ยอดหญิงสกุลเสิ่น ตอนพิเศษ 3.1-3.2
ตอนพิเศษ 3-1 อาจารย์ซู
ขี่อาชาข้ามสะพาน สตรีงามล้วนชายตาแล
ชายหนุ่มลำพองใจ คนผู้นี้คือฝังจิ่น ทั่วทั้งเมืองหลวงนี้ไม่มีชายหนุ่มผู้ใดดเด่นเท่ากับเขา จอหงวนหนุ่มวัยสิบเจ็ดปี และยังเป็นจอหงวนคนแรกที่ได้ที่หนึ่งทั้งการสอบทั้งสามสนามนับตั้งแต่สถาปนาต้ายง ทั้งยังมีใบหน้าโดดเด่น เป็นคุณชายรูปงามสะท้านโลกา
ยี่สิบปีหลังจากนั้น ทุกครั้งที่ซูหย่วนนึกย้อนไปจนถึงยามที่เขาขี่ม้าไปตามท้องถนนด้วยความองอาจแล้วก็ต้องทอดถอนใจ
ใช่แล้ว เขาคือฝังจิ่น ฝังจิ่นเด็กหนุ่มที่ลำพองใจในตอนนั้น บุตรอนุของตระกูลเลขาธิการกรมพระคลัง ใช่แล้ว ตอนนั้นบิดาของเขายังไม่ได้เข้าร่วมคณะเสนาบดีแล้วกลายเป็นอำมาตย์ ยังเป็นเลขาธิการเท่านั้น
แม้ว่าฝังจิ่นจะเป็นบุตรอนุแต่ชีวิตของเขาในบ้านก็ไม่ได้ลำบากอะไร เพราะแม่ใหญ่ใจกว้าง แต่จะปฏิบัติต่อเขาไม่เท่าน้องชายทั้งสามที่เกิดจากภรรยาเอก ทว่ากลับไม่ได้จงใจสร้างความลำบากให้กับเขา
ท่านแม่ของเขาเป็นหญิงสาวที่อ่อนโยนและหัวอ่อน ไม่ชอบการแก่งแย่ง ไม่ชอบแย่งชิง ในหนึ่งวันนอกจากปรนนิบัติแม่ใหญ่ด้วยความเคารพนบน้อมก็เอาแต่เย็บผ้าอยู่ในห้องของตัวเอง เสื้อผ้าที่เขาสวมทั้งตัวนอกและตัวในนั้นล้วนแล้วแต่เป็นฝีมือแม่ของเขาทั้งสิ้น
อาจจะเป็นเพราะแม่ของเขารักสงบ อาจจะเป็นเพราะเขามีความสามารถในเรื่องการเรียนหนังสือ เพราะฉะนั้นชีวิตของเขาในบ้านจึงไม่ด้อยไปกว่าพวกน้องชาย เขาเคยลอบยินดีที่ตัวเองโชคดี โชคดีที่มีแม่ใหญ่ไม่ได้จิตใจคับแคบเหมือนบ้านอื่น
แม้ในภายหลังเขาจึงรู้ว่าจริงๆ แล้วแม่ของเขาต่างหากที่เป็นภรรยาคนแรกของพ่อ เขาควรจะได้เป็นบุตรคนโตของภรรยาเอกที่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม แต่เป็นเพราะแม่ของเขามีสถานะต่ำต้อย หลังจากที่ท่านพ่อสอบเข้ารับราชการได้จึงต้องลดตำแหน่งภรรยาเป็นอนุ แล้วจึงแต่งงานกับหญิงสาวตระกูลสูง แม้แต่เขาเองที่แต่เดิมเป็นบุตรภรรยาเอกต้องกลายไปเป็นบุตรชายอนุภรรยาไป
แต่เขากลับไม่มีจิตใจคับแค้นในเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย เขาคิดว่าแม้จะไม่มีสถานะบุตรภรรยาเอกก็สามารถลืมตาอ้าปากได้ และสามารถเลี้ยงดูท่านแม่ให้มีชีวิตที่ดี และเขายังไม่กล่าวโทษท่านพ่อ จากเดิมที่เคารพแม่ใหญ่อยู่แล้วก็ยิ่งเคารพมากขึ้น ทั้งยังมีไมตรีจิตต่อเหล่าน้องชายอย่างจริงใจ
ทว่าแม่ของเขากลับไม่สามารถรื่นเริงไปกับโชคของเขา ตอนที่เขาอายุสิบสี่ปีแม่ก็ป่วยหนัก ใกล้จะสูญเสียการมองเห็น แม่ใหญ่เสนอว่าให้จัดงานมงคลเพื่อปัดเสนียดจัญไร เขาเองก็เห็นด้วย
คืนถัดมาหลังจากที่เจ้าสาวมาถึง แม่ได้จากไปแล้ว ยามที่จะไปก็กุมมือเขาเอาไว้แน่นแล้วพูดกับเขาอย่างเป็นทุกข์ “จิ่นเอ๋อร์ เจ้าจะต้องดูแลตัวเองดีๆ นะ!”
แม่ที่ยังคงห่วงเขาอยู่เสมอนั้นจากไปแล้ว เหลือไว้เพียงกองดินฝังศพที่เย็นชืดหนึ่งกอง เขาลอบบอกกับตัวเอง ‘อย่างไรเสียท่านแม่จากไปอย่างสงบ อย่างน้อยก็ได้เห็นเขาแต่งภรรยา’
เจ้าสาวของเขาเหวินเหนียงเป็นญาติห่างของแม่ใหญ่ พ่อแม่ไม่อยู่แล้ว นางใช้ชีวิตอยู่กับท่านอา นิสัยอ่อนโยน ทั้งยังมีฝีมือเรื่องเย็บปักถักร้อย เหมือนแม่ของเขามาก
ฝังจิ่นไม่ได้ใส่ใจว่าภรรยาจะมีสถานะต่ำต้อย เจ้าสาวที่แต่งงานฉับพลันเพื่อปัดเสนียดจัญไรจะมีสักกี่คนที่มีสถานะสูงส่ง อีกอย่างเขาก็เป็นเพียงบุตรอนุเท่านั้น ไม่เคยคิดที่จะแต่งงานกับสตรีสูงศักดิ์ เหวินเหนียงนิสัยดี และยังรู้หนังสือ เขาพึงพอใจมาก
หากทำตามธรรมเนียมเดิม เขาไม่ต้องการที่จะไว้ทุกข์ให้แม่นานถึงสามปี แต่อย่างไรเขาก็เป็นแม่ผู้ให้กำเนิดและยังเลี้ยงดูเขามา เขาจึงไว้ทุกข์ให้มารดาสามปีแล้วจึงค่อยลงสอบ
ความทุกข์ยากจากการเรียนหนังสืออย่างหนักมาสามปีได้กลายเป็นเกียรติยศ เขากลายเป็นจอหงวนในวัยสิบเจ็ด ตอนที่เจ้าหน้าที่มาแจ้งข่าวดีที่หน้าประตูนั้น บิดาตบหลังเขาพร้อมทั้งยิ้มกว้างอย่างดีใจ แม่ใหญ่ก็วิ่งเข้าวิ่งออกต้อนรับคนนั้นคนนี้อย่างรื่นเริง สายตาของน้องชายที่มองเขานั้นเต็มไปด้วยความเคารพนับถือ
เขามีความสุขจนตัวลอยราวกับย่ำเท้าลงบนปุยเมฆ และตอนนั้นภรรยาของเขาเหวินเหนียงตั้งครรภ์ได้หนึ่งเดือนกว่าแล้ว พูดได้ว่าเป็นความสุขสองชั้น ชื่อเสียงอยู่ในมือ ภรรยาอยู่ในอก เขารู้สึกว่าสิ่งที่มนุษย์ปรารถนาก็คือสิ่งนี้นี่เอง
ปีต่อมาในเดือนหก เหวินเหนียงคลอดลูกสาวคนโต เหวียนเหนียงเสียใจที่ไม่ใช่ลูกชาย แต่เขากลับชื่นชอบนัก เขาตั้งชื่อลูกสาวว่าย่วนย่วน เอาแต่อุ้มลูกสาวไม่ยอมห่าง
ยามที่ย่วนย่วนอายุได้สองขวบเหวินเหนียงก็ท้องอีกครั้ง นางมักจะใช้เวลาเย็บชุดให้ลูกไปพลาง แล้วคิดจินตนาการถึงลูกชายในท้องไปพลาง แต่เขากลับไม่ได้ตั้งตารอขนาดนั้น เขาคิดว่าหากนางคลอดลูกสาวขึ้นมาอีกเขาก็ยินดี
ย่วนย่วนน่ารักมาก ใบหน้าเล็กๆ ขาวนวลนุ่มนิ่ม ดวงตาโตเป็นประกาย กอดคอเขาเอาไว้อย่างออดอ้อน น้ำเสียงอ้อแอ้เรียกเขาว่า “ท่านพ่อ” แม้เขาจะต้องเหนื่อยยากจากงานข้างนอกมาแค่ไหนก็คุ้ม
ทว่าใครจะคิดว่าการตั้งครรภ์ของเหวินเหนียงจะเป็นสัญญาณเรียกจากความตาย เหวินเหนียงอยู่ในสภาวะคลอดยาก ทรมานอยู่หนึ่งวันหนึ่งคืนก็จากไป ทารกชายในครรภ์ก็จากไปพร้อมนางด้วย
ฝังจิ่นอุ้มลูกสาวแล้วมองไปทางภรรยานิ่งๆ เขาไม่อยากที่จะเชื่อเลย วินาทีก่อนหน้านี้ภรรยายังคงยิ้มแย้มแจ่มใสกับเขา วินาทีต่อมานางกลับนอนนิ่งตัวเย็นชืดอยู่ตรงนั้น แต่งงานมาเจ็ดปี พวกเขาเป็นคู่สามีภรรยาที่รักใคร่กันดี เขาไม่อาจทนรับได้ที่ภรรยาทิ้งพวกเขาสองพ่อลูกไว้ในโลกมนุษย์เช่นนี้
ได้ยินเสียงร่ำไห้ปานจะขาดใจของลูกสาวอยู่ข้างหู เขาทำได้เพียงอุ้มลูกสาวเอาไว้แล้วกอดแน่นๆ
การสูญเสียภรรยาในครั้งนั้นทำให้เขากลายเป็นศพเดินได้ โยนจิตใจทั้งหมดเอาไว้ที่งาน แต่เขากลับละเลยลูกสาว ย่วนย่วนที่เสียแม่คอยปกป้องดูแลตกลงมาจากขั้นบันได เสียเลือดไปมาก เมื่อเห็นใบหน้าเล็กขาวซีดของลูกสาว ฝังจิ่นจึงได้สติจากความทุกข์ ภรรยาจากไปแล้ว หากเขาไม่แม้แต่จะดูแลลูกสาวของพวกเขาให้ดี จะมีหน้าไปพบภรรยาได้อย่างไร
แต่เขายังเป็นผู้ชาย และยังมีงานราชการ ไม่อาจอยู่บ้านดูแลลูกสาวได้ตลอดเวลา! สุดท้ายแม่ใหญ่ก็ทนมองไม่ได้ รับย่วนย่วนไปดูแล ตอนนั้นเขาซาบซึ้งในบุญคุณอย่างถึงที่สุด
ฝังจิ่นที่ไม่มีห่วงอยู่ข้างหลังก็ยิ่งใส่ใจต่องานมากยิ่งขึ้น เพียงไม่นานก็แสดงศักยภาพให้เห็น ฝ่าบาทชื่นชมอยู่หลายครั้ง ในตอนนั้นเขาคิดว่าตัวเขานั้นนำพาเกียรติยศมาให้ตระกูล ทั้งที่ในความจริงนั่นเป็นสัญญาณอันตรายของเขา
วันนั้นเป็นวันครบรอบวันเกิดปีที่สาบสิบหกของบิดา มีแขกมากมายเข้ามาในบ้าน ตัวเขาที่เป็นลูกชายคนโตนั้นต้องช่วยต้อนรับ วันนั้นเขาดื่มเหล้าเข้าไปมาก จากนั้นก็ไม่ได้สติ ตอนที่เขาได้สติขึ้นมาแล้วก็ต้องเผชิญหน้ากับบิดาที่สองตาเต็มไปด้วยโทสะ “เจ้าลูกชั่ว!” และแม่ใหญ่ยังร้องไห้พลางตะโกนว่า “จิ่นเอ๋อร์ ทำไมถึงทำเรื่องแบบนี้ลงไปได้”
ทำเรื่องอะไรกัน เขาทำอะไรลงไป เขาพบว่าตัวเองนอนอยู่ในห้องที่ไม่คุ้นเคย มีหญิงสาวคนหนึ่งนอนอยู่ข้างๆ เขา เป็นอนุภรรยาของท่านพ่อ ฮวาอี๋เหนียง
ตอนนั้นเขามึนงงไปหมด เขาอยู่นอกเรือนไม่ใช่หรือ มาถึงเรือนของฮวาอี๋เหนียงได้อย่างไร เด็กรับใช้ของเขาเล่า
ทว่าวินาทีต่อมาเขาก็ต้องชะงัก ฮวาอี๋เหนียงบอกกับพ่อของเขาว่า “นายท่าน เป็นคุณชายใหญ่ที่บังคับข้า ตัวข้านั้นไม่มีทางเลือก! ข้ารู้สึกผิดต่อนายท่านเหลือเกิน” ปิ่นปักผมในมือทิ่มไปที่หน้าอกของตัวเองอย่างแรง
“สัตว์เดรัจฉาน เจ้ามันเป็นสัตว์เดรัจฉาน มัดตัวมันไว้” เขายังไม่ทันที่จะพูดบิดาของเขาก็สั่งให้คนมัดตัวเขาเข้ามาตัดสินโทษในเรือน
ความเจ็บปวดจากไม้พลองที่ตีลงมาบนร่างทำให้เขาได้สติกลับคืนมา “ท่านพ่อ ลูกผิดไปแล้ว เป็นเพราะลูกดื่มจนเมา ไม่รู้ตัวจริงๆ ว่าไปถึงเรือนของฮวาอี๋เหนียงได้อย่างไร ท่านพ่อ ท่านต้องเชื่อลูกนะขอรับ ลูกไม่มีทางทำเรื่องไม่ถูกทำนองคลองธรรมเช่นนี้ได้” ข่มขืนอนุของบิดา เขาอ่านหนังสือคุณธรรมของท่านนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ ไหนเลยจะทำเรื่องเสียเกียรติเช่นนี้ได้ เรื่องนี้จะต้องมีข้อผิดพลาดแน่
ทว่าบิดากลับไม่เชื่อเขา “สัตว์เดรัจฉาน แล้วฮวาอี๋เหนียงจะข่มเหงเจ้าได้หรือ ข้าจะตีเจ้าให้ตาย ตีเจ้าลูกเลวไร้คุณธรรมเช่นนี้ให้ตาย! ต่อหน้าสายตาของผู้คนมากมายยังกล้าทำเรื่องชั่วช้าเช่นนี้ ข้าต้องเสียหน้าเพราะเจ้าไปตั้งเท่าไหร่”
ใช่แล้ว หากคนนอกมองเข้ามา ใครจะคิดว่าฮวาอี๋เหนียงจะข่มเหงเข้าได้ คนเราจะเสียสละชีวิตเพื่อทำลายคนที่ไม่มีประโยชน์ต่อตัวเองได้อย่างไร
ฝังจิ่นเลิกที่จะอธิบาย ฟังบิดาก่นด่าด้วยความมึนงง แม่ใหญ่ร้องไห้คร่ำครวญ เมื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้งเขาก็ถูกขังเอาไว้ในคุก เขาขยับตัวอย่างยากลำบาก หลังของเขาเจ็บปวดเหมือนถูกไฟแผดเผา
เขาพยายามที่จะคิดเพื่อให้เข้าใจถึงเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด เมื่อถึงตอนนี้ เขากลับรู้สึกว่าตัวเขาในตอนนั้นที่ไม่เข้าใจว่านี่คือแผนการในการกำจัดเขานั้นช่างโง่เง่า เขาและฮวาอี๋เหนียงไม่มีความเกี่ยวข้องแม้แต่น้อย กระทั่งไม่เคยพูดคุยกันเลย ทำไมฮวาอี๋เหนียงต้องหาเรื่องทำร้ายเขาด้วย เด็กรับใช้ของเขาไปไหน ท่านพ่อไม่สนใจเขา ชื่อเสียงของเขาต้องถูกทำลาย ใครจะได้ประโยชน์มากที่สุด
เขารู้แจ้งได้ชัดเจน แต่เขาไม่กล้าที่จะมั่นใจในคำตอบของตัวเอง
ตอนพิเศษ 3-2 อาจารย์ซู
ยามดึกคืนนั้น บ่าวรับใช้ของเขาลอบส่งยามาให้ ทว่าสายตากลับส่องประกายอย่างมีเลศนัย ไม่กล้าที่จะมองตาของเขา “คุณชาย บ่าวขออภัยจริงๆ แต่บ่าวไม่มีทางเลือกขอรับ!”
คนที่ทำให้บ่าวของเขาหมดหนทางจนต้องทรยศต่อเจ้านายตัวเองได้จะมีใครอีก แม่ใหญ่ แม่ใหญ่ที่เขาเคารพนับถือนั่นไง! เขาไม่เคยต้องการที่จะแย่งชิงของของน้องชายเลยแม้แต่น้อย! ทำไม ทำไม ทำไม ทำแบบนี้ทำไม
บิดาของเขาที่มีสถานะเป็นเจ้าบ้านทำไมจะไม่รู้ว่าเขาต้องตกอยู่ในที่นั่งลำบาก แต่ก็ยังยัดเหยียดสถานะลูกข่มขืนอนุภรรยาของบิดามาให้เขา เลือกที่จะขับไล่สมาชิกครอบครัวออกไป ท่านพ่อเลือกแม่ใหญ่และพวกน้องชาย
พวกเขาทำลายเขาแล้วลูกสาวของเขาจะปล่อยเอาไว้หรือ ตอนที่เขาถูกขังในวันที่เจ็ด ลูกสาวของเขาก็ตกน้ำเสียชีวิต ร่างเล็กๆ ของนางนอนเปียกไปทั้งร่างอยู่ตรงนั้น ไม่อาจลืมตาขึ้นมาพูดจาออดอ้อนเรียกเขาว่าท่านพ่อได้อีกต่อไป
เป็นเพราะเขาขวางทางเดินของพวกน้องชาย พวกเขาจึงต้องการที่จะกำจัดเขาออกไปให้พ้นทาง เขาไม่อยากที่จะอยู่ในครอบครัวที่สกปรกเช่นนี้แม้แต่น้อย ถูกขับไล่ออกมาก็ดีแล้ว นับแต่นี้ไปเขาไม่ได้แซ่ฝัง เขาแซ่ซู เพราะแซ่เดิมของท่านแม่คือซู
ตระกูลฝัง เมืองหลวง รอก่อนเถิด รอข้าฝังจิ่น อา ไม่ซี ข้าซูหย่วนจะต้องกลับมาอีกแน่
ซูหย่วนจากไปพร้อมด้วยความแค้นเต็มใจ เขามีพรสวรรค์ ไหนเลยจะต้องตกทุกข์ ยามที่ร่ำรวยอยู่ เขาผูกมิตรกับเพื่อนมิตรมากมาย ต่างให้การต้อนรับอย่างรื่นเริง ยามที่เขาพักผ่อน เขาจ่ายเงินมากมายในหอนางโลม กินเหล้าเมาเหมือนจะตาย เขาทำตัวสำมะเลเทเมา เขาถึงขนาดไปนอนในวัดร้างร่วมกับขอทาน
หนึ่งปี สองปี แปดปี สิบปี เขาไปยังทะเลตะวันออก เขาปีนขึ้นเขา เขายังเคยตกอยู่ในสงคราม ฝ่าเท้าของเขาราวกับท่องไปทั่วทั้งแผ่นดิน มองไปที่ทิวทัศน์อันไร้พรมแดน ยังมีการเวียนว่ายตายเกิดอยู่
จิตใจของเขาค่อยๆ สงบลง ไม่ใช่ว่าเขาลืมพวกนางไปแล้ว ทว่าพวกนางก็ยังคงอยู่ในใจของเขา
ในตอนนั้น เขากำลังเดินอยู่ด้านล่างของภูเขาจีโถ ถูกจี้ปล้น โอยโอย ภูเขาลูกนี้ช่างน่าเวทนานัก! โจรร้ายบนภูเขาแห่งนี้ เห็นได้ชัดเจนว่าเป็นเพียงขอทานขอข้าวเท่านั้น ดังนั้นเขาจึงอยู่ที่นี่เพื่อเป็นแม่ทัพให้กับพวกเขา คอยดูแลว่าพวกเขาจะปล้นชิงอย่างไร จะใช้ชีวิตอย่างไร
สวรรค์อาจจะเห็นใจเขากระมัง ที่ให้รออยู่บนเขาจีโถ สาวน้อยคนนั้น สาวน้อยที่อายุเพียงสิบเอ็ดสิบสองปีคนนั้น สาวน้อยที่นำพาสาวใช้มาปล้นชิงแล้วยังประสบความสำเร็จอีกด้วย สาวน้อยที่มีดวงตากลมโตคนนั้น
ซูหย่วนตัดสินใจอย่างเด็ดขาด เขาต้องตามนางไป! เขาต้องตามสาวน้อยที่เหมือนกับย่วนย่วนไป ดังนั้นเขาจึงกลายเป็นอาจารย์ พ่อบ้าน หัวหน้าทหารของเด็กสาว
เด็กสาวคนนี้คือคุณหนูสี่ของจวนจงอู่โหวเสิ่นเวย ตอนนั้นนางกำลังถูกแม่เลี้ยงเนรเทศไปบ้านบรรพบุรุษตระกูลเสิ่นเพื่อรักษาตัว นางเป็นเด็กสาวที่ฉลาดและเต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว วินาทีก่อนอาจทำเขาโกรธเสียจนต้องกระทืบเท้า วินาทีต่อมาก็หันมายิ้มประจบประแจงเขา “ท่านอาจารย์ ท่านอาจารย์ ท่านวางใจเถิด ข้าจะเลี้ยงท่านตอนแก่แน่”
เป็นเพราะประโยคนี้ของนาง เขาจึงเดินทางจากบ้านพักตระกูลเสิ่นถึงเมืองหลวง ช่วยนางวางแผนเรื่องราวต่างๆ อย่างกระตือรือร้น และช่วยจัดการงานต่างๆ ให้ คอยดูแลนางจากสาวน้อยกลายเป็นหญิงสาว เป็นภรรยา และเป็นมารดา ทุกครั้งที่มองนางดวงตาเขาจะโค้งลงเป็นรอยยิ้มพระจันทร์เสี้ยว เขาดูปลื้มปิติอย่างถึงที่สุด เขาคิด ย่วนย่วนของเขาก็คงจะเป็นเช่นนี้เหมือนกัน
เมืองหลวงก็ยังคงเป็นเมืองหลวง ทั้งคุ้นเคยทั้งแปลกหน้า แม้ว่าจะผ่านไปยี่สิบปีแล้ว แต่ยังมีบางคนที่จำเขาได้ สาวน้อยของเขาไม่รู้ว่าไปรู้เรื่องราวในอดีตของเขาจากใคร ดังนั้นตระกูลฝังจึงถึงคราวซวย พวกน้องชายของเขาล้วนแล้วแต่มีชื่อเสียงฉาวโฉ่ ทั้งเรื่องเลี้ยงภรรยาน้อย ทั้งเรื่องติดสินบน ทั้งเรื่องหึงหวงตบตีในหอนางโลม
ระหว่างทางยังปลอบโยนเขา “ท่านอาจารย์ หากท่านไม่อยากมีครอบครัวจริงๆ ก็ตามข้ามาเถิด ต่อไปข้าจะดูแลท่านเอง” ช่างเป็นเด็กสาวที่น่ารักจริงๆ! นอกจากเรื่องที่ไม่ได้เรียกเขาว่าพ่อ นอกนั้นก็ไม่มีอะไรขาด อย่างน้อยเขาก็สามารถพูดได้อย่างภูมิใจว่า สาวน้อยปฏิบัติต่อเขาดีกว่าพ่อของนางเองเสียอีก
แต่ซูหย่วนก็รู้ว่าตอนนี้ตระกูลฝังกำลังอยู่ในช่วงรุ่งเรืองสุดขีด ตอนนี้บิดาของเขาก็กลายเป็นเสนาอำมาตย์ในกลุ่มเสนาบดีที่สำคัญ ที่น่าเย้ยหยันที่สุดก็คือบิดาทอดทิ้งเขาแต่เก็บน้องชายที่มีสติปัญญาด้อยค่าเอาไว้ตั้งสามคน อย่างมากสุดก็ได้เป็นเพียงขุนนางขั้นหก ที่หรือคือจุดจบที่ท่านอำมาตย์ตั้งตารอ ฮ่าฮ่า ค่อยคลายความโกรธแค้นได้บ้าง
ชำระความแค้นด้วยคุณธรรม แล้วจะเอาอะไรมาตอบแทนคุณธรรมเล่า เขานำพาทหารหนุ่มจากจวนผิงจวิ้นอ๋องไปช่วยเหลือให้แต่ละจวน เหลือเพียงตระกูลฝังเท่านั้น เขาตั้งใจให้เป็นเช่นนั้น!
หลายปีมานี้ เขาอยู่ข้างกายสาวน้อย เขาไม่ได้ต้องการที่จะแก้แค้นเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไป เขาปล่อยวางแล้ว เขามักจะคิดว่า สาวน้อยของเขาเป็นย่วนย่วนกลับชาติมาเกิด
สำหรับตระกูลฝัง สิ่งที่เขาทำได้ก็คือไม่ปักใจแก้แค้นอีกต่อไป เขากลัวว่ามือของเขาจะเปื้อนเลือดมากเกินไป แล้วสวรรค์จะริบเอาความสุขของเขาในตอนนี้ไป
ไม่ได้แก้แค้น แต่ก็ไม่ได้ให้ความช่วยเหลือ สำหรับเขาแล้ว ตระกูลฝังก็เป็นเพียงฝันร้ายฉากหนึ่ง ในเมื่อผ่านไปแล้ว ก็ให้มันผ่านไปตลอดกาลเถิด
ที่พระตำหนักจินหลวน น้ำเสียงกังวานของเขาเอ่ยว่า “กระหม่อมคือซูหย่วน เป็นคนอำเภอสือผิงแห่งเจียงหนาน พ่อแม่ล้วนเสียชีวิต เหลือตัวคนเดียว”
ใช่แล้ว นับตั้งแต่วันที่เขาโดนตีแล้วหนีออกจากเมืองหลวง พ่อแม่ของเขาก็เสียชีวิตทั้งคู่ มารดาของเขาแซ่ซู บุตรสาวของซิ่วไฉ่ยากจน นางตายตอนเขาอายุสิบสี่ปี บิดาของเขาเป็นบัณฑิต รูปร่างสูงใหญ่หล่อเหลา ตายไปในความทรงจำของเขาเสียนานแล้ว
เป็นเพราะจับคุมผู้ลี้ภัย ฝ่าบาทจึงพระราชทานทหารกองหนึ่งให้เขาดูแล เขารู้สึกได้ถึงความเย้ยหยันที่ไร้จุดสิ้นสุด น้องชายที่บิดาปกป้อง แม้ต้องพยายามทั้งชีวิตก็ไม่มีทางได้เป็นทหารเกินขั้นหก แต่เขาเล่า กลับได้รับผลงานอย่างง่ายดาย เขาอยากจะรู้จริงๆ ว่าท่านอำมาตย์ตระกูลฝังจะเสียใจบ้างไหรือไม่
เมื่อออกมาจากตำหนักจินหลวน ท่านอำมาตย์ฝังก็เรียกเขาเอาไว้
อาจิ่น ชื่อนี้ช่างดูแปลกประหลาดนัก! ปากของซูหย่วนพ่นออกมาแต่คำเสียดสี เขาถูกขับไล่ออกจากตระกูลนานแล้ว บิดาจะเรียกเขาทำไม คงจะเห็นว่าเขาดูมีความสำคัญในสายตาของฝ่าบาทเลยอยากให้เขากลับตระกูลฝางเพื่อใช้แรงงานเป็นวัวเป็นควายอีกกระมัง
เมื่อหมุนกายกลับไป จิตใจของซูหย่วนก็สงบ เขาทำได้แล้ว ในที่สุดเขาก็ทำใจให้สงบได้ จากนั้นเขาก็ได้ยินบิดาของเขาพูดว่า “อาจิ่น เจ้าจะต้องเกลียดพ่อถึงขนาดนั้นเหรอ มาถึงเมืองหลวงแล้ว ไม่แม้แต่จะเข้ามาบ้านบ้าง”
ในใจเขาก็รู้สึกเย้ยหยัน มองไปทางพ่อของเขา เห็นเป็นเพียงท่านอำนาตย์เท่านั้น นักการเมืองโดยธรรมชาติ ทั้งๆ ที่เป็นเขาเองแท้ๆ ที่ไม่ต้องการลูกชายคนนี้ แต่ปากกลับพูดจาเหมือนเขาเป็นคนผิดอย่างนั้นหรือ
ในนาทีนั้น ซูหย่วนก็ไม่อยากที่จะอยู่ที่นี่อีกต่อไป และไม่อยากได้ยินชายชราที่เคยเป็นบิดาของเขาพูดอะไรออกมาอีกแม้แต่คำเดียว เขาคือซูหย่วน เขามีคนและสิ่งที่ต้องปกป้อง เขาไม่ใช่ฝังจิ่นผู้เป็นบุตรอนุแห่งตระกูลฝังมานานแล้ว ตระกูลฝังจะดี หรือตระกูลฝังจะร้าย ก็ไม่เกี่ยวกับเขาอีกต่อไป
สาวน้อยของเขาพูดได้ถูกต้อง ถ้าไม่รักแล้วจะโกรธหรือ การแก้แค้นที่ดีที่สุดก็คือความเฉยชา ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นอย่างไรก็ไม่เกี่ยวกับเขาแล้ว แต่หากรู้ว่าอีกฝ่ายลำบาก อย่างนั้นก็ยิ่งดี
สุดท้ายซูหย่วนก็ยังคงปฏิเสธความปรารถนาดีของฝ่าบาท ความทะเยอทะยานและความปรารถนาในลาภยศของเขาได้หายไปแล้ว สิ่งที่เหลืออยู่ภายในใจก็คือความคิดที่จะปกป้องสาวน้อยให้ดีที่สุด เห็นว่านางมีความสุขก็พอแล้ว เช่นนี้เขาก็รู้สึกว่าย่วนย่วนของเขาก็คงจะมีความสุขด้วย
ศีรษะเล็กๆ ปรากฏที่หน้าประตู ซูหย่วนยิ้มอย่างเข้าใจ เอ่ยเสียงสูงขึ้นมาว่า “เยว่เป่า นั่วเป่า มาทำอะไรลับๆ ล่อๆ ยังไม่รีบเข้ามาอีก”
เด็กน้อยชายหญิงแสนปราดเปรียวคู่หนึ่งวิ่งเข้ามาพร้อมหัวเราะ ดึงแขนเสื้อของซูหย่วนอย่างออดอ้อน “ท่านอาจารย์ปู่!”
ใจของซูหย่วนเข้าใจในทันที เอ่ยว่า “บอกมา พวกเจ้าสองคนไปก่อเรื่องที่ไหนมา”
เด็กหญิงเยว่เป่าฉีกยิ้ม “พวกเราไปก่อเรื่องที่ไหนกัน เป็นท่านพ่อต่างหาก! เราแค่ไปเอาเงินคืนจากคนแก่คนนั้น ท่านพ่อก็ลงโทษเรา จริงๆ เลย” ไม่เคยเห็นพ่อคนไหนใจแคบขนาดนี้เลย
เด็กชายตัวเล็กกว่านั่วเป่าพยักหน้าเห็นพ้อง เอ่ยขึ้นอย่างเป็นจริงเป็นจังว่า “ท่านพ่อจะลงโทษข้า!” พี่สาวของเขาได้รับความรักใคร่เอ็นดูขนาดนั้น ท่านพ่อคงตัดใจลงโทษนางไม่ลงหรอก คงมีแต่เขาคนเดียวที่โดนลงโทษนี่แหละ
เด็กน้อยทั้งสองจ้องมองซูหย่วนตาแป๋ว ใจของซูหย่วนนั้นอ่อนยวบเหมือนปุยนุ่นเสียนานแล้ว พูดรับรองว่า “ได้ได้ได้ อาจารย์ปู่จะช่วยพูดให้พวกเจ้าเอง”
“ท่านอาจารย์ปู่ใจดีที่สุด!” เด็กทั้งสองหัวเราะอย่างรื่นเริง
เมื่อเห็นรอยยิ้มของเด็กน้อยทั้งสอง รอยยิ้มของซูหย่วนก็ยิ่งกว้างขึ้น
ลมเย็นพัดมาจากหน้าต่าง ได้ยินเสียงนกไม่ทราบชนิดกำลังร้องอยู่ ความสุขที่พูดกัน คงจะเป็นเช่นนี้เอง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น