ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง 310-312

ตอนที่ 310 ฉู่เจียง

 

ขณะที่แสงดาวถูกบดบังบนท้องฟ้า ต้นไห่ถางถูกสายลมพัดไหวเอนจนกลีบดอกพากันร่วงกราวลงมา เหลียงเซิงเซิงเห็นแต่เงาร่างของเขา และดวงตาที่เป็นประกายสีเขียวคู่นั้น แต่กลับไม่สามารถมองเห็นโฉมหน้าของเขาเลย 


 


 


แต่ไม่รู้ทำไมน้ำเสียงที่ดูลึกลับของเขากลับมีบางสิ่งที่ดึงดูดนางเอาไว้ 


 


 


ทั้งๆ ที่ด้านนอกหน้าต่างมีแต่ศีรษะมนุษย์น่าเกลียดน่ากลัวแขวนเรียงรายอยู่เต็มไปหมด แต่ตอนนี้ในใจของนางกลับไม่นึกหวั่นกลัวแล้ว 


 


 


เสียงฝีเท้าขยับออกไปด้านหน้า ก้าวตรงไปหาเขา 


 


 


พอขยับเดินไปได้สองก้าว ก็เห็นหมอกดำกลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้นมา เมื่อหมอกดำจางลงไป ก็กลายเป็นเกี้ยวสีแดงว่างเปล่าหลังหนึ่ง 


 


 


รอบๆ เกี้ยวหลังนั้นมีสาวใช้ที่สวมใส่ชุดสีแดงแปดคน 


 


 


เพียงแต่ใบหน้าของสาวใช้ทั้งแปดนั้นล้วนแล้วแต่ซีดขาว ริมฝีปากม่วงคล้ำ ทั้งยังปราศจากลมหายใจของชีวิตบนร่าง 


 


 


เหลียงเซิงเซิงอยู่ใกล้ไม่น้อย ถึงกับสามารถได้กลิ่นเน่าเปื่อยที่โชยออกมาจากร่างของพวกนาง 


 


 


คนพวกนี้……ล้วนเป็นคนตาย? 


 


 


หัวใจของนางพลันกระตุก ฝีเท้าหยุดชะงักลงไป 


 


 


นางหันไปมองดูเงาคนที่อยู่ใต้ต้นไห่ถาง “เจ้า….จะกินข้าใช่ไหม?” 


 


 


แค่ประโยคเดียว แต่ฝ่ายนั้นกลับนิ่งเงียบไป 


 


 


‘กิน’ คำนี้ สามารถทำให้คนเข้าใจผิดได้ง่ายๆ 


 


 


ต้องดูว่าเป็นการกินเช่นไร 


 


 


ฉีกเป็นชิ้นกลืนลงท้องเรียกว่ากิน….ทำเรื่องอย่างว่านั้นก็เรียกว่ากินเช่นกัน…. 


 


 


“จะกินข้าจริงๆ หรือ?” ในใจของเหลียงเซิงเซิงบังเกิดความกลัวอยู่บ้าง นางขยับไปข้างหน้าอีกสองก้าว อยากจะมองดูรูปลักษณ์ของเขาให้ชัดเจนกว่านี้ 


 


 


สายลมพัดเสื้อผ้าของนางจนโบกโบย กลิ่นหอมอ่อนๆ บนร่างกำจายออกมา ทำให้คนรู้สึกผ่อนคลาย 


 


 


พอขยับไปใกล้อีกสองก้าว ก็เห็นเงาสีแดง 


 


 


เป็นสีแดงเจิดจ้าบาดตาราวกับโลหิตสด 


 


 


ชุดสีแดง? 


 


 


ทำไมเขาถึงสวมใส่ชุดสีแดงล่ะ? เขาที่อยู่ในความทรงจำตั้งแต่เด็กของนาง สวมใส่ชุดสีขาวเงินยวง ถึงจะบอกว่าเป็นปีศาจ แต่กลับดูเหมือนเทพเซียนที่ลอยลงมาจากสวรรค์ ให้ความรู้สึกอบอุ่นอ่อนโยน 


 


 


แต่ว่าตอนนี้ นางกลับรู้สึกถึงความตรงกันข้ามกันอย่างชัดเจน 


 


 


สีแดงบนร่างของเขาราวกับย้อมอาบด้วยโลหิตอย่างไรอย่างนั้น ทั้งยังมีกลิ่นคาวของเลือดจนคละคุ้ง ราวกับว่าเขาสวมใส่ชุดที่ชุ่มโลหิตมา 


 


 


“พอจะสามารถ…….ให้เวลาข้าอีกหน่อยได้ไหม….” เหลียงเซิงเซิงหยุดฝีเท้า ส่งเสียงขอร้อง 


 


 


“รอให้ท่านปู่จากไปแล้ว เจ้าก็สามารถเอาชีวิตของข้าไปได้เลย” สายตาของนางมองไปยังอีกฝ่ายด้วยความจริงใจ 


 


 


“ข้าไม่มีบิดามารดามาตั้งแต่เล็ก มีแต่ท่านปู่เลี้ยงดูข้ามาจนเติบโต ข้าอยากจะอยู่เป็นเพื่อนท่านปู่ไปจนกว่าท่านจะสิ้น ขอท่านได้โปรดสนับสนุนความตั้งใจของข้า หากเป็นเช่นนั้นแม้ต้องตายข้าก็ตายอย่างสบายใจ” 


 


 


ประโยคนี้ของนาง ทำเอาอีกฝ่ายขำขันออกมาในทันที “ฮึ~” 


 


 


ทันทีที่สิ้นเสียงหัวเราะ ก็เห็นหมอกสีแดงกลุ่มนั้นไหววูบ เหลียงเซิงเซิงรู้สึกถึงความเย็นยะเยือกรอบตัว ข้างกายปรากฏร่างของคนผู้หนึ่ง 


 


 


นัยตาเป็นประกายสีเขียวราวดวงแก้ว ริมฝีปากบาง ชุดสีแดงเจิดจ้า เส้นผมสีเงินยวงยาวสลวยคาดเอาไว้ด้วยสายคาดผมสีแดงสด เป็นบุรุษโฉมงามล้ำเลิศผู้หนึ่ง 


 


 


สองเท้าของเขาเปลือยเปล่า สัมผัสกับพื้น ใต้ฝ่าเท้ามีหมอกสีแดงกลุ่มหนึ่ง 


 


 


เหลียงเซิงเซิงได้แต่มองดูเขา 


 


 


ทันทีที่เขาปรากฏตัวขึ้นตรงหน้า เหลียงเซิงเซิงก็รู็สึกว่าตนเองกำลังหยุดหายใจไปแล้ว 


 


 


หลายปีมานี้นางครุ่นคิดมาตลอดว่า เมื่อพวกนางกลับมาพบกันอีกครั้งทุกอย่างจะเป็นเช่นไร คิดไม่ถึงว่า พอได้พบกัน รูปลักษณ์ของคนในความทรงจำยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง แต่ว่ากลิ่นอายบนตัวเขากลับเปลี่ยนไปแล้ว 


 


 


ไอสังหารรุนแรง เพียงมองดูแค่แวบเดียวก็รู้สึกถึงแรงกดดันจนหายใจไม่ออก 


 


 


“สาวน้อย เจ้ากำลังจะต่อรองกับข้าหรือ?” เขาก้มตัวลงมามองดูเหลียงเซิงเซิง ส่งปลายนิ้วสองนิ้วเชยคางนางขึ้นมา นัยตาดั่งดวงแก้วสีเขียวทั้งสองจดจ้องไปยังนาง 


 


 


“อย่าได้ลืมเสียเล่า เมื่อสิบปีก่อน เจ้าเต็มใจจะทำสัญญากับข้าด้วยตนเอง” 


 


 


“ถึงตอนนี้ คิดจะเปลี่ยนใจกลับลำขึ้นมาแล้วหรือ?” 


 


 


เขากระซิบลงที่ข้างใบหูของนาง เหลียงเซิงเซิงฟังออกว่า น้ำเสียงของเขาแฝงความไม่พอใจ 


 


 


“ไม่ใช่ ข้าไม่ได้คิดเปลี่ยนใจ” 


 


 


เหลียงเซิงเซิงส่ายศีรษะ “ข้าเพียงแต่…..ไม่อยากตายเร็วเกินไปเท่านั้น” 


 


 


ความกลัวตาย มิใช่เรื่องน่าละอาย 


 


 


“สาวน้อย ชีวิตของเจ้า ข้าเป็นผู้เก็บกลับมา” เขาปล่อยมือที่เชยคางนางเอาไว้ออกช้าๆ ชุดสีแดงถูกพัดโบกโบยอยู่ในสายลม ราวกับว่ากำลังเริงระบำอยู่ 


 


 


แม้แต่เส้นผมสีเงินยวงก็ถูกลมเป่าจนปลิว สายคาดผมสีแดงนั่นยิ่งดูโดดเด่นบาดตา 


 


 


“ข้า….” 


 


 


เหลียงเซิงเซิงไม่รู้ว่าสมควรจะพูดเช่นไรดี 


 


 


นางพึ่งจะเอ่ยออกไป คนผู้นั้นก็ขยับเข้ามาประชิดตัว เขาใช้มือเพียงข้างเดียวก็สามารถโอบเอวของนางเอาไว้ จากนั้นก็สูดกลิ่นหอมจากเส้นผมของนางเข้าไปอย่างเต็มที่ 


 


 


“เจ้าหอมมากจริงๆ” เขาพูด พลางก็ไล้เลียริมฝีปากตนเองเบาๆ 


 


 


ปลายลิ้นที่เย็นเฉียบนั้นกวาดผ่านริมฝีปากช้าๆ ขณะที่เหลียงเซิงเซิงยังไม่ทันได้มีปฏิกริยาใดๆ นั้น เขาก็อ้าปากขึ้น เผยให้เห็นฟันและเขี้ยวที่แหลมคม 


 


 


ดวงหน้าที่งดงามของเขา ปรากฏสีแดงระเรื่อขึ้นมา ขณะที่เหลียงเซิงเซิงกำลังตกตะลึงนั้น ก็ถูกมืออีกข้างของเขาจับหัวไหล่เอาไว้ จากนั้นก็ส่งริมฝีปากเข้าไป 


 


 


เขี้ยวที่แหลมคมขบลงบนลำคอของนาง กัดจนจมลึกลงไป 


 


 


เหลียงเซิงเซิงเจ็บจนต้องสูดลมหายใจเย็นวาบเข้าไป 


 


 


ในตอนนั้น นางถึงได้เชื่อคำพูดของตู๋กูซิงหลันขึ้นมาแล้ว 


 


 


เขาคิดจะกินนางจริงๆ เสียด้วย 


 


 


นางรู้สึกได้ว่าเลือดในร่างกายไหลมารวมกันที่ลำคอ ทั้งยังถูกดูดออกไปคำโต 


 


 


ตัวนางเปลี่ยนเป็นแข็งทื่อ แม้แต่ปฏิกริยาต่อต้านใดๆ ก็ลืมไปหมดสิ้น 


 


 


“หากข้าตายแล้ว……เจ้าช่วยแปลงเป็นข้าได้หรือไม่ จากนั้นนานๆ ก็ไปเยี่ยมท่านปู่บ้าง?” เหลียงเซิงเซิงที่ยืนตะลึงอยู่กับที่ กล่าวออกมา 


 


 


“เด็กโง่” คนผู้นั้นใช้มือข้างหนึ่งลูบไล้ศีรษะของนาง 


 


 


นัยตาสีเขียวดุจดวงแก้วนั้นแฝงแววพอใจออกมา เขารอวันนี้มานานหลายปีแล้ว 


 


 


ร่างของนางสามารถรวบรวมไอทิพย์ได้โดยธรรมชาติ เรื่องอะไรเขาจะฆ่านางทิ้งไปง่ายๆ? 


 


 


สตรีเช่นนี้ ย่อมต้องใช้เกี้ยวแปดคนหามมาพากลับไป จากนั้นก็ค่อยๆ ดื่มด่ำอย่างช้าๆ ต่างหาก 


 


 


ผ่านไปอีกพักใหญ่ เขาถึงได้ถอนริมฝีปากออกมา กล่าวที่ริมหูของนางว่า “จดจำเอาไว้ ข้าไม่ได้เรียกว่าปีศาจโฉมงาม นามของข้าคือฉู่เจียง” 


 


 


น้ำเสียงพึ่งจะขาดคำ ด้านหลังของเขาก็ปรากฏยันต์สีเหลืองแผ่นหนึ่งพุ่งเข้าใส่ 


 


 


พลังของยันต์สีเหลืองแผ่นนั้นแหลมคมดุจกระบี่ที่เย็นยะเยือกเล่มหนึ่ง เกิดเป็นเสียงแหวกอากาศอย่างรุนแรง 


 


 


ฉู่เจียงหลบวูบออกไป มือข้างหนึ่งยังคงโอบเอวของเหลียงเซิงเซิงเอาไว้ 


 


 


ในตอนนั้นเอง ก็มียันต์สีเหลืองอีกนับสิบแผ่นพุ่งเข้ามา 


 


 


ยันต์สีเหลืองเหล่านั้นล้วนแล้วแต่เป็นของสุดยอด เมื่อพุ่งเข้ามาถึงร่างของเขา ทั้งสิบแผ่นก็กลายเป็นแถบยันต์สีเหลืองสายหนึ่งรายล้อมกักขังร่างของเขาเอาไว้ 


 


 


พอฉู่เจียงขยับตัว ยันต์สีเหลืองก็ปรับเปลี่ยนตาม สลับหมุนวนเปลี่ยนแปลงรูปแบบอยู่ตลอด ทั้งเสื้อผ้าและปลายเส้นผมของเขาถูกและเล็มจนขาดสะบั้น 


 


 


สีหน้าของฉู่เจียงเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมลง ทันทีที่แขนเสื้อโบกสะบัดออกไป ก็เห็นเขาจำแลงกายออกมาได้นับสิบร่าง 


 


 


แต่ละร่างเข้าต้านทานยันต์สีเหลืองแต่ละแผ่น เพียงครู่เดียวยันต์สีเหลืองเหล่านั้นก็ถูกเขาคว้าจับได้ จากนั้นก็ฉีกจนเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย 


 


 


“หยกสรรพชีวิต?” เขากำยันต์สีเหลืองเอาไว้ หันหน้ากลับมามองเข้าไปในความมืดมิด พลางกล่าวออกมาเบาๆ 


 


 


เขาประหลาดใจยิ่งนัก คิดไม่ถึงว่าจะได้เจอผู้ที่สามารถควบคุมพลังของหยกสรรพชีวิตได้จากภายในจวนจวิ้นอ๋องแห่งนี้ 


 


 


ดวงตาสีเขียงคู่นั้นกวาดมองออกไป ทุกครั้งที่กวาดตามอง ก็สาดประกายไอหยินที่แข็งแกร่งออกไปด้วย 


 


 


ในมุมมืด ตู๋กูซิงหลันที่นั่งอยู่บนบ่าของชือหลีมีสีหน้าไม่ดีเท่าไรนัก 


 


 


ในมือของนางยังคงมียันต์สีเหลืองอยู่อีกหลายใบ นางเขวี้ยงพวกมันออกไปอีกครั้งอย่างรวดเร็ว 


 


 


เดิมทีนั้นนางคิดว่าเหลียงเซิงเซิงทำสัญญากับจอมปีศาจสักตน….คิดไม่ถึงว่าคำว่า ‘จอม’ นี้จะเจาะจงเกินไปเสียแล้ว 


 


 


พึ่งจะส่งเสินฟางจากไป ก็ต้องมาเจอกับหนึ่งในสิบยมราชอีกตน ฉู่เจียง 


 


 


ทำไมปีนี้พวกยมราชไม่ทำงานหาเงินแล้วหรือไร? ถึงได้สามารถเจอะเจอได้โดยบังเอิญอยู่เรื่อย? 


 


 


“คนคุ้นเคยหรือ?” ชือหลีแค่เห็นสีหน้าของนาง ก็รู้แล้วว่าต้องมีเรื่องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน 


 


 


 


 


 


—— 


 


 


ตอนต่อไป “ยินดีช่วยเหลือผู้อื่น”  

 

 


ตอนที่ 311 ยินดีช่วยเหลือผู้อื่น

 

หากว่าเป็นคนคุ้นเคยของตู๋กูซิงหลัน เช่นนั้นก็คงจัดการได้อยากแล้ว 


 


 


เพราะตอนนี้ร่างกายของสตรีผู้นี้ยังแข็งทื่อเป็นตอไม้ คนที่สามารถมีความเกี่ยวพันกับนางได้นั้น คงไม่อาจผิดใจได้ง่ายๆ 


 


 


พอมองดูบุรุษผู้นี้ เขาสวมใส่ชุดสีแดงตลอดทั้งร่าง ดวงตาคู่นั้นเป็นสีเขียว บนร่างมีไอหยินกำจายออกมาอย่างรุนแรงจนสามารถทำให้คนต้องตระหนก 


 


 


เมืองกู่เย่วแห่งนี้ช่างน่ากลัวจริงๆ อยู่ดีๆ ก็มีตัวร้ายกาจโผล่ออกมา 


 


 


แต่ที่สำคัญอย่างยิ่งก็คือ…..หน้าตาดีมากๆ 


 


 


ก็แค่โดดเด่นนิดๆ หน่อยๆ ถึงกับต้องใช้เกี้ยวแปดคนหามมายกกลับไป ทั้งยังจะจับแม่นางน้อยนั้นไปทำเรื่องจ้ำจี้เสียก่อนแล้วค่อยกลืนกินอีกด้วย? 


 


 


ชือหลีมิได้เคลื่อนไหววุ่นวาย เพียงแต่แบกตู๋กูซิงหลันเอาไว้บนบ่า 


 


 


ตู๋กูซิงหลันในตอนนี้ไม่อาจยืนได้อีกแล้ว ตนจึงได้แต่ต้องเป็นสองขาให้กับนาง ถึงอย่างไรเสียตนเองก็เป็นเทพองค์หนึ่ง แค่แบกสาวน้อยนางหนึ่งไม่นับเป็นเรื่องหนักหนาอะไร 


 


 


ตู๋กูซิงหลันมองดูฉู่เจียง พลางส่ายศีรษะ 


 


 


“ข้าไม่คุ้ยเคยกับเขา” นางกล่าวเสียงหนัก “เพียงแต่ว่ากลิ่นไอบนร่างของเขาคล้ายคลึงกับเสินฟางอย่างยิ่ง” 


 


 


นางเคยประมือถึงขั้นเป็นตายกับเสินฟางมาแล้ว จึงรู้สึกคุ้นเคยกับเขา 


 


 


ยมราชทั้งสิบ ล้วนอยู่ภายใต้บัญชาของจักรพรรดิแห่งความมืด ที่ควบคุมโลกนรกภูมิทั้งหมด 


 


 


ยมราชแต่ละตนมีหน้าที่แตกต่างกัน คนบนโลกขนานนามพวกเขาว่ายมราช บ้างก็เรียกว่าจอมมาร 


 


 


ยมราชแต่ละตนล้วนมีความแข็งแกร่ง อาศัยบารมีของท่านอาจารย์ ตู๋กูซิงหลันเคยได้พบเจอกับสิบยมราชมาสองสามตน 


 


 


ยมราชแต่ละตนมีเอกลักษณ์ในไอหยินของตนเอง 


 


 


ไอหยินบนร่างของฉู่เจียง มีความคล้ายคลึงกับไอหยินบนร่างของเสินฟางอย่างยิ่ง 


 


 


ประกอบกับ นางเองก็ไม่เคยได้พบยมราชตนอื่นๆ เพียงเคยได้ยินชื่อของพวกเขามาบ้างเท่านั้น 


 


 


ฉู่เจียง คือยมราชลำดับที่สอง เดิมที่เขาคือยมราชผู้ควบคุมดูแลท้องทะเลอันกว้างใหญ่ไพศาล ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้โผล่มาอยู่ที่นี่ 


 


 


พอชือหลีได้ยิน ทั่วทั้งร่างก็รู้สึกไม่ค่อยสบายขึ้นมาในทันที 


 


 


“คงไม่ได้โชคร้ายถึงขนาดนั้นหรอกมั้ง? พอโผล่หน้าออกมาก็เจอกับยมราช เกรงว่าเจ้าคงจะรับมือไม่ไหวหรอก” นางคิดไปถึงจอมมารอย่างเสินฟางที่อยู่ในโลงทองแดงหลังนั้น…. 


 


 


ตอนนั้นขนาดชือหลีเองก็ยังไม่กล้าลงมือกับเขาเหมือนกัน 


 


 


ตู๋กูซิงหลันในตอนนี้กลายเป็นคนพิการไปแล้ว เคลื่อนไหวไม่ค่อยสะดวก หากว่าพลังของฉู่เจียงใกล้จะฟื้นฟูได้สมบูรณ์แล้วละก็ พวกนางทั้งสองคนคงต้องดับอนาถอยู่ที่นี่ 


 


 


“อยากพึ่งใจฝ่อสิ จะอย่างไรเจ้าก็เป็นถึงเทพแห่งสายน้ำ” ตู๋กูซิงหลันกวาดตามองดูชือหลีครั้งหนึ่ง “ตอนที่ต่อสู้กับข้า เจ้าเก่งกาจมากเลยนะ” 


 


 


ชือหลี “ข้าผู้เป็นเทพเอาชนะเจ้าไม่ได้ ทั้งยังถูกเจ้าควบคุมเอาไว้อีกต่างหาก” 


 


 


ตู๋กูซิงหลัน “…….” ทำเป็นพูดดีพอชือหลีพูดออกมา ทำไมถึงได้ฟังดูเหมือนว่านางจะภาคภูมิใจเสียอย่างนั้น 


 


 


“ถ้าหากว่าติ๊งต๊องและราชาสุนัขป่าอยู่ที่นี่ด้วยละก็ พวกเราก็ยังนับว่ามีแต้มต่ออยู่บ้าง แต่ว่าเจ้าสองตัวนั้นอยู่ในป่าลึก บนเขา ไอ้เจ้าถวนจื่อตัวดำของเจ้าก็ดีแต่พูด ใช้การอะไรไม่ได้ ผ่านมาก็ตั้งหนึ่งเดือนแล้วยังไม่ฟื้นขึ้นมา” ชือหลีว่าต่อไป “หรือพวกเราจะถอยก่อน?” 


 


 


“ถอยไม่ได้แล้ว” ตู๋กูซิงหลันส่ายศีรษะ ขณะเดียวกันชือหลีก็พานางหลบหลีการโจมตีของฉู่เจียงอีกหลายระลอก 


 


 


“หากถอยตอนนี้ เหลียงเซิงเซิงก็ต้องตายสถานเดียว” ตู๋กูซิงหลันพูด ขณะที่เขวี้ยงยันต์อีกหลายแผ่นในมือออกไป 


 


 


ถึงแม้ว่าร่างกายจะพิการไปแล้ว แต่ว่าชิ้นส่วนของหยกสรรพชีวิตที่เสินฟางมอบให้นางมาทั้งหกชิ้นยังคงผนึกอยู่ในจิตวิญญาณของนาง 


 


 


นางไม่ได้อ่อนแอเท่าไหร่นัก 


 


 


“พี่สาว เจ้ากลายเป็นคนใจดีมีเมตตาชอบช่วยเหลือผู้คนตั้งแต่เมื่อไหร่?” ชือหลีถามออกมาตรงๆ ในใจของนาง ตู๋กูซิงหลันนั้นเป็นเหมือนกับดอกบัวสีดำดอกหนึ่ง สามารถแทงดาบใส่คนได้โดยไม่กระพริบตา นี่แสดงว่าตอนที่อยู่ในช่องว่างมิตินั้นสมองคงจะได้รับความกระทบกระเทือนไปด้วย คิดจะช่วยเหลือคนที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับนางเพื่ออะไร? 


 


 


“กฏของสำนักหุบเขาภูติของข้าคือไม่อาจเห็นความตายโดยไม่ช่วยเหลือ” 


 


 


ชือหลี “……” 


 


 


ยังดีที่การเคลื่อนไหวอย่างอึกทึกครึกโครมเช่นนี้ สร้างความสนใจให้ผู้คนในจวนจวิ้นอ๋องแล้ว 


 


 


เหลียงจวิ้นอ๋องมาถึงเป็นคนแรก พอเห็นสถานการณ์ตรงหน้า สีหน้าของเขาก็มืดครึ้มลงไปในทันที 


 


 


เขาไม่พูดไม่จาก็ก็กระชับหอกสีเงินขึ้นมา ผู้ติดตามทั้งหลายก็มิได้แตกตื่น พากับรายล้อมเอาไว้กระชับวงเข้ามา 


 


 


พอเห็นศีรษะมนุษย์ที่แขวนอยู่นอกหน้าต่าง ในใจของพวกเขาก็พากันหวาดกลัวขึ้นมา 


 


 


ปีศาจตนนั้นถึงกับกล้าบุกเข้ามาจนถึงภายในจวนของจวิ้นอ๋องของพวกเขา ทั้งยังคิดจะลงมือกับคุณหนูน้อย? 


 


 


เหลียงจวิ้นอ๋องจะอย่างไรก็เป็นคนเฉียบขาด มีฝีมือสูงส่ง เขาแทงหอกออกไปหลายครั้ง แต่ละครั้งล้วนเปี่ยมไปด้วยไอสังหาร ชนิดที่ต่อให้เป็นภูติผียังต้องหลบหลีก 


 


 


ฉู่เจียงโอบสาวน้อยเอาไว้ในอ้อมอก มองดูผู้คนที่มากันจนเต็มสวน 


 


 


ทั้งยังเหลือบดูมุมมืด คนพวกนี้เขามิได้หวาดกลัว เพียงแต่คนที่อยู่ในมุมมืดนั่น….ปะทะกันไปหลายครั้งแล้ว แต่เขาก็ยังดูไม่ออกว่าซุกซ่อนอยู่ตรงไหนกันแน่ 


 


 


เขาใช้มืออีกข้างคว้ายันต์สีเหลืองเอาไว้ ยันต์สีเหลืองในฝ่ามือแผดเผาผิวหนังบนฝ่ามือไปชั้นหนึ่ง 


 


 


ดวงตาสีมรกตคู่นั้นมีเส้นเลือดผุดขึ้นมา 


 


 


หยกสรรพชีวิต ถือเป็นของวิเศษล้ำค่า แม้แต่พวกเขาที่เป็นสิบยมราชก็ยังไม่อาจควบคุมได้ 


 


 


ถึงแม้ว่าเขาจะได้ครอบครองหยกมาบ้าง แต่ก็ไม่อาจแสดงพลังของพวกมันออกมาได้อย่างเต็มที่ เมื่อควบคุมไม่ได้ก็อาจจะถูกครอบงำแทนเสียด้วยซ้ำ 


 


 


ภายในจวนจวิ้นอ๋อง ถึงกับมีผู้สูงส่งเช่นนี้อยู่? 


 


 


เขาชักอยากจะเห็นหน้าขึ้นมาสักครั้ง ในขณะที่เขาเผลอใจลอยอยู่นั้น หอกของเหลียงจวิ้นอ๋องก็พุ่งมาถึง 


 


 


ครั้งนี้ถึงกับกระแทกถูกหลังมือของเขาโดยไม่มีผิดเพี้ยน 


 


 


ฉู่เจียงคลายมือออก สาวน้อยที่ถูกเขาโอบอุ้มเอาไว้อย่างแนบแน่นมาตลอดก็ร่วงลงมา 


 


 


เหลียงจวิ้นอ๋องรีบโฉบเข้ามารับตัวหลานสาวเอาไว้ 


 


 


ผู้คนทั้งหลายต่างก็ฮือกันเข้ามาโอบล้อมฉู่เจียง เมืองกู่เย่วเกิดมีปีศาจเช่นนี้อยู่จะต้องไม่สงบสุขเป็นแน่ 


 


 


จะต้องจัดการกำจัดเขาทิ้งเสีย! 


 


 


ฉู่เจียงสะบัดแขนเสื้อเกิดเป็นสายลมรุนแรงที่เย็นยะเยือกจากพลังหยินขุมหนึ่งพัดขึ้น 


 


 


เสื้อเกราะของผู้คนทั้งหลายถูกพัดจนปลิดปลิวกระจัดกระจาย กระทั่งเนื้อหนังยังถูกกรีดขาด 


 


 


ฉู่เจียงเองก็มิได้รั้งรอ ในขณะที่ฝูงชนกำลังเจ็บปวดทรมาน เขาก็กลายเป็นหมอกสีแดงหอบหนึ่งสลายหายไปอย่างรวดเร็ว 


 


 


เกี้ยวสีแดงเลือดและสาวใช้ในชุดแดงทั้งแปดนางก็หายไปพร้อมๆ กับเขาเช่นกัน 


 


 


ทั่วทั้งสวนตะวันออกเงียบสงบลงอีกครั้ง 


 


 


เหลียงจวิ้นอ๋องโอบอุ้มเหลียงเซิงเซิงเอาไว้ด้วยสีหน้าร้อนรน 


 


 


บนลำคอของเหลียงเซิงเซิงมีรอยเลือดลึกสองรอย ตอนนี้นางสลบไสลไม่ได้สติ เรียกอย่างไรก็ไม่ยอมตื่น 


 


 


“เร็วเข้า รีบไปเชิญท่านหมอเจียงมา!” เหลียงจวิ้นอ๋องอุ้มหลานสาวของตนเองเข้าไปภายในเรือนอย่างรวดเร็ว 


 


 


“เก็บกวาดสิ่งที่อยู่นอกหน้าต่างนั่นไปให้หมด” พอมองออกไปเห็นศีรษะมนุษย์ที่แขวนเรียงรายอยู่โทสะของเขาก็พลุ่งพล่าน 


 


 


หลานสาวผู้เป็นดั่งดวงใจของเขากลับต้องมาประสบพบเจอกับเรื่องแบบนี้ ทำให้เขาอยากจะฆ่าคนขึ้นมา 


 


 


ไอ้ปีศาจที่สมควรตายนั่น แม้แต่หลานสาวของเขาก็ยังกล้าแตะต้อง เขาจะต้องไม่ปล่อยมันเอาไว้อย่างแน่นอน! 


 


 


เหลียงเซิงเซิงนอนอยู่บนเตียง ด้วยใบหน้าซีดขาว 


 


 


เพียงครู่เดียว ก็เห็นท่านหมอชราในชุดสีเขียวผู้หนึ่งเข้ามา 


 


 


เขาแบกกล่องยาเอาไว้ด้วยท่าทางรีบร้อน 


 


 


ในมุมมืด ชือหลีที่ดูเหตุการณ์อยู่ถึงกับคิดร้องด่าออกมาแล้ว! 


 


 


“ไอ้เฒ่านั่นมิใช่บอกว่าจะไม่รักษาคนต้าโจวหรือ? ทำไมพอเป็นหลานสาวของเหลียงจวิ้นอ๋องเขาถึงได้ช่วยกันเล่า?” ไฟโทสะของชือหลีลุกท่วมสามจั้ง 


 


 


เจียงชวี่ปิ้งไอ้เฒ่าชราผู้นี้ ที่จริงก็เป็นแค่เจ้าที่เจ้าทางเล็กๆ ผู้หนึ่ง แต่พออยู่ต่อหน้านางกลับทำท่าทำทางถือดีนัก 


 


 


ก่อนหน้านี้ตอนที่นางพาตู๋กูซิงหลันไปขอให้เขาทำการรักษา ท่าทางยโสของเขาทำเอานางอยากจะเหยียบให้จมดินนัก 


 


 


ดีนักเชียว แคว้นต้าโจวทำลายแคว้นกู่เย่ว เขาเกลียดชังคนต้าโจว นางก็สามารถเข้าใจได้ 


 


 


แต่ทำไมคำพูดคำจาถึงได้เสมือนผายลมเช่นนี้ พอเหลียงจวิ้นอ๋องเรียกหาเขาก็รีบมาเลยหรือ? 


 


 


ชือหลีบิดแขนเสื้อไปมา นัยตาของนางเปล่งประกายวาววับ 


 


 


ตู๋กูซิงหลันนั่งอยู่บนบ่าของนาง “เยือกเย็นไว้” 


 


 


 


 


 


—— 


 


 


คุยกันนิดนึง: 


 


 


ไรท์: งานนี้มีคนตายแน่นอน เล่นกับใครไม่เล่น เล่นกับชือหลี เฮอะ! 


 


 


ตอนต่อไป: รักษาโรคด้วยวิธีหลับนอน 


 


 


แค่ชื่อตอนก็……….  

 

 


ตอนที่ 312 รักษาโรคด้วยวิธีหลับนอน

 

“เย็นกับผีน่ะสิ!” ชือหลีระเบิดอารมณ์ ตอนนี้นางอยากอัดคนเป็นที่สุด


 


 


นางรู้สึกว่าตนเองเป็นเทพแห่งสายน้ำที่ได้รับความคับแค้นอย่างที่สุด หากไม่ได้อัดไอ้เฒ่าเจียงชวี่ปิ้งนั่นให้แหลก นางคงไม่มีทางระบายความแค้นนี้ออกไปได้


 


 


“รอให้เขาอยู่เพียงลำพังก่อนค่อยลงมือ” ตู๋กูซิงหลันหรี่ตามองไปทางนั้นเช่นกัน ร่างเนื้อนี้หากว่ายังพอจะสามารถรักษาได้ นางก็อยากจะรักษา


 


 


ตอนที่ชือหลีพานางไปขอรับการรักษาจากเจียงชวี่ปิ้งนั้น ฝนตกลงมาห่าใหญ่พอดี


 


 


เจียงชวี่ปิ้งปล่อยให้พวกนางตากฝนอยู่สามวันสามคืน กลับไม่ยอมมองดูนางสักแวบหนึ่ง ก็ปฏิเสธที่จะรักษานางแล้ว


 


 


ชือหลีเองก็พยายามอย่างเต็มที่ เพื่อนางแล้วถึงขนาดละวางทิฐิความเป็นเทพ มาขอร้องเจ้าที่เจ้าทางตนหนึ่ง น้ำใจนี้ตู๋กูซิงหลันได้จดจำเอาไว้แล้ว


 


 


วิธีที่นางบอกให้รอตอนอยู่เพียงลำพังค่อยลงมือจัดการ ถูกใจชือหลีเข้าพอดี


 


 


ดอกบัวดำนับว่าดำทมิฬสมชื่อแล้ว


 


 


ตอนนี้ ตู๋กูซิงหลันเก็บยันต์สีเหลืองลงไป เหล่าทหารพวกนั้นยังถือว่าโชคดีอยู่บ้าง เพียงแค่รับบาดเจ็บทางผิวกายภายนอก


 


 


อาการของเหลียงเซิงเซิงต่างหากที่ย่ำแย่ที่สุด


 


 


ชือหลีแบกนางเอาไว้ขึ้นไปบนหลังคาอย่างไร้สุ้มเสียง ค่อยแซะกระเบื้องหลังคาแอบดู


 


 


พวกนางเห็นสีหน้าของเหลียงจวิ้นอ๋องมีแต่ความวิตกกังวล ส่วนเหลียงเซิงเซิงที่นอนอยู่บนเตียงก็มีสีหน้าซีดเซียวปราศจากสีเลือด


 


 


เจียงชวี่ปิ้งที่ผมหงอกขาวโพลนไปทั้งหัวกำลังจับชีพจรให้นาง


 


 


พอพึ่งจะสัมผัสโดนข้อมือของนางเท่านั้นเส้นผมบนศีรษะของเขาก็ลุกชันขึ้นมา


 


 


“เป็นอย่างไรบ้าง?” เหลียงจวิ้นอ๋องที่อยู่ด้านข้างรีบถามออกมาในทันที


 


 


“ท่านอ๋อง อาการของคุณหนูน้อยไม่ค่อยดี” เจียงชวี่ปิ้งส่ายศีรษะ


 


 


“ข้ารู้ว่าอาการไม่ค่อยดี ถึงได้ต้องเชิญเจ้ามาอย่างไรเล่า หากว่าเจ้ายังไม่มีหนทาง แล้วข้าจะฝากความหวังไว้ที่ผู้ใดได้?” เหลียงจวิ้นอ๋องหงุดหงิดอย่างยิ่ง


 


 


“คุณหนูน้อยถูกไอหยินแทรกซึมเข้าสู่ร่างกาย ทั้งยังถูกสูบโลหิตออกไป เกรงว่าในช่วงเวลาสั้นๆ คงไม่อาจตื่นขึ้นมาได้” ใบหน้าชราของเจียงชวี่ปิ้งเองก็มีสีหน้าไม่สู้ดี


 


 


“วิธีการรักษาเล่า?” เหลียงจวิ้นอ๋องเฝ้าอยู่ข้างเตียง หากว่าท่านหมอชราผู้นี้มิใช่เจียงชวี่ปิ้ง เขาคงจะเอามีดมาแทงคนฆ่าทิ้งไปแล้ว


 


 


“หาผู้ที่มีไอหยางสมบูรณ์ในร่างมาถ่ายทอดความอบอุ่นให้กับร่างกายของคุณหนูน้อย” เจียงชวี่ปิ้งพูดต่อว่า “พอดีเลยมิใช่หรือ ฮ่องเต้แห่งต้าโจวกำลังจะเสด็จมาแล้ว พระองค์เป็นโอรสสวรรค์ บนร่างมีไอมังกร ขอเพียงพระองค์ทรงยินยอมประทานแก่นชีวิตให้กับคุณหนูน้อย โอบกอดนางสักหนึ่งราตรี คุณหนูน้อยก็จะตื่นขึ้นมาเอง”


 


 


ทันทีที่จบประโยคเหลียงจวิ้นอ๋องก็ระเบิดโทสะออกมา


 


 


“เหลวไหล!” เขาเบิกตาโตหนวดเคราปลิวจนชี้ขึ้นมา “เซิงเซิงบริสุทธิ์ผุดผ่องดุจหยก แล้วจะให้บุรุษผู้หนึ่งโอบกอดข้ามคืนได้อย่างไร? ต่อให้บุรุษผู้นั้นเป็นฮ่องเต้ก็ไม่ได้!”


 


 


บนหลังคา ชือหลีมีสีหน้าชิงชังขึ้นมาแล้ว


 


 


ไอ้เฒ่าช่างนอกลู่นอกทางเสียจริงๆ นางอยู่มานานจนปานนี้แล้ว ยังไม่เคยได้ยินว่ามีวิธีที่ใช้แค่การนอนหลับไปก็สามารถรักษาอาการป่วยได้มาก่อนเลย


 


 


ตู๋กูซิงหลันเองก็เคร่งขรึมลง ในสมองเกิดภาพที่มิใคร่เหมาะสมสักเท่าไหร่


 


 


จากนั้นนางก็รู้สึกขนลุกขึ้นมาจนตัวสั่นน้อยๆ


 


 


ตอนนี้นางไม่ได้อยู่ใกล้เหลียงเซิงเซิง จึงไม่อาจตรวจดูให้แน่ชัดว่าบาดแผลของนางที่จริงแล้วเป็นเช่นไร


 


 


นี่คนธรรมดาผู้หนึ่ง นางถูกยมราชกัดไปคำหนึ่ง ทั้งยังกัดลงไปที่บริเวณลำคอ…..ย่อมต้องรับไม่ไหว


 


 


ไอหยินทะลักเข้าสู่ร่างกาย ทั่วทั้งร่างมิได้แข็งทื่อไปก็นับว่าบุญโขแล้ว


 


 


ตอนนี้พอสลบไสลก็หลับลึกลงไป ไอหยางพร่องอาจเป็นส่วนหนึ่ง แต่ดูท่าที่สำคัญคงจะเป็นเพราะตื่นตระหนกด้วยเป็นแน่


 


 


นับว่าน่าสงสารสาวน้อยผู้นี้อยู่เหมือนกัน คนในดวงใจที่เฝ้าฝันถึงมาตลอด อยู่ๆ ก็กลายเป็นปีศาจที่ต้องการจะกลืนกินนางลงไป แค่เพียงช่วงเวลาสั้นๆ จะให้นางยอมรับได้อย่างไร


 


 


ภายในห้อง เจียงชวี่ปิ้งเองก็หงุดหงิดมากเช่นกัน


 


 


“หากว่าท่านอ๋องไม่เชื่อถือหมอชราอย่างข้า แล้วเช่นนี้จะเรียกข้ามาทำไม?” เขาเองก็มีศักดิ์ศรีเช่นกัน “ในร่างกายของคุณหนูน้อยมีแต่ไอหยินรุนแรง หากว่าปล่อยทิ้งไว้ ก็จะซึมลึกลงไปในกระดูกและเส้นโลหิต ถึงตอนนั้นต่อให้คิดจะช่วยก็คงช่วยไม่ได้แล้ว”


 


 


เขากล่าวเพียงไม่กี่ประโยค ก็ทำให้สีหน้าของเหลียงจวิ้นอ๋องซีดเซียวลงไป


 


 


หากเปรียบกับชีวิตแล้ว…..พรหมจรรย์นับว่าเป็นอะไรได้


 


 


“ข้าไม่เชื่อหรอกว่าในเมืองกู่เย่วนี้จะเสาะหาผู้ที่มีไอหยางไม่ได้สักคน ทำไมจะต้องให้ฮ่องเต้มาเสริมความอบอุ่นให้กับเซิงเอ๋อร์ของข้าด้วย?” เหลียงจวิ้นอ๋องโกรธจนผิดหวังแล้ว


 


 


เขาจะต้องเสาะหาบุรุษที่มีไอหยางมาสักคน พอช่วยเซิงเอ๋อร์เรียบร้อยแล้ว ก็ฆ่าปิดปากคนผู้นั้นเสีย เช่นนี้เซิงเอ๋อร์ก็จะยังบริสุทธิ์ผุดผ่อง


 


 


“ท่านอ๋องอย่างได้ลืมสิว่า เมืองกู่เย่วแห่งนี้คือที่ใด ที่นี่เคยมีคนตายไปแล้วนับแสน” เจียงชวี่ปิ้งกล่าวออกมาอย่างชอกช้ำใจ


 


 


“ผู้ที่เติบโตขึ้นมาภายในเมืองกู่เย่ว ไม่มีทางมีไอหยางสมบูรณ์ได้”


 


 


“มีแต่ไอมังกรของฝ่าบาทเท่านั้นถึงสามารถรักษาคุณหนูน้อยได้”


 


 


เหลียงจวิ้นอ๋องไม่ยอมพูดจา เขาได้แต่มองดูหลานสาวที่นอนอยู่บนเตียง กำหมัดจนแนบแน่นเข้า


 


 


เจียงชวี่ปิ้งลุกขึ้นมา “ข้าจะตระเตรียมยาให้คุณหนูน้อยเอาไว้ก่อน ทุกๆ วันให้คนคอยปรนนิบัตินางแช่ยาเพื่ออบอุ่นร่างกาย หากทำเช่นนี้ก็จะสามารถชะลอความเร็วในการแทรกซึมของไอหยินลงได้ แต่ผู้ที่สามารถช่วยนางนั้น คงได้แต่ต้องพึ่งพาฮ่องเต้แล้ว”


 


 


ว่าแล้ว เขาก็เขียนเทียบยาชุดหนึ่งขึ้นมา วางเอาไว้บนโต๊ะ แบกกล่องยาของตนเองออกไป


 


 


…………………………


 


 


เวลานี้ดึกสงัดมากแล้ว


 


 


พอเข้าสู่ยามโพล้เพล้ บนถนนของเมืองกู่เย่วก็ไม่มีผู้คนสัญจรแล้ว


 


 


ยามดึกดื่นเช่นนี้แม้แต่เงาใดๆ ก็ยิ่งไม่มีให้เห็น ขนาดจวนเหลียงจวิ้นอ๋องเกิดเรื่องใหญ่ก็ยังไม่มีผู้ใดกล้าออกมาชมความครึกครื้นด้วยซ้ำ


 


 


เจียงชวี่ปิ้งพึ่งจะออกมาจากจวนอ๋อง เลี้ยวไปได้แค่สองโค้ง ก็ถูกถุงกระสอบใบหนึ่งครอบลงมา


 


 


เขาสาดเข็มเงินในมือกระจายออกไปในทันที


 


 


แต่กลับได้ยินแค่เสียง ‘ปุ๊ก ปุ๊ก ปุ๊ก’ ไม่กี่ครั้ง เข็มเงินของเขากระทบเข้าไปบนแผ่นไม้กระดาน


 


 


หัวใจของเจียงชวี่ปิ้งพลันตระหนกขึ้นมา กำลังจะขยับตัว ไอเซียนยังไม่ทันถูกปลุกขึ้นมา ก็ถูกพลังขุมหนึ่งกักขังเอาไว้


 


 


เขาถูกถุงกระสอบครอบตัว ไม่อาจมองเห็นสถานการณ์ภายนอก


 


 


ไม่ทันรอให้เขาได้ต่อสู้ขัดขืน หมัดชุดหนึ่งก็ทุบรัวลงมา ทำเอาเขาถูกทุบจนมึนงง


 


 


จะมากจะน้อยเขาก็เป็นถึงเจ้าที่เจ้าทาง แต่ตอนนี้เรี่ยวแรงแม้แต่จะขัดขืนสักนิดก็ยังไม่มี


 


 


ประเด็นสำคัญก็คือแต่ละหมัดที่กระหน่ำลงมานั้นถึงกับหนักหนาอาการ ทุกหมัดที่กระแทกลงมา เขาล้วนรู้สึกได้ว่าสมองของตนเองกำลังจะแตกเป็นเสี่ยงๆ หากว่าเขาไม่ใช่เจ้าที่ของที่นี่ แล้วถูกรุมอัดเช่นนี้ ต่อให้ไม่ตายก็คงแทบจะไม่รอดแล้ว


 


 


ไม่รู้ว่าโดนต่อยไปนานเท่าไหร่ ถึงได้ยินเสียงของสตรีผู้หนึ่งร้องขึ้นมา


 


 


“นี่พวกเจ้ากำลังทำอะไรกันอยู่?”


 


 


พอได้ยินเสียงนั้นก็มีเสียงฝีเท้าวิ่งเข้ามา คนที่กำลังต่อยตีเขาก็ตระหนกจนตื่นหนีไปทันที


 


 


จากนั้นถุงกระสอบที่ครอบศีรษะเอาไว้ก็ถูกดึงออกไป สิ่งที่เข้าสู่สายตาก็คือดวงตาสีแดงทั้งคู่ของชือหลี


 


 


“อ้ายย่าห์ นี่มันท่านเจียงหมอเทวดามิใช่หรือ? นี่ท่านไปผิดใจกับใครมา? ถึงได้ถูกต่อยตีจนมีสภาพแบบนี้?” ท่าทางของชือหลีคล้ายประหลาดใจอย่างยิ่ง


 


 


“หากมิใช่ว่าข้าผู้เป็นเทพบังเอิญผ่านทางมาทางนี้พอดี เกรงว่าคืนนี้ท่านคงต้องจบสิ้นอยู่ที่นี่แล้วกระมั้ง”


 


 


มุมหนึ่งภายในรถม้า ตู๋กูซิงหลันมองออกมาจากทางหน้าต่าง


 


 


ฝีมือการแสดงของชือหลีชุดนี้ ไม่ได้เข้าสู่วงการการแสดงช่างน่าเสียดายยิ่งนัก


 


 


เมื่อครู่ตอนที่นางต่อยคน แต่ละหมัดที่ระดมออกไปเพียงพอจะทุบหินให้แตกได้เลยทีเดียว


 


 


ตอนนี้กลับมีสีหน้าห่วงใย ราวกับว่าคนที่บาดเจ็บเป็นบิดามารดาของนางเสียอย่างนั้น


 


 


เจียงชวี่ปิ้งในยามนี้ก็งวยงงไปหมดแล้ว เขาพึ่งจะเดินออกมาจากจวนอ๋อง ใครกันนะที่เอาถุงป่านครอบหัวแล้วทุบตีเขา?


 


 


เขามองดูชือหลีด้วยความประหลาดใจ เห็นในแววตาของนางมีแต่ความห่วงใย


 


 


“เมื่อครู่ข้าเห็นแล้ว คนที่ทุบตีท่าน ใส่เสื้อเกราะ ดูแล้วน่าจะเป็นพวกนักรบ” ชือหลีทำท่าคาดเดา “ท่านไปผิดใจกับคนในกองทัพมาหรือ?”


 


 


เจียงชวี่ปิ้ง “……”


 


 


“พวกเราอย่าได้มัวแต่พูดเรื่องนี้กันอยู่เลย สหายของข้าคนนั้น ท่านก็โปรดเห็นแก่ที่ข้าวิงวอนแล้ววิงวอนเล่า ช่วยข้ารักษานางหน่อยเถอะนะ?” ชือหลีพูดพลาง ก็คว้าตัวเจียงชวี่ปิ้งไปที่รถม้า


 


 


ตู๋กูซิงหลันเปิดม่านหน้าต่างออกมา พอเจียงชวี่ปิ้งได้เห็นนาง สายตาของเขาก็เปลี่ยนแปลงไปในทันที

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)