กระบี่จงมา 308.1-308.2
บทที่ 308.1 ใต้เปลือกตา ใต้ฝ่าเท้า
ProjectZyphon
รู้ว่าอาจารย์ตายแล้ว เณรน้อยก็ร้องไห้ด้วยความเสียใจ คิดไม่ตกวางไม่ลง ไม่เหมือนคนออกบวชเลยแม้แต่นิดเดียว
แต่ตอนนั้นเฉินผิงอันมองศีรษะโล้นเกลี้ยงน้อยๆ ที่ร้องไห้จ้า เขย่าแขนภิกษุเฒ่าอย่างแรงราวกับต้องการปลุกให้อาจารย์ตื่นขึ้นจากฝัน เขากลับรู้สึกว่านี่ต่างหากถึงจะเป็นอารมณ์ปกติทั่วไปของมนุษย์
ภายหลังรู้ว่าอาจารย์มรณภาพไปแล้ว เมื่อเผาร่างกลับเหลือพระธาตุทิ้งไว้อย่างที่มีกล่าวถึงในพุทธคัมภีร์ เณรน้อยก็หัวเราะได้อีกครั้ง รู้สึกว่าพระธรรมของอาจารย์ต้องร้ายกาจมากแน่ๆ ท่าทางเช่นนี้ของเณรน้อยก็ยังไม่เหมือนคนที่ออกบวชอยู่ดี
เฉินผิงอันคอยอยู่ช่วยจัดการเรื่องงานศพของภิกษุเฒ่าในวัด ยุ่งวุ่นวายไม่น้อย จากนั้นก็บอกความคิดของภิกษุเฒ่าแก่เจ้าอาวาสคนใหม่ของวัดซินเซียงเป็นการส่วนตัวว่า เรื่องของพระธาตุอย่าเพิ่งรีบร้อนป่าวประกาศแก่คนภายนอก หาไม่แล้วจะเป็นการชักนำให้เกิดคำวิพากษ์วิจารณ์จากพวกชาวบ้านเสียมากกว่า หรืออาจถึงขั้นถูกทางการหวาดระแหวง สำหรับเรื่องนี้เจ้าอาวาสคนใหม่ไม่มีความเห็นต่าง เขาพนมมือก้มศีรษะให้เฉินผิงอันแสดงถึงการขอบคุณ
หลังจากนั้นมาเฉินผิงอันก็ไม่ไปนั่งหาความสงบที่วัดซินเซียงอีก แต่เขาก็บอกกับเจ้าอาวาสคนใหม่ว่า หากวัดซินเซียงมีเรื่องลำบากอะไรก็สามารถไปบอกเขายังที่พักได้ เขาเฉินผิงอันช่วยเหลือได้มากเท่าไหร่ก็จะพยายามช่วยให้ได้มากเท่านั้น
ภิกษุวัยกลางคนเอ่ยว่าอมิตาภพุทธหนึ่งคำ พอเฉินผิงอันจากไปแล้วก็ตรงไปที่โต๊ะหมู่บูชาในตำหนักใหญ่ จุดตะเกียงฉางหมิงดวงหนึ่งให้กับประสกที่มีจิตใจดีงามผู้นี้เงียบๆ จากนั้นเรียกเฉรน้อยให้มาช่วยดูตะเกียงดอกบัวดวงนี้ไว้
เณรน้อยร้องอ้อรับหนึ่งทีพลางพยักหน้า ภิกษุวัยกลางคนเห็นว่าเจ้าตัวน้อยตอบรับรวดเร็วก็รู้ได้ว่าอีกฝ่ายต้องแอบอู้ จึงเขกนิ้วลงบนศีรษะเล็กๆ ที่โล้นเกลี้ยงเบาๆ หนึ่งที เอ่ยสั่งสอนว่า “ปลาไม้ เรื่องนี้เจ้าต้องใส่ใจ” เณรน้อยหน้าม่อยร้องอ้อรับอีกครั้ง จะจำได้จริงหรือไม่ยังบอกได้ยาก แต่ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากการไม่รู้จักจดจำบทเรียนเป็นอย่างไร เขารู้รสชาติของมันดีแล้ว
รอจนศิษย์พี่เจ้าอาวาสออกไปจากตำหนักใหญ่ เณรน้อยถึงถอนหายใจหนึ่งครั้ง เมื่อก่อนศิษย์พี่ใจดีมีเมตตา แต่พอเป็นเจ้าอาวาสกลับไม่เห็นแก่ความสัมพันธ์เก่าก่อน ไม่ต่างจากท่านอาจารย์เลยสักนิด วันหน้าต่อให้เขาได้เป็นเจ้าอาวาส เขาก็จะไม่เป็น หาไม่แล้วต้องทำให้ศิษย์น้องเสียใจแน่ๆ …เอ๊ะ? ตนคือลูกศิษย์คนเล็กที่สุดของท่านอาจารย์ จะเอาศิษย์น้องมาจากที่ไหน วันหน้าไม่มีทางมีแล้ว ช่างเสียเปรียบยิ่งนัก! คิดมาถึงตรงนี้ เณรน้อยก็หมุนตัววิ่งพรวดออกไปจากตำหนักใหญ่ พอตามไปทันเจ้าอาวาสก็ถามอย่างกระตือรือร้นว่าจะรับลูกศิษย์เมื่อไหร่
ภิกษุเจ้าอาวาสรู้ดีถึงอุบายน้อยๆ ของเณรน้อย เขาไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี แสร้งทำท่าว่าจะเอาศีรษะของเณรน้อยมาเป็นปลาไม้อีกครั้ง เพราะเดิมทีชื่อของเขาทางพุทธศาสนาก็คือปลาไม้อยู่แล้ว
เณรน้อยถอนหายใจอย่างเศร้าสร้อย หมุนตัววิ่งจากไป
สภาพจิตใจของเฉินผิงอันเริ่มสงบนิ่งขึ้น แต่น่าประหลาดมากที่เขายังคงไม่ได้หยิบ ‘ตำราหมัดเขย่าขุนเขา’ และ ‘คัมภีร์เวทกระบี่ที่แท้จริง’ ออกมา แต่ยังคงเดินเตร่ไปทั่วเมืองหลวง คราวนี้เขาสะพายห่อสัมภาระผ้าฝ้ายใบเล็กไว้บนหลังด้วย เดินหน้าไปอย่างเชื่องช้า ดื่มสุรากินขนมเปี๊ยะ ไม่มีที่พักเป็นหลักแหล่ง แค่หาสถานที่สงบๆ สักแห่งก็พอ จะเป็นใต้ร่มไม้ บนหลังคาหรือริมสายน้ำข้างสะพานเล็กก็ได้ทั้งสิ้น
กำแพงสูงสีชาดแถบนั้น ด้านบนกำแพงสูงมีต้นไม้เขียวชอุ่มโผล่พ้นกำแพงออกมาด้านนอก เสียงแกว่งชิงช้าและเสียงหัวเราะสนุกสนานดังออกมาจากด้านใน
มีปัญญาชนและบัณฑิตสวมกวานสูงรัดเข็มขัดหยก นิยมวางจอกเหล้าไปตามกระแสน้ำไหล จอกเหล้าหยุดอยู่ที่ใคร ผู้นั้นต้องแต่งบทกวี
ตอนนั้นมีคนชุดขาวผู้หนึ่งนั่งดื่มเหล้าอยู่บนกิ่งไม้เงียบๆ
มีเหลาสุราริมน้ำอยู่แห่งหนึ่งซึ่งที่นั่งภายในถูกจับจองจนเต็ม ล้วนมีแต่ผู้มากความสามารถที่อายุยังน้อยของเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยน พวกเขาวิจารณ์บ้านเมือง ชี้ข้อบกพร่องเพื่อหาทางแก้ไขให้กับสถานการณ์ในปัจจุบัน ปัญญาชนปกครองบ้านเมืองเป็นเรื่องที่ถูกต้องตามหลักฟ้าดิน เฉินผิงอันนั่งอยู่บนหลังคาของเหลาสุรา ตั้งใจรับฟังการถกเถียงที่เต็มไปด้วยอุดมการณ์เร่าร้อน เต็มไปด้วยความอิจฉาริษยาและรังเกียจดุจศัตรูของพวกเขา แต่เฉินผิงอันกลับรู้สึกว่าวิธีการปกครองที่พวกเขาเสนอมา หากให้นำไปปฏิบัติจริงคงยากสักหน่อย แต่ก็อาจจะเป็นเพราะว่าคนหนุ่มที่มีความสามารถเหล่านี้ดื่มเหล้ามากจนเริ่มเมามาย จึงไม่ได้พูดถึงต้นสายปลายเหตุอย่างชัดเจน
อันธพาลสองกลุ่มนัดหมายกันแล้วว่าจะยกพวกมาตีกัน ทั้งสองฝ่ายต่างก็มีคนฝั่งละสามสิบสี่สิบคน บางทีนี่อาจจะเป็นยุทธภพของพวกเขา พวกเขากำลังเดินอยู่ในยุทธภพ กำลังท่องอยู่ในยุทธจักร เฉินผิงอันนั่งยองอยู่บนกำแพงเตี้ยๆ ผุพังที่ห่างไปไกล สังเกตเห็นว่า ‘คนเก่าแก่ในยุทธภพ’ ที่อายุยี่สิบปีขึ้นไปวาดฝีไม้ลายมือได้ลื่นไหล ส่วนเด็กหนุ่มที่อายุต่ำกว่ายี่สิบลงมากลับลงมืออย่างไร้ความยำเกรง โหดเหี้ยมอย่างถึงที่สุด หลังจบเรื่องก็หน้าเขียวจมูกแดง ใบหน้ามีแต่คราบเลือด กอดไหล่พี่น้องที่ร่วมทุกข์มาด้วยกัน จากนั้นก็เริ่มเดินไปหาบุญคุณความแค้นในยุทธภพครั้งต่อไป
พี่ชายผู้นำกลุ่มอายุค่อนข้างมาก เกือบสามสิบปีแล้ว เห็นว่าพรรคพวกกำลังจะไปที่อื่นจึงตวาดให้พวกเขาไปดื่มสุราที่ร้านอย่างฮึกเหิม สตรีแต่งงานแล้วของร้านขายเหล้าซึ่งมีหน้าตางดงามก็คือภรรยาของเขา เห็นคนคุ้นหน้าคุ้นตากลุ่มนี้ก็ได้แต่เค้นรอยยิ้มมาส่งให้ หยิบเอาสุราและกับแกล้มมารับรองพี่น้องของสามีตน มองบุรุษที่ถูกห้อมล้อมด้วยกลุ่มคนที่พูดคุยกันเสียงดัง ตรงหว่างคิ้วของสตรีแต่งงานแล้วก็เผยความกลัดกลุ้มที่การทำมาหากินยากลำบาก ทว่าดวงตากลับเปล่งประกายด้วยความชื่นชม
นางมองบุรุษของตัวเอง ส่วนเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ซึ่งเป็นลูกน้องที่รู้ใจมากที่สุด เก่งกล้ามากที่สุดของบุรุษกลับแอบเหลือบมองนาง
เฉินผิงอันนั่งมองพวกเขาอยู่ห่างไปไกล เขาซื้อเหล้ามาสองกา กาหนึ่งเทใส่น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ อีกกาหนึ่งนั่งดื่มที่ร้าน
สตรีแต่งงานแล้วที่ยังสาวกัดฟันบอกราคาสุราที่สูงกว่าปกติกับคุณชายคนนี้ บอกเขาว่าเหล้าสองกาสามสิบอีแปะ ยังดีที่คนผู้นั้นเหมือนจะไม่รู้ราคาข้าวของในตลาดจึงควักเงินออกมาอย่างไม่ลังเล สตรีแต่งงานแล้วรู้สึกละอายใจเล็กน้อย จึงหยิบเอากับแกล้มที่ตัวเองทำมาเพิ่มให้เขาอีกสองจาน คนผู้นั้นลุกขึ้นยืนยิ้มขอบคุณนาง
สตรีแต่งงานแล้วหน้าแดงก่ำ รีบหมุนตัวกลับไป ไม่กล้ามองดวงหน้าสะอาดสะอ้านงดงามของคนผู้นั้นอีก
พอสุราเข้าปาก บุรุษอายุเกือบสามสิบปีตรงโต๊ะเหล้าที่ถูกห้อมล้อมไปด้วยผู้คนก็พูดว่า สักวันหนึ่งเหล่าพี่น้องจะต้องมีที่ทางที่แท้จริงในเมืองหลวง ถึงเวลานั้นทุกคนจะมีเหล้าดื่ม มีเนื้อให้กิน เห็นพวกมือปราบที่ห้อยดาบไว้ตรงเอวก็ไม่ต้องกลัวอีกต่อไป ถึงเวลานั้นพวกเขาจะต้องแล่นมาเรียกพวกเราเป็นพี่เป็นน้องถึงที่ วันหน้าจะไปขอให้หม่าซิ่วไฉที่ดูแคลนพวกเราเขียนอักษรฝู เขียนกลอนคู่ปีใหม่ให้หลายๆ แผ่น แล้วดูสิว่าถึงเวลานั้นเขายังจะกล้ามองคนด้วยหางตา กล้าพูดคำว่าไม่อีกหรือไม่…
บุรุษพูดจาลิ้นพันกัน ผู้คนที่นั่งอยู่รอบด้านฟังแล้วก็จิตใจสั่นสะท้าน ไชโยโห่ร้องเสียงดัง น้ำลายกระเด็นแตกฟองไปทั่ว
โดยเฉพาะเหล่าเด็กหนุ่มที่กำลังอยู่ในวัยเลือดร้อน ดื่มแล้วก็อ้วก อ้วกแล้วกลับมาดื่มต่อ ตอนที่กลับมายืนข้างโต๊ะ นัยน์ตาที่ปรือปรอยด้วยฤทธิ์สุราพอจะมองเห็นได้อย่างเลือนรางว่ารอบด้านมีแต่พี่น้องตัวเอง ก็ให้รู้สึกว่ามีชีวิตเช่นนี้ช่างมีความสุข สาแก่ใจยิ่งนัก!
เฉินผิงอันเดินออกมาจากร้านสุราข้างทางแห่งนี้เงียบๆ
พอเดินจากมาไกลแล้วก็อดหันกลับไปมองอีกครั้งไม่ได้ เขารู้สึกเหมือนมองเห็นว่าตัวเอง หลิวเสี้ยนหลางและเด็กขี้มูกยืดกู้ช่านในอดีต คนทั้งสามก็นั่งอยู่ตรงนั้น ตอนนั้นลูกศิษย์เตาเผามังกรที่ยังตัวดำเหมือนถ่านคงรู้สึกเสียดายเงินค่าเหล้าที่จ่ายไป ส่วนหลิวเสี้ยนหยางที่พูดถ้อยคำยิ่งใหญ่ห้าวหาญเสร็จแล้วต้องเริ่มกลัดกลุ้ม บ่นว่าทำไมจื้อกุยถึงไม่ชอบตน กู้ช่านที่เป็นผู้ใหญ่เกินตัวมาตั้งแต่เด็กก็คงจะเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน พูดด้วยน้ำเสียงเลียนแบบคนในยุทธภพว่าจะมีบุญคุณต้องตอบแทน มีความแค้นต้องชำระ เรื่องอื่นๆ จะสนมารดามันทำไม
เฉินผิงอันดึงสายตากลับ เดินหน้าต่ออีกครั้ง
มีเด็กหนุ่มตาแหลมคนหนึ่งเอ่ยหยอกล้อว่า “เจ้าเด็กหน้าขาวคนเมื่อครู่นี้มาหยุดอยู่ที่ร้านของพวกเราเป็นนาน คงไม่ใช่ว่าถูกใจอาซ้อของพวกเราหรอกกระมัง?”
บุรุษที่เมาแอ๋ตบโต๊ะดังปัง “ถ้าเขามีดีสุนัขนี้ (ดีเปรียบเปรยถึงความกล้าหาญ) ข้าผู้อาวุโสก็จะฟันเขาให้ตาย! พวกเจ้าเชื่อหรือไม่ว่า ต่อให้พรุ่งนี้ข้าผู้อาวุโสตายไป อาซ้อของพวกเจ้าก็จะเป็นหม้ายไปตลอดชีวิต ไม่แต่งงานกับใครอีกทั้งนั้น! กับตาแก่ฮ่องเต้ก็ไม่แต่ง! แค่เจ้าเด็กน้อยหน้าขาวเนื้ออ่อนคนเดียวจะนับเป็นอะไรได้ สะพายกระบี่แล้วร้ายกาจนักหรือไง…”
พูดไปพูดมาศีรษะก็โขกกระแทกโต๊ะเหล้าดังโป้ก เมาหมดสติไปทันที
สตรีแต่งงานแล้วที่ยังสาวก้มหน้าเช็ดโต๊ะเหล้า นางเม้มปาก ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงหัวเราะ
เด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่สายตาคอยป้วนเปี้ยนอยู่กับรูปร่างอ้อนแอ้นของสตรีแต่งงานแล้วก็ก้มหน้าลงเช่นกัน เขารู้สึกลนลานเล็กน้อย แล้วก็รู้สึกหงุดหงิดด้วย เด็กหนุ่มดื่มสุราอย่างไร้รสชาติ
ไม่รู้ว่าทำไมสตรีแต่งงานแล้วหน้าตาเหนื่อยล้าคนหนึ่งที่พอไล่จับเด็กเกเรคนหนึ่งได้ก็ฟาดก้นเขาไม่ยั้ง ส่วนเด็กคนนั้นที่แม้จะแผดเสียงร้องโหยหวน แต่อันที่จริงกลับแอบยักคิ้วหลิ่วตาให้กับกลุ่มสหายตัวน้อยที่อยู่ห่างไปไม่ไกล สตรีแต่งงานแล้วที่สวมเสื้อผ้าเก่าปอนตีไปตีมาก็ร้องไห้เสียเอง เด็กชายตกใจ แล้วก็ร้องไห้ขึ้นมาจริงๆ
หลังพายุใหญ่ผ่านไป ในที่สุดอากาศอบอุ่นก็กลับมาเยือนเมืองหลวงอีกครั้ง ลูกหลานคนรวยที่สวมเสื้อแพรกินอาหารเลิศรสควบม้าผ่านมาบนถนนใหญ่ กีบเท้าม้าเหยียบย่ำจนดินโคลนกระเซ็น ร้านแผงลอยของหญิงชราที่อยู่ข้างทางหลบเลี่ยงไม่ทัน สินค้าเย็บปักฝีมือหยาบที่วางไว้บนแผงถูกโคลนกระเด็นมาเปรอะเลอะจนไม่เหลือสภาพดี นางหน้าขาวซีดในฉับพลัน หญิงสาวหน้าตาเย่อหยิ่งที่อยู่บนหลังม้าเห็นภาพนี้เข้า ฝีเท้าม้าไม่ได้หยุดควบไปเบื้องหน้า แต่นางกลับโยนถุงเงินถุงหนึ่งลงบนแผงลอย ทว่าเนื่องจากนางยังบังคับม้าได้ไม่เชี่ยวชาญนัก อีกทั้งยังเอาแต่คิดว่าจะโยนถุงเงินหนักอึ้งให้ตรงกับคนรับ ไม่ทันระวังร่างจึงพลัดตกลงม้าจากหลังม้า กลิ้งตัวอยู่พักใหญ่กว่าจะร้องโอดโอยลุกขึ้นยืน ใบหน้าที่งดงามและเสื้อผ้าราคาแพงล้วนดูไม่ได้
หญิงสาวเดินโซเซเข้าหาม้าที่หยุดยืนนิ่ง ปีนขึ้นไปบนหลังของมันอย่างยากลำบากเล็กน้อยแล้วฟาดแส้ห้อตะบึงจากไปอีกครั้ง
ปลายหางตาของศีรษะเชิดทระนงที่เต็มไปด้วยดินโคลนเหลือบไปเห็นว่ามีมือกระบี่สวมชุดคลุมยาวสีขาวหิมะคนหนึ่งกำลังยืนมองตนจากข้างทาง นางจึงอดหันหน้ากลับไปมองไม่ได้
คนผู้นั้นยกมือขึ้น ชูนิ้วโป้งให้นาง
นางเหลือกตามองบน ไม่ได้เก็บมาใส่ใจ
เฉินผิงอันเดินๆ หยุดๆ ไปเช่นนี้ ได้พบเห็นเรื่องสารพัดในหมู่ชาวบ้านและพบเจอปัญญาชนผู้มีความรู้ที่รักอิสระเสรีมากมาย
บทที่ 308.2 ใต้เปลือกตา ใต้ฝ่าเท้า
ProjectZyphon
เรื่องน่าอับอายของวัดป๋ายเหอแพร่สะพัดไปไม่ถึงสิบวันก็ปิดฉากลงอย่างรวดเร็ว ราชสำนักให้ข้อสรุปแบบตอกปิดฝาโลงแล้ว พระสงฆ์ในวัดป๋ายเหอแทบไม่หลงเหลืออยู่เลย นอกจากกำจัดตัวการชั่วร้ายไม่กี่คนไปแล้ว คนที่ถูกขังคุกก็ขังคุก ถูกขับไล่ก็ขับไล่ ทรัพย์สินทั้งหมดของวัดป๋ายเหอถูกยึด ส่วนข้อที่ว่าใครจะมารับเผือกร้อนลวกมือลูกนี้ต่อ บางคนก็บอกว่าเป็นพระสมณศักดิ์สูงของวัดอีกสามแห่งที่เหลือ แต่ก็มีบางคนบอกว่าเป็นเจ้าอาวาสจากวัดใหญ่ที่มีชื่อเสียงบางหลายแห่งของท้องที่
เห็นได้ชัดว่ามียอดฝีมือคอยวางแผนให้กับฮ่องเต้แคว้นหนันเยวี่ยน ถึงใช้วิธีตัดฉับขาดกลางคันกับเรื่องน่าอับอายของวัดป๋ายเหอ และการที่เรื่องหยุดลงพร้อมเงียบหายไปอย่างรวดเร็วก็ยังเป็นเพราะความสนใจของคนทั้งราชสำนักถูกย้ายไปที่เรื่องน่าสนใจอีกเรื่องหนึ่ง นั่นคืออวี๋เจินอี้เจ้าประมุขพรรคหูซานหนึ่งในสี่ปรมาจารย์ใหญ่ของใต้หล้าปิดด่านสิบปี ตอนนี้ฝ่าด่านประสบความสำเร็จจึงเรียกประชุมใหญ่แห่งยุทธภพ เรียกเหล่าผู้กล้ามารวมตัวกันเพื่อร่วมปรึกษาเรื่องการปราบปรามสามลัทธิมาร
จ้งชิวราชครูของแคว้นหนันเยวี่ยนที่ได้รับการขนานนามว่า ‘อันดับหนึ่งแห่งใต้หล้า’ ถงชิงชิงแห่งหอจิ้งซิน ลู่ฝ่างเจ้าขุนเขาของยอดเขาเหนี่ยวคั่นซึ่งเล่าลือกันว่าสามารถบำรุงปราณกระบี่อยู่ท่ามกลางไอหมอกทะเลเมฆเหนือขุนเขา ล้วนปรากฎตัวกันหมด สี่ปรมาจารย์ใหญ่จะมารวมตัวกันที่ภูเขากู่หนิวซึ่งอยู่ติดกับเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยน นี่คือภาพปรากฎการณ์ยิ่งใหญ่ที่ร้อยปีไม่เคยปรากฎมาก่อนในยุทธภพ
คนทั้งสี่นี้ล้วนเป็นผู้นำแห่งยุทธภพในแคว้นของตัวเอง แค่กระทืบเท้าก็สามารถทำให้ลูกคลื่นในยุทธภพของแคว้นหนึ่งถาโถม โดยเฉพาะระหว่างจ้งชิวราชครูแคว้นหนันเยวี่ยนกับอวี๋เจินอี้แห่งแคว้นซงไล่ที่ผูกบุญคุณความแค้นมาร่วมกันถึงหกสิบปีเต็ม คนทั้งสองต่างก็ถือกำเนิดในหมู่ชาวบ้านร้านตลาดของแคว้นซงไล่ เป็นเพื่อนบ้านกันมาตั้งแต่เด็ก เมื่อโชควาสนาอำนวย พี่น้องที่ร่วมเป็นร่วมตายกันมาคู่หนึ่งก็เริ่มเดินทางท่องไปในยุทธภพด้วยกัน ต่างคนต่างได้พบเจอกับเรื่องอัศจรรย์ กลายมาเป็นคู่ผู้มากพรสวรรค์บนวิถีวรยุทธ์ที่ถูกจับตามองจากคนในยุทธภพมากที่สุด สุดท้ายไม่รู้ว่าเหตุใดถึงกลับกลายมาเป็นศัตรูคู่อาฆาต หลังจากศึกตัดสินเป็นตายที่มีคนเพียงสี่ห้าคนร่วมชม คนทั้งสองต่างก็บาดเจ็บสาหัส จ้งชิวถึงได้มาที่แคว้นหนันเยวี่ยน หลังจากนั้นมาคนทั้งสองก็ไม่เคยไปมาหาสู่กันอีก ไม่พูดถึงเรื่องบุญคุณ แล้วก็ไม่เอ่ยถึงความแค้น
ท่ามกลางแสงสนธยา เฉินผิงอันกลับมาถึงเรือนพักที่อยู่ใกล้กับตรอกจ้วงหยวน ก่อนหน้านี้ตรงหัวมุมถนนยังคงมีคนกลุ่มหนึ่งนั่งเล่นหมากล้อม ปู่หลานสองคนก็กำลังดูคนอื่นเล่น เห็นร่างของเฉินผิง เด็กชายพลันหน้าซีดขาว รีบลุกขึ้นยืน กวักมือให้เฉินผิงอันมาดูคนเล่นหมากล้อม พอเฉินผิงอันเดินเข้าไปใกล้ ดูกับเขาอยู่ครู่หนึ่ง เด็กชายบอกว่ามีธุระต้องกลับบ้านก่อนแล้วก็เผ่นแน่บไปทันที เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อย เขาที่ไม่ได้มีความสนใจอยากจะดูคนเล่นหมากล้อมอยู่แล้วยืนดูได้หนึ่งก้านธูป ก็ค่อยๆ เดินกลับเข้าไปที่บ้าน
พอเปิดประตูเข้าไปในห้อง เห็นว่าตรงห้องฝั่งตรงข้าม เด็กชายกำลังเหยียบม้านั่งตัวเล็ก มองลอดหน้าต่างมายังเฉินผิงอันแล้วผ่อนลมหายใจเบาๆ
เฉินผิงอันปิดประตู ปลดห่อสัมภาระวางลงบนเตียง คนจิ๋วดอกบัวรีบกระโดดออกมาจากพื้นดิน ส่งเสียงอือๆ อาๆ ชี้ไม้ชี้มือราวกับว่าโมโหมาก
เฉินผิงอันชำเลืองตามองตำราที่วางซ้อนกันอยู่บนโต๊ะ รอยยับย่นเล็กน้อยที่ยากจะสังเกตเห็นเพิ่มมากขึ้นจากตอนที่ตัวเองออกจากห้องอย่างเห็นได้ชัด ในใจก็เข้าใจได้ทันที จึงย่อตัวลงนั่งยอง ยื่นฝ่ามือให้เจ้าตัวน้อยเดินขึ้นมา จากนั้นถึงลุกขึ้นมานั่งข้างโต๊ะ คนจิ๋วดอกบัวกระโดดขึ้นไปบนโต๊ะ เจ้าตัวน้อยที่ตัวไม่เปรอะเปื้อนฝุ่นผงสักเสี้ยวกระโดดขึ้นไปบนภูเขาหนังสือเบาๆ คุกเข่าลงบนปกในของตำราอริยะเล่มหนึ่ง ใช้แขนเล็กๆ ตั้งใจรีดรอยยับย่นให้เรียบ
เฉินผิงอันเอ่ยยิ้มๆ “ไม่เป็นไรหรอก หนังสือมีไว้ให้คนอ่าน นี่คนเขาก็เอากลับมาคืนแล้วไม่ใช่หรือ ไม่ต้องโกรธหรอก”
เจ้าตัวน้อยที่กำลังตั้งใจทำงานหันหน้ากลับมา กะพริบตาปริบๆ แววตามีความสงสัยไม่เข้าใจ
เฉินผิงอันลูบศีรษะเล็กๆ ของมัน หยิบแผ่นไม้ไผ่และมีดแกะสลักออกมาวางบนโต๊ะเบาๆ
ราตรีนี้เฉินผิงอันแอบไปที่วัดป๋ายเหอ ก่อนหน้านี้เขาเคยมาจุดธูปไหว้พระที่นี่มาก่อน ที่นี่จึงไม่ใช่สถานที่แปลกใหม่สำหรับเขา วัดป๋ายเหอมีตำหนักใหญ่แห่งหนึ่งที่พิเศษมาก ด้านในบูชาพระพุทธรูปไว้สามองค์ องค์หนึ่งถลึงตาดุดัน องค์หนึ่งหลุบตามองต่ำ และยังมีองค์หนึ่งที่นั่งหันหลัง ตลอดพันปีที่ผ่านมา ไม่ว่าควันธูปจะหนาแค่ไหน พระพุทธรูปองค์นี้ก็เอาแต่นั่งหันหลังให้ประตูบานใหญ่และผู้แสวงบุญตลอดเวลา
ช่วงที่ผ่านมาวัดป๋ายเหอค่อนข้างจะซบเซา ตอนกลางวันว่าเงียบเหงาไร้ผู้คนแล้ว ตอนกลางคืนกลับเงียบสงัดวังเวงยิ่งกว่า บวกกับข่าวลือน่ากลัวที่ผู้คนเล่ากันไปปากต่อปากก็ยิ่งขับดันให้เทวรูปพระโพธิสัตว์องค์เทพสวรรค์ที่ส่องรัศมีเรืองรองน่าเกรงขาม ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็กลายมาเป็นดุร้ายน่าสะพรึงกลัว เมื่อหลายวันก่อนมีโจรกลุ่มหนึ่งเข้ามาลักขโมย ผลกลับกลายเป็นว่าต้องร้องโหยหวนเผ่นหนีออกไป ทุกคนกลายเหมือนคนวิปลาสเสียสติ จนกระทั่งเข้าไปอยู่ในคุกแล้วถึงจะสงบลงได้ พูดแค่ว่าในวัดป๋ายเหอมีผี ห้ามเข้าไปเด็ดขาด
ก่อนจะเข้าไปยังตำหนักข้างที่ยังไม่ปิดประตูแห่งนี้ เฉินผิงอันยังจงใจเผายันต์ปราณหยางส่องไฟหนึ่งแผ่น ไม่มีความผิดปกติใดเกิดขึ้น เขาลองเคลื่อนย้ายไปตามสถานที่ต่างๆ ในวัดอย่างเงียบเชียบ ยันต์ก็แค่ค่อยๆ เผาไหม้ด้วยความเร็วที่เท่าเทียมกันเท่านั้น
เฉินผิงอันกำลังจะออกไปจากวัดป๋ายเหอ เพิ่งจะเดินเข้าไปใกล้ประตูก็พลันถอยหลังกรูด ดีดปลายเท้าขึ้น นาทีถัดมาก็ขึ้นไปนั่งอยู่บนเสาคานของตำหนักใหญ่ เอนตัวนอนตะแคง กลั้นลมหายใจ
มีคนสามคนเดินอาดๆ เข้ามาในตำหนัก ลักษณะไม่เหมือนโจรขโมย กลับเหมือนขุนนางหรือผู้สูงศักดิ์ที่ออกมาชมทิวทัศน์ยามค่ำคืนเสียมากกว่า
เฉินผิงอันขมวดคิ้ว ไม่นึกว่าสองคนในกลุ่มนี้เขาจะเคยเจอมาก่อน เขาก็คือคนฝึกยุทธ์ที่พักอยู่ในเรือนหนึ่งที่เงียบสงบของตรอกจ้วงหยวน ผู้เฒ่าเรือนกายสูงใหญ่ แต่ใบหน้ากลับผอมตอบ แม้จะไม่ใช่นักพรต ทว่าบนศีรษะกลับสวมกวานดอกบัวสีเงินที่มีลักษณะโบราณเรียบง่าย เมื่อเทียบกับคราวก่อนที่เฉินผิงอันมองเห็นเขาบนถนนแถวตลาดไกลๆ แล้ว คืนนี้ผู้เฒ่าไม่ได้จงใจปกปิดพลังอำนาจ เมื่อเขาก้ามข้ามธรณีประตูเข้ามาจึงเหมือนขุนเขาตั้งตระหง่านที่พุ่งชนตำหนักใหญ่ของวัดป๋ายเหอแห่งนี้เข้าอย่างจัง
หญิงสาวปลดหมวกที่ปกปิดใบหน้าของตัวเองลง ดวงหน้าของนางงดงามดึงดูดใจคน สลัดเสื้อคลุมกันลมที่อยู่บนกายออก เผยให้เห็นชุดสีสันสดใสชวนมอง ที่น่าประหลาดที่สุดก็คือนางกลับสวมรองเท้าไม้เกี๊ยะคู่หนึ่ง เท้าที่เปิดเปลือยขาวปลั่งประหนึ่งหิมะน้ำค้างแข็ง
คุณชายหล่อเหลาอีกท่านหนึ่งกลับไม่คุ้นหน้าคุ้นตา เรือนกายของเขาสูงเพรียว สวมชุดคลุมตัวใหญ่ชายแขนเสื้อกว้างสีน้ำเงินเข้ม บนข้อมือพันลูกประคำปะการังไว้หนึ่งเส้น ขณะที่ก้าวเดินก็ขยับลูกประคำไปด้วย
น้ำเสียงของหญิงสาวกระจ่างใส ไม่ใช่สำเนียงของเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยน นางชำเลืองตามองคุณชายคนนั้นอย่างชดช้อย เอ่ยสัพยอกว่า “จานฮวาหลางของข้า ในเมื่อเจ้าเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนา เหตุใดถึงไม่คุกเข่าโขกหัวคำนับเล่า? ถึงเวลานั้นข้าไปยืนอยู่ตรงหน้าพระพุทธรูป เอาเปรียบคุณชายโจวถึงขนาดนี้ ชื่อเสียงจะไม่เลื่องลือไปทั่วหล้าภายในค่ำคืนเดียวเลยหรอกหรือ? ต่อให้ตายก็ไม่เสียดายแล้ว”
คุณชายหนุ่มยิ้มบางๆ ไม่เอ่ยตอบ เพียงแหงนหน้ามองพระพุทธรูปทั้งสามองค์
ฟ้าดินเงียบสงัด ในตำหนักที่กว้างใหญ่มีเพียงเสียงเบาๆ ของลูกประคำที่กลิ้งขยับเท่านั้น
ผู้เฒ่าเอ่ยยิ้มๆ “ยาเอ๋อร์ เลิกล้อเลียนโจวซื่อได้แล้ว คนเขานิสัยดีถึงได้ไม่ถือสาเจ้า ไม่อย่างนั้นหากเขาฉีกหน้าจะเอาเรื่องขึ้นมา ถึงเวลานั้นใครจะออกเงินค่าโลงศพของโจวซื่อเล่า?”
‘ยาเอ๋อร์’ ที่ใบหน้าเหมือนเด็กสาว ทว่าบุคลิกท่วงท่ากลับเหมือนสตรีแต่งงานแล้วปิดปากหัวเราะคิก ดวงตามีประกายน้ำไหวระริก ถึงกับทำให้ตำหนักใหญ่ที่เดิมทีอึมครึมน่าสะพรึงกลัวมีชีวิตชีวาขึ้นมาได้
คนหนุ่มที่มีชื่อว่าโจวซื่อ ฉายาว่า ‘จานฮวาหลาง’ (บุรุษปักดอกไม้) ยิ้มอย่างจนใจ “เจ้าลัทธิผู้เฒ่าติงอย่าได้รังแกผู้น้อยอย่างข้าเลย”
“อวี๋เจินอี้แห่งพรรคหูซาน จ้งชิวแห่งแคว้นหนันเยวี่ยน ถงชิงชิงแห่งหอจิ้งซิน ลู่ฝ่างแห่งยอดเขาเหนี่ยวคั่น ล้วนเป็นเทพเซียนที่ร้ายกาจกันทุกคน หญิงชราอย่างถงชิงชิงก็ยิ่งเป็นคนรุ่นเดียวกับท่านอาจารย์ปู่ หันกลับมามองพวกเขา หัวเดียวกระเทียมลีบ จะหยิบเกาลัดออกจากกองไฟ (เปรียบเปรยว่าเสี่ยงอันตรายช่วยเหลือคนอื่น) จริงๆ หรือ? ต่อให้ได้อรหันต์ร่างทองหรือคัมภีร์เล่มนั้นมา แต่จะมีชีวิตรอดออกไปจากเมืองหลวงของแคว้นหนันเยวี่ยนหรือไม่?”
หญิงสาวยกนิ้วไล่นับชื่อแซ่ต่างๆ พูดเรื่องความลับที่สำคัญที่สุดในยุทธภพแถบนี้ “แม้จะบอกว่าท่านอาจารย์ปู่ถึงจะเป็นอันดับหนึ่งแห่งใต้หล้าที่แท้จริง ทว่าชายชาตรีมีสองหมัดยากจะต่อกรกับศัตรูที่มีสี่มือ ศิษย์ลูกศิษย์หลานของอวี๋เจินอี้มีมากมายขนาดนั้น แถมจ้งชิวแห่งแคว้นหนันเยวี่ยนยังเป็นเจ้าถิ่น นังปีศาจแก่อย่างถงชิงชิงชอบล่อลวงใจคนมากที่สุด ไม่แน่ว่าคราวก่อนที่จานฮวาหลางบาดเจ็บกลับมา ปากบอกว่าถูกนางเล่นงานเกือบตาย อันที่จริงอาจถูกความงามของนังปีศาจเฒ่ามัวเมาจิตวิญญาณ แล้วมาใช้แผนทรมานสังขารให้พวกเราดูก็เป็นได้ ยิ่งลู่ฝ่างผู้นั้น หลายสิบปีมานี้ เขาลงมือนับครั้งได้ ในยุทธภพต่างก็พูดกันว่าเขาคือท่านอาจารย์ปู่ในแบบที่เดินทางถูก นี่จึงแสดงให้เห็นว่าพรสวรรค์ของเขาน่าจะดีเยี่ยม ผ่านการตั้งใจฝึกวิชากระบี่มานานหลายปีขนาดนี้ ไม่แน่ว่าอาจจะมีฝีมือเหนือล้ำอวี๋เจินอี้กับจ้งชิวไปแล้วกระมัง?”
ผู้เฒ่าไม่พูดไม่จา แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน เอาสองมือไพล่หลัง มองไปยังพระพุทธรูปที่นั่งหันหลังให้กับสรรพชีวิต
หญิงสาวกระทืบเท้าอย่างขุ่นเคืองหนึ่งที
รองเท้าเกี๊ยะที่กระทบลงบนพื้นหินส่งเสียงใสกังวาน
โจวซื่อเอ่ยปลอบใจหญิงสาว “คนทั้งสี่นี้ไม่ใช่กระดานเหล็กแผ่นเดียวกัน หากถึงเวลาที่ต้องเผชิญกับความเป็นความตายขึ้นมาจริงๆ เกรงว่าคงไม่มีใครเต็มใจสละชีวิตเพื่อผดุงความเป็นธรรมหรอก”
หญิงสาวเอ่ยยิ้มๆ “แล้วในบรรดาพวกเรามีคนที่เต็มใจงั้นหรือ?”
โจวซื่อเอ่ยเนิบช้าด้วยสีหน้าเป็นธรรมชาติ “อันที่จริงลำพังเพียงแค่บิดาของข้า บวกกับปี้เซิ่งเฉิงหยวนซานและหลิวจงคนลับมีด แค่พูดถึงด้านพลังการต่อสู้สูงสุดก็ไม่เป็นรองปรมาจารย์ใหญ่สี่ท่านนี้ร่วมมือกันแล้ว ครั้งนี้พวกเราลงมืออย่างเป็นความลับ แถมยังไม่ใช่การคุมเชิงประจัญบานของสองกองทัพในสนามรบ ไม่ต้องพิถีพิถันว่ากองกำลังมีมากหรือน้อย ยาเอ๋อร์เจ้าไม่ต้องเป็นกังวล”
อันที่จริงสี่ปรมาจารย์ใหญ่เป็นเพียงคำเรียกขานกันเองของฝ่ายธรรมะในยุทธภพที่จงใจแยกตัวออกจากคนลัทธิมารและเหล่าผู้กล้ากลุ่มอิทธิพลมืดอย่างโจ่งแจ้ง ถือเป็นการปิดประตูมีความสุขอยู่กับตัวเอง เพราะคำเรียกขานที่ได้รับการยอมรับจากผู้คนและมีน้ำหนักมากยิ่งกว่ากลับเป็นคำว่า สิบยอดฝีมือใหญ่
ซึ่งแบ่งฝ่ายธรรมะและอธรรมเป็นคนละครึ่งพอดี
แน่นอนว่าปรมาจารย์ใหญ่ทั้งสี่ต่างก็ต้องมีที่ทางเป็นของตัวเอง
ป๋ายเต้าที่เปลี่ยนจากวิถีวรยุทธ์มาสู่การฝึกมรรคกถาของตระกูลเซียนคืออันดับหนึ่ง อวี๋เจินอี้อยู่อันดับสอง
จ้งชิวอันดับหนึ่งแห่งวิชาหมัดนอกของโลก อยู่อันดับสาม
ถงชิงชิงที่เล่าลือกันว่าอายุมากถึงเก้าสิบปี แต่ความเยาว์วัยกลับไม่เคยจางหาย ว่ากันว่าหากมายืนอยู่ด้านหลังนาง สาวงามอันดับหนึ่งทั้งหลายที่ไม่เคยยอมน้อยหน้ากัน ไม่ว่าจะหน้าตาหรือบุคลิกท่าทาง พอเอามารวมกันแล้วก็ยังสู้นางคนเดียวไม่ได้ อยู่อันดับที่เก้า
มือกระบี่ลู่ฝ่างที่แยกตัวอยู่อย่างสันโดษบนยอดเขาเหนี่ยวคั่นคือคนที่อายุน้อยที่สุดในบรรดาสี่ปรมาจารย์ใหญ่ ตอนนี้ยังอายุไม่ถึงห้าสิบปี อยู่อันดับที่สิบ แต่เมื่อเวลาเลยผ่าน แทบทุกคนล้วนเชื่อมั่นว่า ลู่ฝ่างที่เมื่อยี่สิบปีก่อนอยู่อันดับท้ายสุดต่างหากถึงจะเป็นบุคคลที่มีคุณสมบัติว่าจะท้าทายและเอาชนะท่านที่อยู่ในอันดับหนึ่งได้
ถึงขั้นมีคนรู้สึกว่าลู่ฝ่างในเวลานี้ได้เหนือกว่าจ้งชิวราชครูแคว้นหนันเยี่ยน เลื่อนขั้นสู่ห้าอันดับแรกไปแล้ว
ส่วนปี้เซิ่งเฉิงหยวนซานที่โจวซื่อจานฮวาหลางพูดถึงนั้นมีวิชายุทธ์สูงส่งมาก ไม่ว่าจะปะทะกับใครล้วนต้องมีคนตาย ดังนั้นจึงไม่ได้รับการยอมรับจากฝ่ายธรรมะ ด้วยรู้สึกว่าคุณธรรมของเขาย่ำแย่เกินไป ไม่คู่ควรกับตำแหน่งปรมาจารย์ คนผู้นี้อยู่อันดับแปด
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น