโพไซดอน
……………………………………….
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น