หมอดูยอดอัจฉริยะ 307-308
ตอนที่ 307 บุญคุณความแค้น
โดย
Ink Stone_Fantasy
เวลาบ่ายของฮ่องกงตรงกับเวลาดึกสงัดของอเมริกา ในสำนักงานของตึกศูนย์การค้าอันหรูหรา ยังคงส่องสว่างด้วยแสงไฟ
ซ่งเสี่ยวหลงเงยหน้าขึ้นมาจากกองเอกสารหนาปึกที่ตรวจเสร็จบนโต๊ะ ใช้มือกดนวดบริเวณขมับ ใบหน้าคมคายฉายแววอ่อนล้า
ในแง่หนึ่งซ่งเสี่ยวหลงเป็นผู้ดูแลที่มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ ในอเมริกาไม่มีการทำงานล่วงเวลา แต่เขายังคงทำงานจนดึกทุกวัน เมื่อจัดการงานในมือหมดแล้วถึงจะยอมพักผ่อน
แต่เมื่อเหนื่อยล้าถึงขีดสุดกลับมีแรงฮึดขึ้นมาอีกครั้ง เพราะเขาได้ข่าวว่าเยี่ยเทียนออกจากปักกิ่งไปที่ฮ่องกงแล้ว
ไม่นานมานี้ตอนที่เขาไปประเทศไทย ชาญ ทองทวนได้บอกกับเขาว่ามีอาจารย์คืออาจารย์ทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ ที่ไม่ยอมให้ตนไปที่ประเทศจีนอันลึกลับนั้น จึงตอบปฏิเสธคำเชิญของซ่งเสี่ยวหลงให้ชาญ ทองทวน ออกจากสำนักมา
ไม่เพียงเท่านี้ ซ่งเสี่ยวหลงยังเคยไปหานักฆ่านานาชาติ แต่เมื่อได้ยินว่าเหยื่ออยู่ที่ปักกิ่ง นักฆ่าพวกนั้น ก็ขอถอนตัวกันหมด
ฆ่าคนนั้นง่าย แต่เมื่อฆ่าแล้วจะหลบหนีออกจากปักกิ่งนั้นยุ่งยากมาก ถึงได้เงินค่าจ้างเป็นเงินดอลลาร์สหรัฐ แต่คงไม่มีโอกาสได้ใช้ พวกเขาไม่อยากเอาชีวิตมาเสี่ยง
แต่เมื่อซ่งเสี่ยวหลงกำลังจะออกจากประเทศไทย ชาญ ทองทวนก็ได้รับปากเขา เมื่อเยี่ยเทียนเดินทางออก จากแผ่นดินจีนและชาญ ทองทวนต้องได้รับค่าจ้างสมน้ำสมเนื้อ จึงจะยอมช่วยซ่งเสี่ยวหลงลงมือ
ตอนนี้เยี่ยเทียนออกจากปักกิ่งไปแล้ว ในความคิดของซ่งเสี่ยวหลงคือเยี่ยเทียนรนหาที่ตายเอง
ซ่งเสี่ยวหลงหยิบโทรศัพท์บนโต๊ะขึ้น เพิ่งจะกดเลขไปได้สองตัวก็วางสาย พลางใช้ความคิด แล้วนำเอาโทรศัพท์ดาวเทียมออกมาใช้
คนอเมริกาจำนวนมากไม่ทราบว่าการสื่อสารของพวกเขาในแต่ละวันนั้นถูกองค์กรระดับประเทศดักฟังอยู่ แต่ซ่งเสี่ยวหลงกลับรู้เรื่องนี้
“ขอสายอาจารย์ชาญ ทองทวน!” เมื่อโทรติดมีคนรับสาย ซ่งเสี่ยวหลงสนทนาด้วยภาษาไทยอย่างคล่องแคล่ว
ตอนที่ซ่งเสี่ยวหลงอายุยี่สิบปีเคยถูกอาหญิงที่มีศรัทธาลึกซึ้งในศาสนาพุทธส่งตัวไปอยู่ที่วัดกับพระในประเทศไทย สามปี เขาจึงได้เรียนภาษาไทย
แม้แต่ตอนนี้ที่ติดต่อกับชาญ ทองทวน เพราะในช่วงสามปีนั้นที่เขาอยู่กับพระสงฆ์ในวัด ได้เคยเห็นฤทธิ์เดช ของไสยศาสตร์มาด้วยตาของตัวเอง จึงคิดว่าจะใช้วิธีนี้มาจัดการกับเยี่ยเทียน
“ซ่ง คุณจะหาผมเหรอ?”
ได้ยินเสียงชาญ ทองทวนดังมาตามสาย ซ่งเสี่ยวหลงนั่งหลังตรง แล้วพูดด้วยความเคารพว่า “อาจารย์ ตอนนี้เยี่ยเทียนอยู่ที่ฮ่องกงแล้ว!”
ฮ่องกงเพิ่งจะกลับคืนเป็นของรัฐบาลจีนได้ปีเดียว ชาวต่างชาติรวมทั้งคนเชื้อสายจีนต่างรู้สึกว่าฮ่องกงไม่ได้เป็น ของอังกฤษ และไม่ได้เกี่ยวข้องกับประเทศจีนมากนัก
“ส่งรูปมาให้ผม แล้วหาที่อยู่ของเขาตอนนี้มาด้วย อีกสองวัน ผมจะไปฮ่องกงเอง!”
เสียงเงียบไปชั่วขณะ เสียงโลหะกระทบกันดังมาตามสาย ทำให้ซ่งเสี่ยวหลงต้องยกหูโทรศัพท์ให้ห่างออกจากหู
“ขอบคุณอาจารย์มากครับ เงินหนึ่งล้านดอลลาร์สหรัฐเดี๋ยวผมจะโอนไปให้!” ซ่งเสี่ยวหลงไม่ได้กล่าวต่อ วางสายลงแล้วยิ้มอย่างพอใจ
ในประเทศยากจนแบบนี้ทำอะไรก็ง่าย ฆ่าคนๆหนึ่งใช้เงินแค่ล้านดอลลาร์ ถ้าไปจ้างนักฆ่าระดับโลกเสียเงินค่าจ้าง สิบล้านดอลลาร์ยังไม่มีใครรับทำเลย
“ถ้าชาญ ทองทวนเกิดพลาดล่ะจะทำยังไง?” สีหน้าของซ่งเสี่ยวหลงปรากฏแววเหี้ยม “เยี่ยเทียน แกต้องตาย!”
เอื้อมมือไปเปิดคอมพิวเตอร์ตรงหน้า แล้วเข้าไปที่หน้าเว็บไซต์หนึ่ง เข้ารหัสลงทะเบียน แล้วเว็บไซต์นักฆ่าก็ปรากฏ บนจอขึ้น
ซ่งเสี่ยวหลงเคยติดต่อกับองค์กรลับใต้ดินในจีนอยู่บ่อยครั้ง จึงคุ้นเคยกับโลกมาเฟียเป็นอย่างดี
เขากรอกข้อมูลของเยี่ยเทียนและรูปภาพลงไปในเว็บไซต์ แล้วใช้มือถือดำเนินการบัญชีส่วนตัวธนาคารสวิส โอนเงินสิบล้านดอลลาร์เข้าไปในบัญชีของเว็บไซต์
ข้อมูลนี้จะถูกส่งออกไป เมื่อมีคนรับงาน ข้อมูลก็จะถูกซ่อนไว้ ถ้านักฆ่าคนแรกทำงานพลาด ข้อมูลถึงจะปรากฏขึ้นได้อีกครั้งที่หน้าเว็บไซต์
ส่วนเรื่องกำหนดเวลา ซ่งเสี่ยวหลงให้ไว้หนึ่งเดือน เพราะเขาได้ข่าวว่า เยี่ยเทียนจะอยู่ในฮ่องกงในเวลาประมาณนี้
ถ้าในหนึ่งเดือน นักฆ่าไม่สามารถทำภารกิจให้สำเร็จได้ หรือนั่นก็คือเยี่ยเทียนไม่ตาย เงินสิบล้านดอลลาร์ก็จะถูกโอนกลับเข้าบัญชีธนาคารสวิสของเขาเหมือนเดิม
การปกปิดข้อมูลของผู้ลงประกาศนั้นเป็นไปอย่างมิดชิดที่สุด มีเพียงนักฆ่าระดับที่เหมาะสมเท่านั้น ถึงจะมีสิทธิ์เห็นข้อมูล ส่วนผู้ลงประกาศคนอื่นจะไม่ทราบข้อมูลเหล่านี้
ซ่งเสี่ยวหลงเชื่อว่า นักฆ่าระดับพระกาฬหลายคนคงอยากรับงานนี้ เพราะเงินค่าจ้างสิบล้านดอลลาร์ เป็นแรงบันดาลใจ คนที่จะให้ไปฆ่าก็ไม่ใช่เศรษฐีหรือคนมีชื่อเสียงที่ไหน เป็นเพียงแต่เด็กหนุ่มอายุยี่สิบกว่าธรรมดาคนหนึ่ง
ตามความตั้งใจของซ่งเสี่ยวหลง เขาไม่อยากจ้างนักฆ่าไปฆ่าเยี่ยเทียนเท่าไหร่ เพราะถ้าเยี่ยเทียนตาย จากการฆาตกรรม จะต้องมีคนคิดว่าเขาไปคนลงมือแน่ ยิ่งไปกว่านั้น แม้แต่อาหญิงที่รักของเขาเองก็ตาม
แต่ซ่งเสี่ยวหลงทนรอต่อไปไม่ได้แล้ว เพราะลูกพี่ลูกน้องซ่งเสี่ยวเจ๋อตายเพราะอุบัติเหตุรถยนต์ ตอนแรกคิดว่า เขาจะส่งคนสนิทไปทำให้เกิดอุบัติเหตุกับเยี่ยเทียนบ้าง
แต่ซ่งเสี่ยวหลงคาดไม่ถึงว่า ซ่งเวยหลันผู้ซึ่งไม่เคยสนใจงานจัดการทรัพย์สินของบริษัทมาก่อน อยู่ดีๆก็สั่งให้รองประธานกรุ๊ปบริษัทเดินทางไปประเทศจีน
รองประธานคนนี้เป็นคนสนิทสายตรงของซ่งเวยหลัน ติดตามเธอมาหลายปี ทุกทีจะรับผิดชอบเฉพาะงาน ของซ่งเวยหลัน ซ่งเสี่ยวหลงเคยแอบจะซื้อตัวเขาอยู่หลายทีแต่ไม่สำเร็จ
เหตุการณ์นี้ทำให้ซ่งเสี่ยวหลงติดใจมาตลอด เขารู้สึกเสมอว่า อาหญิงไม่เชื่อใจเขาเหมือนเมื่อก่อนแล้ว ดังนั้นจึงถือโอกาสที่เยี่ยเทียนไปฮ่องกงจัดการเก็บซะ จะได้แก้แค้นแทนลูกพี่ลูกน้องของเขา
มีทั้งชาญ ทองทวนและนักฆ่าระดับโลก ซ่งเสี่ยวหลงเชื่อว่ายังไงเยี่ยเทียนก็ไม่มีชีวิตรอดจากฮ่องกงไปได้แน่ ซ่งเสี่ยวหลงลบประวัติกาารท่องเว็บแล้วออกจากสำนักงานไป
………………
“เยี่ยเทียน นี่เป็นเป๋าฮื้อสองหัว เป็นสุดยอดของหอยเป๋าฮื้อเชียวนะ ไม่รู้ว่าอาติงไปหาซื้อมาจากไหน!”
ในห้องอาหารของบ้านพักหรูหราบนเขาป้านซาน จั่วเจียจวิ้นกำลังแนะนำอาหารขึ้นชื่อของฮ่องกงให้เยี่ยเทียนอยู่ อาติงแม้จะเป็นคนหยาบกระด้าง แต่อาหารที่นำมาในวันนี้ กลับถูกปากจั่วเจียจวิ้นมาก
“ขอบคุณครับศิษย์พี่ ผมทำเอง…” ต่อหน้าคนคุ้นเคยเขาจะไม่เกรงใจแล้ว อาหารเหล่านี้มีคุณค่าทางโภชนาการสูง ทานเข้าไปแล้วหลายคำ ทั้งหอยเป๋าฮื้อ ลานนมหมูย่าง
“เรามันคนฝึกมวยต้องกินให้เยอะ ศิษย์น้องเยี่ย วิชากังฟูนี่นายฝึกมาอย่างไร?” เห็นเยี่ยเทียนรับประทานอย่างอร่อย ก็พูดชมขึ้นมา
“เหอะๆ ศิษย์พี่ เพราะอาจารย์เมตตาตอนเด็กเลยให้ผมแช่น้ำยา ถ้าปรับสูตรยาสักหน่อย ผลน่าจะดีกว่าเดิม!”
เยี่ยเทียนยิ้มออกมา การที่วิทยายุทธของเยี่ยเทียนก้าวหน้าแบบก้าวกระโดด ความจริงแล้วเป็นเพราะ ความจำที่เป็นเลิศ จำสิ่งที่อาจารย์สอนได้ทั้งหมด แต่บอกความจริงกับจั่วเจียจวิ้นไปไม่ได้ จึงยกยอให้เป็นความดี ของอาจารย์ไป
“ใช่ละ ศิษย์พี่ หลายปีที่ผ่านมาพี่เป็นยังไงบ้าง? ผมเห็นฝีมือพี่ อีกนิดเดียวก็ใกล้จะสำเร็จแล้ว?”
พออธิบายเสร็จ เยี่ยเทียนก็รีบเปลี่ยนเรื่องคุยไปเป็นเรื่องของจั่วเจียจวิ้น บอกตามตรง ในโลกที่มีพลังศักดิ์สิทธิ์ อันแสนจะเจือจาง การฝึกฝนวิชาของจั่วเจียจวิ้นสามารถก้าวหน้าขนาดนี้ได้นั้นไม่ธรรมดาเลย
“ตอนที่ฉันจากอาจารย์มานั้น วิชากังฟูก็ได้ก้าวหน้าแบบเงียบๆแล้ว แต่หลังจากนั้นยี่สิบปีกลับไม่พัฒนาขึ้นเลย จนถึงตอนที่ฉันอายุสี่สิบกว่าแล้ว เกิดเหตุการณ์ครั้งใหญ่ในชีวิต จนทำให้เป็นได้อย่างทุกวันนี้
จั่วเจียจวิ้นไม่ได้ปิดบังเยี่ยเทียนแต่อย่างใด ได้เล่าทุกเรื่องที่แม้แต่หลานของตัวเองยังไม่รู้ให้เยี่ยเทียนฟัง
เพราะวิชาสำนักเสื้อป่านที่สาบสูญ ทำให้จั่วเจียจวิ้นจึงได้แต่เรียนวิชาผูกกว้าทำนาย และวิชาฮวงจุ้ย จากหลี่ซั่นหยยวนเท่านั้น สำหรับวิชาการต่อสู้นอกสำนักกลับไม่ได้ศึกษามากนัก
ตอนที่จั่วเจียจวิ้นอายุสี่สิบต้นๆ เป็นวัยที่แข็งแรงสมบูรณ์ เคยไปเที่ยวประเทศเอเชียอาคเนย์ เพื่อเสาะแสวงหาสำนักวิชาแปลกประหลาด คิดว่าจะฝึกเพื่อชดเชยวิชากังฟูที่บกพร่องของตน
แต่ใครจะรู้ว่าพอไปถึงประเทศไทย ได้ไปค้างคืนในวัดแห่งหนึ่ง กลับได้พบกับพระภิกษุชรามาขอประลองวิชากับเขา
ตอนนั้นจัวเจียจวิ้นเป็นผู้ที่มีพลังอันเก็บซ่อนไว้ และเคยไปขอคำชี้แนะจากอาจารย์ด้านหมัดมวยผู้มีชื่อเสียง หลายท่าน พอวัดกำลังกันแล้วก็ไม่ได้ด้อยกว่ากันเท่าไหร่ แม้ว่าวิชาเวทย์จะยังไม่กล้าแข็ง แต่ไม่ได้แสดงออกถึงความด้อยกว่า จึงได้ตกลงประลองกับภิกษุชรารูปนั้น
แต่จั่วเจียจวิ้นคิดไม่ถึงว่า ภิกษุชราจะเชี่ยวชาญด้านไสยเวท ทั้งยังเป็นศาสตร์สายดำ ปากบอกแค่ขอประลองวิชา แต่กลับปล่อยแมลงมีพิษใส่จั่วเจียจวิ้น
จั่วเจียจวิ้นโดนแมลงพิษกัดเข้าที่มือขวา พิษของมันไปอุดกั้นเส้นลมปราณ เขาจึงรวบรวมกำลังที่เหลือ รีบหนีออกมาจากวัด ด้วยความช่วยเหลือของเพื่อนนักมวยที่เป็นคนไทยเชื้อสายจีนช่วยส่งเขากลับฮ่องกงในคืนนั้นเลย
กลับถึงฮ่องกงแล้ว จั่วเจียจวิ้นนอนรักษาตัวอยู่สามปี ใช้ยาแก้พิษยาบำรุงสารพัดตำรับ ถึงจะสามารถขับพิษร้ายออกจากร่างกายได้
แต่ในระหว่างนี้วิชาของจั่วเจียจวิ้นที่ไม่เคยคืบหน้า อยู่ๆก็พัฒนาอย่างรวดเร็ว สามารถสำเร็จในส่วนที่ยากที่สุดไป ถึงสองครั้ง ขาดเพียงแค่นิดเดียว ก็จะบรรลุขั้นสูงสุด
“ประเทศไทยอีกแล้ว?” เยี่ยเทียนตะลึง แล้วกัดฟันถามต่อว่า “ศิษย์พี่ พระรูปนั้นชื่ออะไร?”
“ทำไม นายมีบุญคุณความแค้นกับหมอไสยศาสตร์ในประเทศไทยเหรอ?”
จั่วเจียจวิ้นถามอย่างสงสัย แล้วตอบว่า “คนๆ นั้นชื่อนายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ มีชื่อเสียงมากในประเทศไทย คนไทยอาจจะไม่รู้ว่ากษัตริย์ชื่ออะไร แต่ถ้าเอ่ยชื่อคนๆ นี้ไม่มีใครไม่เคยได้ยิน!”
หลังอาการบาดเจ็บหายดีแล้ว จั่วเจียจวิ้นรีบไปสืบชื่อของภิกษุรูปนั้น
เขาเคยคิดจะกลับไปเมืองไทยอีกครั้งเพื่อแก้แค้น แต่คิดไปคิดมา วิชาเวทย์ของตัวเองเทียบไม่ได้เลยกับคุณไสยชั้นสูง ของภิกษุเฒ่า ถ้าไปคงเอาชีวิตไปทิ้ง จั่วเจียจวิ้นจึงได้แต่ทนเก็บความแค้นไว้เอง
……
ตอนที่ 308 เข้าบ้าน
โดย
Ink Stone_Fantasy
“คือนายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์อีกแล้ว!”
หลังจากได้ยินจั่วเจียจวิ้นเล่าให้ฟัง สายตาของเยี่ยเทียนจึงเผยความเย็นชาออกมา กลิ่นอายของแรงอาฆาตได้แผ่ปกคลุมไปทั่วร่างกายของเขา ทำให้ท่าทางของหลิวติงติงที่กำลังทานอยู่เชื่องช้าลง
ถึงแม้แรงอาฆาตของเยี่ยเทียนจะถูกปล่อยออกมาเพียงครู่เดียว แต่กลับทำให้หลิวติงติงสัมผัสถึงมันได้จริงๆ ในช่วงวินาทีนั้น จู่ๆ เธอรู้สึกเหมือนมีสัตว์ดุร้ายนั่งอยู่ข้างกายตัวเอง ทำให้เธอขนลุกขนพองไปทั้งตัว
เดิมทีหลิวติงติงที่ไม่ค่อยให้ความเคารพเยี่ยเทียนสักเท่าไร เวลานี้กลับทำให้เธอรู้ซึ้งถึงความแตกต่าง ระหว่างเธอกับคุณอาอายุน้อยคนนี้อย่างแท้จริงแล้ว!
“ศิษย์น้องคนนี้มีแรงอาฆาตเยอะมาก สงสัยจะฆ่าคนมาไม่น้อย?”
เรื่องที่หลิวติงติงสัมผัสได้ มีหรือจะรอดพ้นการตอบสนองของจั่วเจียจวิ้น แต่สิ่งที่เขาสงสัยก็คือ วิชาการโจมตี ของอาจารย์ที่หายสาบสูญไปแล้ว แต่ทำไมเยี่ยเทียนถึงมีแรงอาฆาตสูงมากขนาดนี้?
“ศิษย์น้องเยี่ย นายกับนายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ ก็เคยมีเรื่องบาดหมางกันเหรอ?” เมื่อเห็นการตอบสนองตอน ที่เยี่ยเทียนได้ยินชื่อนี้ จั่วเจียจวิ้นจึงถามออกมาโดยตรง
เยี่ยเทียนไม่ได้ตอบคำถามของจั่วเจียจวิ้น แต่กลับถามว่า ” ศิษย์พี่จั่ว พี่รู้ไหมว่าทำไมนายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ต้องลงมือกับพี่?”
จั่วเจียจวิ้นส่ายหน้าพลางพูด “ไม่รู้ แต่ก่อนพี่เคยไปสถานที่หนึ่ง และมักจะใช้การต่อสู้เพื่อมิตรภาพมาโดยตลอด ไม่เคยทำเรื่องที่เกินเลย และก็ไม่เคยผิดใจกับใคร แต่การกระทำของพระสงฆ์แก่รูปนั้นพี่ก็ยังไม่เข้าใจจนถึงตอนนี้!”
ตอนนั้นตอนที่จั่วเจียจวิ้นไปเที่ยวหาประสบการณ์ในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทุกที่ที่เขาเข้าไปล้วนแต่ทำตาม กฎของยุทธจักรทั้งสิ้น แถมยังเข้ากันได้ดีกับพวกนักมวยท้องถิ่นและพวกฝึกวิชาลึกลับ
ดังนั้นหลายปีที่ผ่านมา จั่วเจียจวิ้นก็ยังไม่เข้าใจตัวของนายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์อยู่ดีว่า จุดประสงค์ ในการโจมตีของเขาคืออะไรกันแน่?
“ตอนนั้นอาจารย์กับนายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์เคยประมือกัน แต่รายละเอียดเป็นยังไงพี่ก็ไม่แน่ใจ เพราะท่านอาจารย์ท่านก็ไม่ได้พูดอะไร แต่น่าจะเป็นนายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ที่เสียเปรียบแน่”
เยี่ยเทียนมองไปยังจั่วเจียจวิ้น แล้วพูด “การขับเคลื่อนของชี่ในตัวของศิษย์พี่จั่วมีความคล้ายคลึงกับของท่านอาจารย์มาก ผมคิดว่าจึงเป็นเหตุให้นายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์จำได้ ถึงได้มีการโจมตีพี่นั่นเอง!”
ตอนที่หลี่ซั่นหยวนรับจั่วเจียจวิ้นเป็นลูกศิษย์นั้น เป็นช่วงที่ประเทศจีนเพิ่งจะสถาปนาและมีความคิด อันแรงกล้าที่จะกำจัดลัทธิไสยศาสตร์ให้หมดไป นอกจากเขาจะถ่ายทอดวิชาการดูดวงทำนายโชคชะตาและวรยุทธ ให้กับจั่วเจียจวิ้นแล้ว เขาจะพูดถึงสิ่งที่ตัวเองทำในตอนนั้นน้อยมาก
แต่สำหรับเยี่ยเทียน ตอนแรกท่านนักพรตก็ไม่ได้พูดเรื่องในอดีตที่เขาออกไปต่อสู้ในโลกยุทธภพเช่นกัน จนกระทั่งสองปีสุดท้ายของชีวิต เขาได้เผยความลับบางอย่างของยุทธภพให้เยี่ยเทียนฟัง และหนึ่งในนั้นก็รวมถึงเรื่องเขาเคย ประมือกับนายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ประเทศไทย
และจากวิธีการพูดของท่านนักพรต น่าจะเป็นนายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์เดินทางเข้ามาในประเทศจีน ช่วงต้นปี 1830
ถึงแม้นายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์จะบอกว่ามาเพื่อขอคำแนะนำวิชาลึกลับของประเทศจีน แต่เขากลับลงมืออย่างโหดเหี้ยมมาก พวกคนที่ฝึกวิชาลึกลับที่เคยประมือกับเขา ล้วนแต่เสียชีวิตกะทันหันในที่เกิดเหตุทุกคน
วิธีการของนายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์เป็นเหตุทำให้หลี่ซั่นหยวนโกรธมาก หลังจากพวกเขานัดประลอง วิชาคาถาแล้ว หลี่ซั่นหยวนจึงสร้างค่ายกลพิฆาตกักขังเขา
แต่ไม่คิดว่าวิชาไสยศาสตร์ของนายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์จะมีความแปลกประหลาดและเล่ห์เหลี่ยม แพรวพราวขนาดนี้ จนสามารถทำลายค่ายกลได้ และเนื่องจากหลี่ซั่นหยวนขาดวิชาการโจมตี สุดท้ายเขากับนายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์จึงสิ้นสุดโดยการบอบช้ำทั้งสองฝ่าย
หลังจากตอนนั้น นายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่เข้ามาในประเทศจีนตลอดชีวิต ส่วนหลี่ซั่นหยวนก็ออกจากยุทธภพ ใช้ชีวิตอย่างสันโดษถึงแม้ท่านนักพรตจะไม่พูดรายละเอียดมาก แต่เยี่ยเทียนก็สามารถสัมผัสได้ว่า ระหว่างสองคนนี้ ต้องมีอะไรที่เกี่ยวข้องกันแน่นอน
“ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้?”
พอได้ยินเยี่ยเทียนเล่าเรื่องอดีตของท่านอาจารย์ให้ฟัง จั่วเจียจวิ้นจึงเข้าใจทันที ไม่แปลกใจเลยที่ตอนนั้น ตัวเองขอพักค้างคืนและสีหน้าของพระสงฆ์แก่รูปนั้นจึงแปลกประหลาดมาก พอตกกลางคืนก็บุกเข้ามาโจมตี ตัวเองโดยไม่สนใจฐานะของเขาเลย
การฝึกวิชานอกรีต เวลาที่ยังไม่ได้ลงมือยากที่จะวิเคราะห์ว่าเป็นวิชาของสำนักไหน เพราะกำลังภายในของวิชา แต่ละสำนักไม่เหมือนกัน แต่จากการฝึกฝนจิตของนายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ แค่มองปราดเดียวก็สามารถจำแนก ถึงการถ่ายทอดวิชาของจั่วเจียจวิ้นได้อยู่แล้ว
“ศิษย์พี่ใหญ่รู้เรื่องมากที่สุด ตอนนั้นท่านอาจารย์น่าจะเล่าให้เขาฟังแล้ว อ้อใช่ ศิษย์พี่จั่ว พี่น่าจะเคยไป ไต้หวันมาก่อน ไม่ทราบว่าสามารถติดต่อศิษย์พี่ใหญ่ได้ไหม? “
ทันใดนั้นเยี่ยเทียนก็นึกขึ้นได้ ว่าพวกเขายังมีศิษย์พี่ใหญ่อยู่ที่ไต้หวัน จากคำบอกกล่าวของหลี่ซั่นหยวน ศิษย์พี่คนนี้ติดตามเขามานานที่สุด การทำนาย ลักษณะพื้นภูมิของสุสานก็แม่นนัก น่าจะเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงโด่งดังคนหนึ่ง
หลังจากได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนแล้ว จั่วเจียจวิ้นจึงส่ายหน้า พลางพูด “ไม่มีเลย พี่เคยไปไต้หวันในปี 1970 แต่สิบกว่าปีที่ผ่านมา ก็ยังไม่เคยได้ข่าวคราวของศิษย์พี่ใหญ่ หรือบางที ตอนนั้นอาจจะเกิดอุบัติเหตุอะไรก็ได้?”
ศิษย์คนโตของหลี่ซั่นหยวนชื่อว่าสวินซินเจีย ตอนที่เขาอายุยี่สิบกว่าปีนั้นก็ได้เป็นนายทหารยศพันตรี ของรัฐบาลแห่งชาติแล้ว หลังจากพรรคกั๋วหมินต่างพ่ายแพ้ให้กับไต้หวันในปี 1949 สวินซินเจียจึงพาครอบครัว ย้ายไปอยู่ที่ไต้หวัน
ตามหลักแล้วคนที่มีชื่อเสียงน่าจะตามหาตัวได้ง่าย แต่เมื่อจั่วเจียจวิ้นนำทหารเก่าจำนวนไม่น้อยไปที่ไต้หวัน ซึ่งหนึ่งในนั้นก็รู้จักครอบครัวของสวินซินเจีย แต่กลับไม่มีใครสามารถบอกได้ชัดเจนว่าสวินซินเจียไปอยู่ที่ไหน
ในช่วงภาวะสงคราม ชีวิตบัดซบมากกว่าสุนัขเสียอีก เรื่องที่ไม่คาดคิดสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา หลังจากเดินทางไปไต้หวันสองสามครั้งก็ไม่เป็นผลสำเร็จ สุดท้ายเขาจึงล้มเลิกความคิดในการตามหาศิษย์พี่ใหญ่
“ถ้าศิษย์พี่ใหญ่ยังมีชีวิตอยู่ ตอนนี้ก็น่าจะอายุแปดเก้าสิบปีแล้ว” เยี่ยเทียนถอนหายใจ เพราะดูจากสถานการณ์ในตอนนี้ เหมือนผู้สืบทอดสำนักเสื้อป่านจะเหลือเพียงเขากับจั่วเจียจวิ้นเท่านั้น
“ศิษย์น้องเยี่ย ในเมื่อนายสืบทอดวิชาความรู้จักท่านอาจารย์แล้ว อย่างนั้นนายก็คือเจ้าของสำนักเสื้อป่านของพวกเรา ดังนั้นศิษย์พี่จึงมีเรื่องอยากขอร้อง! จู่ๆ จั่วเจียจวิ้นก็นึกออกเรื่องหนึ่ง แล้วพูดกับเยี่ยเทียนด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม
เรื่องอะไรเหรอศิษย์พี่จั่วว่ามาเลยครับ” เยี่ยเทียนพยักหน้า
จั่วเจียจวิ้นชี้ไปที่หลิวติงติง แล้วพูด “หลานสาวของพี่เป็นคนเฉลียวฉลาด ถึงแม้จะนิสัยไม่ค่อยดี แต่มีพรสวรรค์เกี่ยวกับวิชาเหล่านี้ พี่…พี่อยากรับเธอให้เป็นศิษย์ของสำนักเสื้อป่าน ศิษย์น้องเยี่ย คิดว่าจะเป็นไปได้ไหม?”
“ได้แน่นอนครับ ศิษย์พี่ ขอเพียงเธอมีความประพฤติเรียบร้อย พี่สามารถรับเธอเข้ามาเป็นศิษย์ของสำนักเสื้อป่านได้ อีกอย่างก็ถึงเวลาที่ต้องรับลูกศิษย์เพิ่มแล้ว”
เยี่ยเทียนรับปากอย่างง่ายดาย พลางมองไปที่หลิวติงติงแล้วพูด “ฉันกับปู่ของเธอต่างก็เป็นศิษย์รุ่นที่ห้าสิบเอ็ด ของสำนักเสื้อป่าน แต่ฉันกับศิษย์พี่จั่วยังไม่มีลูกศิษย์เลย สำหรับเธอจึงต้องเป็นรุ่นถัดไป หมายความว่าถ้าเธอเข้ามา เป็นศิษย์ของสำนักแล้ว เธอจะเป็นผู้สืบทอดรุ่นที่ห้าสิบสาม เธอจะยินดีไหม?”
ความสัมพันธ์ของจั่วเจียจวิ้นกับหลิวติงติงไม่มีทางเปลี่ยนแปลงได้ และเยี่ยเทียนก็ไม่อยากลด ศักดิ์ศรีเพื่อรับหลิวติงติง เป็นศิษย์ แต่ในนามจะต้องจัดให้เธอเป็นผู้สืบทอดรุ่นที่ห้าสิบสาม
“คุณอา ฉันยินดีค่ะ!”
หลิวติงติงพยักหน้าอย่างแรง เพราะตั้งแต่เด็กจนโตเธอก็อยากเรียนวิชาดูดวงทำนายโชคชะตาแล้ว เพียงแต่จั่วเจียจวิ้นถูกท่านอาจารย์กำชับในตอนนั้น ไหนเลยจึงจะกล้าถ่ายทอดให้กับเธอ ตอนนี้มีโอกาสแล้ว เธอยังจะไปสนในเรื่องลำดับศักดิ์ทำไมกัน?
เยี่ยเทียนได้ยินจึงดีใจมาก พลางพูด “ดี ศิษย์พี่ พวกเรารีบจัดโต๊ะบูชาจัดพิธีไหว้ครูและรับศิษย์กัน!”
“อาติง มานี่ มีบางเรื่องที่เธอต้องไปช่วยจัดการให้ฉัน!”
ถึงอย่างไรตอนนี้ก็ทานอาหารพอประมาณแล้ว เยี่ยเทียนจึงออกไปที่ประตูและตะโกนกำชับอาติง ให้เตรียมหัวหมูผลไม้ต่างๆ มาให้เขา เพราะในฐานะการรับศิษย์เข้าสำนักเสื้อป่านอย่างเป็นทางการ เยี่ยเทียนอยากจะจัดงานให้ยิ่งใหญ่เสียหน่อย
“ศิษย์น้องเยี่ย จัดง่ายๆ ไม่ได้เหรอ?” หลังจากเห็นการกระทำของเยี่ยเทียนแล้ว จั่วเจียจวิ้นจึงตกตะลึง เดิมทีเขาอยากให้หลิวติงติงคุกเข่าคำนับเยี่ยเทียนกับตัวเอง ก็สามารถรับเธอเป็นศิษย์ได้แล้ว
“ศิษย์พี่จั่ว จำเป็นสิ”
พวกเรามีหนังสือลำดับญาติของบรรพบุรุษกับบรมครูที่สร้างสำนักขึ้นมา รุ่นต่อรุ่นของสำนักเสื้อป่าน
อยู่ที่บ้านของผม รอให้ผมกลับไปก่อนแล้วค่อยเพิ่มรายชื่อของหลิวติงติง!”
เยี่ยเทียนเคยรับปากท่านนักพรต จะส่งเสริมให้สำนักเสื้อป่านเจริญรุ่งเรือง แต่หากอาศัยเพียงเขา กับจั่วเจียจวิ้นสองคน จึงทำไม่ได้อย่างเห็นได้ชัด ดังนั้นเขาจึงให้ความสำคัญกับการรับหลิวติงติงเป็นลูกศิษย์มาก
“ผมจำได้ว่าเหล่าถังเคยบอกว่าเขามีห้องวาดภาพอยู่ที่นี่?”
หลังจากสั่งให้อาติงไปเตรียมของไหว้แล้ว เยี่ยเทียนจึงเริ่มค้นหาห้องไปที่ละห้อง แล้วเขาก็หาห้องวาดภาพเจอจนได้ และภายในยังมีแผ่นที่ทับกระดาษวาดภาพ การะดาษเซวียนจื่อและสีอยู่ด้วย
“ศิษย์น้องเยี่ย นายจะทำอะไร?” เมื่อเห็นเยี่ยเทียนยกแผ่นที่ทับกระดาษวาดภาพหนึ่งอันขึ้นมาอย่างกะทันหัน และทำท่าเหมือนจะวาดภาพบนนั้น ทำให้จั่วเจียจวิ้นกับหลิวติงติงที่อยู่ข้างหลังของเขาต่างมองหน้ากันเลิ่กลั่ก และเดาไม่ถูก
“รับติงติิ้งเป็นลูกศิษย์ ยังไงก็ต้องไหว้ปรมาจารย์ปู่บ้างใช่ไหม?”
เยี่ยเทียนพูดด้วยน้ำเสียงเศร้าใจ “จะว่าไปแล้วท่านอาจารย์เป็นคนที่ค่อนข้างเข้าใจและมีเหตุผล แต่ท่านไม่ค่อยชอบถ่ายรูป ดังนั้นศิษย์น้องจึงไร้ความสามารถ ไม่มีรูปของท่านอาจารย์ ตอนนี้ผมจึงจะวาดมันออกมา!”
ตอนที่หลี่ซั่นหยวนยังมีชีวิตอยู่ เยี่ยเทียนอยากจะถ่ายรูปกับเขาอยู่หลายครั้ง แต่ไม่ว่าจะพูดโน้มน้าวอย่างไร ท่านนักพรตก็ไม่ยอมตกลง ดังนั้นเยี่ยเทียนจึงเกิดความคิดนี้ขึ้นมา
รอยยิ้มของท่านนักพรตได้ฝังอยู่ในหัวของเยี่ยเทียนมานานแล้ว พอจับพู่กันวาดภาพ รูปภาพของ หลี่ซั่นหยวนก็ปรากฏบนกระดาษทันที
หลังจากเติมสีในขั้นตอนสุดท้าย ทันใดนั้นท่าทางเหมือนดั่งเทพเซียนที่บำเพ็ญตบะในชุดนักพรตเต๋า ก็กระโดดเข้ามาอยู่ในดวงตาของจั่วเจียจวิ้นทันที “ท่านอาจารย์?” จั่วเจียจวิ้นอดคุกเข่าลงไม่ได้ แล้วคำนับสามครั้งให้กับภาพวาดของท่านนักพรต
หลังจากวาดรูปของหลี่ซั่นหยวนแล้ว เยี่ยเทียนจึงวาดรูปของปรมาจารย์ปู่ของสำนักเสื้อป่านอีกที ซึ่งเป็นบุคคลที่เขาคุกเขากราบไหว้ตั้งแต่ยังเยาว์ ไม่ช้า รูปภาพของปรมาจารย์ปู่ก็ปรากฏอยู่บนกระดาษ
ถึงแม้เยี่ยเทียนจะเคยเรียนวาดภาพกับท่านนักพรตตอนเป็นเด็ก แต่ภาพลักษณ์และลักษณะของทั้งสองท่าน ได้ฝังอยู่ในใจของเขามานานแล้ว และความสามารถในการควบคุมชี่แท้ของเยี่ยเทียน ทำให้ท่าทางของทั้งสองท่าน ถูกวาดไปบนกระดาษเรียบร้อย
ขณะที่มองดูรูปภาพทั้งสองภาพนี้ จั่วเจียจวิ้นจึงทำสีหน้าดีใจพลางพูด “เยี่ยเทียน รูปภาพของท่านอาจารย์กับปรมาจารย์ปู่ นายต้องทิ้งเอาไว้ให้พี่นะ หลังจากพี่หาคนปิดกระดาษผนังรอบห้องได้แล้ว พวกเราก็จะเริ่มกราบไหว้บูชา ในวันพรุ่งนี้!”
“ได้ครับ ขอบคุณน้ำใจของศิษย์พี่ครับ”
เมื่อได้ยินคำพูดของจั่วเจียจวิ้นแล้ว เยี่ยเทียนจึงรู้สึกละอายใจไม่หยุด แม้ว่าท่านนักพรตเสียชีวิตไปนานแล้ว แต่นอกจากเขาจะกลับไปจุดธูปเผากระดาษในช่วงเทศกาลทุกปี เขากลับนึกไม่ถึงว่าแท่นเซ่นไหว้ของ ท่านอาจารย์นั้นอยู่ในบ้านของตัวเอง
ความจริงแล้วก็เกิดจากความแตกต่างของวัฒนธรรม ที่มณฑลกวางตุ้งโดยเฉพาะคนฮ่องกง ชอบนำป้ายวิญญาณของผู้อาวุโสวางไว้ในบ้านและจุดธูปกราบไหว้ แต่ในประเทศจีนกลับเห็นน้อยมาก
……
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น