ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา 309-312
บทที่ 309 ฉลามขาวมาอีกแล้ว
โดย
Ink Stone_Fantasy
จัดการกำราบแก๊งอันธพาลได้แล้ว ฉินสือโอวก็รู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง เขาสะบัดหางแล้วว่ายลงไปในน้ำ เพื่อตามหาสัตว์ทะเลที่อาจจะมีประโยชน์กับฟาร์มปลา แน่นอนล่ะ ถ้าครั้งนี้เขาหาซากเรืออับปางเจอสักลำ ก็คงจะยิ่งดี
ลมฤดูหนาวของมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือหนาวเย็นจนแทบจะบาดกระดูก ที่นี่มักจะมีสภาพอากาศที่น่ากลัวอย่างพายุคลื่นทะเลหรือพายุทอร์นาโดเป็นประจำ ดังนั้นที่นี่จึงมีซากเรืออับปางอยู่ไม่น้อยเลยจริงๆ เพียงแต่ว่ามีเรือขนสมบัติอยู่น้อยเกินไป ถึงอย่างไรเมื่อไม่กี่ร้อยปีก่อน แคนาดาก็ยังเป็นแค่ที่ดินแห้งแล้งกันดาร จะมีเรือจากไหนขนสมบัติมาที่นี่กันล่ะ?
ฉินสือโอวดำดิ่งลงไปในก้นทะเลว่ายวนไปมาอยู่สักพักหนึ่ง ในช่วงนั้นเขาได้พบกับปลาแฟงค์ทูธ ปลาหัวเมือกมหาสมุทรแอตแลนติก ปลาทูน่าตาโต ปลาทูน่าครีบน้ำเงินใต้ ที่ได้นับว่าเป็นพันธุ์ปลาหายาก ทว่ามีจำนวนน้อยเกินไปหน่อย มีอยู่แค่ตัวสองตัว ไม่จำเป็นต้องเปลืองแรงมากขนาดนั้นเพื่อลากพวกมันกลับไปที่ฟาร์มปลา เขาจึงปล่อยพวกมันไป
ที่ก้นทะเลมีหอยเชลล์อยู่เป็นจำนวนมาก แต่กลับไม่พบหอยนางรมลอยล้ำค่า พบแต่หอยเชลล์ทั่วไปที่ใช้ในการทำอาหารเท่านั้น ไม่มีมูลค่าที่น่าดึงดูดเลย
จำนวนปลากระโทงร่มก็มีอยู่มากเช่นกัน เดิมทีฉินสือโอวก็อยากจะดึงพวกมันเข้าฟาร์มปลาไปด้วย แต่ว่าปลาทะเลพวกนี้มีนิสัยดุร้ายเกินไป มันอยู่รวมกันเป็นฝูงใหญ่ อีกทั้งพวกมันยังคิดจะกำจัดฉลามขาวอีกด้วย ฉินสือโอวก็รู้สึกโมโหขึ้นมา เขาบุกเข้าไปกัดพวกมันหลายตัว จนทำให้พวกมันตกใจแล้วว่ายน้ำหนีไป
พอไล่ปลากระโทงสีน้ำเงินไปแล้ว ฉินสือโอวก็รู้สึกจิตใจไม่เป็นสุข ลงมาที่ใต้ท้องทะเลครั้งนี้ นอกจากปลาแซลมอนชินูกกับปลาทูน่าครีบน้ำเงินหนึ่งตัว เขาก็แทบจะไม่ได้อะไรไปเลย
ขณะที่เขากำลังล่องลอยไปอย่างช้าๆ ทันใดนั้นเงาขนาดใหญ่ก็แฉลบผ่านหัวเขาไปด้วยความรวดเร็ว
ฉินสือโอวตื่นตัวขึ้นมา เขารีบสะบัดหางแล้วพุ่งลงไปใต้ทะเลทันที และในตอนที่ตัวแตะกับก้นมหาสมุทร เขาก็เหยียดตัวขึ้นด้วยความรุนแรงและรวดเร็ว เหมือนเครื่องบินทิ้งระเบิดที่ดิ่งลงแล้วบินขึ้นอีกครั้ง แล้วสะบัดหางด้วยท่วงท่าที่สง่างาม
เขาใช้จิตสำนึกเพื่อแสดงท่วงท่านี้ออกมา โดยอาศัยสัญชาตญาณของฉลามขาว แต่กระทั่งสัญชาตญาณของฉลามขาวก็ปรากฏออกมาแล้ว นี่มันเป็นตัวอะไรกันแน่?
ฉินสือโอวเงยหน้าขึ้นไปดู สัตว์ที่มีลักษณะดุร้ายเช่นเดียวกันกับมันว่ายน้ำลอยไปทางด้านบนอย่างไม่มีมีเจตนาดี
เจ้าตัวนี้มีขนาดความยาวกว่าสิบเมตร มีลักษณะร่างกายภายนอกมีสีดำสนิท ส่วนท้องเป็นสีขาวอ่อน สีของส่วนหลังและส่วนท้องถูกแบ่งไว้อย่างชัดเจน รูปร่างเรียบลื่นเป็นอย่างยิ่ง ดูเหมือนกันกับตอร์ปิโดหนึ่งลูก
นอกจากนี้ มันยังมีดวงตาโตสีดำสนิท ปากของมันกินพื้นที่ของหัวไปเกินครึ่ง มันแสยะปากเพียงเล็กน้อย ก็ปรากฏให้เห็นฟันและขากรรไกรที่ดูดุร้ายทั้งสอง โหดร้ายและน่ากลัวยิ่งกว่าปลาปิรันยาแห่งลุ่มน้ำอเมซอนเสียอีก
เมื่อมองเห็นลักษณะของสัตว์ชนิดนี้ชัดๆ ใจของฉินสือโอวก็รู้สึกตื่นตระหนก เวรเอ๊ย ฉลามขาวยักษ์!
ตามที่ผู้เชี่ยวชาญได้กล่าวไว้โดยทั่วไปแล้ว ฉลามขาวยักษ์จะมีความยาวประมาณห้าหกเมตร น้อยมากที่จะมีขนาดใหญ่กว่านั้น บนความเป็นจริงถ้าคุณเชื่อคำพูดของผู้เชี่ยวชาญ ก็คงบอกได้ชัดเจนว่าคุณไร้เดียงสาเกินไป โดยเฉพาะนักสมุทรศาสตร์ ระดับความรู้ที่พวกเขามีต่อมหาสมุทร ก็ไม่ได้มากไปกว่าคนทั่วไปเท่าไรนัก
สาเหตุก็เพราะมหาสมุทรกว้างใหญ่ และลึกลับเกินไป ตอนนี้มนุษย์ขึ้นไปเหยียบอวกาศได้แล้ว แต่กลับยังไม่สามารถเอาชนะมาสมุทรลึกได้
อย่างเช่นขนาดของปลา เมื่อก่อนฉินสือโอวเคยค้นข้อมูล บอกไว้ว่าฉลามขาวมีความยาวมากที่สุดราวๆ เจ็ดแปดเมตร แต่ความจริง ในทะเลลึกเขาได้พบกับฉลามขาวที่มีขนาดความยาวมากกว่าสิบเมตร มาเป็นจำนวนที่มากเกินกว่าสองมือของเขาจะนับไหวแล้ว
เกี่ยวกับฉลามขาวยักษ์ โต้เถียงเรื่องขนาดร่างกายของมันไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร ตามที่นักชีววิทยาได้คำนวณยีนของพวกมันไว้ ฉลามที่น่าหวาดกลัวชนิดนี้เป็นฉลามชนิดที่มีขนาดร่างกายที่ใหญ่และมีความดุร้ายมากที่สุด
ฉลามขาวยักษ์ดุร้ายแค่ไหนน่ะเหรอ? ในตอนที่รู้สึกหิวโหยพวกมันสามารถกินได้แม้กระทั่งพวกเดียวกันเอง อีกทั้งตอนที่ยังอยู่ในมดลูกของแม่ก็อาจจะทำร้ายกันเองในหมู่พี่น้อง นอกจากนี้ สำหรับฝูงฉลาม ถ้าหากว่ามีฉลามขาวยักษ์ได้รับบาดเจ็บหนึ่งตัว มันก็อาจจะถูกฉลามตัวอื่นๆ กิน…
เมื่อเห็นฉลามขาวยักษ์เหนือชั้นที่มีขนาดความยาวกว่าสิบเมตร ฉินสือโอวก็ถึงกับกลืนน้ำลาย เจ้านี่มาได้ยังไง?
ในน้ำทะเลมีกลิ่นคาวเลือดจางๆ ฉินสือโอวรู้ได้ในทันที รนหาที่ตายจริงๆ ฉลามขาวยักษ์ตัวนี้ น่าจะถูกเลือดที่ไหลออกมาจากตอนที่เขากัดปลากระโทงสีน้ำเงินดึงดูดให้มาที่นี่
ฉลามขาวยักษ์มีความสามารถในการรับกลิ่นที่ว่องไว อยู่อันดับในบรรดาสัตว์ทะเลชนิดต่างๆ เส้นประสาทในอวัยวะรับกลิ่นของพวกมันกินพื้นที่ความจุสมองถึงสิบสี่เปอร์เซ็นต์ สามารถแยกเซรีนหนึ่งโมเลกุลออกมาจากโมเลกุลน้ำ 1015 โมเลกุล และยังสามารถดมกลิ่นเลือดจากระยะทางสิบกิโลเมตรได้อีกด้วย
ฉินสือโอวหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งครั้ง พ่อเอ็ง ฉันเป็นคนรักความสงบ ไม่ลดตัวลงไปยุ่งกับเอ็งหรอก มาจากทางไหนก็ไสหัวกลับไปทางนั้น ฉันไปก่อนล่ะ
จะว่าไปแล้ว ฉลามขาวทั้งสองชนิดมีสายใยเชื่อมโยงกันอย่างแน่นแฟ้น ตอนนี้การจำแนกประเภทของฉลามทั้งสองชนิดก็ยังคงเป็นที่โต้แย้งกันอยู่ในระดับนานาชาติอย่างต่อเนื่อง กล่าวโดยรวมแล้ว ฉลามขาวถูกนับว่าเป็นฉลามชนิดหนึ่ง และฉลามขาวยักษ์เองก็ถูกจัดว่าเป็นฉลามชนิดนั้นเช่นกัน เนื่องจากพวกมันมีวิธีการดำรงชีวิตและวิธีการล่าอาหารที่ดูคล้ายคลึงกัน ฝั่งยุโรปสนับสนุนแนวความคิดนี้
นักสมุทรศาสตร์ในทวีปอเมริกาเหนือ สนับสนุนแนวคิดอีกหนึ่งอันที่ต่างกันออกไป พวกเขาสร้างคำจำกัดความให้กับฉลามขาวยักษ์ขึ้นมาใหม่ โดยเปลี่ยนชื่อเรียกทางวิชาการเป็น ‘ฉลามขาวยุคปัจจุบัน’ เพราะหลังจากที่ได้วิเคราะห์ยีนของฉลามขาวยุคปัจจุบันแล้ว พวกเขาค้นพบว่าฉลามขาวยุคปัจจุบันวิวัฒนาการจนมีชนิดพันธุ์เป็นของตัวเอง สามารถแยกตัวออกมาจากตระกูลฉลามขาวได้แล้ว
แต่ไม่ว่ายังไง ก็ยังมีจุดที่นักสมุทรศาสตร์จากนานาชาติมีความเห็นร่วมกันอยู่ นั่นก็คือ ฉลามทั้งสองชนิด ต่างก็เป็นนักฆ่าชั้นสุดยอด!
ฉินสือโอวขี้เกียจเกินกว่าที่จะไปยุแหย่ญาติแซ่เดียวกันท่านนี้ เขาหันหลังกลับอย่างระมัดระวัง แต่ปรากฏว่าแค่พริบตาเดียวฉลามขาวยักษ์ตัวนั้นก็พุ่งโจมตีเข้ามาราวกับระเบิดทุ่นตอร์ปิโด!
ฉินสือโอวเงยหน้าเหยียดตัว เขาระเบิดพลังสะบัดฉลามขาวยักษ์ออกไปไกลเกือบปีแสง ที่ไม่จัดการฉลามขาวยักษ์ตัวนี้ไม่ใช่เพราะเขากลัวมัน แต่เขาไม่อยากเสียแรงเปล่าก็เท่านั้น
ทว่าก็เห็นได้ชัดว่าฉลามขาวยักษ์ไม่รู้จักผิดจักชอบ ยังอยากจะประลองกำลังกับฉินสือโอวสักหน่อย เมื่อเป็นเช่นนี้ฉลามยักษ์ฉินที่กำลังหงุดหงิดก็ไม่เกรงใจแล้ว แม่เอ็ง ฉันจะสั่งสอนแกให้ได้หลาบจำแน่!
ด้วยรูปร่างที่ราวกับปีศาจ ฉลามยักษ์ฉินวางกลยุทธ์โจมตีอยู่ในน้ำ ครั้งนี้เขาจะไม่ใช้จิตสำนึกแห่งโพไซดอน แน่นอนล่ะ ฝ่ายตรงข้ามก็เป็นปลาใหญ่เหมือนกัน ไม่เหมาะที่จะใช้จิตสำนึกแห่งโพไซดอน นั่นเป็นการโจมตีแบบกลุ่มขนานใหญ่
ในด้านการต่อสู้ เรียกได้ว่าฉลามยักษ์ฉินเป็นนักสู้ระยะประชิด เขาไม่เพียงแต่สามารถสร้างคำสาปได้เท่านั้น แต่เมื่อต้องต่อสู้เขาก็องอาจกล้าหาญไม่มีใครสู้ได้เหมือนกัน
หลังจากหลบการโจมตีของฉลามขาวยักษ์ ฉินสือโอวก็ยกตัวขึ้น แล้วดิ่งลงไปทันที เขาใช้หัวแข็งๆ ชนเข้ากับช่องท้องของฉลามขาวยักษ์อย่างเต็มเหนี่ยว
นี่เป็นวิธีการที่ดีที่สุดในการรับมือกับฉลาม เครื่องในตรงช่องท้องของพวกมันทั้งใหญ่ทั้งหนัก อีกทั้งไขมันตรงช่องท้องก็ยังไม่หนาพอ ถ้าหากถูกโจมตี ความเสียหายที่ได้รับจะมากยิ่งกว่าใช้ฟันฉีกกระชากหัวของพวกมันเสียอีก
แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ พอถูกฉินสือโอวพุ่งชนแบบนั้น ฉลามขาวยักษ์ก็ได้รับความเจ็บปวดจนแทบคลั่ง มันเข้ามาขวางแล้วอ้าปากเตรียมกัดหางของฉลามยักษ์ฉิน
ฉลามยักษ์ฉินยิ้มอย่างเยือกเย็น เขาเก็บหางหลบหัวฉลามขาวยักษ์อย่างปราดเปรียว จากนั้นก็สะบัดมันออกไปเหมือนกับสปริง แล้วตบเข้าที่บริเวณรอบดวงตาของฉลามขาวยักษ์อย่างรุนแรง ตบจนมันกลิ้งออกไปถึงสองรอบ
ใช้โอกาสช่วงที่มันกำลังบาดเจ็บเข้าโจมตี ฉลามยักษ์ฉินแฉลบตัวตามเข้าไป เล็งหางของมันไปที่ปากของฉลามขาวยักษ์อย่างแม่นยำ ‘พลั๊วะ’ ริมฝีปากใหญ่ทั้งสองข้างถูกฟาดจนสะบัด ฉลามขาวยักษ์โดนโบกจนมึนไปชั่วขณะ คิดว่าในชีวิตตลอดหลายสิบปีของมัน นี่คงเป็นครั้งแรกที่ถูกคู่ต่อสู้จัดการด้วยวิธีนี้
โจมตีไปแล้วสองรอบ ฉินสือโอวก็ยังไม่หยุด เขาแสดงความสามารถในการประจัญบาน ทั้งกระแทกทั้งตบตี ฟาดอย่างรุนแรงจนฉลามขาวยักษ์ตัวนั้นแทบจะร้องขอความตาย
ฉลามขาวยักษ์ถูกตีจนเกิดความหวาดกลัวขึ้นในที่สุด มันคว้าโอกาสเพื่อคิดหาทางหนี ฉินสือโอวแย้มรอยยิ้มร้าย ว่ายตามมันไปอย่างไม่รีบร้อน ขับไล่ฉลามขาวยักษ์ไปยังพื้นผิวทะเล
ขณะที่ฉลามขาวยักษ์กำลังหนีไปถึงชั้นน้ำตื้น เขาก็เพิ่มความเร็วขึ้นอีก ร่างกายบึกบึนทะลวงเข้าใส่ร่างกายของฉลามขาวยักษ์ แค่ครู่เดียวก็ดันมันไปที่ผิวน้ำได้
เมื่อดันจนมาถึงพื้นผิวทะเล ฉินสือโอวก็รวบรวมพลังทั้งหมดพุ่งเข้าโจมตี ฉลามขาวยักษ์ก็เหมือนกับขี่เครื่องบินพุ่งขึ้นไป ส่งเสียงคำรามแล้วปะทะกับผิวน้ำจนแตกกระจาย แล้วมันก็บินขึ้นไปทั้งอย่างนั้น…
ห่างไปไม่ไกล เรือประมงน้ำลึกลำหนึ่งก็กำลังทำงานอยู่ บนดาดฟ้ามีกะลาสีเรือหลายคนที่กำลังตากลมสูบบุหรี่อยู่ มีคนหนึ่งกำลังมองตรงไปข้างหน้า รอยยิ้มบนในหน้าของเขาหยุดค้างทันที บุหรี่ที่เขาคาบไว้ในปาก ก็ตกลงมาบนตกทันที
“แบล็กแจ๊ค ปากของแกเบี้ยวแล้วหรือยังไง? กระทั่งบุหรี่ก็คาบไม่อยู่เหรอ?”
แบล็กแจ๊คมองไปข้างหน้าอย่างตกตะลึง เขาพูดขึ้นมาว่า “ฉัน ฉัน ฉัน ฉันตาฝาดหรือเปล่า? เมื่อกี้ฉันเห็นฉลามขาวยักษ์ มันกระโดดขึ้นมาจากน้ำเหมือนกับโลมาเลย…”
กะลาสีที่อยู่รอบๆ ก็พากันหัวเราะเสียงดัง พวกนั้นแย่งกันเย้ยหยันเขาจนฟังไม่รู้เรื่อง คราวนี้กัปตันเรือก็พุ่งออกมาจากห้องขับเรือ แล้วตะโกนขึ้นมาว่า “พระเจ้า พวกนายต้องไม่เชื่อแน่ๆ เมื่อกี้ฉันเห็นฉลามขาวยักษ์ตัวหนึ่งพุ่งขึ้นมาจากน้ำ…”
……….………………………………..
บทที่ 310 น้องเล็กเฮยป้าหวัง
โดย
Ink Stone_Fantasy
ซื้อตั๋วให้ฉลามขาวยักษ์ได้นั่งเครื่องบินฟรีไปแล้วรอบหนึ่ง ในที่สุดฉินสือโอวก็ได้ระบายโทสะจากการถูกยุแหย่ออกมาแล้ว
ฉลามขาวยักษ์ตัวนั้นถูกฟาดจนหน้าตาฟกช้ำดำเขียว หน้าช้ำดำเขียวของแท้ แก้มที่อยู่ติดกับริมฝีปากทั้งสองข้างก็บวมเป่งขึ้นมา ก็เมื่อสักครู่นี้ปากใหญ่ของฉินสือโอวใส่แรงลงไปซะเต็มพลัง ถึงจะมีหางหนักถึงหนึ่งร้อยแปดสิบกิโลกรัมก็ไม่มีปัญหา
จากประสบการณ์การบินตอนก่อนหน้า น่าจะเป็นครั้งแรกในชีวิตของฉลามขาวยักษ์ที่ได้สัมผัสความตื่นเต้นจากการบิน พวกมันไม่เหมือนกับปลากระโทงสีน้ำเงินหรือโลมา ความรู้สึกในการบินขึ้นไปบนผิวน้ำต้องไม่ใช่ความรู้สึกที่ดีแน่ๆ หลังจากตกลงมาในน้ำมันก็ตกใจจนแทบบ้า ไม่กล้าแม้แต่จะมองไปที่ฉินสือโอว พอตกลงมาก็ว่ายน้ำหนีไปอย่างรวดเร็ว
ฉินสือโอวยิ้มเย็น พ่อเอ็งเถอะ เก่งนักไม่ใช่เหรอ? มาสิ เข้ามาแหย็มกับฉันอีกสิ ฝ่ามือมังกรทั้งสิบของฉันรสชาติไม่เลวเลยใช่ไหม? ถ้ามีครั้งหน้า ฉันจะให้แกได้ลิ้มรสฝ่ามือยูไล
หมุนไปมาอยู่กับที่จนพอใจแล้ว ฉินสือโอวกำลังจะดำน้ำ แต่ทันใดนั้นก็สัมผัสได้ถึงแรงดันน้ำที่เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว เขามองดูด้วยความสับสน ตัวละครท่าทางดุร้าย กับสายตาอำมหิตกำลังว่าน้ำเข้ามาทางนี้…
ฉลามขาวยักษ์! ฉลามขาวยักษ์ทั้งหมด!
คราวนี้เป็นฉินสือโอวที่กลัวจนฉี่แทบราดบ้างแล้ว เขาเคยดูถูกสติปัญญาของสัตว์จำพวกปลามาก่อน แต่เจ้าพวกนี้กลับไม่ได้ด้อยไปกว่าสิงสาราสัตว์ที่อยู่บนพื้นดินเลยแม้แต่น้อย เช่นเดียวกันกับฝูงหมาป่า ฝูงฉลามก็เชี่ยวชาญในการต่อสู้เป็นกลุ่มเช่นกัน!
ไม่ต้องพูดแล้ว รีบหนีเถอะ เขาเอาชนะฉลามขาวยักษ์ได้หนึ่งตัว แล้วจะเอาชนะพวกมันทั้งฝูงได้ไหม? ที่สำคัญคือ มันเปลืองแรงเสียเปล่า ไม่คุ้มค่ากันเลยสักนิด
ถ้าเทียบกันเรื่องความเร็ว ฉลามทั่วไปยังด้อยกว่าฉลามขาวที่ได้รับพลังของจิตสำนึกแห่งโพไซดอนอยู่มากนัก ฉินสือโอวสะบัดหางไม่กี่ครั้ง ก็ทิ้งห่างฉลามขาวยักษ์พวกนี้ไปจนไม่เหลือร่องรอย
แค่อึดใจเดียวก็ว่ายออกมาได้ไกลถึงสี่ห้ากิโลเมตร ฉินสือโอวมองไปรอบๆ อืม ไม่มีร่องรอยของฉลามขาวยักษ์แล้ว เขาปลอดภัยแล้ว
เขาลดความเร็วลงแล้วว่ายน้ำไปช้าๆ ปรากฏว่าไม่กี่นาทีต่อมา เขาก็ได้กลิ่นได้กลิ่นคาวเลือด
ฉลามมีความสามารถในการรับกลิ่นที่เร็วมาก ฉลามขาวก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าฉลามขาวยักษ์ ฉินสือโอวได้กลิ่นคาวเลือดอยู่ทางนี้ แต่ความจริงแล้วจุดที่ปลาตัวนั้นมีเลือดออก ยังอยู่ห่างออกไปหลายกิโลเมตร
เดิมทีฉินสือโอวไม่คิดจะสนใจ แต่กลิ่นคาวเลือดก็ยิ่งรุนแรงขึ้นยิ่งกว่าเดิม นี่มีความเป็นไปได้อยู่แค่ไม่กี่อย่างถ้าไม่ใช่ฝูงปลาขนาดใหญ่ถูกล่า ก็คงเป็นปลาขนาดใหญ่สุดยอดที่ถูกล่า ไม่ว่าจะเป็นด้านไหน ฉินสือโอวก็รู้สึกสนใจทั้งนั้น
เขาลงมาในมหาสมุทรทำไม? ไม่ใช่เพื่อมาหาปลาเข้าไปในฟาร์มปลาหรอกเหรอ? ฝูงปลาหรือปลาใหญ่ ก็เป็นของดีทั้งนั้น
เขาหมุนตัวกลับไป ฉินสือโอวว่ายน้ำตามกลิ่นเลือดไปอย่างรวดเร็วด้วยความคึกคักดีใจ
แต่ปรากฏว่า พอเขาไปถึงที่ตรงนั้น เขากลับต้องจ้องมองด้วยสายตาโกรธแค้นทันที เฮงซวยจริงๆ เขาว่ายกลับมาทางเดิมอีกแล้ว! ใช่แล้ว ภาพที่อยู่ตรงหน้าของเขา ก็คือฝูงฉลามขาวยักษ์ฝูงนั้น!
แต่ว่าเหตุการณ์ตอนนี้แปลกไปนิดหน่อย ฝูงฉลามขาวยักษ์พวกนี้ทำร้ายพวกเดียวกันเองเสียอย่างนั้น กลิ่นคาวเลือดที่ฉินสือโอวได้กลิ่น ก็มาจากฉลามขาวยักษ์ตัวหนึ่งที่ติดอยู่ในอวนจับปลานั่นเอง
ฉลามตัวนั้นถูกอวนจับปลารัดไว้ มันดิ้นรนอย่างบ้าคลั่ง อีกทั้งฉลามขาวยักษ์ตัวอื่นๆ ก็ล้อมอยู่รอบด้านอย่างเย็นชา พอได้โอกาสก็จะเข้าไปกัดทึ้งมัน จนฉลามขาวยักษ์ตัวนั้นหลั่งเลือดออกมา เลือดสีแดงฉาน ย้อมจนผืนน้ำตรงนี้กลายเป็นสีแดง!
ฉินสือโอวสำรวจดู เขาพบว่าฉลามขาวยักษ์ที่ถูกอวนจับปลาพันไว้ก็คือตัวเดียวกันกับที่ถูกเขาตีแล้วจับนั่งเครื่องบินไปเมื่อก่อนหน้านี้ ตอนนี้มันไม่เพียงแต่จนตรอก แต่ยังสิ้นหวังอย่างน่ารันทด มันแทบจะถูกพวกเดียวกันรุมทึ้งกินอยู่แล้ว!
อาจจะเป็นเพราะจิตสำนึกแห่งโพไซดอน ฉินสือโอวจึงทนเห็นภาพเหตุการณ์ที่ฝูงปลาทำร้ายกันเองไม่ได้ อีกทั้งเขาก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับการที่ฉลามขาวยักษ์ตัวนี้ต้องตกอยู่ในสภาพอับจนแบบนี้ด้วยเช่นกัน น่าจะเป็นเพราะเมื่อสักครู่ฉลามพวกนี้ไล่ตามเขา แต่ฉลามขาวยักษ์ถูกเขาซัดมาก่อนหน้านั้น ทำให้ว่ายน้ำตามไม่ทันทั้งยังมุดเข้าไปในอวนจับปลาแทน
ฉลามขาวยักษ์มีชื่อเสียงในเรื่องการเข่นฆ่าพวกเดียวกันเอง ฉินสือโอวเคยดูข่าวมาก่อน ตอนที่เรือประมงลำหนึ่งเก็บอวนจับปลาขึ้นมาก็พบว่าด้านในมีฉลามขาวยักษ์หนึ่งตัวที่ถูกกัดทึ้งจนตาย อีกทั้งเมื่อดูจากรอยฟันแล้ว ก็เป็นพวกเดียวกันกับมันนั่นเองที่เป็นผู้ลงมือ
ตอนนี้ ฉินสือโอวไม่ได้กำลังดูข่าว แต่เป็นโลกความจริงที่โหดร้าย…
เมื่อตัดสินใจได้อย่างรวดเร็วแล้ว จิตสำนึกแห่งโพไซดอนของฉินสือโอวก็ระเบิดออกมาอีกครั้ง น้ำทะเลหมุนวนอย่างรวดเร็ว คลื่นแต่ละระลอกวนเข้าหากัน ฟองคลื่นที่กำลังคลุ้มคลั่งก็สาดเข้าใส่ร่างของฉลามขาวยักษ์ ทั้งยังค่อยๆ ก่อตัวเป็นคลื่นน้ำวนใต้ทะเลที่ม้วนเอาฉลามขาวยักษ์เข้าไปทั้งฝูง
ตามกระแสน้ำที่หมุนวนอย่างบ้าคลั่ง ฝูงฉลามขาวถูกพัดวนจนไม่รู้ทิศทางเหมือนกันกับพวกฉลามวัว ในตอนสุดท้ายฉินสือโอวปะทุอารมณ์ออกมา คลื่นทะเลก็สาดซัดอย่างเชี่ยวกราก พัดพาเอาฝูงฉลามขาวออกไปเช่นกัน
ฝูงฉลามขาวยักษ์จากไปแล้ว ที่ยังเหลืออยู่ก็คือฉลามขาวยักษ์ที่ถูกอวนจับปลารัดไว้จนใกล้จะหมดลมหายใจอย่างน่าเวทนาตัวนั้น ฉินสือโอวส่งพลังของจิตสำนึกแห่งโพไซดอนเข้าไป เขาว่ายวนอยู่สองรอบ ระหว่างนั้นก็ยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะช่วยหรือไม่ช่วยมันดี
ช่วยชีวิตฉลามขาวยักษ์ทำได้ไม่ยาก แต่ฉินสือโอวกลัวว่ามันจะแก้แค้นเขาหลังจากที่เขาช่วยมันไว้แล้ว เขาไม่อยากจะเป็นเหมือนนายตงกัว[1] แล้วก็ไม่อยากเป็นเหมือนชาวนาที่ช่วยงูเห่าเอาไว้เช่นกัน
เขาดึงพลังของจิตสำนึกแห่งโพไซดอนกลับมา กำลังวังชาของฉลามขาวยักษ์ตัวนี้ฟื้นคืนมาบ้างแล้ว มันมองมาที่ฉินสือโอวอย่างน่าสงสาร แล้วขยับหางอย่างไร้เรี่ยวแรงอยู่สองครั้ง พยายามดิ้นรนพลิกตัวจนปรากฏให้เห็นหน้าท้องสีขาว
มองเห็นมันทำท่าทางแบบนี้ ฉินสือโอวก็คิดไปถึงตอนที่ได้เจอกับฉงต้าแรกๆ ในตอนนั้นเพื่อที่จะได้รับความเชื่อใจจากเขา ฉงต้าก็โชว์หน้าท้องของมันแบบนี้เหมือนกัน
คราวนี้ฉินสือโอวก็ใจอ่อนแล้ว เขาถอนหายใจออกมา แล้วใช้ฟันอันแหลมคนฉีกอวนจับปลาที่พันอยู่บนตัวฉลามขาวยักษ์จนขาดออกจากกัน
ฉลามขาวยักษ์สะบัดร่างกายไปพร้อมกัน แล้วจึงหนีออกมาจากอวนจับปลาที่ทบกันเป็นชั้นๆ ได้ในที่สุด
“ไปซะ ถ้าครั้งหน้ายังอวดเก่งใส่ฉัน ฉันจะจับแกขึ้นเครื่องบินเทียมอีก” ฉินสือโอวคิดอยู่เงียบๆ ในใจ แล้วหมุนตัวว่ายน้ำกลับไป
แต่ปรากฏว่า พอเขาเริ่มว่ายน้ำ ฉลามขาวยักษ์ก็ตามเขามาทันที หน้าตาฟกช้ำดำเขียว บาดแผลเต็มตัว แถมยังทำท่าทางเหมือนกันกับหนุ่มน้อย ตามมาด้านหลังเขาอย่างเชื่องๆ
ฉินสือโอวไม่อยากพามันกลับไป เขาใช้หางปัดไปที่ปากของมัน เพื่อให้มันว่ายน้ำหนีไป แต่แล้ว ฉลามขาวยักษ์ก็พลิกตัวโชว์หน้าท้องสีขาวอีกครั้ง…
เวรเอ๊ย ทำไมถึงเหมือนฉงต้าขนาดนี้ เป็นพวกขี้โกงเหมือนกันไม่มีผิด ฉินสือโอวตกตะลึงจนตาค้าง
เขามีวิธีที่จะสลัดมันออกไป เพียงขยับหาง เขาก็ว่ายน้ำพุ่งออกไปราวกับลูกธนู
ฉลามขาวยักษ์พยายามว่ายตามเขามาอย่างสุดชีวิต ทว่าว่าร่างกายของมันได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรง และต่อให้ไม่ได้รับบาดเจ็บก็ยังตามฉินสือโอวไม่ทัน แค่ไม่กี่นาทีก็ถูกเขาทิ้งไว้ข้างหลังอย่างไม่เห็นฝุ่น
หลังจากสะบัดฉลามขาวยักษ์หลุดแล้ว ฉินสือโอวรู้สึกดีใจอยู่ครู่หนึ่ง แต่พอเขาก็คิดๆ ดูอีกที ก็แอบกลับไปดูสถานการณ์อย่างเงียบๆ อย่าบอกว่าพอเขาช่วยฉลามขาวยักษ์ออกมาแล้ว กลิ่นเลือดก็ไปล่อฝูงฉลามมาจนเจ้านั่นถูกพวกนั้นทึ้งกินหรอกนะ
เขากลับขึ้นไปทางที่เขาเพิ่งว่ายน้ำผ่านมา ก็เห็นฉลามขาวยักษ์ทุ่มกำลังว่ายน้ำตามมาอย่างสุดชีวิต ดวงตาสีดำมองไปที่พี่ใหญ่ จมูกของมันงอนขึ้นเต็มที่ ดมกลิ่นที่ฉินสือโอวทิ้งเอาไว้แล้วว่ายตามไปอย่างไม่หยุด บนใบหน้าของมันไม่มีท่าทีดุร้ายหลงเหลืออยู่แล้ว เหมือนกับสุนัขที่ถูกเจ้าของทอดทิ้ง มันทั้งโดดเดี่ยวและสับสน
ฉินสือโอวเงยหน้าขึ้นไปบนฟ้าแล้วถอนหายใจออกมา เขาทำได้แค่ว่ายน้ำลงมา เมื่อเห็นเขาแล้ว ฉลามขาวยักษ์ก็ว่ายน้ำเข้ามาด้วยความตื่นเต้นดีใจทันที ดูแล้ว มันคงนับเขาเป็นลูกพี่แล้วล่ะ
ยากที่จะเลี่ยง ฉินสือโอวทุบตีมันก่อน จากนั้นก็ช่วยชีวิตมันไว้ ฉลามขาวยักษ์คงจะเลื่อมใสเขาอย่างถึงที่สุดแล้วล่ะ
เขาก็จนปัญญาในที่สุด ฉินสือโอวต้องพาฉลามที่มีขนาดใหญ่กว่าสิบสองสิบสามเมตรตัวนี้ไปด้วยแล้ว ชื่อก็ตั้งเรียบร้อยแล้วด้วย เรียกมันว่าเฮยป้าหวัง (ทรราชสีนิล) แล้วกัน ถึงมันจะไม่ได้มีท่าทางอย่างนั้นเลยก็ตาม
หลังจากออกเดินทาง ฉลามขาวยักษ์เฮยป้าหวังเป็นผู้นำทางแทนส่วนฉินสือโอวก็ตามอยู่ด้านหลัง ไม่รู้เหมือนกันว่าเจ้านี่จะพาเขาไปที่ไหน
ว่ายน้ำมาได้สิบกว่านาที โขดหินโสโครกที่ดูยุ่งเหยิงก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าเขา เฮยป้าหวังก็ ‘ฟึบ’ แล้วมุดเข้าไป มันมีความสุขอย่างไม่มีอะไรมาเทียบได้ เห็นได้ชัดว่าที่นี่คือถิ่นของมัน
ฉินสือโอวที่ตามมาด้านหลังอย่างไร้ชีวิตชีวา เมื่อมาถึงเขตโขดหินโสโครกพอเบิกตามอง ตาของเขาก็เป็นประกายขึ้นมาทันที…
…………….…………………………………..
[1] นายตงกัว จากนิทานนายตงกัวที่เก็บหมาป่ามาเลี้ยงแต่สุดท้ายก็ต้องตกอยู่ในอันตรายเพราะหมาป่า
บทที่ 311 เรื่องน่าตื่นเต้น
โดย
Ink Stone_Fantasy
ในร่องโขดหินโสโครกที่รกรุงรัง มีพวกหอยและปูกองใหญ่เกาะอยู่ในนั้น โขดหินโสโครกกระจัดกระจายไม่เป็นระเบียบอย่างกับเขาวงกต หอยกับปูพวกนี้อาศัยอยู่ในนั้น จะหนีก็หนีออกไปไม่ได้ ทำได้แค่ใช้ชีวิตอยู่ในนั้นต่อไป
เมื่อเป็นเช่นนี้ โขดหินโสโครกตรงนี้จึงดูเหมือนฟาร์มเพาะพันธุ์สัตว์ของเฮยป้าหวังอยู่นิดๆ หอยกับปูก็คือสัตว์ที่มันเลี้ยงไว้เป็นอาหารนั่นเอง
ฉลามขาวยักษ์มีลักษณะการกินที่หลากหลายมาก ตั้งแต่พันธุ์ปลาใหญ่เล็กไปจนถึงสิ่งมีชีวิตจำพวกหอย ล้วนแต่สามารถเป็นอาหารของพวกมันได้ทั้งนั้น เนื่องจากพวกมันมีฟันที่แหลมคมและหนาแน่น จึงทำให้พวกมันเคี้ยวเปลือกและกระดองของสิ่งมีชีวิตจำพวกหอยและปูได้
ฉินสือโอวไม่ได้รู้สึกสนใจหอยกับปูพวกนี้ สิ่งที่ดึงดูดเขาคือเปลือกหอยขนาดใหญ่สิบกว่าเซนติเมตรต่างหาก
เปลือกหอยอันนี้มีความสวยงามเป็นอย่างมาก มันมีรูปทรงเป็นวงรี ตรงกลางหลังยกสูงขึ้น เปลือกหนาทั้งสองด้านมีความเรียบเสมอกัน สิ่งที่สนใจที่สุดก็คือสีแดงเข้มทั่วทั้งตัวของมัน กระแสน้ำซัดเป็นระลอก ก้อนกลมๆ สีแดงก็เปล่งประกายระยิบระยับ ราวกับลูกบอลไฟที่มีเปลวเพลิงลุกโชน
ในตอนนี้ หอยตัวนี้กำลังนอนอยู่บนโขดหินโสโครกสีขาวก้อนหนึ่ง สีที่ดูตัดกันแบบนี้ ก็ยิ่งทำให้สีแดงราวกับเปลวเพลิงของมันยิ่งดูสวยงามละลานตายิ่งกว่าเดิม
หลังจากได้เห็นหอยตัวใหญ่ตัวนี้ ฉินสือโอวก็รู้สึกดีใจขึ้นมาทันที แค่แวบเดียวเขาก็ดูออก หอยตัวนี้คือหอยเบี้ยสีทองที่มีชื่อเสียงเป็นที่เลื่องลือในวงการนักสะสมเปลือกหอยนั่นเอง!
หอยเบี้ยมีชื่อเรียกในกลุ่มสัตว์น้ำประเภทมีเปลือกอีกชื่อหนึ่งว่า ‘สมบัติ’ จากจุดนี้ก็จะรู้ได้ถึงความล้ำค่าของมันแล้ว
ความจริงแล้ว หอยเบี้ยส่วนใหญ่ไม่ได้มีมูลค่าอะไร พวกมันอยู่ในซีกโลกเขตร้อน แพร่พันธุ์ในทะเลเขตกึ่งร้อนและเขตอบอุ่นได้อย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะในเขตน้ำอุ่นมหาสมุทรแปซิฟิกของประเทศอินเดียหรือไม่ก็เขตกระแสน้ำอุ่นในมหาสมุทรแอตแลนติก ก็สามารถงมพวกมันขึ้นมาได้อย่างง่ายดาย
หอยเบี้ยสีทองเป็นหนึ่งในสายพันธุ์ที่แตกต่างออกไป ที่มันมีชื่อเล่นแบบนี้ไม่ใช่เพราะมันมีค่าเหมือนทองคำ แต่เป็นเพราะเมื่อก่อนไม่มีการหมุนเวียนเงินตราที่เป็นที่ยอมรับกัน คนโบราณบางส่วนจึงใช้หอยเบี้ยชนิดนี้แทนเงินตรา
ตอนนี้ประโยชน์ของหอยเบี้ยสีทองอยู่ที่การชื่นชม ฉินสือโอวก็เป็นผู้ที่ประสบการณ์ความรู้เกี่ยวกับทะเลอย่างกว้างขวางคนหนึ่ง ที่ฟาร์มปลาของเขาก็ยังเลี้ยงหอยนมสาวทะเลยักษ์ไว้หนึ่งตัว หลังจากที่เขาได้เห็นหอยเบี้ยสีทองแล้ว เขาก็ยังมีความรู้สึกตกตะลึงอยู่ หอยชนิดนี้มีความสวยงามมากด้านนอกของเปลือกเกลี้ยงเป็นมัน งดงามมากจริงๆ
แต่เมื่อว่ายน้ำไปดูข้างๆ โขดหิน ฉินสือโอวก็รู้ผิดหวังขึ้นมา หอยเบี้ยสีทองตัวนี้ตายแล้ว เหลือเพียงแค่เปลือกเท่านั้น
เช่นนี้มูลค่าของมันก็ลดลงมาไม่น้อย ปกติแล้วหอยเบี้ยสีทองเป็นๆ ที่มีขนาดใหญ่และสวยงามขนาดนี้ ถึงจะเทียบไม่ได้กับหอยนมสาวทะเลยักษ์ที่เป็นสมบัติล้ำค่าของชาติ แต่ถ้าเอาไปขายก็คงได้หลายแสนดอลลาร์
ตายแล้วก็ไม่เป็นไร เอากลับไปให้วินนี่ก็ได้ เอาของแบบนี้ไปมอบเป็นของขวัญให้กับแฟนสาว เท่กว่าให้พวกเครื่องประดับเงินๆ ทองๆ เสียอีก
มาถึงตรงนี้ ฉินสือโอวก็เริ่มเหนื่อยแล้ว เขากำลังจะกลับไปพักที่ฟาร์มปลา
แต่ปรากฏว่า เฮยป้าหวังเห็นว่าเขาสนใจหอยเบี้ย จึงพุ่งเข้ามาหาทันที มันใช้หัวดันโขดหินโสโครกที่อยู่ข้างๆ จากนั้นก็ชนโขดหินโสโครกที่แตกๆ ออกก้อนนั้นให้ล้มลง
ฉินสือโอวสะดุ้งตัวโยน เจ้านี่บ้าไปแล้วหรือไง? หรือของชิ้นนี้เป็นของรักที่มันไม่อยากให้เขาแตะต้อง?
หลังจากดันโขดหินออกแล้วเฮยป้าหวังก็ใช้ปากทรงกระสวยกวาดทรายที่อยู่ด้านล่างออก หอยเบี้ยสีทองสีทองหลายสิบตัวที่มีขนาดเล็กใกล้เคียงกันก็ปรากฏตัวขึ้น
หอยเบี้ยตัวเล็กพวกนี้ยังมีชีวิตอยู่ มีหลายตัวที่ตอนแรกกำลังแลบลิ้นออกมาหาอาหาร พอโขดหินโสโครกที่ใช้ซ่อนตัวถูกดันออก ก็ทำให้พวกมันตกใจจนรีบหดตัวเข้าไปข้างในเปลือก
คราวนี้ฉินสือโอวก็รู้สึกมีความสุขขึ้นมาทันที ในนี้มีลูกๆ ของมันอยู่เยอะขนาดนี้เลยเหรอ? ดีเลย เอากลับไปเลี้ยงดีกว่า เอาหอยพวกนี้ไปเลี้ยงไว้ในตู้ปลา คงจะสวยงามน่าดู
เก็บหอยเบี้ยตัวน้อยพวกนี้มาแล้ว ฉินสือโอวชนโขดหินโสโครกรอบๆ ทั้งหมด เพื่อดูว่ายังมีของดีที่ยังตกหล่นอยู่ไหม
หอยทากสีทองมักอาศัยอยู่ตามแนวโขดหินใกล้กับบริเวณน้ำขึ้นน้ำลงในทะเล พอน้ำลงแล้ว ก็มักจะซ่อนตัวอยู่ที่ใต้โขดหิน ช่องว่างในแนวปะการังกับในถ้ำ ดังนั้นถ้าต้องการจะตามหาร่องรอยของมัน ก็ต้องทุบโขดหินให้แตกออกก่อน
หอยเบี้ยพวกนี้ยังมีขนาดตัวแค่สามสี่เซนติเมตร เล็กกว่าหอยเบี้ยตัวแรกอยู่มาก คิดดูแล้วน่าจะเป็นแม่หอยเบี้ยที่ตายหลังจากมาออกลูกไว้ที่นี่ เหลือไว้เพียงเปลือกหอยที่อยู่บนโขดหินอันนั้น
พอหาหอยเชลล์ตัวใหญ่มากินเนื้อข้างในแล้ว ฉินสือโอวก็ควบคุมให้ลูกหอยเบี้ยค่อยๆ มุดเข้าไปในเปลือกหอยเชลล์ พร้อมทั้งเปลือกหอยอันใหญ่อันนั้น วางรวมกันแล้วอมไว้ในปากของฉลามขาว แล้วพาเฮยป้าหวังฝ่าคลื่นโต้ลมพายุคลั่งกลับไปยังฟาร์มปลา
เฮยป้าหวังติดตามเขามา ฉินสือโอวเพิ่มจิตสำนึกแห่งโพไซดอนเข้าไปพอสมควร เขาช่วยมันรักษาบาดแผลที่อยู่บนร่างกาย เมื่อเป็นเช่นนี้ระดับความเร็วและพลังของมันก็ตามฉลามขาวทันแล้ว
หลังจากออกคำสั่งให้ฉลามขาวกลับไปที่ฟาร์มปลาแล้ว ฉินสือโอวก็ดึงจิตสำนึกแห่งโพไซดอนกลับมาแล้วนอนหลับไป
วันต่อมาเขาตื่นแต่เช้ามาออกกำลังกาย ฉินสือโอวเจตนาพาวินนี่ไปวิ่งบนชายหาด คลื่นทะเลสาดซัดมาแล้วถอยกลับไป แสงแดดสีทองส่องลงบนเปลือกของหอยเบี้ยสีทอง จนสะท้อนลำแสงเป็นประกายงามตา
“นั่นอะไรน่ะ?” วินนี่สังเกตเห็นจึงวิ่งเข้าไป พอเก็บหอยเบี้ยสีทองขึ้นมาแล้ว เธอก็แสดงความดีใจออกมา เหมือนเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งที่ทั้งกระโดดทั้งร้องตะโกน “มาเร็วๆ เสี่ยวฉิน มาดูนี่สิคะ หอยแห่งความสุขล่ะ!”
สำหรับฉินสือโอวแล้ว หอยเบี้ยสีทองคือของที่สามารถขายได้ราคา แต่ในสายตาของวินนี่ มันก็เปลี่ยนมามีอีกสถานะหนึ่ง คือหอยแห่งความสุข
หอยแห่งความสุขเป็นชื่อเล่นของหอยเบี้ยสีทอง มีต้นกำเนิดจากยุคราชวงศ์โมกุลของอินเดีย ในตอนนั้นจักรพรรดิชาห์จาฮานได้พบกับมุมตัช มาฮาล สาวสวยที่มาขายขนมที่ตลาด ในตอนนั้นเขามีหอยเบี้ยสีทองอยู่หนึ่งอันพอดี จึงมอบมันให้กับแม่ค้าขายขนมคนสวย พร้อมทั้งยังบอกกับเธอว่าจะช่วยทำให้เธอมีความสุขไปทั้งชีวิต
ด้วยเหตุนี้ ต่อมาหอยเบี้ยสีทองจึงมีชื่อเรียกเช่นนี้ ที่อินเดียหอยชนิดนี้เป็นหนึ่งในของขวัญที่คนหนุ่มสาวใช้เพื่อขอความรัก
เรื่องราวเกี่ยวกับความรักของชาห์จาฮานกับมุมตัช มาฮาล ที่มีชื่อเสียงที่สุดก็คือทัชมาฮาล หลังจากการสิ้นพระชนม์ของพระมเหสีมุมตัช จักรพรรดิชาห์จาฮานก็เจ็บปวดเจียนตาย เขาจึงสร้างสุสานที่มีชื่อเสียงก้องโลกขึ้นมาเพื่อเธอ
ด้วยความหมายบางอย่าง ก็ทำให้เรื่องราวความรักของทัชมาฮาลถูกบรรยายอย่างเกินจริง จนเกิดเรื่องเล่าอย่างหอยแห่งความสุขขึ้นมา ฉินสือโอวกล้าพนันเลยว่า นี่เป็นเรื่องที่มีคนกุขึ้นมาเพื่อใช้จีบสาวในภายหลัง
ทว่าวินนี่ไม่สนใจ เมื่อเก็บเปลือกหอยขึ้นมาแล้วเธอก็มีความสุขอย่างถึงที่สุด ที่น่าดีใจกว่าก็คือ พอฉินสือโอวช่วยเธอปัดทรายออก ก็เจอเข้ากับหอยเบี้ยตัวเล็กอีกสองตัว อีกทั้งยังเป็นหอยที่มีชีวิตอยู่อีกด้วย
เมื่อคืนวานนี้ฉินสือโอวหาหอยเบี้ยที่ยังเป็นๆ มาได้ทั้งหมดยี่สิบสี่ตัว มียี่สิบสองอันที่ส่งไปไว้ที่เขตแนวปะการัง ส่วนอีกสองอันที่เหลือก็เอามาส่งไว้ที่ริมทะเล เก็บไว้เป็นของขวัญให้วินนี่
ฉินสือโอวกลับไปที่วิลล่าเขาหาตู้ปลาขนาดใหญ่ที่ได้รับการตกทอดมาหนึ่งตู้ หลังจากเช็ดล้างทำความสะอาดเรียบร้อยแล้วก็ใส่โขดหินกับสาหร่ายลงไป วินนี่วางเปลือกหอยกับลูกหอยเบี้ยลงไปข้างในเพื่อเลี้ยงมันไว้
ตอนเช้าได้หอยสมบัติมา วินนี่ก็ตกอยู่ในห้วงของความสุขไปทั้งวัน ตอนนำทัวร์นักท่องเที่ยวก็แย้มยิ้มด้วยความเบิกบานใจยิ่งกว่าเดิม ทำเอากลุ่มหนุ่มใหญ่หลงเสน่ห์จนโงหัวไม่ขึ้น
ทางฝั่งฉินสือโอวกลับค่อนข้างกลัดกลุ้ม ตอนเย็นวินนี่กลับมาถึงก็เห็นว่าเขาไม่สบายใจ จึงถามว่าเกิดอะไรขึ้น ฉินสือโอวถอนหายใจออกมาแล้วพูดกับเธอว่า “วันที่สิบแปดเราต้องไปงานเลี้ยงใช่ไหมล่ะ ถึงตอนนั้นก็จะมีการประมูลด้วย ผมยังไม่รู้เลยว่าผมจะเอาอะไรไปร่วมประมูลดี”
ที่จริงเขามีสิ่งของมีค่าอยู่หลายอย่าง ทว่าส่วนใหญ่แล้วเป็นสิ่งมีชีวิต คงจะเอาไปเข้าร่วมการประมูลไม่ได้แน่ๆ
ตอนนี้ฉินสือโอวเริ่มจะเสียดายแล้ว ถ้ารู้เร็วกว่านี้ตอนที่เขาหาเหรียญทองคำพวกนั้นเจอก็น่าจะเอากลับมาด้วยสักหน่อย ถ้ามีเหรียญทองพวกนั้นเขาคงไม่ต้องมากลุ้มใจแบบนี้
วินนี่กะพริบตาโตๆ เธอ ลองนึกๆ ดูแล้วก็พูดขึ้นมาว่า “จริงๆ ปัญหานี้ง่ายมากเลยค่ะ พวกเรามีของดีๆ ที่เอาไปร่วมงานประมูลได้อยู่นะคะ”
“อะไรเหรอครับ?”
…………………………………………………………………..
บทที่ 312 คอร์เนอร์ บรูค
โดย
Ink Stone_Fantasy
วันที่ 18 เดือนกันยายน ฉินสือโอวสวมชุดถังจวงอีกครั้ง แล้วพาวินนี่ไปเข้าร่วมงานชุมนุมของชาวจีนในครั้งนี้
พอมาอยู่ต่างประเทศ โดยเฉพาะในอเมริกาเหนือ ฉินสือโอวพบว่าคนจีนให้ความสำคัญกับประวัติศาสตร์เป็นพิเศษ มีงานเลี้ยงชุมนุมเพื่อเฉลิมฉลองวันรำลึกต่างๆ รวมถึงงานเลี้ยงฉลองตามเทศกาลอยู่หลายงาน
นี่เป็นหนึ่งในวิธีที่ชาวจีนนำมาใช้เพื่อเพิ่มความเป็นปึกแผ่น อีกทั้งเพื่อเป็นการเผชิญหน้ากับคนขาว ชาวจีนยิ่งต้องสามัคคีกัน ดังนั้นผู้อพยพหลายคนล้วนแต่ยินดีเข้าร่วมงานชุมนุมกันทั้งนั้น อยู่ต่างถิ่นต้องพึ่งพาเพื่อนร่วมชาติ อีกทั้งงานเลี้ยงแบบนี้ก็ยังช่วยให้ได้ทำความรู้จักกับเพื่อนใหม่ เป็นโอกาสดีที่จะเข้าวงสังคม
ครั้งนี้สถานที่ในการจัดงานครั้งนี้ไม่ได้อยู่ที่นครเซนต์จอห์น แต่อยู่ที่คอร์เนอร์ บรูค เป็นเมืองที่ตั้งอยู่บนแถบชายฝั่งทิศตะวันตกในรัฐนิวฟันด์แลนด์ของแคนาดา
นครเซนต์จอห์นเป็นเมืองเกาะที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในนิวฟันด์แลนด์ ส่วนคอร์เนอร์ บรูคถูกจัดเป็นอันดับสอง แต่ว่าจำนวนชาวจีนในเมืองแห่งนี้มีมากกว่าที่นครเซนต์จอห์น
นี่ก็เกี่ยวข้องกับสภาพโครงสร้างเศรษฐกิจของทั้งสองเมืองเช่นกัน นครเซนต์จอห์นมีรายได้หลักจากอุตสาหกรรมการประมงและอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ส่วนเศรษฐกิจของคอร์เนอร์ บรูคจะพึ่งพา การตัดไม้ เหมืองหินปูน อุตสาหกรรมปศุสัตว์และอุตสาหกรรมการผลิตกระดาษ เหมาะกับการลงทุนจนไปถึงการทำงานหาเลี้ยงชีพของคนจีนมากกว่า
คอร์เนอร์ บรูคตั้งอยู่บนปากแม่น้ำฮัมเบอร์ทางชายฝั่งตะวันตกของนิวฟันด์แลนด์ มีจำนวนประชากรไม่ถึงห้าหมื่นคน ในจำนวนเหล่านั้นมีชาวจีนอยู่ราวๆ แปดพันคน เป็นเมืองของชาวจีนที่มีชื่อเสียงในแคนาดา
ถ้าไม่ใช่เพราะปฏิเสธคำเชิญครั้งแรกเป็นการเสียมารยาท ฉินสือโอวก็ไม่อยากมาเลยจริงๆ คอร์เนอร์ บรูคอยู่ทางฝั่งตะวันตกของนิวฟันด์แลนด์ ส่วนเมืองแฟร์เวลอยู่ทางฝั่งตะวันออก ระยะทางนับว่าไกลกันอยู่มาก
แถมคราวนี้ ฉินสือโอวจะนั่งเฮลิคอปเตอร์ไปก็ไม่ได้ เพราะว่าพวกเขาสวมชุดราตรีไปร่วมงานเลี้ยง ตอนลงเฮลิคอปเตอร์ลมแรงเกินไป จะทำให้เสื้อผ้ายับและเปื้อนฝุ่นได้ง่ายๆ
ดังนั้นจึงทำได้แค่รีบออกเดินทาง ไม่อย่างนั้นก็จะไปไม่ทันงานเลี้ยง ทันแค่ทานมื้อเย็นเท่านั้น
เดิมทีฉินสือโอวไม่อยากขับรถ เขารู้สึกเหนื่อยอยู่นิดหน่อย แต่เมื่อออกเดินทางก็ไม่ได้เป็นแบบนี้แล้ว
นิวฟันด์แลนด์ก็เหมือนกันกับที่อื่นๆ ในแคนาดา เขตพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาล ถนนกว้างขวางตรงดิ่ง ในช่วงเช้าจะพบเห็นรถได้น้อย หลังจากได้ขับทะยานไปบนถนน ก็เหมือนกับได้ขี่ม้าบนทุ่งหญ้าโดยที่ไม่จำเป็นต้องจับบังเหียน ขับตรงไปได้อย่างสบายๆ
ในตอนแรกฉินสือโอวยังค่อนข้างควบคุมความเร็วอยู่ พอมองเห็นป้ายจำกัดความเร็วบนท้องถนน เขาก็ลดความเร็วลงมาต่ำกว่าหนึ่งร้อยกิโลเมตรต่อชั่วโมง
วินนี่ยิ้มแล้วพูดกับเขาว่า “คุณเร่งความเร็วได้นะคะ ไม่ต้องไปสนใจป้ายจำกัดความเร็วหรอก ป้ายจำกัดความเร็วของนิวฟันด์แลนด์น่ะมีไว้ดูเฉยๆ ตอนนี้คุณจะขับด้วยความเร็วร้อยยี่สิบหรือกระทั่งร้อยห้าสิบก็ไม่มีปัญหาหรอกค่ะ”
พอฉินสือโอวได้ยินอย่างนี้ เขาก็เหยียบคันเร่งลงไปอีกทันที รถคาดิลแลควันร้องคำรามแล้วเพิ่มความเร็วขึ้นอีก ต้นสนจีนกับต้นเมเปิล ที่อยู่ริมถนน ถูกความเร็วของรถสะบัดทิ้งห่างไว้ด้านหลัง
ในความเร็วเท่านี้ กับสภาพถนนแบบนี้ รถคาดิลแลควันก็แสดงให้เห็นถึงสมรรถนะที่เหนือชั้นของมัน
ถึงแม้จะเพิ่มความเร็วขึ้นอีก แต่รถกลับไม่ลอยเลยแม้แต่น้อย มันวิ่งไปบนพื้นถนนอย่างมั่นคง นอกจากนี้เพราะทางหลวงที่ราบเรียบ เมื่อนั่งอยู่บนรถจึงไม่รู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนเลยแม้แต่น้อย เหมือนนั่งเก้าอี้อยู่ในบ้าน แล้วชมวิวนอกหน้าต่างที่คล้อยหลังไปอย่างต่อเนื่อง
ที่ทำให้รู้สึกดีที่สุดก็คือ ขับรถไปบนทางหลวงที่ราบเรียบขนาดนี้ แต่ฉินสือโอวไม่ต้องเสียค่าทางด่วน ทั่วทั้งรัฐนิวฟันด์แลนด์ไม่มีถนนเส้นไหนที่เก็บเงินเลยสักเส้น คุณขับได้ตามสบาย
พระอาทิตย์ขึ้นแล้ว หลังจากอุณหภูมิของอากาศเพิ่มสูงขึ้น ฉินสือโอวก็เปิดหน้าต่างออก รับรู้ถึงลมแรงที่พัดผ่านใบหูไปอย่างสดชื่น
จากนครเซนต์จอห์นถึงคอร์เนอร์ บรูค ระหว่างทางที่ผ่านมาล้วนแต่เป็นแถบทุ่งหญ้าไปกว่าครึ่ง ดังนั้นเมื่อมองออกไปด้านนอก ก็มักจะมองออกไปได้ไกลหลายกิโลเมตร กว้างขวางสุดลูกหูลูกตา ท้องฟ้ากับผืนดินกว้างใหญ่ก็คล้ายว่าจะเชื่อมเข้าด้วยกัน
ตอนที่ขับรถมาได้เกือบครึ่งทาง ฉินสือโอวขับผ่านทะเลสาบกว้างใหญ่แห่งหนึ่ง วินนี่บอกให้เขาจอดรถพักผ่อนก่อนสักหน่อย ฉินสือโอวจอดรถแล้วลงไปเดินเล่นที่ริมทะเลสาบอยู่สิบกว่านาที
ทะเลสาบแห่งนี้มีขนาดใหญ่กว่าทะเลสาบเฉินเป่า น้ำในทะเลสาบก็ใสสะอาดยิ่งกว่า เหมือนฉากหนึ่งในหนังเรื่องฟอร์เรสท์ กัมพ์ ตอนที่กัมพ์กำลังวิ่งไปบนท้องถนน ข้างกายเขาก็มีทะเลสาบขนาดใหญ่แบบนี้เหมือนกัน
“ทะเลสาบท่ามกลางภูเขา น้ำใสสะอาดอย่างนั้น เจนนี่ มันเหมือนกับท้องฟ้าอีกหนึ่งผืนที่เชื่อมต่อเข้าด้วยกัน จนผมแยกไม่ออกแล้วว่าด้านไหนคือท้องฟ้า ด้านไหนคือผืนน้ำ”
ฉินสือโอวอดที่จะคิดถึงบทพูดอมตะท่อนนี้ไม่ได้ ตอนนี้ทะเลสาบผืนนี้ก็ใสสะอาดแบบนั้นเลยล่ะ
ถ่ายรูปไปแล้วครึ่งโหล ฉินสือโอวก็ออกเดินทางอีกครั้ง จากนั้นรถราและผู้คนก็เริ่มเพิ่มขึ้นทีละน้อย ทุกครั้งที่มีรถขับผ่าน ทั้งสองฝ่ายก็จะผิวปากทักทายกัน กระทั่งว่า บางครั้งก็มีคนขับรถบางคนที่คุยกันผ่านวิทยุสื่อสาร
ฉินสือโอวรู้สึกว่าเหตุการณ์เช่นนี้แปลกใหม่มากๆ เปิดวิทยุบนถนน มีคนถ้ามีคนพูดมาเขาก็ตอบกลับไปสองครั้ง ในหนังฮอลลีวูดเมื่อก่อน จะสามารถเห็นเหตุการณ์แบบนี้ได้เช่นกัน คิดไม่ถึงว่าตอนนี้เขาจะยังได้สัมผัสมันกับตัวเอง
แท้จริงแล้วนี่เป็นเรื่องปกติมาก ระยะเวลาในการขับรถกว่าหกเจ็ดชั่วโมง ล้วนแต่เป็นเส้นทางไกลลิบลิ่วทั้งสิ้น ทำให้จิตใจเหนื่อยล้าและเกิดความรู้สึกมึนชาได้ง่าย เมื่อเป็นเช่นนี้ทุกครั้งที่ได้เจอกับรถคันอื่นบนท้องถนน คนขับรถจึงพากันเห็นคุณค่าของสิ่งนี้
ออกเดินทางในเวลาหกโมงเช้า ในช่วงมื้อเที่ยงตอนเที่ยงวัน ก็มาถึงเมืองเล็กคอร์เนอร์ บรูคแห่งนี้แล้ว
ก่อนออกเดินทางรถคาดิลแลควันถูกขัดทำความสะอาดจนเงาวับ เมื่อมาถึงโรงแรมวินสตัน วูดเดน โบ๊ทในเมืองเล็ก มันก็ถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่นละอองจนทั่วทั้งคันซะแล้ว…
โรงแรมวินสตัน วูดเดน โบ๊ทคือโรงแรมระดับห้าดาวแห่งหนึ่งในคอร์เนอร์ บรูค อุตสาหกรรมบริการของแคนาดามีความเจริญมาก ถึงแม้จะเป็นเมืองที่มีประชากรแค่สี่ห้าแสนคนแต่ก็มีโรงแรมระดับห้าดาวอยู่หลายแห่ง
ฉินสือโอวโทรศัพท์หาเอี๋ยนตงเหล่ย จากนั้นเขาจึงขับรถเข้ามารับทั้งสองคนไป มองเห็นวินนี่ที่สวมชุดกี่เพ้า เกล้าผมสูง สายตาของเอี๋ยนตงเหล่ยก็ปรากฏความสนใจขึ้นมาแวบหนึ่ง เขาพูดขึ้นมาว่า “เสี่ยวฉินมีวาสนาดีจริงๆ คิดไม่ถึงว่าจะมีแฟนสวยขนาดนี้”
วินนี่ส่งรอยยิ้มนุ่มนวล เธอพูดกับเขาว่า “ขอบคุณค่ะ ชมฉันเกินไปแล้ว”
เอี๋ยนตงเหล่ยยักคิ้ว แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ผมไม่ได้ชมเกินไปหรอก ผมพูดจริงๆ แถมภาษาจีนของคุณก็ยังดีมากอีกด้วย พี่น้องชาวจีนหลายคนที่มางานชุมนุมครั้งนี้ ไม่มีใครพูดได้ชัดเลยสักคน”
เอี๋ยนตงเหล่ยพาทั้งสองคนเข้ามาในโรงแรม ห้องพักถูกเปิดไว้ก่อนหน้านี้แล้ว ห้องดีลักซ์ สวีทหนึ่งห้อง เอี๋ยนตงเหล่ยถามว่ามีปัญหาอะไรไหม ฉินสือโอวแทบจะหุบยิ้มไม่ลง เขาพูดซ้ำๆ ว่าไม่เป็นๆ ดีมากแล้วๆ
ห้องเดี่ยวเตียงใหญ่เตียงเดียวเลยนะ จะยังต้องเปลี่ยนอะไรอีก? ใครจะเปลี่ยนต้องมีเรื่องกับฉินสือโอวแล้ว!
ช่วงเที่ยงเอี๋ยนตงเหล่ยไปที่ภัตตาคารอาหารจีนแห่งหนึ่ง ชื่อว่า ’ล่าเหมยจื่อ’ (สาวแซ่บ) แค่ฟังก็รู้แล้วว่าเป็นอาหารหูหนาน
เอี๋ยนตงเหล่ยพูดให้เขาฟังว่า เจ้าของโรงแรมวินสตัน วูดเดน โบ๊ท กับเจ้าของภัตตาคารอาหารจีนเป็นชาวจีนด้วยกันทั้งคู่ ตอนนี้ชาวจีนเข้ามามีบทบาทสำคัญในการพัฒนาด้านเศรษฐกิจของเมืองนี้ อุตสาหกรรมหลายอย่างล้วนแต่ถูกชาวจีนซื้อไปหมดแล้ว
ตอนนี้ชาวจีนมีชื่อเสียงในสังคมที่แคนาดามากๆ ทว่าน่าเสียดายจริงๆ ที่ชื่อเสียงพวกนี้เกี่ยวกับแค่เรื่องเงินเท่านั้น ถึงแม้ฉินสือโอวจะเป็นคนหนุ่มผู้เกี้ยวโกรธ แต่ตอนนี้เขาก็คงต้องยอมรับแล้วว่า ภาพลักษณ์ของชาวญี่ปุ่นและเกาหลีได้สร้างไว้ในแคนาดานั้นยังดูดีกว่ามากนัก
งานชุมนุมจะเริ่มตอนบ่ายโมงครึ่ง เอี๋ยนตงเหล่ยมีหน้ามีตาในสังคมชาวจีนที่นิวฟันด์แลนด์ หลังจากที่พวกเขาเข้ามานั่งแล้ว หลิวชิงพ่อครัวใหญ่เจ้าของภัตคารก็เข้าครัวลงมือทำ หัวปลานึ่งราดพริก ไก่ผัดตงอัน ล่าเว่ยเหอเจิง (เนื้อหมักราดซอส) มะเขือยาวนึ่งพริกหยวก ปิงถังเซียงเหลียน (เม็ดบัวลอยแก้ว) อู๋กังเซียงกาน เนื้อวัวแห้งผัดพริกแดง อาหารจีนหูหนานชื่อดังหลากเมนูด้วยตัวเอง หลังจากนั้นก็เข้ามาร่วมโต๊ะอาหารกับพวกเขา
ขณะรับประทานอาหาร เอี๋ยนตงเหล่ยก็พูดถึงลำดับของงานชุมนุมครั้งนี้ให้ฟังอย่างคร่าวๆ ช่วงบ่ายจะเป็นการบรรยาย ช่วงสี่โมงเย็นจะมีปาร์ตี้น้ำชา พอถึงหกโมงครึ่งก็จะเริ่มงานประมูลยามค่ำคืน
ฟังที่เอี๋ยนตงเหล่ยเล่า ฉินสือโอวก็หยิบเอาของที่เขาเตรียมมาประมูลขึ้นมา
เมื่อเปิดหีบห่อที่มีความประณีตออก หอยเบี้ยสีทองที่มีสีสันงดงามก็เผยให้เห็นความสวยงามที่น่าตื่นตะลึงของมัน เอี๋ยนตงเหล่ยก็เป็นคนรอบรู้ พอมองเห็นเปลือกหอยเบี้ยสีทองอันนี้เข้าก็เบิกตากว้าง แล้วพูดขึ้นมาว่า “เสี่ยวฉิน นายทุ่มทุนจริงๆ”
………………………………………….
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น