หมอดูยอดอัจฉริยะ 309-310

 ตอนที่ 309 อานุภาพของง้าวพระจันทร์เสี้ยว

โดย

Ink Stone_Fantasy

ห้องรับแขกในบ้านของถังเหวินหย่วนถูกเปลี่ยนเป็นห้องไหว้ ภาพเหมือนของหลี่ซั่นหยวนและปรมาจารย์เสื้อป่าน ถูกแขวนอยู่บนกำแพง เยี่ยเทียนและจั่วเจียจวิ้นนั่งอยู่ทั้งสองด้านของภาพเหมือน ส่วนสองเข่าของหลิวติงติง อยู่ด้านหน้าของเขาทั้งสอง


“หลิวติงติง กฎระเบียบของสำนักเสื้อป่านไม่ยุ่งยากขนาดนั้น ข้อที่หนึ่ง ห้ามหลอกลวงลบล้างบรรพจารย์ ข้อที่สอง ห้ามปฎิบัติต่อคนธรรมดาโดยใช้วิชาทำร้ายสิ่งมีชีวิต ข้อที่สาม ห้ามข่มขืน…เอ่อ หลักๆ คือสองข้อนั้น ทำได้หรือเปล่า?


ถึงแม้ว่าจั่วเจียจวิ้นจะเป็นศิษย์พี่ แต่เยี่ยเทียนเป็นผู้สืบทอดลำดับที่หนึ่งของสำนักเสื้อป่านรุ่นที่ 51 ก็คือเจ้าสำนักนั่นเอง คำปราศรัยเบื้องต้นเวลามีศิษย์ใหม่เข้าสำนัก โดยปกติจะดำเนินการโดยเขา


ปรมาจารย์เสื้อป่านเกิดในลัทธิเต๋า ให้ความสำคัญกับการปกครองโดยมิต้องตรากฏหมายไปปกครองประชาชน ดังนั้นสำนักที่เขาก่อตั้งมาเองกับมือ จึงไม่มีสามกฎห้าบัญญัติ เดิมทียังมีข้อห้ามหนึ่งข้อ ก็คือห้ามผิดประเวณี แต่เนื่องจากหลิวติงติงเป็นผู้หญิงข้อห้ามข้อนี้จึงยกเว้นได้


“อาจารย์ ฉันสามารถทำได้ หนึ่งห้ามหลอกลวงลบล้างบรรพจารย์ สองห้ามปฎิบัติต่อคนธรรมดา โดยใช้วิชาทำร้ายสิ่งมีชีวิต!”  หลิวติงติงพูดคำตักเตือนของเยี่ยเทียนซ้ำอีกครั้งอย่างแน่วแน่


“ดี คุกเข่าไหว้บรรพจารย์เถอะ!”


เยี่ยเทียนผงกศีรษะ ถึงแม้หลิวติงติงจะเป็นเด็กผู้หญิง แต่เธอมีพรสววรค์ที่เป็นเลิศ และเป็นเด็กที่ถูกเลี้ยงโดย จั่วเจียจวิ้น ต่อจากนี้ไปถ้าเธอได้สัมผัสวิชาของเสื้อป่าน แน่นอนว่าวิชาของเธอจะรุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว


หลังจากคุกเข่าคำนับและไหว้ภาพเหมือนบรรพจารย์ของเสื้อป่านและหลี่ซั่นหยวนเสร็จแล้ว หลิวติงติงก็คำนับ เยี่ยเทียนสามคำนับ จากนั้นพิธีการเข้าสำนักเป็นอันว่าเสร็จสิ้น เยี่ยเทียนยื่นมือให้หลิวติงติงและพยุงเธอลุกขึ้น หัวเราะฮ่าฮ่าและพูดว่า “ของขวัญต้อนรับการพบหน้าของฉัน ฉันให้แล้วนะ ถ้าอยากได้อีกคงต้องหาศิษย์พี่จั่วแล้วนะ!”


“ศิษย์น้องเยี่ย นายให้ของขวัญต้อนรับอะไรเหรอ?” จั่วเจียจวิ้นไม่รู้เรื่องนี้ได้ยังไง มองดูหลานสาวอย่างงุนงง


“คุณตา นี่คือของขลังที่อาจารย์อาให้มา!” หลิวติงติงนำหยกนักษัตรออกมา


“นี่…นี่มันเป็นของขลังจริงด้วย ศิษย์น้องเยี่ย นาย…นายไปหามาจากไหนกัน?” หลังจากที่จั่วเจียจวิ้นยื่นมือเข้ารับหยกนักษัตรมา สีหน้าบนใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป ด้วยการฝึกฝนของเขา เขาสามารถสัมผัสออกอย่างง่ายดายว่าหยกชิ้นนี้หล่อเลี้ยงไปด้วยพลังชี่มงคล


จั่วเจียจวิ้นรู้ว่า ในมือของอาจารย์มีของขลังอยู่สองชิ้น ชิ้นหนึ่งคือเงินทองแดงและเข็มทิศที่สืบทอดจากบรรพจารย์


แต่ของเหล่านี้ส่งต่อให้กับเจ้าสำนักคนต่อไปเท่านั้น นอกจากสองชิ้นนี้ ของขลังชิ้นสุดท้ายกลับส่งต่อให้กับตนเอง และตอนนี้กำลังถูกใส่อยู่บนคอของหลานสาว


นั่นแปลว่า ของขลังชิ้นนี้ของเยี่ยเทียน น่าจะได้มาเพราะตัวเขาเอง แต่จั่วเจียจวิ้นหลังจากค้นหาของขลังมา หลายปีหลายแห่ง แต่ก็ไม่พบเลยสักชิ้น ดังนั้นเขาจึงประหลาดใจมาก


จั่วเจียจวิ้นครุ่นคิดสักครู่ นำหยกนักษัตรยื่นให้กับเยี่ยเทียน พูดว่า”ศิษย์น้องเยี่ย ของขวัญชิ้นนี้แพงเกินไป แล้วอีกอย่างติงติงก็มีของขลังอยู่แล้ว นายเก็บเอาไว้และส่งต่อให้กับศิษย์คนอื่นดีกว่า!”


จั่วเจียจวิ้นรู้ว่าของขลังมีน้อยขาดแคลนมาก โดยทั่วไปจะส่งต่อให้กันโดยอาจารย์ส่งให้กับลูกศิษย์ และส่งต่อรุ่นต่อรุ่นไปเรื่อยๆแบบนี้ การที่เยี่ยเทียนส่งต่อหยกชิ้นนี้ออกไป ถ้าในวันหนึ่งเขารับลูกศิษย์เพิ่มอีก ก็จะไม่มีของขลังส่งต่อให้ลูกศิษย์อีก นั่นไม่ใช่สิ่งที่ศิษย์พี่ควรจะทำ


“ศิษย์พี่ ของขลังที่ติงติงใส่อยู่ เป็นของที่อาจารย์จะให้กับพี่ เดี๋ยวให้ติงติงคืนให้พี่นะ วันหลังให้เธอใส่ของขลังชิ้นนี้ ก็แล้วกัน”


เยี่ยเทียนยิ้มและพูดต่อว่า”ผมไม่กลัวอะไรหรอก ศิษย์พี่ ง้าวพระจันทร์เสี้ยวด้ามนั้นก็คือของขลังโจมตีชิ้นหนึ่ง วันหลังฉันก็จะส่งต่อให้กับลูกศิษย์ของฉัน!”


“อะไรนะ? นั่นคือของขลังโจมตี?”


จั่วเจียจวิ้นได้ยินดังนั้นตะลึงไปครู่หนึ่ง และไม่สนใจว่าหลานสาวยังอยู่ตรงนั้น เดินไปอยู่ด้านหน้าง้าวพระจันทร์เสี้ยว ด้ามนั้น อย่างรวดเร็ว มองดูอย่างระมัดระวังเป็นเวลานาน ใบหน้าที่มองไปฝั่งเยี่ยเทียนเต็มไปด้วยความสงสัย พูดว่า”ศิษย์น้องเยี่ย นี่…นี่ไม่เหมือนของขลังเลย?”


ฝีมือของจั่วเจียจวิ้นเก่งแล้ว การฝึกฝนก็เพียงพอแล้ว แต่เหตุผลที่เขายอมจำนนมานานกว่า 20 ปีไม่กล้าที่จะไปเมืองไทย เพื่อตามหานายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ เพื่อจัดการบุญคุณและความแค้น ก็เพราะว่ายังขาดวิธีการในการโจมตีและฆ่า


พอได้ยินเยี่ยเทียนพูดว่าชิ้นนี้คือของขลัง จั่วเจียจวิ้นไม่ได้ตื่นเต้นธรรมดา จากการฝึกฝนของเขา ต่อให้ไม่รู้จักวิชา แต่ถ้าหยิบจับของขลังชนิดโจมตีสักชิ้นก็สามารถสำแดงประโยชน์ของมันออกมาได้บ้าง


แต่หลังจากสำรวจง้าวพระจันทร์เสี้ยวไปครึ่งค่อนวันเสร็จ จั่วเจียจวิ้นรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย ง้าวด้ามนี้ถึงแม้จะ แอบซ่อนพลังพิฆาตเอาไว้ แต่มันไม่มีจุดเด่นดั่งของขลังชนิดโจมตีในตำนานที่กล่าวไว้เลย


“มีอะไรหรือเปล่าศิษย์พี่ อยากลองของของขลังสักหน่อย?”


เยี่ยเทียนได้ยินและยิ้มออกมา พลังพิฆาตของง้าวพระจันทร์เสี้ยวถูกเขาจำกัดเอาไว้แล้ว นอกเสียจากว่าเยี่ยเทียน จะใช้วิชาลับบังคับมัน ไม่เช่นนั้นง้าวพระจันทร์เสี้ยวด้ามนี้ถ้าหากอยู่กับคนภายนอก มันจะเป็นเพียงอาวุธทางทหาร ที่หนักหนึ่งอันเท่านั้น


หลังจากได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนมีความหมายแฝง ดวงตาของจั่วเจียจวิ้นก็ลุกเป็นประกายขึ้นมาทันใด และตอบไปว่า “อยากเห็นอยู่แล้วสิ ศิษย์น้องเยี่ย ในสมัยนั้นอาจารย์ไม่มีของขลังแบบนี้เลยนะ!”


“ได้ศิษย์พี่ พี่ถอยหลังไปไม่กี่ก้าว!”


เยี่ยเทียนเดินเข้าใกล้ง้าวพระจันทร์เสี้ยวซึ่งห่างอยู่ประมาณ 3 เมตร มือขวาจับพูดคาถาออกมา “ฉี!”


พลังชี่หยินที่มืดครึ้มน่าสะพรึงกลัวกระจายออกมาตามเสียงของเยี่ยเทียน อุณหภูมิของหลายร้อยตารางเมตร ในห้องนั่งเล่นดูเหมือนว่าจะลดลงเล็กน้อย


“ซา!”


เยี่ยเทียนตะโกนออกมาอีกหนึ่งเสียง ง้าวพระจันทร์เสี้ยวด้ามนั้นก็ส่งเสียงกรอบขึ้นหนึ่งเสียง พลังก็เปลี่ยนแปลงไป หลิวติงติงกับจั่วเจียจวิ้นที่อยู่ในห้องตาลายไปตามกัน รอบๆตัวจู่ๆก็มีเสียงฆ่าฟันดังขึ้น


จั่วเจียจวิ้นในเวลานี้ เหมือนตัวเองกำลังอยู่ในสนามรบสมัยโบราณ ทหารม้าคู่หนึ่งต่อสู้กันเอง ดาบอาชาตัดเนื้อเลือดกระฉูด เกือกม้าข้ามกระดูกที่เกลื่อนเต็มไปหมด สิ่งเหล่านี้ทำให้เขารู้สึกเย็นจากก้นบึ้งของหัวใจ


“น่ากลัว…เป็นภาพลวงตาที่น่ากลัวมาก!”


เพราะจั่วเจียจวิ้นมีกำลังภายในที่แข็งแกร่ง เขาแค่หายจากการตกตะลึงครู่เดียว ก็สามารถนำตัวออกจาก ภาพลวงตาได้เลย แต่ร่างกายของเขาเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ


“ศิษย์น้องเยี่ย เร็ว หยุดเดี๋ยวนี้!”


มองไปรอบๆ การแสดงออกมาของหลิวติงติงแย่กว่าตนเองเยอะมาก หมัดกำลังโบกสะบัดอยู่กลางอากาศ นอกจากนี้ยังมีเสียงร้องของการฆ่าออกจากปาก สันนิษฐานได้ว่าจิตใจจะถูกแช่อยู่ในภาพลวงตาอย่างสมบูรณ์


“ติง เก็บ!” ปากของเยี่ยเทียนออกเสียงโทนต่ำออกมาหนึ่งเสียง เหมือนกับการสวดมนต์ของพระ พลังพิฆาตที่อยู่เต็มห้องทันใดนั้นก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย เพราะพลังทั้งหมดถูกเก็บเข้าไปในง้าวพระจันทร์เสี้ยวด้ามนั้น


“ฆ่า!ฆ่าพวกแกให้หมด!” หลิวติงติงดูเหมือนยังไม่รู้สึกตัวดีเท่าไหร่ ยังคงหลับตาและโจมตีคนรอบๆ


“ติงติง ตื่น!” จั่วเจียจวิ้นตะโกนที่ข้างหูของหลานสาวอย่างเสียงดัง จากนั้นท่าทางของหลิวติงติงจึงหยุดลง และค่อยๆลืมตาขึ้นมา


“คุณตา หนู…หนูฝัน ฝันเห็นผีเยอะมาก แต่หนูสามารถฆ่าพวกมันได้!”


พูดถึงหลิวติงติงแล้วนั้นเหมาะที่จะเรียนวิชาของฉีเหมินมาก หลังจากได้สติการแสดงออกของเธอไม่ใช่ความกลัว แต่เป็นความตื่นเต้น


การแสดงออกเช่นนี้เมื่อเทียบกับสมัยเด็กของเยี่ยเทียนแล้วแข็งแกร่งกว่าเยอะมาก ตอนนั้นเยี่ยเทียนถูกอาจารย์บังคับให้นอนที่สันเขาที่มีหลุมฝังศพ กลางดึกปลอมตัวเป็นผีไปหลอกเยี่ยเทียน หลอกจนสามจิตหกวิญญาณ ของเยี่ยเทียนเกือบจะหลุดหายไป


“ศิษย์น้องเยี่ย ของขลังชิ้นนี้แกร่งมาก นายได้มาจากที่ไหน?”


จั่วเจียจวิ้นไม่ได้สนใจหลานสาว แต่สายตาของเขากลับอยู่ง้าวพระจันทร์เสี้ยวด้ามนั้นแทน หลังจากที่ได้ลองอำนาจของของขลังชิ้นนี้แล้ว จั่วเจียจวิ้นเพิ่งจะตระหนักถึงความคมของของขลังชนิดการโจมตีชิ้นนี้


ต้องรู้ก่อนว่า ถึงแม้ง้าวพระจันทร์เสี้ยวจะมีผลกระทบต่อสติของจั่วเจียจวิ้นเพียง 4-5 วินาที แต่การต่อสู้ของผู้ที่มีฝีมือสูงของเขา เพียง 4-5 วินาทีนี้ก็สามารถฆ่าเขาได้หลายต่อหลายครั้งแล้ว


และพลังพิฆาตของง้าวพระจันทร์เสี้ยวที่ปล่อยออกมาเมื่อสักครู่ก็ไม่ได้ตั้งใจจะปล่อยใส่เขา ไม่เช่นนั้นจั่วเจียจวิ้นก็คงไม่สามารถออกจากภาพลวงตาได้อย่างง่ายดาย


“ของชิ้นนี้ได้มาโดยบังเอิญมาก จะเรียกว่าเป็นความโชคดีก็ได้”สำหรับศิษย์พี่ศิษย์น้องที่เป็นคนกันเองแล้วนั้นไม่มีความจำเป็นที่จะต้องปิดบังเยี่ยเทียนยิ้มและ


เล่าเรื่องการโจรกรรมสุสานครั้งนั้นออกมา


“ว้าว น่าตื่นเต้นสุดๆ!” หลังจากที่ฟังเยี่ยเทียนเล่าจบ หลิวติงติงอ้าปากค้างและร้องออกมา”อาจารย์อา วันหลังถ้าไปโจรกรรมสุสานอีกต้องเรียกฉันด้วยนะ น่าตื่นเต้นมาก!”


“ติงติง เรียกคุณอาดีกว่า เวลาอยู่ต่อหน้าคนนอกถ้าเรียกอาจารย์อาไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไหร่” เยี่ยเทียนได้ยินดังนั้นก็ยิ้มอย่างขมขื่น ไม่คิดเลยว่าผู้สืบทอดลำดับที่ 3 ของเสื้อป่าน จะเป็นผู้หญิงบ้ากำลัง


เมื่อเห็นจั่วเจียจวิ้นรู้สึกประทับใจกับคำพูดของหลิวติงติง เยี่ยเทียนหน้าบึ้งและรีบพูดออกมาว่า “ความตั้งใจข้อแรกของฉันในครั้งนั้นก็เพื่อกำจัดภัยพิบัติ การโจรกรรมสุสานคือการทำลายความสงบสุขของฟ้า วันหลังพวกเธอห้ามทำแบบนี้เด็ดขาด!”


ถ้าหากศิษย์พี่รองของตนเองคนนี้จะหาของขลังและไปโจรกรรมสุสานจริงๆละก็ เขาคงไม่รู้จะเอาหน้าที่ไหน ไปพบบรรพจารย์


“ใช่ ศิษย์น้องเยี่ย ฉันไม่ทำเรื่องแบบนั้นหรอก!”


หลังจากได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียน จั่วเจียจวิ้นประหลาดใจทันใด และตื่นขึ้นมาจากความโลภของของขลัง เพราะความรู้ลึกในเรื่องทำนายดวงชะตาของเขา เขาจึงรู้ดีเกี่ยวกับเหตุผลของการไร้ความปราณีของกฎธรรมชาติ


“ว่าแต่ศิษย์น้องเยี่ย ฉันได้ยินติงติงพูดว่านายมาฮ่องกงครั้งนี้เพราะมีเรื่องที่จะต้องทำ นายต้องทำเรื่องอะไรเหรอ? ชื่อเสียงของพี่ในฮ่องกงก็ถือว่ามีอยู่บ้าง บางทีอาจจะช่วยน้องได้”


ส่ายหัวและกำจัดสิ่งล่อใจอย่างของขลังทิ้ง จั่วเจียจวิ้นจึงเปลี่ยนหัวข้อการสนทนา และศิษย์น้องมาทำธุระที่ฮ่องกง ตัวเขาเองที่เป็นศิษย์พี่จะต้องช่วยเหลืออย่างเต็มที่


“แฮะ ศิษย์พี่ พูดถึงเรื่องนี้มันมีความเกี่ยวข้องกับนายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ ในการมาครั้งนี้ของฉัน ก็เพื่อมาพบกับลูกศิษย์ของเขาสักหน่อย…”


เยี่ยเทียนครุ่นคิดสักครู่ บอกเล่าประวัติครอบครัวของตนเองกับเขาจนหมด รวมถึงเรื่องที่ซ่งเสียวหลงมองว่า ตนเองเป็นเสี้ยนหนาม เขาก็ไม่ปิดบังต่อจั่วเจียจวิ้น


“นาย…นายเป็นลูกของคุณผู้หญิงเว่ยหลันเหรอ?”


ใบหน้าของจั่วเจียจวิ้นแสดงความตะลึง “เมื่อสิบปีก่อนฉันเคยเจอแม่นายครั้งหนึ่ง เธอเคยให้ฉันช่วยทำนายชีวิต ของนายในภายภาคหน้า แต่ผลของการทำนายกลับมั่วไปหมด ที่แท้เป็นแบบนี้นี่เอง?”


วิชาปะทะต่อกัน การทำทำนายชะตาชีวิตของผู้ที่รู้วิชา ยากกว่าการทำนายคนทั่วไปเป็นร้อยเท่า อย่าว่าแต่จั่วเจียจวิ้นเลย แม้แต่หลี่ซั่นหยวน ตอนนั้นก็คงไม่สามารถทำนายและพบร่องรอย การพัฒนาในภายภาคหน้า ของเยี่ยเทียนได้


“เป็นเรื่องบุญคุณความแค้นของพวกมหาเศรษฐีอีกแล้วเหรอ”


จั่วเจียจวิ้นอยู่ที่ฮ่องกงมาหลายปี เคยเห็นลูกศิษย์ที่ฐานะร่ำรวยเหล่านั้นต่อสู้เพื่อทรัพย์สินของครอบครัว จนชิน แต่คิดไม่ถึงเลยว่าศิษย์น้องเล็กของตนเองคนนี้จะตกอยู่ในวังวนนี้เช่นกัน


“ศิษย์น้องเยี่ย เรื่องนี้นายประมาทเกินไปนิดหน่อย ชาญ ทองทวนคนนี้ฉันรู้จัก เป็นลูกศิษย์ของนายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์  ฤาษีคนไทยที่มีชื่อเสียงดังที่สุด “


จั่วเจียจวิ้นแสดงสีหน้าที่กังวลและพูดว่า “วิชาการโจมตีของสายเสื้อป่านอย่างพวกเราหายสาบสูญหมดแล้ว ถ้าจะพึ่งพาของขลังแค่นี้ เกรงว่าจะจัดการอะไรกับเขาไม่ได้เลย!”


วิชากับการฝึกฝนของสำนักภายในคือคนละเรื่องกัน ถึงแม้กำลังภายในของเยี่ยเทียนจะแข็งแกร่งก็ตาม แต่ยังขาดวิธีการโจมตี ดังนั้นจั่วเจียจวิ้นจึงมองว่า การที่เยี่ยเทียนพบกับชาญ ทองทวน เกรงว่าจะเป็นสถานการณ์ แพ้มากกว่าชนะ


……


ตอนที่ 310 ตลบหลังกลับ (1)

โดย

Ink Stone_Fantasy

การประลองอาคมถึงแม้ไม่มีเปลวเพลิงควันไฟ แต่ระดับอันตรายของมัน เสี่ยงต่อชีวิตยิ่งกว่าสงคราม ดาบกับปืนจริงเสียอีก หากพลาดพลั้งไป ก็อาจบาดเจ็บสาหัสล้มลง พบจุดจบอย่างเลวร้ายอันไม่อาจรักษาชีวิตตัวเองได้


อีกทั้งต้นกำเนิดของไสยศาสตร์เมืองไทยก็ถือกำเนิดมาจากเวทมนตร์คาถาในประเทศจีน ทั้งวิชา “เล่นของ” ในประเทศไทยกับ “การสกัดพิษ” ของทางหูหนานและที่ราบสูงยูนนานกุ้ยโจว ต่างถูกศาสตร์วิชาลับ เรียกขานว่า เป็นวิชามาร หลัก 2 ชนิดในตะวันออกเฉียงใต้


เมื่อได้ยินว่าชาญ ทองทวนอาจมาฮ่องกงเพื่อลอบสังหารเยี่ยเทียน จั่วเจียจวิ้นก็เผลอขมวดคิ้ว หลังจากคิด ๆ ดูแล้ว ก็เอ่ยปาก “เยี่ยเทียน ถ้ายังไง…นายถอยก่อนดีกว่า มีฉันเป็นคนรู้จักอยู่ในฮ่องกง เชื่อว่าชาญ ทองทวน คนนั้นคงไม่กล้า มาก่อเรื่องหรอก


สาเหตุที่เวทมนตร์คาถาเสื่อมถอยลง นั้นเป็นเพราะการมีอยู่ของอาวุธเพลิงในยุคปัจจุบัน จั่วเจียจวิ้นเชื่อว่า ต่อให้เวทมนตร์ของชาญ ทองทวนแข็งแกร่งสักแค่ไหน หากใช้ปืนกับเขา เก้าในสิบย่อมสามารถทำให้เขากลายเป็นรูพรุน


ถึงแม้ว่าจะเป็นการฝืนกฎภายในยุทธภพแห่งศาสตร์ลับ แต่เพื่อชีวิตน้อยๆ ของเยี่ยเทียนจั่วเจียจวิ้นเองก็ไม่คิด จะใส่ใจถึงขนาดนั้น


ยิ่งไปกว่านั้นนายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์เองก็ไม่ใช่คนดีอะไร ในอดีตถ้าหากไม่เป็นเพราะเขาไม่เคารพความเป็นผู้อาวุโส  ที่ลอบทำร้ายตน จั่วเจียจวิ้นเองก็คงไม่ถึงกับไร้พลังตอบโต้


ดังนั้นจั่วเจียจวิ้นจึงตัดสินใจในครั้งนี้ ถ้าหากชาญ ทองทวนกล้ากลับมายังฮ่องกง ตัวเขาจะรวมกลุ่มแก๊ง ก่อความวุ่นวายใช้ปืนยิงเขาให้ตาย เพื่อจะได้เป็นการคิดบัญชีที่ตนเองถูกลอบทำร้ายเมื่อในอดีตด้วย


เยี่ยเทียนยิ้มแล้วยิ้มอีก ราวกับเดาความคิดของจั่วเจียจวิ้นออก กล่าวว่า “ศิษย์พี่จั่ว พี่ไม่เชื่อใจผมขนาดนั้นเลยเหรอครับ?”


ได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนแล้ว จั่วเจียจวิ้นก็รีบตอบ “เยี่ยเทียน นายไม่รู้หรอก ว่าในศาสตร์การเล่นของมีวิชาต่ำช้ามากมายกี่ขนาน ถึงขั้นฆ่าคนตายโดยปราศจากร่องรอยได้ แม้วรยุทธ์นายจะสูง ก็ไม่แน่ว่าจะต้านทานไหว!”


ตอนที่นายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ลอบทำร้ายจั่วเจียจวิ้น เป็นค่ำคืนที่มีลมพายุฝนกระหน่ำฟ้าผ่าโหมรุนแรง ซึ่งเป็นข้อจำกัดหนึ่งของวิชาฝังพิษ เพราะอย่างนั้นเขาจึงหนีเอาตัวรอดมาได้้


ไม่อย่างนั้นด้วยความรอบรู้ของนายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ ต่อให้ตอนนั้นจั่วเจียจวิ้นหนีไป เขาก็สามารถใช้วิชาลับ เชื่อมต่อกับตำแหน่งแล้วติดตามสังหาร


จั่วเจียจวิ้นเพียงกลัวว่าศิษย์น้องของตัวเองคนนี้จะเป็นลูกวัวไม่กลัวเสือ ไปเผชิญหน้าต่อกรกับพวกเล่นของ หากเป็นอย่างนั้นสุดท้ายคนที่จะต้องลำบากก็คือเยี่ยเทียน


“ศิษย์พี่ พี่นึกว่าหลายปีมานี้ท่านอาจารย์ไม่ได้ทำอะไรเลยหรือไง?”


เยี่ยเทียนมองจั่วเจียจวิ้นคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม กล่าวว่า “ท่านอาจารย์ตัดสินใจว่าในชีวิตนี้จะต้องปรับปรุงวิชาสำนักเสื้อป่าน ในช่วงสุดท้ายของชีวิตได้คิดค้นศาสตร์


 โรมรันต่อสู้ พลังอำนาจของมันไม่แพ้ศาสตร์การเล่นของของเมืองไทยหรอก!”


ตามที่เยี่ยเทียนเคยพูดคุยกับหลี่ซั่นหยวนก่อนเสียชีวิต ถ้าหากเป็นไปได้ เยี่ยเทียนสามารถเลือกนำวิชาลับ ถ่ายทอดต่อให้กับศิษย์พี่รองได้ แต่ไม่ครอบคลุมถึงวิชาโรมรัน สาเหตุเป็นเพราะวิชาเหล่านี้โหดร้ายรุนแรง บาดเจ็บถึงพลังชีวิต


แต่พอได้รับรู้ว่าจั่วเจียจวิ้นเคยเกือบต้องเผชิญกับหายนะอันเลวร้ายด้วยไม่อาจใช้วิชา เยี่ยเทียนจึงเปลี่ยนความคิดนี้ เขาไม่อาจทนมองศิษย์สำนักเดียวกันถูกกลั่นแกล้งได้ไม่ใช่หรือ?


แน่นอนว่า เยี่ยเทียนยังไม่ได้เปิดเผยเรื่องที่ตนเองได้รับสืบทอดมา ดังนั้นจึงยืมชื่อของท่านนักพรตมาใช้ ตระเตรียมถ่ายทอดวิชาให้แก่จั่วเจียจวิ้นในภายหลัง แล้วพูดเป็นว่าหลี่ซั่นหยวนคิดค้นขึ้นมากับมือ


“ศิษย์…ศิษย์น้องเยี่ยเทียน นาย…นายบอกว่าอาจารย์คิดค้นวิชาโรมรันออกมาแล้วหรือ?”


ดังคาด พอจั่วเจียจวิ้นได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนแล้ว ก็ปราศจากความเคลือบแคลงสงสัยอีกต่อไป ในสายตาของเขาหลี่ซั่นหยวนเป็นผู้ปรีชาสามารถ จะปรับปรุงศาสตร์คาถาอาคมนั้น ไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้


“ใช่แล้วครับศิษย์พี่ รอให้ผ่านพ้นอุปสรรคนี้ไปก่อน  แล้วผมจะถ่ายทอดวิชาทั้งหมดนั้นให้แก่ศิษย์พี่ เพียงแต่…”


พูดถึงตรงนี้ สีหน้าของเยี่ยเทียนก็ตึงเครียดขึ้นมา “เพียงแต่วิชาพวกนี้ สามารถเผยแพร่ให้แก่ศิษย์ผู้สืบทอดภายใน สำนักได้เท่านั้น ไม่ถ่ายทอดให้ผู้มีใจคิดคด ไม่ส่งต่อให้ผู้ร้ายอำมหิตฆ่าคน ศิษย์พี่ต้องจำใส่ใจ!”


ศาสตร์วิชาส่วนใหญ่ที่ใช้ทำร้ายมนุษย์โดยไร้ร่องรอยนั้น หากใช้ด้วยเจตนาร้าย นอกจากจะถูกสวรรค์ลงโทษแล้ว สำนักที่เกี่ยวข้องจะไม่อาจทำอะไรได้ ดังนั้นเยี่ยเทียนจึงต้องพูดกฎเกณฑ์ห้ามเผยแพร่สองข้อนี้


เห็นสีหน้าของเยี่ยเทียนจริงจัง จั่วเจียจวิ้นก็พยักหน้าอย่างหนักแน่น กล่าวว่า “ได้ ศิษย์น้องเยี่ย ศิษย์พี่จะจดจำใส่ใจ”


แม้ว่าตามรุ่นแล้วจะเป็นศิษย์พี่ของเยี่ยเทียน แต่ว่าเยี่ยเทียนเป็นเจ้าสำนักเสื้อป่านเทพพยากรณ์ คำพูดที่ออกมาจากปากของเยี่ยเทียนคือกฎของสำนัก จั่วเจียจวิ้นต้องฟังและทำตาม


เยี่ยเทียนเห็นบรรยากาศขุ่นเครียดก็หัวเราะออกมาแล้วโบกมือ กล่าวว่า “เอาเถอะ ศิษย์พี่ครับ คราวนี้พี่ก็ไม่กังวลแล้วใช่ไหม? หากชาญ ทองทวนกล้ามาฮ่องกงล่ะก็ ผมจะทำให้เขาไร้หนทางกลับไป!”


เดิมทีเยี่ยเทียนกับชาญ ทองทวนไม่มีความแค้นต่อกัน ทั้งไม่มีจิตคิดสังหาร แต่ว่าพอหลังจากรู้ว่า จั่วเจียจวิ้น ถูกนายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ลอบทำร้ายแล้ว เขาก็ตัดสินใจว่าจะรั้งอยู่ในฮ่องกง เพื่อสืบเสาะข่าวสารเสียก่อน


“เยี่ยเทียน ชาญ ทองทวนมีชื่อเสียงโด่งดังในภูมิภาคตะวันออกเฉียงใต้ นาย…นายต้องระวังตัวหน่อยล่ะ จากที่ฉันมอง ให้ถังเซิงอัน จัดหามือปืนสักสองสามคนอยู่ใกล้ๆ จะปลอดภัยกว่า”


จั่วเจียจวิ้นกลับไม่ได้มีความมั่นใจมากขนาดเยี่ยเทียน ในสายตาของเขา ต่อให้เยี่ยเทียนได้รับสืบทอด วิชาโรมรันจากอาจารย์ แต่ว่าเขาก็ยังอ่อนวัยอาจไม่สามารถเอาชนะชาญ ทองทวนได้


ที่สำคัญ การฝึกวรยุทธ์เหมือนกับพลังภายใน ล้วนต้องผ่านการสั่งสมฝึกฝนอย่างยากลำบากเป็นแรมเดือนแรมปี จึงจะสามารถนำวิชานั้นมาใช้ได้คล่องมืออย่างใจ เยี่ยเทียนอายุเพียงยี่สิบต้นๆ ต่อให้เขาแข็งแกร่งอย่างไรก็ยังมีขีดจำกัด


เยี่ยเทียนคาดไม่ถึงว่าหลังจากตนเองพูดถึงชาญ ทองทวนออกไปแล้ว ปฏิกิริยาของจั่วเจียจวิ้นจะรุนแรงปานนี้ นอกจากจะซาบซึ้งแล้วยังรู้สึกทั้งร้องไห้และหัวเราะไม่ออก ด้วยสถานะของเขาในปัจจุบัน หากใช้มือปืนรับมือชาญ ทองทวน เยี่ยเทียนคงไม่มีหน้าไปพบคนคนนั้นจริงๆ


หลังจากคิดอยู่สักพัก เยี่ยเทียนก็กล่าวว่า “ศิษย์พี่ วางใจเถอะ ค่ายกลสำนักเสื้อป่านของพวกเราก็ไม่ได้อ่อนด้อย เดี๋ยวผมวางค่ายกลสังหารแล้ว จะต้องทำให้ชาญ ทองทวนเข้ามาแล้วไร้ทางออกแน่นอน!”


“ใช้ค่ายกลเหรอ? เป็นความคิดที่ดี นายสามารถใช้ค่ายกลของอาจารย์ได้หมดเลยหรือเปล่า?”


ได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนแล้ว ดวงตาของจั่วเจียจวิ้นก็เป็นประกายขึ้นมา ในอดีตนั้นเขาเรียนการเสี่ยงทาย และภูมิลักษณ์พยากรณ์ ฮวงจุ้ยเป้นหลัก ไม่แตกฉานเรื่องค่ายกลนัก แต่นั่นก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อความเข้าใจ ของจั่วเจียจวิ้นที่มีต่อค่ายกล


การใช้ค่ายกลในยุคแรก ๆ นั้นเพื่อในการเผชิญหน้าระหว่างสองทัพในสมัยโบราณ หากกระทำถูกต้องจะ สามารถทำให้กำลังโจมตีของกองทัพแสดงแสนยานุภาพได้เต็มเปี่ยม


นายทัพมากมายหลงเหลือค่ายกลอันมีชื่อไว้ให้แก่คนรุ่นหลังอยู่บ้าง อย่างเช่นค่ายกลแปดทิศของขงเบ้ง ค่ายกลแตกทัพของเย่วเฟยเย่วอู่มู่และค่ายกลนกเป็ดน้ำของชีจี้กวงเป็นต้น ไม่มีชื่อใดที่ไม่ประสบผลเรืองโรจน์ ในยุคสมัยสงครามเย็น


อีกทั้งแบบแผนของค่ายกลในวิชาลับก็เป็นเช่นนี้ ใช้วิธีการอันละเอียดรอบคอบหาประโยชน์จากช่วงเวลา ที่ฟ้าดินเป็นใจ หยิบยืมเอาพลังพิโรธฟ้าดินรอบข้างมากวาดล้างเอาชนะศัตรู


อย่างเช่นที่หรูอวิ๋น หลงกงซุนเซิ่ง ทลายศาสตร์ชั่วร้ายในการวางผังแปดทิศของเกาเหลียน จนแตกพ่ายครั้งใหญ่ ในตำราเรื่อง “ชายฝั่งน้ำ” ความจริงก็ถือเป็นประเภทหนึ่งของค่ายกล เพียงแต่ไม่ได้เป็นที่รู้จักของผู้คนเท่านั้น


“ศิษย์พี่ วางใจเถอะ มีง้าวพระจันทร์เสี้ยวอยู่ ผมวางค่ายกลเก้าตำหนักพิฆาตอีกชั้น อย่าว่าแต่ชาญ ทองทวนเลย ต่อให้เป็นอาจารย์ของเขา นายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ พระชราผู้นั้น ผมก็ยังรับประกันได้ว่าเขาหนีไม่รอดแน่!”


หลังฝึกวรยุทธ์สู่การหลอมรวมพลังชี่เข้ากับจิตวิญญาณแล้ว ความสามารถในการนำศาสตร์ลับที่สืบทอดต่อกันมาใช้ ของเยี่ยเทียนก็มากขึ้นทุกวัน เยี่ยเทียนจึงไม่มีอะไรต้องหวาดกลัวต่อชาญ ทองทวน


แต่ว่าราชสีห์ต่อสู้กับกระต่ายก็ยังใช้แรงทั้งหมด เยี่ยเทียนเองก็ไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับศาสตร์การเล่นของมากนัก เขาจึงไม่ควรดูแคลนชาญ ทองทวน และวางกับดักใหญ่ล่อ


“ได้ ศิษย์น้อง พี่จะอยู่เป็นเพื่อน ร่วมต่อสู้กับศิษย์ของนายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์กันสักตั้ง!”


ได้ยินคำพูดอย่างนั้นของเยี่ยเทียน จั่วเจียจวิ้นก็ฮึกเหิมขึ้นมาก เขามีความแค้นต่อนายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธ์มายี่สิบปีกว่า มีหรือ จะไม่อยากกลบฝังความอับอายที่ได้รับเมื่อในอดีต?


“ท่านอา ท่านตา หนูเองก็จะอยู่ด้วย หนูจะช่วยพวกคุณต่อสู้!”


บทสนทนาระหว่างเยี่ยเทียนกับจั่วเจียจวิ้นทำให้แววตาของหลิวติงติงที่อยู่ด้านข้างส่องประกาย แต่ว่าทั้งๆ ที่คุณตาก็ยังไม่เคยมีประสบการณ์ เธอกลับยังคิดจะเข้าร่วมกับทุกคน เด็กสาวคนนี้นับตั้งแต่เกิดมา ไม่เคยรู้จักว่า อะไรคือความกลัวว


เยี่ยเทียนดึงสีหน้าเครียด ส่ายหัว “ไม่ได้ ติงติงเธอกลับไปก่อน สงครามเวทมนตร์ไม่ใช่สนามเด็กเล่น ถึงเวลาหากมีอะไรผิดพลาดกระทั่งฉันก็ช่วยเธอไม่ได้หรอก อีกอย่างเธออยู่ที่นี่ จะทำให้ฉันเสียสมาธิซะเปล่า!””


สาเหตุที่เยี่ยเทียนออกจากเมืองหลวงมายังฮ่องกง ไม่ใช่เพราะว่ากลัวสงครามคาถาอาคมระหว่างเขากับชาญ ทองทวน จะกระทบต่อครอบครัวหรือไง?


แม้ว่าตอนนี้หลิวติงติงจะเข้าสำนักแล้ว แต่ว่ายังไม่รู้อะไรเกี่ยวกับวิชาคาถาเลย อย่างมากก็แค่นับว่าเป็นคน ในยุทธภพ แต่ไม่ใช่คนมีคาถาอาคม ไม่อย่างนั้นเมื่อครู่คงไม่ถูกพลังชั่วร้ายของง้าวพระจันทร์เสี้ยวทำให้สับสนหรอก


“ไม่นะ ท่านอา ขอร้องล่ะ ขอให้หนูอยู่ลองดูสักครั้งเถอะ!” หลิวติงติงได้ยินแล้วก็มีสีหน้าโศกเศร้า ใช้สองมือกอดแขนเยี่ยเทียนเขย่าขื้นมา ไม่ต่างกับเด็กเอาแต่ใจอย่างไรอย่างนั้น


“บอกว่าไม่ได้ก็คือไม่ได้ ศิษย์พี่อย่างไรยังพอรู้วิชาอยู่บ้าง เธอยังไม่ได้เข้าสำนักด้วยซ้ำ ขืนอยู่มีแต่จะทำให้ฉันเสียสมาธิ!”


น้ำเสียงของเยี่ยเทียนจริงจังขึ้นเรื่อย ๆ “หลิวติงติง ถ้าเธอไม่ยอมเชื่อฟังล่ะก็ ฉันจะขับไล่เธอออกจากสำนักเสื้อป่านพยากรณ์ อนาคตอย่าหวังจะได้เรียนรู้วิชาอีกเลย!”


ต้องบอกว่าการกระทำนี้ของเยี่ยเทียนได้ผลดีจริง ๆ หลิวติงติงที่เดิมอยากจะไปออดอ้อนคุณตา พลันว่าง่ายขึ้นมาทันใด ปากบ่นพึมพำว่า “ไปก็ได้ ทำไมต้องดุกันด้วย?”


“อืม หากยังไม่ได้รับโทรศัพท์ของศิษย์พี่จั่ว ก็ไม่อนุญาตให้เธอกลับมา ไม่อย่างนั้นจะถือเป็นศิษย์คิดล้างครู เข้าใจแล้วใช่ไหม?”


เยี่ยเทียนจงใจใช้คำพูดรุนแรง เพราะว่าเขากลัวเด็กสาวคนนี้จะหลบซ่อนตัวอยู่ที่อื่น แม้ว่าจะเพิ่งรู้จักหลิวติงติงได้ไม่นาน เยี่ยเทียนก็สามารถดูออกได้ว่าเธอไม่ใช่เด็กว่านอนสอนง่าย


จั่วเจียจวิ้นเองก็ว่าตาม “ติงติงฟังคำของท่านอาไว้ ในอดีตตาของหลานเกือบต้องทิ้งชีวิตด้วยเหตุนี้ นี่ไม่ใช่เรื่องน่าสนุกหรอกนะ!”


แผนในใจของหลิวติงติงถูกเยี่ยเทียนเปิดโปงแล้ว จึงได้แต่พูดอย่างหงุดหงิด “รู้แล้วล่ะน่า คุณตา หนูจะกลับไปเดี๋ยวนี้แหละ พวก…พวกคุณก็ต้องระวังตัวด้วยนะ!”


“เอาเถอะ ฉันจะให้อาติงส่งเธอกลับไปเอง!”


เยี่ยเทียนเงยหน้าเห็นสีท้องฟ้าไม่เช้าแล้ว จึงออกไปร้องเรียกอาติง ให้เขาพาตัวหลิวติงติงส่งกลับไป ขณะเดียวกันก็กำชับอาติงว่าช่วงสองสามวันนี้ห้ามมาที่บ้านข้าวปลาอาหารให้โทรบอกโรงแรมให้มาส่งก็พอแล้ว


หลังจากไปส่งหลิวติงติงกลับมายังห้องรับแขกแล้ว เยี่ยเทียนหันไปพูดกับจั่วเจียจวิ้น “ศิษย์พี่ ผมถ่ายทอดวิชาปลุกเร้าพลังชั่วร้ายจากฟ้าดินให้พี่ก่อนดีกว่า”


……

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)