กระบี่จงมา 312-314
บทที่ 312.1 เหนือคนยังมีคน
ProjectZyphon
เมื่อหวาดกลัวถึงขีดสุดแล้ว เด็กชายกลับไม่รู้สึกกลัวอีกต่อไป บนโลกนี้เหลือเขาตัวคนเดียว เด็กชายที่เพิ่งจะได้เรียนหนังสือของชั้นประถมวัยไม่กี่เล่ม ยังไม่รู้จักคำว่ากล้ำกลืนความไม่เป็นธรรมเพื่อรักษาหน้าทุกฝ่าย ใบหน้าของเขาจึงเต็มไปด้วยความเคียดแค้น เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันถามว่า “เจ้าชื่ออะไร?”
รอยยิ้มผู้เฒ่าคลุมเครือมีเลศนัย
เด็กชายพูดเสริมอีกว่า “ข้าจะต้องฆ่าเจ้าให้จงได้! ข้าจะแก้แค้นให้ท่านพ่อท่านแม่ ท่านปู่ท่านย่าของข้า!”
ผู้เฒ่าที่บนศีรษะสวมกวานดอกบัวสีเงินชี้ไปที่ตัวเองพลางเอ่ยยิ้มๆ “ข้า? คนบนโลกล้วนชอบเรียกข้าว่ามารเฒ่าติง ไม่ว่าจะฝ่ายธรรมะหรืออธรรมก็ล้วนไม่มีข้อยกเว้น ลูกศิษย์ในลัทธิที่พบเจอข้าอาจจะเรียกด้วยความเคารพว่าเจ้าลัทธิไท่ซ่าง ส่วนชื่อเดิมของข้า ชื่อว่าติงอิง ไม่ได้ใช้มันมาหลายปีแล้ว”
ผู้เฒ่าถาม “แล้วเจ้าล่ะชื่ออะไร?”
เด็กชายเสียงสั่น แต่กลับพยายามตะเบ็งเสียงให้ดังมากที่สุด “เฉาฉิงหล่าง!” (ฉิงหล่างหมายถึงวันที่อากาศ/ท้องฟ้าแจ่มใส)
ผู้เฒ่าเอ่ยสัพยอก “ชื่อนี้ของเจ้าช่างตั้งได้เอาเปรียบคนอื่นยิ่งนัก บวกกับหน้าตาเช่นนี้ของเจ้า วันหน้าท่องอยู่ในยุทธภพระวังจะถูกคนทุบตี”
เขาโบกมืออย่างไม่ใส่ใจหนึ่งครั้ง ลมพายุขุมหนึ่งที่ส่งเสียงอื้ออึงพัดไปทางกระดาษหน้าต่างด้านข้างของห้อง ทว่ากระดาษหน้าต่างแผ่นบางกลับไร้ความเสียหาย ในห้องเหมือนมีอะไรบางอย่างถูกฟาดกลับไป
เด็กชายไม่อาจเข้าใจวิธีการที่อัศจรรย์สุดขีดนี้ เขาเพียงแต่โกรธจนหน้าเขียว “ผายลม!”
คนในครอบครัวตายไปแล้ว ชื่อที่พ่อแม่ตั้งให้จึงกลายมาเป็นความทรงจำอย่างสุดท้ายของเด็กชาย
ผู้เฒ่าไม่ถือสา ตามองแม่ไก่หลายตัวในลานบ้านที่กำลังเดินจิกหาอาหารไปทั่ว
ผู้เฒ่าลุกขึ้นเดินไปที่ห้องครัว หยิบข้าวสารจากถังใส่ข้าวมากำมือหนึ่ง พอกลับมานั่งที่เดิมแล้วก็โปรยลงบนพื้น พวกแม่ไก่กระพือปีกถลาเข้ามากินอาหารอย่างสำราญใจ
ผู้เฒ่าเอ่ยยิ้มๆ “คนบนโลกต่างก็กลัวข้า แต่เจ้าดูสิ พวกมันไม่กลัวเลย”
เขาค้อมหลังเอนตัวไปด้านหน้า “นี่หมายความว่าปรมาจารย์ยอดฝีมือ กษัตริย์ แม่ทัพทั้งหลายสู้ไก่สักตัวก็ยังไม่ได้ อย่างนั้นหรือ?”
เด็กชายยังเยาว์นัก ในสมองมีแต่ความเคียดแค้น ไหนเลยจะเต็มใจคิดถึงเรื่องพวกนี้ เพียงแค่จ้องมองมารร้ายที่ฆ่าคนตาไม่กะพริบ เจ็บใจที่ตัวเองมีพละกำลังน้อยเกินไป ฉับพลันนั้นเขาบังเกิดความคิด นึกขึ้นได้ว่าในห้องครัวยังมีมีดผ่าฟืนที่ลับจนคมใช้ได้ สถานที่อย่างเมืองหลวงนี้ ครอบครัวเล็กๆ ที่พอมีฐานะอย่างครอบครัวของเด็กชายมีเงินมากพอที่จะเรียกให้คนขายถ่านที่เดินผ่านหน้าบ้านหยุดรถ มีดผ่าฟืนที่อยู่ในบ้านก็แค่มีไว้ประดับพอเป็นพิธีเท่านั้น
ผู้เฒ่ามองท้องฟ้า ถามเองตอบเอง “แน่นอนว่าไม่ใช่ ก็แค่คนไม่รู้จึงไร้ความกลัวเท่านั้น บางครั้งอินทรีตัวหนึ่งบินผ่านท้องฟ้า หนูที่อยู่ในผืนนาก็รีบกำเมล็ดข้าวเปลือกใต้อุ้งเท้าไว้แน่น คนแบบนี้ในใต้หล้าของพวกเรามีไม่มาก แต่ก็ไม่น้อย ไม่ได้ดีไปกว่าพวกชาวบ้านธรรมดาสักเท่าไหร่ พวกเขาก็แค่สามารถมองเห็นเงาดำได้เท่านั้น ยกตัวอย่างเช่นอวี๋เจินอี้แห่งแคว้นซงไล่ที่เปลี่ยนมาฝึกตนเป็นเซียน พ่อครัวเฒ่าในตำหนักรัชทายาทแคว้นหนันเยวี่ยนของพวกเจ้า ภิกษุเฒ่าผู้บรรยายพระสูตรแห่งวัดจินกัง”
กล่าวมาถึงตรงนี้ติงอิงก็ลุกขึ้นยืน สะบัดชายแขนเสื้อสองข้าง ดีดนิ้วเบาๆ ลมพายุลูกแล้วลูกเล่ามารวมตัวกันกลายเป็นเส้น แล้วโจมตีไปทางหน้าต่างข้างห้อง
ติงอิงลงมือเร็วเกินไป ลมพายุสีเขียวอึมครึมรวมตัวกันอยู่ตรงหน้าต่างอย่างต่อเนื่อง เป็นจุดๆ ก้อนๆ คล้ายภาพดวงดาวบนทางช้างเผือก
“และยังมีคนต่างถิ่นบางส่วนที่สมกับคำว่าผู้มาเยือนไม่มีเจตนาดี ผู้มีเจตนาดีไม่มาเยือน พวกเขาล้วนถูกพวกเราเรียกว่าเป็นเจ๋อเซียนทั้งหมด ท่องเที่ยวอยู่ในโลกมนุษย์ดุจดั่งดาวหางที่มาเร็ว แล้วก็จากไปแล้ว ส่วนเรื่องที่ว่าโลกใบนี้จะเปลี่ยนไปอย่างไร มีปัญหาตามมาแค่ไหน กลายมาเป็นกองขยะที่เละเทะเกินเยียวยาเท่าไหร่ พวกเขาไม่เคยสนใจ”
“พวกเขาไม่สนใจการพบพรากสุขทุกข์บนโลกมนุษย์”
ติงอิงยิ้มพลางทำมือเหมือนพลิกเปิดหนังสือ จากนั้นก็ตบเบาๆ คล้ายปิดหนังสือเข้าหากัน “คนพวกนี้ทำเหมือนเปิดหน้าหนึ่งของหนังสืออ่านเล่นยามมีเวลาว่าง พลิกกลับไปแล้วก็พลิกกลับมา บนหน้าหนังสือจะเขียนว่า ‘จารีตเสื่อมเสีย’ ‘เลือดนองพันลี้’ ‘ปวงประชาทุกข์ยากน่าเวทนา’ หรือไม่ พวกเขาล้วนไม่สนใจ”
“ครอบครัวที่สืบทอดมารยาทพิธีการมานานนับพันปี จวนอริยะจากตระกูลปัญญาชนให้กำเนิดตัวประหลาด ถูกเขาทำลายเสียจนย่อยยับป่นปี้”
“แคว้นเล็กๆ ที่ห่างไกล มีฮ่องเต้ที่จิตใจทะเยอทะยาน ไม่เคยเข้าใจเรื่องยกทัพจับศึก แต่กลับทุ่มกำลังทัพจับศึกพร่ำเพื่อ เพียงยี่สิบปีคนหนุ่มของครึ่งแคว้นก็ตายสิ้น”
เด็กชายหรือจะเข้าใจเรื่องพวกนี้ เขาเอาแต่จมจ่อมอยู่กับความเคียดแค้นของตัวเอง “แล้วเจ้าล่ะทำอะไร?”
เด็กชายในตรอกที่ชื่อว่าเฉาฉิงหล่างสะอึกสะอื้นพูดไม่เป็นคำ “เจ้าก็ได้แต่สังหารพ่อแม่ ปู่ย่าของข้า…”
เสียงสะอื้นของเฉาฉิงหล่างแฝงไว้ด้วยความเจ็บแค้น “เจ้าจะนับเป็นวีรบุรุษชายชาตรีอะไรได้ เจ้ามันมารร้ายชั่วช้าที่ไม่สมควรได้รับการให้อภัย!”
คล้ายจะจงใจแกล้งหยอกเด็กน้อย ผู้เฒ่าถึงทำเสียงฮือๆๆ เลียนแบบเด็กชาย จากนั้นก็หัวเราะดังลั่น
ไม่รู้จริงๆ ว่าเป็นเพราะเขายังมีจิตใจเป็นเด็ก หรือเสียสติจนเป็นบ้าไปแล้ว
เด็กชายโกรธจนตัวสั่น
ติงอิงเอ่ยยิ้มๆ “อันที่จริงเจ๋อเซียนพวกนั้นจะทำอะไร แล้วเกี่ยวอะไรกับข้าด้วย? ไม่เกี่ยวเลย ข้าก็แค่หาข้ออ้างให้ตัวเองฆ่าคน ฆ่าคนบางคนที่น่าสนใจก็เท่านั้น”
ผู้เฒ่ายกแขนข้างหนึ่งขึ้น ใช้ฝ่ามือต่างมีดทำท่าขึ้นลงเหมือนกำลังสับเนื้อ “เจ๋อเซียนคนหนึ่ง เจ๋อเซียนสองคน สามคนสี่คน สับพวกเขาให้ตาย นอกจากพวกเขาแล้วยังมีสิบคนเบื้องบนที่ไม่นับรวมข้า รวมไปถึง ‘สิบคนเบื้องล่าง’ ที่เกิดขึ้นในภายหลังด้วย ใครที่น่าสนใจก็เก็บไว้ รกหูรกตาก็ฆ่าให้หมด”
ท่ามกลางเสียงร้องไห้คร่ำครวญของเด็กชาย
ติงอิงแหงนหน้ามองท้องฟ้า
ครั้งนี้ไม่ค่อยเหมือนกับเมื่อครั้งหกสิบปีนั้นสักเท่าไหร่
ดังนั้นเขาถึงเลือกอยู่ที่นี่ ไม่ใช่ลงมือด้วยตัวเอง ถึงอย่างไรเขาก็ยังบ้าคลั่ง พยายามที่จะใช้กำลังของตัวเองคนเดียวไปท้าทายกับยอดฝีมือเก้าคนหรืออาจจะมากกว่าสิบคน เมื่อหกสิบปีก่อนเคยมีคนพยายามทำเช่นนี้ หวังจะฮุบเอาโชคชะตาบู๊ของใต้หล้าไว้เพียงลำพัง ผลคือแพ้อนาถ
หากคนหนุ่มที่เป็นเจ้านายของกระบี่บินผู้นั้นมีชีวิตรอดไปได้ คงทำให้ทุกคนรู้สึกแปลกใจอย่างมาก
ถ้าเช่นนั้นเมื่อถึงเวลานั้นติงอิงจะออกไปจากที่นี่ ทำให้คนผู้นั้นไม่กลายเป็นเรื่องที่น่าแปลกใจอีกต่อไป
ติงอิงรู้ว่าใต้หล้าแห่งนี้ก็เหมือนการเลี้ยงแมลงพิษ
จุดลึกในใจของติงอิงซุกซ่อนความลับอย่างหนึ่งที่ไม่เคยมีใครรู้ เพื่อคลายปมปริศนานี้ เขาจึงสนใจแค่เรื่องเดียว นั่นคือหากเขาทำให้การเลี้ยงแมลงพิษหกสิบปีนี้ของตนกลายมาเป็นความว่างเปล่าเหมือนใช้ตะกร้าไม้ไผ่ตักน้ำ
ใครคนนั้นจะมาพบตนหรือไม่
และจะเป็นใครกันแน่ที่จะมายืนต่อหน้าตน
ซึ่งก่อนหน้าที่จะเป็นเช่นนั้น ยังมีกุญแจสำคัญอยู่สองข้อ
หนึ่งคือโจวซื่อต้องตายอยู่บนถนน ทำให้ลู่ฝ่างและโจวเฝยเป็นฝ่ายเดินเข้ามาในสถานการณ์ด้วยตัวเอง
สองคือเจ้าของกระบี่บินก็ต้องตายเช่นกัน
ติงอิงหันไปมองทางหน้าต่างแล้วคลี่ยิ้ม เขาคิดว่าไม่มีอะไรยาก
……
ผู้เฒ่าจมูกงองุ้มเหมือนเหยี่ยวคนหนึ่งเดินอยู่บนถนนที่คึกคักของเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยน แม้ไม่แสดงความโกรธก็ยังน่าเกรงขาม น่าจะเป็นคนจากทางเหนือเพราะเรือนกายของเขาสูงมาก โดดเด่นดั่งนกกระเรียนในฝูงไก่ ดึงดูดสายตาของชาวบ้านในพื้นที่ได้ไม่น้อย ข้างกายของผู้เฒ่ามีองค์รักษ์ชายหญิงสีหน้าสงบนิ่ง ฝีเท้าที่ก้าวเดินหนักแน่นปราดเปรียว พวกเขาแค่ชำเลืองตามาก็สามารถข่มให้สายตาอยากรู้อยากเห็นที่มองมาถอยกลับไป เมื่อมาถึงเมืองที่ดีเยี่ยมที่สุดในใต้หล้าแห่งนี้ ผู้เฒ่าก็ทอดถอนใจไม่หยุด คุ้นชินกับแผ่นฟ้าสูงแผ่นดินกว้างใหญ่ และความว่างเปล่าอ้างว้างของนอกด่านแล้ว ปรับตัวเข้ากับฝูงชนที่มากมหาศาลขนาดนี้ไม่ทันจริงๆ และในขณะที่อารมณ์ของผู้เฒ่าเริ่มจะย่ำแย่ ชายฉกรรจ์ลักษณะเปี่ยมไปด้วยพละกำลังคนหนึ่งก็เดินเร็วๆ มาจากทิศไกล แจ้งอาจารย์ผู้มีพระคุณด้วยภาษาของทุ่งราบกว้างว่าหาคนผู้นั้นเจอแล้ว เขาอยู่ในสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งเรียกว่าสะพานเคอเจี่ย ห่างจากที่แห่งนี้ไปไม่ไกล
ผู้เฒ่าให้ลูกศิษย์ผู้นี้นำทาง เพียงไม่นานก็เดินผ่านสะพานหินที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานไปถึงร้านแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ริมน้ำ ไม่นึกว่าจะเป็นร้านขายแพรต่วน ผู้เฒ่าบอกให้พวกลูกศิษย์รออยู่ด้านนอก กิจการของร้านซบเซา ไม่มีลูกค้าแวะเวียนมา ผู้เฒ่าเดินข้ามธรณีประตูไปเพียงลำพัง มองเห็นว่าด้านหลังโต๊ะคิดเงินตัวสูงมีศีรษะหนึ่งที่มีเส้นผมหร็อมแหร็ม เจ้าของหน้าตาขี้ริ้วโผล่ออกมา
เถ้าแก่ร้านเห็นผู้เฒ่าก็กล่าวยิ้มๆ ว่า “โอ้ แขกที่หาได้ยากๆ ช่วงนี้เจอใครข้าก็ไม่รู้สึกแปลกใจแล้ว มีเพียงได้พบเจอเจ้านี่แหละ ดวงอาทิตย์คงขึ้นทางทิศตะวันตกเป็นแน่ ไม่เข้าใจเลยจริงๆ แม้ว่าก่อนหน้านี้ลูกชายของโจวเฝยจะมาบอกข้าก่อนแล้วว่าเจ้าต้องมา แต่อันที่จริงข้ากลับไม่เชื่อเท่าไหร่ แค่คิดว่าเขาจะมาหลอกให้ข้าออกจากภูเขาเพื่อช่วยป้องกันภัยให้พ่อเขา”
เถ้าแก่ร้านเดินอ้อมโต๊ะออกมา ผายมือบอกเป็นนัยให้ผู้เฒ่าจมูกเหยี่ยวหาที่นั่งได้ตามสบายพลางกล่าวอย่างไม่เกรงกลัวว่า “ปรมาจารย์ใหญ่เฉิง ท่านผู้อาวุโสรีบนั่งก่อนเถอะ ไม่อย่างนั้นพูดกับท่านแล้วข้าต้องคอยแหงนหน้า คงเมื่อยแย่”
ผู้เฒ่าที่เดินทางมาไกลไม่ถือสา พอนั่งลงบนเก้าอี้รับรองแขกหยาบๆ ตัวหนึ่งแล้วก็พูดเข้าประเด็นทันที “หากไม่เป็นเพราะข้าไม่เชื่อในรายชื่อสิบคนของหอจิ้งหย่าง ข้าก็คงไม่เสี่ยงมาที่นี่ ลำดับของเจ้าและข้าต่างก็ไม่อยู่ในห้าอันดับแรก มีความเป็นไปได้มากว่าจะเกิดเรื่องไม่คาดคิด เฝิงชิงป๋ายที่มีสถานะเป็นเจ๋อเซียนอย่างไม่ต้องสงสัย ยาเอ๋อร์ศิษย์หลานของมารเฒ่าติง โจวซื่อบุตรชายของโจวเฝย ตอนนี้ก็มีตั้งสามคนแล้ว ใครจะไปรู้ว่าจะมีเต่าน้อยตะพาบเฒ่าที่แอบซ่อนตัวอยู่ใต้น้ำอีกหรือไม่”
เถ้าแก่ร้านพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย
อวี๋เจินอี้ จ้งชิวสองในสี่ปรมาจารย์ใหญ่ไปรวมตัวกันอยู่บนภูเขากู่หนิว นี่คือข่าวที่ป่าวประกาศแก่ภายนอกเพื่อให้คนในใต้หล้ามาร่วมชมความครึกครื้น
ครั้งนี้หอจิ้งหย่างเลือกจะมาป่าวประกาศอันดับรายชื่อสิบคนในเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยน นี่ต่างหากถึงจะเป็นกุญแจสำคัญของความลี้ลับที่ซุกซ่อนอยู่อย่างแท้จริง
ผู้เฒ่าที่มาจากนอกด่านแค่นเสียงเย็น “ข้าใช้ทวน เจ้าใช้ดาบ เหมือนกับจ้งชิว ต่างก็เป็นวิถีของหมัดนอก ไม่เหมือนกับจิ้งจอกเฒ่าอวี๋เจินอี้ ขอแค่เป็นศึกตาย ย่อมต้องทิ้งอาการบาดเจ็บไว้ไม่มากก็น้อย พวกเราสามคนต้องไม่มีทางทนได้ถึงอีกหกสิบปีให้หลังแน่นอน เพื่อโอกาสครั้งนี้ ข้าเข่นฆ่าตลอดทางจนมาถึงวันนี้ โรคแอบแฝงเล็กใหญ่บนร่าง ถึงอย่างไรก็ต้องมีคำอธิบาย!”
กล่าวมาถึงตอนสุดท้าย ผู้เฒ่าตบที่เท้าแขนเก้าอี้เบาๆ เก้าอี้ไม่เป็นอะไร แต่พื้นร้านด้านล่างเก้าอี้กลับเกิดรอยปริร้าวแผ่ขยายลามไปทั่ว
ลูกศิษย์ของผู้เฒ่าที่รออยู่ด้านนอกสัมผัสได้ถึงลมปราณที่ไหลเวียนในร้าน แต่ละคนก็ตั้งท่าเหมือนเผชิญกับศัตรูตัวฉกาจ ลมหายใจเริ่มหนักกระชั้น
เถ้าแก่เอ่ยยิ้มๆ “ลูกศิษย์เหล่านี้ของเจ้า พรสวรรค์ไม่ได้โดดเด่นสักเท่าไหร่นัก ไหนเคยได้ยินว่าเมื่อหลายปีก่อนเจ้าพบลูกหมาป่าน้อยที่มีพรสวรรค์น่าตะลึงตัวหนึ่งไม่ใช่หรือ? หลายปีมานี้เจ้าตั้งใจอบรมสั่งสอนก็คงไม่ด้อยไปกว่าพวกลูกรักของสวรรค์อย่างยาเอ๋อร์ โจวซื่อหรอกกระมัง?”
ผู้เฒ่าแซ่เฉินกล่าวอย่างเฉยชา “ตายแล้ว พรสวรรค์ดีเกินไปก็ไม่ดี”
เถ้าแก่ร้านพูดอย่างขุ่นเคือง “เฉิงหยวนซาน! เสือร้ายยังไม่กินลูกตัวเอง เจ้ายังมีความเป็นคนอยู่บ้างไหม?”
ผู้เฒ่าที่เดินทางไกลนับพันลี้จากนอกด่านมาถึงแคว้นหนันเยวี่ยนก็คือปี้เซิ่งเฉิงหยวนซานที่อยู่ในอันดับแปดของสิบผู้ยิ่งใหญ่ใต้หล้า
เมื่อยี่สิบปีก่อน หลังจากที่ถูกหอจิ้งหย่างคัดออกจากอันดับสิบคน เขาก็ไปอยู่ที่ทุ่งหญ้ากว้างนอกด่าน เพียงไม่นานก็กลายเป็นแขกผู้ทรงเกียรติของผู้ครองทุ่งหญ้ากว้างใหญ่
เฉิงหยวนซานปรายตามองผู้เฒ่าร่างเล็กเตี้ยที่ปกปิดชื่อแซ่อยู่ในแคว้นหนันเยวี่ยน “หลิวจง เจ้ายังมีหน้ามาว่าข้าด้วยหรือ? คนลับมีด คนลับมีด เจ้าหลิวจงชอบเอาอะไรมาลับมีดมากที่สุด?”
คนลับมีดหลิวจงหัวเราะหึหึ
เฉิงหยวนซานกล่าวด้วยความสงสัย “ข้าเพิ่งมาถึงที่นี่ อีกทั้งแคว้นหนันเยวี่ยนยังเป็นถิ่นฐานที่จ้งชิวตั้งใจดูแลอย่างยากลำบาก คราวนี้จ้งชิวยืนอยู่ฝ่ายใดกันแน่? แรกเริ่มสุดข้านึกว่าเป็นอวี๋เจินอี้ แต่ตอนนี้มาลองดูแล้วเหมือนจะไม่ใช่? แล้วมารเฒ่าติงล่ะคิดจะทำอะไร? เขาเป็นคนที่ไม่ต้องทำอะไรที่สุดในใต้หล้าแห่งนี้ แต่กลับมาที่แคว้นหนันเยวี่ยน เขาคิดอะไรอยู่?”
หลังจากที่ปี้เซิ่งหลิวหยวนซานเอ่ยถึง ‘คนลับมีด’ พลังอำนาจของหลิวจงก็เพิ่มทะยานขึ้นอย่างพรวดพราด แต่ตอนนี้พลังนั้นกลับร่วงดิ่งลง ร่างทั้งร่างกลับกลายมาเป็นผู้เฒ่าตัวเล็กของร้านที่เอาตัวรอดให้ผ่านพ้นไปในแต่ละวัน เขาชี้หน้าเฉิงหยวนซาน เอ่ยหยอกเย้า “เจ้าน่ะชอบคิดมากเกินไป”
แต่เฉิงหยวนซานรู้ดีว่าตลอดหลายปีมานี้หลิวจงไม่เคยหยุดฝึกตนเพิ่มพูนตบะ หรืออาจถึงขั้นว่าตอนนี้ตบะของเขาได้รุดหน้าไปแล้วก้าวใหญ่
ทว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมาแถบแคว้นหนันเยวี่ยนแห่งนี้มีจ้งชิวคอยเฝ้าพิทักษ์อยู่ข้างวังหลวง จึงไม่มีข่าวลือที่น่าตะลึงพรึงเพริดใดๆ แพร่ออกไป การฝึกวรยุทธ์ของหลิวจง หากไม่มีหินลับมีดจะไม่ถอยกลับรุดหน้าได้อย่างไร? หลายปีมานี้เฉิงหยวนซานเองนอกจากจะแอบสังหารยอดฝีมือนอกด่านอย่างลับๆ แล้ว ก็ยังแฝงตัวเข้ามาทิศใต้อยู่หลายครั้ง เขาลอบฆ่าปรมาจารย์ในยุทธภพที่มีหวังว่าจะเลื่อนสู่สิบอันดับแรกไปสองคนก็เพื่อขัดเกลาสภาพจิตใจท่ามกลางการเข่นฆ่าที่อันตราย มิกล้าเพิกเฉยละเลยแม้แต่น้อย
บทที่ 312.2 เหนือคนยังมีคน
ProjectZyphon
เฉิงหยวนซานกล่าว “โจวเฝยผู้นี้ทำอะไรไร้ความยำเกรงมาโดยตลอด ช่างเหมือนพวกเจ๋อเซียนในประวัติศาสตร์ยิ่งนัก ครั้งนี้ก็หันมาพึ่งพาติงอิงอีก จะเป็นโชคดีหรือเคราะห์ร้าย เจ้าลองบอกข้าหน่อยสิ หลิวจง คนอื่นข้าเชื่อไม่ได้ แต่เจ้าเป็นข้อยกเว้น”
หลิวจงเอ่ยยิ้มๆ “อาศัยอะไรถึงเชื่อข้า”
เฉิงหยวนซานกล่าวอย่างจริงจัง “คนที่ถูกเรียกขานว่าเป็นผู้ล่มหลงในวรยุทธ์มีมากมายดุจขนวัว แต่สำหรับในใจของข้า ผู้ล่มหลงในวรยุทธ์ที่แท้จริงมีเพียงเจ้าหลิวจงคนเดียวเท่านั้น เจ้าเองก็เหมือนกับติงอิง จ้งชิว อวี๋เจินอี้ คือคนไม่กี่คนที่มีชีวิตรอดมาได้จากศึกของปีนั้น สิบคนนั้น ไอ้ที่ตายก็ตาย ที่หายตัวไปก็หายตัวไป มีเพียงคนวงนอกของสถานการณ์อย่างพวกเจ้าที่กลับกลายเป็นว่าได้รับโชควาสนาของใครของมัน ติงอิงได้กวานเต๋าของเซียนผู้หนึ่งไป อวี๋เจินอี้ได้ตำราลับของตระกูลเซียนเล่มหนึ่ง จ้งชิวได้อะไร ข้าไม่แน่ใจนัก แต่ตอนนั้นเจ้าหลิวจงเป็นฝ่ายเสียสละไม่ต้องการมีดปีศาจเพียงเพราะว่าตัวเองมีมีดอยู่ข้างกายแล้ว การเลือกแบบนี้ ใต้หล้าก็มีแต่เจ้าเท่านั้นที่ทำได้”
หลิวจงลูบหนวดอันเบาบางของตัวเอง ยิ้มตาหยีพูดว่า “ความลับเรื่องนี้ เจ้าที่เป็นคนนอกซึ่งไม่ได้เข้าร่วมเหตุการณ์หายนะครั้งนั้น รู้ได้อย่างไร?”
เรื่องนี้เป็นจุดที่คันคะเยอที่สุดในชีวิตของหลิวจง เขาไม่เคยพูดใครให้ฟัง แต่ในเมื่อวันนี้ปี้เซิ่งเฉิงหยวนซานพูดขึ้นมาเอง คนลับมีดอย่างหลิวจงก็ยังคงรู้สึกลำพองใจในตัวเองอยู่ดี
เฉิงหยวนซานตอบตามสัตย์จริง “เจ้าของคนใหม่ที่มีดปีศาจ ‘เลี่ยนซือ’ (เป็นคำเรียกขานอย่างให้ความเคารพนักพรตเต๋าที่เชี่ยวชาญด้านการหล่อเลี้ยงชีวิต การหลอมโอสถเป็นต้น) เลือก ข้าเป็นคนสังหารเองกับมือ เพียงแต่ข้าไม่อาจเก็บมันไว้ได้”
แต่ไหนแต่ไรมาปี้เซิ่งเฉิงหยวนซานก็เป็นคนหยิ่งทระนงในตัวเองอยู่แล้ว สำหรับคนอย่างถงชิงชิงแห่งหอจิ้งซินที่อยู่ในรายชื่อ เขาดูแคลนอย่างยิ่ง ส่วนอีกสิบอันดับล่างที่พวกสอดรู้สอดเห็นเพิ่มขึ้นมาจากสิบอันดับแรก เฉิงหยวนซานเคยป่าวประกาศออกไปว่า คนเหล่านี้มีใครๆๆ บ้างที่สามารถยกชาส่งน้ำให้แก่เขาได้ แล้วก็ใครๆๆ ที่ควรช่วยถอดรองเท้าให้เขา ใครๆๆ ที่สามารถเฝ้าบ้านให้เขา ยอดฝีมือขั้นสูงสุดสิบท่านที่มีชื่อเสียงไปทั่วใต้หล้ากลับไม่มีสักคนที่เข้าตาปี้เซิ่งเฉิงหยวนซาน
แต่วันนี้เขามาพบหลิวจงกลับมีท่าทางเกรงอกเกรงใจอย่างยิ่ง หรืออาจถึงขั้นยินดียอมก้มหัวให้ระดับหนึ่ง
นี่จึงแสดงให้เห็นว่าการเดินทางมาเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนครั้งนี้ เฉิงหยวนซานไม่มีความมั่นใจเลยแม้แต่น้อย
หลิวจงยื่นนิ้วเข้าปาก แคะเศษเนื้อที่ติดซอกฟันออกมาดีดทิ้ง “ฝีมือของนักฆ่าคนหนึ่งดีหรือไม่ ต้องดูที่มีดเล่มที่เขาใช้ถนัดมือมากที่สุด แร่หนังคว้านเนื้อเลาะกระดูก สามารถใช้ได้กี่ปี อย่างแย่ที่สุดสองสามปีก็ต้องเปลี่ยนมีดเล่มใหม่ ดีขึ้นมาหน่อยคือเจ็ดแปดปี มีดเล่มนั้นของข้าใช้มาตั้งแต่ตอนที่เริ่มท่องยุทธภพ จนมาถึงวันนี้ก็เกือบสี่สิบปีแล้ว”
หลิวจงหัวเราะร่า “สังหารพวกเจ๋อเซียนที่ทำตัวลับๆ ล่อๆ พวกนั้นถึงจะสาแก่ใจ มีดที่ลับมาหลายสิบปี อย่าให้กลายเป็นเคล็ดสังหารมังกรผายลมสุนัขอย่างในตำราอะไรนั่นเลย มาก็ดี มาแล้วก็ดี”
……
บัณฑิตยากจนคนหนึ่งที่มาสอบในเมืองหลวงยังรอภรรยาคนงามของเขากลับมา เพื่อนาง แม้แต่คำสอนของอริยะที่บอกว่าบุรุษไม่เข้าใกล้ห้องครัว เขาก็ยังยอมละทิ้งไม่สนใจ
พวกเขาพบเจอกันในยุทธภพโดยบังเอิญ แม้ว่านางจะอายุมากกว่าเขาหกปี แต่ยังชอบพูดล้อเล่น บอกว่าตัวเองไม่ใช่ผู้หญิงที่ดี แต่เขากลับรู้สึกว่าไม่เป็นไร
สามารถดีดผีผาได้ยอดเยี่ยมปานนั้น บทเพลงแห่งสนามรบดีดได้อย่างฮึกเหิม หรือระบายความคับแค้นใจของหญิงสาวในห้องหอก็ยังถ่ายทอดได้อย่างลึกซึ้ง จะเลวได้ถึงขนาดไหนกัน
มีคนประหลาดคนหนึ่งมาหาเขาที่นี่แล้วเล่าเรื่องของหญิงสาวในยุทธภพคนหนึ่งให้ฟัง
บัณฑิตรู้สึกว่าหากผู้หญิงอย่างที่คนผู้นั้นเล่าให้ฟังมีอยู่จริง ถ้าอย่างนั้นนางก็มีจิตใจชั่วช้าสามานย์ยิ่งนัก
แต่บัณฑิตยังรู้สึกว่านางที่เขารู้จักไม่เหมือนกัน รู้สึกว่านางเป็นผู้หญิงที่ดี มีความรู้เฉลียวฉลาด อ่อนโยนมีคุณธรรม แถมยังงดงามถึงเพียงนั้น เขาจะแต่งนางมาเป็นภรรยา อยู่ด้วยกันไปจนแก่เฒ่า
เขากำลังรอนางกลับบ้าน
คิดไว้ว่าเมื่อนางกลับมาจะบอกความในใจเหล่านี้ให้นางฟัง
…..
วัดจินกังคือสือฟางฉงหลิน (คือระบบการดูแลวัดอย่างหนึ่ง สือฟางหมายถึงสิบทิศได้แก่ออก ตก เหนือ ใต้ ตะวันออกเฉียงใต้ ตะวันตกเฉียงใต้ ตะวันตกเฉียงเหนือ ตะวันออกเฉียงเหนือ บนและล่าง ฉงหลินเป็นคำเรียกขานวัดวาอารามหมายถึงสถานที่ที่พระสงฆ์มารวมตัวกัน สถานที่ที่ใช้ฝึกบำเพ็ญตน) อันดับหนึ่งของเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยน แล้วก็เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาพุทธที่ใหญ่ที่สุดและมีพระสงฆ์มากที่สุดของใต้หล้าแห่งนี้
ในกระท่อมมุงจากเรียบง่ายหลังหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ในตำแหน่งที่ค่อนข้างเงียบสงบและห่างไกลของวัด ประตูใหญ่เปิดอ้า ในกระท่อมที่ว่างเปล่านอกจากพระสงฆ์รูปหนึ่งและเบาะรองนั่งหนึ่งใบแล้วก็ไม่มีอย่างอื่นอีก
คุณชายหน้าตาหล่อเหลาร่างผอมเพรียวบางคนหนึ่งถูกห้อมล้อมด้วยสาวงามสิบกว่าคนดุจดวงเดือนที่ถูกล้อมด้วยหมู่ดาว เขาเดินเข้าไปยังกระท่อมหลังเล็กไม่สะดุดตาหลังนี้ช้าๆ อายุของหญิงสาวมีตั้งแต่สิบสามสิบสี่ไปจนถึงสี่สิบกว่าปี ทุกคนล้วนเป็นหญิงงาม หากมีคนของหอจิ้งหย่างอยู่ที่นี่ด้วยก็จะค้นพบว่าในบรรดาหญิงสาวเหล่านี้มีทั้งจอมยุทธ์หญิงเทพธิดาที่ชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วหล้า แล้วก็มีสตรีแต่งงานแล้วของตระกูลสูงศักดิ์ร่ำรวย ซึ่งทุกคนล้วนเป็นโฉมสะคราญของพื้นที่หนึ่งโดยไม่มีข้อยกเว้น
บริเวณรอบกระท่อมมุงจากมีธงปลายแหลมรายล้อม
คนหนุ่มเหมือนลูกหลานเชื้อพระวงศ์ที่พาสาวงามมาท่องเที่ยว ตลอดทางที่เดินมาก็คอยอธิบายที่มาของคำศัพท์ทางพระพุทธศาสนาอย่างคำว่าสือฟาง ฉงหลิน ช่าน่า (ภาษาสันสกฤตคือคำว่า kṣaṇa หมายถึงชั่วขณะ ทันทีทันใด) ธงปลายแหลม ฯลฯ ให้หญิงสาวเหล่านั้นฟัง หญิงสาวส่วนใหญ่มีชาติกำเนิดที่ดี ไม่ขาดความรู้ความสามารถ บางคนจึงหัวเราะคิกคักพลางชี้ให้เห็นช่องโหว่ในคำอธิบายของคนหนุ่ม เขาก็ไม่ได้โต้แย้งอะไร แค่บอกว่าธรรมเนียมของแต่ละพื้นที่ไม่เหมือนกัน คำกล่าวของบ้านเกิดเขาสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของศาสนาพุทธมากกว่า
ภิกษุเฒ่าที่นั่งทำสมาธิลืมตาขึ้นถามยิ้มๆ “ประสกโจว ในเมื่อได้รับคำยืนยันจากติงอิง มีที่หยัดยืนอย่างมั่นคงแล้ว เหตุใดถึงยังต้องมาที่นี่เล่า?”
คนหนุ่มแซ่โจวยกมือขึ้นบอกเป็นนัยไม่ให้หญิงสาวทั้งหลายติดตามมา เขาเดินเข้าไปในกระท่อมเพียงลำพัง ยิ้มถามว่า “มาขอร่างอรหันต์ทองคำจากไต้ซือให้ลูกชายที่ไม่เอาไหนคนนั้นของข้า”
เขาขยับเข้าใกล้ธรณีประตูแล้วยกเท้าขึ้น ถามอย่างเกรงใจ “ต้องถอดรองเท้าออกหรือไม่ ข้ากลัวว่าจะทำให้กุฏิที่สะอาดเอี่ยมของไต้ซือสกปรก”
ภิกษุเฒ่าเอ่ยยิ้ม “รองเท้าเปื้อนดินโคลนแล้ว สำหรับในใจประสกโจว จะถอดหรือไม่ถอด ต่างกันด้วยหรือ?”
คนหนุ่มกล่าวอย่างจนใจ “คนหัวโล้นอยากพวกเจ้า อยู่ที่ไหนก็ชอบพูดจาเหลวไหลแล้วเรียกให้ฟังดูดีว่าเป็นปริศนาธรรมแบบนี้เสมอ ข้าชอบไม่ลงจริงๆ”
เขาชี้ไปยังกระท่อมที่ว่างเปล่า “มองดูเหมือนไม่มีอะไร แต่เจ้าก็ยังอยู่ในนี้ไม่ใช่หรือ”
ภิกษุชราถอนหายใจ “ประสกโจวเป็นคนฉลาด ไม่ว่าหลักการไหนก็เข้าใจหมด น่าเสียดายก็แต่ตัวเองไม่ยอมกลับใจ”
คนหนุ่มยังคงถอดรองเท้า ก้าวข้ามธรณีประตูมาแล้วก็นั่งแปะลงบนขอบประตู ยกแขนข้างหนึ่งชี้ไปยังสาวงามที่มีความงามเป็นเอกลักษณ์แตกต่างกันไปซึ่งรออยู่ด้านหลัง “หากพวกนางก็คือพระธรรมที่ข้าปรารถนา พระสงฆ์อย่างเจ้าจะโน้มน้าวข้าอย่างไร?”
ภิกษุชราสีหน้าขมฝาด “ใช้ปริศนาธรรมกับเจ๋อเซียนอย่างพวกเจ้าช่างเหนื่อยจริงๆ”
คนหนุ่มแสร้งพนมมือก้มหน้า ยิ้มตาหยีท่องคำว่าอมิตาภพุทธ
ใบหน้าที่เดิมทีก็แห้งเหี่ยวอยู่แล้วของภิกษุชรายิ่งยับย่น หัวคิ้วขมวดเป็นปม
หากเป็นพวกอันธพาลทั่วไปย่อมเข้ามาในวัดจินกังแห่งนี้ไม่ได้ ต่อให้เป็นผู้สูงศักดิ์หรือขุนนางของแคว้นหนันเยวี่ยนก็ยังหากระท่อมหลังนี้ไม่เจอ แต่คนหนุ่มที่มองดูเหมือนคนอายุสามสิบผู้นี้ ชื่อโจวเฝย
เขาคือปรมาจารย์ใหญ่ที่อยู่อันดับสี่ของใต้หล้า มีวรยุทธ์สูงส่งลึกล้ำ หากจะบอกว่าบรรลุสู่จุดสุดยอดแล้วก็ไม่เกินจริงเลยแม้แต่นิดเดียว อีกทั้งยังเชี่ยวชาญความรู้ทุกแขนงไม่ว่าจะเป็นพิณ หมากล้อม พู่กัน ภาพวาด
หญิงสาวและสตรีแต่งงานแล้วพวกนั้นชื่นชอบเขา เป็นเรื่องจริงแท้แน่นอน อาจจะมีบางคนที่แรกเริ่มจำใจด้วยถูกบีบบังคับ มีชายในดวงใจอยู่ก่อนแล้ว หรืออาจถึงขึ้นแต่งงานแล้ว กลายเป็นสตรีผู้ซื่อสัตย์ภักดีที่ให้ความช่วยเหลือสามีอบรมสั่งสอนบุตร ทว่ากลับถูกโจวเฝยหรือไม่ก็พวกลูกสมุนของตำหนักคลื่นวสันต์ลักพาตัวไปบนภูเขา แต่พออยู่ด้วยกัน บ้างก็เวลาสั้นๆ แค่ไม่กี่เดือน หรือยาวถึงสามห้าปี หรืออาจถึงหลายสิบปี สุดท้ายก็ไม่มีใครที่ไม่หวั่นไหวต่อความจริงใจของโจวเฝย
เดิมทีนี่ก็เป็นเรื่องประหลาดในยุทธภพที่ไม่มีเหตุผลมาอธิบายอยู่แล้ว
ยุทธภพระดับล่างมักจะชอบกล่าวถึง ‘ราชันย์บนภูเขา’ ของตำหนักคลื่นวสันต์ท่านนี้ว่าเป็นคนอัปลักษณ์ที่อ้วนฉุเหมือนหมู บ้างก็บอกว่าเขาเป็นพวกอำมหิตที่ฆ่าคนเป็นว่าเล่น แต่ในความเป็นจริงกลับไม่เป็นเช่นนั้น ไม่พูดถึงศัตรูคู่แค้นในยุทธภพ พูดถึงแค่หญิงสาวที่ถูกใจเขา โจวเฝยไม่เพียงแต่หล่อเหลาสง่างาม อีกทั้งหน้าตายังเป็นหนุ่มอยู่ตลอดเวลา
โจวเฝยเอ่ยยิ้มๆ “พ่อลูกสองคนจับมือกันบินทะยาน คุ้มค่าให้รอคอยมากเลยใช่หรือไม่?”
ภิกษุชราถอนหายใจ “ร่างทองที่วัดป๋ายเหอนั้น อันที่จริงก่อนหน้านี้อาตมาเอามาซ่อนไว้ที่นี่จริง เพียงแต่ว่าเมื่อประสกติงเผยกายในเมืองหลวงหลังจากผ่านไปหกสิบปี ก็รีบย้ายไปไว้ที่เมืองหลวงของแคว้นหนันเยวี่ยนทันที ประสกโจว เจ้ามาช้าไปแล้ว”
โจวเฝยจ้องนิ่งไปที่ดวงตาทั้งคู่ของภิกษุเฒ่า ครู่หนึ่งต่อมาก็เปลี่ยนหัวข้อถามว่า “ได้ยินว่าเมืองหลวงมีชุดสีเขียวชุดหนึ่งล่องลอยไปทั่ว คนตาเปล่ามองไม่เห็น ไต้ซือเฒ่า เจ้าเห็นหรือไม่?”
ไม่รอให้ภิกษุชราตอบคำถาม โจวเฝยก็หรี่ตาลง เพิ่มน้ำหนักเสียง “ข้าหวังว่าเจ้าจะเห็น!”
ไอสังหารแผ่อบอวล
ภิกษุชราเหมือนกำลังฝึกวิชาห้ามพูด แต่ก็อาจจะเป็นเพราะกำลังชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสีย
โจวเฝยผู้นี้ หากเปิดปากบอกว่าจะสังหารทุกคนในวัดจินกังให้เกลี้ยงย่อมต้องทำได้อย่างที่พูดแน่นอน ไม่มีทางเหลือเณรน้อยหรือพระกวาดพื้นไว้สักคนแน่ๆ
โจวเฝยหัวเราะเสียงดังกังวาน เก็บปราณสังหารเข้มข้นที่เหมือนจับต้องได้จริงกลับมาด้วยตัวเอง “อรหันต์ร่างทองและอาภรณ์บินทะยานของแคว้นหนันเยวี่ยน ชุดวิเศษคุ้มกันกายของแคว้นซงไล่ มีดปีศาจที่สามารถทำลายทุกคาถาอาคมของนอกด่าน หกสิบปีมานี้ บนโลกมีสมบัติปรากฏทั้งหมดสี่ชิ้น หากคนที่ได้มันไปครองเป็นหนึ่งในสิบคนอยู่แล้ว ฐานะก็ย่อมมั่นคงมากยิ่งขึ้น หากเป็นยอดฝีมือที่ขยับเข้าใกล้สิบอันดับก็จะเหมือนพยัคฆ์ติดปีก มีหวังว่าจะกำจัดคนน่าสงสารที่โชคร้ายบางคนออกจากสิบลำดับได้”
ดูเหมือนว่าภิกษุชราจะตัดสินใจได้แล้วจึงวางภาระทั้งหมดลง สีหน้าผ่อนคลายขึ้นเยอะมาก ถามโจวเฝยเหมือนชวนคุยเรื่องสัพเพเหระทั่วไป “ประสกโจว ที่บ้านเกิดของเจ้า ศาสนาพุทธได้รับความนิยมหรือไม่?”
โจวเฝยกระตุกมุมปาก “หากเป็นที่นั่นก็บอกได้ยาก”
ภิกษุชราถามอีกว่า “มีตำราบางเล่มบันทึกถ้อยคำบางส่วนที่เจ๋อเซียนอย่างพวกเจ้าเคยเอ่ยถึง บอกว่าผู้ที่บรรลุมรรคา สามารถเผาบึงใหญ่ให้มอดไหม้ หนึ่งหมัดต่อยให้ขุนเขาทลาย พ่นลมหายใจหนึ่งทีก็สามารถกลายเป็นกระบี่คนที่ตัดหัวคนซึ่งอยู่ห่างไกลเป็นพันลี้ ทะยานลมผ่านแม่น้ำและมหาสมุทรก็สามารถใช้มือข้างเดียวจับตัวเจียวหลง จริงหรือไม่?”
โจวเฝยกำลังจะตอบ
หญิงสาวชุดขาวคนหนึ่งพลันพลิ้วกายมาถึงด้านนอกของกระท่อม เอ่ยด้วยใบหน้าหวาดหวั่น “คุณชายได้รับบาดเจ็บที่ตรอกจ้วงหยวน”
โจวเฝยสีหน้าไม่สบอารมณ์ “ว่าไงนะ?”
หญิงสาวหน้าตางดงามแต่เย็นชาขยับปากจะพูดแต่ไม่ได้พูด นางทรุดตัวคุกเข่าดังตุ้บ สั่นเทิ้มไปทั้งร่าง
มุมปากโจวเฝยกระตุก ยื่นมือออกมากุมขมับช้าๆ “ลู่ฝ่างหนอลู่ฝ่าง เจ้าไม่เพียงแต่เป็นคนโง่เขลา ยังเป็นเศษสวะด้วย แม้แต่บุตรชายของข้าก็ปกป้องไม่ได้…”
ห้านิ้วของมือขาวนวลดุจหยกตรงหน้าผากจิกงอคล้ายตะขอ ราวกับอยากจะแหวกเปิดกะโหลกของตัวเอง
โจวเฝยเก็บมือมาตบลงบนหัวเข่าเบาๆ แล้วพลันสะบัดชายแขนเสื้อไปด้านหลัง
สตรีหน้าตางามเลิศล้ำที่คุกเข่าอยู่นอกกระท่อมเหมือนถุงขาดๆ ใบหนึ่งที่ปลิวกระเด็นออกไป ไม่รอให้ร่างสัมผัสพื้นก็ระเบิดย่อยยับอยู่กลางอากาศ หญิงสาวที่อยู่ด้านหลังนางรีบเบี่ยงหลบ แต่หลายคนก็ยังถูกเลือดเนื้อกระเด็นมาโดนเต็มร่าง ทว่ากลับไม่มีใครกล้าเผยสีหน้าไม่พอใจออกมา
“อาจจะไม่ใช่เรื่องร้ายเสมอไป” โจวเฝยพ่นลมหายใจหนักๆ เอ่ยยิ้มๆ ว่า “ไต้ซือเฒ่า พวกเรามาคุยกันต่อ คุยกันจบแล้วข้าค่อยกลับไปจัดการปัญหาเล็กๆ น้อยๆ ในบ้าน”
ภิกษุชราบื้อใบ้พูดไม่ออก
โจวเฝยเองก็ไม่ทำให้คนอื่นลำบากใจ ถามว่า “ได้รับบาดเจ็บได้อย่างไร?”
เพิ่งตระหนักได้ว่าหญิงสาวคนนั้นตายไปแล้ว โจวเฝยจึงยื่นมือข้างหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ ทำมุทราอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นลัทธิพุทธหรือลัทธิเต๋าในโลกก็ไม่เคยมีการบันทึกถึงท่ามุทรานี้มาก่อน
นอกห้องมีเรือนกายล่องลอยของหญิงสาวนางหนึ่งปรากฏอย่างเรือนราง แม้จะตายแล้วก็ยังเต็มไปด้วยความหวาดกลัว นางลอยเข้ามาใกล้โจวเฝยอย่างขลาดๆ ริมฝีปากขยับ แต่กลับไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมา
ทว่ากลับเห็นได้ชัดว่าโจวเฝยเป็นคนเดียวที่ ‘ได้ยิน’
ภิกษุชราถอนหายใจ
เหนือคนยังมีคน เหนือฟ้ายังมีฟ้า
บทที่ 313 อุบัติภัย
ProjectZyphon
โจวเฝยขยี้สองนิ้ว วิญญาณของหญิงสาวที่อยู่ตรงปลายนิ้วเขาก็รวมตัวกันกลายเป็นไข่มุกสีขาวหิมะเม็ดหนึ่งที่ถูกเขาเก็บไว้ในชายแขนเสื้อเบาๆ เงยหน้ามองภิกษุเฒ่าแห่งวัดจินกังอีกครั้งก็ไม่เหลือความผ่อนคลายเบาสบายเฉกเช่นก่อนหน้านี้ เขาพูดเข้าประเด็นโดยตรง “กลับมาพูดเรื่องอาภรณ์ตัวนั้น ข้ารู้ว่ามันเกี่ยวข้องกับเจ้า ด้วยเรื่องนี้จ้งชิวยังตั้งใจมาที่วัดนี้เพื่อพบเจ้าโดยเฉพาะ”
ทว่าภิกษุเฒ่ากลับยังไม่เต็มใจจะพูดเรื่องเป็นการเป็นงาน สายตาที่เต็มไปด้วยแววหวนระลึกความทรงจำมองไปยังผืนป่าเขียวชอุ่มนอกกระท่อม “อาตมามีศิษย์น้องคนหนึ่ง ตอนยังหนุ่มเคยฝึกพระธรรมด้วยกัน เขาบอกว่าทนเห็นเรื่องราวที่น่าเศร้าบนโลกใบนี้ไม่ได้มากที่สุด หากได้เห็น เขาก็อดคิดไม่ได้ทุกทีว่า เดิมทีโลกมนุษย์ก็มีศาสนาพุทธ แต่โลกมนุษย์กลับยังเป็นเช่นนี้ ต่อให้เขากลายเป็นอรหันต์ได้จริง แล้วจะอย่างไร? ภายหลังข้าออกจากวัดเล็กที่บ้านเกิดแห่งนั้น ไม่รู้ว่าตอนนี้ศิษย์น้อง…”
“ได้กลายเป็นอรหันต์แล้วหรือยัง?”
โจวเฝยข่มกลั้นโทสะในใจ ส่ายหน้าเบาๆ พลางเอ่ยเย้ยหยันว่า “สถานที่เล็กๆ เช่นนั้นจะกลายเป็นอรหันต์ที่แท้จริงได้อย่างไร ไต้ซือเฒ่า เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว”
ภิกษุชราส่ายหน้า “ข้าแค่อยากรู้ว่าศิษย์น้องยังมีชีวิตอยู่บนโลกหรือไม่ ผ่านมานานหลายปีขนาดนี้ ข้าคิดถึงโจ๊กที่ศิษย์น้องทำอย่างมาก”
โจวเฝยเตรียมจะลุกขึ้นยืน “ข้าไม่อยากเสียเวลาพูดจาวกไปวนมากับเจ้าแล้ว ข้าจะส่งเจ้าไปเอง ลงไปถามศิษย์น้องที่อยู่ด้านล่างด้วยตัวเองเถอะว่ายังทำโจ๊กเป็นหรือไม่”
ภิกษุชราสีหน้าเฉยเมย ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “หากข้าช่วยเอาร่างอรหันต์ทองคำในวังหลวงมาให้เจ้าโจวเฝยได้ เจ้าจะช่วยรับปากข้าเรื่องหนึ่งได้หรือไม่?”
โจวเฝยกลับลงไปนั่งอีกครั้ง รู้สึกสนใจไม่น้อย “ ‘ข้า’?”
ภิกษุชรายื่นมือมาลูบศีรษะที่โล้นเตียน กล่าวอย่างปลงอนิจจัง “ข้าไม่อยากเป็นพระสงฆ์แล้ว ตั้งแต่เด็กก็ถูกเอามาทิ้งไว้หน้าประตูวัด อาจารย์มีเมตตาจึงรับมาเลี้ยง ตอนนั้นอยู่กับศิษย์น้องสองคน วันๆ ก็คิดนู่นคิดนี่ไปเรื่อยเปื่อย แต่เรื่องที่คิดบ่อยที่สุดแท้จริงแล้วคืออยากลองหวีผมกับเขาบ้าง”
โจวเฝยกุมท้องหัวเราะก๊าก
ภิกษุชราปลดจีวรตัวนอกออก พับอย่างเป็นระเบียบแล้ววางไว้ด้านข้าง เอ่ยเบาๆ ว่า “ขอเจ้าโปรดช่วยนางหาวิธีที่จะทำให้หลุดพ้น อย่าให้ถูกกักอยู่ใน ‘สถานที่เล็กๆ’ แห่งนี้อีกเลย”
ชุดกระโปรงสีเขียวที่ชายแขนเสื้อกว้างสะบัดพลิ้วไหวตัวหนึ่งปรากฏกายอยู่ในมุมหนึ่งของห้อง
สาวงามทั้งหลายที่อยู่นอกกระท่อมปรนนิบัติโจวเฝยมานานหลายปี ความรู้จึงกว้างขวาง แต่พอได้เห็นชุดกระโปรงล่องลอยอยู่กลางอากาศกับตาตัวเองก็ยังอดรู้สึกตื่นตะลึงไม่ได้
ชุดกระโปรงลอยมาหยุดอย่างข้างภิกษุชรา ชายกระโปรงค่อยๆ ลดตัวสัมผัสพื้น สุดท้ายพอจะมองเห็นได้ว่าอยู่ในท่าคุกเข่าอย่างนอบน้อม
หลังจากที่ภิกษุชราถอดจีวรออกก็ไม่พิถีพิถันกับถ้อยคำที่ใช้อีกต่อไป “หลายปีมานี้รับผิดชอบหน้าที่เป็นพระผู้ต่อดวงประทีปและพระผู้อธิบายพระสูตร ผ่านมาปีแล้วปีเล่า บรรยายพระธรรมและถ้อยคำในพระไตรปิฎกนับพันนับหมื่นประโยคให้พวกเขาฟัง บุคคลหลากหลายรูปแบบ สามลัทธิเก้าสาขา พวกเขาฟังแล้วก็แค่ฟัง บนสนามรบยังคงมีสงคราม การฆ่าล้างแค้นในยุทธภพยังคงอยู่ หรือจะให้พระสงฆ์อย่างข้ายกมีดกำจัดความโหดร้ายเพื่อแลกมาด้วยความสงบสุข ใช้การฆ่าหยุดยั้งการฆ่าอย่างนั้นหรือ? จะให้เอามีดจ่อคอ บีบบังคับให้พวกเขาหันหน้าเข้าหาศาสนาพุทธ หันมากระทำความดี?”
ชุดกระโปรงยกแขนเสื้อข้างหนึ่งขึ้นมาปิดเหนือคอเสื้อ ทำท่าเหมือนคนกำลังปิดปากหัวเราะ
ภิกษุชราจ้องมองโจวเฝย “ทำได้หรือไม่?”
โจวเฝยไม่ได้รีบให้คำตอบ ภิกษุชราแห่งวัดจินกังที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้คืออริยะแห่งศาสนาพุทธของฟ้าดินแห่งนี้ เชี่ยวชาญการเขียนตัวอักษรขนาดใหญ่ ตัวอักษรดุจวัชระ พลังอำนาจเปี่ยมล้น
โจวเฝยถอนหายใจ “คนซื้อขายต้องมีความจริงใจให้กัน ภิกษุชราอย่างเจ้าไม่รู้จริงๆ หรือว่าเมื่อได้โชควาสนาที่ถูกกำหนดมาประเภทนี้แล้วก็จะไปจากสถานที่แห่งนี้ได้?”
ภิกษุชราหันหน้าไปมองกระโปรงสีเขียว กล่าวอย่างจนใจ “แต่นางไม่เหมือนกันนี่นา”
แม้ว่าโจวเฝยจะเป็นเจ๋อเซียนที่สติปัญญาเปิดกว้างมานานมากแล้ว แต่ก็ไม่กล้าพูดว่าตัวเองรู้กฎเกณฑ์ทุกอย่าง เพราะถึงอย่างไรก่อนที่จะลงมายังโลกมนุษย์ก็ต้องเจอเวทลับตระกูลเซียนบางอย่างที่พันธนาการจิตวิญญาณอย่างแท้จริงมาไม่น้อย
หอจิ้งซิน วัดจินกัง หอจิ้งหย่าง
ผู้นำของสามสถานที่นี้ เมื่อผ่านเคราะห์กรรมและการตกตะกอนมาครั้งแล้วครั้งเล่า ก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะรู้น้อยกว่าเขา
ภิกษุชราคลี่ยิ้ม “ประสกโจวถามคำถามเช่นนี้ได้ ข้าก็วางใจได้อย่างเต็มที่แล้ว”
โจวเฝยพูดพึมพำกับตัวเอง “สำหรับข้าแล้ว สถานการณ์ที่ดีที่สุด แน่นอนว่าคือการพาโจวซื่อจากไปด้วยกัน แต่หากมีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้นล่ะ อย่างเช่นสถานการณ์ในตอนนี้ โจวซื่อถูกคนทำร้ายบาดเจ็บสาหัส แทบจะไม่มีโอกาสจับปลาน้ำขุ่นแอบแทรกเข้าไปในสิบอันดับได้แล้ว ข้าก็จำเป็นต้องแน่ใจว่าเมื่อตัวเองจากไปแล้ว อีกหกสิบปีให้หลัง โจวซื่อจะมีความมั่นใจเพิ่มมากขึ้น โจวซื่อ ยาเอ๋อร์ ฝานกว่านเอ่อร์ คนเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นใคร เมื่อไปเยือนฟ้าดินที่กว้างใหญ่ยิ่งกว่า ขอแค่มีคนยินดีดูแลพวกเขา พวกเขาย่อมสามารถปลดปล่อยประกายเจิดจ้า สร้างความรุ่งโรจน์ได้อย่างแน่นอน”
กล่าวมาถึงตรงนี้ โจวเฝยก็แสดงความแค้นเคืองอย่างยากจะปิดบัง “ลู่ฝ่างเจ้าคนโง่เง่า ทั้งๆ ที่มองออกแล้ว แต่กลับไม่เคยใคร่ครวญให้กระจ่างอย่างแท้จริง ข้าผู้อาวุโสจะไปหาอาจารย์แม่ ศิษย์พี่หญิง ศิษย์น้องหญิงอะไรให้เขาจากไหนได้อีก! ปีนั้นยังมีหน้าเอากระบี่มาทิ่มข้าได้ลงคอ…”
ภิกษุชราเงยหน้ามองมา
โจวเฝยพลันยกมือข้างหนึ่งขึ้น ระหว่างร่องนิ้วก็มีจดหมายฉบับหนึ่งเพิ่มขึ้นมา
ก้มหน้าลงอ่านเนื้อหาภายในแล้วโจวเฝยก็หัวเราะเสียงดังก้อง “สวรรค์ช่วยข้าแท้ๆ”
เขาหันหน้าไปมองโฉมสะคราญที่มีความงามแตกต่างกันออกไปแล้วในใจก็ทอดถอนใจไม่หยุด รู้สึกเสียดายอย่างสุดซึ้ง ไม่พูดถึงถงชิงชิงคนบนเส้นทางเดียวกันที่ไม่ต้องคาดหวังให้เปลืองแรง พูดถึงแค่โจวซูเจินฮองเฮาแคว้นหนันเยวี่ยน ฝานกว่านเอ่อร์แห่งหอจิ้งซินและยาเอ๋อร์แห่งลัทธิมาร แค่สามคนนี้ ต่อให้พรสวรรค์ด้านการฝึกยุทธ์ของหญิงสาวทั้งหลายที่อยู่ตรงหน้าจะดีแค่ไหน ก็ยังห่างชั้นกับพวกนางไกลโขนัก
……
เว่ยเหยี่ยนรัชทายาทแคว้นหนันเยวี่ยนที่สวมชุดลำลองพาคนสองคนเดินลอดผ่านระเบียงของตำหนักองค์รัชทายาทไปด้วยกัน คนหนึ่งในนั้นคืออาจารย์ผู้มีพระคุณของเขา ผู้เฒ่ามีร่างเล็กเตี้ยเหมือนลิงผอมแห้ง ทว่าเขากลับเป็นปรมาจารย์ผู้ฝึกยุทธ์ที่มีชื่อเสียงของใต้หล้าในปัจจุบัน
อีกคนหนึ่งก็คือฝานกว่านเอ่อร์เทพีผู้ได้รับความเลื่อมใสจากเหล่าชาวยุทธ์แคว้นหนันเยวี่ยน เทพธิดาที่มาจาหอจิ้งซินอันเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของยุทธภพ
สีหน้าของเว่ยเหยี่ยนแปลกประหลาด ค่อนข้างจะกระอักกระอ่วน แต่ที่มากกว่านั้นกลับเป็นความรู้สึกโชคดี เพียงแต่ว่ามีอาจารย์อยู่ด้วย เขาจึงไม่กล้าแสดงออกชัดเจนนัก
ผู้เฒ่าที่เป็นผู้ถ่ายทอดวรยุทธ์อันเลิศล้ำให้แก่เว่ยเหยี่ยนกล่าวอย่างขุ่นเคือง “เจ้าตัวดี หลบอยู่ใต้เปลือกตาของข้ามานานหลายปีโดยที่ข้าไม่เคยสังเกตเห็น ไหนๆ ก็จะเจอหน้ากันแล้ว ข้าก็อยากจะขอดูความสามารถแท้จริงของสิบผู้ยิ่งใหญ่แห่งใต้หล้าดูสักหน่อย ราชครูจ้งคือวีรบุรุษที่หาได้ยากในโลก ข้านับถือมาโดยตลอด แต่ข้าไม่เชื่อหรอกว่าพ่อครัวที่ก่อไฟทำกับข้าวคนหนึ่งจะร้ายกาจได้สักแค่ไหน!”
ผู้เฒ่าสบถด่าเสียงดังโฉงเฉง
ที่แท้รายชื่อสิบผู้ยิ่งใหญ่แห่งใต้หล้าฉบับใหม่ล่าสุดที่ออกโดยหอจิ้งหย่างได้ระบุชื่อแซ่ ที่อยู่ ระดับความสูงต่ำของวรยุทธไว้ด้วยคร่าวๆ พวกติงอิง อวี๋เจินอี้ล้วนเป็นคนหน้าเก่าแล้ว ทว่าคนหนึ่งในนั้นเหมือนโผล่ออกมากะทันหัน อีกทั้งยังเก็บซ่อนตัวตนอย่างมิดชิด เขาอยู่ในตำหนักองค์รัชทายาทแคว้นหนันเยวี่ยน สถานะคือพ่อครัวคนหนึ่ง
ผู้เฒ่าร่างสูงใหญ่ที่ทั่วร่างเต็มไปด้วยกลิ่นควัน กลิ่นเกลือ กลิ่นน้ำมันกำลังแอบอู้งาน เขานั่งอยู่ด้านนอกห้องครัวที่เป็นระเบียบเรียบร้อย สะอาดสะอ้านไม่มีฝุ่นเกาะสักเม็ด ในมือถือถั่วเหลืองคั่วสีทองอร่ามหนึ่งกำมือใหญ่ โยนเข้าปากทีละเม็ด ด้านในพวกลูกศิษย์หลานศิษย์ที่เขาอบรมสั่งสอนมาเองกับมือกำลังง่วนอยู่กับการเตรียมมื้อกลางวันของวันนี้
พ่อครัวเฒ่าเห็นเงาร่างของรัชทายาทเว่ยเหยี่ยนแล้วก็ถอนหายใจ ใบหน้าแก่ชรายับยู่ อยากจะหาความสงบบ้างไม่ได้เลยจริงๆ
เว่ยเหยี่ยนไล่พวกพ่อครัวและสาวใช้ที่ไม่เกี่ยวข้องออกไป พ่อครัวเฒ่าก็ไม่ได้ห้ามปราม ยังคงนั่งยองอยู่ที่เดิม ทอดถอนใจเฮือกๆ เหมือนยอมรับชะตากรรม
ผู้เฒ่าร่างเล็กเตี้ยที่ก่อนหน้านี้ยังโมโหเกรี้ยวกราด พอได้เจอกับปรมาจารย์ที่อยู่ในรายชื่อผู้นี้เข้าจริงๆ ท่าทางดุดันหมายจะซักไซ้เอาความผิดก็พลันหายไป กลายมาเป็นเงียบงัน จ้องตาแก่ที่เป็นผู้มีฝีมือซึ่งซ่อนตัวอยู่ในราชวงศ์ผู้นี้เขม็ง
ทว่าพ่อครัวเฒ่ากำลังเหล่ตามองฝานกว่านเอ่อร์อยู่ตลอดเวลา มองเร็วๆ แวบหนึ่งก็ดึงสายตากลับ แต่เหมือนจะอดใจไม่ไหวจึงมองไปอีกครั้ง ขนาดฝานกว่านเอ่อร์เองยังรู้สึกประหลาดใจ
เว่ยเหยี่ยนบ่นในใจ หรือว่าคนผู้นี้เป็นพวกเฒ่าหัวงูอย่างนั้นรึ?
สิบผู้ยิ่งใหญ่แห่งใต้หล้าในแต่ละยุคสมัย นอกจากโจวเฝยแห่งตำหนักคลื่นวสันต์และถงชิงชิงที่เป็นผู้หญิงแล้ว อันที่จริงกลับไม่มีใครให้ความสนใจสาวงามบนโลกมนุษย์มานานแล้ว
ทว่าประโยคแรกของพ่อครัวเฒ่าทำให้ทุกคนตกใจกันอย่างมาก “พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ๋อเซียนแบ่งออกเป็นกี่ประเภท?”
เว่ยเหยี่ยนและผู้เฒ่าร่างผอมแห้งหันมามองหน้ากัน
ส่วนฝานกว่านเอ่อร์ที่เนื่องจากมาจากหอจิ้งซินจึงพอจะรู้เรื่องวงในอยู่บ้าง
พ่อครัวเฒ่าคีบถั่วเหลืองคั่วเม็ดหนึ่งโยนใส่ปาก “ใต้หล้านี้เหลือแค่อาหารอร่อย ก็อย่าทำให้มันผิดหวังเลย หากแม้แต่สิ่งนี้ยังถูกแย่งชิงไป ถ้าอย่างนั้นข้าก็…ก็คงเป็นได้แค่ผีขี้เหล้าเท่านั้น!”
พ่อครัวเฒ่าไม่มองฝานกว่านเอ่อร์อีก โยนถั่วเหลืองคั่วอีกครึ่งหนึ่งที่เหลือใส่ปากจนหมด ปัดมือลุกขึ้นยืน “เจ๋อเซียนลงมาโลกมนุษย์เพื่อหาประสบการณ์จากชีวิตความเป็นไปในทางโลก ประเภทหนึ่งก็คือคนอย่างโจวเฝยและเฝิงชิงป๋ายที่รู้และเข้าใจตัวเองมาตั้งแต่แรก รู้ว่ามาเยือนโลกมนุษย์เพราะต้องการสิ่งใด ดังนั้นไม่ว่าการกระทำของพวกเขาจะดูน่าตะลึงพรึงเพริดในสายตาของพวกเราแค่ไหน ทว่าในสายตาของพวกเขาแล้วกลับเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลตามหลักฟ้าดิน แต่ว่าสิ่งที่เจ๋อเซียนประเภทนี้ต้องการกลับไม่ลึกซึ้งนัก อีกคนหนึ่งก็คือบรรพบุรุษหอจิ้งซินของเจ้าอย่างถงชิงชิงที่เหมือนกำลังหลบเลี่ยงอะไรบางอย่าง”
“ประเภทที่สองก็คือคนอย่างลู่ฝ่าง สติปัญญาถูกเปิดค่อนข้างช้า แต่สักวันจะต้องถูกปลุกขึ้นมาท่ามกลางสถานการณ์ที่คับขันบางอย่าง”
“มีอีกประเภทหนึ่งซึ่งเป็นแค่การคาดเดาของข้าเท่านั้น พวกเขาจะต้องทำตามสิ่งที่ใจปรารถนาไปชั่วชีวิต เป็นเหตุให้ไม่อาจตื่นขึ้นมาได้ มีชีวิตอย่างสับสนเลอะเลือน ผ่านไปชาติแล้วชาติเล่า นานวันเข้าบ้านเกิดกลายเป็นมาตุภูมิ ต่างถิ่นกลับกลายมาเป็นบ้านเกิด คนประเภทนี้จะค่อนข้างพิเศษ พวกเขามักจะมีรูปโฉมที่โดดเด่น พรสวรรค์ในการฝึกวรยุทธ์สูงมาก แต่ในสายตาของคนภายนอก ความสำเร็จมักจะอยู่ห่างจากพวกเขาไกลที่สุด ทุกครั้งที่ใกล้จะสำเร็จก็มักจะเหมือนขาดอยู่อีกแค่นิดเดียวเท่านั้น”
พ่อครัวเฒ่าหันมาจ้องฝานกว่านเอ่อร์อีกครั้ง “แต่บางครั้งก็เลี่ยงไม่ได้ที่บนร่างของคนประเภทนี้จะมีกลิ่นอายของการ ‘ไม่สอดคล้องกฎเกณฑ์’ บางอย่าง เฉกเช่นคำเรียกขานว่า ‘เกิดจิตมาร’ ‘ผีเข้าสิงร่าง’ ของพวกชาวบ้านร้านตลาด ซึ่งมีจำนวนหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับเรื่องพวกนี้ นังหนู ช่วงนี้เจ้ารู้สึกบ้างหรือไม่ว่ามีเรื่องประหลาดเกิดขึ้นกับตัวเอง?”
ฝานกว่านเอ่อร์ลังเลอยู่ชั่วครู่ก็พยักหน้ารับ “มีอยู่สองครั้ง”
พ่อครัวเฒ่าผงกศีรษะ ยิ้มตาหยี “มารเฒ่าติงร้ายกาจจริงๆ บนโลกนี้ไม่มีใครที่สังหารไม่ได้ บนโลกนี้ไม่มีใครที่ให้อภัยไม่ได้ ไม่ได้ด้อยไปกว่าเจ้าคนบ้าของปีนั้นเลย แถมยังฉลาดขึ้นด้วย ข้าว่าคราวนี้เขาน่าจะสมใจปรารถนา อวี๋เจินอี้คิดจะปกป้องโลกมนุษย์แถบนี้ ในสายตาของข้าก็ร้ายกาจมากเหมือนกัน แต่ในสายตาของคนบางคนเกรงว่าคงเป็นแผนการที่เล็กไปหน่อย กลับเป็นจ้งชิวราชครูที่ถูกอวี๋เจินอี้กดข่มมาตลอดเวลาต่างหาก เมื่อหลายปีก่อนเขาท่องไปทั่วภูเขาแม่น้ำสี่แคว้นและพื้นที่รกร้างกันดารแปดทิศเพียงลำพัง ข้าว่าเขาน่าจะได้ดิบได้ดีมากกว่า”
พ่อครัวเฒ่าถอนหายใจ “ส่วนข้าน่ะหรือ พูดมากทำมาก ผิดก็มาก ไม่สนใจไม่ใคร่รู้ก็เท่ากับรอความตาย ก่อนหน้านี้ยังคิดจะทรมานต่อเองอีกสักหน่อย แต่ยิ่งเป็นช่วงหลัง ยิ่งได้เห็นมากเท่าไหร่ก็ยิ่งไม่มีกำลังใจมากเท่านั้น สถานการณ์วุ่นวายในครั้งนี้ มารร้ายติงกับอวี๋เจินอี้คือศัตรูคู่อาฆาต มีพวกเขาสองคนจับตามองอยู่ คราวนี้ไม่ว่าใครก็ตามที่อยู่บนรายชื่อล้วนไม่มีทางหนีได้พ้น ส่วนข้าน่ะหรือ เจ๋อเซียนคืออะไรกันแน่ ข้าไม่อยากรู้มานานแล้ว คิดแค่ว่าหากยังมีชีวิตอยู่ต่อได้อีกสักยี่สิบสามสิบปีก็พอใจมากแล้ว ดังนั้น…”
พ่อครัวเฒ่าพลันลงมือ สองนิ้วประกบกันเป็นท่ามุทรากระบี่ แทงทะลุไปยังช่องโพรงต่างๆ ที่สำคัญของตัวเอง ทันใดนั้นเลือดสดก็ไหลนอง ลมปราณที่หากอยู่ในสายตาของอวี๋เจินอี้หรือเฉินผิงอันที่เป็น ‘เจ๋อเซียน’ ก็แทบจะใกล้เคียงกับคำว่า ‘สอดคล้องมรรคา’ พลันแหลกสลายในชั่วพริบตา ปรมาจารย์ขั้นสูงสุดของใต้หล้าแห่งนี้ร่วงดิ่งลงมาตลอดทาง กลายมาเป็นยอดฝีมือที่ยังเป็นรองผู้เฒ่าร่างผอมเหมือนลิงอีกหนึ่งระดับ เขาเลือกที่จะถอนตัวออกจากสถานการณ์วุ่นวายที่คลื่นลมมรสุมกำลังพัดกระหน่ำครั้งนี้ด้วยตัวเอง
พ่อครัวเฒ่าหน้าซีดขาว แต่กลับยิ้มอย่างปล่อยวาง ถามรัชทายาทเว่ยเหยี่ยนว่า “ตำหนักองค์รัชทายาทกว้างใหญ่ถึงเพียงนี้ เลี้ยงคนแก่ไร้ประโยชน์คนหนึ่งไว้สักยี่สิบสามสิบปีคงไม่มีปัญหากระมัง? แน่นอนว่าหากต้องการให้ข้าออกแรงเมื่อไหร่ องค์ชายก็ตรัสมาได้เลย”
เว่ยเหยี่ยนพยักหน้ารับ “ท่านแค่รักษาตัวอยู่ในตำหนักให้สบายใจก็พอ ข้าไม่มีทางมารบกวนการฝึกตนอย่างสงบของท่านอย่างส่งเดชแน่นอน”
……
บนยอดเขากู่หนิว โจวซูเจินที่เพิ่งเดินมาถึงตีนเขาก็ต้องย้อนกลับไปทางเดิมอีกครั้งถือจดหมายลับฉบับหนึ่งไว้ในมือ ยื่นส่งให้อวี๋เจินอี้ด้วยรอยยิ้มฝาดเฝื่อน
อวี๋เจินอี้รับมา อ่านเนื้อหาบนจดหมายแล้วก็ขมวดคิ้วถาม “เกิดอะไรขึ้น?”
โจวซูเจินกล่าวอย่างจนใจ “ต้องมาจากหอจิ้งหย่าง แต่ไม่มีทางเป็นฝีมือของหอจิ้งหย่างข้าแน่”
อวี๋เจินอี้เงยหน้ามองม่านฟ้า
เมื่อยืนอยู่ในตำแหน่งที่สูงมากพอ เทพมองภูเขาและแม่น้ำ โลกมนุษย์เป็นดั่งภาพธารดวงดาวที่ยิ่งใหญ่ เพียงแต่ยากที่จะมองไปเห็นรายละเอียดของคนคนหนึ่งได้อย่างชัดเจน
สำหรับเรื่องนี้อวี๋เจินอี้เข้าใจได้อย่างลึกซึ้ง
ยกตัวอย่างเช่นในสายตาของเขามองเห็นมารเฒ่าติง เฉินผิงอัน ลู่ฝ่างที่อยู่ในตรอกจ้วงหยวน ประกายแสงของสามคนนี้โดดเด่นสะดุดตา
ห่างออกไปไกลกว่านั้นก็เช่นในวัดจินกังที่มีอยู่สองจุด ตำหนักองค์รัชทายาทมีสี่จุด ทว่าจุดที่สว่างที่สุดกลับหม่นหมองลงอย่างฉับพลัน
การมองไกลเช่นนี้ไม่จำเป็นต้องเผาผลาญปราณวิญญาณที่อวี๋เจินอี้สั่งสมมานานปี แต่หากอวี๋เจินอี้คิดจะมองคนบางคน ‘ใกล้ๆ’ อย่างละเอียดก็ต้องจ่ายค่าตอบแทนไม่น้อย
……
บ้านหลังที่อยู่ใกล้กับตรอกจ้วงหยวน มารเฒ่าติงที่บนศีรษะสวมกวานดอกบัวสีเงินพลันได้รับจดหมายลับฉบับหนึ่งที่มาจากหอจิ้งหย่าง
อ่านมาถึงช่วงท้าย ดวงตาของผู้เฒ่าพลันเป็นประกาย
มีเรื่องดีๆ แบบนี้ด้วยรึ?
ต่อให้เป็นติงอิงก็ยังรู้สึกหวั่นไหว
เขาชำเลืองตามองเฉาฉิงหล่างแล้วจุ๊ปากพูด “เจ้าเด็กน้อย เจ้านี่มันโชคดีไม่เบา!”
แสดงว่าคนต่างถิ่นคนนั้นต้องถูกใครผลักลงหลุมอย่างโหดเหี้ยมแน่นอน ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ชักนำให้เกิดการล้อมโจมตีครั้งใหญ่ขนาดนี้ได้
ในประวัติศาสตร์ที่ติงอิงรู้มา ทุกๆ ระยะเวลาหกสิบปีแทบไม่เคยมีใครสอดมือเข้ามาอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้มาก่อน ไม่เคยมีเจ๋อเซียนท่านไหนถูกคนโจมตีหนักขนาดนี้
บทที่ 314 บังคับกระบี่
ProjectZyphon
ไม่ว่าความตั้งใจเดิมของแต่ละฝ่ายจะคืออะไร คนสามกลุ่มที่รุมล้อมโจมตีเฉินผิงอันตอนนี้มีเจ็ดคนที่เป็นยอดฝีมือชื่อเสียงเลื่องลือในยุทธภพ สามคนในนั้นอย่างหม่าเซวียนจินกังชมพู สตรีอุ้มผีผาและยาเอ๋อร์แห่งลัทธิมารได้ออกไปจากเส้นทางสายนี้แล้ว
เฝิงชิงป๋ายที่ท่องไปทั่วหล้าด้วยตัวตนของจอมยุทธ์คือคนบ้าคนหนึ่ง เพื่อให้ถึงเป้าหมาย เขาไม่เลือกวิธีการ ทำลายกำแพงลอบโจมตี ไม่เพียงแต่ไม่สามารถแทงให้เฉินผิงอันตายด้วยกระบี่เดียว กลับยังต้องชดใช้ด้วยชีวิตเกินครึ่งของยาเอ๋อร์
สาวงามรองเท้าเกี๊ยะที่มีหวังว่าจะได้ใช้ตัวตนของสตรีสืบทอดตำแหน่งเจ้าลัทธิมาร จนถึงตอนนี้ก็ยังหมุนตัวกลับมาไม่ได้ ใบหน้าข้างหนึ่งแนบกับพื้นถนนเย็นเยียบ เล็บมืองดงามของมือเรียวบางขาวดุจหยกข้างหนึ่งครูดกับหินเขียวเบาๆ สายตาจ้องมองหนุ่มปักบุปผาโจวซื่อ แววตาเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและวิงวอนขอร้อง
แม้ว่าก่อนหน้านี้ตอนที่ให้โจวซื่อรับปากว่าจะไม่ปล่อยให้นางต้องมาตายอยู่ที่นี่จะเป็นเพียงคำพูดล้อเล่น แต่สุดท้ายเขาก็ยอมตอบรับ ทว่าทำไมถึงไม่ยอมลงมือเสียที?
หนุ่มปักบุปผาโจวซื่อไม่มีความละอายใจใดๆ ซ้ำยังมองประสานสายตากับนางและผงกศีรษะให้เบาๆ
ลู่ฝ่างยังไม่ลงมือ
ใบหน้ายิ้มที่ผลุบโผล่ลับๆ ล่อๆ ประมือกับเฉินผิงอันแล้วก็ยังไม่ได้เปรียบเลยแม้แต่นิดเดียว
ลูกประคำสีแดงก่ำที่โจวซื่อถือไว้ในมือถูกขยับเคลื่อนเบาๆ “ตอนนี้ในบรรดาคนที่ยืนอยู่ ข้าโจวซื่อเป็นตัวถ่วงมากที่สุด แต่หลังจากนี้ข้ารับรองว่าตัวเองจะออกแรงเต็มที่เพื่อรับมือกับคนผู้นี้ ท่านลู่ ใบหน้ายิ้ม เฝิงชิงป๋าย วันนี้พวกเราจะโยนอคติทิ้งแล้วร่วมมือกันรับมือกับศัตรูได้หรือไม่?”
ใบหน้ายิ้มคลี่ยิ้มน่าสะพรึงกลัว พยักหน้ารับ “ไม่ว่าสุดท้ายจะเป็นใครที่ได้สังหารคนผู้นี้ ข้าต้องการความสามารถเดียวบนร่างของเขา นั่นก็คือวิชาเซียนย่อพื้นที่ หากไม่ได้มา ค่าตอบแทนต้องเป็นอย่างอื่น”
เฝิงชิงป๋ายมองเฉินผิงอันด้วยสายตาเร่าร้อน “กระบี่สุดท้ายที่ปลิดชีพเขา ต้องมาจากข้าเท่านั้น ส่วนสมบัติบนร่างเขา ข้าไม่เอาแม้แต่ชิ้นเดียว สมบัติอาคมชิ้นที่จะได้หลังจากสังหารเจ๋อเซียน ข้าก็จะมอบให้เช่นกัน พวกเจ้าจะแบ่งกันอย่างไรก็ตัดสินใจกันเองเถอะ”
โจวซื่อมองยาเอ๋อร์ที่ลมหายใจรวยรินแวบหนึ่งแล้วยิ้มพูดว่า “ข้าต้องการแค่นาง”
ลู่ฝ่างเอ่ยสรุปเป็นคนสุดท้าย “ถ้าอย่างนั้นก็เอาตามนี้”
เฝิงชิงป๋ายวางกระบี่ขวางไว้เบื้องหน้า งอนิ้วดีดตัวกระบี่เบาๆ ยกยิ้มมีเลศนัย “เซียนกระบี่ลู่ ท่านผู้อาวุโสอย่าได้นิ่งดูดายอยู่อีกเลย ระวังขโมยไก่ไม่สำเร็จแล้วยังเสียข้าวสารอีกหนึ่งกำมือ สุดท้ายพวกเราทุกคนอาจกลายมาเป็นหินลับมีดบนวิถีวรยุทธ์ให้กับคนผู้นี้ ในฐานะที่ท่านเป็นยอดฝีมือที่สมควรลงมือที่สุดในบรรดาพวกเรา หากยังทำตัวหลบๆ ซ่อนๆ ใช้ชีวิตพวกเราเป็นการหยั่งเชิงตื้นลึกหนาบางของอีกฝ่าย ข้าไม่เต็มใจจะเล่นด้วยหรอกนะ อย่างมากก็ไม่เข้าร่วมเรื่องเละเทะครั้งนี้ พวกเจ้าจะเป็นยังไงก็เรื่องของพวกเจ้า”
ลู่ฝ่างเอ่ยยิ้มๆ “วางใจได้เลย”
พูดประโยคนี้จบ เซียนกระบี่แห่งยอดเขาเหนี่ยวคั่นที่เดิมทีใช้ฝ่ามือดันด้ามกระบี่ก็เปลี่ยนมาเป็นกุมกระบี่ ชัก ‘ต้าชุน’ (ชื่อต้นไม้ชนิดหนึ่งในสมัยโบราณ) ออกจากพื้นดินพร้อมกันทั้งฝักและกระบี่
นักเวทตระกูลเซียนเคยเขียนบันทึกไว้ในตำราว่า ยุคบรรพกาลมีต้นไม้ชนิดหนึ่งชื่อต้าชุน แปดพันปีของมันคือหนึ่งฤดูใบไม้ผลิ อีกแปดพันปีของมันคือหนึ่งฤดูใบไม้ร่วง เมื่อออกผล คนธรรมดากินเข้าไปสามารถคว้าแสงเงินแสงทองบินทะยาน
เฉินผิงอันสั่งสมพลังเตรียมรับมือเงียบๆ อยู่ตลอดเวลา อีกอย่างเขาก็ยังต้องปรับตัวกับสภาวะที่ไม่มีชุดคลุมจินหลี่พันธนาการด้วย
ตอนที่ผู้เฒ่าแซ่ชุยถ่ายทอดวิชาหมัดให้ กระบวนท่าไอเมฆเหนือบึงใหญ่หรือกระบวนท่าม้าเหล็กทะลวงขบวนรบยังพูดง่าย เพราะต่างกันแค่ที่ออกหมัดหนักหรือเบา แต่กระบวนท่าหมัดอย่างเทพตีกลองสายฟ้า หากพลาดไปนิดเดียวก็อาจผิดเป็นโยชน์ อีกทั้งยังต้องคอยระวังลู่ฝ่างอยู่ตลอดเวลา เฉินผิงอันจึงจำเป็นต้องกะพลังของทุกหมัดให้ดี
นี่คือขั้นสูงสุดของวิชาหมัดนับตั้งแต่ที่เฉินผิงอันได้เรียนวรยุทธ์มา ไม่ว่าจะเป็นร่างกาย จิตวิญญาณหรือจิงชี่เสินก็ล้วนเป็นเช่นนี้
“มาแล้ว ระวังล่ะ”
ลู่ฝ่างเอ่ยเตือนทุกด้วยรอยยิ้มบางๆ “เจ้านี่ก็จริงๆ เลยนะ ก่อนจะลงมือไม่รู้จักบอกกล่าวกันสักคำ ไม่มีมาดของปรมาจารย์เอาซะเลย”
เวลาเดียวกันนั้นเขาก็บิดข้อมือ เป็นครั้งแรกที่ลู่ฝ่างกุมด้ามกระบี่อย่างจริงจัง หลังจากที่จับกระบี่ซึ่งมีชื่อว่าต้าชุนแล้ว เนื่องจากปราณกระบี่ทั่วร่างของลู่ฝ่างเปี่ยมล้นเกินไป ต่อให้จงใจกดกำราบเก็บเอาไว้ภายในก็ยังไหลแผ่ออกมาด้านนอกไม่หยุด เป็นเหตุให้อาภรณ์ของเขาโบกสะบัดทั้งที่ไม่มีลม โดยเฉพาะชายแขนเสื้อของมือข้างที่กุมด้ามกระบี่ที่มีปราณกระบี่เอ่อท้น จึงกระเพื่อมไม่หยุด ชายแขนเสื้อเปิดอ้า ด้านในมีเสียงฮี้ๆ ดุจเสียงม้าร้องดังลอยมา
ชั่วขณะนั้นหัวใจของใบหน้ายิ้มหดรัดตัว ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ใช้เวทลับจากตำราไม่สมบูรณ์แบบของตระกูลเซียนที่ได้มาโดยบังเอิญ ร่ายวิชาฉีเหมินตุ้นเจี่ยที่ลี้ลับสุดจะหยั่ง เคลื่อนที่จากทิศตะวันออกไปยังทิศเหนือในชั่วพริบตา เพียงแต่ว่าไม่ทันรอให้ใบหน้ายิ้มสังเกตเห็นเงาร่างของเฉินผิงอัน พายุหมัดก็พุ่งปะทะเข้ามาตรงหน้าเขาแล้ว ใบหน้ายิ้มรู้สึกปวดแสบปวดร้อนวูบวาบ
แสงกระบี่เส้นหนึ่งพลันพุ่งมาขวางไว้ระหว่างพายุหมัดกับศีรษะของใบหน้ายิ้ม
คมกระบี่ที่คมกริบวางขวางอยู่เบื้องหน้า ในสายตาของใบหน้ายิ้มเห็นเป็นคล้ายเส้นใยสีขาวหิมะเส้นหนึ่ง
หมัดนั้นถูกคมกระบี่สกัดกั้น เป็นเหตุให้ใบหน้ายิ้มมีโอกาสถอนตัว ร่างของเขาหายวูบไปหลายครั้ง ถอยแล้วถอยอีกถึงหลุดพ้นความรู้สึกบีบคั้นที่ทำให้คนหายใจไม่ออกนั้นมาได้
นับตั้งแต่ที่ใบหน้ายิ้มเริ่มเดินในวงการแห่งการต่อสู้ ห้อตะบึงอยู่ในยุทธภพมาสามสิบปี เดิมทีเขาชอบให้ศัตรูของตัวเองเป็นปรมาจารย์วิชาหมัดนอกมากที่สุด เพราะจะรุกหรือถอยก็ได้ดังใจปรารถนา หยอกเย้าให้พวกปรมาจารย์ที่กระโดดพลิกตัวตีลังกาอย่างงุ่มง่ามพวกนั้นหัวหมุน เห็นอีกฝ่ายเป็นดั่งสุนัขที่ถูกตนจูงเดิน และนี่ก็เป็นที่มาของฉายา ‘ผีรังควาน’ ของใบหน้ายิ้ม ผู้อาวุโสหลายท่านที่มีชื่อเสียงด้านการฝึกวิชาเหิงเลี่ยนก็เคยถูกใบหน้ายิ้มที่ปรากฏตัวอย่างลึกลับเผาผลาญพลังจนตายทั้งเป็น
นี่เป็นครั้งแรกที่ใบหน้ายิ้มได้เจอยอดฝีมือวิชาหมัดที่วิ่งเก่งกว่าตน
ในใจใบหน้ายิ้มรู้ดีว่าเฝิงชิงป๋ายช่วยเหลือตนหนึ่งครั้ง สองครั้ง ก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะมีครั้งที่สาม จึงไม่คิดจะเก็บออมฝีมืออีกต่อไป ระหว่างที่ถอยร่นหลบหนี ร่องนิ้วของมือสองข้างที่สอดไว้ในชายแขนเสื้อกว้างใหญ่ต่างก็มีมีดบินไร้ด้ามขนาดจิ๋วแต่กลับส่องความคมแวววาว บนใบมีดทาพิษร้ายสีเขียวเข้มเอาไว้ มีดบินโกวเหวิ่น (ไม้ยืนต้นชนิดหนึ่ง ใบเป็นรูปไข่ สีเขียวตลอดปี ดอกสีเหลือง เมล็ดมีพิษ แพทย์จีนนำมาปรุงเป็นยา) นี้สามารถทำลายพายุลมกรดจากผู้ฝึกยุทธ์ได้ดีที่สุด
อยู่ห่างจากเฉินผิงอันมาประมาณห้าหกจั้ง เห็นเพียงว่าหลังจากเฝิงชิงป๋ายช่วยคลี่คลายสถานการณ์ให้ตนก็ต้องจ่ายค่าตอบแทนเช่นกัน เขาถูกคนผู้นั้นหมายหัวเข้าแล้ว ประมือกันสองสามรอบ เฝิงชิงป๋ายก็ตกเป็นรอง ถูกขาข้างหนึ่งฟาดเปรี้ยงเข้าที่ไหล่ ร่างของเฝิงชิงป๋ายปลิวลิ่วออกไป
ชุดคลุมขาวตามติดราวกับเงา เห็นได้ชัดว่าเฝิงชิงป๋ายที่แขนข้างหนึ่งห้อยร่องแร่งตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย
เขาให้ลูกท้อเรา เราให้ลูกหลีเขากลับคืน (ตอบสนองน้ำใจซึ่งกันและกัน)
ใบหน้ายิ้มส่งมีดบินออกไปจากชายแขนเสื้อ
คนผู้นั้นก็สมกับเป็นตัวประหลาดจริงๆ ออกหมัดครั้งนี้ ทุกหมัดช่างดูผ่อนคลายเบาสบาย ยามที่เหยียบอยู่บนถนน อย่าว่าแต่เป็นพลังอำนาจเหยียบหินทุบอิฐของหม่าเซวียนจินกังชมพูหลังจากอัญเชิญเทพเข้าร่างเลย ใบหน้ายิ้มแทบจะเข้าใจว่ารองเท้าของคนผู้นั้นไม่ได้สัมผัสพื้นเลยด้วยซ้ำ เหมือนเขาล่องลอยไปมาอยู่กลางอากาศตลอดเวลา
ใบหน้ายิ้มเองก็ไม่ได้วาดหวังว่าโกวเหวิ่นหกเล่มจะสามารถแทงโดนคนผู้นั้น เพียงแค่จะมอบโอกาสหายใจหายคอเสี้ยวหนึ่งให้เฝิงชิงป๋ายเท่านั้น
เฝิงชิงป๋ายแสยะยิ้ม ปล่อยนิ้วทั้งห้า เขาถึงกับคลายมือออกจากกระบี่ยาวเล่มนั้น
มือกระบี่คนหนึ่งละทิ้งกระบี่?
ทำเอาใบหน้ายิ้มที่มองอยู่ใจคอไม่ดี หรือว่าจอมยุทธ์พเนจรเฝิงชิงป๋ายที่ที่ขึ้นเหนือล่องใต้ อาศัยหนึ่งกระบี่สังหารไปเกือบครึ่งของยุทธภพมาตลอดสิบปี จะมีดีแค่นี้เอง?
กระบี่ยาวของเฝิงชิงป๋ายไม่ได้ตกลงบนพื้น ไม่มีเจ้านายคอยควบคุม ตัวกระบี่กลับสั่นน้อยๆ แผ่คลื่นกระเพื่อมเป็นระลอก จากนั้นก็บีบตัวแน่นขึง กระบี่ยาวลอยอยู่กลางอากาศ ปลายกระบี่ตวัดขึ้นชี้ไปยังคนชุดขาว แล้วพุ่งวับหายไป
เฝิงชิงป๋ายสะบัดไหล่ฝั่งซ้าย ถูกฟาดแข้งใส่หนึ่งที เจ็บร้าวเข้าไปถึงกระดูก แต่กลับไม่ได้เป็นอะไรมาก
มือขวาของเฝิงชิงป๋ายประกบสองนิ้วเป็นท่ามุทรากระบี่
ในฟ้าดินขนาดเล็กที่เล็กแคบและถูกบีบคั้นแห่งนี้ วิชาอภินิหารของผู้ฝึกกระบี่มิอาจร่ายใช้ได้ แต่เมื่อเทียบกับเวทบังคับกระบี่ซึ่งเป็นวิชาระดับล่างแล้ว เฝิงชิงป๋ายกลับฝึกมาจนชำนิชำนาญแล้ว
เฝิงชิงป๋ายลงมาครั้งนี้ก็เพื่อ ‘หลอมกระบี่’ ใช้ทุกวิธีการพยายามหล่อหลอมปณิธานกระบี่และจิตแห่งกระบี่ให้ได้มากที่สุด
สับเปลี่ยนระหว่างโจมตีและป้องกัน
บนถนนเห็นเป็นสีขาวหิมะหนึ่งกลุ่ม และสายรุ้งสีขาวหนึ่งเส้น
หนุ่มปักบุปผาโจวซื่อประคองยาเอ๋อร์ขึ้นมาอย่างระมัดระวัง ให้นางนั่งพิงอยู่ใต้ผนังแถบหนึ่งก่อน นางจะได้ไม่ตายภายใต้พายุหมัดหรือปราณกระบี่ในขณะที่สองฝ่ายประมือกัน
กระบี่ที่เฝิงชิงป๋ายแทงทะลุแผ่นหลังของนางนั้นอำมหิตอย่างแท้จริง ถึงขนาดทำลายจุดตันเถียนของยาเอ๋อร์ไปด้วย ไม่เพียงเท่านี้ ยังทิ้งปราณกระบี่เส้นหนึ่งไว้ในร่างกายนาง ทำให้นางไม่อาจโคจรลมปราณรักษาอาการบาดเจ็บ หากไม่มียอดฝีมือให้ความช่วยเหลือ ช่วยดึงปราณกระบี่เส้นนั้นออกมาจากร่างของนาง นางก็ได้แต่รอความตายเท่านั้น ต่อให้เป็นยาวิเศษที่ช่วยรักษาอาการบาดเจ็บของวัดจินกังก็ยังไม่มีประโยชน์
แน่นอนว่าในขณะที่ศึกกำลังดำเนินไป โจวซื่อย่อมไม่มีเวลามากระหนุงกระหนิงกับนางอยู่แล้ว เขานั่งยองอยู่ใต้เงามืดของกำแพง เพิ่มน้ำหนักนิ้วหัวแม่มือเล็กน้อย ลูกประคำเม็ดหนึ่งที่รัดอยู่ตรงฝ่ามือก็ถูกผลักออกไป ลูกประคำสีแดงก่ำไม่ได้กลิ้งออกไปอย่างส่งเดช แต่กระดอนอยู่บนถนนหินสีเขียวสองครั้งแล้วหายวับไปกลางอากาศ
โจวซื่อปล่อยลูกประคำออกไปอย่างต่อเนื่อง
นี่คือยันต์คุ้มกันกายชิ้นหนึ่งที่โจวเฝยผู้เป็นบิดามอบให้เขา บอกว่าหากเอามาใช้อย่างเหมาะสม ต่อให้เผชิญหน้ากับสิบอันดับบนแห่งใต้หล้าก็สามารถรักษาชีวิตไว้ได้ เผชิญหน้ากับสิบอันดับล่างถึงขั้นสังหารศัตรูได้ แน่นอนว่าเจ้าตำหนักคลื่นวสันต์ก็เคยกำชับโจวซื่อไว้ก่อนว่า หากเจอกับติงอิงและอวี๋เจินอี้ ถ้าหนีได้ต้องหนี หนีไม่ได้ให้คุกเข่าร้องขอชีวิต ไม่ใช่เรื่องน่าอาย
เฝิงชิงป๋ายก้าวเดินอย่างเชื่องช้ามาดมั่น ใช้เวทกระบี่ที่บังคับได้สมใจปรารถนาไล่ฆ่าคนชุดขาวผู้นั้น เฉินผิงอันใกล้จะสลัดอีกฝ่ายได้หลุดอยู่หลายครั้ง กลับต้องโดนกระบี่บินที่ว่องไวดุจสายฟ้าตอแยโรมรันพันตูอยู่ทุกครั้ง
กระบี่บินพุ่งทะยานรวดเร็วจนทุกคนมองเห็นได้แค่แสงกระบี่ที่ไหลวน
ใบหน้ายิ้มไม่กล้าวาดงูเติมหาง (กระทำสิ่งที่เกินความจำเป็น) จึงยืนปรับลมลมหายใจอยู่ไกลๆ พอเห็นภาพเหตุการณ์นี้ ใบหน้ายิ้มก็ทั้งโล่งอก แต่ก็รู้สึกขนลุกขนชันไปด้วย เพราะหากเปลี่ยนมาเป็นตนที่เจอกับเฝิงชิงป๋าย ควรจะรับมือเขาอย่างไร?
คนชุดขาวที่เหมือนเกล็ดหิมะกลิ้งหลุนๆ ผู้นั้นพลันหยุดชะงัก ยื่นมือมาจับด้ามกระบี่บิน
เฝิงชิงป๋ายไร้ความหวั่นเกรง “ไหนเลยจะมีเรื่องที่ง่ายดายขนาดนี้ เจ้าจับไว้ไม่อยู่หรอก…”
ไม่รอให้เฝิงชิงป๋ายพูดจบ
มือข้างขวาของเฉินผิงอันกำด้ามกระบี่ มือซ้ายทำท่าเป็นมือมีดสับลงไปบนตัวกระบี่
ตัวกระบี่ไม่ได้หักออก แต่ปลายกระบี่ที่ตวัดขึ้นสูงกลับโค้งงอจนเกิดเส้นรัศมีโค้งใหญ่ยักษ์
สองนิ้วที่ทำมุทรากระบี่ของเฝิงชิงป๋ายชะงักไปเล็กน้อย
เฉินผิงอันเองก็ประกบสองนิ้วเข้าด้วยกัน แล้วปาดไปบนตัวกระบี่อย่างรวดเร็วหนึ่งครั้ง ลูบกระบี่ยาวให้ราบเรียบได้อย่างพอดิบพอดี
เขาถือมันมาวางขวางไว้เบื้องหน้า จากนั้นก็ปล่อยนิ้วทั้งห้าที่จับด้ามกระบี่ออก
ในขณะที่เฝิงชิงป๋ายกำลังยืนอึ้ง เขาก็ถูกคนคว้าคอเสื้อด้านหลังแล้วกระชากโยนออกไปไกลหลายสิบจั้ง
ห่างแค่เสี้ยวเดียว ปลายกระบี่ก็จะแทงทะลุหัวใจของเฝิงชิงป๋ายแล้ว
สองนิ้วของเฉินผิงอันขยับเล็กน้อย กระบี่บินก็บินกลับมาบินวนรอบกายเขาดุจนกน้อยที่อิงแอบแนบชิดคน
วิชาบังคับกระบี่ของอาจารย์กระบี่ ข้าก็เป็นเหมือนกัน
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น