กระบี่จงมา 308.3-311.2
บทที่ 308.3 ใต้เปลือกตา ใต้ฝ่าเท้า
ProjectZyphon
หลิวจงคนลับมีดคือยอดฝีมือระดับขั้นสูงสุดของลัทธิมารสมชื่อ เขาชื่นชอบการสังหารผู้คน ชื่อเสียงด้านความโหดเหี้ยมเลื่องระบือไปทั่ว อยู่ในอันดับที่เจ็ด
ส่วนโจวเฝย บิดาของโจวซื่อก็ยิ่งเป็นมารร้ายตัวเป้งที่คนของฝ่ายธรรมะจำนวนนับไม่ถ้วนอยากจะฉีกหนังแล่เนื้ออย่างแท้จริง วรยุทธ์ของเขาสูงส่งมาก ทว่าคุณธรรมกลับต่ำเตี้ยเรี่ยดิน เขาสร้างตำหนักคลื่นวสันต์แห่งหนึ่งขึ้นมาเพื่อรวบรวมสาวงามในใต้หล้า นอกจากบุตรชายไม่กี่คนแล้ว คนหลายร้อยคนของตำหนักคลื่นวสันต์ก็ไม่มีบุรุษอยู่อีก ด้วยเหตุนี้โจวเฟยจึงคุยโวโอ้อวดว่าตนคือ ‘ราชาบนภูเขา เทพเซียนแห่งพื้นพสุธา’
แต่โจวเฟยที่ผู้คนเอือมระอาผู้นี้กลับอยู่ในอันดับที่สี่ อีกทั้งยังได้รับการยอมรับจากผู้คนว่าวิชาเหิงเลี่ยน (วิชาที่เน้นด้านการกลั้นลมหายใจเข้าออก แล้วใช้ต้านรับการทุบต่อยตี คล้ายคลึงกับอิ้งชี่กง มวยไทย) ของเขาเป็นหนึ่งในใต้หล้า ตอนที่ลู่ฝ่างยังหนุ่มเคยใช้กระบี่ประจำกายที่ชื่อว่า ‘เสามังกรวน’ แทงทะลุร่างกายของโจวเฝยได้สำเร็จสามครั้ง แต่โจวเฝยก็ยังปลอดภัยไม่เป็นอะไร พลังการต่อสู้เสียหายน้อยนิดจนแทบไม่ต้องนำมาคิดคำนวณก็ได้ หลังจากนั้นลู่ฝ่างก็เป็นฝ่ายถอยออกไปเอง
ลู่ฝ่างที่พกกระบี่บุกเข้าไปในตำหนักคลื่นวสันต์เพียงลำพังก็ต้องจ่ายค่าตอบแทนมหาศาลให้กับการกระทำที่ใช้อารมณ์ของตัวเองเช่นกัน ระยะเวลาสามปีที่เขาออกจากสำนักไปท่องเที่ยว คนหกร้อยคนในสำนักถูกโจวเฝยที่ไม่มีมาดของยอดฝีมือแม้แต่น้อยค่อยๆ ทรมานจนตายด้วยน้ำมือของเขา เล่าลือกันว่าอาจารย์แม่และศิษย์พี่หญิงศิษย์น้องหญิงหลายสิบคนของลู่ฝ่าง จนถึงทุกวันนี้ก็ยังเป็นสาวใช้อยู่ในตำหนักคลื่นวสันต์
ส่วนเรื่องที่ว่าเหตุใดลู่ฝ่างที่หลังกลับจากหาประสบการณ์แล้วได้ยินข่าวร้ายไม่ได้ขึ้นเขาไปท้าทายโจวเฝยอีกครั้ง ก็ได้กลายมาเป็นหนึ่งในความลับที่ใหญ่ที่สุดไม่กี่เรื่องของยุทธภพ เมื่อเอามารวมกับคำถามที่ว่า มารร้ายใหญ่ที่เป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้าผู้นั้นแข็งแกร่งมากเท่าไหร่ ถงชิงชิงแห่งหอจิ้งซินงดงามมากแค่ไหน อวี๋เจินอี้จะมีชีวิตอยู่ได้กี่ปี จึงกลายมาเป็นสี่ความลับใหญ่แห่งใต้หล้า
จากเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนไปถึงภูเขากู่หนิวนอกเมือง บนทางเส้นนี้มักมีเรื่องประหลาดเกิดขึ้นเสมอ
มีชายวัยกลางคนคนหนึ่งที่เดินทางไกลมาเป็นหมื่นลี้พาตัวเองที่มีกลิ่นเหล้าคลุ้งตลบเข้าเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนมาได้ก็เหมือนปลาได้น้ำ วันๆ เอาแต่ดื่มสุราเมาหัวราน้ำอยู่ในร้านเหล้าข้างถนน สุดท้ายจำต้องเอากระบี่ประจำตัวมาจำนำไว้ในร้านเหล้าด้วยราคาห้าตำลึงเงิน เถ้าแก่ร้านที่เป็นหญิงแต่งงานแล้วเห็นแก่เรือนกายของเขาที่ตึงแน่นไปด้วยกล้ามเนื้อ ตอนที่เขาหลับสามารถฉวยโอกาสลูบคลำได้ หาไม่แล้วแค่จ่ายให้สามตำลึงเงินก็ถือว่าเป็นราคาที่สูงเทียมฟ้าแล้ว
บนยอดเขากู่หนิว คนผู้หนึ่งที่มีใบหน้าใสซื่อบริสุทธิ์ ร่างกายเหมือนเด็กน้อย วันๆ ไม่มีอะไรทำก็เอาแต่ขัดพัดพับไม้ไผ่หยกให้เรียบรื่น และแม่ทัพบู๊แปดร้อยคนจากกองทหารรักษาพระองค์ของแคว้นหนันเยวี่ยนที่รับผิดชอบเฝ้าอยู่ตรงตีนเขา พอเห็นคนผู้นี้กลับพากันเรียกอย่างเคารพนอบน้อมว่าเจินเหรินผู้เฒ่าอวี๋
จวนองค์รัชทายาท ผู้เฒ่าหลังค่อมคนหนึ่งที่รับผิดชอบดูแลฝ่ายงานครัวกำลังเปิดฝาโอ่งใบใหญ่ที่บรรจุผักดองซึ่งยังดองได้ไม่เต็มที่ กลิ่นเปรี้ยวลอยมาปะทะจมูก ปากของเขาก็พึมพำว่าปีที่มีเรื่องมาก ปีที่มีเรื่องมาก
แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่าคนสามคนที่เข้ามาในวัดป๋ายเหอแต่ไม่ได้จุดธูปไหว้พระในค่ำคืนนี้ต้องมีน้ำหนักความสำคัญมากอย่างแน่นอน
ทว่าผู้เฒ่าแซ่ติงไม่ได้สนิทสนมกับหญิงสาวกับโจวซื่อจานหลางฮวามากนัก เพราะสิบแปดปีที่ผ่านมา ตำแหน่งบุคคลอันดันหนึ่งของใต้หล้ามั่นคงไม่สั่นคลอน ฆ่าคนแค่ดูที่ความชื่นชอบและอารมณ์ของตัวเองเท่านั้น คนมีชื่อเสียงในยุทธภพก็ฆ่า จักรพรรดิ เสนาบดี แม่ทัพก็ฆ่า คนชั่วช้าในยุทธภพที่มีมากมายจนบันทึกไม่หวาดไม่ไหวก็ฆ่า คนแก่ เด็ก สตรีและคนอ่อนแอที่อยู่ข้างทางก็ฆ่า ภายหลังได้ส่งมอบตำแหน่งเจ้าลัทธิให้กับลูกศิษย์เพียงคนเดียวที่เหลืออยู่เพราะคนอื่นๆ ถูกตนฆ่าทิ้งหมดแล้ว จากนั้นเขาก็หายตัวไป
แต่ในการประลองครั้งหนึ่งของยี่สิบปีให้หลังที่เขาออกไปจากยุทธภพ เขาก็ยังคงเป็นบุคคลอันดับหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย
มีข่าวลือในยุทธภพอย่างหนึ่งที่ฟังแล้วก็น่าขัน ว่ากันว่าเมื่อสหายสนิทเอ่ยถามเจ้าหอสองรุ่นของหอจิ้งหย่างที่มีหน้าที่รวบรวมข่าวลับและประเมินฝีมือสูงต่ำของปรมาจารย์ในยุทธภพโดยเฉพาะว่า ทำไมถึงไม่ปลดตำแหน่งมารร้ายติงที่ไม่รู้ว่าเป็นหรือตายออกจากตำแหน่ง คนทั้งสองกลับตอบด้วยประโยคที่เหมือนกันว่า ‘หากเขายังไม่ตาย ข้าก็คงต้องตาย’
ในตำหนักใหญ่เวลานี้ หญิงสาวเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “บิดาของเจ้าต้องการสาวงามอย่างเทพธิดาฝานเพียงคนเดียว ทว่าภายนอกกลับออกแรงมากที่สุด ระดมผู้คนจำนวนมากมายขนาดนี้ ไม่รู้สึกว่าขาดทุนบ้างเลยจริงๆ หรือ?”
โจวซื่อยิ้มจืดเจื่อน “ท่านพ่อข้านิสัยเป็นอย่างไร เจ้ายังไม่รู้อีกหรือ? หากพูดให้น่าฟังสักหน่อยก็รักสาวงามไม่รักบ้านเมือง แต่หากพูดไม่น่าฟังก็คือบ้ากามจนลืมชีวิต หากไม่เป็นเพราะจ้งชิวอาศัยอยู่ข้างวังหลวงแคว้นหนันเยวี่ยน เขาก็คงเข้าวังไปชิงตัวโจวฮองเฮามาแล้ว”
หญิงสาวยื่นมือมาคลึงข้างแก้ม พูดเหมือนสงสารตัวเอง “ฝานกว่านเอ่อร์ โจวซูเจิน คนหนึ่งคือสาวงามอันดับหนึ่งของปัจจุบัน อีกคนหนึ่งคือโฉมสะคราญอันดับหนึ่งในใต้หล้าของเมื่อยี่สิบปีก่อน สายตาของบิดาเจ้าสูงจริงๆ มิน่าเล่าถึงได้เข้าตาเขาผู้อาวุโส ต่อให้ได้พบหน้ากันแล้ว ได้ดื่มชาด้วยกันก็ยังเกรงอกเกรงใจ มองไม่ละสายตา”
โจวซื่อหัวเราะจืดชืด
หญิงสาวถามยิ้มๆ ว่า “เหตุใดบิดาของเจ้าถึงไม่อยากได้ถงชิงชิงบ้างเล่า?”
โจวซื่อแหงนหน้ามองพระพุทธรูปองค์ที่ถลึงตามองโลกมนุษย์อย่างน่าเกรงขาม มือเลื่อนลูกประคำไม่หยุด เอ่ยเสียงเบาว่า “ท่านพ่อข้าบอกว่าอาหารอร่อยหนึ่งมื้อ ไม่กลัวว่าจะร้อนลวกปาก ต่อให้ปากเป็นแผลก็ยังคุ้มค่า แต่หากเป็นอาหารอร่อยที่ถูกกำหนดมาแล้วว่าต้องร้อนลวกกระเพาะและลำไส้ ต่อให้อยากกินแค่ไหนก็อย่าไปแตะต้อง”
ผู้เฒ่าที่ยืนเอามือไพล่หลังได้ยินประโยคนี้ก็กระตุกมุมปาก กวาดตามองรอบด้านแล้วเอ่ยเสียงเบาว่า “ไปกันเถอะ ร่างทองไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว”
สตรีงดงามและโจวซื่อต่างก็ไม่มีความเห็นต่าง แล้วก็ไม่กล้าเกิดความกังขาแม้แต่น้อย อย่าเห็นว่าหญิงสาวพร่ำเรียกอีกฝ่ายว่า ‘อาจารย์ปู่’ ฟังดูใกล้ชิดสนิทสนมอย่างมาก แต่ในความเป็นจริงแล้วนางอกสั่นขวัญแขวน กลัวว่าหากไม่ทันระวังก็อาจจะถูกผู้เฒ่าตบให้กะโหลกศีรษะแตก โจวซื่อเองก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันสักเท่าไหร่ บิดาอย่างโจวเฝยอย่างมากก็เป็นได้แค่ยันต์คุ้มกันกายแผ่นหนึ่งที่จะมีหรือไม่มีก็ได้ อยู่ไกลเกินกว่าจะกลายเป็นยันต์คุ้มกันชีวิตที่แท้จริงได้
ผู้เฒ่าที่ไม่ว่าจะขยับตัวเคลื่อนไหวทำอะไรก็ราวกับจะสอดประสานเป็นหนึ่งกับฟ้าดิน ขณะที่กำลังจะก้าวเท้าออกจากธรณีประตู เท้าของเขาหยุดชะงักเล็กน้อย
แค่การกระทำเล็กๆ ที่ไม่สะดุดตานี้ก็ทำให้ลมหายใจของหญิงสาวและโจวซื่อยุ่งเหยิง อึดอัดในหน้าอก เหงื่อผุดมาตามหน้าผาก หยุดยืนนิ่งไม่กล้ากระดุกกระดิก
แต่จากนั้นผู้เฒ่าก็เพิ่มความเร็วฝีเท้า ก้าวออกจากธรณีประตู เดินลงบันไดไป
คนหนุ่มสาวที่มีพรสวรรค์ในการฝึกวรยุทธ์สองคนซึ่งมีชื่อเสียงที่ยิ่งใหญ่ในยุทธภพรู้สึกว่าเลือดลมกลับมาโลดแล่นว่องไวอีกครั้ง สาวเท้าเร็วๆ ตามผู้เฒ่าไปอย่างห้ามไม่ได้ราวกับเป็นหุ่นเชิดที่ถูกชักใย
ผู้เฒ่าเงยหน้ามองสีท้องฟ้าแล้วเอ่ยยิ้มๆ ว่า “เมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนแห่งนี้ เมื่อเทียบกับหกสิบปีก่อน น่าสนใจเพิ่มขึ้นแล้ว”
สองคนที่อยู่ด้านหลังมองสบตากัน ต่างก็รู้สึกว่าคำพูดนี้มีความหมายลึกซึ้งแฝงอยู่
อากาศยามค่ำคืนเย็นฉ่ำดุจสายน้ำ
เฉินผิงอันเปลี่ยนจากท่านอนเป็นท่านั่ง เขาพนมสิบนิ้วเข้าด้วยกันคล้ายต้องการขอขมาพระพุทธรูปทั้งสามองค์ว่าอย่าได้ขุ่นเคืองที่ตนไม่ให้ความเคารพ
ผู้เฒ่าแซ่ติงคนนั้นร้ายกาจมาก
เฉินผิงอันพลันหันกลับไปนอนตะแคงอีกครั้ง ไม่นานก็มีเงาร่างสองสายที่เหมือนควันเขียวเบาบางพุ่งมาถึง
เป็นคู่กุมารทองกุมารีหยกที่ยอดเยี่ยมคู่หนึ่ง หญิงสาวผู้นี้ ไม่ว่าจะเป็นหน้าตาหรือท่วงท่าก็ล้วนเหนือกว่าหญิงสาวสวมรองเท้าไม้เกี๊ยะคนก่อนหน้านี้หนึ่งระดับ
บุรุษอายุประมาณสามสิบต้นๆ สะโอดสะองค์ดุจต้นไม้หยก สวมอาภรณ์ลักษณะโบราณแต่สง่างาม ท่วงท่าองอาจผึ่งผาย ทั่วกายแผ่กลิ่นอายสูงศักดิ์ของเชื้อพระวงศ์
เขาเอ่ยยิ้มๆ ด้วยสำเนียงเมืองหลวงที่ถูกต้องชัดเจน “เทพธิดาฝาน เป็นอย่างที่เจ้าพูดไว้ก่อนหน้านี้ นิสัยของมารเฒ่าติงผู้นี้แปลกประหลาดอย่างแท้จริง เมื่อครู่นี้ทั้งๆ ที่เขาเห็นพวกเราสองคน แต่กลับไม่คิดจะลงมือ”
หญิงสาวที่ลักษณะสูงส่งเหนือโลกีย์เหมือนดอกกล้วยไม้ที่เติบท่ามกลางป่าเขา หน้าตางดงามจนไร้เหตุผล สาวงามทั่วไปที่ได้เห็นคนผู้นี้เป็นครั้งแรกคงต้องรู้สึกละอายใจที่ตัวเองสู้ไม่ได้ บุรุษทั่วไปที่ได้พบเห็นก็คงถึงขั้นไม่กล้ามีใจคิดอยากครอบครอง เพราะรู้ดีว่าตัวเองไม่คู่ควร
ได้ยินประโยคนี้ของบุรุษ นางจึงกล่าวว่า “เจ้าลัทธิเฒ่าผู้นี้รู้สึกดูแคลนเกินกว่าจะลงมือกับพวกเรา”
บุรุษเอ่ยยิ้มๆ “ข้าจะรับสักกระบวนท่าของเขาไม่ได้เชียวหรือ? คงไม่ถึงขั้นนั้นกระมัง จะดีจะชั่วอาจารย์ของข้าก็คือบุคคลเพียงหยิบมือที่ไล่ตามหลังสิบผู้ยิ่งใหญ่ไปติดๆ ตอนนี้เวลาข้าประมือกับอาจารย์ก็พอจะมีโอกาสชนะสองสามส่วนแล้ว”
หญิงสาวส่ายหน้า “องค์ชายย่อมต้องมีพรสวรรค์ดีเลิศอยู่แล้ว แต่การเข่นฆ่าระหว่างปรมาจารย์ในยุทธภพกับการประลองวรยุทธ์แตกต่างกันราวฟ้ากับเหว องค์ชายโปรดอย่าได้ดูแคลนยุทธภพแห่งนี้ ต่อให้เผชิญหน้ากับยอดฝีมือระดับสอง ไม่ถึงนาทีสุดท้ายก็ห้ามประมาทเด็ดขาด”
การที่เทพธิดาผู้นี้เป็นห่วงตน ทำให้บุรุษรู้สึกปิติยินดีจากใจจริง เพียงแต่เพราะเกิดมาในตระกูลเชื้อพระวงศ์จึงถูกอบรมสั่งสอนให้รู้จักเก็บอารมณ์ความรู้สึกมานานแล้ว เขาจึงแค่พยักหน้ารับ ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ข้าจำไว้แล้ว วันหน้าเวลาประมือกับศัตรูจะต้องนึกถึงคำพูดประโยคนี้ของเทพธิดาฝาน แล้วใคร่ครวญดูให้ดีค่อยลงมือก็ยังไม่สาย”
หญิงสาวแซ่ฝานเพียงยิ้มรับ ไม่ได้เอ่ยคำใด
การเกี้ยวพาราสีที่คลุมเครือและแฝงไว้ด้วยอุบายเล็กน้อยนี้ของบุรุษ นางท่องอยู่ในยุทธภพเพียงลำพังมานานถึงหกปี ไม่มีทางสนใจ และแน่นอนว่ายิ่งไม่มีทางหวั่นไหว
จู่ๆ นางก็เอ่ยเสียงเย็น “ออกมาเถอะ!”
บุรุษหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย ทะเลสาบในหัวใจสั่นสะเทือน สามารถอำพรางตัวมาถึงตอนนี้โดยที่ไม่ถูกจับได้ อย่างน้อยก็ต้องเป็นคนที่ฝีมือใกล้เคียงกับพวกเขาสองคน
เขาและหญิงสาวเดินสำรวจตรวจตราไปทั่วทุกมุมของตำหนักใหญ่
ครู่หนึ่งต่อมา เทพธิดาฝานผ่อนลมหายใจโล่งอก คลี่ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ให้องค์ชายทอดพระเนตรเรื่องตลกแล้ว เดินทางอยู่ในยุทธภพ ระมัดระวังขับเรือได้หมื่นปี”
บุรุษรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก แล้วก็หัวเราะขำอย่างอดไม่อยู่ เขาเบี่ยงตัวเล็กน้อย กุมหมัดคารวะเลียนแบบคนในยุทธภพ “คำสอนของเทพธิดา ข้าน้อยจดจำไว้แล้ว”
หญิงสาวเองก็หัวเราะตามไปด้วย
หลังจากนั้นคนทั้งสองก็ไปค้นหาแถวๆ พระพุทธรูปทั้งสามองค์ เมื่อไม่ค้นพบกลไกลับอะไรก็ได้แต่กลับไปจากวัดป๋ายเหอมือเปล่าเหมือนสามคนก่อนหน้านี้
บนเสาคานต้นหนึ่งที่วางพาดขวางเกิดริ้วคลื่นกระเพื่อม ก่อนจะค่อยๆ ปรากฏเป็นสีขาวหิมะให้เห็น ที่แท้ชุดคลุมอาคมจินหลี่ตัวนั้นก็ขยายใหญ่ยิ่งกว่าเดิมจนเฉินผิงอันหดตัวเข้าไปหลบอยู่ข้างในได้ และนี่ก็ถือเป็นเวทอำพรางตาที่ไม่เข้าขั้นอย่างหนึ่งซึ่งเฉินผิงอันใคร่ครวญออกมาได้เอง สำหรับคนในยุทธภพแล้วใช้ได้ผลดียิ่ง ก็แค่ไม่มีมาดของยอดฝีมือและท่วงท่าของตระกูลเซียนมากพอเท่านั้น
เฉินผิงอันนั่งอยู่บนเสาคาน กำลังจะปลดน้ำเต้าลงมาดื่มเหล้าพลันนึกขึ้นได้ว่าตนเองอยู่ในตำหนักใหญ่ของวัด จึงหดมือกลับ พลิ้วกายลงบนพื้นแล้วออกไปจากวัดป๋ายเหอ
เพิ่งจะเดินไปถึงธรณีประตูของตำหนักใหญ่ก็เห็นว่าห่างไปไกล หญิงสาวหน้าตางดงามแซ่ฝานคนนั้นกำลังมองเขาด้วยสายตาเย็นชา
เฉินผิงอันหยุดเดิน
หญิงสาวคนนั้นทั้งไม่พูดอะไร แล้วก็ไม่ได้ออกกระบวนท่าโจมตี แค่จ้องมองเฉินผิงอันอย่างเดียวเท่านั้น
เฉินผิงอันรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย
แม่นาง เจ้ามองอะไรกัน ข้ามีแม่นางที่ชอบอยู่แล้ว
นางสวยกว่าเจ้าตั้งเยอะ! อย่างน้อยข้าเฉินผิงอันก็คิดอย่างนี้
แต่เฉินผิงอันก็ต้องแยกเขี้ยวให้ตัวเอง เพราะอันที่จริงแม่นางที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ก็สวยมากจริงๆ
แต่แม่นาง ต่อให้เจ้าสวย มันก็เป็นเรื่องของเจ้า มันคงไม่ใช่เหตุผลให้เจ้าเอามาใช้จ้องมองข้าอย่างโง่งมแบบนี้กระมัง?
เฉินผิงอันไม่อยากจะเสียเวลากับนางต่อ ด้วยกลัวว่าไต่ผนังวิ่งบนหลังคาจะถอนตัวออกจากตรงนี้ได้ยากจึงใช้ยันต์ย่อพื้นที่หนึ่งแผ่นพาตัวเองออกไปจากวัดป๋ายเหอเสียเลย
หญิงสาวผู้นั้นเผยอปากเล็กน้อย ใบหน้าเต็มไปด้วยความตื่นตะลึง หรือว่าเป็นประมาจารย์ผู้อาวุโสท่านใดในยุทธภพที่ซ่อนตัวจากโลกภายนอก?
เฉินผิงอันออกมาจากวัดป๋ายเหอได้ไม่นานเท่าไหร่ สายตาก็ถูกถนนคักคักที่แสงไฟสว่างไสวดึงดูด กลิ่นหอมเข้มข้นโชยมาแตะจมูก เขาจึ่งวิ่งไปที่ร้านแผงลอย กินอาหารชนิดหนึ่งที่ทั้งร้อนทั้งชาทั้งเผ็ดไปหนึ่งถ้วย
ผลคือเฉินผิงอันสังเกตเห็นว่าข้างกายตัวเองมีแม่นางงดงามคนหนึ่งกำลังยืนมองเขาปากอ้าตาค้างอีกแล้ว
บทที่ 309.1 ปราณสังหารซ่อนอยู่ทั่ว
ProjectZyphon
ยังคงเป็นหญิงสาวแซ่ฝานคนนั้น มองปราดๆ นางเหมือนคนสวมชุดเรียบง่าย แต่หากมองอย่างละเอียดก็จะสังเกตเห็นว่าบนอาภรณ์ปักลายเมฆาวารีสมปรารถนา เมื่อแสงจันทร์บนท้องนภาและแสงโคมไฟบนถนนสาดส่องลงมาก็คล้ายผลุบคล้ายโผล่ คำกล่าวที่ว่าร่ำรวยสะดุดตา สูงส่งเลอค่าก็เป็นเช่นนี้เอง
แต่ว่านางในเวลานี้น่าจะสวมหน้ากากหนังมนุษย์ แค่หน้าตาคล้ายคลึงก่อนหน้านี้แค่ห้าหกส่วนเท่านั้น จึงไม่ถึงกับทำให้พวกชาวบ้านตื่นตะลึงจนเกินไป
นางยังคงเพ่งมองเฉินผิงอันเขม็ง เฉินผิงอันวางชามและตะเกียบลง จำต้องถามว่า “มาหาข้ามีธุระหรือ?”
นางพลันยื่นมือมาคลึงขมับ กวาดตามองรอบด้าน ขมวดคิ้วแน่น
คนที่มากินอาหารโต๊ะด้านข้างทะเลาะกับผู้อื่นจึงด่าทอกัน ตบโต๊ะถลึงตาดุดัน ท่าทางเอาเรื่องน่ากลัว ชี้หน้าอีกฝ่ายด่าอย่างเดือดดาลว่านังหญิงคณิกา นังแม่เล้า เรื่องเดิมไม่ทำเกินสามครั้ง หากเจ้ายังไม่ยอมจบ ข้าผู้อาวุโสก็จะไปเปิดหอนางโลมที่บ้านเจ้ามันซะเลย
ทั้งสองฝ่ายเถียงกันด้วยสำเนียงคนเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนที่เข้มข้น คำพูดทั้งระคายหูทั้งเลื่อนเปื้อน
หญิงชาวใช้ท้องนิ้วข้างหนึ่งนวดคลึงจุดไท่หยางเบาๆ สีหน้ากลับคืนมาเป็นปกติ ดวงตาเต็มไปด้วยความสงสัยใคร่รู้และวาดฝัน ใช้การรวมเสียงเป็นเส้นของผู้ฝึกยุทธ์ในยุทธภพมาเอ่ยถาม “คุณชายท่านนี้ ท่านคือ…เจ๋อเซียนหรือ?”
เฉินผิงอันหลุดหัวเราะพรืด ส่ายหน้ากล่าวว่า “ข้าเป็นแค่คนต่างถิ่นคนหนึ่งที่มาท่องเที่ยวแคว้นหนันเยวี่ยน ไม่ใช่เจ๋อเซียนอะไรอย่างที่แม่นางพูดหรอก”
หญิงสาวคนนั้นรู้สึกเสียดายเล็กน้อย กล่าวขออภัย “รบกวนแล้ว ขอคุณชายโปรดอภัย”
เฉินผิงอันโบกมือ “ไม่เป็นไร”
นางลังเลอยู่ชั่วขณะ แต่ก็ยังกล่าวเตือนว่า “ช่วงนี้เมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนไม่ค่อยสงบเท่าไหร่นัก คุณชายคือมังกรคือหงส์ในกลุ่มคน ง่ายที่จะถูกคนจับตามอง หวังว่าคุณชายจะระวังตัวมากขึ้น”
เฉินผิงอันกุมมือคารวะ “ขอบคุณแม่นางฝาน”
ฝานกว่านเอ่อร์ก็ไม่ใช่คนอืดอาดยืดยาด พูดจบก็ไปจากตลาดของกินตอนกลางคืนที่คลาคล่ำไปด้วยผู้คนแห่งนี้ อันธพาลบางคนคิดจะฉวยโอกาสแต๊ะอั๋งนาง เพียงแต่ว่าทุกครั้งที่พวกเขาลงมือ นางจะต้องหลบได้อย่างพอดิบพอดีเสมอ ประหนึ่งปลาตัวหนึ่งที่ว่ายไปตามร่องหินในธารน้ำ เฉินผิงอันสงสัยเล็กน้อย ตามคำบอกของผู้เฒ่าบนเรือนไม้ไผ่ ผู้ฝึกยุทธ์พรสวรรค์ดีหรือไม่ต้องดูที่ว่าจะสามารถหล่อเลี้ยงปณิธานหมัดที่สูงส่งที่สุดจากกระบวนท่าหมัดที่ต่ำชั้นที่สุดได้หรือไม่ และนี่ก็คือหนึ่งในเหตุผลที่เขาเลือกเฉินผิงอันตอนนั้น
แต่ผู้เฒ่าแซ่ชุยเป็นคนรักหน้าตาของตัวเอง ไม่เต็มใจยอมรับว่าแท้จริงแล้ว ‘หมัดเขย่าขุนเขา’ ก็มีหลายจุดที่เอามาใช้ประโยชน์ได้ เฉินผิงอันก็แค่ไม่อยากเปิดโปงเขาเท่านั้น
หากดูจากบทสนทนาระหว่างผู้เฒ่าแซ่ติง ยาเอ๋อร์และจวนฮวาหลางโจวซื่อก่อนหน้านี้ หญิงสาวประหลาดที่ไม่เคยรู้จักมักจี่ แต่กลับมาหาตนถึงสองครั้งนี้ผู้นี้น่าจะเป็นฝานกว่านเอ่อร์ที่ชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วใต้หล้าคนนั้น หากเอาไปวางไว้ที่แจกันสมบัติทวีปบ้านเกิด นางก็มีตำแหน่งเทียบเท่าได้กับเฮ้อเสี่ยวเหลียงสตรีอันดับหนึ่งแห่งสำนักโองการเทพ
เห็นๆ อยู่ว่าฝานกว่านเอ่อร์ ‘เข้าใกล้มรรคา’ แล้ว แต่เหตุใดตบะวรยุทธ์ของทั้งร่างถึงเหมือนถูกหินก้อนใหญ่หนักหมื่นชั่งก้อนหนึ่งกดทับจึงขยับขึ้นไปไม่ได้สักที?
พลังอำนาจของทั้งร่างสามารถอำพรางไว้ได้ สามารถทำให้กลับคืนสู่รูปลักษณ์ดั้งเดิมได้ แต่หากได้อยู่ด้วยกันนานเข้า จิตวิญญาณภายในไม่อาจโกหกใคร ความช้าเร็วของทุกลมหายใจ จังหวะการขยับมือยกเท้ามักจะเปิดเผยความลับสวรรค์ออกมาเสมอ
ก่อนหน้านี้ผู้เฒ่าแซ่ติงที่บนศีรษะสวมกวานดอกบัวสีเงินมองดูเหมือนก้าวเดินเข้ามาในตำหนักใหญ่ของวัดป๋ายเหออย่างเรื่อยเฉื่อย แต่เฉินผิงอันกลับสัมผัสได้ถึงความผิดปกติของฟ้าดินในทันที
เฉินผิงอันเป็นคนที่เดินออกมาจากถ้ำสวรรค์หลีจู เคยเห็นบุคคลบนยอดเขามาแล้วไม่น้อย หากเป็นบุคคลที่ทำให้เฉินผิงอันรู้สึกว่า ‘ร้ายกาจมาก’ ได้ ย่อมต้องไม่ธรรมดา คนที่ป้อนหมัดเขาบนเรือนไม้ไผ่ภูเขาลั่วพั่วเคยเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสิบขั้นสูงสุดคนหนึ่ง คนที่ป้อนกระบี่เขาบนเกาะกุ้ยฮวา ดีชั่วก็เป็นถึงโอสถทองเฒ่าท่านหนึ่ง
หลังจากที่ร่างของฝานกว่านเอ่อร์หายไป เฉินผิงอันครุ่นคิดแล้วก็ออกไปจากตลาดกลางคืนแห่งนี้เช่นกัน
เมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนแบ่งออกเป็นตรอกเล็กใหญ่ทั้งหมดแปดสิบเอ็ดตรอก โครงสร้างและรูปแบบโดยภาพรวมแล้วไม่ต่างจากแคว้นหัวเมืองมากมายที่เฉินผิงอันเคยเดินทางผ่านมา เมืองที่ถูกขนานนามให้เป็นนครที่ดีที่สุดของใต้หล้าแห่งนี้ เหนือรวย ใต้ยากจน ตะวันออกบู๊ ตะวันตกบุ๋น วัดป๋ายเหอตั้งอยู่ทางตะวันตกของเมือง ส่วนใหญ่ล้วนเป็นที่พักของขุนนางฝ่ายบุ๋นชั้นกลางและพวกพ่อค้าที่มีฐานะ สามารถมองเห็นงานศิลปะได้ทุกที่
เวลานี้เฉินผิงอันกำลังเดินอยู่บนสะพานหินโค้งแห่งหนึ่ง กลางดึกไร้ผู้คน เฉินผิงอันกระโดดขึ้นไปบนราวสะพานเบาๆ เดินไปถึงตรงส่วนที่สูงสุดของสะพานโค้งหินเขียว เฉินผิงอันมองลำคลองสายเล็กใต้ฝ่าเท้าที่สายน้ำไหลริน ด้านล่างมีรูปปั้นสัตว์น้ำตัวหนึ่งตั้งอยู่ ลักษณะคล้ายเจียวหลง ไม่ใช่สิ่งที่พบเห็นได้ยากนัก
เมืองที่เจริญรุ่งเรืองหลายแห่งของแจกันสมบัติทวีป บนหัวเสาหรือบนหินของประตูมังกรทรงโค้งก็ล้วนมีสัตว์น้ำที่ใช้กำราบภูตประหลาดในน้ำประเภทนี้เฝ้าพิทักษ์อยู่เสมอ แต่เฉินผิงอันกลับสัมผัสไม่ได้ถึงปราณวิญญาณจากสัตว์น้ำโบราณตัวนี้เลยแม้แต่เสี้ยวเดียว ราวกับว่ามันเป็นเพียงแค่เครื่องประดับ เป็นแค่ของตกแต่งชิ้นหนึ่งเท่านั้น
ในขณะที่เฉินผิงอันกำลังยืนเหม่อมองน้ำ ฝานกว่านเอ่อร์เทพธิดาที่มีชาติกำเนิดมาจากหอจิ้งซินก็ได้มาเจอกับเว่ยเหยี่ยน องค์รัชทายาทแคว้นหนันเยวี่ยนที่เดิมทีควรกลับวังหลวงไปแล้ว
แม้ว่าคนผู้นี้จะเป็นเชื้อพระวงศ์ที่สูงศักดิ์ แต่กลับเป็นยอดฝีมืออายุน้อยที่เหมือนน้ำนิ่งไหลลึก อาจารย์ผู้มีพระคุณที่ถ่ายทอดวิถีวรยุทธ์ให้แก่เขาคือปรมาจารย์อาวุโสท่านหนึ่งที่ถูกเนรเทศจากด่านทางเหนือมาที่แคว้นหนันเยวี่ยน ซึ่งก็คือคนเพียงหยิบมือของทุกวันนี้ที่อยู่ใกล้กับยอดฝีมือใหญ่สิบท่านมากที่สุด อาจารย์ของรัชทายาทเว่ยเหยี่ยนมีความแค้นที่ไม่อาจอยู่ร่วมโลกกับชุยฮวาเหมินหนึ่งในสามลัทธิมาร ดังนั้นองค์รัชทายาทที่สถานะสูงศักดิ์ท่านนี้จึงถูกพรรคต่างๆ ในยุทธภพและหอจิ้งซินมองเป็นคนของฝ่ายธรรมะไปด้วย อีกทั้งเขายังเป็นคนที่มีหวังว่าจะได้เป็นผู้นำยุทธภพรุ่นต่อไป หอจิ้งซินจึงถึงขั้นมีประสงค์อยากจะช่วยเหลือเขาให้ได้เป็นกษัตริย์คนต่อไปของแคว้นหนันเยวี่ยน
ส่วนยาเอ๋อร์คนของลัทธิมารผู้นั้นกลับแอบสนับสนุนเว่ยฉงน้องชายของเว่ยเหยี่ยนอย่างลับๆ ทั้งสองฝ่ายวางอุบายขุดหลุมพรางหลอกลวงกันไปมา ช่วงชิงความโปรดปรานจากฮ่องเต้เฒ่าของแคว้นหนันเยวี่ยนมาห้าหกปีแล้ว
ฝานกว่านเอ่อร์และเว่ยเหยี่ยนเดินเล่นด้วยกันท่ามกลางราตรีที่เงียบสงบ เว่ยเหยี่ยนเอ่ยเบาๆ ว่า “เทพธิดาฝาน หากเจ้าพบเจอคนผู้นั้น อันที่จริงไม่จำเป็นต้องปิดบังข้า เขาสามารถหลบซ่อนตัวอยู่ในตำหนักใหญ่ของวัดป๋ายเหอได้โดยที่พวกเราไม่รู้ถึงการดำรงอยู่ของเขา แสดงว่าต้องไม่ใช่คนบ้าบิ่นในยุทธภพทั่วไปแน่นอน หากเขาเป็นคนจากลัทธิมาร แล้วเกิดเรื่องขึ้นกับเจ้า จะทำอย่างไร?”
ฝานกว่านเอ่อร์ไม่ต้องการให้เว่ยเหยี่ยนซึ่งเป็นว่าที่ฮ่องเต้แคว้นหนันเยวี่ยนเกิดความกังขาในใจจึงยิ้มบางๆ กล่าวว่า “องค์ชาย ท่านรู้สึกว่าองค์เองกับกว่านเอ่อร์ และยังมีชิงยาเอ๋อร์ (อีกาดำ) ที่ไม่รู้ชื่อแซ่แท้จริง โจวซื่อจานฮวาหลางแห่งตำหนักคลื่นวสันต์ บวกกับยอดฝีมืออีกหกคนที่อายุพอๆ กัน รวมกันแล้วสิบคน หากให้ต้องเปรียบเทียบกับยอดฝีมือใหญ่แห่งใต้หล้าทั้งสิบท่านอยู่ไกลๆ ในบรรดาพวกเราสิบคน วิถีวรยุทธ์ของใครสูงที่สุด?”
สำหรับเรื่องนี้เว่ยเหยี่ยนมีคำตอบในใจมานานแล้ว นอกจากจะมีอาจารย์ที่ดี เขายังเป็นรัชทายาทของหนึ่งแคว้น สายสืบของเขากระจายตัวไปทั่วหล้า ต่อให้จะไม่เคยท่องยุทธภพมาก่อน แต่ก็รู้ความลับในยุทธภพอย่างละเอียดมานานแล้ว เว่ยเหยี่ยนไม่ต้องคิดให้มากความก็พูดจ้อทันที “ใครจะเป็นผู้นำ ยังบอกได้ยาก แต่หากเป็นสามอันดับแรกกลับถูกกำหนดไว้นานแล้ว ศึกตัดสินเป็นตาย ศัตรูพบกันบนทางแคบ ใครเป็นใครตายก็ต้องดูว่าใครเชี่ยวชาญในการช่วงชิงความได้เปรียบที่มองไม่เห็นมากที่สุด ฟ้าอำนวย ดินอวยพร คนสามัคคี ใครที่ได้ครอบครองมากกว่าก็คือคนชนะ”
กล่าวมาถึงตรงนี้ เว่ยเหยี่ยนก็ชำเลืองมองไปด้านหลังของหญิงสาว ออกมาคืนนี้ ฝานกว่านเอ่อร์ไม่ได้พกอาวุธมาด้วย เขาเอ่ยยิ้มๆ ว่า “เทพธิดาฝานเชี่ยวชาญเวทวานรขาวสะพายกระบี่ที่หายสาบสูญไปนานแล้วของหอจิ้งซินและพรรคหูซาน ความรู้ของอริยะสามลัทธิก็รอบรู้ แน่นอนว่าสามารถอยู่ในสามอันดับแรกได้ อาจารย์ของข้าเคยกล่าวชมเชยเทพธิดาจากใจจริงว่า มีหรือไม่มีกระบี่สะพายอยู่ด้านหลัง คือฝานกว่านเอ่อร์สองคน”
ฝานกว่านเอ่อร์ยิ้มตอบ “องค์ชายตรัสชมกันเกินไปแล้ว”
เว่ยเหยี่ยนเอามือข้างหนึ่งไพล่หลัง อีกมือหนึ่งเคาะลงบนเข็มขัดหยกตรงเอวเบาๆ “ยาเอ๋อร์ของลัทธิมารผู้นั้น ตอนที่นางเพิ่งเข้ามาเมืองหลวง ด้วยนิสัยจองหองหยิ่งยโสจึงกล้าวิ่งไปหาราชครู เลยต้องกินหมัดหนึ่งของราชครูไป แต่การที่นางแค่บาดเจ็บแต่ไม่ตาย คนบนโลกต่างก็รู้สึกว่านางโชคดี ทว่าเสด็จพ่อเคยตรัสกับข้า และราชครูก็เคยบอกว่าแม่นางน้อยคนนั้นมีพรสวรรค์ในการเรียนวรยุทธ์สูงส่งจนสามารถเป็นลู่ฝ่างในแบบของสตรีได้เลย”
“คนสุดท้ายน่าจะเป็นเฝิงชิงป๋ายที่ไม่รู้ที่มาคนนั้น สิบปีมานี้เขาโดดเด่นขึ้นมาอย่างกะทันหัน ตัวตนหรือสำนักของเขาล้วนไม่มีใครสืบหาเบาะแสได้ ชอบท่องพเนจรไปทั่ว ท้าทายปรมาจารย์ยอดฝีมือของแต่ละแห่งไม่หยุด รู้แค่ว่าคนผู้นี้พัฒนาอย่างก้าวกระโดด ดูจากการเลือกคู่ต่อสู้ของเขาก็จะรู้ได้ว่า จากที่เป็นคนนอกวงการซึ่งพอจะมีความรู้งูๆ ปลาๆ เวลาสั้นๆ เพียงแค่สิบปีเขาก็สามารถกลายมาเป็นยอดฝีมือระดับหนึ่งของโลกได้แล้ว”
กล่าวประโยคเหล่านี้จบ เว่ยเหยี่ยนก็หันหน้ามาถามว่า “เทพธิดาฝาน หรือว่าในอีกเจ็ดคนที่เหลือ ยังมีคนที่อำพรางตัวได้ลึกล้ำยิ่งกว่านี้?”
ฝานกว่านเอ่อร์เอาสองมือไพล่หลังเดินไปบนสะพานเล็กที่เงียบสงัดไร้ผู้คน พอขยับเข้าใกล้ราวสะพานก็ใช้มือตบศีรษะของสิงโตหินตัวเล็กที่สลักไว้ด้านบนครั้งแล้วครั้งเล่า นางส่ายหน้า “ต่อให้มีจริงๆ อย่างน้อยข้าและหอจิ้งซินก็ยังไม่รู้”
เว่ยเหยี่ยนคลี่ยิ้มอบอุ่น คิดไม่ถึงว่าเทพธิดาฝานก็มีช่วงเวลาซุกซนเช่นนี้ด้วย ชั่วขณะนั้นเขาจึงมองดวงตาคลอประกายน้ำคู่นั้นของนางด้วยสายตาลุ่มหลง
สายตาระดับล่างของบุรุษจะมองแค่ใบหน้าของหญิงสาว สายตาระดับกลางจะมองเรือนร่าง สายตาระดับสูงจะมองที่จิตใจของหญิงสาว
แล้วนับประสาอะไรกับที่ฝานกว่านเอ่อร์คือคนที่มีเพียบพร้อมทั้งสามอย่าง อีกทั้งแต่ละอย่างยังเป็นอันดับหนึ่งในโลกด้วย
จะไม่ให้องค์รัชทายาทแคว้นหนันเยวี่ยนที่สายตามองสูงไม่เห็นหัวผู้ใดหวั่นไหวได้อย่างไร สาวงามแสนดี เป็นที่หมายปองของบุรุษ ความรู้สึกที่เว่ยเหยี่ยนมีต่อนาง ไม่ว่าจะเป็นคำพูดหรือสายตา เขาทั้งไม่เปิดเปลือยออกมาอย่างโจ่งแจ้ง แล้วก็ไม่ได้จงใจเก็บซ่อนไว้อย่างมิดชิด
เว่ยเหยี่ยนหยุดเดิน แล้วก็สาวเท้าเร็วๆ ไปเดินเคียงไหล่นาง คิดอยากจะยื่นมือไปจับมือเรียวบางของนาง น่าเสียดายที่เขาไม่มีความกล้านั้น
ฝานกว่านเอ่อร์หยุดฝีเท้า เบี่ยงตัวผินข้าง ทอดสายตามองไปไกล หว่างคิ้วเต็มไปด้วยความกลัดกลุ้ม กล่าวเนิบนาบ “ที่กล่าวถึงเรื่องนี้ก็เพราะข้าอยากพูดถึงเรื่องประหลาดเรื่องหนึ่งที่ข้าคิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจ”
เว่ยเหยี่ยนถามอย่างประหลาดใจ “ไหนลองว่ามาสิ”
ฝานกว่านเอ่อร์นวดคลึงหว่างคิ้ว เว่ยเหยี่ยนเอ่ยอย่างเป็นกังวล “เป็นอะไรไป หรือว่ามือกระบี่ชุดขาวผู้นั้นใช้วิธีการที่ชั่วร้ายอะไรงั้นรึ?”
นางยิ้มส่ายหน้า “องค์ชาย ท่านเคยได้ยินคำเรียกขานว่า ‘เจ๋อเซียน’ จากอาจารย์ของท่านบ้างหรือไม่?”
เว่ยเหยี่ยนกล่าวยิ้มๆ “อาจารย์ของข้าเป็นคนหยาบกระด้างในยุทธภพ เขาไม่เคยพูดถึงเรื่องแบบนี้หรอก ท่านผู้อาวุโสไม่ชอบพวกนักประพันธ์นักกวีมากที่สุด มักจะพูดว่าพวกเขาคือสตรีที่ไม่มีรังไข่ ตอนเด็กเวลาฝึกวรยุทธ์กับอาจารย์ ขอแค่เวลาที่พูดคุยกันแล้วข้าพูดจาสุภาพหน่อย ก็จะต้องโดนตี ดังนั้นข้าจึงได้แต่ทำความเข้าใจกับลักษณะของเจ๋อเซียนจากในบทกวีเอาเอง”
ในเมื่อหาเบาะแสจากเว่ยเหยี่ยนไม่ได้ ฝานกว่านเอ่อร์จึงไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้อีก นางเปลี่ยนหัวข้อ พูดพึมพำด้วยสายตาลึกล้ำ “องค์ชาย ท่านเคยมีความรู้สึกว่า เวลาที่พวกเราผ่านเหตุการณ์อย่างหนึ่ง เดินผ่านที่แห่งหนึ่ง หรือได้พบคนคนหนึ่งแล้วรู้สึกคุ้นเคยเป็นพิเศษบ้างไหม?”
เว่ยเหยี่ยนพยักหน้ารับ “เคยสิ จะไม่เคยได้อย่างไร”
องค์รัชทายาทท่านนี้รู้สึกว่าน่าสนใจจึงถามยิ้มๆ “หรือว่าเทพธิดาฝานก็เชื่อเรื่องการกลับชาติมาเกิดของลัทธิพุทธด้วย?”
ฝานกว่านเอ่อร์ส่ายหน้า
……
บนภูเขาหนิวกู่นอกเมือง คืนนี้มีคนยืนอยู่เจ็ดแปดคน คนหนึ่งในนั้นคืออวี๋เจินอี้แห่งพรรคหูซานที่มีหน้าตาเหมือนเด็ก สีหน้าของเขาเคร่งเครียด ทอดสายตามองไปยังเค้าโครงของเมืองหลวงที่เห็นอยู่ในม่านราตรี
ชายฉกรรจ์เนื้อตัวสกปรกที่ทั่วร่างเต็มไปด้วยกลิ่นเหล้า แม้แต่กระบี่ก็ยังมอบให้สตรีแต่งงานแล้วเจ้าของร้านเหล้า มีนามว่าลู่ฝ่าง
จ้งชิวราชครูแคว้นหนันเยวี่ยนคือบุรุษร่างผอมเพรียวที่ไม่ชอบพูดจา ลักษณะสุภาพสง่างาม ยากที่จะจินตนาการได้ว่าเขาก็คืออันดับหนึ่งแห่งใต้หล้าคนนั้น
ยังเหลืออีกคน
น้ำเสียงของอวี๋เจินอี้ที่แจ่มใสอ่อนเยาว์เหมือนใบหน้าเอ่ยขึ้นช้าๆ “นอกจากมารเฒ่าติง โจวเฝยแห่งตำหนักคลื่นวสันต์ จอมยุทธ์เฝิงเฝิง ถงชิงชิงแห่งหอจิ้งซิน นอกจากสี่คนที่ถูกกำหนดมาแล้วเรียบร้อยนี้ เกรงว่าพวกเราคงต้องฆ่าเพิ่มอีกคน”
ลู่ฝ่างเอ่ยเย้ยตัวเอง “คงไม่ใช่ข้ากระมัง?”
จ้งชิวปรายตามองเขาด้วยสายตาเย็นชา
ลู่ฝ่างแบมือ กล่าวอย่างระอาใจ “แค่ล้อเล่นก็ไม่ได้หรือไง?”
นอกจากสามในสี่ปรมาจารย์ใหญ่นี้แล้ว บนยอดเขายังมีบุคคลอีกบางส่วนที่ไม่ควรมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่
แต่ที่เหมือนกันโดยไม่มีข้อยกเว้นเลยก็คือ ทุกคนหากไม่เป็นหนึ่งในสิบยอดฝีมือใหญ่ที่มีชื่ออยู่บนกระดาน ก็ต้องเป็นปรมาจารย์ด้านวรยุทธ์อย่างอาจารย์ของเว่ยเหยี่ยน
คืนนี้บนภูเขาหนิวกู่และเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนหลังจากนี้ ได้ถูกกำหนดมาแล้วว่าจะไม่มีทางพูดถึงธรรมะและอธรรม
อวี๋เจินอี้จ้องเขม็งไปยังสถานที่บางแห่งของเมืองหลวงแล้วเอ่ยเสียงเบา “ลู่ฝ่าง เจ้ากับสหายของเจ้าไปจัดการเรื่องไม่คาดคิดที่ใหญ่ที่สุดนั่นก่อนเถอะ ส่วนจะร่วมมือกันฆ่าคนหรือจะฆ่าคนด้วยกำลังตัวเองคนเดียว ข้าไม่สน แต่ข้าอนุญาตให้แค่ทำสำเร็จเท่านั้น ห้ามล้มเหลว ภายในสามวันจงนำหัวของคนผู้นั้นกลับมา ของทั้งหมดบนร่างของเขา อิงตามกฎเดิม ใครเป็นคนฆ่าก็ได้ไป”
ลู่ฝ่างลูบท้ายทอย ถอนหายใจหนึ่งที
ห่างไปไกลมีเสียงหัวเราะน่าสะพรึงกลัวของคนบางคนดังลอยมา น้ำเสียงนั้นราวกับจะบอกว่าอยากลงมือเต็มแก่
บทที่ 309.2 ปราณสังหารซ่อนอยู่ทั่ว
ProjectZyphon
เฉินผิงอันไม่ได้กลับไปยังที่พัก แต่เดินไปทั่วเมืองหลวงเพียงลำพังราวกับผีเร่ร่อน ระหว่างนี้ยังแอบแฝงตัวเข้าไปในหอเก็บหนังสือของตระกูลปัญญาชนแห่งหนึ่ง หยิบหาหนังสือมาอ่านไปเรื่อยเปื่อย
ก่อนฟ้าจะสางถึงแอบออกมาอย่างเงียบเชียบ จากนั้นก็ไปนั่งฟังบทสอนของเหล่าปราชญ์ที่กั๋วจื่อเจียนของเมืองหลวง จนกระทั่งเที่ยงพระอาทิตย์ลอยตรงศีรษะถึงได้เดินกลับเข้าไปในตรอกจ้วงหยวน เขาจงใจหลบเลี่ยงบ้านหลังที่เกี่ยวข้องกับผู้เฒ่าแซ่ติงและหนุ่มปักบุปผาโจวซื่อ
ในตรอกจ้วงหยวนมีร้านขายหนังสือเล็กแคบอยู่หลายร้าน นอกจากจะขายหนังสือแล้วยังขายสี่เครื่องเขียนล้ำค่าที่ไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นเครื่องประดับอันงดงามบนโต๊ะหนังสืออีกบางส่วน เพราะฝีมือหยาบเรียบง่าย ยังดีที่ราคาไม่สูง ถึงอย่างไรคนที่มาซื้อของในแถบนี้ส่วนใหญ่ก็ล้วนเป็นบัณฑิตยากจนที่เข้ามาสอบในเมืองหลวง เฉินผิงอันซื้อบันทึกภูเขาและแม่น้ำเนื้อหาเบาสบายจากร้านแห่งหนึ่งมาสองสามเล่ม แน่นอนว่าไม่ได้เอาออกมาอ่านในช่วงนี้ แค่อยากจะให้บนภูเขาลั่วพั่วมีหนังสือเก็บไว้มากหน่อยเท่านั้น
รอจนเฉินผิงอันเดินกลับไปถึงตรอกที่พัก เด็กน้อยหน้าตางดงามก็เพิ่งเลิกเรียนกลับมาพอดี คนทั้งสองเดินอยู่ในตรอกด้วยกัน ดูเหมือนเด็กชายจะมีเรื่องลำบากใจ อดกลั้นอยู่นานก็ยังไม่กล้าพูดออกมา
เฉินผิงอันแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น กลับไปถึงที่พัก ตอนกลางคืนกินอาหารเย็นร่วมกับครอบครัวของเด็กชาย ตามที่ตกลงกันไว้ก่อนหน้าจะเช่าห้องพัก ครอบครัวนี้เพิ่มชามและตะเกียบอีกคู่หนึ่งมาให้เฉินผิงอัน โดยจะเก็บเงินเพิ่มอีกสามสิบอีแปะทุกวัน หญิงชรารับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าทุกมื้อจะต้องมีปลามีเนื้อ แต่ในความเป็นจริงแล้วเฉินผิงอันออกไปข้างนอกเป็นประจำ หากไม่ออกเช้ากลับดึก พลาดช่วงเวลาอาหารเย็นไปแล้ว ก็หายไปนานเป็นช่วงระยะเวลาหนึ่งเลยทีเดียว นี่ทำให้หญิงชราดีใจอย่างยิ่ง
วันนี้บนโต๊ะอาหารมีแต่อาหารจืดชืด หญิงชราขออภัยด้วยรอยยิ้ม บอกว่าวันนี้ทำไมคุณชายเฉินไม่บอกไว้ก่อน จะได้เตรียมวัตถุดิบทำอาหารไว้ล่วงหน้า
เฉินผิงอันยิ้มบอกว่าขอแค่กินอิ่มก็พอแล้ว
หญิงชราจึงถามว่าพรุ่งนี้จะเอาอย่างไร พอได้ยินว่าพรุ่งนี้เฉินผิงอันจะออกไปข้างนอก หญิงชราก็ทอดถอนใจ บ่นว่าคุณชายเฉินยุ่งเกินไปแล้ว กินข้าวที่บ้านสักมื้อยังยากขนาดนี้ อันที่จริงฝีมือทำอาหารของลูกสะใภ้ไม่เลวเลย ไม่กล้าพูดว่าเอร็ดอร่อย แต่ก็ต้องกินได้เยอะแน่นอน
สตรีแต่งงานแล้วที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตาพุ้ยข้าว ไม่กล้าคีบกับข้าวสักครั้งเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย แล้วคลี่ยิ้มซื่อๆ แม่สามีชมตน ช่างหาได้ยากยิ่งนัก
เฉินผิงอันกินข้าวแล้วก็ยกม้านั่งตัวเล็กไปยังมุมถนนที่เด็กชายและปู่ชอบไปเล่นหมากล้อมกับคนอื่นเป็นประจำ ที่หาได้ยากก็คือถนนสายใหญ่เส้นนี้ถูกปูด้วยหินสีเขียว คนที่อยู่อาศัยที่นี่มาแล้วหลายรุ่นมองคนเดินผ่านไปผ่านมา บ้างก็พูดคุยเรื่องสัพเพเหระกับเพื่อนบ้านพอให้คลายเหงา หากเห็นลูกหลานตระกูลคนรวยควบม้าผ่านไป หรือมีหญิงสาวจากหอโคมเขียวที่พอจะมีชื่อเสียงเดินนวยนาดผ่านมาก็สามารถทำให้ถนนทั้งเส้นสว่างไสวได้แล้ว
เฉินผิงอันนั่งอยู่ไม่ห่างจากวงหมากล้อมเท่าไหร่นัก คนมุงล้อมอยู่ตรงนั้นเป็นกลุ่มใหญ่ แล้วจู่ๆ ก็สังเกตเห็นว่าเด็กชายก็ยกม้านั่งออกมาเช่นกัน แถมยังมานั่งข้างตน
ก่อนหน้านี้เขาปลด ‘ปราณกระบี่’ วางไว้ในห้อง มารับลมเย็นอยู่ท่ามกลางกลุ่มชาวบ้านแล้วยังแบกกระบี่ไว้ คงไม่เข้าท่าสักเท่าไหร่ น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่พกไว้ติดตัว แต่ให้กระบี่บินสืออู่ที่เชื่อฟังมากกว่าอยู่ที่ห้อง หลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกใครขโมยไป เมืองหลวงของแคว้นหนันเยวี่ยนเวลานี้ไม่สงบสุข คิดว่าอีกไม่นานมังกรซ่อนพยัคฆ์หลบทั้งหลายคงจะลุกกันขึ้นมาแล้ว
สัมผัสได้ถึงท่าทางผิดปกติของเด็กชาย เฉินผิงอันจึงถามด้วยรอยยิ้ม “มีเรื่องในใจรึ?”
เด็กชายเข้าเรียนที่โรงเรียนจึงพอจะรู้มารยาทบ้างแล้ว เขาก้มหน้าลง “คุณชายเฉิน ขอโทษด้วย”
เฉินผิงอันพูดเบาๆ “หมายความว่าอย่างไร?”
เด็กชายนั่งอยู่บนม้านั่งตัวเตี้ย สองมือกำแน่นวางไว้บนหัวเข่า ไม่กล้ามองเฉินผิงอัน “เวลาที่คุณชายเฉินไม่อยู่บ้าน ท่านแม่ข้ามักจะฉวยโอกาสไปพลิกค้นของของคุณชายเฉิน”
เฉินผิงอันอึ้งตะลึง เดิมทีนึกว่าเป็นหญิงชราปากร้ายคนนั้นที่มักจะ ‘แวะไป’ พลิกค้นของในห้องเขาเป็นประจำ นึกไม่ถึงว่าจะเป็นมารดาของเด็กชายที่มองดูเหมือนคนซื่อ
อารมณ์ของเด็กชายยิ่งหนักอึ้ง “ภายหลังคุณชายเฉินออกจากบ้านไปนาน ท่านแม่จึงแอบไปเอาตำราที่คุณชายเฉินวางไว้บนโต๊ะมาให้ข้า ข้าทนไม่ไหวจึงแอบเปิดอ่าน ข้ารู้ว่าทำแบบนี้ไม่ดี”
เดิมทีเฉินผิงอันอยากจะพูดง่ายๆ ว่า ‘ไม่เป็นไร’ แต่เขารีบกลืนมันกลับลงท้องไปอย่างรวดเร็ว เปลี่ยนมาพูดใหม่ว่า “ไม่ดีจริงๆ นั่นแหละ”
ก่อนหน้านี้ตอนที่เดินเที่ยวในเมืองหลวง มีวันหนึ่งอยู่ในงานวัดที่คึกคักได้เห็นแม่ลูกท่าทางร่ำรวยคู่หนึ่ง ด้านหลังมีข้ารับใช้ที่ดวงตาฉายประกายคมกริบกลุ่มหนึ่งแอบติดตามมาอย่างลับๆ เด็กชายอายุห้าหกขวบเห็นพี่สาวหน้าตางดงามคนหนึ่งกำลังเลือกของอยู่ที่แผงลอย เขาจึงวิ่งไปกระตุกชายแขนเสื้อของเด็กสาวคนนั้น แน่นอนว่าเด็กชายไม่ได้มีเจตนาร้าย เพียงแค่ต้องการดึงดูดความสนใจของผู้ใหญ่ ตอนแรกเด็กสาวไม่ได้สนใจเขา แต่เพราะเด็กชายมาจากตระกูลร่ำรวยสูงศักดิ์ เห็นว่าพี่สาวคนนี้ไม่สนใจตนจึงเริ่มโมโห น้ำหนักมือจึงเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เด็กสาวถูกตอแยจนทนไมไหว แต่นางก็รู้ความจึงไม่ได้ถือสาเด็กชายที่ไม่รู้ประสา เพียงแค่เงยหน้ามองไปทางแม่เด็กที่ยืนอยู่ห่างไปไม่ไกล ฝ่ายหลังจึงเรียกลูกชายของตนกลับมา ไม่ให้เขาทำตัวเหลวไหลอีก
หากเหตุการณ์นี้ยุติลงเพียงเท่านี้ เฉินผิงอันก็คงแค่มองผ่านเลยไป
แต่สตรีแต่งงานแล้วที่มีสง่าราศีผู้นั้นกลับเอ่ยประโยคหนึ่งที่ทำให้เฉินผิงอันไม่อาจเข้าใจได้จนกลายเป็นปมในใจที่คิดไม่ตกมาโดยตลอด
สตรีซึ่งมาจากตระกูลที่มีฐานะกลับสั่งสอนบุตรชายตัวเองด้วยประโยคที่ว่า “เจ้าเห็นหรือไม่ว่าพี่สาวโกรธแล้ว เลิกซุกซนได้แล้ว”
มองปราดๆ เหมือนจะไม่มีปัญหาอะไร สีหน้าท่าทางของสตรีแต่งงานแล้วคู่ควรกับคำว่าสุภาพเยือกเย็น สายตาที่มองบุตรชายตัวเองเต็มไปด้วยความเมตตารักใคร่ ท่าทีที่ปฏิบัติต่อเด็กสาวก็ไม่ได้เลวร้ายเลยแม้แต่น้อย
จนกระทั่งบัดนี้ที่เฉินผิงอันได้พูดคุยกับเด็กชายถึงได้เข้าใจต้นสายปลายเหตุ
นี่มีส่วนคล้ายคลึง แต่ก็มีส่วนที่ไม่เหมือนหายนะที่น่าเศร้าซึ่งเกี่ยวข้องกับผู้อาวุโสซ่งอวี่เซาแห่งแคว้นซูสุ่ย
สตรีแต่งงานแล้วสอนบุตรชายแบบนี้ เป็นสิ่งที่ผิด
หรือว่าหากเด็กสาวที่อยู่ตรงร้านแผงลอยไม่โกรธ เด็กชายก็ทำตัวแบบนี้ได้?
เมื่อเทียบกับเรื่องน่าเศร้าในยุทธภพของผู้อาวุโสซ่งอวี่เซา ‘เรื่องเล็กน้อยที่ไม่ได้ทำลายขนบธรรมเนียมประเพณี’ ในหมู่ชาวบ้านร้านตลาดประเภทนี้ จะบอกว่าร้ายแรงก็คงไม่ได้ แต่หากพร่ำบ่นไม่จบไม่สิ้นก็อาจตกเป็นผู้ต้องสงสัยว่าไม่รู้จักเห็นอกเห็นใจผู้อื่น ไม่แน่ว่าสตรีแต่งงานแล้วอาจจะรู้สึกว่าตัวเองมีเหตุผลจึงไม่คิดจะละเว้นคนอื่น ได้คืบแล้วจะเอาศอก คิดว่าคนของตระกูลตนรังแกได้ง่ายหรือไร? แม้แต่เด็กสาวคนนั้นก็อาจจะไม่รับน้ำใจเสมอไป
เฉินผิงอันควักแผ่นไม้ไผ่แผ่นนั้นออกมาดูปลายซ้ายขวาทั้งสองด้าน เส้นสายตาไล่ไปตามพื้นที่ระหว่างกลางไม่หยุด
ด้านบนมีรอยสลักมากมาย
นิ้วชี้ของมือข้างซ้ายและข้างขวาของเฉินผิงอันดันอยู่ตรงปลายสองด้านของแผ่นไม้ไผ่ที่เหมือนไม้บรรทัด ไม้ไผ่แผ่นนี้จึงลอยอยู่กลางอากาศ เขาหันไปเอ่ยยิ้มๆ กับเด็กชายที่มีท่าทางกระวนกระวาย “ท่านแม่เจ้าทำแบบนี้ แน่นอนว่าผิด เจ้ารู้ว่าผิดแต่ยังไม่แก้ไข นั่นก็ยังไม่ถูกอยู่ดี แต่พอรู้เรื่องแล้วยังต้องเข้าใจด้วยว่า เรื่องราวบนโลกมีแบ่งเล็กใหญ่ คนเรามีชีวิตอยู่บนโลกนอกจากถูกผิด ใช่หรือไม่ใช่แล้ว ยังต้องรู้จักมีน้ำใจ ยกตัวอย่างเช่นทำไมท่านแม่ของเจ้าถึงทำแบบนี้ ก็ไม่ใช่เพราะอยากให้เจ้าอ่านหนังสือให้มากๆ วันหน้าจะได้กลายเป็นถงเซิง ซิ่วไฉ เป็นนายท่านจวี่เหริน หรืออาจถึงขั้นสอบติดจิ้นซื่อไม่ใช่หรือ? ท่านแม่เจ้าเป็นคนที่ทนความลำบากได้มากขนาดนั้น สิ่งที่นางทำไปจะเพื่อความมีเกียรติของวงศ์ตระกูล เพื่อให้นางได้อยู่ดีกินดีน่ะหรือ? คิดแล้วคงไม่ใช่ นางก็แค่อยากให้เจ้ามีชีวิตที่ดีในอนาคต ถูกไหม? เหตุใดท่านแม่ของเจ้าถึงทำเรื่องที่ผิดเช่นนี้ หากเจ้าเข้าใจแล้วก็ไม่ต้องคิดมาก ความผิดของนางและความหวังดีที่นางมีต่อเจ้า เจ้าคงรู้ดีอยู่แก่ใจ อันดับต่อไปก็ถึงคราวของเจ้าบ้างแล้ว เจ้าเรียนหนังสือ เรียนหลักการของอริยะปราชญ์ในตำราจึงรู้เรื่องมารยาทแล้ว ถ้าเช่นนั้นหากกาลเวลาหมุนย้อนกลับ มอบโอกาสให้เจ้าอีกครั้ง เจ้าจะทำอย่างไร?”
เด็กชายตั้งใจฟังอยู่ตลอดเวลา เพราะเฉินผิงอันอธิบายหลักการแบบตื้นๆ ส่วนเขาก็เป็นเด็กฉลาด จึงฟังเข้าใจ หลังจากใคร่ครวญอย่างจริงจังก็ตอบว่า “ข้าควรเอาตำราที่ท่านมาขโมยมากลับไปวางไว้ในห้องของคุณชาย หลังจากนั้นก็ขอยืมหนังสือจากท่านอย่างตรงไปตรงมา แบบนี้ถูกต้องไหม?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ข้ากล้าพูดแค่ว่า สำหรับข้าถือว่าถูกต้อง หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น เจ้าอาจจะต้องคิดให้มากขึ้นอีกนิด”
เด็กชายกล่าวอย่างลิงโลด “คุณชายเฉิน ถ้าอย่างนั้นท่านคงไม่ตำหนิท่านแม่ของข้าแล้วใช่ไหม?”
เฉินผิงอันลูบศีรษะเล็กของเขา “ความผิดบางอย่างสามารถชดเชยแก้ไขได้ และเจ้าก็กำลังทำอยู่”
เด็กชายพยักหน้ารับอย่างแรง “ดังนั้นอาจารย์ถึงได้บอกพวกเราว่า รู้ว่าผิดแล้วแก้ไข นับว่าประเสริฐ!”
เฉินผิงอันที่ตอนต่อสู้เอาเป็นเอาตายกับคนอื่นยังพูดแค่ไม่กี่คำ วันนี้กลับพูดกับเด็กคนหนึ่งมากมายขนาดนี้ แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังรู้สึกแปลกใจ แต่จิตใจกลับสงบลงได้หลายส่วน รู้สึกว่าต่อให้จะต้องไปฝึกเดินนิ่งและฝึกกระบี่เดี๋ยวนี้ก็ไม่มีปัญหาแล้ว
เฉินผิงอันเก็บไม้ไผ่แผ่นนั้นกลับเข้าไปในชายแขนเสื้อ แล้วก็ถือโอกาสพูดเพิ่มไปอีกสองสามประโยค”
“ทุกวันต้องกินข้าว เพื่อให้มีชีวิตอยู่ต่อไป”
“ภายใต้เงื่อนไขที่ไม่ต้องกังวลเรื่องการกินอยู่ การเรียนหนังสือ การอธิบายเหตุผล ไม่ใช่เพื่อให้เป็นอริยะปราชญ์เสมอไป แต่เพื่อให้ตัวเองมีชีวิตที่ดีขึ้นอีกนิด แน่นอนว่าอาจจะไม่ได้ดีขึ้นจริงเสมอไป แต่อย่างน้อยที่สุดในตำราคำสอนของเหล่าอริยะลัทธิขงจื๊อ คำกล่าวอันล้ำค่าของเหล่าวิญญูชนนักปราชญ์ในแต่ละยุคแต่ละสมัยก็ได้มอบความเป็นไปได้ที่ ‘ไม่มีทางผิด’ ที่สุดอย่างหนึ่งให้แก่พวกเรา บอกกับพวกเราว่าที่แท้คนก็มีชีวิตอย่างนี้ได้ มีชีวิตที่ทำสงบและสบายใจ”
เด็กชายกล่าวอย่างมึนงง “คุณชายเฉิน เรื่องพวกนี้ข้าฟังไม่เข้าใจสักเท่าไหร่”
เฉินผิงอันเอ่ยยิ้มๆ “มีเรื่องมากมายที่ข้าเองก็ยังคิดได้ไม่กระจ่างแจ้ง ก็เหมือนกำลังสร้างบ้านหลังหนึ่งที่มีแค่เสาไม่กี่ต้นเท่านั้น ยังอยู่ห่างจากความสามารถในการหลบลมหลบฝนไกลนัก ดังนั้นเจ้าไม่ต้องคิดเป็นจริงเป็นจัง ฟังเข้าใจหรือไม่ก็ไม่เป็นไร วันหน้าหากมีปัญหาข้อไหนที่ไม่เข้าใจก็ถามเอาจากอาจารย์ในโรงเรียนบ่อยๆ”
เด็กชายคลี่ยิ้มพลางลุกขึ้นยืน หิ้วม้านั่งตัวเล็กขึ้นมา โค้งคำนับเฉินผิงอันหนึ่งครั้งแล้วก็บอกว่าจะกลับบ้านไปคัดตัวอักษรต่อแล้ว อาจารย์ที่สอนหนังสือเขาเข้มงวดมาก หากแอบอู้ต้องโดนตี
เฉินผิงอันโบกมือยิ้มให้ “ไปเถอะ”
เฉินผิงอันเอ่ยขึ้นโดยไม่ได้หันกลับไปด้านหลัง “ทิ้งก้อนหินที่อยู่ในมือไปซะ”
ด้านหลังมีเสียงอ่อนเยาว์ดัง “อ้อ” ขึ้นหนึ่งที จากนั้นก็เป็นเสียงก้อนหินหล่นลงพื้น ดูเหมือนว่าหินก้อนนั้นจะไม่ใช่เล็กๆ
เด็กหญิงผอมแห้งคนหนึ่งปัดมือ เดินอาดๆ มานั่งยองข้างกายเฉินผิงอัน หันหน้ามาถามว่า “ขอม้านั่งให้ข้ายืมนั่งบ้างสิ?”
เฉินผิงอันแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน ปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่แล้วเริ่มดื่มเหล้า
เด็กหญิงถามอีกว่า “เจ้ามีเงินขนาดนี้ ยกให้ข้าบ้างได้ไหม? เมื่อครู่นี้เจ้าก็บอกแล้วไม่ใช่หรือว่า ต้องกินข้าวทุกวันถึงจะได้ไม่ต้องหิวตาย”
เฉินผิงอันย้อนถามโดยไม่ได้มองนาง “เจ้าตามหาข้าเจอได้อย่างไร?”
บทสนทนาของคนทั้งสองเหมือนหัววัวที่ไม่ตรงกับปากม้า (หมายถึงเรื่องราวที่ไม่สอดคล้องกัน ไปกันคนละทิศทาง)
เด็กหญิงกล่าวอย่างน่าสงสาร “ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ขาดเงิน ให้เงินข้าแค่ไม่กี่ตำลึง เจ้าก็คงไม่เสียดาย แต่ข้าสามารถซื้อขนมเปี๊ยะกับซาลาเปาเนื้อได้หลายชิ้น พอถึงหน้าหนาว ทุกปีเมืองหลวงจะต้องมีขอทานแก่ๆ ที่หนาวตายเป็นจำนวนมาก เสื้อผ้าขาดๆ บนร่างพวกเขา หากข้าคิดจะถอดออกมาต้องเปลืองแรงมาก เจ้าดูสิ เสื้อผ้าบนร่างข้าชุดนี้ได้มาเพราะวิธีนี้ หากว่าข้ามีเงินต้องสามารถอดทนจนผ่านไปได้แน่”
เฉินผิงอันยังคงไม่มองนาง “เสื้อผ้าที่สวมอยู่ตอนนี้คงได้มาด้วยวิธีนั้น แต่ชุดที่สวมคราวก่อนล่ะ คงเป็นเสื้อผ้าที่แม่นางน้อยคนนั้นแอบเอาออกมาให้เจ้าสินะ? วันนี้ทำไมถึงไม่สวมเสียล่ะ หรือเพราะคิดจะมาพบข้า?”
เด็กหญิงเหมือนเด็กไร้เดียงสาที่ฟังความหมายในคำพูดของเฉินผิงอันไม่เข้าใจ นางยิ้มซื่อๆ กล่าวว่า “ฤดูร้อนแบบนี้ เสื้อผ้าขาดเล็กน้อยกลับช่วยให้เย็นสบาย ชุดที่นางมอบให้ข้า ปกติข้าตัดใจเอามาใส่ไม่ลง พอถึงหน้าหนาวค่อยเอาออกมา สวมบนร่างจะอบอุ่นมากเป็นพิเศษ”
เฉินผิงอันลุกพรวดขึ้นยืน หันมองไปทางซ้ายขวาสองฝั่งสุดตรอกแวบหนึ่ง แต่กลับพูดกับเด็กหญิงที่นั่งยองอยู่ “ไปยืนให้ติดกับมุมกำแพง หลังจากนี้ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น ห้ามส่งเสียงเด็ดขาด”
เด็กหญิงเป็นคนหัวไว นางคอยแอบสังเกตเฉินผิงอันอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นจึงมองตามเส้นสายตาของเฉินผิงอันอยู่นานแล้ว พอได้ยินประโยคนี้ก็ทำแก้มพอง บ่นพลางลุกขึ้นยืน ขณะที่กำลังจะวิ่งไปหลบภัยตรงกำแพงพลันได้ยินคนผู้นั้นพูดว่า “เอาม้านั่งไปด้วย”
นางกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “ทำไมข้าต้องช่วยถือให้เจ้าด้วย? เจ้าเป็นบิดาที่พลัดพรากจากข้าไปหลายปีหรือไง”
เฉินผิงอันไม่มัวอ้อมค้อม “สิบอีแปะ”
“ได้เลย ท่านพ่อ!” บนใบหน้าดำคล้ำของเด็กหญิงคลี่ยิ้มราวดอกไม้ผลิบาน หิ้วม้านั่งตัวเล็กมาได้ก็วิ่งฉิวไปทันที
บทที่ 310 แผนล้อมสังหาร
ProjectZyphon
สองฝั่งของถนนเส้นยาวที่ถูกปูด้วยหินสีเขียวมีคนสองคนเดินตรงเข้ามา เฉินผิงอันและวงหมากล้อมจึงอยู่ตำแหน่งตรงกลางพอดี
ทางฝั่งซ้ายมือของเฉินผิงอันคือหญิงสาวที่สวมผ้าโปร่งสีขาวปิดบังใบหน้า อาภรณ์สีเขียว ห่มคลุมร่างด้วยผ้าฝ้ายสีแดง ตรงเอวรัดเข็มขัดหยก อุ้มผีผาไว้ในอ้อมอก เรือนร่างเย้ายวน สะโพกโยกย้ายตามจังหวะก้าวเดินอย่างมีชีวิตชีวา
ฝั่งขวามือคือชายฉกรรจ์ร่างสูงเก้าฉื่อ เปิดเปลือยท่อนบนเห็นกล้ามเป็นมัดๆ แต่กลับสวมกระโปรงยาวสีชมพู เดินมามือเปล่า
ชายหญิงคู่นี้ มองอย่างไรก็ไม่เหมือนชาวบ้านร้านตลาดที่ใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางเสียงไก่ขัน เสียงหมาเห่า
ชายฉกรรจ์คนนั้นแผ่ปราณสังหารตลบอบอวล ไม่ปกปิดท่าทางฮึกเหิมอยากต่อสู้ของตัวเองไว้แม้แต่น้อย จ้องมองเจ้าคนที่ในมือถือกาเหล้าสีชาด เมื่อเทียบกับบุรุษฉกรรจ์ทั่วไปของแคว้นหนันเยวี่ยนแล้วดูสูงกว่าเล็กน้อย แม้หน้าตาจะหมดจดชวนมอง แต่ก็ไม่ถือว่าเป็นเด็กหนุ่มแล้ว
ชายฉกรรจ์หัวเราะเสียงดังกังวาน “เจ้าคนต่างถิ่น ข้าชื่อหม่าเซวียน มาจากนอกด่าน มีพวกคนชอบสอดรู้สอดเห็นตั้งฉายาให้ว่าจินกังชมพู เมื่อวานมีคนจ่ายทองหนึ่งพันตำลึงซื้อหัวของเจ้า แถมยังบอกด้วยว่าอย่าเห็นแค่ว่าเจ้าหน้าละอ่อน เพราะวรยุทธ์ของเจ้าลึกล้ำจนมิอาจคาดเดาได้ มีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นปีศาจเฒ่าอย่างอวี๋เจินอี้ ข้าก็เลยเรียกให้เมียน้อยของข้ามาด้วย วันนี้เจ้าจะฆ่าตัวตาย เหลือศพสภาพสมบูรณ์ หรือจะให้ข้าต่อยเจ้าร่างแหลกเละด้วยสองหมัด?”
ชายฉกรรจ์เสียงดัง คำพูดทั้งประโยคจึงสะเทือนเลือนลั่น พวกคนที่มุงกันอยู่ตรงวงหมากล้อมแตกฮือ ไม่ทันมีเวลาเก็บกระดานหมากและม้านั่ง ได้แต่รีบหนีตาย นี่จะฆ่าคนกลางถนนชัดๆ พวกเขาหรือจะกล้ามามุงดูเรื่องสนุก ตามคำบอกเล่าที่ลึกลับของคนเฒ่าคนแก่ในตรอกจ้วงหยวน ในประวัติศาสตร์ของเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนเคยมีการเข่นฆ่าระหว่างยอดฝีมือในยุทธภพอยู่หลายครั้ง พวกเขาสู้กันจนพลิกฟ้าพลิกดิน สิ่งปลูกสร้างใหญ่หลายแห่งถูกทำลายจนเหลือแต่ซาก หลังจบเรื่องพวกคนที่ต้องสวมชุดขาวผ้าป่านไว้ทุกข์ อย่างน้อยก็มีหลายร้อยหลังคาเรือน
มองผ่านผ้าโปร่งผืนบางไปยังพวกชาวบ้านที่หนีหัวซุกหัวซุน มุมปากของหญิงสาวก็ตวัดขึ้นสูง หมายจะใช้มือขวาดีดสายผีผา ใช้ทำนองเพลงสังหารตัดหัวคน
แต่แล้วหญิงสาวก็หยุดชะงักมือข้างนั้น พลันคลี่ยิ้มหวาน “ในเมื่อคุณชายท่านนี้ไม่ชอบเพิ่มความสนุกสนาน ข้าน้อยก็ไม่ทำในสิ่งที่เกินความจำเป็นแล้ว”
ที่แท้คนต่างถิ่นชุดขาวผู้นั้นจ้องมองนาง ให้ความรู้สึกราวกับว่าหากนางกล้าเอานิ้วสัมผัสสายผีผา เขาก็จะสลัดจินกังชมพูผู้นั้นทิ้ง แล้วหันมาเล่นงานนางก่อน
นางแค่มาช่วยอดีตคนรักหาเงินหนึ่งพันตำลึงทอง ไม่ได้มารับผิดชอบเป็นกำลังหลักในการเข่นฆ่าที่เนื้อไม่กินหนังไม่ได้รองนั่ง แล้วยังเอากระดูกมาแขวนคอ การที่นางยินดีรับการค้าครั้งนี้ก็เพราะนางกับจินกังชมพูหม่าเซวียนคือคู่หูที่ยอดเยี่ยมซึ่งหาได้ยากในยุทธภพ คนหนึ่งเชี่ยวชาญการต่อสู้ประชิดตัว อีกคนหนึ่งคอยก่อกวนอยู่ไกลๆ ร่วมมือประสานได้อย่างไร้ข่องโหว่ ขอแค่ไม่ใช่ปรมาจารย์ใหญ่ในยุทธภพสิบท่านนั้น คนทั้งสองร่วมมือกัน ต่อให้เอาชนะไม่ได้ก็สามารถหนีไปได้
เฉินผิงอันรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ทำไมถึงมาหาตน? ก่อนหน้านี้เทพธิดาฝานกว่านเอ่อร์พูดถึงเจ๋อเซียน ตอนนี้ก็ยังมีคนจ่ายสองพันตำลึงทอง ดังนั้นกลางวันแสกๆ เช่นนี้ถึงได้มีคนสองคนที่ทั่วร่างเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดกระโดดออกมา ซึ่งหากตนไม่ขัดขวางเอาไว้ เกรงว่าพวกชาวบ้านที่เผ่นหนีไปคงตายกันไปแล้ว
เมื่อเทียบกับหม่าเซวียนชายฉกรรจ์ร่างกำยำที่พลังอำนาจน่าครั่นคร้ามแล้ว ความสนใจของเฉินผิงอันกลับไปอยู่ที่ร่างของหญิงสาวมากกว่า
ผีผางดงามที่ทำมาจากไม้จื่อถานทั้งชิ้นอันนั้น เมื่อปรากฏอยู่ในสายตาก็คล้ายจะมีความลี้ลับบางอย่าง บริเวณใกล้เคียงกับผีผามีกลิ่นคาวเลือดเป็นเส้นๆ และกลิ่นอายแห่งความตายที่เข้มข้นราวกับน้ำหมึกล้อมวน แผ่กำจายออกไปรอบด้าน
เพียงแต่ว่าบนผีผาไม่ได้มีผีหรือวิญญาณอาฆาตใดๆ ถือกำเนิดขึ้นมา เฉินผิงอันค่อนข้างจะแปลกใจกับเรื่องนี้ ดูจากประสบการณ์ที่ตนได้เดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ ของแจกันสมบัติทวีปและใบถงทวีป ดวงวิญญาณที่ตายด้วยน้ำมือของผีผามีมากขนาดนี้ เมื่อความอาฆาตแค้นมารวมตัวกันก็น่าจะต้องมีจิตวิญญาณภูตผีกำเนิดขึ้นเหมือนกับที่ป้อมอินทรีบินถึงจะถูก
เด็กหญิงผอมแห้งที่นั่งอยู่บนม้านั่งมุมกำแพงพร่ำพูดไม่หยุดว่า “ขออย่าให้ใครเห็นข้า…มองไม่เห็นข้า…”
ส่วนเรื่องที่ว่าทำไมนางถึงไม่หนีไปให้ไกลเหมือนกับพวกชาวบ้านก่อนหน้านี้ ตอนแรกใช่ว่านางจะไม่ลังเล แต่กลับรู้สึกว่าหากอยู่ตรงนี้จะปลอดภัยกว่า
เฉินผิงอันถาม “หากข้าจ่ายสองพันตำลึงทอง พวกเจ้าจะบอกให้ข้ารู้ตัวผู้บงการที่อยู่เบื้องหลังหรือไม่?”
หญิงสาวก้มหน้าปิดปากหัวเราะเสียงหวาน เนื่องจากกอดผีผาอยู่ พอทำท่าแบบนี้หน้าอกจึงถูกบดเบียดยิ่งกว่าเดิม
หม่าเซวียนแค่ชำเลืองมองนาง ดวงตาก็ฉายประกายเร่าร้อน จึงด่ายิ้มๆ ว่า “นังหญิงร่าน ไม่ได้เจอกันแค่ไม่กี่ปี เห็นผู้ชายหล่อเข้าหน่อยก็เดินไม่ตรงทางแล้วรึ! ทำการค้าครั้งนี้เสร็จเมื่อไหร่ พวกเราไปหาที่ตีกันต่อเถอะ แต่ลดราคาให้หน่อยได้ไหม? ครั้งหนึ่งตั้งสองร้อยตำลึงทอง ใต้หล้านี้จะมีใครจ่ายไหว?”
เฉินผิงอันถอนหายใจ “คุยกันไม่ได้แล้วจริงๆ รึ?”
ชายฉกรรจ์คนนั้นก้าวยาวๆ มาข้างหน้าพลางหัวเราะร่าเสียงดัง “เด็ดหัวลงมาก่อน แล้วพวกเราค่อยคุยกัน อะไรควรพูดอะไรไม่ควรพูด นายท่านอย่างข้าจะบอกเจ้าทั้งหมด ตกลงไหม?”
หญิงอุ้มผีผาเดินมาข้างหน้าช้าๆ ขณะที่อยู่ห่างจากเฉินผิงอันประมาณหนึ่งร้อยก้าวก็หยุดเดิน นางสะบัดข้อมือเบาๆ ตั้งท่าเตรียมพร้อม
หม่าเซวียนพลันกระทืบเท้า พื้นหินสีเขียวใต้ฝ่าเท้าก็ระเบิดแตกดังเปรี๊ยะ ชายร่างกำยำพุ่งพรวดมาอยู่ตรงเฉินผิงอันห่างไปไม่ถึงหนึ่งจั้ง กระโปรงสีชมพูรัดแนบชิดติดต้นขา เนื่องจากความเร็วมีมากเกินไปจึงส่งเสียงดังพึ่บพั่บ
แค่หนึ่งจั้งเท่านั้น เจ้าคนที่เหมือนตกใจจนยืนบื้อกลับยังคงไม่ขยับเขยื้อน หม่าเซวียนจึงหลุดหัวเราะพรืด “กล้าทำให้เมียน้อยของข้าผู้อาวุโสกระสันอยาก ตายไปก็ไม่เสียดาย!”
เขาไม่กักกำลังใดๆ ไว้อีก หนึ่งหมัดพลันเพิ่มความเร็วต่อยเข้าหาศีรษะของเฉินผิงอัน
ความคิดของเฉินผิงอันแล่นอย่างว่องไว ไม่กล้ามัวชักช้าที่จะหลบหมัดนี้อีก ร่างของเขาล่องลอยถอยไปด้านหลัง ขาสองข้างปักตรึงอยู่กับพื้นดิน
ผู้ฝึกยุทธ์ของที่นี่เหมือนจะใจกล้าไปสักหน่อย รับมือกับศัตรูก็ยังมีอารมณ์มาชวนคนอื่นคุยด้วยหรือ? ไม่กลัวว่าพอใช้ลมปราณเฮือกนั้นหมด ระหว่างที่เปลี่ยนลมปราณเก่าและใหม่ จะถูกคู่ต่อสู้จับพิรุธได้หรือไร?
หมัดที่ปล่อยไปร่วงลงบนความว่างเปล่า หม่าเซวียนรู้แล้วว่าท่าไม่ดี จึงรีบสลายลมปราณไปทั่วร่าง แม้ว่าจะเป็นปรมาจารย์วิชาหมัดนอก แต่เพื่อความไม่ประมาท กลัวว่าเรือนกายที่ผ่านวิชาเหิงเลี่ยนจะต้านทานไว้ไม่ไหว จึงจำต้องละทิ้งท่าการโจมตี หันมาป้องกันรอบด้านแทน หลังจากลมปราณไหลรินผ่านช่องโพรงทั่วร่างแล้ว กล้ามเนื้อก็ส่องประกายแสงเรืองรองคล้ายถูกทาทับด้วยสีทอง
เฉินผิงอันเตะเท้าขึ้นด้านบน กระทุ้งเข้าหน้าท้องของหม่าเซวียน ร่างทั้งร่างของเขาจึงถูกเตะดังปั่กลอยขึ้นฟ้า
หมุนตัวกลับหนึ่งครั้ง เฉินผิงอันก็กลับมายืนตัวตรง ขยับเท้าปาดซ้ายปาดขวาเบาๆ ด้านละครั้งก็หลบ ‘สายผีผา’ สี่สายที่รวมตัวกันเป็นเส้นเดียวมาได้อย่างพอดี
หญิงสาวใช้การคีบ ไถล ดีดสามท่า นิ้วมือทั้งห้าตวัดขึ้นชวนลงลายตา ทว่าผีผากลับไม่ส่งเสียง มีเพียงประกายแสงใสแวววาวเป็นเส้นๆ มารวมตัวกันตรงหน้าของนาง พริบตาเดียวก็พุ่งหายไป
เฉินผิงอันล่องลอยไปมาอยู่บนถนนเส้นนั้น ทุกครั้งล้วนสามารถหลบเส้นใยเยียบเย็นที่พุ่งมาจากสายผีผาได้อย่างพอดิบพอดี เส้นใยที่คมกริบดุจใบมีดตัดสลับกันอยู่กลางอากาศอย่างไร้ระเบียบ คล้ายลูกธนูที่ถูกยิงติดๆ กันออกมาจากธนูหลายสิบคันพร้อมกัน จึงปกคลุมไปทั่วด้าน
หม่าเซวียนกระแทกตัวลงมาด้านล่างโดยทำมือสองข้างเหมือนค้อนที่กำลังจะทุบลงบนพื้นถนนอย่างดุดัน
เห็นได้ชัดว่าหญิงสาวก็คอยสังเกตความเคลื่อนไหวของหม่าเซวียนอยู่ตลอดเวลา นางกะเวลาได้อย่างแม่นยำ ตอนที่หม่าเซวียนร่วงลงมา เส้นใยที่พุ่งออกจากผีผาก็ชะลอความเร็วลง หลีกเลี่ยงไม่ให้ถ่วงการโจมตีของหม่าเซวียน
เฉินผิงอันหายตัวไปจากที่เดิม ชายฉกรรจ์ร่างกำยำอึ้งตะลึง ไม่ทันได้เก็บหมัดจึงกระแทกลงบนถนนอย่างแรง หม่าเซวียนที่แขนยาวดุจวานรงอเข่ากระแทกพื้น อยู่ในท่ากึ่งนั่งยอง หมัดที่สัมผัสกับพื้นกระแทกให้แผ่นหินสีเขียวแตกกระจาย
เฉินผิงอันมาปรากฏตัวอยู่ข้างกายหม่าเซวียน ฝ่ามือข้างหนึ่งกดลงบนไหล่ของเขา เพิ่มน้ำหนักกดลงไปเล็กน้อย หม่าเซวียนก็ถูกกดให้จมลง เข่าสองข้างผลุบหายเข้าไปในแผ่นหินสีเขียว
หม่าเซวียนคำรามอย่างแค้นเคือง คิดจะดันฝ่ามือที่หนักนับพันชั่งนั้นออก แต่แค่คนผู้นั้นกดมือลงมาอีกครั้ง ก้นของเขาก็นั่งแปะลงไปบนพื้น สีทองบนกล้ามเนื้อที่มีความหมายว่าการฝึกวิชาเหิงเลี่ยนกำลังภายนอกแทบจะใกล้ถึงจุดสูงสุดของวรยุทธ์กลับเริ่มสลายไปด้วยตัวเอง ลมปราณในร่างเริ่มโคจรวุ่นวายอย่างที่เขาควบคุมไม่ได้ หม่าเซวียนตกใจจนขวัญหนีกระเจิดกระเจิง
ผ่านการ ‘ประลองฝีมือแลกเปลี่ยนความรู้’ มาแล้ว
ในที่สุดเฉินผิงอันก็ค้นพบความจริงข้อหนึ่งว่า ผู้ฝึกยุทธ์ที่ฝึกวิชาหมัดนอกผู้นี้ ลมปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์ในร่างเฮือกนั้น กระจัดกระจายเกินไป
พลังอำนาจและปณิธานหมัดที่ไหลออกมานอกร่างเป็นของจริง เป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตหลอมลมปราณอย่างแท้จริง แต่ก็เหมือนการสร้างบ้านหลังหนึ่ง ไม้ที่เอามาทำคานไม่ดีพอ หากเจอกับลมและแดดปกติก็คงไม่มีปัญหา แต่พอเจอกับลมแรงหรือพายุฝนขึ้นมาจริงๆ ก็ง่ายที่จะต้านทานไม่อยู่แล้วพังครืนลงมา
ลมปราณเฮือกหนึ่งทั้งยุ่งเหยิงและผสมปนเปกัน เน้นจำนวนมาก แต่ไม่เน้นแก่นที่ดีเยี่ยม จึงไม่เข้าใกล้กับคำว่า ‘บริสุทธิ์’ เลยแม้แต่น้อย กลับคล้ายผู้ฝึกยุทธ์คนหนึ่งที่เดินไปบนเส้นทางของผู้ฝึกลมปราณเสียมากกว่า
หญิงสาวที่อุ้มผีผาคนนั้นถือโอกาสหยุดนิ้วทั้งสิบ เสียงถอนหายใจเบาๆ ดังออกมาจากหลังผ้าโปร่งคลุมหน้า
ศักยภาพของทั้งสองฝ่ายแตกต่างกันมากเกินไป ครั้งนี้นางกับหม่าเซวียนมาชนตอซะแล้ว
คุณชายชุดขาวที่มองดูเหมือนเด็กหนุ่มตรงหน้านี้ มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะเป็นปรมาจารย์ใหญ่ที่เร้นกายจากโลกภายนอกซึ่งขยับเข้าใกล้ ‘สิบท่านในใต้หล้า’ อย่างมากแล้ว
คนของลัทธิมาร? ลูกรักแห่งสวรรค์อีกคนหนึ่งที่เผยกายบนโลกตามหลังมารเฒ่าติง? คิดจะรวบรวมยุทธภพให้เป็นปึกแผ่น?
หรือว่าเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดที่อวี๋เจินอี้เทพเซียนผู้เฒ่าอบรมสั่งสอนมากับมือตัวเอง? เพื่อให้เป็นท่าไม้ตายที่ใช้รับมือกับมารเฒ่าติงซึ่งกลับคืนสู่ยุทธภพอีกครั้ง?
สถานการณ์วุ่นวายยุ่งเหยิง
เช่นเดียวกับในใจของสตรีอุ้มผีผาเวลานี้
ตนกับหม่าเซวียนไม่ควรเข้ามามีเอี่ยวด้วย
บนกำแพงมีคนปรบมือเบาๆ “ร้ายกาจๆ ไม่เสียแรงที่เป็นคนที่ถูกจัดลำดับไว้ชั่วคราว มีค่าพอให้พวกเราจัดการอย่างจริงจังจริงๆ”
หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองแล้วพลันรู้สึกเหมือนจมดิ่งสู่หุบเหวน้ำแข็ง บนกำแพงมีบุรุษที่รอยยิ้มแข็งทื่อคนหนึ่งนั่งยองอยู่ หน้าตาของเขาไม่เคยเปลี่ยนมาตลอดหมื่นปี ประหนึ่งสวมใส่หน้ากากระดับต่ำแผ่นหนึ่ง ใส่ไปแล้วกลับหยั่งรากแตกหน่อ ไม่อาจปลดออกมาได้อีกชั่วชีวิต
ใบหน้ายิ้ม เฉียนถัง
นอกเหนือจากสิบคนนั้นแล้ว คนผู้นี้เรียกได้ว่าเป็นปรมาจารย์ที่รับมือได้ยากที่สุดในใต้หล้า ที่สุดอย่างที่ไม่มีคำว่าหนึ่งใน แล้วก็เป็นพวกลัทธิมารนอกรีตที่มีนิสัยประหลาดที่สุด ไม่ได้ชอบฆ่าคนบริสุทธิ์พร่ำเพื่อ แต่หากเจอกับยอดฝีมือในขอบเขตเดียวกันจะต้องตอแยเอาให้ตายกันไปข้าง หลิงเซวียเยวียนเทพแปดกรซึ่งอยู่ในอันดับสิบคนของรุ่นผู้อาวุโส แม้จะบอกว่าอายุมากแล้ว ยุคสูงสุดของวิชาหมัดเขาผ่านพ้นไป จึงหลุดออกจากลำดับสิบคน แต่อูฐที่ผอมตายก็ยังตัวใหญ่กว่าม้า ผู้กล้าท่านหนึ่งของหนึ่งในสามลัทธิมารเกือบจะตายด้วยวิชาอภินิหารแปดกรของเขา ทว่าเมื่อเผชิญหน้ากับใบหน้ายิ้ม ถูกเฉียนถังตอแยอยู่นานหนึ่งปีเต็ม ก็เกือบถูกบีบให้กลายเป็นคนสติวิปลาส
ใบหน้ายิ้มผู้นั้นนั่งยองอยู่บนหัวกำแพง มือหนึ่งหยิบดินขึ้นมาขว้างเบาๆ พลางหัวเราะหึหึ “หากยังจงใจกักเก็บพลังที่แท้จริงอีก เจ้าต้องตายแน่นอน ไม่ใช่ตายด้วยน้ำมือของเขา แต่ตายด้วยน้ำมือของข้า”
“ถูกไหม หม่าเซวียน? แล้วยังมีอาซ้อนมใหญ่นั่นอีก ใช่แล้ว เจ้าชื่อแซ่ว่าอะไรแล้วนะ?”
หม่าเซวียนที่ถูกเฉินผิงอันใช้ฝ่ามือกดไหล่อยู่หลายครั้งพลันระเบิดพายุขุ่นมัวออกมาจากร่าง พลังอำนาจเพิ่มทะยานจากก่อนหน้านี้มากมายจนนับไม่ถ้วน
สตรีที่กอดผีผาก็สวมเล็บปลอมที่แผ่แสงอึมครึม ไม่เหมือนว่าจะแสร้งทำเป็นอวดอ้างฝีมืออีกต่อไป แต่เริ่มดีดเส้นเอ็นผีผาแรงๆ อย่างจริงจัง
หม่าเซวียนพลิกมือปล่อยหมัดมาอย่างดุดัน
เฉินผิงอันยื่นฝ่ามือข้างหนึ่งมาขวางไว้ด้านหน้า ต้านรับหมัดนั้น ฉวยจังหวะนี้ไถลตัวไปด้านหลัง เท้าทั้งสองข้างเหมือนหมากสองเม็ดที่กลิ้งไถลเบาๆ อยู่บนผิวกระจก
เมื่อครู่นี้ระหว่างหม่าเซวียนกับเฉินผิงอันมีเส้นใยสีเขียวเปล่งปลั่งขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือสองเส้นพุ่งผ่านไป เป็นเหตุให้ผนังสองด้านปริแตกเป็นร่องสองเส้น
หากเฉินผิงอันถอยหลังช้ากว่านี้อีกนิดก็จะต้องตกเป็นเป้าการลอบโจมตีครั้งนี้จังๆ
หม่าเซวียนหมุนตัวกลับมา เขาเงยหน้าชำเลืองตามองเจ้าคนบนกำแพงที่ยังมีรอยยิ้มแต้มใบหน้าก่อน แค่นเสียงเย็นหนึ่งครั้ง แล้วค่อยหันมาจ้องเฉินผิงอันที่ยังสุขสบายดี ถ่มเลือดคำหนึ่งลงบนพื้น ก่อนหน้านี้ถูกเฉินผิงอันเตะกระเด็นขึ้นฟ้า อันที่จริงอวัยวะภายในของเขาฃได้รับบาดเจ็บไปแล้ว ชายฉกรรจ์หันไปเอ่ยเตือนหญิงสาวที่อยู่ด้านหลังว่า “หญิงแพศยา หากไม่แสดงความสามารถที่แท้จริงซะบ้าง วันนี้พวกเราคงยากจะผ่านด่านไปได้”
หญิงสาวถลึงตาใส่อย่างดุดัน “ต้องโทษเจ้านั่นแหละ ใต้หล้านี้มีเงินที่ไหนได้มายากเย็นขนาดนี้!”
หม่าเซวียนแยกเขี้ยว “ข้าผู้อาวุโสจะรู้ได้ยังไงว่าทองก้อนนี้ร้อนลวกมือขนาดนี้ ตกลงกันไว้แล้วว่าจะไปเล่นงานมารเฒ่าติงด้วยกัน เดิมทีนึกว่าไอ้หมอนี่จะเป็นแค่พวกปลาซิวปลาสร้อยเท่านั้น”
ความสนใจของเฉินผิงอันอยู่ที่ใบหน้ายิ้มบนหัวกำแพงมากกว่า
เขากำลังหยั่งเชิงพวกเขา หรือควรจะพูดอีกอย่างว่ากำลังพยายามมองตื้นลึกหนาบางของยุทธภพแห่งนี้ให้ออก
แล้วมีหรือที่พวกเขาจะไม่ได้กำลังตรวจสอบรากฐานที่แท้จริงของเฉินผิงอันอยู่เช่นกัน
ใบหน้ายิ้มที่อยู่บนกำแพงปรบมืออีกครั้ง “น่าสนใจๆ ทุกคนอยากจะไปด้วยกันหรือไม่?”
และเวลานี้เอง ปากทางที่ถนนตัดกันมีบุรุษหนุ่มร่างสะโอดสะองดุจต้นไม้หยกรับลมคนหนึ่งเดินออกมาช้าๆ บนศีรษะของเขาปักดอกซิ่ง ในมือหิ้วศีรษะโชกเลือดมาสองหัว
หนุ่มปักบุปผาโจวซื่อยืนอยู่ตรงหัวเลี้ยว มองไกลๆ มายังเฉินผิงอัน ยิ้มพลางโยนศีรษะในมือทิ้งลงบนพื้นเบาๆ
ด้านหลังของเขาคือสตรีหน้าตางดงามที่สวมรองเท้าไม้เกี๊ยะเดินเอื่อยเฉื่อยตามมา นางเดินผ่านโจวซื่อมาอย่างเชื่องช้า เมื่อเปลี่ยนจากเหยียบพื้นดินมาเหยียบแผ่นหินสีเขียวก็มีเสียงต่อกแต่กใสกังวานดังขึ้นเป็นจังหวะ ในมือของนางก็หิ้วศีรษะของคนสองคน แล้วโยนลงบนพื้นถนนเช่นกัน
นางคลี่ยิ้มหวานหยดย้อย “คุณชายท่านนี้ ท่านปู่ของข้าบอกแล้วว่า ขอแค่เจ้ามอบน้ำเต้าบรรจุเหล้าใบนั้นมา เด็กคนนั้นก็จะมีชีวิตรอด หาไม่แล้วห้าคนหนึ่งครอบครัวก็จะได้กลับไปอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาอีกครั้ง หลายวันมานี้คุณชายเดินเตร่ไปทั่วเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยน แค่มองก็รู้แล้วว่าเป็นคนจิตใจดีงาม จะทนเห็นเขาตายได้หรือ?”
ในบ้านที่อยู่ลึกเข้าไปในตรอก ผู้เฒ่าที่บนศีรษะสวมกวานดอกบัวสีเงินกำลังนั่งอาบแดดอยู่บนม้านั่ง ข้างกายมีเด็กชายคนหนึ่งที่เนื้อตัวสั่นเทิ้ม ใบหน้าเปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำมูกน้ำตา
ผู้เฒ่ายิ้มบางๆ กล่าวว่า “ไม่ต้องกลัว เจ้ามีพรสวรรค์ดีมาก ข้าคิดว่าจะแหกกฎรับเจ้าเป็นลูกศิษย์ ไม่แน่ว่าเจ้าอาจจะได้กลายเป็นเจ้าลัทธิมารคนต่อไป จะร้องไห้ไปไย? แค่ขาดญาติไปไม่กี่คน แต่กลับมีหวังว่าจะได้ครอบครองทั้งยุทธภพ เด็กน้อยเจ้าเคยเรียนหนังสือมาก่อนน่าจะพอคำนวณบัญชีครั้งนี้ได้ หากยังร้องไห้ ทำให้ข้าเสียสมาธิ ไม่สามารถกักเจ้าตัวน้อยในห้องได้ ข้าอาจจะฆ่าเจ้าไปพร้อมกัน”
ผู้เฒ่าเงยหน้ามองไปยังทิศไกล “อวี๋เจินอี้ จ้งชิว จะบอกกับพวกเจ้าตามตรงก็ได้ ข้ารับรองแล้วว่าจะช่วยปกป้องโจวเฝย พวกเจ้าก็รีบฆ่าถงชิงชิงและเฝิงชิงป๋ายไปก่อนแล้วกัน ค่อยมาจัดการข้าผู้อาวุโส อีกอย่างมีคนต่างถิ่นเพิ่มมาคนหนึ่งก็เท่ากับโชควาสนาเพิ่มมาส่วนหนึ่ง จะฆ่าข้าหรือไม่ ไม่ได้สำคัญขนาดนั้นแล้ว พวกเจ้าคิดจริงๆ หรือว่าข้าหวั่นไหวอยากได้ร่างอรหันต์ทองร่างหนึ่ง? พวกเจ้าดูแคลนข้าติงอิงเกินไปแล้ว แต่ข้าจะบอกข่าวดีใหญ่เทียมฟ้าอย่างหนึ่งให้พวกเจ้าก็แล้วกัน ฆ่าเจ้าคนที่อยู่บนถนนผู้นั้นก็เพียงพอแล้ว นอกจากหนึ่งชีวิตแล้ว ยังมีน้ำเต้าบรรจุเหล้าและกระบี่บินเทพเซียนในตำนานซึ่งอยู่ในห้องด้านหลังข้า อย่างน้อยก็ได้ถึงสามส่วนสิบ”
ผู้เฒ่ากล่าวอย่างเกียจคร้านว่า “ไม่สู้พวกเจ้าและข้าสองฝั่งถือโอกาสเปลี่ยนแผนการไปเลยดีกว่า สังหารเจ้าเด็กนั่นก็จะมีโอกาสให้เลือกเพิ่มขึ้นอีกมาก”
พอได้รับคำตอบที่แน่ชัดกลับมแล้ว ผู้เฒ่าก็หลุดหัวเราะพรืด
บนถนน เฉินผิงอันกวาดตามองรอบด้าน พูดเสียงหนัก “เลิกวางแผนเล่นงานสภาพจิตใจของข้าได้แล้ว”
ใบหน้ายิ้มและหนุ่มปักบุปผาต่างก็รู้สึกประหลาดใจ ไม่รู้ว่าเหตุใดอีกฝ่ายถึงหลุดประโยคนี้ออกมา
มีเพียงชายฉกรรจ์วัยกลางคนอุ้มกระบี่ที่ยืนอยู่ใต้ร่มไม้ห่างไปไกลซึ่งเดิมทีกำลังงีบหลับเท่านั้นที่พอได้ยินประโยคนี้ก็ลืมตาขึ้น ไม่มีสีหน้าเกียจคร้านเหลืออีกแม้แต่น้อย หัวเราะเสียงเย็นพูดว่า “เป็นเช่นนี้จริงๆ ด้วย”
บทที่ 311.1 ลอบฆ่า
ProjectZyphon
ชายฉกรรจ์วัยกลางคนเดินออกมาจากร่มไม้ช้าๆ มือกุมด้ามกระบี่ ตัวกระบี่ทิ่มลงเบื้องล่าง แกว่งซ้ายแกว่งขวาไปมา ท่าทางเช่นนี้เหมือนมือกระบี่เสียที่ไหน เหมือนเด็กซุกซนที่ถือกลองป๋องแป๋งเสียมากกว่า เมื่อเขาปรากฏตัวอยู่ท่ามกลางสายตาของทุกคน หม่าเซวียน สตรีผีผา ใบหน้ายิ้ม หนุ่มปักบุปผาโจวซื่อ ยาเอ๋อร์แห่งลัทธิมารล้วนหน้าเปลี่ยนสีกันหมด
ชายฉกรรจ์ไม่ชายตาแลยอดฝีมือที่มีชื่อเสียงในยุทธภพทั้งหลายเหล่านี้ แค่ยิ้มพูดกับคนหนุ่มที่น่าจะอยู่บนเส้นทางเดียวกับตนว่า “คิดมากเกินไปแล้ว เจ้ายังไม่มีหน้าตาใหญ่โตขนาดนั้น ร้อยปีของยุทธภพแห่งนี้ คาดว่าคงมีแค่ติงอิงคนเดียวที่พอจะมีคุณสมบัติ ส่วนเจ้า…”
เขายื่นฝ่ามือข้างที่ว่างออกมาแล้วส่ายนิ้ว “ยังไม่เข้าขั้น”
ภายใต้การจับจ้องของทุกคน ชายฉกรรจ์ปักกระบี่ยาวลงบนพื้น ฝ่ามือยันด้ามกระบี่ ท่วงท่าเกียจคร้าน พูดกลั้วหัวเราะกับคนทั้งสองกลุ่ม “อย่ามัวยืนอึ้งกันอยู่สิ เชิญพวกเจ้าต่อได้เลย หากฆ่าไม่ได้จริงๆ ข้าค่อยลงมือก็ยังไม่สาย วางใจเถอะ กระบี่ที่ออกจากฝักของข้าวันนี้จะเล่นงานเจ้าเด็กนั่นเพียงคนเดียว รับรองว่าไม่ทำร้ายพวกเจ้ามั่วซั่วเด็ดขาด”
หม่าเซวียนถ่มน้ำลายปนเลือดทิ้งแล้วหัวเราะกำเริบเสิบสาน “คิดไม่ถึงว่าจะมีโอกาสได้เซียนกระบี่ลู่มาช่วยคุมหลังให้ การเดินทางมาเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนคราวนี้ไม่เสียเที่ยวแล้ว ไม่ว่าอย่างไร ขอแค่วันหน้าคนในยุทธภพพูดคุยถึงศึกใหญ่ครั้งนี้ก็คงเลี่ยงจะเอ่ยถึง ‘หม่าเซวียน’ ไม่ได้ สามารถต่อสู้อย่างสุดกำลังได้แล้ว!”
หม่าเซวียนโก่งหลังขึ้นเล็กน้อย เห็นเพียงว่าตั้งแต่ไหล่ลามไปถึงแขนของเขาปรากฎภาพลายสักพยัคฆ์ลงขุนเขาตัวหนึ่งที่เปี่ยมไปด้วยพละกำลังน่าตื่นตกใจ
ไม่เพียงเท่านี้ บนแผ่นหลังที่นูนสูงยังมีภาพวาดที่คล้ายคลึงกับภาพของเทพทวารบาล เป็นภาพของชายฉกรรจ์หนวดยาวชุดเขียวถือดาบยาวคนหนึ่งกำลังหลับตา ยืนเอาดาบยันพื้น แผ่ไอความเย็นที่เข้มข้น น่าหวาดกลัวยิ่งกว่าพยัคฆ์ลงภูที่อยู่ตรงไหล่เสียอีก
รอยยิ้มของใบหน้ายิ้มที่นั่งยองอยู่บนหัวกำแพงยิ้มกดลึก สองนิ้วคีบก้านต้นหญ้าที่ไม่รู้ว่าไปดึงจากไหนเอามาเคี้ยวเบาๆ
หนุ่มปักบุปผาโจวซื่ออธิบายให้ยาเอ๋อร์ที่อยู่ข้างกายฟังเบาๆ “เห็นได้ชัดว่าหม่าเซวียนก็พบเจอเรื่องมหัศจรรย์ ได้รับโชควาสนาเล็กๆ น้อยๆ มาบางส่วนเช่นกัน ท่านพ่อข้าเคยเล่าให้ฟังว่า นี่เรียกว่าวิชาอัญเชิญเทพ ในสัญญาหกสิบปีคราวก่อนที่เกิดขึ้นเมื่อสามร้อยปีที่แล้ว เคยมีคนอาศัยวิชานี้เปิดฉากสังหารทั่วทิศอยู่นอกด่าน ไล่ล่ากองทหารม้าแห่งทุ่งราบสองพันนายแล้วสังหารเสียเกลี้ยง”
เห็นสายตามืดทะมึนของสตรีอุ้มผีผา ชายฉกรรจ์ร่างกำยำที่พลังอำนาจไต่ทะยานขึ้นเป็นลำดับก็หัวเราะหึหึ “หากไม่มีความสามารถใหม่ๆ มาเพิ่ม ไหนเลยจะกล้ามาเข้าเหยียบน้ำขุ่นบ่อนี้ เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าข้าผู้อาวุโสสนใจทองเล็กน้อยแค่นั้น?”
หญิงสาวพูดเสียงเย็น “ข้ามาก็เพราะทอง เงินก้อนนี้ สะอาด”
หม่าเซวียนเยาะหยัน “ทำไม คงไม่ได้หลงรักเจ้าบัณฑิตยากจนคนนั้นจริงๆ หรอกนะ? พวกบัณฑิตที่ไม่ต้องการหน้าตาจะมีสักกี่คนกันเชียว หากเขารู้เรื่องราวในอดีตของเจ้าคงเสียใจจนไส้เขียว ไม่แน่ว่าอาจด่าเจ้าสาดเสียเทเสียจนเทียบหญิงคณิกาไม่ได้เลยด้วยซ้ำ หากเขาด่าอย่างนั้นก็ไม่ได้ใส่ร้ายเจ้าเลยสักนิด ตั้งแต่หัวจรดเท้าของเจ้ามีตรงไหนบ้างที่สะอาด? รีบไสหัวไปซะ วันหน้าเมื่อเจ้ากับบัณฑิตยากจนผู้นั้นแต่งงานกัน นายท่านจะมอบทองให้พวกเจ้าสองคนห้าร้อยตำลึงเอง ถือซะว่าเป็นเงินค่าร่วมหลับนอนกับหญิงโสเภณีแล้วกัน”
โจวซื่อเอ่ยยิ้มๆ “ปากก็เรียกคนเขาว่าเมียน้อย ที่แท้ก็มีใจให้เขาจริงๆ”
สตรีอุ้มผีผาสวมเล็บปลอมเผยความลังเลออกมาเสี้ยวหนึ่ง
ใบหน้ายิ้มพลันเอ่ยขึ้นว่า “แต่งงาน? ก่อนข้าจะมาที่นี่เคยได้พูดคุยกับบัณฑิตแซ่เจี่ยงคนหนึ่ง คุยถูกคอกันไม่น้อย พูดถึงเรื่องราวน่าสนใจในยุทธภพ หนึ่งในนั้นก็พูดถึงเรื่องสนมผีผา คงเป็นเพราะบัณฑิตคนนั้นเรียนหนังสือจนโง่ไปแล้ว เขาพูดแค่ว่าเหตุใดบนโลกถึงได้มีสตรีไร้ยางอายที่หลงระเริงตนได้มากขนาดนี้ ถึงสุดท้ายแล้วก็ยังคิดไม่ออกว่าสนมผีผาคนนั้นก็คือคนข้างหมอนของตัวเอง เฮ้อ ในเมื่อเป็นคนเลอะเลือนขนาดนี้ คิดดูแล้วงานแต่งครั้งนี้ก็คงสำเร็จได้ด้วยดี”
สีหน้าของหญิงสาวเศร้าสลด แต่จากนั้นก็เปลี่ยนมาเป็นเด็ดเดี่ยว
เฉินผิงอันใช้ใจมอง ใช้หูฟังโดยที่ไม่มีความร้อนรนกระวนกระวายเลยแม้แต่น้อย
ไม่เพียงแต่ตกอยู่ในวงล้อมแน่นหนากลางถนน ดูเหมือนว่ากระบี่บินสืออู่ที่อยู่ในบ้านที่เขาพักก็ถูกยันต์อักษรบ่อพันธนาการเช่นกัน
ชายที่กุมด้ามกระบี่ท่าทางเอ้อระเหยลอยชายผู้นั้นคือผู้ฝึกยุทธ์ที่ ‘ใกล้มรรคา’ คนที่สามที่เฉินผิงอันเคยพบเจอ สองคนก่อนหน้านี้คือผู้เฒ่าสวมกวานดอกบัวสีเงินและฝานกว่านเอ่อร์ ทว่าเมื่อเทียบกับฝานกว่านเอ่อร์แล้ว ตบะวิถีวรยุทธ์ของบุรุษที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้สูงกว่าไม่น้อย หากดูจากตอนนี้ก็เหมือนว่าจะห่างจากผู้เฒ่าแซ่ติงไม่มากเท่าไหร่
แต่ขนาดหม่าเซวียนยังมีความสามารถที่เก็บไว้ก้นกรุ ก็เห็นได้ชัดว่ายุทธภพแห่งนี้ไม่ได้ตื้นเขินอย่างที่คิดไว้
หากสืออู่วัตถุฟางชุ่นอยู่ในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ ไม่ใช่ชูอี สถานการณ์อาจจะดีกว่านี้ แต่ในเมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว คิดมากไปก็ไร้ประโยชน์
ตอนนี้สถานการณ์ที่เขาเจอสมกับคำว่าศัตรูล้อมหน้าล้อมหลังอย่างแท้จริง
โจวซื่อยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “แม่นางยาเอ๋อร์ คงต้องรบกวนแล้ว”
หญิงสาวที่สวมรองเท้าเกี๊ยะกล่าวอย่างระอาใจ “ท่านปู่ก็พูดแล้ว ข้าหรือจะกล้าแอบอู้ แต่เจ้าจำไว้ว่าต้องช่วยข้าด้วย”
หนุ่มปักบุปผาพยักหน้ารับ “ทำลายบุปผางามคือเรื่องที่โหดร้ายอันดับหนึ่งของโลก ข้าโจวซื่อจะไม่มีทางทำให้แม่นางยาเอ๋อร์ผิดหวังแน่นอน”
ใบหน้ายิ้มที่สีหน้าแข็งทื่อโยนก้านต้นหญ้าทิ้ง เขาเองก็ลุกขึ้นเช่นกัน หลังจากยืดเส้นยืดสายแล้วก็ใช้มือสองข้างนวดคลึงข้างแก้ม เผยรอยยิ้มจริงใจที่ไม่แข็งทื่อตายตัวเหมือนเดิมอีกต่อไป “ข้าอยากจะลองชั่งน้ำหนักของเจ๋อเซียนด้วยมือตัวเองดูสักหน่อย”
ลู่ฝ่างร้องเรียก แล้วเอ่ยเตือนด้วยรอยยิ้ม “ศึกใหญ่กำลังจะเริ่มต้น เจ้ายังคาดหวังอยากจะได้สิ่งจอมปลอมพวกนั้นอีกรึ? คนหนึ่งก็ถงชิงชิงที่ต้องคอยหลบๆ ซ่อนๆ คนหนึ่งเฝิงชิงป๋ายที่ก้าวรุดหน้าไม่สนอุปสรรคใดๆ บวกกับเจ้าที่มึนๆ งงๆ อีกคนหนึ่ง อันที่จริงก็ไม่ได้มีอะไรเลย ต่างคนต่างก็มีวิธีเอาตัวรอด เพียงแค่โชคชะตาของเจ้าแย่กว่าคนอื่นก็เท่านั้น รู้อยู่แล้วว่าเจ้าจงใจปกปิดความสามารถที่แท้จริงอยู่ตลอดเวลา เล่นกับไฟระวังมันจะเผาไหม้ตัวเอง”
หม่าเซวียนปล่อยพลังอำนาจให้ไต่ทะยานสู่จุดที่สูงที่สุดในชีวิตของการเล่าเรียนวรยุทธ์ในรวดเดียว ไม่มีเหตุผลให้มัวรั้งรออีก
ความชิงชังความอาลัยที่มีต่อสตรีอุ้มผีผาอาจจะไม่ใช่ของปลอมเสมอไป และการรอจังหวะลงมืออย่างเต็มกำลังนี้ก็ยิ่งเป็นของจริง
เรือนร่างของพยัคฆ์ลงจากภูตัวนั้นขยับเคลื่อนไหวเหมือนมีชีวิตจริง เมื่อบนไหล่และแขนของหม่าเซวียนมีแสงสีทองแผ่ขึ้นมาเป็นระลอก เวลาที่หม่าเซวียนกำหมัดซ้าย ตรงร่องนิ้วจึงมีแสงสีทองลอดออกมา
ก้าวหนึ่งก้าวก็มาอยู่ตรงหน้าเฉินผิงอันในชั่วเสี้ยววินาที เหวี่ยงกระแทกหมัดออกไป เสียงพายุคลอเสียงฟ้าร้องก็ดังสะเทือนเลือนลั่นอยู่กลางอากาศ
เฉินผิงอันไม่ถอย กลับกันยังรุกเข้าหา เขาเอียงศีรษะ ก้มตัวลง ใช้ไหล่ดันแนบประชิดอีกฝ่าย ขณะเดียวกันมือขวาก็กดเข่าของอีกฝ่ายที่กระแทกเข้ามา แล้วดันออกไป ร่างทั้งร่างของหม่าเซวียนถูกดันจนกระเด็นออกไปเจ็ดแปดจั้ง ทุกก้าวล้วนเหยียบให้พื้นถนนเกิดหลุม โซเซหลายก้าวกว่าจะหยุดยืนได้อย่างมั่นคง
เสียงผีผาดังขึ้นจากสองข้างกายของหม่าเซวียน เส้นใยสีสว่างใสสองเส้นพุ่งเข้าหาเฉินผิงอันเป็นวงโค้ง
หม่าเซวียนพลันกระทืบเท้ากระโจนไปข้างหน้าอีกครั้ง
ร่างของเฉินผิงอันวูบหายไปมา หลบพ้นการลอบฆ่าของสายผีผามาได้ นอกจากความปราดเปรียวของเรือนกายแล้ว คล้ายว่าถูกอะไรบางอย่างคอยกระชากไปข้างหน้า ถึงได้เร็วจนผิดปกติ
ดวงตาของลู่ฝ่างเป็นประกายวาบ หัวเราะเสียงดัง “หม่าเซวียน ระวังเบื้องหน้า”
หม่าเซวียนชะงักกึก เป็นเหตุให้บนถนนถูกไถคราดเป็นร่องลึกสองเส้น เท้าสองข้างของเขาย่ำลงหนักๆ แขนสองข้างก็ยกขึ้นมาป้องกันเบื้องหน้า
แล้วก็มีหมัดที่น่าเหลือเชื่อหมัดหนึ่งต่อยเข้าที่แขนของเขาจริงๆ หม่าเซวียนคำรามกร้าวอย่างเดือดดาล แม่ทัพถือดาบชุดเขียวหนวดยาวที่วาดไว้บนแผ่นหลังพลันลืมตาโพลง
“ไปตายซะ!” หม่าเซวียนแค่หงายหลังเล็กน้อย หนึ่งเท้าเหยียบไปเบื้องหน้า ควงแขนเหวี่ยงหมัดออกไป แขนทั้งข้างที่มีแสงสีทองไหลรินก็ตวัดวาดเป็นภาพหน้าพัดสีทองอยู่กลางอากาศ
ในสายตาของใบหน้ายิ้ม เห็นเพียงว่าคนชุดขาวหิมะใช้มือข้างหนึ่งรับหมัดของหม่าเซวียนแล้วกดลงด้านล่างเบาๆ ดีดร่างขึ้นสูง ลอยข้ามหัวของหม่าเซวียนมา อีกทั้งยังดีดเท้าเข้าที่ท้ายทอยของหม่าเซวียนหนึ่งที กระโจนเข้าหาสตรีที่ลงมืออย่างลับๆ ล่อๆ ซึ่งหลบอยู่เบื้องหลัง สตรีอุ้มผีผารู้ได้ว่าท่าไม่ดี นิ้วที่อยู่บนเส้นเอ็นจึงขยับลื่นไหลว่องไว ระหว่างสองฝ่ายจึงมีใยแมงมุมสีเขียวมรกตถักทอขึ้นมา
เฉินผิงอันพลันขมวดคิ้ว ทันใดนั้นก็เปลี่ยนทิศทาง ละทิ้งสตรีอุ้มผีผา ตรงดิ่งไปทางฝั่งซ้ายมือ
ซึ่งก็คือใบหน้ายิ้มที่กำลังคลี่ยิ้มน่าสะพรึงกลัว
หากไม่นับรวมลู่ฝ่าง
ในบรรดาคนสองกลุ่มที่เผยกายตรงหน้าตอนนี้ เฉินผิงอันกริ่งเกรงคนท่าทางประหลาดผู้นี้มากที่สุด
ใบหน้ายิ้มเอ่ยกลั้วหัวเราะ “คนต่างก็พูดกันว่าเลือกบีบมะพลับนิ่ม (เปรียบเปรยถึงเลือกรังแกคนที่อ่อนแอกว่า) เจ้ากลับดีนัก”
เขากางสองแขนออกแล้วทิ้งตัวลงมาเบื้องหน้า
นาทีถัดมาร่างของใบหน้ายิ้มก็หายวับไป
เฉินผิงอันเปลี่ยนทิศทางอยู่กลางอากาศ ยื่นมือไปคว้าใบหน้ายิ้มที่มาปรากฏตัวอยู่ด้านหลังแล้วถีบเข้าที่ศีรษะด้านหลังของเขาอย่างเงียบเชียบ
เฉินผิงอันกลับคว้าได้เพียงความว่างเปล่า
ไม่ต่างจากการใช้ยันต์ย่อพื้นที่
ใบหน้ายิ้มมาปรากฏกายอยู่ด้านหลังอย่างลึกลับอีกครั้ง คราวนี้เขาห่อตัว กางแขนสองข้างออก ปล่อยหมัดสองข้างต่อยเข้าที่จุดไท่หยางสองฝั่งของเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันกำลังจะลงมือ
คำพูดของลู่ฝ่างที่บอกกับใบหน้ายิ้มอย่างโจ่งแจ้งกลับชิงดังขึ้นมาเสียก่อน “ระวัง เขาจะเอาจริงแล้ว”
ใบหน้ายิ้มลังเลเล็กน้อย ก่อนจะเป็นฝ่ายละทิ้งโอกาสดีเยี่ยมที่จะใช้สองหมัดต่อยศีรษะเฉินผิงอันให้ระเบิดแตก พริบตาเดียวก็ไปยืนอยู่บนถนนหินเขียว
เฉินผิงอันเหมือนเปลี่ยนตำแหน่งกับใบหน้ายิ้ม ฝ่ายหลังไปอยู่บนถนน ส่วนเฉินผิงอันยืนอยู่บนหัวกำแพง
ชำเลืองตามองชายฉกรรจ์กุมด้ามกระบี่ที่ทำลายเรื่องดีของตนถึงสองครั้ง “ทำไมเจ้าไม่ลงมือเสียเลยเล่า?”
ลู่ฝ่างใช้ฝ่ามือตบด้ามกระบี่เบาๆ พูดกลั้วหัวเราะ “ล้อมวงรุมเด็กรุ่นหลังคนหนึ่งกับคนมากมายขนาดนี้ หากแพร่ออกไป ย่อมไม่เป็นผลดีต่อชื่อเสียง”
เฉินผิงอันเงียบงัน
ในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่แผ่กลิ่นอายความตายเข้มข้น เหมือนกาเหล้าที่เดิมทีเปิดออกแล้ว แต่กลับถูกคนเอาอะไรมาอุดไว้จึงไม่อาจได้กลิ่นจากในกาเหล้าอีกแม้แต่นิดเดียว
ชูอีเหมือนวัวปั้นดินเหนียวที่จมลงสู่มหาสมุทร ไม่มีความเคลื่อนไหว ความเชื่อมโยงทางจิตกับเฉินผิงอันถูกตัดขาด
ไม่เพียงเท่านี้ ชุดคลุมอาคมจินหลี่บนร่างก็สูญเสียประสิทธิผลไปด้วย
ทว่าเมื่อสูญเสียยันต์คุ้มกันกายอย่างจินหลี่ตัวนี้ไป เท่ากับว่าเฉินผิงอันสูญเสียเงินทุนจากการมองข้ามอาวุธป้องกันกาย แต่ก็มีข้อดีอย่างหนึ่งอย่างเดียวที่เพิ่มขึ้นมา นั่นก็คือไม่มีพันธนาการจากการที่ต้องโคจรปราณวิญญาณไปให้แก่ชุดคลุมอาคมจินหลี่ เหมือนว่าเฉินผิงอันได้ถอดยันต์ลมปราณที่แท้จริงของหยางเหล่าโถวในตอนนั้นออก มือเท้าไร้พันธนาการ ออกหมัดมีแต่จะเร็วยิ่งกว่าเดิม
ชูอีหายตัวไป สืออู่ถูกกักตัวไว้ จินหลี่ไม่มีวิชาอาคมใดๆ
แลกมาด้วยการออกหมัดอย่างเต็มคราบ
การออกหมัดเน้นย้ำในข้อที่ว่าปล่อยเก็บได้ดังใจปรารถนา
และอันที่จริงเฉินผิงอันก็ ‘เก็บ’ ไว้ตลอดเวลา
เพราะสำหรับยุทธภพ เมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยน รวมไปถึงสิบผู้ยิ่งใหญ่ใต้หล้าของที่แห่งนี้ เขามีแต่ความสงสัยและคลางแคลงใจ
เพียงแต่ว่าคิดไม่ตกก็ส่วนคิดไม่ตก เพราะบางเรื่องก็ยังต้องลงให้เขามือทำ
ลู่ฝ่างเริ่มให้การชี้แนะอีกครั้ง “หม่าเซวียน อย่าตายนะ”
หม่าเซวียนตั้งท่าหมัด แขนซ้ายขวาทั้งสองข้างล้วนกลายเป็นสีทอง ระหว่างที่หายใจจะมีแสงสีทองถูกพ่นออกมาเป็นกลุ่ม
อริยะบุ๋นหนวดยาวชุดคลุมเขียวที่อยู่ด้านหลังของเขา หลังจากลืมตาขึ้นมาแล้วก็เหมือนมีชีวิตจริง ปลายดาบของเขามีลูกแสงสีขาวหิมะลูกหนึ่งส่องแสงสว่างขึ้นมา เส้นใยเป็นกลุ่มๆ เส้นๆ กระจัดกระจายไปทั่วร่าง เพียงไม่นานดวงตาทั้งคู่ของหม่าเซวียนก็กลายเป็นแสงสีเงินจางๆ
ชายฉกรรจ์ร่างกำยำที่กลายมาเป็นเหมือนเทวรูปที่ตั้งบูชาอยู่ในตำหนักใหญ่ แสยะปากกล่าวว่า “จินกังมิพ่ายร่างนี้ เดิมทีคิดไว้ว่าจะเอามาลองใช้กับบุคคลอันดับหนึ่งแห่งใต้หล้าอย่างราชครูจ้ง ไอ้หนู เจ้ามันร้ายจริงๆ มาๆๆ ต่อยลงมาบนร่างของนายท่านได้เต็มที่ หากข้าขมวดคิ้วก็ถือว่าข้าแพ้…”
“ได้เลย”
ครั้นแล้วเฉินผิงก็อันยกเท้าถีบ
บทที่ 311.2 ลอบฆ่า
ProjectZyphon
ในสายตาของทุกคนปรากฏภาพลวงตาราวกับถนนใหญ่ทั้งเส้นถูกเท้านี้เหยียบให้ถล่มลงไปหลายฉื่อ
หนึ่งหมัดของกระบวนท่าม้าเหล็กทะลวงขบวนรบที่ไม่มีการกักเก็บพลังกระแทกโครมลงบนหน้าอกของหม่าเซวียน
แรงกระแทกทำให้ภาพวาดอริยะบู๊เครายาวชุดเขียวที่อยู่ด้านหลังแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ ในชั่วพริบตา
เรือนกายสูงใหญ่กำยำของหม่าเซวียนส่งเสียงดังเปรี้ยงแล้วปลิวลิ่วกระเด็นออกไป
เฉินผิงอันตามติดราวกับเงาตามตัว
แล้วก็ปล่อยไปอีกหมัด ร่างของหม่าเซวียนบิดเบี้ยวเหมือนธนูโค้ง การออกหมัดครั้งนี้เฉินผิงอันเปลี่ยนองศาเล็กน้อย เป็นเหตุให้ร่างของหม่าเซวียนกระแทกเข้ากับคู่หูที่อยู่ด้านหลังพอดี
“ลู่ฝ่างช่วยข้าด้วย!”
สตรีอุ้มผีผาหน้าเปลี่ยนสีอย่างรุนแรง หลังจากส่งเสียงกรีดร้องด้วยความตกใจก็ไม่ได้อยู่เฉยรอความตาย ไม่เสียแรงที่นางเป็นยอดฝีมือคนหนึ่ง ทั้งไม่ได้ถอยหนี แล้วก็ไม่ได้หลบซ้ายหลบขวา แต่ดีดปลายเท้าพุ่งพรวดไปด้านหน้า พยายามจะหลบอยู่ด้านหลังหม่าเซวียนที่มีร่างจินกังมิพ่าย ในใจคิดว่าไอ้หมอนั่นคงไม่ถึงกับต่อยหมัดทะลุร่างของหม่าเซวียนมาได้
ขอแค่เขาหยุดชะงักเล็กน้อย เชื่อว่าลู่ฝ่างต้องออกกระบี่ทันที
ดูเหมือนเฉินผิงอันจะมองความคิดของสตรีอุ้มผีผาออก หมัดที่สามถึงได้กระแทกลงบนหน้าท้องของหม่าเซวียน
ร่างทองไม่เพียงแต่แตกสลายเพราะถูกแรงกระเทือน ดวงตาทั้งคู่ทีเดิมทีเป็นสีเงินอ่อนของหม่าเซวียนก็เปลี่ยนมาเป็นสีแดงก่ำ เต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอยน่าหวาดกลัว
แผ่นหลังของหม่าเซวียนกระแทกเข้ากับสตรีอุ้มผีผาที่ตอนแรกนึกว่าจะได้เปรียบแต่กลับกลายเป็นเข้าเนื้ออย่างแรง
สายเอ็นของผีผาถูกแรงชนจนเกิดเสียงโกลาหลไม่เป็นจังหวะ หญิงสาวกระอักเลือดออกมาหนึ่งคำแล้วก็ถีบเท้าสองข้างตัดสลับกันถอยกรูดอยู่กลางอากาศ
แต่ก็ยังช้าเกินไป
หมัดของเฉินผิงอันต่อยทะลุผีผาที่อยู่ในอ้อมอกของหญิงสาว กระแทกเข้าที่หน้าท้องของนางอย่างแรง เหวี่ยงแขนเป็นครึ่งวงกลม ทั้งหญิงสาวและผีผาที่แตกพังต่างก็ถูกพลังของหมัดบิดหมุน จากนั้นก็เหวี่ยงเข้าไปชนผนังด้านหนึ่ง เรือนกายแอบอิ่มนั้นแทบจะฝังลงไปในผนังทั้งหมด เป็นตายไม่รู้ชัด ผีผาในอ้อมอกร่วงหล่นบนพื้นอย่างหมดสิ้นซึ่งพลัง
ลู่ฝ่างที่อยู่ห่างออกไปไกลคลี่ยิ้มน้อยๆ ยังคงไม่ออกกระบี่
แม้ดูเหมือนว่าคนผู้นั้นจะมองเขาเป็นศัตรูที่แท้จริงก็ตาม
เขาเอ่ยอย่างเกียจคร้านอีกครั้ง “ใบหน้ายิ้ม จำไว้ว่าอย่ามึนงงสับสนไปกับความเร็วในการออกหมัดทุกครั้งของเขาเด็ดขาด เพราะเขายังเร็วกว่านี้ได้อีก พยายามอย่าให้เขาเข้ามาประชิดตัว อาวุธลับหรือยาพิษอะไรทั้งหลายแหล่ ไม่สู้เอาออกมาลองดู”
ลู่ฝ่างแสร้งทำท่าเป็นเข้าใจในฉับพลัน “อ้อ ใช่แล้ว คนที่เขาอยากฆ่าจริงๆ แท้จริงแล้วคือแม่นางยาเอ๋อร์และคุณชายใหญ่โจว”
ถูกวิชาหมัดของเฉินผิงอันสั่นสะเทือนจิตใจ ยาเอ๋อร์หญิงสาวจากลัทธิมารไม่เหลือแม้แต่ความคิดจะฝืนใจยืนชมเรื่องสนุกอีกแล้ว ต่อให้หลังจบเรื่องจะถูกเจ้าลัทธิเฒ่าซักไซ้เอาความผิด แต่อย่างไรก็คงดีกว่ามีจุดจบอเนจอนาถอย่างหม่าเซวียน
ฝ่ายโจวซื่อก็ยิ่งตัดสินใจได้นานแล้วว่าจะนิ่งดูดายไม่ให้ความช่วยเหลือ
แต่ลู่ฝ่างกลับพูดออกมาแบบนี้ คนทั้งสองจึงประหวั่นพรั่นพรึง
แล้วก็จริงดังคาด เฉินผิงอันขยับตัวเข้าหาพวกเขาในแนวขวาง
คนที่อยู่ตรงหน้าเขาก็คือยาเอ๋อร์ที่สวมรองเท้าเกี๊ยะ
นางกำลังจะขยับหลบกลับต้องเบิกตากว้าง ใบหน้าเต็มไปด้วยความเจ็บปวด
กำแพงด้านหลังของนางระเบิดออกอย่างไร้ลางบอกเหตุ กระบี่ยาวที่เรียวบางอย่างถึงที่สุดเล่มหนึ่งปรากฏออกมา มือทั้งคู่ของนักฆ่ากุมด้ามกระบี่ จ้วงแทงรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ
ปลายกระบี่แทงทะลุมาจากแผ่นหลังของหญิงสาว มือสองข้างที่จับกระบี่แนบอยู่กับแผ่นหลังของยาเอ๋อร์ นักฆ่าห้อตะบึงไปข้างหน้าต่ออีกครั้ง หญิงสาวที่น่าสงสารจึงถูกผลักไปเบื้องหน้าทั้งอย่างนี้
ราวกับหน้าท้องของหญิงสาวมีกระบี่ไร้ฝักยาวสามฉื่อผุดออกมา
ปลายกระบี่แทงเข้าหาเฉินผิงอัน
ตรงเข้าสู่จุดจงถิง
จุดจงถิงเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าคางมังกร ตำแหน่งตรงกับเส้นกึ่งกลางเบื้องหน้าของเฉินผิงอันพอดี
ลู่ฝ่างกำด้ามกระบี่อย่างเงียบเชียบ
แต่ไม่นานเขาก็ปล่อยออก
ชั่วเส้นยาแดงผ่าแปด เฉินผิงอันก็หายตัวไป
เขาใช้ยันต์ฟางชุ่นแผ่นสุดท้าย
นักฆ่าคนนั้นปล่อยมือข้างหนึ่งที่กุมกระบี่มากดท้ายทอยของหญิงสาวแล้วผลักไปด้านหน้าอย่างแรง เรือนกายอรชรไถลออกจากตัวกระบี่ ล้มฟุบหน้าคว่ำลงบนพื้นดินที่ห่างออกไปหลายจั้ง กระดูกสันหลังขยับน้อยๆ น่าจะกระอักเลือดไม่หยุด เลือดไหลนองเปียกซึมอาภรณ์ด้านหลัง หญิงสาวดิ้นรนลุกขึ้น พยายามจะพลิกตัวกลับมา แต่เพิ่งจะงอข้อศอกได้เล็กน้อยก็ร่วงกระแทกกลับลงบนพื้นถนนอย่างแรงอีกครั้ง
นักฆ่าคนนั้นคือบุรุษหนุ่มเปลือยเท้า ม้วนแขนเสื้อพับขึ้น เขาหันหน้าไปมองเฉินผิงอันที่กำลังปรับลมหายใจ พูดพร้อมยิ้มเจิดจ้า “ได้ยินว่าขอแค่สังหารเจ้าก็จะได้สมบัติอาคมไปครอง ข้าก็เลยมา”
เขาสลัดกระบี่หมุนควงอย่างสง่างาม “ข้าชื่อเฝิงชิงไป๋ ผู้ฝึกกระบี่ เลื่อนสู่อันดับสิบคนคือส่วนหนึ่ง บวกกับส่วนที่แลกมาด้วยหัวของเจ้า ก็น่าจะได้กำไรก้อนโตแล้ว”
เฝิงชิงไป๋กล่าวอย่างจนใจ “น่าเสียดายที่ไม่สามารถสังหารเจ้าได้ด้วยกระบี่เดียว หากปะทะกันซึ่งๆ หน้า ข้าก็อาจจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจ้าเสมอไป แต่ไม่เป็นไร ข้าสามารถร่วมมือกับลู่ฝ่างได้ เขาเป็นคนเดียวของที่นี่ที่มีคุณสมบัติเป็นเซียนกระบี่ ถึงอย่างไรก็ต้องกลับไปแน่นอน”
หม่าเซวียนที่อัญเชิญเทพเข้าร่างได้แค่ครึ่งๆ กลางๆ บัดนี้ร่างทองพังทลาย
หญิงสาวอุ้มผีผาที่ร่างจมหายเข้าไปในผนัง แน่นิ่งไม่ขยับ ตรงมุมกำแพงยังมีเสียงหินแตกร่วงลงมาอย่างต่อเนื่อง
หญิงสาวงดงามที่มีชื่อเสียงในลัทธิมารซึ่งแอบประคับประคองเชื้อพระวงศ์อย่างลับๆ มานานหลายปีนอนจมอยู่ในกองเลือด รองเท้าเกี๊ยะและเท้าสีหิมะขาวผ่องคู่นั้นสะดุดตามากเป็นพิเศษ
แต่ยังมีลู่ฝ่าง เฝิงชิงไป๋ที่บอกว่าตัวเองเป็นผู้ฝึกกระบี่ ใบหน้ายิ้ม และหนุ่มปักบุปผาโจวซื่อ
เด็กหญิงร่างผอมแห้งที่นั่งอยู่บนม้านั่งตัวเล็กท่องอยู่ในใจว่า “หมัดแล้วหมัดเล่า ต่อยหัวสุนัขของพวกเขาให้ระเบิด ข้าจะได้ไปถอดเสื้อผ้าและรองเท้าของพวกเขามา แค่มองก็รู้แล้วว่าต้องขายได้เงินเยอะ”
เด็กหญิงมองสภาพน่าสังเวชของหญิงสาวคนนั้นอยู่ไกลๆ โดยเฉพาะรองเท้าเกี๊ยะคู่นั้นที่นางอดมองหลายครั้งไม่ได้ ในใจคิดว่าแต่งตัวเป็นจุดสนใจขนาดนี้ ก็ไม่แปลกที่จะตายเร็ว
เฉินผิงอันกำสองหมัดแน่น จากนั้นก็คลายออก ทำอย่างนี้ซ้ำไปซ้ำมาอยู่หลายครั้ง
ฝึกวิชาหมัดมานานขนาดนี้ คงได้เวลาที่จะปล่อยออกไปบ้างแล้ว
……
บนยอดเขากู่หนิว จ้งชิวราชครูแคว้นหนันเยวี่ยนสีหน้าเคร่งเครียด ถามเสียงหนักคล้ายไม่กล้าแน่ใจนัก “เป็นเช่นนี้จริงรึ? หากสังหารคนนั้นผู้นั้น นอกจากจะได้รายชื่อใหม่เอี่ยมเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งรายชื่อ ยังจะได้โชคลาภอีกสามส่วน? เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้ ในบันทึกประวัติศาสตร์ที่เป็นความลับของแต่ละแคว้นและเอกสารคดีลับของหอจิ้งหย่าง ทุกๆ ครั้งที่ระยะเวลาหกสิบปีจะมาถึง ไม่เคยมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ นี่จะเป็นแผนของติงอิงหรือไม่?”
อวี๋เจินอี้ที่มีใบหน้าอ่อนเยาว์ซื่อบริสุทธิ์กำลังใช้มีดแกะสลักสลักซี่พัดไม้ไผ่หยกซี่หนึ่งอย่างตั้งใจ เหมือนคนลุ่มหลงในรักที่ปฏิบัติต่อผิวพรรณของสตรีผู้เป็นที่รัก ได้ยินคำถามของจ้งชิวก็ไม่ได้ตอบ แต่จ้องมองลวดลายเล็กละเอียดบนด้ามไม่ไผ่ตาไม่กะพริบ บนหน้าผากมีเหงื่อผุดซึมออกมา นี่สำหรับอวี๋เจินอี้ที่วิถีวรยุทธ์อยู่ในขอบเขตกลับคืนสู่รูปลักษณ์เดิมแล้ว ต้องไม่ใช่เรื่องปกติอย่างแน่นอน
ในฐานะปรมาจารย์ใหญ่ที่เป็นรองแค่ติงอิง อากาศร้อนหรือหนาวไม่อาจทำอะไรอวี๋เจินอี้ได้นานแล้ว อีกทั้งยังเล่าลือกันว่าตอนอายุเจ็ดสิบปีเขาได้ตำราลับของเซียนมาเล่มหนึ่ง จึงบรรลุเจตนารมณ์สวรรค์มาหลายสิบปี เชี่ยวชาญเวทคาถาเป็นอย่างดี ถึงขั้นมีคนพูดจาอย่างมาดมั่นว่าเคยเห็นอวี๋เจินอี้ขี่เมฆทะยานหมอก ขี่นกกระเรียนขี่นกหลวนด้วยตาตัวเอง และช่วงเวลานั้นรูปลักษณ์ภายนอกของอวี๋เจินอี้ก็เริ่มเปลี่ยนจากผู้เฒ่าผมขาวมาเป็นชายฉกรรจ์ เด็กหนุ่ม จนกระทั่งกลายเป็นเด็กอย่างในทุกวันนี้
หลังจากปิดด่านมาสิบปี เมื่อฝ่าด่านสำเร็จ ในที่สุดคนและฟ้าก็รวมเป็นหนึ่ง คนทั้งโลกต่างก็หวังให้อวี๋เจินอี้ผู้นำฝ่ายธรรมะต่อสู้กับติงอิงสักครั้ง ทางที่ดีที่สุดคือสังหารอีกฝ่ายให้ตายไป คืนความสงบสุขให้แก่โลก ฮ่องเต้หลายพระองค์จะได้ไม่ต้องอกสั่นขวัญแขวน ขนาดนอนหลับก็ยังฝันว่าถูกเขาตัดหัว ปรมาจารย์ของทั้งฝ่ายธรรมะและอธรรมก็จะได้ไม่ต้องยืมจมูกคนอื่นหายใจ แม้แต่พวกบุคคลยิ่งใหญ่ของลัทธิมารก็ยังหวังให้บรรพบุรุษเฒ่านิสัยประหลาดผู้นี้รีบตายไปเร็วๆ หรือไม่ก็รีบสร้างวีรกรรมยิ่งใหญ่ในตำนานอย่างการบินทะยานขึ้นฟ้า สรุปก็คืออย่าได้อยู่ในโลกมนุษย์อีกเลย แปดสิบปีแล้ว ควรจะเปลี่ยนคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ของอันดับหนึ่งได้แล้ว
นอกจากบุรุษอย่างอวี๋เจินอี้กับจ้งชิวที่เป็นทั้งสหายและเป็นทั้งคู่แค้นกันแล้ว บนยอดเขากู่หนิวยังมีหญิงสาวหน้าตางามเพริศพริ้งที่สวมชุดฮุยอีอันสูงศักดิ์ ชุดเฮยอีนี้เป็นสีเขียวเข้ม คือชุดพิธีการสูงสุดของฮองเฮาแคว้นหนันเยวี่ยน จะสวมใส่ก็ต่อเมื่อเข้าร่วมพิธีสำคัญเช่นการประชุมราชสำนัก งานพิธีบวงสรวง เป็นต้น บนยอดเขาเวลานี้มีราชครูแคว้นหนันเยวี่ยนที่เคารพกฎมากที่สุด ถ้าเช่นนั้นสตรีแต่งงานแล้วผู้นี้ก็ต้องเป็นโจวซูเจินฮองเฮาแคว้นหนันเยวี่ยนเท่านั้น
นางยังมีตัวตนอีกอย่างหนึ่งที่ไม่อาจบอกใครได้ นั่นคือเจ้าของหอจิ้งหย่างคนปัจจุบัน รับผิดชอบจัดอันดับยอดฝีมือในใต้หล้า ยี่สิบปีต่อหนึ่งครั้ง
โจวเฝยแห่งตำหนักคลื่นวสันต์ปรารถนาในความงามของโจวฮองเฮาผู้นี้มานานแล้ว หนุ่มปักบุปผาโจวซื่อเคยกล่าวอย่างตรงไปตรงมาในตำหนักใหญ่วัดป๋ายเหอว่า หากไม่เป็นเพราะจ้งชิวเฝ้าอยู่ข้างวังหลวง บิดาของเขาก็คงเข้าวังไปแย่งชิงตัวคนมานานแล้ว
อวี๋เจินอี้วางไม้ไผ่หยกในมือชิ้นนั้นลง ยกมือเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก พ่นลมหายใจขุ่นมัวออกมาครั้งหนึ่ง ลมหายใจนั้นเป็นเหมือนไอหมอกที่ลอยอวลอยู่บนดวงหน้าของเด็กน้อยเนิ่นนานไม่ยอมสลายไป เขาตอบคำถามของจ้งชิวก่อน “น่าจะไม่ผิด แต่ติงอิงผู้นี้คาดเดาจิตใจได้ยาก เมื่อเทียบกับร่วมแรงกันสังหารมือกระบี่หนุ่มที่โผล่มากะทันหันผู้นั้นแล้ว แผนรับมือของติงอิงหลังจากนี้ต่างหากที่พวกเราควรระวังมากกว่า”
อวี๋เจินอี้เพิ่มระดับเสียงให้หนักขึ้น “ข้าไม่วางใจสถานการณ์ทางตรอกจ้วงหยวน ราชครูจ้งทางที่ดีที่สุดเจ้าควรไปจับตามองด้วยตัวเอง”
เรียกขานว่าราชครูจ้ง
ดูท่าความสัมพันธ์ของคนทั้งสองจะบางเบามากจริงๆ
จ้งชิวขมวดคิ้วพูด “แผนล้อมสังหารที่ตรอกจ้วงหยวน ไม่เพียงแต่มีติงอิงคอยเฝ้าพิทักษ์ ลู่ฝ่างยังพกกระบี่ไปด้วยตัวเอง มีอะไรให้ต้องไม่วางใจอีก?”
อวี๋เจินอี้ส่ายหน้า “ข้าไม่วางใจติงอิง แล้วก็ไม่วางใจลู่ฝ่าง”
สีหน้าของจ้งชิวไม่สบอารมณ์เล็กน้อย “ลู่ฝ่างผู้นี้เป็นคนเปิดเผยตรงไปตรงมา มีอะไรให้ต้องไม่วางใจ? เพียงแค่เพราะเขาเป็นคนบนเส้นทางเดียวกับมือกระบี่ผู้นั้นน่ะรึ?”
บุคคลอันดับหนึ่งของฝ่ายธรรมะที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วหล้า เจ้าประมุขพรรคหูซาน พระอาจารย์ของกษัตริย์แคว้นซงไล่ เทพเซียนผู้เฒ่าในสายตาของคนบนโลกผู้นี้ แต่ไหนแต่ไรมาก็เป็นเช่นนี้ แม้ว่าจะทำอะไรเปิดเผยตรงไปตรงมาทุกเรื่อง แต่ความเย็นชาห่างเหินที่แผ่ออกมาจากกระดูกนั้น ใครก็ตามที่ยิ่งสนิทสนมกับเขาก็จะยิ่งสัมผัสได้อย่างลึกซึ้ง
อวี๋เจินอี้กล่าวเสียงเรียบ “หากเจ้าไม่ไป ข้าไปเองก็ได้”
จ้งชิวแค่นเสียงเย็นหนึ่งที ก่อนจะพุ่งตัวลงไปยังตีนเขาเหมือนอินทรีบินโฉบโดยไม่แม้แต่จะชำเลืองตามองโจวฮองเฮา
กลายเป็นเงาดำเล็กๆ หนึ่งจุดที่เด้งขึ้นเด้งลงอยู่ตรงตีนเขาหลายครั้ง เพียงไม่นานก็หายไปจากภูเขากู่หนิว
โจวฮองเฮาทอดถอนใจ “แข็งแกร่งดุจจ้งชิวก็ยังไม่สามารถบังคับลมได้เหมือนเซียนที่บันทึกไว้ในตำราโบราณ เจ้าล่ะ อวี๋เจินอี้ ตอนนี้ทำได้หรือยัง?”
อวี๋เจินอี้เงียบเป็นคำตอบ
โจวซูเจินหัวเราะ “ต่อให้ไม่ได้ขี่เมฆบังคับลม แต่ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ยังสง่างามสูงส่งอยู่ดี”
ตอนที่นางยังเป็นเด็กสาวได้พบจ้งชิวและอวี๋เจินอี้ครั้งแรกในตลาดต่างแคว้น ฝ่ายแรกฉายประกายคมกริบ ฝ่ายหลังเก็บงำประกาย แต่ก็ยังทำให้นางตื่นตะลึงระคนชื่นชมได้อยู่ดี
อวี๋เจินอี้ลุกขึ้นยืน ร่างของเขาสูงไม่ถึงหน้าอกของโจวฮองเฮา แต่เมื่อเขาลุกขึ้นยืน โจวซูเจินกลับรู้สึกเหมือนถูกไล่ลงไปยังตีนเขา ได้แต่แหงนหน้ามองคนผู้นี้ที่อยู่บนยอดเขา
อวี๋เจินอี้ถาม “สิบคนใต้หล้า แน่ใจแล้วหรือว่าไม่มีผิดพลาด?”
โจวซูเจินพยักหน้ารับ “แน่ใจแล้ว”
จู่ๆ นางก็ถอนหายใจอย่างอดไม่อยู่ “เหมือนการสอบใหญ่ที่ราชสำนักมีต่อขุนนางยิ่งนัก เพียงแต่ไม่ได้โหดร้ายถึงขั้นนี้”
อวี๋เจินอี้เอาสองมือไพล่หลัง ทอดสายตามองไปไกล ท่าทางอ้างว้าง
ฮองเฮาแคว้นหนันเยวี่ยนที่อำพรางตนได้อย่างลึกล้ำถามคำถามข้อหนึ่ง “ถงชิงชิงไปหลบอยู่ที่ไหนกันแน่?”
อวี๋เจินอี้เงียไปครู่หนึ่ง “คงมีแค่ติงอิงที่รู้กระมัง”
โจวซูเจินหันหน้ากลับมามองเทพเซียนที่สูงส่งเหนือใครผู้นี้ “ขอบเขตวรยุทธ์ของติงอิงสูงแค่ไหนกันแน่?”
อวี๋เจินอี้ตอบด้วยประโยคประหลาด “ไม่รู้ว่าข้ารู้หรือไม่รู้”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น