ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น 311-326
ตอนที่ 311 คุณปู่ คุณย่าไม่ชอบฉัน
ระยะทางจากมหาวิทยาลัยเมืองจินถึงโรงเรียนประจำจังหวัดขี่รถไม่ถึงห้านาทีก็ถึง อู่เจิ้งต้าวจึงมาถึงอย่างรวดเร็ว พอได้เห็นอู่เจิ้งซือที่หายใจแผ่วเบา เขาก็สีหน้าวิตกทันที
ความสัมพันธ์ของพี่น้องตระกูลอู่นั้นลึกซึ้งมาก กล่าวได้ว่าเป็นเหมือนดั่งพ่อลูกก็ไม่ปาน ความห่วงใยนี้สะท้อนให้เห็นได้อย่างชัดเจนในตระกูลอู่ แม้ว่าอู่เจิ้งต้าวมีอายุมากกว่าอู่เจิ้งซือกับอู่เจิ้งหงไม่มากนัก แต่เขาก็รักและทะนุถนอมน้องชายกับน้องสาวมาโดยตลอด
ในเวลานี้อู่เจิ้งซือถูกคนอื่นตีหัว แค่คิดก็รู้แล้วว่า ความโกรธแค้นในใจของเขามีมากเพียงไหน
“ใครทำร้ายแก?” อู่เจิ้งต้าวถาม
“พี่ใหญ่ เรื่องนี้เดี๋ยวผมเล่าให้พี่ฟัง คืนนี้ต้องรบกวนพี่พาผมไปส่งที่บ้านคุณพ่อคุณแม่ ผมต้องไปพักฟื้นที่บ้านพวกท่าน” อู่เจิ้งซือพูดอย่างอ่อนแรง เสียงขาดๆ หายๆ ฟังแล้วทำให้คนรู้สึกเป็นห่วง
“พ่อคะ หนูจะดูแลพ่อเป็นอย่างดี” อู่เยวี่ยไม่กล้าพูดถึงเหอปี้อวิ๋น กลัวว่าจะทำให้อู่เจิ้งซือโมโห เธอพยายามคิดหาวิธีที่จะช่วยและจะดีที่สุดถ้าให้อู่เจิ้งซืออยู่ที่นี่
อู่เหมยกับกลับคิดตรงกันข้ามกับเธอ ตอกกลับไปว่า “พี่คะ บะหมี่พี่ก็ยังทำไม่เป็นเลย พี่จะดูแลพ่อได้ยังไง? อีกอย่างพวกเราต้องไปโรงเรียน หรือว่าพี่จะให้พ่ออยู่บ้านคนเดียว?”
อู่เจิ้งต้าวมุ่นคิ้ว ไม่ว่าจะเป็นอู่เจิ้งซือ หรือว่าอู่เยวี่ย อู่เหมย ทุกคนต่างก็ไม่เอ่ยถึงเหอปี้อวิ๋น ตามหลักแล้ว เหอปี้อวิ๋นเหมาะสมที่จะดูแลอู่เจิ้งซือที่สุด
ดูเหมือนบ้านของน้องชายมีปัญหานะ!
แม้ว่าอู่เยวี่ยจะตั้งใจช่วย แต่ก็โต้กลับไม่ได้ ทำได้แค่มองอู่เจิ้งต้าวพาอู่เจิ้งซือพร้อมกับถุงน้ำเกลือเดินออกไป อู่เจิ้งซือนั่งไม่ค่อยไหว เหยียนหมิงซุ่นจึงประคองเขาไป
อู่เยวี่ยกัดฟัน แล้วก็เดินตามขึ้นไป จะปล่อยให้อู่เหมยพูดจาเหลวไหลที่บ้านคุณปู่คุณย่าไม่ได้ เธอต้องไปคอยดูไว้
ท่านผู้เฒ่าอู่กับท่านแม่เฒ่าหลับกันหมดแล้ว แต่พอเห็นท่าทางคล้ายผีของอู่เจิ้งซือ ก็ตกใจจนตาสว่าง ท่านแม่เฒ่ายิ่งร้องห่มร้องไห้ถามว่าคนลงมือเป็นใคร
อู่เหมยพอเข้ามาในบ้านก็ปิดปากกลายเป็นคนเงียบ ไม่สดใสร่าเริงเหมือนตอนที่อยู่บ้านตระกูลเหยียน เหยียนหมิงซุ่นมองเธออย่างแปลกใจ รู้สึกว่าอู่เหมยในเวลานี้ดูแปลกๆ
“พ่อคะ หนูกลับก่อนนะคะ พ่อพักฟื้นอยู่ที่นี่ให้สบายใจนะคะ พรุ่งนี้หนูจะมาเยี่ยม” อู่เหมยพูดด้วยความเคารพนอบน้อม แล้วเธอก็แสดงมารยาทเรียบร้อยไร้ที่ติ แต่ความสดใสร่าเริงน้อยลง
อู่เจิ้งซือขมวดคิ้ว เขาอยากให้อู่เหมยอยู่ที่นี่ด้วย ในบ้านมีเหอปีอวิ๋น คนประสาทอยู่ที่นั่น ไม่มีเขาคอยปกป้องอีก ก็ยังไม่รู้ว่าเหอปี้อวิ๋นจะปฏิบัติกับอู่เหมยอย่างไร?
“พ่อไม่ต้องเป็นห่วง แม่ไม่ทำอะไรหนูหรอกค่ะ แค่คุณย่าดูแลพ่อก็เหนื่อยมากแล้ว หนูไม่มาแล้วค่ะ!”
อู่เหมยไม่ยอมอยู่ที่บ้านท่านผู้เฒ่าอู่ คนหนึ่งก็คร่ำครึจริงๆ อีกคนก็ปฏิบัติกับเธอเหมือนเหอปี้อวิ๋น คงจะดีกว่าถ้าหากให้สมองเธอมีปัญหา แล้วกลับบ้านไปเผชิญหน้ากับเหอปี้อวิ๋นที่เป็นโรคประสาท
อู่เยวี่ยกลับไม่ยอมไป และจะอยู่ต่อ ปากก็พูดว่าเป็นห่วงอู่เจิ้งซือ แท้จริงแล้วอยากจะสานสัมพันธไมตรีกับอู่เจิ้งซือ อู่เหมยยายโง่ มีโอกาสดีๆ ที่จะได้ทำผลงานก็ยังไม่รู้จักคว้าเอาไว้
เหยียนหมิงซุ่นกับอู่เหมยเดินกลับพร้อมกัน ถนนที่มีแสงไฟสลัว ทำให้เงาภาพของทั้งสองคนยาว และยังงอเป็นมุม อู่เหมยหลังจากออกมาจากบ้านท่านผู้เฒ่าอู่ ก็กลับมาร่าเริงเหมือนเดิม
“เหมยเหมย ทำไมไม่อยู่บ้านคุณปู่ คุณย่าต่อล่ะ?” เหยียนหมิงซุ่นถามขึ้นมาฉับพลัน
อู่เหมยนิ่งไป เธอเดินต่อพลางหัวเราะกับตัวเอง “ปู่กับย่าไม่ชอบฉัน อยู่ที่นั่นไม่อิสระ”
เหยียนหมิงซุ่นตบหัวเธอเป็นการปลอบใจ อู่เหมยยักไหล่อย่างไม่แยแส ตอนนี้เธอไม่แคร์สักนิดเดียว ไม่ชอบก็ไม่ชอบ เธอมีฉิวฉิว มีบ้าน มีเงินจะกลัวอะไร!
………………………………………………….
ตอนที่ 312 เหยียนหมิงซุ่นที่เต็มไปด้วยเล่ห์กล
เหยียนหมิงซุ่นมาส่งอู่เหมยถึงบ้าน เขาไม่ไว้ใจเหอปี้อวิ๋นจริงๆ ผู้หญิงคนนี้ไม่เพียงจิตใจโหดเหี้ยม แต่ยังมีแนวโน้มที่จะใช้ความรุนแรงอีกด้วย อีกอย่างเธอก็ปฏิบัติกับอู่เหมยเป็นหนามยอกอกอยู่แล้ว ยังไม่รู้ว่าต่อไปจะทำอะไรบ้าๆ ขึ้นมาอีก!
“เหมยเหมย คืนนี้เธอไปค้างที่บ้านครูจ้าวดีกว่านะ”
เพิ่งจะเดินมาถึงหน้าประตู เหยียนหมิงซุ่นก็ได้กลิ่นคาวเลือดจางๆ เขาขมวดคิ้วมุ่นกว่าเดิม เขายิ่งไม่วางใจที่อู่เหมยจะต้องอยู่ร่วมกับเหอปี้อวิ๋น
ตั้งแต่ที่พวกอู่เหมยออกไป เหอปิ้อวิ๋นก็นั่งอยู่คนเดียวในห้องรับแขก เห็นรอยเลือดที่พื้น เธอยิ่งคิดก็ยิ่งตื่นตระหนก ยิ่งหวาดกลัว เธอกลัวว่าอู่เจิ้งซือจะตาย ยิ่งกลัวว่าเธอจะถูกตำรวจจับเพราะว่าเธอเป็นฆาตรกร
ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวด้านนอก เหอปี้อวิ๋นตาเป็นประกาย รีบวิ่งมาทันที เธอทักทายกับเหยียนหมิงซุ่นและอู่เหมย
“พ่อแกเป็นอะไรทำไมไม่กลับมาด้วย? พี่สาวแกล่ะ? ทำไมแกถึงกลับมาคนเดียว?”
เหอปี้อวิ๋นถามด้วยน้ำเสียงที่เด็ดขาด สีหน้าดูแย่มาก หน้าตาบิดเบี้ยวเล็กน้อย ไม่ได้มีความสง่าผ่าเผยเหมือนเมื่อก่อนเลยสักนิด
อู่เหมยไม่อยากจะสนใจผู้หญิงคนนี้จริงๆ ถึงแม้เธอจะเป็นแม่ผู้ให้กำเนิดของเธอ แต่เธอก็ยังรู้สึกรังเกียจ สู้มองไม่เห็นจะดีกว่า
“ทำไมพ่อต้องกลับมาด้วย? กลับมาให้แม่ทุบพ่อเป็นแผลเหวอะเลือดไหลอีกเหรอคะ?” อู่เหมยตอกกลับไป เธอไม่อยากพูดจาดีๆ กับเหอปี้อวิ๋นเลยสักนิด
เหยียนหมิงซุ่นเม้มปาก เขากวาดตามองไปบ้านที่อยู่รอบๆ เห็นประตูบ้านอื่นปิดแน่น แต่ประตูด้านหลังกลับเต็มไปด้วยผู้คน คิดว่าในเวลานี้บรรดาครูที่แสร้งทำเป็นคนดีเหล่านี้ จะต้องแอบฟังอยู่ที่ด้านหลังประตูกันอย่างสนุกสนาน!
เขาเปล่งเสียงดังขึ้นกว่าเดิม ตอบด้วยความนอบน้อม “เพราะว่าครูอู่เสียเลือดมาก ต้องให้น้ำเกลือขวดใหญ่ขวดหนึ่งถึงฟื้นขึ้นมา ครูอู่บอกว่าต้องการจะกลับไปพักฟื้นที่บ้านคุณพ่อคุณแม่ พี่ชายคนโตของครูอู่มารับเขาไปแล้วครับ อู่เยวี่ยก็อยู่ที่บ้านนั้นต่อ เหมยเหมยกลัวว่าจะไปเพิ่มภาระให้คุณย่าอู่ ก็เลยเสนอตัวกลับมาอยู่ที่นี่”
ทุกคนที่ด้านหลังประตูต่างพากันส่ายหน้า ลูกสาวคนโตตระกูลอู่ช่างไม่รู้ว่าอะไรควรไม่ควร เข้าไปเพิ่มความยุ่งยากทำไม?
หากดูแล้ว แม้ว่าผลการเรียนอู่เยวี่ยจะดีขึ้น แต่ถ้าหากจะให้พวกเขาเลือกลูกสะใภ้ พวกเขาต้องเลือกอู่เหมยแน่นอน หน้าตาสวย ทั้งกตัญญู รู้ว่าอะไรควรไม่ควร ยังทำกับข้าวอร่อย แต่นี่ไม่ใช่การเลือกลูกสะใภ้ดีที่สบายๆ เลยนะ
ผลการเรียนดีมันก็ดีแน่นอน แต่ผลการเรียนของอู่เยวี่ยแย่ลงแล้วไม่ใช่หรือ ได้อันดับหนึ่งไม่นานก็หล่นลงมาอันดับสิบสอง แม้กระทั่งสามอันดับแรกก็ยังไม่ได้เลย กลับหล่นลงไปถึงสิบกว่าอันดับ ต่อไปถ้าอยากจะขยับขึ้นมาก็ไม่ง่ายขนาดนั้น!
ยังมีเหอปี้อวิ๋น ผู้หญิงคนนี้ ตัดสินด้วยรูปลักษณ์ภายนอกไม่ได้จริงๆ ไม่คิดเลยว่าแม้แต่สามีก็ยังฆ่าได้?
ถ้าไม่ได้ยินที่เหยียนหมิงซุ่นพูดว่า อู่เจิ้งซือเสียเลือดมากจนต้องให้น้ำเกลือขวดใหญ่หนึ่งขวดถึงจะฟื้น!
และอู่เจิ้งซือยังยอมกลับไปอยู่ที่บ้านพ่อแม่ โดยไม่ยอมกลับมาอยู่บ้านนี้ละก็
เรื่องนี้ยืนยันอะไรได้?
ยืนยันได้ว่าอู่เจิ้งซือถูกทำร้ายจนหมดสิ้นน่ะสิ!
หัวสมองของพวกปัญญาชนเหล่านี้คิดกันอย่างรวดเร็ว พวกเขาใช้ตรรกะที่ละเอียดรอบคอบวิเคราะห์ออกมา พวกเขาวิเคราะห์ความคิดของอู่เจิ้งซือที่น่าจะเป็นไปได้ ที่แท้ความรู้ก็คือพลัง การเรียนหนังสือเยอะๆ ก็ยังคงไม่ผิดนั่นเอง
ในเมื่อรู้บทสรุปของเรื่องราวแล้ว คนเหล่านี้ก็หมดความสนใจ พวกเขาหาวนอนแล้วก็กลับบ้านไปนอน และเพื่อรอบทสรุปนี้ พวกเขาอาจจะรอถึงสองชั่วโมงเต็ม!
อู่เยวี่ยที่อยู่บ้านท่านผู้เฒ่าอู่ ยิ่งไม่รู้ว่าเหยียนหมิงซุ่นจงใจพูดอะไรบางอย่างเพื่อให้คนอื่นเข้าใจเธอผิด ทำให้ชื่อเสียงที่เธอรักษามาอย่างดีนั้นถูกใส่ร้ายไม่น้อย
เหอปี้อวิ๋นได้ยินว่าอู่เจิ้งซือฟื้นแล้วก็สบายใจ แต่ทันทีที่ได้ยินว่าอู่เจิ้งซืออยู่ที่บ้านพ่อแม่สามี ก็ตกใจหน้าซีด ในใจพลันรู้สึกสังหรณ์ไม่ดี
……………………………………………………………………
ตอนที่ 313 ความโกรธแค้นของเหอปี้อวิ๋น
หากพ่อแม่สามีรู้ว่าเธอทำให้อู่เจิ้งซือบาดเจ็บ จากเดิมที่พ่อแม่สามีก็ไม่จะค่อยพอใจเธออยู่แล้ว นี่ต่อไปจะไม่ปั่นหัวอู่เจิ้งซือให้หย่าขาดกับเธอหรือ?
แต่เธอไม่อยากหย่าสักนิดเดียว อู่เจิ้งซือดูดี หน้าที่การงานก็มีเกียรติ ครอบครัวก็มีฐานะอยู่บ้าง สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ อู่เจิ้งซือหลอกง่าย ขอเพียงทำให้เขามีความสุข เขาไม่สนใจเงินเลย ไม่เหมือนพี่เขยของเธอ ผู้ชายที่เห็นเงินสำคัญยิ่งกว่าชีวิต ทุกวันนี้ป้องกันพี่สาวของเธออย่างกับป้องกันขโมย
อีกอย่างพี่เขยเธอคนนั้นรูปร่างคล้ายกับคนแคระ และยังเป็นแค่ครูโรงเรียนประถม เทียบกับอู่เจิ้งซือไม่ได้เลย
เหอปี้อวิ๋นยิ่งคิดก็ยิ่งเสียใจ เธออยากจะตัดมือตัวเอง ทั้งหมดเป็นเพราะนังสารเลวเหยียนซินหย่านั่น ถ้าไม่ใช่เพราะเอาแต่พูดถึงนังสารเลวนี่ เธอจะโมโหขนาดนี้ได้อย่างไร?
และก็เป็นไม่ได้ที่จะเอาแท่นทับกระดาษทุบหัวอู่เจิ้งซือด้วยความใจร้อน!
เธอเป็นอย่างนี้ตั้งแต่เด็ก ขอเพียงทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเหยียนซินหย่า ไม่ว่าเธอจะทำอะไรก็ไม่ราบรื่น เหยียนซินหย่าเป็นเจ้ากรรมนายเวรของเหอปี้อวิ๋น เป็นศัตรูคู่พยาบาทโดยธรรมชาติ
คนอย่างเหอปี้อวิ๋นก็เป็นแบบนี้ ไม่ว่าทำผิดเรื่องอะไร เธอมักจะผลักความรับผิดชอบทุกอย่างให้คนอื่นเสมอ ทั้งยังคิดว่าตัวเองบริสุทธิ์ ถูกใส่ร้ายแน่นอน และเธอยังโมโหใส่คนอื่นได้ง่ายมาก และเพราะเธอมีนิสัยอย่างนี้ ตอนเล็กๆ อู่เหมยถึงได้ทุกข์ทรมานมากมายขนาดนั้น
แต่จะตามหาเหยียนซินหย่าอย่างไรก็ไม่เจอ แม้ว่าเหอปี้อวิ๋นอยากจะฆ่าเธอ แต่เธอก็ไร้เรี่ยวแรง ทว่าไม่นานเธอก็พบเป้าหมายไว้ระบายความแค้น คืนนี้มีเรื่องเกิดขึ้นมากมายเช่นนี้ ทั้งหมดเป็นเพราะยายตัวดีก่อเรื่องขึ้นมา และไม่นึกเลยว่ายายตัวดีจะยังกล้าตีอู่เยวี่ย?
ก็ไม่รู้ว่าเยวี่ยเยวี่ยจะเจ็บแผลที่อยู่ตามตัวหรือไม่?
พอเหยียนหมิงซุ่นเห็นสีหน้าของเหอปี้อวิ๋นเปลี่ยนไป และยังมองไปทางอู่เหมย เขาก็รู้ว่าผู้หญิงคนนี้จะต้องระบายความโกรธแค้นกับอู่เหมยแน่นอน ตอนเขาอยู่ต่อหน้า เธอไม่กล้าระบายความแค้นแน่นอน แต่หากเขากลับไปก็ไม่แน่
ในหัวของเขาก็ผุดภาพเหอปี้อวิ๋นเอาผ้าอุดปากอู่เหมยไว้ และใช้ไม้ขนไก่ฟาดเธอ เขาก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย จะปล่อยให้อู่เหมยอยู่กับเหอปี้อวิ๋นคนบ้านี้ในห้องคนเดียวไม่ได้
“ขอบคุณหมิงซุ่นมากที่มาส่งเหมยเหมย ลำบากเธอแย่ เธอรีบกลับบ้านไปนอนเถอะ!” เหอปี้อวิ๋นพูดพลางยิ้ม
“ไม่ลำบากเลยครับครูเหอ เรื่องแค่นี้เอง เพราะครูอู่เป็นห่วงเหมยเหมย มอบหมายให้ผมพาเหมยเหมยไปส่งที่บ้านแม่บุญธรรม ผมเลยมาเก็บเสื้อผ้าเป็นเพื่อนเธอ” เหยียนหมิงซุ่นพูดอย่างน้อบนอมและรอบคอบ
อู่เหมยมองเหยียนหมิงซุ่นด้วยความประหลาดใจ ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาต้องพูดโกหก รู้ทั้งรู้ว่าอู่เจิ้งซือไม่เคยพูดแบบนี้
เหอปี้อวิ๋นสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย ครูอู่หมายความว่าอะไร?
ไม่คิดเลยว่ายังให้ยายตัวดีไปอยู่ที่บ้านจ้าวอิงหนาน
เห็นชัดๆ ว่าปกป้องเธอ!
เธอรู้สึกว่าตัวเองทำเกินไปหน่อย แต่หลังจากที่ได้ยินคำพูดของเหยียนหมิงซุ่น ความรู้สึกสำนึกในบาปของเธอในใจก็ค่อยๆ หายไปทันที
เป็นเพราะอู่เจิ้งซือรังแกเธอก่อน จนแต่งงานมีลูกกับเธอแล้ว ยังไม่ลืมนังสารเลวเหยียนซินหย่า และยังเอาความคิดสกปรกนี้ย้ายไปอยู่ในตัวยายตัวดีนี่
เชอะ!
เหม็นขี้หน้าจริงๆ เมื่อตะกี้เธอน่าจะทุบให้แรงกว่านี้!
ยายตัวดีอู่เหมยก็อีกคน ไม่ได้มีดีอะไร ไม่เหมือนใครในบ้าน เห็นชัดๆ ว่าเหมือนนังสารเลวนั่น!
เหอปี้อวิ๋นกล่าวโทษทุกคน แต่ตัวเองกลับเพิกเฉย เธอเองไม่สามารถพูดความคิดของเธอกับคนอื่นได้ พระเอกในฤดูใบผลิอยู่แต่ในฝัน ไม่ใช่อู่เจิ้งซือ แต่เป็นซั่งกวนอิงหวาที่ไม่ต้องการเธอ!
เหยียนหมิงซุ่นเห็นสีหน้าเหอปี้อวิ๋นเปลี่ยนไปอย่างคาดคิดไม่ถึง ดูท่าทางไม่ค่อยปกติ เขาจึงไปเก็บเสื้อผ้าเป็นเพื่อนอู่เหมยที่ห้องนอน จากนั้นก็กล่าวลากับเหอปี้อวิ๋น แล้วก็ขึ้นไปชั้นสาม
………………………………………………………………
ตอนที่ 314 หนูไม่ควรยั่วโมโหแม่
“พี่หมิงซุ่นคะ ทำไมพี่ถึงให้ฉันไปอยู่บ้านแม่บุญธรรม?” ระหว่างทาง อู่เหมยถามอย่างสงสัย
จริงๆ แล้วเธอก็ไม่ค่อยยอมไปอยู่บ้านคนอื่น อันที่จริงจ้าวอิงหนานสองสามีภรรยาดีกับเธอมาก แต่อย่างไรก็ตามพวกเขาไม่ใช่พ่อแม่แท้ๆ ของเธอ เป็นแค่คนนอก เธอไม่ค่อยอยากไปรบกวนคนอื่น อีกอย่างอยู่ในบ้านคนอื่น เธอรู้สึกไม่อิสระ
“แม่ของเธอ ตอนนี้สภาพจิตใจไม่ค่อยปกติ ในบ้านก็มีแค่เธอกับแม่ พี่เป็นห่วงว่าครูเหอจะตีเธออีก เธอไปอยู่บ้านครูจ้าวดีกว่านะ พรุ่งนี้ค่อยดูอีกที” เหยียนหมิงซุ่นอธิบาย
อู่เหมยพยักหน้า รู้สึกอบอุ่นขึ้นมาในใจ เธอเงยหน้ายิ้มหวานให้เขา พลางกล่าว “ขอบคุณค่ะ พี่หมิงซุ่น”
เหยียนหมิงซุ่นยิ้มแย้ม ตีหัวเธอเบาๆ เขาส่งอู่เหมยถึงบ้านตระกูลสยง ไม่นึกเลยว่าบ้านตระกูลสยงยังไม่นอน ไฟในห้องรับแขกยังคงสว่าง จ้าวอิงหนานพอเห็นเธอก็รีบมาต้อนรับ ถามด้วยความร้อนใจ “เหมเหมยเธอเป็นอะไรหรือเปล่า?”
ที่แท้เรื่องที่อู่เจิ้งซือโดนภรรยาทุบหัวแตก หลังจากเขาถูกส่งไปโรงพยาบาลก็แพร่สะพัดไปทั่ว คนตระกูลสยงที่ชั้นสามก็ได้ยินเองโดยปริยาย จ้าวอิงหนานรีบวิ่งไปที่บ้านตระกูลอู่ เห็นแค่รอยเลือดบนพื้น แต่ไม่พบทั้งอู่เหมยกับอู่เจิ้งซือ คนที่อยู่รอบๆ ก็ไม่รู้ เธอยังเข้าใจว่าอู่เหมยก็ได้รับบาดเจ็บ จนรู้สึกเป็นกังวลตลอดทั้งค่ำทีเดียว
กระทั่งสองพ่อลูกครูจางกลับมา เธอถึงได้รู้ว่าเป็นอู่เจิ้งซือที่ได้รับบาดเจ็บ อู่เหมยไม่ได้เป็นอะไร เธอถึงได้สบายใจ แต่ไม่เห็นอู่เหมย เธอก็ยังเป็นกังวล จะมีใจไปหลับลงได้ที่ไหนกัน
อู่เหมยรู้สึกถึงความเป็นห่วงของจ้าวอิงหนาน เธอรู้สึกอบอุ่นใจ แม้ว่าเธอไม่เคยได้รับความรักของพ่อแม่ของเธอ แต่เธอมีเพื่อน มีจ้าวอิงหนานที่ห่วงใย แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว
“แม่บุญธรรมคะ หนูไม่เป็นอะไรค่ะ คืนนี้หนูขอรบกวนพวกคุณนะคะ” อู่เหมยรู้สึกเกรงใจนิดหน่อย
จ้าวอิงหนานยิ้มด้วยความเบิกบานใจ “รบกวนอะไรกัน? แม่ให้มู่มู่นอนโซฟา เหมยเหมย เธอก็ไปนอนห้องเขา”
อู่เหมยรีบปฏิเสธ อยู่บ้านคนอื่นลำบากใจมากพอแล้ว ถ้าหากไล่สยงมู่มู่ไปนอนโซฟา เธอยิ่งรู้สึกเกรงใจ
จ้าวอิงหนานเห็นเธอยืนกรานที่จะนอนโซฟา และยังคิดว่าอู่เหมยรังเกียจเตียงของสยงมู่มู่ เธอยิ้มกริ่มอย่างเข้าใจ พลางกล่าว “งั้นเหมยเหมยก็นอนโซฟา ไม่ต้องนอนเตียงเหม็นๆ ของมู่มู่ก็ได้นะ!”
สยงมู่มู่โกรธจนจมูกย่น จ้องอู่เหมยเขม็ง ยายตัวดีที่ไม่มีความเมตตา เสียแรงเปล่าที่เป็นห่วงเธอตลอดทั้งคืน ไม่คิดเลยว่ายังกล้ารังเกียจที่นอนเหม็นของเขา!
เขาอาบน้ำแล้ว ครึ่งเดือนเปลี่ยนผ้าปูที่นอนหนึ่งครั้ง เปลี่ยนผ้าห่มเดือนละครั้ง หอมฟุ้ง แล้วจะเหม็นได้อย่างไร?
อู่เหมยพอเห็นสีหน้าของสยงมู่มู่ ก็รู้ว่าเจ้าคนนี้อึดอัดใจ ก็อดหัวเราะปนร้องไห้ไม่ได้ จ้าวอิงหนานรังเกียจลูกชายตัวเองจริงๆ เห็นได้ชัดว่าเธอก็ไม่ได้สนใจเลย
เหยียนหมิงซุ่นเห็นท่าทางของจ้าวอิงหนาน ก็ดีใจแทนอู่เหมย เขาจึงขอลากลับ
จ้าวอิงหนานถามอู่เหมยเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อตอนค่ำ อู่เหมยไม่ได้ปิดบัง อยู่ที่บ้านจ้าวอิงหนานเธอรู้สึกสบายใจมาก เธอหงุดหงิดโดยไม่รู้ตัวพลางกล่าว “หนูไม่ควรยั่วโมโหแม่ของหนู ถ้าไม่อย่างนั้นพ่อกับแม่ก็คงไม่ทะเลาะกัน พ่อก็คงไม่ได้รับบาดเจ็บ”
“พ่อของเธอได้รับบาดเจ็บไม่เกี่ยวกับเธอ แม่ของเธอเป็นโรคประสาท โถ่! เด็กน้อยคิดมากทำไม รีบไปนอนเถอะ พรุ่งนี้ยังต้องไปโรงเรียนนะ!”
จ้าวอิงหนานรู้สึกว่าคำพูดแย่ๆ จะพูดต่อหน้าเด็กคงไม่ค่อยดี ก็รีบถอนคำพูดทันที ปล่อยให้อู่เหมยนอนหลับ เธอเองก็กลับห้องไปกับพ่อสยง
ทันทีที่เข้าไปในห้อง จ้าวอิงหนานก็คำรามเสียงต่ำด้วยความโกรธ “เหอปี้อวิ๋น ผู้หญิงคนนี้เป็นโรคประสาทจริงๆ เธอเป็นคนคลอดลูกสาวทั้งสองคน แต่เห็นคนหนึ่งเป็นแก้วตาดวงใจ อีกคนเป็นเศษหญ้า เธอนี่สมองไม่มีหัวคิดหรือเปล่า?”
………………………………………………….
ตอนที่ 315 ถ้าเป็นลูกสาวของเราก็คงดี
จ้าวอิงหนานโกรธมาก การที่เธอรับอู่เหมยเป็นลูกบุญธรรม แม้ว่าจะรู้สึกพอใจอยู่บ้าง แต่ในใจกลับรู้สึกรักเด็กคนนี้เหมือนลูกแท้ๆ แม้ว่าจะไม่สามารถปฏิบัติได้เหมือนกับมู่มู่ แต่ก็รักและเอ็นดูจริงๆ ถึงขั้นเธอก็เริ่มเป็นห่วงเรื่องสินสอดแทนอู่เหมยแล้วละสิ!
ดังนั้นลักษณะท่าทางชั่วร้ายของเหอปี้อวิ๋นที่มีต่ออู่เหมย เธอไม่อาจเข้าใจได้จริงๆ ลูกที่สายเลือดสัมพันธ์กับตัวเอง แต่อย่างไรก็ควรมอบความรักและทะนุถนอมปกป้องกันบ้าง ถึงแม้จะมีความลำเอียงอยู่บ้าง แต่จะถึงขั้นโหดร้ายทารุณเหมือนกับเหอปี้อวิ๋นก็คงไม่ได้หรอกมั้ง?
จ้าวอิงหนานก่นด่าอย่างแค้นเคือง “ผู้หญิงคนนี้โหดเหี้ยมยิ่งกว่าแม่เลี้ยงอีก เหมยเหมยมีแม่แบบนี้ ช่างโชคร้ายจริงๆ!”
พ่อสยงพูดจากจิตใต้สำนึก “เหมยเหมยอาจจะไม่ใช่ลูกที่เหอปี้อวิ๋นคลอดมาละมั้ง ผมเห็นเหมยเหมยไม่เหมือนกับอู่เจิ้งซือ สองสามีภรรยานั่น แต่กลับเหมือนหลานสาวของเรามากกว่า!”
จ้าวอิงหนานสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย มีความคิดสับสนอยู่ในใจ แต่ไม่นานก็เลิกคิด เธอรู้สึกว่าตัวเองบ้าเกินไป จะเป็นไปได้อย่างไร?
เป็นไปไม่ได้แน่นอน!
หลานสาวตัวน้อยของเธอตายไปแล้ว เธอเกิดมาก็ตายทันที และน้องสะใภ้ยังเป็นคนฝังเอง หากไม่ใช่เพราะว่าปีนั้นน้องสะใภ้ได้รับความเจ็บปวดที่สูญเสียลูกเพียงลำพัง น้องสะใภ้ก็คงไม่จมอยู่กับความทุกข์ทรมานและโทษตัวเองมาสิบสองปีหรอกเป็น
“หากเป็นหลานสาวของเราจริงๆ ก็ดีสิ แต่เรื่องนี้คงเป็นไปไม่ได้ หลานสาวตัวน้อยของฉันไปเป็นนางฟ้าอยู่บนสวรรค์แล้ว!”
จ้าวอิงหนานถอนใจอย่างแผ่วเบา สีหน้าเหงาหงอย ไม่เพียงแต่ทุกข์ใจกับน้องสะใภ้เท่านั้น แต่ก็เพราะตัวเธอเอง
อย่าได้อิจฉาที่เธอมีครอบครัวที่มีชื่อเสียงเลย ถ้าหากสามารถเลือกได้ เธอยอมให้ตัวเองไปเกิดในครอบครัวธรรมดา ใช้ชีวิตเรียบง่ายจะดีกว่า
ชีวิตครอบครัวที่มีชื่อเสียงทำให้เธอทุกข์มากกว่าหวานชื่น ตอนเด็กๆ ใช้ชีวิตสงบสุขเกินไป พอครอบครัวเธอบ้านแตกสาแหรกขาดเมื่อเธอเพิ่งจะเป็นผู้ใหญ่ ถูกส่งไปอยู่คนละทิศละทาง แม้กระทั่งไม่รู้ว่าอีกฝั่งจะเป็นมีชีวิตหรือว่าตายไปแล้ว
ตอนที่ไปใช้ชีวิตที่ชนบทที่เป่ยต้าหวง ทุกวันเธอน้ำตานองหน้า รู้สึกว่าทั่วทั้งท้องฟ้าจะพังลงมา โดยปกติพ่อแม่ของเธอกับพี่น้องไม่ได้อยู่เคียงข้างเธอ มีเพียงเธอคนเดียวที่ทนทุกข์ทรมานหนาวเหน็บอยู่ที่นั่น และยังมีหลายคนที่รังแกเธอ แม้กระทั่งเกือบจะ…
จ้าวอิงหนานไม่อยากหวนคิดถึงเรื่องราวที่เจ็บปวดในอดีต แต่ในช่วงเวลานั้นติดแน่นอยู่ในใจของเธอแล้ว จนกระทั่งตายไปก็ลืมไม่ได้
แม้ว่าตอนนี้ทุกคนในครอบครัวจะได้การรวมตัวกันใหม่และมีชื่อเสียงกว่าแต่ก่อน แต่จ้าวอิงหนานกลับไม่มีความสุข เกียรติยศเหล่านี้ล้วนแลกมาด้วยน้ำตาและเลือด และก็เป็นความโชคดีของครอบครัวพวกเขา ที่ผ่านช่วงลำบากมาได้
หากผ่านมาไม่ได้…
ทุกคนล้วนอิจฉาความเฟื่องฟูของเจ้าหญิง
แต่กลับไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วเจ้าหญิงได้รับความเจ็บปวด แม้กระทั่งเกือบจะสูญเสียชีวิต
ก็เหมือนกับครอบครัวเธอ บนร่างกายของพ่อเธอเต็มไปด้วยเศษกระสุน เป็นของขวัญที่สงครามให้แก่เขา ปีนั้นเขาถูกกักขังไว้ กระดูกในร่างกายหักไม่รู้กี่ครั้ง จนถึงวันนี้ขาขวาก็ยังไม่งอไม่ได้ พอถึงหน้าฝนก็จะปวดมาก
และยังมีแม่เธออีกคน ร่างกายอ่อนแอ สมัยนั้นจะมีผู้หญิงแกร่งที่ไหน?
ยังมีพี่ชายสามคนของเธอและตัวเธอเอง อาจจะมากหรือน้อยกว่านี้ สุดแต่ว่าจะถูกช่วงเวลานั้นทิ้งภาพสุดท้ายของพวกเขาให้โผล่เข้ามาในห้วงความคิดเป็นบ่อยครั้งแค่ไหน ราวกับเป็นของขวัญที่ช่วงเวลานั้นมอบให้ในบั้นปลายชีวิต เพื่อคอยย้ำเตือนว่ามันยังคงอยู่
เพราะเหตุนี้ ในตอนนั้นเธอถึงได้แต่งงานกับพ่อสยงผู้ชายธรรมดา และออกมาห่างไกลจากเมืองหลวงที่มีชื่อเสียง มาใช้ชีวิตธรรมดา
พ่อสยงรู้ว่าภรรยาคิดเรื่องราวที่ไม่ดีขึ้นมาอีกแล้ว รีบพูดเรื่องตลกเพื่อปลอบใจเธอทันที ไม่ง่ายเลยที่จะหยอกให้จ้าวอิงหนานหัวเราะได้ เขาเองก็โล่งใจ
แต่เขาก็ยังรู้สึกแปลกใจ อู่เหมยกับน้องเมียเขา หน้าตาเหมือนกันจริง ๆ!
………………………………………………………………………………
ตอนที่ 316 การเกลี้ยกล่อมของอู่เยวี่ย
อู่เหมยนอนบนโซฟาบ้านตระกูลสยงหนึ่งคืน เธอรู้สึกปวดคอนิดหน่อย เหมือนกับนอนตกหมอน เธออดกลั้นที่จะไม่บ่นออกมา ขณะที่กินอาหารเช้า จ้าวอิงหนานบอกให้อู่เหมยอยู่บ้านเธอต่อไป เธอให้พ่อสยงไปซื้อเตียงเหล็กอันหนึ่ง เพื่ออู่เหมยจะได้นอนที่ห้องรับแขกได้
หลังจากกินอาหารเช้าที่เปี่ยมไปด้วยความอบอุ่นเสร็จ อู่เหมยกับสยงมู่มู่ก็ไปโรงเรียนด้วยกัน เธอกลับบ้านเพื่อไปเอากระเป๋านักเรียนก่อน เธอเจอกับอู่เยวี่ย เพราะอู่เยวี่ยก็กลับมาเอากระเป๋านักเรียนเช่นกัน
อู่เยวี่ยพูดเสียงเบากับเหอปี้อวิ๋น พอเห็นเธอเดินเข้ามาก็หยุดพูด อู่เหมยเดินตรงไปที่ห้องของเธอ หยิบกระเป๋านักเรียนออกมา แล้วก็หันหน้าไปมองสองแม่ลูกอีกครั้ง
เหอปี้อวิ๋นสีหน้าไม่สู้ดีนัก หน้าขาวซีด ดูเหมือนว่าเมื่อคืนนี้เธอนอนหลับไม่สนิท แต่อู่เยวี่ยกลับดูท่าทางไม่เลว ดูเหมือนอยู่ที่บ้านปู่ย่าอย่างเป็นสุข คุณย่าคงจะรักยายสารเลวนี่อย่างกับแก้วตาดวงใจ
“แกกลับมาทำไม? ถ้ากล้าออกไปแล้ว ชาตินี้ก็อย่ากลับมา!”
พอเห็นอู่เหมย แววตาของเหอปี้อวิ๋นก็ร้อนผ่าว เมื่อครู่อู่เยวี่ยบอกแล้วว่าอู่เจิ้งซือไม่เคยบอกให้อู่เหมยไปอยู่ที่บ้านตระกูลสยง ทั้งหมดเป็นเพราะยายตัวดีกับเหยียนหมิงซุ่นร่วมมือกันโกหกเธอ เหยียนหมิงซุ่น เด็กคนนั้นเมื่อก่อนก็ยังดูดีอยู่ แต่ตอนนี้ก็หลงยายตัวดีนี่เข้าแล้ว
อู่เหมยตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชา “บ้านหลังนี้เป็นของคุณพ่อ ทำไมหนูจะกลับมาไม่ได้!”
เหอปิ้อวิ๋นโกรธ เธอโกรธเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นมาอีกแล้ว อู่เยวี่ยรีบดึงเธอเอาไว้ ส่ายหน้าเบาๆ เหอปี้อวิ๋นถึงจำคำพูดที่อู่เยวี่ยเตือนเธอก่อนหน้านี้ เธอข่มความโกรธไว้ อู่เจิ้งซือสำคัญที่สุด ยายตัวดีนี่ค่อยจัดการทีหลัง
หลังจากอู่เหมยออกไปแล้ว อู่เยวี่ยบ่น “แม่ ทำไมแม่ถึงจำคำพูดของหนูไม่ได้? ตอนนี้ทำไมยังคิดที่จะทะเลาะกับอู่เหมย แม่ควรไปคิดให้ดีๆ ว่าจะเกลี้ยกล่อมคุณพ่อและคุณปู่คุณย่ายังไงจะดีกว่านะ!”
เหอปี้อวิ๋นใจสั่นรัวขึ้นมาทันทีพลางเอ่ย “เยวี่ยเยวี่ย พ่อของลูก เล่าทุกอย่างเลยเหรอ?”
อู่เยวี่ยพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “จะไม่พูดได้ยังไงล่ะ? พูดออกมาหมดตั้งแต่เมื่อคืนนี้แล้ว ลุงกับป้าสะใภ้ก็รู้”
“งั้น ปู่ของลูก พวกเขาว่ายังไง?” เหอปี้อวิ๋นใจคอไม่ดี
อู่เยวี่ยเล่าน้ำเสียงหงุดหงิด เมื่อคืนคุณย่าเป็นห่วงอู่เจิ้งซือ ไม่ค่อยเอ็นดูเธอเหมือนกับเมื่อก่อน สีหน้าเย็นชา อาหารเช้าก็ไม่ทำ หยิบเงินให้เธอไปซื้อกินเอง เทียบกับเมื่อก่อนไม่ได้เลย คุณย่าต้องไม่พอใจเหอปี้อวิ๋นแน่ๆ ถึงได้พาลโกรธเธอไปด้วย
เหอปี้อวิ๋นสำนึกผิดตั้งนานแล้ว แต่อยู่ต่อหน้าลูกสาวกลับไม่ยอมรับ
เธอพูดอย่างไม่ยอมรับ “ใครบอกให้พ่อของลูกปกป้องยายเหมยเหมยล่ะ และยังพูดแบบนั้นยั่วให้แม่โมโห ก็เลยโมโหขึ้นมาไง!”
อู่เหมยขมวดคิ้วไม่พอใจกับทัศนคติของเหอปี้อวิ๋นอย่างมาก จนถึงตอนนี้แม่ของเธอก็ยังไม่ตระหนักถึงความร้ายแรงของเรื่องนี้ ช่างโง่สิ้นดี!
“แม่ ต่อไปนี้อยู่ต่อหน้าพ่อ แม่ห้ามด่าเหมยเหมย เวลาพ่ออยู่บ้าน แม่ก็ทำดีกับอู่เหมยหน่อยนะ เหมยเหมยตอนนี้เจ้าอารมณ์มาก พ่อก็ชอบมัน แม่ด่ามันก็จะเป็นการไม่ไว้หน้าพ่อ พ่อจะไม่โกรธได้เหรอ?” อู่เยวี่ยเกลี้ยกล่อมอย่างฝืนความรู้สึก
เหอปี้อวิ๋นสีหน้าดูไม่ดีมาก พูดอย่างไม่พอใจ “พ่อของลูก ไม่ใช่เพราะเห็นน้องสาวของลูกหน้าตาเหมือน…”
พูดได้ครึ่งเดียว เหอปี้อวิ๋นก็ไม่พูดต่อ เธอรู้สึกว่าต่อหน้าลูกสาวพูดเรื่องสมัยก่อนไม่ค่อยเหมาะสมนัก จึงไล่ให้อู่เยวี่ยไปโรงเรียน
อู่เยวี่ยกลับรู้สึกสนใจมาก เมื่อคืนนี้ตอนที่พ่อแม่ทะเลาะกัน เธอจำคำพูดเหล่านั้นได้หมด เหยียนซินหย่ากับซั่งกวนอิงหวาอะไรนั่น รู้สึกเหมือนกับว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับพ่อแม่อย่างลึกซึ้ง
“แม่ เหมยเหมยหน้าตาคล้ายเหยียนซินหย่าใช่ไหม? เธอเป็นใคร?” อู่เยวี่ยถาม
………………………………………………………………………………..
ตอนที่ 317 ความสำนึกผิดของเหอปี้อวิ๋น
เหอปี้อวิ๋นสีหน้าเปลี่ยนไปมาก ความเกลียดส่องประกายออกมาในแววตาเธอ อู่เยวี่ยยิ่งแปลกใจ ผู้หญิงที่ชื่อเหยียนซินหย่าคนนี้มีความแค้นอะไรกับแม่ของเธอกันแน่?
“เป็นเด็กเป็นเล็กจะอยากรู้ไปทำไม? ลูกรีบไปโรงเรียน ตั้งใจเรียนหนังสือเถอะ เดือนหน้าพยายามสอบให้สยงมู่มู่เทียบไม่ได้ ระบายความโกรธแทนแม่นะ!”
เหอปิ้อวิ๋นดันอู่เยวี่ยออกไปนอกประตู เหยียนซินหย่าหน้าตาสวยกว่าเธอ ได้รับความนิยมชมชอบจากผู้ชายมากกว่าเธอ ถึงแม้ฐานะในครอบครัวไม่ดี แต่เธอก็ยังแพ้เหยียนซินหย่า เรื่องหน้าอับอายเช่นนี้จะพูดให้ลูกฟังได้อย่างไร?
อู่เยวี่ยจึงทำได้แค่ต้องไปโรงเรียน ก่อนจะไปเธอกำชับ ขอให้เหอปี้อวิ๋นอย่าด่าอู่เหมยอีก อย่างน้อยก็แกล้งทำต่อหน้าคนอื่นและอู่เจิ้งซือ เหอปี้อวิ๋นรับปากต่อหน้าเท่านั้น เพียงแต่ว่าจะทำได้หรือไม่นั้นมีเพียงเธอเท่านั้นที่รู้
หลังเลิกเรียนในตอนบ่าย อู่เหมยกับอู่เชาไปบ้านท่านผู้เฒ่าอู่ อาการบาดเจ็บของอู่เจิ้งซือต้องพักฟื้นอย่างน้อยครึ่งเดือน ไม่สามารถไปทำงานได้ชั่วคราว ทำให้อู่เจิ้งซือที่แต่ไหนแต่ไรทำงานอย่างระมัดระวังรอบคอบและมีจิตใจที่รับผิดชอบจึงหงุดหงิดเป็นพิเศษ ยิ่งเกลียดชังเหอปี้อวิ๋นมากขึ้น
ตั้งแต่เขาเข้าทำงานจนถึงตอนนี้ เขาไม่เคยลางานสักครั้งเดียว ถึงแม้เป็นไข้สูงถึงสามสิบเก้าองศา เขาก็ยังกัดฟันทนไปสอน ทำดีมาตลอดจนถึงตอนนี้ อาชีพการงานอันรุ่งโรจน์ของเขาถูกเหอปี้อวิ๋นเอาแท่นทับกระดาษทุบหัวทำลายหมดสิ้น จากนี้ไปสิ่งนี้ก็จะถูกบันทึกลงในประวัติการทำงานของเขา
เขา อู่เจิ้งซือ ต้องลางานครึ่งเดือน เพราะว่าเหตุทะเลาะเบาะแว้งในครอบครัวทำให้ศีรษะได้รับบาดเจ็บ
ทั้งหมดนี้จะบอกว่าเรื่องอะไรล่ะ!
ระหว่างทางอู่เชาถามอู่เหมยหลายคำถาม ล้วนเป็นคำถามที่เกี่ยวข้องกับการบาดเจ็บของอู่เจิ้งซือ อู่เหมยก็ไม่ปิดบังเขา เล่ารายละเอียดทั้งหมดที่เมื่อคืนคุยกับเหยียนหมิงซุ่นอีกรอบ และเน้นย้ำว่าเหอปี้อวิ๋นเห็นอู่เจิ้งซือใกล้ตายแล้วไม่ช่วย
เพียงแต่ว่า ความสนใจของเจ้าอ้วนมุ่งไปที่แท่นทับกระดาษชิ้นนั้น เขาส่ายหน้าไม่หยุด พลางเอ่ย “อาสะใภ้รองเสื่อมเสียเพราะแท่นทับกระดาษนั่นจริงๆ หยิบอย่างอื่นทุบไม่ได้ จงใจหยิบแท่นทับกระดาษ เฮ้อ!”
อู่เหมยมองเจ้าอ้วนเหมือนมองผี ไม่มีสมองคิดล่ะสิ?
“ศีรษะพ่อของฉันโดนทุบเป็นรูใหญ่ขนาดนั้น นายจะไม่มีปฏิกิริยาอะไรสักนิดเหรอ? อู่เหมยตบเขาแรงๆ หนึ่งฝ่ามือ
อู่เชาทำหน้าบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด เขาถูแขนไม่หยุด ทำเสียงฮึดฮัดพลางเอ่ย “ทำไมจะไม่มีปฏิกิริยาล่ะ? เมื่อคืนฉันฝันร้ายตลอดทั้งคืน อุ๊ย! เธอบอกว่าอาการทางประสาทของอู่เยวี่ยถ่ายทอดจากอาสะใภ้รองไม่ใช่เหรอ? ทำไมผู้หญิงสองคนนี้ชอบใช้ความรุนแรงทำร้ายคนล่ะ? แย่จริงๆ ฉันต้องคุยกับแม่ว่า ต่อไปต้องให้อู่เยวี่ยมาที่บ้านของฉันน้อยลง”
อู่เหมยยิ้มอย่างพอใจ นี่สิถึงจะเป็นปฏิกิริยาที่ถูกต้อง!
อู่เยวี่ยเป็นโรคประสาท ทั้งแม่และลูกล้วนมีอาการทางประสาท
ปัจจัยอย่างหลังยิ่งทำให้คนอย่างเธอมีความสุขโดยปริยาย!
พวกเขาเพิ่งจะถึงได้ไม่นาน เหอปี้อวิ๋นก็มา อู่เยวี่ยพาเธอเข้ามา ท่านผู้เฒ่าอู่กับท่านแม่เฒ่าต่างไม่สนใจเธอ ไม่แม้แต่จะมอง
“คุณย่าคะ แม่รู้ตัวว่าตัวเองทำผิดแล้ว” อู่เยวี่ยช่วยพูดเรื่องดีๆ
ท่านแม่เฒ่าอู่สีหน้าเย็นชา กล่าว “เยวี่ยเยวี่ยไปทำการบ้านสิ เดี๋ยวถึงเวลากินข้าวย่าจะไปเรียกเธอเอง”
ชัดเจนแล้วว่าไม่ยอมให้อู่เยวี่ยยื่นมาเข้าเกี่ยวกับเรื่องนี้ อู่เยวี่ยมองเหอปี้อวิ๋นอย่างลำบากใจ บ่งบอกว่าเธอไม่มีกำลังพอที่จะช่วยอะไรได้ ถ้าเกิดว่าเพราะเธอช่วยเหอปี้อวิ๋นพูด แล้วทำให้แม่เฒ่าไม่ประทับใจเธอล่ะ?
แต่ว่าท่านแม่เฒ่าอู่สนับสนุนเธอที่สุดในบ้านนี้ สำคัญกว่าเหอปี้อวิ๋นอีก!
อู่เหมยคุยเป็นเพื่อนอู่เจิ้งซือพลางเงี่ยหูฟังเหอปี้อวิ๋นพูด เหอปี้อวิ๋นระมัดระวังตัว ท่าทางถ่อมเนื้อถ่อมตัวที่สุด เธอร้องไห้สะอึกสะอื้น พูดว่าเธอ ถูกครอบงำด้วยความคิดชั่วร้าย ทำเรื่องที่ผิดพลาดที่ไม่น่าให้อภัย เห็นอยู่ทนโท่ว่าเป็นการเล่นละคร อู่เหมยฟังจนมุ่นคิ้ว
…………………………………………………………………..
ตอนที่ 318 ความกังวลของอู่เจิ้งซือ
“คุณแม่คะ ฉันมารับอู่เจิ้งซือกลับบ้านค่ะ ฉันจะดูแลเขาเป็นอย่างดีแน่นอน คุณแม่กับคุณพ่อสบายใจได้ค่ะ” เหอปี้อวิ๋นวิงวอน
ท่านแม่เฒ่าอู่กล่าวอย่างเย็นชา “พวกเราจะวางใจได้อย่างไร? ยอมให้เธอรับอู่เจิ้งซือกลับบ้านไป แล้วก็ทำให้เขาหัวแตกอีก ครั้งนี้เจิ้งซือดวงดี ครั้งหน้าไม่รู้ว่าจะยังโชคดีหนีรอดจากอันตรายได้หรือเปล่า!”
ท่านแม่เฒ่าอู่ที่เมื่อตอนสมัยสาวๆ ก็มีนิสัยอารมณ์ร้อน ปากร้ายยิ่งกว่าเหอปี้อวิ๋น หลังจากพูดฉีกหน้าครั้งนี้ เหอปี้อวิ๋นก็หน้าซีด เธอทำตัวไม่ถูก จึงทำได้แค่ยิ้มเข้าสู้
อู่เจิ้งซือสีหน้าเรียบเฉย เหมือนกับเขาไม่ได้ยินคำพูดของเหอปี้อวิ๋น เมื่อคืนจนถึงตอนนี้ เขาพิจารณาชีวิตแต่งงานของตัวเองกับเหอปี้อวิ๋นมาโดยตลด เส้นทางที่เดินจนมาถึงตอนนี้เป็นเขาเองที่ไม่ยอมมองดูมัน เมื่อกระจกแตกแล้วย่อมคืนสู่สภาพเดิมไม่ได้ เขากับเหอปี้อวิ๋นก็เช่นกัน เกิดรอยร้าวขนาดใหญ่ขึ้น เป็นไปไม่ได้ที่จะทำให้เหมือนว่าไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น
สิ่งที่ทำให้เขาไม่อยากที่จะอดทน คือ การทรยศทางความรู้สึกของเหอปี้อวิ๋น ผู้หญิงคนนี้ในใจคิดถึงแต่ชายคนอื่นมาโดยตลอด นอนเตียงเดียวกับเขา แต่ในใจกลับคิดถึงคนอื่น เรื่องนี้ไม่ว่าสำหรับผู้ชายคนไหนแล้ว ล้วนเป็นความอัปยศที่ยากจะอดทน
ทว่าในเวลานี้อู่เจิ้งซือกลับไม่คิดถึงเลยสักนิด จริงๆ แล้ว ตัวเขานอนอยู่กับเหอปี้อวิ๋น ในเวลาเดียวกันเขาก็กำลังคิดถึงผู้หญิงคนอื่น สองสามีภรรยาคู่นี้ก็พอๆ กัน เป็นคู่ที่เหมาะสมกันอย่างแท้จริง
ทว่าคนอย่างอู่เจิ้งซือเห็นแก่ตัวตั้งแต่ไหนแต่ไรมา เขาทำอะไรย่อมไม่ผิด แต่คนอื่นทำอะไรนิดหน่อยก็ผิดไปหมด ฉะนั้นเขาสามารถคิดถึงเหยียนซินหย่าได้ แต่เหอปี้อวิ๋นไม่สามารถคิดถึงชายอื่นได้
แต่ถึงกระนั้นอู่เจิ้งซือก็ยังลังเล ไม่ใช่ว่าเพราะมีความรู้สึกลึกซึ้งกับเหอปี้อวิ๋น เขามีความกังวลใจอยู่สองเรื่อง เรื่องแรกคือลูก อู่เยวี่ยกับอู่เหมยยังเด็ก หากเขาหย่ากับเหอปี้อวิ๋น ลูกๆ ต้องได้รับผลกระทบอย่างแน่นอน ตอนนี้ผลการเรียนของอู่เยวี่ยก็ไม่คงที่ อีกอย่างสภาพจิตใจก็ไม่ค่อยดี หากมีอะไรมากระทบกระเทือนจิตใจ ก็ยังไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น!
ส่วนอู่เหมย เขากลับไม่เป็นกังวล เด็กคนนี้ ไม่แน่ว่า อยากให้เขากับเหอปี้อวิ๋นหย่าร้างกันจะตายไป!
อีกสาเหตุหนึ่งคือ ตัวเขาเอง นับตั้งแต่ได้รับเลือกเป็นครูบุคคลต้นแบบประจำจังหวัดเมื่อหกปีที่แล้ว และเขาก็ได้รับตำแหน่งนี้หกปีติดต่อกัน ปีนี้หากไม่มีข้อยกเว้นคงจะไม่มีปัญหาอะไร รายงานก็ส่งไปหมดแล้ว การประเมินครูตัวอย่างประจำอำเภอไม่ได้ดูเฉพาะผลการทำงาน ความประพฤติและคุณธรรมส่วนตัวก็พิจารณาด้วย เขาเชื่อว่าไม่มีผู้นำคนใด จะยอมเลือกครูบุคคลต้นแบบที่มีประวัติหย่าร้าง
ถึงแม้ว่าผู้นำจะไม่มีความคิดเห็น แต่คนอื่นๆ ก็สามารถไปคัดค้านได้ อย่าคิดว่าเขาไม่รู้ ภายในนั้นก็มีหลายคนที่คอยดูเขาล้มลง!
อู่เจิ้งซือคิดใคร่ครวญหนึ่งวันหนึ่งคืน ผู้เฒ่าอู่กับอู่เจิ้งต้าวก็เตือนเขาว่าไม่ต้องหย่า ผู้ชายต้องให้ความสำคัญกับอาชีพ ผู้หญิงเป็นเพียงเรื่องเล็ก หากเธอเชื่อฟังก็ปลอบประโลมเล็กน้อย แต่หากไม่เชื่อฟังก็ลงโทษ
จะลงโทษเหอปี้อวิ๋นอย่างไรบ้าง อู่เจิ้งต้าวกับท่านผู้เฒ่าอู่ก็ให้ข้อคิดเห็นแก่อู่เจิ้งซือมากมาย เมื่อก่อนอู่เจิ้งซือใจอ่อนเกินไป ต่อไปต้องแสดงความน่าเกรงขามออกมา ลงโทษเหอปี้อวิ๋นให้เชื่อฟังแต่โดยดี
ช่วงหลายวันนี้คือกุณแจสำคัญ ต้องทำให้เหอปี้อวิ๋นกลัว เธอกลัวการหย่าร้างยิ่งกว่าอู่เจิ้งซือ อู่เจิ้งซือหย่าแล้วอย่างมากก็ไม่ได้รับการยกย่องเป็นครูบุคคลต้นแบบ ดูจากการทำงานและลักษณะหน้าตาของเขา หากต้องการหาผู้หญิงดีๆ มีเยอะแยะไป
แต่เหอปีอวิ๋นกลับไม่เป็นเช่นนั้น ผู้หญิงวัยกลางคนที่ไร้เกียรติและความงดงามแห่งวัย ยังสามารถแต่งงานกับผู้ชายดีๆ ได้หรือ?
คำพูดเหล่าอู่เจิ้งต้าวเป็นคนกล่าว เขาสมควรที่จะเป็นศาตราจารย์มหาวิทยาลัยอย่างที่สุด มองคนได้แม่นย่ำ แต่ก็เข้าใจความคิดของเหอปี้อวิ๋นได้อย่างทะลุปรุโปร่ง
เหอปี้อวิ๋นอยู่ที่นี่ก็ล้มเหลวจึงต้องกลับ คนตระกูลอู่ไม่มีใครสนใจเธอ ข้าวก็ไม่เก็บไว้ให้เธอกิน เหอปี้อวิ๋นจะหน้าด้านแค่ไหนก็อยู่ไม่ได้ ทำได้เพียงจากไป
เหอปี้อวิ๋นในเวลานี้รู้สึกหวาดกลัวจริงๆ เห็นท่าทางของคนตระกูลอู่แล้ว ก็เกิดกลัวว่าตระกูลอู่จะปั่นหัวอู่เจิ้งซือให้หย่ากับเธอจริงๆ เหอปี้อวิ๋นที่จิตใจว้าวุ่น กลับไปบ้านตัวเองอย่างรีบร้อน เธอต้องหาใครสักคนปรึกษา
………………………………………………………………………
ตอนที่ 319 อู่เจิ้งหงที่น่ารัก
ช่วงเวลาอาหารค่ำ ครอบครัวของอู่เจิ้งหงก็มาด้วย อู่เจิ้งหงเป็นคนอารมณ์รุนแรง พอเธอเห็นเลือดที่ศรีษะอู่เจิ้งซือจากการถูกตี ก็ระเบิดลงในทันที บอกให้อู่เจิ้งซือหย่าขาดกับเหอปี้อวิ๋น
“พี่รองคะ ผู้หญิงแบบนี้ พี่ยังจะเก็บเอาไว้ทำไม รีบๆ หย่าแล้วทิ้งไปเถอะ!”
อู่เจิ้งหงก่นด่า น้ำเสียงดุดันเป็นพิเศษ ก็ไม่รู้แล้วว่ามีใครมายั่วให้เธอโมโหอีก
อู่เหมยนึกขึ้นได้ว่า วันนั้นจี้เหวินฮุ่ยปรากฏตัวที่ห้องเรียนเยาวชน หรือว่า…
แต่จากนิสัยของจี้เหวินฮุ่ย ถ้าเธอเห็นจี้เจี้ยนโปอยู่กับเฮ่อเหวินจิ้งจริงๆ เธอต้องกลั้นเอาไว้ไม่ไหวแน่ๆ กลับมาบ้านก็ต้องบอกอู่เจิ้งหงอย่างแน่นอน อีกอย่างด้วยนิสัยของอู่เจิ้งหง อาจเป็นไปได้ที่ในวันนั้นเธอไปคิดบัญชีกับเฮ่อเหวินจิ้งแล้ว จะยังทนอัดอั้นตันใจตั้งสองวันได้อย่างไร?
ในใจของอู่เยวี่ยรู้สึกเคียดแค้นมาก เธอจิกต้นขาอย่างแรง มองอู่เจิ้งซือน้ำตาคลอ พลางพูดเสียงสะอื้น “คุณพ่อ ห้ามหย่ากับแม่นะ หนู่ไม่อยากให้คนอื่นหัวเราะเยาะที่พ่อแม่หนูหย่าร้างกัน”
ท่านแม่เฒ่าจ้องอู่เจิ้งหงเขม็ง ปลอบอู่เยวี่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน อู่เยวี่ยร้องไห้ กระซิกๆ จนตาและจมูกแดงไปหมด เห็นแล้วดูน่าสงสารมาก แม่เฒ่ารักและเอ็นดูเธอจริงๆ ปลอบเธออยู่ตั้งนาน
“คุณแม่คะ แม่ก็หันมาสนใจหลานสาวบ้างสิ เหวินฮุ่ยสอบคณิตศาสตร์ครั้งนี้ได้เก้าสิบห้าคะแนน ซึ่งเป็นคะแนนสูงที่สุดของชั้นเรียนเลยนะคะ ไม่เห็นแม่ชมเหวินฮุ่ยกับครอบครัวหนูเลย หนูว่าแม่เองก็ไม่ต่างกับพี่สะใภ้รอง มีความก้าวหน้าไม่ชมเชย แต่พอแย่ลงก็ยังให้เป็นหลานรัก!’
อู่เจิ้งหงพูดอย่างตรงไปตรงมา เธอดูถูกดูแคลนเหอปี้อวิ๋น สาเหตุหลักก็เป็นเพราะว่าลูกสาวของเหอปี้อวิ๋นแย่งความรักที่เป็นของลูกสาวบ้านเธอไป แน่นอนว่า ตัวเธอเองก็ไม่ชอบเหอปี้อวิ๋น
อู่เหมยยิ้มมุมปาก แอบขำอยู่ในใจเงียบๆ อู่เจิ้งหงพูดจาน่ารักจริงๆ เธอมองว่านี่เป็นการพูดจี้ใจดำ แต่ท่านแม่เฒ่าอาจจะโกรธจนหัวใจวายได้!
หัวใจของท่านแม่เฒ่าแข็งแรงมาก ไม่มีแม้กระทั่งอาการป่วยเล็กๆ น้อย ทว่าก็ยังโกรธอยู่ไม่น้อย เธอจ้องอู่เจิ้งหงเขม็งอีกครั้ง แต่ก็จนปัญญากับเธอ ใครปล่อยให้สิ่งที่น่าผิดหวังนี้ออกมาจากท้องเธอล่ะ!
“เหวินฮุ่ยกินซี่โครงหมูสิ มีความมุมานะพยายาม ไม่ย่อท้อต่อไปนะลูก”
ท่านแม่เฒ่าจำใจต้องคีบซี่โครงหมูให้จี้เหวินฮุ่ย ยิ้มพลางพูดให้กำลังใจ จี้เหวินฮุ่ยหันไปทำเสียงฮึอย่างภาคภูมิใจใส่อู่เยวี่ย เธอกัดซี่โครงหมูอย่างเอร็ดอร่อย อู่เยวี่ยไม่ใส่ใจ แต่กลับยิ้มแย้มพลางอวยพรจี้เหวินฮุ่ย
“เหวินฮุ่ยเก่งจริงๆ ครั้งหน้าก็พยายามสอบให้ได้หนึ่งร้อยคะแนนให้ได้นะ!”
จี้เหวินฮุ่ยมองเธอแวบหนึ่งด้วยความภูมิใจ “เธอห่วงตัวเธอเองก่อนเถอะ คราวหน้าอย่าสอบได้แย่อีกล่ะ!”
“ไม่เป็นอย่างนั้นแน่นอน”
อู่เยวี่ยรู้สึกเคียดแค้นอยู่ในใจ
เธอฝืนยิ้ม ขี้เกียจจะรับมือกับครอบครัวโง่เง่า ขอแค่รอให้เธอสอบได้ที่หนึ่งอีกครั้งในการสอบคราวหน้า จะดูว่าสองแม่ลูกนี้จะยังมีหน้ามาพูดอะไรได้อีก?
ก็แค่เก้าสิบกว่าคะแนน เก่งตรงไหน ตอนโรงเรียนประถมวิชาภาษาและวรรณคดีเธอไม่เคยต่ำกว่าเก้าสิบห้าคะแนน คณิตศาสตร์ ภาษาอังกฤษ สอบได้หนึ่งร้อยคะแนนเป็นเรื่องปกติ เชอะ!
อู่เจิ้งหงก็ภูมิใจมากเช่นกัน เธอยิ้มกริ่มพลางกล่าว “เยวี่ยเยวี่ย เธอก็อย่าฝืนตัวเองเกินไปนะ พยายามทำให้ดีที่สุดล่ะ อย่าทำเพื่ออันดับหนึ่งจนทำให้สภาพจิตใจของตัวเองมีปัญหา มันไม่คุ้มเลยนะ”
อู่เยวี่ยสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด มองท่านแม่เฒ่าด้วยความน้อยใจที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม โรคประสาททำให้เธอปวดหัวยิ่งกว่ามีกลิ่นตัว ทั้งหมดเป็นเพราะยายสารเลวอู่เหมยพูดซี้ซั้วว่าเธอสภาพจิตใจมีปัญหา ข่าวลือที่น่าหวาดกลัว จนแทบจะเป็นจริง เธอไม่ได้ป่วยเป็นโรคประสาทสักหน่อย แต่ตอนนี้ลือกันไปทั้งเมือง เธอเกรงว่าผู้คนจะเข้าใจว่าเธอป่วย!
“คุณย่าคะ สภาพจิตใจของหนูดีมาก จะมีปัญหาได้อย่างไรคะ? คุณอา ทำไมต้องพูดว่าหนูอย่างนี้ด้วย?” อู่เยวี่ยร้องไห้สะอึกสะอื้น น้ำตาไหลพราก
ท่านแม่เฒ่าอู่หน้าเคร่งขรึม จ้องอู่เจิ้งหงอย่างขุ่นเคือง หลานสาวคนโตก็แค่เรียนหนังสือเหนื่อยล้า จะเป็นโรคประสาทได้อย่างไร?
……………………………………………………………….
ตอนที่ 320 ฉันจะไปอาละวาดที่หน่วยงานของเธอ
อู่เจิ้งหงทำเสียงฮึดฮัดอย่างเย็นชา สีหน้าหม่นหมอง เธอคีบซี่โครงหมูลงในชามของลูกชาย จี้เหวินเฟิง และตัวเองก็กินบ้าง จี้เจี้ยนโปเหมือนกับเวลาปกติ เขาก็คีบซี่โครงหมูให้ลูกสาว พูดพลางยิ้ม “บ้านของเราเนี่ย เหวินฮุ่ยเป็นคนเก่ง พ่อให้รางวัลลูกด้วยการให้กินซี่โครงหมูนะ”
“ในชามหนูมีแล้วค่ะ ไม่ต้อง”
จี้เหวินฮุ่ยสีหน้าและท่าทางเฉยชา เธอขยับชามไปด้านข้าง แสดงถึงความผิดปกติ จี้เจี้ยนโปหัวเราะเก้อเขิน เอาซี่โครงหมูที่ถือค้างไว้ ใส่เข้าไปในปากตัวเอง
อู่เจิ้งหงยิ้มให้ลูกสาวอย่างเมตตา แล้วก็คีบซี่โครงหมูวางลงในชามของจี้เหวินฮุ่ยอีก ครั้งนี้จี้เหวินฮุ่ยไม่ปฏิเสธ เธอกินอย่างเอร็ดอร่อย จี้เจี้ยนโปสีหน้าเศร้าสลด และยิ้มกับตัวเอง
ส่วนคนอื่นๆ ไม่ได้สังเกตเห็นความผิดปกติของครอบครัวนี้ มีเพียงอู่เหมยคนเดียวที่สังเกตเห็น เธอแอบสงสัยอยู่ในใจ
อู่เจิ้งหง ครอบครัวนี้เป็นอะไร ดูแล้วก็ไม่เหมือนสองสามีภรรยาทะเลาะกัน หากเป็นเพียงสามีภรรยาทะเลาะกัน จี้เหวินฮุ่ยคงจะไม่เย็นชาใส่จี้เจี้ยนโปไปด้วยอีกคน อู่เหมยครุ่นคิด แล้วก็คิดออกเรื่องหนึ่งฉับพลัน เธอใจหล่นวูบ
เมื่อวานจี้เหวินฮุ่ยไปปรากฏที่ห้องเรียนเยาวชน เพราะอย่างนั้นก็อาจจะเป็นไปได้ที่เธอเห็นจี้เจี้ยนโปอยู่กับเฮ่อเหวินจิ้ง จากนิสัยของจี้เหวินฮุ่ย ถ้าเธอไม่บอกอู่เจิ้งหงสิถึงจะเป็นเรื่องแปลก!
แต่ก็ไม่ถูกต้อง หากจี้เหวินฮุ่ยบอกไปแล้วจริงๆ อู่เจิ้งหงก็คงจะอาละวาดตั้งนานแล้ว จะนิ่งสงบอย่างนี้ได้อย่างไร?
อู่เหมยคิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก การแสดงออกของอู่เจิ้งหงสองแม่ลูกแปลกประหลาดจริงๆ
บรรยากาศอาหารเย็นมื้อนี้ผิดปกติมากๆ อู่เจิ้งหงพูดกระทบเทียบหลายประโยคบ่อยๆ เธอพูดจาถากถางอู่เยวี่ย อู่เหมยก็ไม่ปล่อยไปเช่นกัน กระทั่งเจ้าอ้วนอู่เชาก็โดนเธอว่าเช่นกัน บอกว่าอู่เชาต้องออกกำลังกายเยอะๆ ไม่อย่างนั้นต่อไปจะไม่สูงขึ้น ผู้หญิงก็จะดูถูกเขา
ทีแรกจี้เจี้ยนโปอยากจะพูดเรื่องตลกเพื่อให้ผ่อนคลายลง แต่อู่เจิ้งหงกลับไม่สนใจเขาเลยสักนิด น้ำเสียงยังกระแทกแดกดัน ทำให้จี้เจี้ยนโปพูดน้อยลง ไม่มีเรื่องอะไรเกี่ยวกับเขา
เดิมทีตี๋ชิวเยวี่ยนั่งกินอย่างเงียบๆ อยู่ข้างท่านผู้เฒ่าอู่ ตั้งแต่ไหนแต่ไรเธอพูดไม่ค่อยเก่ง แต่ตอนนี้อู่เจิ้งหงพูดถึงลูกชายเขา แน่นอนว่าเธอนั่งไม่ติด
ตี๋ชิวเยวี่ยกล่าวอย่างช้า ๆ “เจิ้งหงนี่ไปกินดินปืนที่ไหนมา? เสี่ยวเชาของฉันไปทำผิดอะไร เจิ้งหง ฉันจะบอกเธอเอาไว้ ฉันอบรมเสี่ยวเชาเป็นอย่างดีแน่นอน ถ้าไม่รู้แม้กระทั่งเด็กและผู้ใหญ่ ฉันคงต้องจัดการเขาจริงๆ!”
อู่เจิ้งหงไม่ใช่คนโง่เขลา แน่นอนว่าเธอฟังตี๋ชิวเยวี่ยออกว่า กำลังว่าเธอไม่รู้จักเด็ก ไม่รู้จักผู้ใหญ่ สักพักไฟแห่งความเดือดดาลก็พลุ่งพล่านขึ้นมา ความเดือดดาลของเธอกำลังจะปะทุ ท่านแม่เฒ่าพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เจิ้งหงไปตักน้ำแกงกับแม่ในครัว!”
ท่านแม่เฒ่าหน้านิ่ง กำลังจะเดินเข้าไปในห้องครัว
เธอก็ด่าออกมา “วันนี้แกตั้งใจกลับบ้านมาก่อกวน? แกยังทำตัวเป็นอาได้อย่างไร เอะอะโวยวายเหมือนกับเด็กน้อย? แต่พี่สะใภ้ใหญ่ของแกไม่พูด ฉันจึงต้องด่าแก”
อู่เจิ้งหงเม้มปากด้วยความน้อยใจ นึกถึงเรื่องเศร้าใจ น้ำตาก็ไหลออกมาก่อนที่จะพูด เธอร้องไห้พลางพูด “แม่คะ หนูรู้สึกแย่… จี้เจี้ยนโปมีคนอื่น!”
อู่เหมยที่แกล้งไปตักข้าวมือสั่น เธอเกือบจะทำถ้วยตก จี้เหวินฮุ่ยเห็นพอดี แถมยังบอกอู่เจิ้งหงอีก แต่เรื่องแบบนี้อู่เจิ้งหงข่มความโกรธได้อย่างไร?
เมื่อก่อนแค่เหตุการณ์เล็กๆ น้อย เธอก็เสียงดังเอ็ดตะโรขึ้นมาแล้ว แต่ครั้งนี้มีหลักฐานจริงๆ เธอกลับนิ่งเงียบ ช่างน่าแปลกจริงๆ
เดิมทีท่านแม่เฒ่าที่อยู่ในครัวทำเป็นเหมือนไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น แต่พอได้ยินว่าจี้เหวินฮุ่ยเห็นกับตาตัวเอง ท่านแม่เฒ่าก็เชื่อโดยปริยาย เธอถามอู่เจิ้งหงคิดจะทำอย่างไร
“นังจิ้งจอกนั่น หนูจะต้องไปอาละวาดที่หน่วยงานของมัน ฉีกเสื้อผ้าของมัน แปะรูปโปสเตอร์ใหญ่ๆ ของมัน แล้วก็โกนหัวมัน ฮึ! หนูจะทำให้มันอับอายจนอยู่ในหน่วยงานต่อไปไม่ได้!”
อู่เจิ้งหงพูดด้วยความแค้นเคือง พร้อมกับใบหน้าที่ดูดุร้ายขึ้นจนดูน่ากลัวกว่าเดิมเป็นเท่าตัว
………………………………………………………………………………….
ตอนที่ 321 ท่านแม่เฒ่าที่ใจดำอำมหิต
ท่านแม่เฒ่าก็สงสัยเหมือนกับอู่เหมย “ทำไมครั้งนี้แกทนไหว?”
อู่เจิ้งหงพูดเสียงอ่อย “หนูเป็นห่วงพี่รองน่ะสิ นี่ถ้าไม่มีเรื่องของพี่รองนะ เมื่อคืนนี้หนูคงได้ไปอาละวาดแล้ว แม่คะ หนูถามมาเรียบร้อยแล้ว พรุ่งนี้ช่วงบ่ายนังจิ้งจอกนั่นมีสอน พรุ่งนี้หนูจะเลิกงานเร็วหน่อย จะไปห้องเรียนเยาวชนอาละวาดให้หนักสักครั้ง ทำให้นังสารเลวที่ไร้ยางอายไม่กล้ามาหว่านเสน่ห์เจี้ยนโปอีก”
ท่านแม่เฒ่าทำเสียงขึ้นจมูกอย่างไม่พอใจ และกล่าวอย่างแค้นเคือง “นังจิ้งจอกไม่ใช่คนดีอะไร ผู้ชายของแกก็ไม่ได้ดีอะไร ตบมือข้างเดียวมันไม่ดัง ตอนนั้นที่ไม่ยอมให้แกแต่งงานกับเจี้ยนโป แกก็ไม่ฟัง จะผูกคอตายเพราะจี้เจี้ยนโป คนเจ้าชู้นี้ให้ได้ แล้วแกจะโทษใครได้ล่ะ?”
อู่เจิ้งหงทำปากยื่น “ก็หนูเห็นว่าเขาหน้าตาดี มันแต่งกันไปแล้ว แม่จะมาพูดประชดประชันหนูตอนนี้มันจะมีความหมายอะไรล่ะ!”
ท่านแม่เฒ่าทำเสียงฮึดฮัด หน้าตาดีจะมีประโยชน์อะไร ผู้ชายยิ่งหน้าตาดียิ่งเจ้าชู้ ถ้าแกเชื่อฟังคำตักเตือนของผู้ใหญ่ ก็จะไม่ได้รับความเสียหาย แต่ตอนนี้เสียหายกันใหญ่แล้ว!
ถึงแม้จะโกรธอู่เจิ้งหงที่ไม่เชื่อฟัง แต่ท่านแม่เฒ่าก็ยังเป็นห่วงลูกสาวของตัวเอง จึงให้คำแนะนำแก่เธอ “พรุ่งนี้แกอย่าไปคนเดียว เอาเพื่อนสนิทไปด้วย ในเมื่อตั้งใจจะไปอาละวาดแล้ว ก็อาละวาดให้หนักสักหน่อย ยังไงแกก็เป็นฝ่ายถูก ไม่มีใครพูดอะไรได้สักคำ!”
อู่เจิ้งหงมีความกังวลเล็กน้อย “เจี้ยนโปเขาจะโกรธไหมแม่?”
ท่านแม่เฒ่าส่งเสียงฮึ พลางกล่าวอย่างเหยียดหยาม “นอกเสียจากว่าเขาไม่อยากได้ตำแหน่งรองศาสตราจารย์แล้ว หาไม่แล้วเขาก็คงไม่กล้าโวยวายหรอก”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ สีหน้าของท่านแม่เฒ่าก็ปรากฏความภูมิใจ เธอตั้งใจสั่งสอนลูกสาวว่า “แกคิดว่าทำไมแม่ถึงบอกให้พ่อกับพี่ชายของแกถ่วงเวลาไม่ช่วยประเมินการเป็นรองศาสตราจารย์ให้แก่จี้เจี้ยนโป ไม่ใช่เพื่อแกที่ไม่รู้สำนึกผิดชอบชั่วดีหรือไง ตอนนี้เป็นโอกาสเหมาะที่พวกเราจะใช้สิ่งนี้บีบเจี้ยนโปไว้ คิดว่าเขาก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้!”
ในเวลานี้อู่เจิ้งหงถึงได้เข้าใจความตั้งใจของท่านแม่เฒ่า เธอรู้สึกอับอาย เมื่อก่อนเธอยังบ่นว่าท่านแม่เฒ่าไม่ยอมช่วยเธออยู่เลย!
“คุณแม่คะ หนูเข้าใจแม่ผิดไป!” อู่เจิ้งหงพูดเสียงอ่อย
ท่านแม่เฒ่ามองเธอด้วยสายตาเหยียดแวบหนึ่ง พูดอย่างไม่สบอารมณ์ “ต่อไปแกต้องใช้หัวคิดบ้าง เรียนรู้ให้มากๆ เหมือนพี่สะใภ้คนโตของแก ถ้าแกมีความสามารถได้ครึ่งหนึ่งของพี่สะใภ้คนโต ฉันก็ตายตาหลับแล้ว”
อู่เจิ้งหงมุ่ยปาก แม้ว่าในใจจะไม่ยอม ถึงอย่างไรก็ไม่มั่นใจที่โต้แย้งท่านแม่เฒ่าเหมือนเมื่อก่อน เธอไม่ได้โง่เขลา แม้ว่าแม่ของตัวเองมักจะรังเกียจตัวเธอเอง แต่ถึงเวลาสำคัญแม่ก็ยังคอยเป็นที่พึ่งพาเสมอ!
อู่เหมยฟังแล้ว รู้สึกแอบเป็นกังวล หรือว่าเฮ่อเหวินจิ้งจะหนีไม่พ้นเคราะห์ร้ายของชาติที่แล้วได้?
ไม่ได้ เธอต้องไปบอกเฮ่อเหวินจิ้ง
อู่เหมยรู้จักท่านแม่เฒ่าของตัวเองเป็นอย่างดี เดิมทีอู่เจิ้งหงคิดจะยั้งมือไว้ชีวิต แต่ท่านแม่เฒ่ากลับโหดเหี้ยมกว่า ดูเหมือนว่าเมื่อชาติที่แล้วก็เป็นความคิดของท่านแม่เฒ่า
เวลาปกติท่านแม่เฒ่าที่ทั้งหน้าตาอ่อนโยน จิตใจดีมีเมตตา กินเจ สวดมนต์ ดูไม่ออกเลยจริงๆ ว่าวิธีการของเธอ จะโหดเหี้ยมขนาดนี้ เหมือนนายหญิงในหอแดงที่ยังมีชีวิต!”
อู่เหมยกระแอมหนัก และก้าวเท้าเสียงดังขึ้น เสียงสนทนาในห้องครัวหยุดลงทันที อู่เหมยเข้าไปตักข้าวแล้วก็เดินออกมา
หลังจากกินข้าวเย็นเสร็จ อู่เหมยขอลากลับกับทุกคน อู่เจิ้งต้าวไปส่งเธอที่บ้าน ระหว่างทางที่กลับเงียบเป็นปกติ เขาถามอู่เหมยเกี่ยวกับเรื่องเรียน และยังชมเธอหลายคำ ช่างน่าประหลาดใจนักที่ได้รับการโปรดปรานอย่างไม่คาดคิด!
ภายในบ้านว่างเปล่า เหอปี้อวิ๋นไม่อยู่บ้าน ก็ไม่รู้ว่าไปไหนแล้ว ทั้งเตาและหม้อ ถ้วยชามสะอาดสะอ้าน ดูเหมือนเธอไม่ได้กลับมาบ้าน อู่เหมยเดาว่าเธอน่าจะกลับไปบ้านตัวเองแล้ว
เกิดเรื่องใหญ่โตขนาดนี้ เหอปี้อวิ๋นไม่กลับไปหาคนช่วยคิดหาทางสิถึงจะแปลก!
…………………………………………………………………………..
ตอนที่ 322 ประวัติความเป็นมาไม่เบา
อู่เหมยรู้ว่าเหอปี้อวิ๋นต้องกลับไปที่บ้านของตัวเองเพื่อปรึกษากับท่านแม่เฒ่า อู่เจิ้งซือถูกทุบหัวแตกเป็นรูใหญ่ ไม่แน่ว่าต้องเกลียดเหอปี้อวิ๋นมากๆ ถึงอู่เจิ้งซือไม่คิดบัญชีกับเธอ แต่ท่านแม่เฒ่าอู่ก็ให้อภัยเธอไม่ได้ เหอปี้อวิ๋นจะไม่กังวล ไม่หวาดกลัวได้หรือ?
ท่านแม่เฒ่าของตระกูลอู่ไม่ใช่คนดีอะไร ท่านแม่เฒ่าเหอก็ใช่ว่าจะหาเรื่องกันได้ง่ายๆ บทบาทและความร้ายกาจก็มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั้งใกล้และไกล หากจะพูดให้พอฟังได้สักหน่อยก็คืออารมณ์ร้าย ปากจัด แต่หากพูดตามจริงแล้วก็คือครอบครัวที่ตกอับดีๆ นี่เอง หากท่านแม่เฒ่าสองคนนี้สู้กัน ยังไม่รู้ว่าใครชนะ ใครแพ้!
อู่เหม่ยพอใจกับการพัฒนาของเรื่องนี้มาก เธอไม่เคยเพ้อฝันถึงเรื่องการหย่าร้าง อู่เจิ้งซือจะไม่หย่ากับเหอปี้อวิ๋นเด็ดขาด เขาเป็นครูต้นแบบประจำจังหวัด และเป็นสมาชิกพรรคที่ยอดเยี่ยมอีก เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่รักชื่อเสียงของตัวเอง?
แต่สำหรับคนรุ่นหลังแล้ว การหย่าร้างเป็นเรื่องธรรมดาเหมือนกับการกินข้าว ปัจจุบันนี้หากใครหย่าร้างแล้ว คำซุบซิบนินทาของผู้คนก็ทำร้ายจิตใจคนให้ถึงตายได้ โดยเฉพาะตำแหน่งข้าราชการ เป็นไปได้อย่างมากที่จะส่งผลต่ออาชีพ แต่อู่เจิ้งซือไม่ได้โง่ขนาดนั้น!
แม้ว่าไม่หย่าร้าง หากต่อไปการใช้ชีวิตของเหอปี้อวิ๋นไม่ดีแล้ว ก็ต้องอยู่เงียบๆ อย่างอ่อนน้อม เอาหางจุกก้นไว้ก่อนแน่นอน ฮ่าฮ่า!
อู่เหมยรอคอยละครที่ยอดเยี่ยมในอนาคตเป็นอย่างมาก!
ฟ้ามืดลงแล้ว เหอปี้อวิ๋นยังคงไม่กลับบ้าน อู่เหมยรู้ว่าคืนนี้เธอคงไม่กลับบ้านแล้ว เธอกำลังจะขึ้นไปชั้นบนเพื่อบอกว่า คืนนี้เธอจะค้างที่บ้านของตัวเอง ไม่ไปนอนที่บ้านตระกูลสยง
บ้านสยงมู่มู่กำลังกินข้าวเย็น ไม่คิดว่าจะมีแขกที่เธอรู้จัก นั่นก็คือ เฮ่อเหวินจิ้ง
“เหมยเหมยกินข้าวมาหรือยัง? มากินอะไรสักหน่อยไหม? จ้าวอิงหนานทักทายอย่างอบอุ่น
อู่เหมยปฏิเสธด้วยรอยยิ้ม อาหารค่ำของตระกูลอู่มีมากมายเต็มโต๊ะ เธอกินข้าวไปสองชาม เธอกินจนอิ่มแปล้มาแล้ว
ประจวบเหมาะที่เฮ่อหวินจิ้งอยู่ที่นี่ พรุ่งนี้เธอจะได้ไม่ต้องไปที่ห้องเรียนเยาวชนอีกรอบ เธอไปดูทีวีก่อน รอให้พวกเจ้าอิงหนานกินข้าวเย็นเสร็จ ค่อยคุยเรื่องนี้เพียงลำพังกับเฮ่อเหวินจิ้ง เพราะถึงยังไงมันไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดีอะไร
“พี่หนานคะ กำไลเงินที่มือของพี่สวยมากเลย ซื้อจากที่ไหนคะ?”
เฮ่อเหวินจิ้งสังเกตเห็นกำไลที่เปล่งประกายแวววับบนมือจ้าวอิงหนาน เธอรู้สึกสนใจมาก
กำไลเงินที่จ้าวอิงหนานใส่อยู่บนมือ ทั้งชุดนั้นอู่เหมยเป็นคนมอบให้เธอ เธอใส่มันทั้งสองวง แม้กระทั่งปิ่นปักผมก็สอดอยู่บนหัว ทั้งๆ ที่มองอย่างเดียวก็ดูธรรมดา แต่พออยู่สวมใส่บนร่างกายแล้ว รู้สึกว่าแตกต่างกันมาก ทำให้ดูสง่างาม
“เหมยเหมยแสดงความกตัญญูต่อฉันน่ะ” จ้าวอิงหนานชี้ไปที่อู่เหมยด้วยความภูมิใจ
เฮ่อเหวินจิ้งมองไปที่อู่เหมยอย่างประหลาดใจ เธอถาม “เหมยเหมยของพวกนี้ซื้อมาจากไหนเหรอ? ฉันก็จะไปซื้อมาใส่สักหนึ่งชุด
อู่เหมยหน้าแดงก่ำ
เธอรู้สึกเขินเล็กน้อย พูดอ้ำอึ้ง “หนูซื้อที่ถนนหนานสุ่ยค่ะ เป็นของไม่มีราคาอะไร แม่บุญธรรมก็ไม่รังเกียจมัน”
จ้าวอิงหนานหัวเราะอย่างเบิกบานใจ “กำไลสวยขนาดนี้ ฉันชอบมาก ไม่แน่กำไลนี้ องค์หญิงอาจเคยใส่ก็ได้นะ!”
อู่เหมยหลุดขำออกมา เธอรู้ว่าจ้าวอิงหนานกลัวว่าเธอทำตัวไม่ถูกถึงได้จงใจพูดอย่างนี้ จะมีองค์หญิงคนไหนที่ยากจนข้นแค้นจนต้องมาสวมเครื่องประดับเงินได้?
เฮ่อเหวินจิ้งที่กำลังพิจารณากำไลเงินอย่างพิถีพิถัน ขอให้จ้าวอิงหนานถอดกำไลเงินออกมาให้เธอดู และยังมีปิ่นปักผมอีก
เฮ่อเหวินจิ้งพลิกกำไลเงินกับปิ่นปักผมดูกลับไปกลับมา เหมือนกับดูของล้ำค่าอะไรอย่างนั้น พ่อสยงพูดล้อเล่น “รึว่ากำไลนี้จะมีองค์หญิงคนไหนเคยใส่จริง ๆ
เฮ่อเหวินจิ้งเห็นลายใบไม้สามใบเล็กๆ ที่อยู่ด้านในกำไล เธอก็ฉีกยิ้มมุมปาก หันไปยิ้มกับพ่อสยง “พี่พูดถูกจริงๆ ด้วย ประวัติความเป็นมาของเครื่องประดับเงินเหล่านี้ไม่เบา องค์หญิงกับผู้หญิงทั่วไปไม่สามารถครอบครองได้!”
อู่เหมยกับคนตระกูลสยงตกใจ กะพริบตาปริบๆ ถามพร้อมกัน “ประวัติความเป็นมาอะไร?”
…………………………………………………………………
ตอนที่ 323 เครื่องประดับเงินที่มีมูลค่า
เฮ่อเหวินจิ้งวางเครื่องประดับเงินสามชิ้น เรียงกันบนโต๊ะน้ำชา แล้วชี้ลายใบไม้สามใบที่ซ่อนอยู่ด้านในของเครื่องประดับพลางถาม “เห็นลายพวกนี้ไหม?”
ทุกคนพยักหน้าพร้อมกัน สยงมู่มู่อดไม่ได้เอ่ยถามขึ้นมา “ลายพวกนี้มีความลี้ลับเหรอครับ”
“ใช่ นี่เป็นเครื่องหมายที่ใช้เฉพาะของปรมาจารย์ที่มีชื่อเสียงมากในราชวงศ์ถัง นามสกุลของเขาคือเย่ เครื่องประดับทั้งหมดที่เขาทำขึ้นมาจะมีลายใบไม้สามอันนี้ ปรมาจารย์เย่ผู้นี้ นิสัยแปลกประหลาดมาก
เขาไม่ชอบทอง และหยก เขาชอบทำเครื่องประดับด้วยเงินเท่านั้น เดิมทีอยากทำเพื่อให้นางสนองในราชสำนักกลับมาหาเขา แต่เครื่องประดับที่เขาทำมันงดงามจริงๆ แม้เป็นเงินที่ธรรมดาที่สุด แต่บรรดาผู้สูงศักดิ์เหล่านั้นก็แห่กันแย่งชิงด้วยการใช้เงินมากมายซื้อ!”
เฮ่อเหวินจิ้งแนะนำชีวิตของปรมาจารย์เย่อย่างง่ายๆ และกล่าวว่า “เพราะว่ายุคเก่าแก่นมนาน เครื่องประดับของปรมาจารย์เย่ที่สืบทอดมามีเหลือไม่เยอะ และยิ่งเป็นชุดด้วยแล้วยิ่งมีน้อยมาก พี่หนาน พี่ช่างโชคดีจริงๆ ที่ได้เครื่องประดับเงินของปรมาจารย์เย่ครบชุด!”
จ้าวอิงหนานวางเครื่องประดับเงินทั้งสามชิ้นตรงหน้า จากนั้นมองแล้วมองอีก เธอกลืนน้ำลายแล้วถาม “หากพูดอย่างนี้แล้ว เครื่องประดับเงินสามชิ้นนี้ต้องมีมูลค่ามากเลยใช่ไหม?”
เฮ่อเหวินจิ้งพูดอย่างไม่พอใจ “พี่หนานคะ เครื่องดับเงินของปรมาจารย์เย่จะติดกลิ่นเหรียญกษาปณ์ทองแดงได้อย่างไรกัน? มันวัดด้วยเงินไม่ได้เลยสักนิด!”
กษาปณ์ทองแดงกับน้องสาวที่เพิกเฉยต่อเรื่องเล็กๆ ทางโลกคนนี้ พูดก็ไม่ชัดเจน เฮ่อเหวินจิ้งตั้งแต่เล็กจนโตก็ไม่เคยลำบาก จึงไม่เข้าใจความยิ่งใหญ่ของเงินนั่นเอง
ทั้งวันยังคิดถึงแต่ความโรแมนติกของสายลมดอกไม้หิมะพระจันทร์โศกเศร้ากับฤดูใบไม้ร่วงน่ะสิ!
ไม่เช่นนั้นแล้วก็ไม่ถูกผู้ชายที่แต่งงานแล้วหลอกจนเหมือนกับคนโง่เขลา เมื่อวานจ้าวอิงหนาน ฟังสยงมู่มู่เล่าเรื่องของเฮ่อเหวินจิ้งกับจี้เจี้ยนโป เธอโกรธจนอยากจะตบปากเฮ่อเหวินจิ้ง ตีให้น้องสาวที่โง่คนนี้มีสติ
เธอถึงได้โทรหาเฮ่อเหวินจิ้งให้มากินข้าว ถือโอกาสสั่งสอนเธอ ให้เลิกกับจี้เจี้ยนโปในขณะที่ยังมีเวลา หาผู้ชายที่แต่งงานแล้วก็ยังไม่สู้อยู่เป็นโสดตลอดชีวิตไม่ได้
แม้ว่าเฮ่อเหวินจิ้งไม่พูดอะไร แต่จ้าวอิงหนานก็สามารถเดาได้ว่า เครื่องประดับเงินสามชิ้นนี้ไม่ใช่ของธรรมดา ต้องมีมูลค่าอยู่แล้ว
สยงมู่มู่มองไปที่อู่เหมยอย่างประหลาดใจ เขาถาม “เธอรู้ตั้งแต่แรกแล้วใช่ไหมว่าสิ่งนี้มีมูลค่า?”
อู่เหมยส่ายหน้าทันที แกล้งทำเป็นประหลาดใจ “ของนี่มีค่ามากเลยเหรอ? ฉันเห็นมันสวยก็เลยซื้อมา ชิ้นหนึ่งสองหยวนเอง ไม่มีมูลค่าจริงๆ นะ”
เธอพูดใสซื่อเป็นพิเศษ หน้าตาท่าทางไร้เดียงสา ทุกคนล้วนเชื่อคำพูดของเธอ ชมเชยความโชคดีของเธอ ที่บังเอิญเก็บได้ของดี มีเพียงสยงมู่มู่กลับเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง รู้สึกมาตลอดว่ายายตัวดีไม่ได้พูดความจริง
“เหมยเหมยเอาของพวกนี้กลับไปเถอะ เธอให้แค่ภาพวาดฉันก็พอแล้ว”
จ้าวอิงหนานยื่นเครื่องประดับเงินให้อู่เหมย สิ่งของที่ไม่มีมูลค่า เธอเก็บไว้ไม่เป็นไร แต่สิ่งของเหล่านี้กลับเป็นของเก่าแก่ที่ล้ำค่า เธอไม่สามารถเก็บเอาไว้ได้
อู่เหมยดันเครื่องประดับเงินคืนไปทันที ทำปากจู๋อย่างไม่พอใจ “แม่บุญธรรมรังเกียจที่หนูให้ของไม่ดีใช่ไหมคะ?”
จ้าวอิงหนานไม่รังเกียจอยู่แล้ว อธิบายกับอู่เหมยอย่างอดทน บอกให้เธอเก็บเครื่องประดับเงินไว้ ต่อไปมันสามารถเปลี่ยนเป็นเงินได้
“เป็นผู้หญิงมีเงินติดตัวไว้เยอะๆ จะดีกว่า เหมยเหมยเชื่อแม่บุญธรรมนะ!”
อู่เหมยรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาในใจ คำพูดเหล่านี้เหอปี้อวิ๋นไม่เคยพูดกับเธอมาก่อนเลย เธอสามารถรับรู้ถึงความจริงใจของจ้าวอิงหนาน ที่หวังให้เธอมีชีวิตที่ดีจริงๆ
เป็นเรื่องน่าเสียดายที่มีบางอย่างที่เธอไม่สามารถพูดได้อย่างชัดเจน ในตอนนี้สิ่งที่เธอไม่เป็นกังวลที่สุดก็คือเรื่องเงิน อู่เหมยงอนตุปัดตุป่อง จนในที่สุดก็ล้มเลิกความคิดของจ้าวอิงหนานได้ จ้าวอิงหนานเก็บเครื่องประดับกลับคืนไป
สิ่งที่เธอไม่รู้ก็คือ ถึงแม้จ้าวอิงหนานจะรับเครื่องประดับเงินกลับคืนไปแล้ว แต่ในใจกลับวางแผนเก็บไว้เป็นสินสอดให้อู่เหมยในอนาคต เท่ากับว่าตอนนี้ก็ช่วยเก็บรักษาเงินแทนเธอไปก่อน
………………………………………………………..
ตอนที่ 324 สมน้ำหน้าเมียน้อยที่ถูกตี
อู่เหมยเห็นเฮ่อเหวินจิ้งกินข้าวเสร็จแล้ว ก็ดึงเธอไปคุยในห้อง เฮ่อเหวินจิ้งอารมณ์ดี เธอยังเข้าใจว่าอู่เหมยต้องการจะคุยเรื่องการแข่งขัน
“รายชื่อของเธอ ครูสมัครไปให้แล้วนะ สบายใจได้!” เฮ่อเหวินจิ้งยิ้มตาหยีพลางพูด
อู่เหมยไม่มีเวลามาพูดไร้สาระกับเธอ เธอบอกเรื่องที่พรุ่งนี้อู่เจิ้งหงจะไปอาละวาดที่ห้องเรียนเยาวชน เฮ่อเหวินจิ้งหน้าขาวซีด
“ครูเฮ่อคะ พรุ่งนี้ครูหาที่ซ่อนเถอะค่ะ อย่าไปห้องเรียนเยาวชนเลย อาหญิงของหนูเหมือนคนบ้า ครูปะทะกับเธอมีแต่จะเสียเปรียบ!” อู่เหมยแนะนำ
เฮ่อเหวินจิ้งถามเสียงเบา “อาเขยของเธอ เขาพูดอะไรบ้างไหม?”
เห็นๆ อยู่ วันนั้นก่อนที่เขาจะไป เขาบอกว่าจะกลับไปหย่า ยังพูดอีกว่าไม่ต้องการอะไรทั้งนั้น เขาต้องการเพียงเธอ!
ถึงแม้จะไม่ค่อยเชื่อคำพูดของเขา แต่เธอก็ยังมีความปรารถนาที่เลือนลาง เธอหวังว่าคนๆ นั้นจะมีสักครั้งที่สามารถพูดคำไหนคำนั้น
ทว่า…
“ครูเฮ่อคะ อาเขยไม่สามารถหย่าขาดกับอาหญิงของหนูได้ เขายังไม่ได้รับตำแหน่งรองศาตราจารย์ค่ะ!”
อู่เหมยพูดตรงๆ ชายยอดนักสู้ ผู้ไม่เคยยอมแพ้อย่างจี้เจี้ยนโป เป็นไปได้อย่างไรที่ยอมเสียสละอาชีพการงานของตนเองเพื่อความรัก
หากจี้เจี้ยนโปเป็นคนที่ทำเพื่อความรักจริงๆ ตอนนั้นเขาก็คงไม่สู่ขออู่เจิ้งหงมาเป็นภรรยา
พอเห็นว่าอู่เหมย กับเฮ่อเหวินจิ้งเข้าไปตั้งนานแล้วยังไม่ออกมาจากห้อง จ้าวอิงหนานเดินมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น เธอจึงได้ยินคำพูดของอู่เหมยเข้าพอดี เธอก็รู้ว่าต้องเป็นเรื่องของชายที่แต่งงานแล้วแน่ๆ ไฟพิโรธกำลังคุโชนอยู่ในใจ
“เฮ่อเหวินจิ้งทำไมถึงได้เหยียบย่ำตัวเองอย่างนี้? เธอเป็นผู้หญิงที่ดี มีความสามารถ มารยาทก็เรียบร้อย หาผู้ชายดีๆ ไม่ได้ ดันทุรังไปหาคนที่มีภรรยาแล้ว เธอจะให้ฉันบอกกับอาชายเฮ่อกับอาหญิงเฮ่อยังไง?”
จ้าวอิงหนานถามด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด คำพูดที่พูดออกมาเหมือนกับมีดกรีด ไร้ความปราณีใดๆ ทั้งสิ้น
จ้าวอิงหนานรู้สึกอับอายขายหน้า เธอหน้าแดง หูแดง ก้มหัวแทบจะถึงพื้น เธอน้ำตาไหล
เธอรู้ว่าตัวเองเป็นแบบนี้ไม่ถูกต้อง ใครๆ อาจจะสามารถควบคุมความรู้สึกได้ แต่เธอไม่สามารถควบคุมความรู้สึกได้ ก็เหมือนกับแมลงเม่าบินเข้ากองไฟ รู้ทั้งรู้ว่ามันคือ หนทางแห่งความตาย แต่ก็ยังกระโจนเข้าไป
จ้าวอิงหนานเห็นเธอเป็นแบบนี้ก็ยิ่งโกรธ เดิมทีเป็นผู้หญิงที่ร่าเริง สดใสมาก แต่ตอนนี้เป็นเพราะผู้ชายที่แต่งงานแล้ว ทำให้เธอเปลี่ยนไปเหมือนกับผี เธอโกรธมาก สยงมู่มู่เดินเข้ามา ปลอบใจให้หายโกรธด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล ในที่สุดก็สามารถข่มความโกรธของจ้าวอิงหนานไว้ได้
อู่เหมยก็เล่าแผนการของอู่เจิ้งหงให้ฟัง
เฮ่อเหวินจิ้งยังมีความรู้สึกต่อจี้เจี้ยนโป ก็ไม่รู้ว่าจะจากไปอย่างเด็ดขาดได้หรือไม่ อย่างไรจ้าวอิงหนานน่าไว้ใจกว่า
“แม่บุญธรรมคะ อาหญิงของหนูเป็นคนอารมณ์ร้อน ปากร้าย วันนี้ตอนที่กินข้าวเย็นเธอพูดกับคุณย่า จะติดโปสเตอร์แผ่นใหญ่ให้ครูเฮ่อ แล้วก็จับโกนหัว และยังจะเอ่อ…”
คำพูดประโยคหลัง อู่เหมยไม่กล้าพูดออกมา มองพ่อสยงอย่างลำบากใจ จ้าวอิงหนานยิ้มเยาะพลางกล่าว “ฉีกเสื้อผ้าของครูเฮ่อใช่ไหม?”
เฮ่อเหวินจิ้งหน้าขาวซีด ก้มหน้าต่ำ คำพูดของจ้าวอิงหนานทำให้เธอละอายใจเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะอยู่ต่อหน้าเด็กและพ่อสยง
อู่เหมยก็รู้สึกอายมาก เธอพยักหน้าเบาๆ จ้าวอิงหนานทำเสียงฮึดฮัดไม่พอใจ เธอมองไปทางเฮ่อเหวินจิ้ง คำพูดที่พูดออกมาทำให้เฮ่อเหวินจิ้ง แทบอยากจะแทรกแผ่นดินหนีไป
“เหมยเหมย อาหญิงของเธอทำถูกต้อง เพื่อปกป้องชีวิตการแต่งงานของตนเอง ไม่ว่าเธอทำอะไรก็ไม่ผิดทั้งนั้น หากเป็นฉัน ฉันโหดเหี้ยมยิ่งกว่าอาหญิงของเธออีก”
เจ้าอิงหนานเหมือนรู้สึกว่ายังกระตุ้นเฮ่อเหวินจิ้งไม่พอ เธอพูดต่อ “ผู้หญิงที่กล้ามายั่วผู้ชายที่แต่งงานแล้ว ก็ต้องเตรียมพร้อมที่จะถูกภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายมาฉีกเสื้อผ้า!”
พ่อสยงกระทุ้งภรรยาของตัวเองเบาๆ บอกให้เธอไม่ต้องพูดแล้ว ต้องไว้หน้าเฮ่อเหวินจิ้งต่อหน้าพวกเด็กๆ บ้างเถอะ!
……………………………………………………………………….
ตอนที่ 325 นายห้ามนอนกรน
จ้าวอิงหนานจ้องเขม็งไปทางพ่อสยงอย่างไม่สบอารมณ์ เธอหันไปด่าเฮ่อเหวินจิ้ง “ร้องไห้ทำไม? ตอนนี้จะร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวรก็ไม่มีประโยชน์อะไร ถ้ารู้ว่าเป็นแบบนี้ ก็ไม่ควรทำตั้งแต่แรกหรือเปล่า?”
อู่เหมยหดคอลง ขยับไปเข้าชิดสยงมู่มู่ที่อยู่มุมกำแพง เธอกะพริบตาดวงน้อย เธอนับถือจ้าวอิงหนานเป็นอย่างมาก
“แม่บุญธรรมช่างเก่งจริงๆ ฉันต้องเรียนรู้กับแม่บุญธรรมซะแล้ว!”
อู่เหมยรู้สึกว่าตัวเธอเองไม่ค่อยมีประโยชน์ หากเธอสามารถเก่งได้ครึ่งหนึ่งของจ้าวอิงหนาน ไหนเลยจะยังต้องกลัวเหอปี้อวิ๋นกับอู่เยวี่ยอีก?
สยงมู่มู่ทำเสียงฮึดฮัดอย่างเหยียดหยาม เขากระซิบ “โง่ๆ อย่างเธอ ตลอดชีวิตอย่าได้คิดว่าจะเรียนรู้ทักษะนี้ได้ แม่ของฉันไม่ธรรมดา”
อู่เหมยเบ้ปากด้วยความโกรธที่โดนดูถูก ต่อไปเธอจะต้องทำให้ไอ้คนนี้เปลี่ยนมุมมองใหม่ ฮึ!
จ้าวอิงหนานไม่ได้ด่าทอเฮ่อเหวินจิ้งอีก เธอครุ่นคิดแล้วพูด “คืนนี้เธอไม่ต้องกลับที่พักของเธอ อยู่ที่บ้านพี่นี่แหละ พรุ่งนี้ก็ไม่ต้องไปทำงาน พรุ่งนี้พี่จะลาให้เธอเอง ไม่สิ ต่อไปนี้เธอไม่ต้องทำงานแล้ว น้าเฮ่อโทรหาฉันพอดี บอกว่าจะให้เธอกลับเมืองหลวง พี่ว่าเธอถือโอกาสนี้กลับไปเร็วหน่อยก็ดีนะ”
“ไม่ พี่หนานคะ ฉันบอกกับหัวหน้าเรียบร้อยแล้ว ฉันจะสอนจนจบเทอมนี้ ถ้าตอนนี้ฉันไปกะทันหัน นักเรียนของฉันจะทำยังไง? พี่คงจะไม่ปล่อยให้ฉันเป็นคนไม่น่าเชื่อถือหรอกนะ!”
เฮ่อเหวินจิ้งน้ำตาคลอเบ้าเงยหน้าขึ้นมามองจ้าวอิงหนานด้วยสีหน้าหนักแน่น
จ้าวอิงหนานก็ลังเลเช่นกัน เธอเป็นห่วงเฮ่อเหวินจิ้งจริงๆ ถ้าหากเกิดเรื่องขึ้น เธอก็ไม่มีหน้ากลับไปที่เมืองหลวง แต่หากทำงานที่นี่ก็มีปัญหา เธอทิ้งภาระหน้าที่กลางคันไม่ได้แน่นอน
“เธอจะตัดขาดกับผู้ชายคนนั้นจริงไหม? จ้าวอิงหนานถาม
เฮ่อเหวินจิ้งยิ้มอย่างดูแคลนตัวเอง “ฉันคิดดีแล้วล่ะ รอให้เทอมนี้เสร็จสิ้น ฉันต้องกลับเมืองหลวง และก็จะไม่กลับมาเมืองจินอีกแล้ว”
“หวังว่าเธอพูดแล้วคงจะทำได้นะ ผ่านพรุ่งนี้ไปเธอค่อยไปทำงาน อาหญิงของเหมยเหมย พี่จะไปจัดการเอง แต่ต่อไป หากว่าเธอยังมีเยื่อใยกับผู้ชายคนนั้นอยู่ ฉันจะโทรบอกน้าเฮ่อทันที ให้แม่ของเธอมาสั่งสอนเธอเอง”
จ้าวอิงหนานสีหน้าเย็นชา ในแววตามีทั้งความเกลียดชัง เสียใจ และก็ความปวดใจ ถ้าเฮ่อเหวินจิ้งไม่ใช่ลูกพี่ลูกน้องของเธอ ไม่อย่างนั้นเธอก็คงไม่เกรงใจอย่างนี้ ป่านนี้เธอคงตบไปสักฉาดตั้งนานแล้ว และก็ไม่พูดอะไร ต้องทำให้คนมีสติเสียก่อน
เฮ่อเหวินจิ้งได้แต่พยักหน้า เธอไม่กล้าต่อต้านสักนิด ถึงแม้ในใจจะอาลัยอาวรณ์ไม่อยากจากไป แต่เธอก็รู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก ต่อไปก็ไม่ต้องทนกับความรู้สึกผิดในใจอีกต่อไป และยังสามารถออกไปข้างนอกได้อย่างสง่าผ่าเผย!
อู่เหมยถือโอกาสนี้พูดขึ้นมาว่าจะกลับไปนอนที่บ้านตัวเอง จ้าวอิงหนานเป็นห่วงเล็กน้อยที่อู่เหมยอยู่บ้านคนเดียว
จึงให้สยงมู่มู่เอาเตียงเหล็กลงไปอยู่เป็นเพื่อนเธอ จะได้มีที่ให้เฮ่อเหวินจิ้งนอนพอดี
อู่เหมยพาสยงมู่มู่กลับบ้านอย่างไม่เต็มใจ มือชี้ไปที่ห้องรับแขกพลางพูด “นายหาที่นอนเองนะ ผ้าห่มไม่พอค่อยมาเอาที่ฉัน!”
สยงมู่มู่ทำเสียงฮึดฮัดเบาๆ เขาขี้เกียจจะใส่ใจอู่เหมย ตัวเองที่ปูเตียงเหล็กออก แล้วก็ปูฟูกนอนกับหมอนอย่างรวดเร็ว หันไปตะโกนใส่อู่เหมย “กลางคืนห้ามแอบมาดูฉันนอนล่ะ!”
“ใครอยากดูนาย เข้าข้างตัวเองชะมัด!”
อู่เหมยตอบกลับอย่างแค้นเคือง เธอรับไม่ได้กับท่าทางที่ชอบเอะอะโวยวายของสยงมู่มู่มาก แต่พอคิดๆ บางอย่างได้แล้วก็โพล่งออกมา “กลางคืนนายห้ามนอนกรนล่ะ ถ้าทำให้ฉันตื่นละก็ คอยดูละกันว่าฉันจะจัดการนายยังไง!”
“ใครนอนกรน? อู่เหมย เธออย่ามาใส่ร้ายคนอื่น ตัวเองนั่นแหละที่นอนกรน!”
สยงมู่มู่โก่งคอตะโกน เหมือนกับได้รับการสบประมาทอย่างมาก อู่เหมยทำเสียงฮัมอย่างภาคภูมิใจ เธอกลับห้องของตัวเอง เห็นเหยียนหมิงซุ่นที่กำลังฝึกซ้อมกายบริหารบ่าเดียวจากทางหน้าต่าง ในใจก็รู้สึกตื้นเต้นขึ้นมา เธอหยิบภาพวาดออกมาจากลิ้นชักแล้วก็เดินออกไป
……………………………………………………….
ตอนที่ 326 พี่หมิงซุ่นใส่เครื่องแบบทหารดูดีมาก
“เที่ยงคืนกว่าแล้ว เธอจะไปไหนล่ะ?” สยงมู่มู่ตะโกน
“ฉันจะไปสนามกีฬายืดเส้นยืดสายน่ะ นายก็นอนของนายไปสิ พูดมากทำไม?”
อู่เหมยไม่หันมามอง เธอเดินตรงออกประตูไป สยงมู่มู่คิดๆ ดูแล้ว ไม่วางใจ เขายังแอบตามไป ไปเดินเล่นยังต้องถือภาพวาดไปด้วย เอาไปขู่เด็กสามขวบเถอะ!
ตอนนี้ยายตัวดีเป็นน้องสาวของเขาแล้ว เขาต้องเฝ้าคุมสักหน่อย นี่คือหน้าที่ของพี่ชายนะ!
อู่เหมยไม่รู้เลยว่า มีผู้ชายลับๆ ล่ออยู่ข้างหลังเธอ เธอวิ่งไปทางด้านหลังสนามกีฬา เหยียนหมิงซุ่นเห็นเธอตั้งนานแล้ว จึงค่อยๆ ลดความเร็วลง เขากระโดดลงมาจากบาร์เดี่ยว ยิ้มพลางมองเด็กสาวที่วิ่งมา
“พี่หมิงซุ่นคะ ภาพวาดนี้ฉันให้พี่ค่ะ ขอบคุณที่พี่ช่วยฉันหลายอย่าง”
อู่เหมยหายใจหอบเล็กน้อย เธอยื่นภาพวาดที่วาดเสร็จนานแล้วออกไป เธอมีความกังวลเล็กน้อย กลัวว่าเหยียนหมิงซุ่นจะรังเกียจที่เธอวาดไม่สวย
เหยียนหมิงซุ่นคิดไม่ถึงว่าอู่เหมยจะมาเพื่อเอาภาพวาดมาให้ เขามีความประทับใจเล็กน้อย เขาก็ใจอ่อนขึ้นมาอีกครั้ง เขาค่อยๆ คลี่ภาพที่ม้วนอยู่ออก บนภาพมีผู้ชายหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่ง กำลังชู้ตบาส ใบหน้ามีหลายส่วนที่คล้ายกับเขา แต่เค้าโครงคมกว่า และก็มีมิติกว่า
“นี่วาดพี่เหรอ?” เหยียนหมิงซุ่นยิ้มพลางถาม
อู่เหมยพยักหน้า เหยียนหมิงซุ่นอดถามไม่ได้ “เธอทำไมถึงวาดพี่สวมเครื่องแบบทหารล่ะ? ควรจะสวมชุดกีฬาไม่ใช่เหรอ?”
ไม่มีใครรู้ความคิดที่เขาอยากจะเป็นทหาร นอกจากลุงหมิง ไม่นึกเลยว่าอู่เหมยจะวาดภาพเหมือนที่เขาสวมเครื่องแบบทหาร สิ่งนี้ทำให้เขาทั้งตื่นเต้นและดีใจมาก
อู่เหมยงงงันอยู่พักหนึ่ง เพิ่งจะนึกขึ้นมาได้ว่า ตอนนี้เหยียนหมิงซุ่นเป็นแค่นักเรียน การเป็นทหารเป็นเรื่องอีกสองปีถัดไปตอนนี้เธอวาดเร็วขึ้นมาเล็กน้อย เธอครุ่นคิดพักหนึ่ง แล้วก็กล่าว “ฉันก็แค่รู้สึกว่าพี่หมิงซุ่นสวมเครื่องแบบทหารต้องดูดีมากๆ เลย ก็เลยวาดออกมา”
เหยียนหมิงซุ่นไม่ได้คิดอะไรมาก เพียงแค่รู้สึกว่าอู่เหมยคงไม่ได้ตั้งใจ เขาเห็นสายตาของเธอดูอ่อนโยนขึ้น จึงพูดหยอก “เธอวาดรูปพี่หล่อเกินไปนะ พี่ไม่ได้หล่อเหมือนกับภาพวาดนี้”
อู่เหมยหน้าแดงขึ้นมา ยิ้มด้วยความเขินอาย ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ ก็เลยไม่พูดมันเสียเลย
“พี่ชอบภาพวาดพี่มาก ขอบใจนะเหมยเหมย”
เหยียนหมิงซุ่นม้วนภาพวาดด้วยความระวังระวัง แล้วก็วางบนพื้นหญ้า เดี๋ยวถือกลับบ้านไปก็จะเก็บไว้อย่างดีเลย อู่เหมยยิ้มอย่างเบิกบานใจ “พี่หมิงซุ่นชอบก็ดีแล้วค่ะ”
บาดแผลบนใบหน้าของยายตัวดีดีขึ้นมาก แต่ยังมีรอยแผลจางๆ อยู่ เหยียนหมิงซุ่นรู้สึกสงสารขึ้นมา เขาถาม “คืนนี้เธอยังค้างอยู่ที่บ้านครูจ้าวไหม?”
“ไม่แล้วค่ะ แม่ของฉันไม่อยู่บ้าน ฉันกลับมาอยู่ที่บ้านคนเดียว แม่บุณธรรมจึงให้สยงมู่มู่มาอยู่เป็นเพื่อนฉัน” อู่เหมยตอบซื่อๆ
เหยียนหมิงซุ่นหน้านิ่วเล็กน้อย เขามองใครบางคนที่ลับๆ ล่อๆ แอบอยู่หลังต้นไม้ นี่คือข้อเสียของการดองญาติบุญธรรม จนสามารถเดินบุกรุกเข้าไปถึงห้องนอนได้อย่างเปิดเผย ยังดีที่ยายตัวดีกับสยงมู่มู่อายุไม่มาก ต่อไปถ้าโตกว่านี้ เขาต้องสั่งสอนอู่เหมยเสียหน่อยว่า ให้พึงระวังคนคิดร้าย อย่าได้โง่เขลา
สยงมู่มู่กัดฟันด่ากรอดๆ ยายตัวแสบวาดรูปให้เหยียนหมิงซุ่น แม้กระทั่งเขาที่เป็นพี่ชายก็ยังไม่วาดให้เลย!
ยายตัวแสบที่ไร้น้ำใจ กลับไปค่อยสะสางกับเธอ!
มีภาพเงาสีขาวแวบผ่านอู่เหมยไป เหยียนหมิงซุ่นตาไว มือไว เขาดึงหางเจ้าสัตว์ตัวเล็กไว้ได้ ฉิวฉิวโกรธหันหลังกลับมา และส่งเสียงร้องจิ๊กจิ๊กใส่เขา
“ปล่อยให้เจ้าไปอาบน้ำไม่ใช่เหรอ? ทำไมยังไม่อาบ?” เหมียนหมิงซุ่นมองเจ้าสัตว์ตัวน้อยอย่างไม่พอใจ และก็ไม่รู้ว่าทั้งตัวไปโดนกลิ่นเหม็นเน่าที่ไหนมา เมื่อตะกี้เขาเหม็นจนเกือบเป็นลม เหม็นจนทะลุเข้าไปในอ้อมแขนของยายตัวดี ถ้าเธอทนได้สิถึงจะแปลก
“จิ๊กจิ๊ก”
ฉิวฉิวแยกเขี้ยวแหลมเล็กด้วยความโมโห เขาเกลียดการอาบน้ำที่สุด พอเปียกน้ำก็จะกลายเป็นกระรอกที่ซูบผอม จะมีขนปุกปุยที่สวยงามเหมือนตอนนี้ได้อย่างไร ประเดี๋ยวเขายังต้องไปหยอกเย้ากับกระรอกตัวเมียในป่าอีก!
………………………………………………………….
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น