กระบี่จงมา 306.1-307.2
บทที่ 306.1 แลไกลมองใกล้
ProjectZyphon
เฉินผิงอันมองเด็กหญิงผอมแห้งที่สีหน้าเย็นชาคนนี้ ต่อให้นางจะยังเป็นแค่เด็กคนหนึ่ง อายุน้อยกว่าจูลู่หลายปีจนเทียบกันไม่ติด แต่เฉินผิงอันกลับยังคงรู้สึกรังเกียจนางจากใจจริง
เฉินผิงอันจึงไม่มองนางอีก หันไปมองทางประตูหลังของจวน พ่อบ้านเฒ่าที่มองดูเหมือนอ่อนโยนปราณีกำลังจูงมือของเจ้านายน้อยข้ามผ่านธรณีประตูไปพอดี เขาเองก็หันมามองทางเฉินผิงอัน สายตาของคนทั้งสองประสานกัน เฉินผิงอันผงกศีรษะให้เบาๆ คนผู้นั้นลังเลเล็กน้อยก่อนจะผงกศีรษะกลับคืน
ทุกอย่างล้วนไม่จำเป็นต้องเอื้อนเอ่ยออกมา
หากวันนี้เฉินผิงอันไม่ปรากฏตัว เด็กผอมแห้งคนนี้ก็คงตายไปอย่างเงียบเชียบไร้คนรับรู้แล้ว
ส่วนผู้เฒ่าคนนี้ก็เห็นได้ชัดว่าเขายินดีที่จะเป็นฝ่ายมอบความเป็นมิตรให้กับคนบนเส้นทางเดียวกันที่มองตื้นลึกหนาบางไม่ออกผู้นี้ก่อน เลือกที่จะไม่ลงโทษเด็กเหลือขอยากไร้ที่ไม่รู้จักบุญคุณคน ปล่อยให้เฉินผิงอันเป็นคนจัดการด้วยตัวเอง
เฉินผิงอันดึงสายตากลับมา พูดกับเด็กคนนั้นว่า “วันหน้าไม่ต้องมาที่นี่อีก ไม่งั้นเจ้าต้องตาย”
เด็กหญิงเบ้ปาก ไม่เอ่ยอะไร
เฉินผิงอันหมุนกายจากไป
เด็กหญิงถ่มน้ำลายแรงๆ ใส่ทิศทางที่เฉินผิงอันหายตัวไป แล้วก็ยังไม่ลืมถุยน้ำลายใส่ประตูใหญ่กำแพงสูงแห่งนี้ด้วย
เพียงแต่ว่าหลังจากทำพฤติกรรมเล็กๆ สองอย่างที่เต็มไปด้วยความอาฆาตแค้นนี้เสร็จ ท้องที่ร้องโครกครากอยู่แล้วก็ยิ่งร้องดังกว่าเดิม นางเริ่มเวียนหัวตาลาย เดินย้อนกลับไปทางเก่า พยายามเดินเลียบกำแพงให้ได้มากที่สุด อย่าว่าแต่กลางถนนเลย นางถึงขั้นไม่ยอมให้คนเดินเท้าและรถม้าบนถนนมองเห็นตัวเองด้วยซ้ำ หากทำให้พวกเขาโมโหขึ้นมา นั่นต่างหากถึงจะต้องตายจริงๆ
ส่วนผู้ชายที่สวมชุดสีขาวหิมะคนนั้น นางไม่กลัว
ตั้งแต่ที่จำความได้ นางก็มีความรู้สึกที่เฉียบไวต่อความดีความชั่วมากเป็นพิเศษ ใครที่ยุ่งได้ ใครที่ไม่ควรไปมีเรื่องด้วย นางชั่งน้ำหนักได้อย่างชัดเจน
อันที่จริงเฉินผิงอันไม่ได้จากไปไหนไกล เขาแอบสะกดรอยตามคอยลอบสังเกตเด็กน้อยที่ทั่วตัวเต็มไปด้วยหนามแหลมคนนี้เงียบๆ
นางเดินๆ หยุดๆ อย่างหงุดหงิดแต่ไร้เรี่ยวแรงไปตลอดทาง หลังจากนางกวาดมองไปรอบด้านด้วยความระมัดระวัง รออยู่ครู่หนึ่งก็ปีนกำแพงขึ้นไปอย่างคุ้นเคย แอบขโมยผักดองของครอบครัวหนึ่งมาสวาปามอย่างหิวโหย จากนั้นก็วิ่งเหยาะๆ ออกมาจากตรอกเล็ก พอกระหายน้ำนางก็แอบปีนเข้าไปในบ้านของคนอื่นอีก ค่อยๆ ย่องไปตักน้ำในโอ่ง ก่อนจะปิดฝาโอ่ง นางยังคว้าดินขึ้นมาจากพื้นหนึ่งกำมือโปรยลงไปในโอ่งน้ำอย่างรวดเร็ว แล้วถึงได้จากไปอย่างเงียบเชียบ
เฉินผิงอันมองออกว่าขาของเด็กหญิงกะเผลกเล็กน้อย อีกทั้งยังยื่นมือไปลูบสะโพกฝั่งซ้ายบ่อยๆ น่าจะเป็นเพราะเวลาทำเรื่องเลวร้ายในอดีตต้องเจอกับความยากลำบากมาไม่น้อย
และในขณะที่เฉินผิงอันเตรียมจะจากไปนั้นเอง เด็กหญิงก็มาถึงแถบตรอกที่มีแต่ขี้ไก่ขี้หมากองอยู่กลาดเกลื่อน ในตรอกมีบุรุษกลุ่มหนึ่งยืนเอนพิงกำแพงรออยู่ ดูเหมือนว่าจะรอการมาถึงของนาง อายุของบุรุษเหล่านี้ล้วนไม่มาก บางคนก็เป็นเด็กหนุ่มอายุสิบสามสิบสี่ปี อายุมากที่สุดก็แค่ไม่เกินยี่สิบปี เป็นพวกอันธพาลเสเพล คนหนึ่งในนั้นพอเห็นเด็กหญิงผอมแห้งวิ่งเหยาะๆ เข้ามาหาพวกเขา ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ยกเท้าถีบออกไป ไม่หนักไม่เบา แต่หากโดนจังๆ เกรงว่าเด็กหญิงคงตัวปลิวเป็นแน่ ยังดีที่ดูเหมือนเด็กหญิงจะคาดเดาได้ล่วงหน้าแล้ว นางไม่ได้หลบเลี่ยง แต่ระหว่างที่วิ่งมากลับชะลอความเร็วลงเหมือนตั้งใจแต่ก็เหมือนไม่ได้เจตนา ลูกถีบนี้จึงไม่หนักเกินไปสำหรับนาง หลังจากนั้นนางก็แสร้งทำเป็นหงายหลังได้อย่างไม่มีพิรุธ ดิ้นรนลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าเจ็บปวด สายตาและสีหน้าที่มองไปยังคนเหล่านั้นเต็มไปด้วยความประจบสอพลอราวกับว่านี่เป็นนิสัยที่มีติดตัวมาตั้งแต่เกิด
อันธพาลในพื้นที่คนหนึ่งที่น่าจะเป็นผู้นำไม่อยากเสียเวลาอีก จึงบอกให้เด็กหญิงนำทางไป
คนทั้งสองเดินอ้อมไปอ้อมมา เสียเวลาไปไม่น้อยกว่าจะหาบ้านเก่าโทรมหลังหนึ่งที่ถูกทิ้งร้างมานานปีเจอ เด็กหญิงยื่นมือชี้ไปทางบ้านหลังนั้นเงียบๆ อันธพาลที่เป็นผู้นำพูดพลางยิ้มเหี้ยม “หากบอกทางผิด อีกเดี๋ยวจะตัดขาของเจ้า!”
นางส่ายหน้าแรงๆ จากนั้นค่อยยื่นมือสองข้างมารองตรงหัวใจอย่างกล้าๆ กลัวๆ
อันธพาลคนนั้นทำสัญญาณมือของฝ่ายมืดในยุทธภพก่อน ทุกคนที่อยู่รอบกายจึงเริ่มออกไปล้อมบ้านหลังนี้
คนผู้นั้นไม่ได้เข้าร่วมด้วย เขาโยนเงินเหรียญทองแดงเจ็ดแปดเหรียญใส่มือเด็กหญิง พูดด้วยเสียงแปลกแปร่ง “นังเด็กเหลือขอ ไม่บังเอิญเลย อีกครึ่งอีแปะที่เหลืออยู่พี่ชายไม่ได้พกมาด้วย ติดไว้ก่อนแล้วกัน? รอให้เสร็จงานตรงนี้ก่อนแล้วพี่ชายจะกลับบ้านไปเอามาให้เจ้าดีไหม?”
เด็กหญิงส่ายหน้าอย่างแรง นางเขย่ามือ เหรียญทองแดงทั้งหมดก็ไหลไปอยู่รวมกันบนฝ่ามือข้างหนึ่ง มืออีกข้างหนึ่งหยิบเหรียญขึ้นมาสามเหรียญ ยื่นส่งให้อันธพาลผู้นั้น
อันธพาลผู้นั้นหัวเราะชอบใจ นังเด็กคนนี้รู้งานไม่เบา แล้วเขาก็โบกมือ ความคิดที่จะหยอกล้อนางต่อหายวับไปไม่มีเหลือ
เด็กหญิงคนนั้นถอยไปด้านหลัง ค้อมตัวก้มหัวให้บุรุษอยู่หลายครั้ง ก่อนจะหมุนตัววิ่งจากไป
บ้านที่อยู่ด้านหลังของเด็กหญิงมีเสียงคนร้องโหยหวนดังสะเทือนฟ้าดิน
เด็กหญิงเอาแต่วิ่งพลางแบมือออกเร็วๆ ด้วยความดีใจ มองเห็นเหรียญทองแดงเหล่านั้น บนใบหน้าอ่อนเยาว์แต่กลับเหลืองตอบของนางพลันคลี่ยิ้มกว้างดุจบุปผาผลิบาน
……
หลงเฉวียนที่เกิดจากถ้ำสวรรค์ร่วงลงมาแล้วมีอาเขตติดกับผืนแผ่นดินกลายเป็นเหมือนพื้นที่มงคลที่เปี่ยมล้นไปด้วยปราณวิญญาณแห่งหนึ่ง ดึงดูดให้ผู้คนน้ำลายสออยากครอบครอง
ภูตผีปีศาจที่อยู่รอบด้านมีมากนับหมื่นตน ผ่านการย้ายถิ่นฐานมาสองปีกว่า พวกเขาก็เริ่มจะไปพักพิงภูเขาใหญ่แห่งต่างๆ สถานการณ์จึงมีแนวโน้มว่าจะมั่นคงขึ้น
ในบรรดาคนเหล่านี้ ลำพังเพียงแค่ปีศาจใหญ่ขอบเขตโอสถทองก็มีมากถึงสามตน ทุกตนต่างก็เคยเป็นยักษ์ใหญ่ที่เรียกลมได้ลมเรียกฝนได้ฝนในพื้นที่หนึ่งโดยไม่มีข้อยกเว้น ส่วนข้อที่ว่าจะมีปีศาจใหญ่ก่อกำเนิดซ่อนตัวอยู่ภายใน ไม่เต็มใจเผยตัวหรือไม่ ตอนนี้กลับยังไม่อาจรู้ได้
เนื่องด้วยเหตุผลหลากหลายประกาย ภูตผีปีศาจที่ตายก่อนวัยอันควร ตายอย่างเฉียบพลัน รวมไปถึงถูกราชสำนักต้าหลีกำราบสังหารเพราะไม่รักษากฎ โดยรวมแล้วมีถึงพันกว่าตน แต่ปีศาจห้าขอบเขตกลางที่ตายไปกลับมีจำนวนไม่มากนัก ส่วนใหญ่ล้วนเป็นพวกเผ่าปีศาจปลายแถวที่เพิ่งเหยียบขึ้นมาบนเส้นทางของการฝึกตน อาศัยแค่สันดานดุร้ายกระทำการต่างๆ เท่านั้น
ในบรรดาเผ่าปีศาจ ผู้ที่มีคุณสมบัติจะได้ครอบครองป้ายสงบสุขปลอดภัยที่ทางราชสำนักต้าหลีออกให้มีน้อยจนนับนิ้วได้
เพื่อสิ่งนี้เผ่าปีศาจที่พึ่งพาภูเขาใหญ่แห่งต่างๆ ปีศาจที่ทำหน้าที่เป็นผู้รับใช้ราชสำนักหรือผู้พิทักษ์กฎของขุนเขา บ้างก็ต้องควักกระเป๋าตัวเองหาทางสร้างความสัมพันธ์กับทางการ บ้างก็ขอร้องให้เจ้าของสถานที่ที่ตัวเองไปพักอาศัยช่วยแสดงความเป็นมิตรต่อต้าหลี ทุกอย่างนี้ล้วนเป็นเรื่องของเงิน เพราะมีเงินก็สามารถจ้างผีให้โม่แป้งได้ รายได้ก้อนนี้ทำให้กรมการคลังของต้าหลีที่ตอนแรกรับมือไม่ถูกยิ้มหน้าบานเป็นกระด้ง ความสัมพันธ์กับกรมกลาโหมที่แต่เดิมแข็งทื่อก็เริ่มคลายตัวลง ถึงอย่างไรสองแซ่สกุลของนายพลเอกอย่างเฉาและหยวนก็ล้วนมีกองกำลังของตัวเองอยู่ในกรมการคลังและกรมกลาโหม และเวลาเกือบร้อยปีมานี้เฉาหยวนสองตระกูลก็เหมือนน้ำมันกับไฟ ปัดแข้งปัดขากันทุกเรื่อง คนทั้งราชสำนักต่างก็รู้กันดี
ในฐานะอริยะของฟ้าดินแห่งนี้ หร่วนฉงที่มีชาติกำเนิดมาจากศาลลมหิมะได้สร้างสำนักกระบี่หลงเฉวียนขึ้นมา พื้นที่กว้างขวางยิ่ง เขาได้ครอบครองภูเขาหลายแห่งซึ่งรวมถึงภูเขาเสิ่นซิ่วเป็นหนึ่งในนั้น แต่ลูกศิษย์ในสำนักกลับมีน้อยจนน่าสงสาร คนหนึ่งคือหญิงสาวที่ตัดนิ้วโป้งของตัวเองขาด ลูกศิษย์ที่ถูกศาลลมหิมะทอดทิ้ง คอยรับผิดชอบดูแลร้านกระบี่เก่าที่อยู่นอกเมืองเล็ก น้อยครั้งมากที่นางจะขึ้นเขามาเยือนสำนัก มีนามว่าสวีเสี่ยวเฉียว
คนหนึ่งคือเด็กหนุ่มพูดน้อยที่ชอบใส่ชุดสีดำอยู่ตลอดทั้งปี ชื่อว่าต่งกู่
และยังมีเด็กหนุ่มคิ้วยาวที่มีชาติกำเนิดมาจากถ้ำสวรรค์หลีจู เซี่ยหลิง
ต่อให้รวมหร่วนซิ่วเข้าไปด้วย สำนักกระบี่หลงเฉวียนก็ยังมีควันธูปบางเบาจนน่าโมโห
ทว่าหร่วนฉงกลับไม่แยแสเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย นอกจากเขาจะไปเยือนหน้าผาแท่นสังหารมังกรที่อยู่บนภูเขาหลงจี๋ และไปพูดคุยกับคนจากบ้านเดิมอย่างศาลลมหิมะและคนของภูเขาเจินอู่แล้ว ก็ไม่สนใจเรื่องราวทางโลกอย่างอื่นอีก ไม่ว่าจะเป็นเจ้าเมืองอู๋ยวน หรือว่าเทพภูเขาเว่ยป้อ เขาก็แทบไม่ให้ความสนใจเลย สำหรับเรื่องการถ่ายทอดมรรคาให้แก่ลูกศิษย์ทั้งหลายก็ยิ่งไม่ใส่ใจ ส่วนใหญ่ล้วนให้บุตรสาวเป็นคนช่วยจับตามองแทน
ภูเขาเสินซิ่ว วันนี้ทะเลเมฆขาวพร่างพราวลอยไกลสุดลูกหูลูกตา พระอาทิตย์ดวงโตลอยขึ้นมากลางอากาศ สาดส่องให้ทะเลเมฆเป็นสีแดงงามพร้อมอย่างทั่วถึง
เด็กสาวชุดเขียวที่มัดผมหางม้า หรือควรจะบอกว่าตอนนี้ไม่สามารถเรียกนางว่าเด็กสาวได้แล้ว เมื่อเทียบกับตอนที่เพิ่งเข้ามาอยู่ถ้ำสวรรค์หลีจูใหม่ๆ ตอนนี้เรือนกายของนางเพรียวบาง สูงขึ้นมาอีกเล็กน้อย คิ้วตาเรียวยาว ที่แท้แม่นางซิ่วซิ่วก็เติบใหญ่สะโอดสะองแล้ว
ข้างกายของนางมีลูกศิษย์เปิดขุนเขาของหร่วนฉงผู้เป็นบิดายืนอยู่ สวีเสี่ยวเฉียว ต่งกู่ เซี่ยหลิง ยากนักกว่าที่พวกเขาจะได้มารวมตัวกัน ในบรรดาคนทั้งสาม สวีเสี่ยวเฉียวเรียกหร่วนซิ่วว่าศิษย์พี่หญิงใหญ่ ต่งกู่เรียกว่าแม่นางหร่วน แต่เป็นคำเรียกขานที่ออกมาจากความเคารพด้วยใจจริง แต่เด็กหนุ่มเซี่ยหลิงกลับชอบเรียกนางว่าพี่หญิงซิ่วซิ่วมาโดยตลอด
ตรงข้างเท้าของหร่วนซิ่วมีสุนัขตัวหนึ่งนอนหมอบอยู่ หมาแก่ที่เดิมทีนอนป่วยพังพาบรอตายอยู่ข้างถนนตัวนั้น เวลานี้กลับเปลี่ยนมาเป็นมีชีวิตชีวา ดวงตาทั้งคู่เต็มไปด้วยประกายเฉลียวฉลาด นี่ต้องยกให้เป็นความดีความชอบของยาหลายเม็ดที่หร่วนซิ่วมักจะโยนให้มันกินซึ่งล้วนเป็นยาชั้นเยี่ยม ทุกเม็ดมีค่าเท่ากับทองพันชั่ง เคยมีผู้ฝึกลมปราณผ่านทางมาเห็นภาพนี้ ในใจพลันเศร้ารันทด รู้สึกเพียงว่าตนเองมีชีวิตสู้หมาตัวหนึ่งไม่ได้ด้วยซ้ำ ใจนึกอยากจะกระโจนออกไปแย่งชิงอาหารกับหมาให้รู้แล้วรู้รอด
ท่ามกลางทะเลเมฆอันงดงามพอจะมองเห็นภูเขาใหญ่หลายลูกที่สูงตระหง่านแหวกทะเลเมฆขึ้นมาดุจดั่งหมู่เกาะได้รำไร
หร่วนซิ่วชี้ไปที่ภูเขาลูกหนึ่ง “ท่านพ่อข้าพูดแล้วว่า ขอแค่พวกเจ้าเลื่อนสู่ขอบเขตโอสถทอง เขาก็จะมอบภูเขาให้คนละลูก และจะป่าวประกาศแก่ใต้หล้า จัดพิธีเปิดขุนเขาให้แก่คนผู้นั้นอย่างเป็นทางการ”
จากนั้นนางก็หันมามองต่งกู่ “แม้เจ้าจะมีชาติกำเนิดเป็นภูตปีศาจ เมื่อเทียบกับพวกเราแล้ว การฝ่าทะลุขอบเขตจะยากยิ่งกว่า แต่อาศัยอายุขัยที่ยืนยาว พื้นฐานที่ปูมาไม่เลว แถมยังเป็นขอบเขตประตูมังกรมาตั้งนานแล้ว ก็ถึงเวลาที่ควรจะลองฝ่าดูได้แล้ว”
ต่งกู่ขยับปากจะพูดแต่ไม่ได้พูด
เห็นได้ชัดว่าเขาไม่มั่นใจเท่าใดนัก ขอบเขตโอสถทองของห้าขอบเขตกลางเป็นขอบเขตที่ฝ่าไปได้ยากที่สุดของผู้ฝึกลมปราณ ไม่รู้ว่ามันขัดขวางผู้ฝึกลมปราณของประตูมังกรไว้มากน้อยเท่าไหร่ การที่ต่งกู่จากบ้านเกิด ทอดทิ้งสถานะไท่ซือตัวปลอมของแคว้นหนึ่ง ละทิ้งความร่ำรวยในโลกมนุษย์ ก็เพราะอยากจะอาศัยปราณวิญญาณที่มีเปี่ยมล้นมาตั้งแต่กำเนิดของถ้ำสวรรค์หลีจูมาเพิ่มความมั่นใจในการเลื่อนสู่ขอบเขตโอสถทองของตน ส่วนระดับขั้นของโอสถทองที่สำเร็จออกมาจะสูงหรือต่ำ และภาพวาดในห้องโอสถจะมีมากหรือน้อย เขาไม่กล้าคาดหวังเลยแม้แต่นิดเดียว
ผู้ที่สร้างโอสถทองได้สำเร็จ ก็คือคนรุ่นเดียวกับข้า
ไม่รู้ว่าประโยคนี้ดึงดูดให้ผู้ฝึกลมปราณในโลกกี่มากน้อยละทิ้งความสนใจต่อเรื่องทางโลก เอาแต่ฝึกตนมุ่งหามรรคาอย่างไม่รู้จักเหน็ดจัดเหนื่อยปีแล้วปีเล่า
“ระหว่างที่เจ้าฝ่าทะลุขอบเขต ข้าจะใช้วิธีการบางอย่างยืมการโคจรลมปราณแห่งภูเขาและแม่น้ำที่เป็นของครอบครัวตัวเองมาช่วยระวังหลังให้เจ้า”
หร่วนซิ่วชี้ไปที่เซี่ยหลิง “ก่อนหน้านี้ศิษย์น้องของเจ้าได้สมบัติที่ใกล้เคียงกับอาวุธเซียนมาชิ้นหนึ่ง เป็นเจดีย์ขนาดเล็กหนึ่งหลัง ผู้สูงส่งท่านหนึ่งมอบให้เขา สามารถลดระดับความอันตรายในการฝ่าขอบเขตของเจ้าได้”
เซี่ยหลิงเด็กหนุ่มคิ้วยาวหน้ามุ่ย ขนาดความคิดจะโดดหน้าผาตายก็ยังมีแล้ว
พี่หญิงซิ่วซิ่วของข้า นี่เป็นความลับใหญ่เทียมฟ้าที่ข้าเก็บไว้ก้นกรุเชียวนะ ทำไมเจ้าถึงได้พูดออกมาง่ายๆ อย่างนี้เล่า
ต่งกู่ที่หน้าตายตลอดทั้งปีราวกับเป็นอัมพฤกษ์บนใบหน้า ในที่สุดก็เผยสีหน้าตื่นเต้นดีใจออกมาเสี้ยวหนึ่ง หันไปโค้งตัวขอบคุณศิษย์น้องเล็กเซี่ยหลิง “ขอบคุณศิษย์น้อง บุญคุณยิ่งใหญ่ครั้งนี้ ต่งกู่จะไม่ลืมไปชั่วชีวิต วันหน้าจะต้องตอบแทนอย่างแน่นอน!”
บทที่ 306.2 แลไกลมองใกล้
ProjectZyphon
คำพูดสองสามประโยคของหร่วนซิ่วก็สลายแววตำหนิในดวงตาของเซี่ยหลิงได้ทันที “ในเมื่อมีของดีขนาดนี้ก็ต้องเอามาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด อย่าเอาแต่คิดจะเก็บไว้แอบยิ้มอยู่คนเดียว การฝึกตนบนมหามรรคา เมื่อสืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้วก็คือการฝึกตนเอง อาศัยวัตถุนอกกายมากเกินไป ไม่ว่าจะเป็นการรับมือกับศัตรูหรือใจตัวเองก็ล้วนต้องพบเจอกับปัญหาใหญ่ เหตุใดก่อกำเนิดเฒ่าหลายคนที่ปิดด่านถึงตายไปเงียบๆ นั่นก็เป็นเพราะว่าระหว่างที่ฝึกตนให้ความสำคัญกับสมบัติอาคม อาวุธวิเศษมากเกินไป”
หร่วนซิ่วพูดประโยคเหล่านี้รวดเดียวจบเหมือนท่องหนังสือ เซี่ยหลิงถึงกับคลี่ยิ้ม
สวีเสี่ยวเฉียวและต่งกู่ก็ดวงตาแวววาว
หร่วนซิ่วถอนหายใจหนึ่งครั้ง กล่าวอย่างทดท้อเล็กน้อย “หลักการพวกนี้ล้วนเป็นบิดาที่บังคับให้ข้าท่องจำ ทำข้าลำบากแทบตายอยู่แล้ว”
เซี่ยหลิงหัวเราะจนหุบปากไม่ลง
สวีเสี่ยวเฉียวและต่งกู่ก็ยิ้มอย่างเข้าใจ
หร่วนซิ่วเอ่ยกำชับ “ต่งกู่ วันหน้าเจ้าเลือกหาสถานที่ฮวงจุ้ยดีๆ และวันฤกษ์งามยามดี ถึงเวลานั้นข้ากับเซี่ยหลิงจะปรากฏตัวตรงเวลา”
ต่งกู่พยักหน้ารับอย่างแรงด้วยความรู้สึกซาบซึ้งใจอย่างยิ่ง
หร่วนซิ่วหยิบห่อผ้าเช็ดหน้าห่อหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ นางไม่ได้เปิดมันออก แต่พูดกับคนทั้งสามว่า “กลับไปกันเถอะ”
เซี่ยหลิงอาศัยอยู่บนภูเขาอยู่แล้ว แต่ต่งกู่กลับสร้างกระท่อมฝึกตนอยู่ที่ตีนเขา สวีเสี่ยวเฉียวก็ยิ่งอยู่ไกลถึงร้านกระบี่ริมลำคลองหลงซวี หร่วนฉงตั้งกฎเอาไว้ว่า ไม่อนุญาตให้ผู้ฝึกตนบังคับลมบินทะยาน ดังนั้นจึงน่าสงสารต่งกู่และสวีเสี่ยวเฉียวที่ต้องเดินเท้าลงภูเขาไป หร่วนซิ่วจึงพูดขึ้นเหมือนไม่ใส่ใจว่า “ลูกศิษย์สำนักกระบี่เฉวียนหลงอยากจะทะยานลมก็ทะยานลม คิดจะขี่กระบี่ก็ขี่กระบี่ อยู่ในถิ่นของตัวเอง ใครจะมาว่าอะไรพวกเจ้า? ท่านพ่อข้างั้นหรือ? เขาไม่สนใจเรื่องพวกนี้หรอก เขาสนแค่ว่าพวกเจ้าจะเลื่อนสู่ขอบเขตโอสถทองได้หรือไม่ วันหน้าจะได้เป็นผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนหรือไม่”
หร่วนซิ่วเอ่ยเสริมอีกว่า “เรื่องพวกนี้ข้าพูดเอง ท่านพ่อข้าไม่ได้สอน”
คนทั้งสามจึงแยกย้ายกันไป
หร่วนซิ่วทรุดตัวลงนั่งยอง หยิบขนมกุ้ยฮวาชิ้นหนึ่งโยนใส่ปาก ยิ้มจนดวงตาทั้งคู่หยีลงเป็นพระจันทร์เสี้ยว แต่จากนั้นนางก็เบิกตากว้าง พยายามทำท่าให้ดูเคร่งขรึม มองไปทางสุนัขตัวนั้น แก้มของนางพองตูม คำพูดจึงฟังคลุมเครือไม่ชัดเจนนัก “ต้องรู้จักทะนุถนอมวันเวลาที่ดีเอาไว้ อย่าเห่าใส่คนที่เดินผ่านไปมาเพื่ออวดบารมีส่งเดช สนุกมากนักหรือ? ได้ยินว่ามีครั้งหนึ่งเจ้าเกือบจะกัดคนเดินเท้าให้บาดเจ็บ บอกให้เจ้าตั้งใจเฝ้าบ้านดีๆ เหตุใดเจ้าถึงขึ้นมาบนภูเขาโดยพลการ? หวังว่าข้าจะปกป้องเจ้างั้นหรือ?”
หร่วนซิ่วยกมือข้างหนึ่งขึ้น “เชื่อหรือไม่ว่าข้าสามารถตบให้เจ้าตายได้ด้วยฝ่ามือเดียว?”
สุนัขตัวนั้นรีบนอนหมอบลงบนพื้น ร้องสะอื้นวิงวอน
หร่วนซิ่วชำเลืองตามองมันด้วยสีหน้าที่ยังคงเย็นชา “หากไม่เป็นเพราะเขา ข้าก็คงกินเนื้อหมาตุ๋นได้หลายวันแล้ว”
สันหลังของสุนัขพันธ์พื้นบ้านสั่นระริก
หร่วนซิ่วลุกขึ้นยืน ชี้ไปยังเส้นทางลงภูเขา “แม้แต่ผู้ฝึกลมปราณเหล่านั้นก็ยังต้องทำตัวสงบเสงี่ยม เดิมทีเจ้าก็เป็นแค่สุนัขตัวหนึ่ง คิดจะแข็งข้องั้นรึ? ลงภูเขาไปเฝ้าบ้านซะ!”
สุนัขวิ่งพรวดเผ่นหนีไปอย่างไม่คิดชีวิต
มันที่ก่อนหน้านี้สติปัญญาถูกเปิดรู้สึกเพียงว่านางน่ารักน่าใกล้ชิด จนกระทั่งบัดนี้มันที่อาศัยสัญชาตญาณถึงเพิ่งค้นพบว่า แท้จริงแล้วนางไม่เคยมีความสงสารหรือความใกล้ชิดให้มันเลยแม้แต่นิดเดียว
หร่วนซิ่วเคี้ยวขนมกุ้ยฮวาชิ้นที่สอง ยกมือข้างหนึ่งมารองไว้ใกล้ๆ แก้ม ป้องกันไม่ให้เศษขนมร่วงตกลงพื้น
ของอร่อยแบบนี้ กินเท่าไหร่ก็ไม่เบื่อเลยจริงๆ
เพียงแต่ไม่รู้ว่ารสชาติของเทพแม่น้ำเหล่านั้น เวลากินแล้วจะอร่อยเหมือนขนมกุ้ยฮวาหรือไม่
ท่านพ่อเคยเล่าให้ฟังว่าร่างทองของพวกเขาสามารถบำรุงตบะของนางได้ดีที่สุด
กรุบๆๆ
แม่นางหร่วนซิ่วผู้นี้เริ่มรู้สึกน้ำลายสอ ต้องรีบยกมือขึ้นมาเช็ดมุมปาก
……
ในฐานะอดีตหนึ่งในแคว้นใต้อาณัติของราชวงศ์สกุลหลู ช่วงแรกเริ่มสุดก่อนที่ราชวงศ์ต้าหลีจะลุกผงาด พวกเขาเคยผ่านความอดทนข่มกลั้นและต้องเผชิญกับความอัปยศมานับครั้งไม่ถ้วน และเมื่อทำลายราชวงศ์สกุลหลูที่มองดูเหมือนไร้ศัตรูได้สำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นพลังอำนาจของแคว้นหรือความมั่นใจของผู้คนในแคว้นก็ล้วนแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง หลังจากสงครามที่ยิ่งใหญ่และยาวนานครั้งนี้ปิดฉากลง ตั้งแต่ขุนนางในราชสำนักที่ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายบุ๋นหรือบู๊ ถึงทหารชายแดน จนไปถึงอาณาประชาราษฎร์ของราชวงศ์ต้าหลีก็ล้วนมีความมั่นใจสูงสุดอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
นี่ต่างหากถึงจะเป็นความมั่นใจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในการเคลื่อนขบวนม้าเหล็กกรีฑาทัพลงใต้
แต่ระหว่างนี้ก็ปรากฏเรื่องไม่คาดคิดบางอย่างขึ้น ทำให้แม่ทัพใหญ่ของชายแดนที่เคยชินกับศึกตัดสินเป็นตาย เคยชินกับสงครามที่ยากลำบาก รวมไปถึงผู้อาวุโสกรมกลาโหมที่นั่งวางแผนอยู่ในเมืองหลวงต่างก็รู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก นั่นก็เพราะการลงใต้ครั้งนี้ ทหารระดับล่างจนไปถึงทหารระดับกลางของกองทัพต้าหลีที่เคยชินกับการสู้รบต่างระแวดระวังภัยกันอย่างเต็มที่
ทว่าแรกเริ่มเลยก็เป็นศัตรูอันดับต้นๆ แห่งทิศเหนืออย่างสกุลเกาต้าสุยที่เลือกจะเป็นเต่าหดหัวในกระดอง หลบเลี่ยงการทำสงคราม หลังจากนั้นก็เป็นแคว้นในอาณัติหลายแห่งซึ่งรวมถึงแคว้นหวงถิงที่ฮ่องเต้ต่างก็เป็นฝ่ายยกเมืองให้ด้วยตัวเอง ยื่นตราลัญจกรหยกที่สืบทอดกันมาของแคว้นให้แก่แม่ทัพฝ่ายบู๊ของต้าหลีที่นั่งอยู่บนหลังม้า แต่ละสถานที่ก็มีแค่การต่อต้านแบบกระจัดกระจายเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น นี่ทำให้ทหารชายแดนของต้าหลีที่เชี่ยวชาญด้านการสู้รบงงงันกันเล็กน้อย รู้สึกราวกับว่าตัวเองมีฝีมือมากมาย แต่ไม่มีที่ให้เอามาใช้
พอขยับลงใต้ไปอีก ศึกสงครามเริ่มวุ่นวายขึ้นเล็กน้อย แรกเริ่มคือมีกองทัพศัตรูที่จำนวนมากพอสมควรหลายกลุ่ม บ้างก็บุกเบิกพื้นที่กว้างขวาง รวบรวมกองกำลังมีฝีมือ เป็นฝ่ายยกทัพมาต่อสู้ตัดสินเป็นตายกับกองทัพชายแดนต้าหลี บ้างก็อาศัยด่านที่อันตราย กำแพงเมืองที่สูงใหญ่ เอาแต่พิทักษ์เมืองไม่ยอมออกมาต่อสู้ บ้างก็เป็นแคว้นเล็กๆ หลายแคว้นที่หันมาร่วมมือเป็นพันธมิตร จับมือกันมาต้านทานกองทัพชายแดนต้าหลีที่บุกไปทางไหน ทางนั้นก็พังราบเป็นหน้ากลอง
สำหรับเรื่องนี้ นอกจากศึกใหญ่ที่ปะทะกันนอกเมือง หรือการโจมตีกำแพงเมืองที่แข็งแกร่งของศัตรูไม่กี่ครั้งแล้ว ส่วนใหญ่ต้าหลีจะใช้กลยุทธ์ต้อนเสือไปกินหมาป่า ระหว่างนี้นักรบเดนตายและสายสืบจำนวนมากของต้าหลีที่แฝงตัวอยู่ในแคว้นต่างๆ ก็ได้สร้างประโยชน์อย่างใหญ่หลวง เพราะคอยส่งข่าวคราวมาให้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ญาติกลายมาเป็นศัตรูกัน มิตรสหายหันอาวุธเข้าห้ำหั่นกันเอง การลุกฮือก่อกบฏของกองกำลังต่างๆ ในหนึ่งแคว้น หรือการตายอย่างฉับพลันของขุนนางสำคัญบุ๋นบู๊อันเป็นเสาหลักของแคว้น
ดังนั้นการลงใต้ของต้าหลีจึงมีคุณูปการทางการทหารเกิดขึ้นนับไม่ถ้วน ความสำเร็จในการทำลายแคว้นที่ทุกคนเคยรู้สึกว่าอยู่ไกลเกินเอื้อม กลับกลายมาเป็นเรื่องใกล้ๆ จนแค่ยื่นมือไปก็ถึง
ทหารกล้าแห่งต้าหลีที่ฉายประกายคมกริบมุ่งจากเหนือของแจกันสมบัติทวีปลงไปทางใต้ มุ่งหน้าไปด้วยกัน ใช้ศึกเลี้ยงศึก ยิ่งนานวันก็ยิ่งบุกรวดเร็วจนมิอาจต้านทาน
ฮ่องเต้ต้าหลีมอบพระราชโองการลับหนึ่งฉบับแจกจ่ายไปตามกระโจมของแม่ทัพใหญ่ทั้งหลาย
ก่อนจะถึงเขตชายแดนทางเหนือของแคว้นไฉ่อีที่ตั้งอยู่ภาคกลางของแจกันสมบัติทวีป การบุกโจมตีเมืองของกองทัพต้าหลี ผู้นำกองทัพทุกท่านสามารถทำทุกอย่างโดยอาศัยความสะดวกเป็นหลัก ไม่จำเป็นต้องรอหนังสือยืนยันเป็นลายลักษณ์อักษรจากทางกรมกลาโหม
“ทุกท่าน จงให้กีบเท้าม้าเหยียบย่ำลงใต้ได้เต็มที่! เรื่องของการเฉลิมฉลอง ขอให้ใช้ศีรษะของศัตรูแทนชาม ใช้เลือดต่างสุรา กองกระดูกแทนโต๊ะ ดื่มฉลองกันให้เต็มคราบไปก่อน!”
ฮ่องเต้ที่น้อยครั้งนักจะเผยอารมณ์ความรู้สึกที่แท้จริงออกมา กลับเลือกใช้คำพูดที่เปี่ยมไปด้วยอารมณ์เช่นนี้ในพระราชโองการ
แล้วจะไม่ทำให้เลือดร้อนๆ ของแม่ทัพบู๊ต้าหลีที่เดิมทีก็เข่นฆ่าศัตรูจนตาแดงก่ำเดือดพล่านได้อย่างไร?
ด้านหลังเสียงฝีเท้าม้าควบตะบึงราวเสียงฟ้าคำรณของต้าหลีก็คือกองทัพใหญ่สายตรงที่อ๋องเจ้าเมืองซ่งจ่างจิ้งเป็นผู้นำทัพ ค่อยๆ บุกรุดหน้าไปอย่างไม่รีบไม่ร้อน
รวมไปถึงราชครูชุยฉานที่แอบติดตามลงใต้มาอย่างลับๆ อยู่ด้านหลัง เขารับผิดชอบหน้าที่ส่งขุนนางบุ๋นต้าหลีแต่ละคนให้เข้าไปประจำเมืองต่างๆ ที่เปลี่ยนธงหัวเมืองเรียบร้อยแล้ว
แคว้นมากมายทางทิศเหนือของแจกันสมบัติทวีปจึงเป็นเหมือนดินโคลนกองหนึ่งที่ถูกคนเหยียบย่ำจนเละเทะ
เมืองสำคัญเมืองหนึ่งทางทิศเหนือของแคว้นซีเหอที่กองทัพม้ามารวมกัน ในที่สุดก็ถูกตีแตก
ศึกครั้งนี้ยืดเยื้อมานานถึงสามเดือน กองทัพต้าหลีตีมาได้ด้วยความยากลำบาก พูดได้แค่ว่าเสบียง ม้าและทหารของแคว้นอื่นที่เพิ่มเติมเข้ามาระหว่างทาง บวกกับกองกำลังต่างๆ ทางทิศเหนือของแคว้นซีเหอที่เข้ามาสวามิภักดิ์ก่อนหน้านี้ ตอนนี้เหลือไม่ถึงสามในสิบส่วน
แต่เมื่อตีเมืองชายแดนอันดับหนึ่งของแคว้นซีเหอที่แข็งแกร่งและยิ่งใหญ่แห่งนี้ได้สำเร็จ โชคชะตาของสกุลหันแคว้นซีเหอก็ถือว่าขาดสะบั้นลงแล้ว นี่ก็คือเรื่องจริง
กว่าจะคว้าชัยชนะในสงครามที่ยากลำบากมาได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ทว่าบรรยากาศของทหารม้าต้าหลีทัพนี้กลับเคร่งเครียดไม่น้อย ไม่เพียงแต่เรื่องที่คนบาดเจ็บล้มตาย ยังมีเรื่องที่กองทัพอีกกองของต้าหลีที่มีพลเอกบางท่านเป็นผู้นำได้ฉวยโอกาสในขณะที่พวกเขารับมือกับแคว้นซีเหอที่เปรียบได้ดั่งกระดูกแข็งแทะยากที่สุด ข้ามเขตเข้ามาในแคว้นซีเหอ ทำลายเมืองว่างเปล่าสิบกว่าเมืองจนเละเทะด้วยความเร็วดุจฟ้าร้องที่คนไม่ทันได้ป้องหู ว่ากันว่าอีกเดี๋ยวก็จะตรงดิ่งไปที่เมืองหลวงของแคว้นซีเหอแล้ว
ตัดเย็บชุดแต่งงานให้คนอื่น ใครก็ไม่ชอบใจทั้งนั้น
แม่ทัพฝ่ายบู๊ที่เลือดเต็มตัวหลายคนวิ่งไปร้องทุกข์แก่ผู้บัญชาการณ์ทัพ ผู้บัญชาการณ์ทัพแค่ฟังพวกเขาบ่น แต่กลับไม่แสดงท่าทีใดๆ
ภายใต้การปกป้องของทหารกล้าหลายสิบคนกองหนึ่ง บุรุษที่สวมเสื้อเกราะเบาซึ่งเป็นชุดของทหารม้าธรรมดาคนหนึ่งค่อยๆ ขี่ม้าเข้ามาในเมือง มองภาพเมืองที่ควันดินปืนลอยคลุ้งไปรอบด้าน บุรุษยังคงมีสีหน้าสุขุมเด็ดเดี่ยว ไม่ได้ถูกอารมณ์เดือดแค้นฮึกเหิมของลูกน้องใต้บังคับบัญชาส่งผลกระทบต่อจิตใจ
แม่ทัพบู๊ที่นำทัพผู้นี้มีชื่อว่า ซ่งเฟิง
คือพระญาติคนหนึ่งของสกุลซ่งต้าหลี อายุเพียงแค่สามสิบปี ท่านกั๋วกงที่อายุน้อยคนนี้ อันที่จริงสายเลือดของเขาค่อนข้างห่างไกลกับสายเลือดดั้งเดิมของฮ่องเต้องค์ปัจจุบันอยู่มาก แต่ชื่อเสียงกลับดีเยี่ยม เข้ามาอยู่ในกองทัพได้เกือบสิบปีแล้ว หลังจากมาอยู่ชายแดนก็น้อยครั้งนักที่จะกลับเมืองหลวง
ซ่งเฟิงไม่ใช่ประเภทแม่ทัพผู้กล้าที่พาตัวไปตกอยู่ในวงล้อม ถึงอย่างไรสถานะที่สูงส่งก็วางอยู่ตรงนั้น ต่อให้ตัวซ่งเฟิงเองจะเต็มใจเสี่ยงอันตราย แต่คาดว่าคนข้างกายเขาคงต้องพยายามขัดขวางไว้อย่างสุดความสามารถ เพราะหากซ่งเฟิงตายไป ใครก็รับผิดชอบไม่ไหว ยังดีที่ซ่งเฟิงเองก็ไม่สนใจชื่อเสียงจอมปลอมน้อยนิดแค่นี้ ในเรื่องนี้เขาจึงไม่เคยทำให้ผู้ใต้บังคับบัญชาลำบากใจ
ใช้ชีวิตอยู่บนหลังม้ามาสิบกว่าปี อยู่ร่วมกันมานาน แม่ทัพข้างกายที่ตอนนี้ได้กุมอำนาจใหญ่ แรกเริ่มอาจเป็นแค่หัวหน้านายกองคนหนึ่ง หากจะบอกว่าพวกเขายินดีสละหัวหลั่งเลือดแทนแม่ทัพใหญ่ซ่งเฟิงก็ไม่เกินจริงเลยแม้แต่นิดเดียว
ศึกโจมตีเมืองในครั้งนี้ ผู้ฝึกตนของทั้งสองฝ่ายเข่นฆ่ากันอย่างดุเดือด
ผู้ฝึกลมปราณใต้บังคับบัญชาของซ่งเฟิง ผู้ฝึกตนติดตามกองทัพที่ราชสำนักต้าหลีจัดหามาให้ และเค่อชิงผู้รับใช้ที่เขาหามาเอง รวมทั้งหมดสามสิบกว่าคน ตายไปเกือบครึ่งหนึ่ง
ความเสียหายจากการรบที่ดุเดือดเช่นนี้แทบจะเทียบเคียงได้กับสงครามทั้งหมดที่เกิดขึ้นขณะมุ่งหน้าลงใต้มาก่อนหน้านี้เลยทีเดียว
ตอนนี้ข้างกายของซ่งเฟิงเหลือแค่คนสองคนที่ลักษณะท่าทางเหมือนผู้ฝึกตนทำหน้าที่เป็นผู้คุ้มกัน
คนผู้หนึ่งคือชายฉกรรจ์ร่างกำยำเปลือยอกและแผ่นหลัง ตรงเอวห้อยป้ายสงบสุขปลอดภัยของต้าหลีที่เด่นสะดุดตา ร่างของเขาสูงถึงเก้าฉื่อ ในมือถือค้อนทำลายเมืองสองเล่ม ม้าที่เขานั่งคร่อมอยู่ใหญ่กว่าม้าศึกของทหารม้าเกราะหนักทั่วไปอยู่มาก นอกจากป้ายหยกแผ่นนั้นแล้ว ตรงเอวชายฉกรรจ์ยังห้อยสองศีรษะโชกเลือดไว้ด้วย นั่นคือของเชลยศึกที่เขาได้มาระหว่างสงครามโจมตีเมือง ตอนมีชีวิตอยู่เจ้าของศีรษะคือผู้ฝึกลมปราณที่มีชื่อเสียงเลื่องลือทางแถบเหนือของแคว้นซีเหอ
เมื่อเทียบกับความน่ายำเกรงของชายฉกรรจ์ผู้นี้แล้ว อีกคนหนึ่งจึงดูไม่สะดุดตาเท่าใดนัก คือบุรุษคนหนึ่งที่มองดูแล้วยังหนุ่มยิ่งกว่าซ่งเฟิง เขาสวมชุดผ้าฝ้ายตัวยาวสีตุ่น มีใบหน้าเหมือนจิ้งจอกที่หล่อเหลา ไม่ว่ากับใครก็ยิ้มตาหยีเสมอ ตรงเอวห้อยกระบี่สั้นยาวสองเล่ม ฝักกระบี่หนึ่งดำหนึ่งขาว
มือสองข้างของบุรุษหนุ่มสอดประสานกันอยู่ในชายแขนเสื้อ หดคอห่อตัวอยู่ในอาภรณ์ ท่าทางเกียจคร้านยิ่ง
กลางเมืองเบื้องหน้าเบี่ยงไปทางซ้ายที่ห่างไปไกลมีปราณกระบี่พุ่งทะยานขึ้นสู่ฟากฟ้า ชายฉกรรจ์หัวเราะร่า ควบม้าห้อตะบึงไปเบื้องหน้าพลางหันมาพูดกับซ่งเฟิงยิ้มๆ ว่า “สถานการณ์ใหญ่มั่นคงแล้ว อุตส่าห์ยังมีปลาหลุดแหมาให้เห็นทั้งที ไปช้าอาจจะไม่มีน้ำแกงเหลือให้ดื่มแล้ว! ท่านแม่ทัพโปรดระวังตัวด้วย อย่าให้ตกลงมาจากหลังม้าล่ะ”
บทที่ 306.3 แลไกลมองใกล้
ProjectZyphon
ผู้ฝึกตนติดตามกองทัพที่มีท่าทางโอหังวางโตผู้นี้ คือยอดฝีมือที่เพิ่งจะมาอยู่ในกองทัพนี้ได้ไม่นาน เล่าลือกันว่าเคยเป็นคนรู้ใจของบุคคลยิ่งใหญ่บางคนในวังหลวง แต่เนื่องจากบุคคลยิ่งใหญ่ผู้นั้นสูญเสียอำนาจ เขาจึงต้องออกจากเมืองหลวงมาหาคุณความชอบทางการทหาร คนผู้นี้เห็นอำนาจและความสูงศักดิ์ของในเมืองหลวงมาจนเคยชิน จึงไม่ค่อยให้ความเคารพนับถือเชื้อพระวงศ์สกุลซ่งที่ออกมาอยู่ชายแดนด้านนอกหลายปีคนหนึ่งเท่าใดนัก
ชายฉกรรจ์ร่างกำยำย้ายเส้นสายตามองไปยังหนึ่งม้าหนึ่งคนที่อยู่ข้างกายซ่งเฟิง “เจ้าเด็กหน้าขาวแซ่เฉา ขอแค่เจ้าล้างก้นให้สะอาดไปพบข้า ข้าจะมอบความชอบทางการทหารที่จะได้รับจากนี้ให้เจ้าไปเปล่าๆ เลย เป็นอย่างไร?”
ผู้ฝึกตนหนุ่มที่ถูกหมิ่นเกียรติเพียงแค่ยิ้มตาหยี ยังไม่ลืมโบกมือให้ชายฉกรรจ์ เหมือนจะบอกให้เขารีบไปลงสนามรบ อย่ามัวเสียเวลาอยู่อีกเลย
ชายฉกรรจ์หัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง เขากระดกก้นขึ้นสูงอยู่บนหลังม้า เอื้อมมือไปด้านหลัง ตบป้าบเข้าที่ก้นตัวเองแรงๆ หนึ่งทีแล้วส่ายก้นไปมา ก่อนจะนั่งกลับลงไปบนอานม้า ควบตะบึงเข้าหาจุดที่แสงกระบี่สาดส่อง
ทหารม้ายอดฝีมือข้างกายซ่งเฟิงต่างก็โมโหขุ่นเคือง
มีเพียงซ่งเฟิงและบุรุษชุดผ้าฝ้ายเท่านั้นที่ไม่ได้เก็บเอามาใส่ใจ
กองทัพม้ากองนี้ค่อยๆ เยาะย่างตรงไปยังศูนย์บัญชาการณ์ทัพใหญ่
ในร้านที่สร้างขึ้นง่ายๆ หยาบๆ แห่งหนึ่งบริเวณใกล้เคียงกับประตูเมืองมีคนสามคนที่เลือกอำพรางลมปราณของตัวเองไว้ตลอดเวลาตั้งแต่เริ่มต้นจนจบสงครามใหญ่ในครั้งนี้ พวกเขาไม่ได้เข้าร่วมการรบครั้งใดทั้งสิ้น ปล่อยให้ประตูเมืองถูกตีแตก ปล่อยให้ราชวงศ์ต้าหลีสารเลวนั้นบุกเข้ามาในเมือง ปลิดชีพทุกคนที่กล้าถืออาวุธจนสิ้น
คนหนึ่งในนั้นคือผู้ฝึกตนอันดับหนึ่งของเมืองขนาดใหญ่ทางทิศเหนือแห่งนี้ ก่อนที่กองทัพต้าหลีจะมาล้อมเมือง แม่ทัพใหญ่ที่พิทักษ์เมืองก็ป่าวประกาศแก่ภายนอกไว้แล้วว่าจะไปขอความช่วยเหลือจากฮ่องเต้ที่เมืองหลวง คนที่เหลืออีกสองคน คนหนึ่งคือผู้นำสำนักตระกูลเซียนบนภูเขาของแคว้นซีเหอ ส่วนอีกคนหนึ่งคือผู้รับใช้เชื้อพระวงศ์ของแคว้นใกล้เคียง มีตบะโอสถทอง!
เทพเซียนโอสถทองท่านหนึ่ง ประตูมังกรสองท่าน พวกเขามาแอบอำพรางกายอยู่ที่นี่ สถานการณ์ตอนนี้ไม่ใช่เพื่อช่วยเหลือเมืองอันเป็นที่ตั้งของกองทัพ เพราะในความเป็นจริงก็ช่วยอะไรไม่ได้แล้ว
แผนการลับครั้งนี้เป็นของแคว้นเล็กบริเวณใกล้เคียงหกแห่งซึ่งรวมถึงแคว้นซีเหอด้วย วางไว้ก็เพื่อสังหารซ่งเฟิง!
หวังสังหารลูกหลานเชื้อพระวงศ์สกุลซ่งต้าหลีกลางสนามรบ!
หากทำสำเร็จ ต่อให้แคว้นจะล่มสลาย แต่ก็สามารถปลุกกำลังใจผู้คนได้มาก ต่อให้บนแผ่นดินของแคว้นทั้งหกจะถูกกองทัพม้าเหล็กของต้าหลีบดขยี้ผ่านไป แต่อย่างน้อยก็ยังมีผู้ผดุงคุณธรรมจำนวนนับไม่ถ้วนหยัดยืนขึ้นมาได้อย่างห้าวหาญ ซึ่งจะต้องทำให้สัตว์เดรัจฉานต้าหลีกลุ่มนี้เหนื่อยกับการรับมือ หาความสงบไม่ได้แม้แต่นาทีเดียว และในเวลาสั้นๆ ก็จะไม่มีวิธีนำรากฐานของหกแคว้นไปใช้เป็นทรัพยากรในการลงใต้ได้อย่างราบรื่น
ส่วนข้อที่ว่าการคาดการณ์ของพวกเขาจะเป็นอย่างที่หวังไว้หรือไม่ เกรงว่าคนทั้งสามและกษัตริย์ของอีกหกแคว้นก็คงไม่ยินดีจะคิดให้ลึกซึ้ง
เรื่องราวมาถึงขั้นนี้ ไม่มีอะไรให้ต้องมัวพะวงอีกแล้ว แผ่นดินแตกแยก สรรพชีวิตมอดม้วย คงต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว!
หากทำสำเร็จ ชื่อเสียงก็จะขจรขจายไปไกล สละกิจการและรากฐานที่อยู่ทางทิศเหนือทิ้ง หนีเอาชีวิตรอดไปทางใต้ มูลค่าในตัวเองก็จะเพิ่มขึ้นมาก คิดจะกลายเป็นแขกผู้สูงศักดิ์ของราชวงศ์ใหญ่สักแห่งหนึ่ง จะยากตรงไหน?
ไม่มีหวังในการฝ่าทะลุขอบเขต อายุขัยกำลังจะสิ้นสุดลง ทำตัวขี้ขลาดหวาดกลัวอยู่บนภูเขามาสามร้อยปี ก่อนตายก็ควรจะมีวีรกรรมที่ยิ่งใหญ่กล้าหาญสักครั้ง
คนบนภูเขาสามคนที่อยู่ตรงนี้ ต่างคนต่างก็มีความคิดแตกต่างกันไป
ในบรรดาคนของกองทัพนี้ ซ่งเฟิงมองดูเหมือนผ่อนคลายสบายอารมณ์ที่สุด แต่ในความเป็นจริงแล้วฝ่ามือที่กำเชือกบังคับม้าไว้แน่นกลับเต็มไปด้วยเหงื่อ
บุรุษหล่อเหลาที่มีใบหน้าเหมือนจิ้งจอกคนนั้นยิ้มบางๆ ให้กับซ่งเฟิง “มีข้าเฉาจวิ้นอยู่ด้วย เจ้าไม่มีทางตายหรอก”
บุรุษที่เรียกตัวเองว่า ‘เฉาจวิ้น’ พลันถามขึ้นว่า “ช่วยเหลือเจ้าครั้งนี้ เจ้าซ่งเฟิงก็ต้องช่วยข้าครั้งหนึ่ง ไม่ยากหรอก แค่ในรายชื่อสิ่งที่เสียหายในสงครามซึ่งรายงานไปทางราชสำนัก บวกการกระทำของผู้ฝึกลมปราณคนหนึ่งเพิ่มเข้าไปด้วย ตกลงไหม? ง่ายมากเลย แค่บอกว่าผู้ฝึกลมปราณผู้นั้นตายไปด้วยน้ำมือของผู้ฝึกลมปราณฝั่งตรงข้ามที่หลบซ่อนตัวอยู่ เพราะสละตัวเองปกป้องเจ้านายอย่างกล้าหาญ”
ซ่งเฟิงพยักหน้ารับ
เฉาจวิ้นดึงมือสองข้างออกมาจากชายแขนเสื้อ ใช้ฝ่ามือแยกไปกดลงบนด้ามกระบี่สั้นและยาว ก่อนจะค่อยๆ ดันพวกมันออกจากฝักช้าๆ
เสียงปังดังหนึ่งครั้ง
สันหลังของม้าที่นั่งอยู่ระเบิดหักท่อน ม้าตายคาที่
เฉาจวิ้นพุ่งฉิวออกไป เพียงชั่วพริบตาร่างก็หายวับไม่มีเหลือ
กลางอากาศยังคงเหลือรุ้งยาวที่มีประกายแสงไหลรินสองเส้นพาดผ่าน
หนึ่งเค่อต่อมา
เมื่อผู้ฝึกตนขอบเขตโอสถทองคนสุดท้ายมือขาดเท้าขาด จำต้องเลือกระเบิดโอสถทองด้วยความเคียดแค้น บนชุดผ้าฝ้ายตัวยาวของผู้ฝึกกระบี่ที่มีพลังการต่อสู้แข็งแกร่งจนเรียกได้ว่าวิปริตผู้นี้กลับไม่มีคราบเลือดเปรอะเปื้อนเลยแม้แต่จุดเดียว ตอนที่ผู้ฝึกลมปราณโอสถทองฆ่าตัวตาย เขาก็ขี่กระบี่จากไปอย่างสง่างาม บ้านเรือนในรัศมีร้อยจั้งใต้ฝ่าเท้าที่กระบี่ของเขาพุ่งผ่านล้วนพังราบเป็นหน้ากลอง ฝุ่นคลุ้งตลบมืดฟ้ามัวดิน
ซ่งเฟิงเงยหน้าขึ้นมองแล้วก็รู้สึกเหมือนได้ยกภูเขาออกจากอก
แล้วถึงได้ควบม้าเข้าเมืองอย่างวางใจ
ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจว่าจะไม่ตรงไปยังจวนของแม่ทัพใหญ่ แต่ไปยังสนามรบที่ก่อนหน้านี้มีปราณกระบี่พุ่งขึ้นมาก่อน
รอเขาไปถึงที่นั่น ก็เห็นว่าท่ามกลางซากปรักหักพังมีศพของคนตระกูลเซียนต้าหลีที่ใช้ค้อนคู่ทำลายเมืองนอนจมอยู่กลางกองเลือด ตรงบริเวณแขนถูกทวนยาวเล่มหนึ่งปักทะลุตรึงแน่น ผู้ฝึกกระบี่หล่อเหลาที่สวมชุดผ้าฝ้ายตัวยาวยืนอยู่บนหัวทวน กำลังอ้าปากหาว พอเห็นซ่งเฟิงก็ยิ้มกวักมือเรียกเขา
หลังจากวันนี้เป็นต้นไป ผู้ฝึกกระบี่ที่มีนามว่าเฉาจวิ้นจะเป็นฝ่ายย้ายไปอยู่กองลาดตระเวนธรรมดาที่ทำหน้าที่สอดแนมศัตรูกองอื่น ไม่เสียเวลาอยู่ข้างกายซ่งเฟิงอีกต่อไป
ผู้ฝึกตนมีพรสวรรค์ขอบเขตประตูมังกรคนหนึ่งที่ท่องพเนจรไปทั่วทิศ คุณความชอบทางการทหารแต่ละครั้งน้อยนิด ทว่ากลับต่อเนื่อง ได้มาเจอกับทัพต้าหลีที่กรีฑาทัพลงใต้บนสนามรบของแคว้นใกล้เคียง เขาใช้วิธีการที่เสี่ยงอันตรายปลิดชีพทหารลาดตระเวนอย่างเงียบเชียบ ทุกครั้งที่ลงมือจะหยุดเมื่อถึงเวลาสมควร ไม่เคยเปิดเผยตัวตนของตัวเอง ระยะเวลาสั้นๆ เพียงแค่ครึ่งปีก็ฆ่าทหารลาดตระเวนฝีมือดีของต้าหลีไปแล้วหนึ่งร้อยหกสิบคน
ต้องรู้ว่าทหารลาดตระเวนที่ทำหน้าที่สอดแนมสถานการณ์ทางฝั่งศัตรูล้วนคัดเลือกมาจากยอดฝีมือในยอดฝีมืออีกที
เนื่องจากศึกหลายครั้งก่อนหน้านี้เป็นเพียงการต่อสู้อย่างผิวเผินที่ปะทะกันเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ไม่ได้รวมตัวกันเป็นศึกใหญ่อยู่ในสมรภูมิรบบางแห่ง ผู้ฝึกตนหนุ่มสำนักการทหารผู้นี้จึงไม่ได้ดึงดูดความสนใจและถูกทหารต้าหลีล้อมสังหาร แต่ฝ่ายต้าหลีก็เริ่มมีการระแวดระวังในทุกด้าน เพิ่มจำนวนผู้ฝึกลมปราณที่ติดตามกองทัพให้มากขึ้น โดยที่อำพรางตัวอยู่ในกองทัพ หวังจะสร้างฉากตั๊กแตนจับจั๊กจั่น นกขมิ้นรอตะครุบอยู่ด้านหลัง แต่เมื่อผู้ฝึกลมปราณติดตามกองทัพที่มีขอบเขตชมมหาสมุทรสองคนถูกฆ่าตายไป ในที่สุดทหารระดับสูงของกองทัพต้าหลีก็ให้ความสำคัญกับเจ้าหมอนี่อย่างจริงจัง แต่ผู้ฝึกตนสำนักการทหารคนนี้กลับเผ่นหนีไป อ้อมเป็นวงใหญ่ สุดท้ายก็มาอยู่บนสนามรบแคว้นซีเหอที่ซ่งเฟิงเป็นผู้นำทัพ
เฉาจวิ้นได้มาพบเขา เป็นความบังเอิญ
แต่เขาได้มาพบเฉาจวิ้น ต้องเป็นความแน่นอนบางอย่าง เดินอยู่ริมแม่น้ำบ่อยๆ รองเท้าจะไม่เปียกเลยได้อย่างไร
เฉาจวิ้นมองเขาฆ่าทหารลาดตระเวนเจ็ดคนที่อยู่ข้างกายจนหมด แล้วจึงสังหารเขา
ผู้ฝึกลมปราณที่เชี่ยวชาญการเข่นฆ่ามาเข้าร่วมกับกองทัพ มองดูเหมือนกำลังสร้างเนื้อสร้างตัว ถูกแต่งตั้งเป็นโหว เลื่อนขั้นเป็นแม่ทัพเหมือนเป็นเรื่องง่ายคล้ายการเอื้อมมือไปหยิบของในกระเป๋า แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น
ภูเขาลูกหนึ่งมักจะสูงกว่าภูเขาลูกหนึ่งเสมอ
เฉาจวิ้นเลียนแบบชายฉกรรจ์ถือค้อนทำลายเมืองด้วยการตัดศีรษะผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกรที่เดิมทีควรมีอนาคตยาวไกล เพียงแต่ไม่ได้เอามาแขวนไว้ที่เอว แต่แขวนไว้ข้างหนึ่งของอานม้า จากนั้นก็มุ่งหน้าลงใต้เพียงลำพัง เขาจะเลียนแบบคนผู้นี้อีกครั้ง นั่นคือควบม้าพร้อมอาวุธคู่กายไปลอบฆ่าเหล่าแม่ทัพใหญ่ในกองทัพของแคว้นซีเหอ
เขาไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองโชคดีกว่าเจ้าของศีรษะที่แขวนอยู่ข้างอานม้า
แต่ความต่างเดียวระหว่างคนทั้งสองก็คือ เขาเฉาจวิ้นมีผู้พิทักษ์มรรคา เวลาเอาตัวไปเสี่ยงอันตรายก็ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องความปลอดภัย ปล่อยพลังเข่นฆ่าสังหารให้สาแก่ใจแค่ไหนก็ได้ ไม่ต้องคิดหาทางหนีทีไล่อะไรทั้งนั้น
เขาก้มหน้าลงยิ้ม ใช้มือตบไปที่ศีรษะของคนที่ตายตาไม่หลับ เลือดบนศีรษะแข้งหอดไปนานแล้ว เส้นผมก็แห้งกรอบเหมือนหญ้าแข็งๆ เฉาจวิ้นยิ้มตาหยีพูดว่า “น่าเสียดายที่เจ้าไม่มี”
น้ำเสียงที่แฝงไว้ด้วยความไม่พอใจเสี้ยวหนึ่งดังขึ้น “ทำไมเจ้าไม่ช่วยทหารลาดตระเวนพวกนั้น อยู่ในสนามรบด้วยกันก็เหมือนเป็นสหายกัน”
เฉาจวิ้นกล่าวยิ้มๆ “หากข้าไม่อยู่ที่นี่ พวกเขาตายไปก็ถือว่าตายเปล่า แต่พอข้าอยู่ด้วย จะดีจะชั่วก็มีคนช่วยพวกเขาแก้แค้น พวกเขาไม่ควรขอบคุณข้าหรอกหรือ?”
ตระกูลเซียนแล้งน้ำใจ
การฝึกตนบนภูเขาห่างไกลจากโลกมนุษย์ ยิ่งนานวัน ระยะห่างก็ยิ่งยาวไกล
นานวันเข้าผู้ฝึกตนหลายคนจึงแล้งน้ำใจต่อโลกมนุษย์ อย่างมากสุดก็แค่เหมือนคำกล่าวที่ว่า ข้าไม่สร้างความลำบากใจให้กับโลกใบนี้ แต่ก็อย่าคาดหวังว่าข้าจะปฏิบัติต่อโลกใบนี้เป็นอย่างดี
……
บางแห่งในเมืองหลวงของแคว้นหนันเยวี่ยน มีเด็กหญิงเสื้อผ้าขาดวิ่นคนหนึ่งยืนอยู่หน้าร้านขายซาลาเปาเนื้อ นางจ้องมองซึ้งนึ่งซ้อนกันเป็นชั้นๆ ที่มีไอร้อนลอยกรุ่น ได้กลิ่นหอมจางๆ โชยมา น้ำลายก็ไหลด้วยความอยากกิน
ชายฉกรรจ์ที่เป็นเถ้าแก่ร้านรำคาญที่นางขวางหูขวางตาจึงตวาดไล่อย่างโมโห เด็กหญิงยืดอกเชิดหน้า แบฝ่ามือแสดงให้เห็นว่าตัวเองมีเงิน
เหรียญทองแดงห้าเหรียญ ห้าอีแปะ
ชายฉกรรจ์ไม่แม้แต่จะมองนางเต็มๆ ตา ยังคงบอกให้นางไสหัวไป เห็นว่านางยังไม่ยอมไปจึงยกเก้าอี้ขึ้นทำท่าจะฟาดนาง
ทำเอาเด็กหญิงตกใจรีบวิ่งหนี
วิ่งห่างไปไกลแล้ว เด็กหญิงถึงหันกลับมามองร้านนั้นด้วยสายตาอาฆาต แสยะปากใส่ หันตัวกลับเดินไปอีกร้านหนึ่งที่ขายแผ่นแป้งย่าง ซื้อมาสองแผ่นใหญ่ ยังเหลือเงินอีกหนึ่งอีแปะ
อันที่จริงกินแผ่นเดียวนางก็ผ่านพ้นวันนี้ไปได้แล้ว และตอนแรกนางก็กินแค่แผ่นเดียวจริงๆ
ทว่าเดินไปเดินมา ความคิดในหัวของนางก็เริ่มตีกัน สุดท้ายจึงหามุมกำแพงมุมหนึ่ง หยิบเอาแผ่นแป้งย่างที่เดิมทีเก็บไว้เป็นอาหารของวันพรุ่งนี้ออกมากิน
พอกินหมด ดูเหมือนนางจะรู้สึกเสียใจที่ทำเช่นนั้นจึงหยิกแขนตัวเองแรงๆ หนึ่งที แต่พอลุกขึ้นยืน เด็กหญิงที่น้อยครั้งจะอิ่มท้องแบบนี้ก็ลิงโลดขึ้นมา สาวเท้าวิ่งตะบึงไปเบื้องหน้า บางครั้งก็เงยหน้าขึ้นชี้กระดาษว่าวที่ลอยอยู่เหนือเมืองหลวงด้วยความอิจฉา
คืนนี้นางไม่ได้กลับไปยังรังเล็กที่เป็น ‘บ้านของตัวเอง’ อากาศตอนกลางคืนของหน้าร้อนเย็นสบาย นอนที่ไหนก็เหมือนกัน ไม่ทำให้ตายหรอก แค่ยุงเยอะอาจจะทำให้รำคาญหน่อยก็เท่านั้น
ตรงประตูหน้าบ้านคนมีเงินหลังหนึ่งที่สถานะทางบ้านค่อนข้างจะมั่นคงตั้งวางสิงโตหินที่สลักด้วยฝีมือหยาบๆ เอาไว้ อีกทั้งรูปร่างยังแปลกประหลาด ไม่ได้อยู่ในท่านั่งยอง แต่สี่ขาแนบพื้น แหงนหน้ามองไปไกล สิงโตหินขนาดไม่สูงไม่ต่ำ พอดีให้เด็กหญิงปีนขึ้นไปบนหลังได้ นางนั่งดูดาวของราตรีฤดูร้อนอยู่ด้านบนก่อนครู่หนึ่ง จากนั้นก็ควักเอาเหรียญทองแดงที่เหลือเหรียญสุดท้ายออกมา
มองผ่านช่องสี่เหลี่ยมเล็กๆ กลางเหรียญไปยังดวงดาวบนท้องฟ้ากว้างใหญ่
นาทีนั้นใบหน้าของนางเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
หลังจากนั้นนางก็เก็บซ่อนเหรียญทองแดงไว้เป็นอย่างดี ฟุบตัวนอนคว่ำบนหลังสิงโต เพียงไม่นานก็ส่งเสียงกรนเบาๆ
สิงโตหินอีกตัวที่อยู่ข้างกัน เฉินผิงอันนั่งขัดสมาธิอยู่บนนั้น เขาหันหน้ามามองเด็กหญิงที่หลับสนิทแล้วขมวดคิ้วแน่น ยากที่จะวางใจลงได้
แต่แล้วเฉินผิงอันก็ไม่คิดอะไรมากอีก เขาเริ่มหลับตาลงฝึกท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลู
ท่าทางของเด็กหญิงที่ฟุบหลับอยู่บนหลังสิงโตหินเหมือนคนที่กำลังฝันหวาน
บทที่ 307.1 ภิกษุเฒ่าไม่ชอบพูดเรื่องพระธรรม
ProjectZyphon
ยามเช้าตรู่ ประตูใหญ่เปิดออกดังแอด เด็กหญิงผอมแห้งสะดุ้งตื่นในชั่วพริบตา นางกระโดดลงมาจากหลังสิงโตหิน ค้อมตัวลงวิ่งเลียบกำแพงหนีไปให้ห่างจากที่แห่งนี้
แน่นอนว่าเฉินผิงอันต้อง ‘ตื่น’ เช้ากว่านาง หลังจากที่มองอยู่ไกลๆ เห็นว่าเด็กหญิงจากไปแล้ว เขาก็ไม่สะกดรอยตามนางอีก แต่กลับไปยังที่พักของตัวเอง เฉินผิงอันเช่าห้องด้านข้างของบ้านหลังหนึ่งที่อยู่ทางใต้ของเมืองหลวงเพื่อพักอาศัย บริเวณใกล้เคียงมีตรอกจ้วงหยวน (จอหงวน) ที่มีชื่อเสียงมาก แต่อันที่จริงกลับเทียบตรอกซิ่งฮวาของบ้านเกิดเขาไม่ได้เลยด้วยซ้ำ มีบัณฑิตยากจนที่เดินทางมาสอบที่เมืองหลวงพักอยู่เป็นจำนวนมาก เนื่องจากไม่ได้รับเลือกในการสอบช่วงวสันต์ จ่ายเงินค่าเดินทางกลับบ้านเกิดไม่ไหว อีกทั้งมีสหายที่เพิ่งได้รู้จักในเมืองหลวงให้คอยสอบถามแลกเปลี่ยนความรู้ จึงเลือกมาพักอยู่ที่นี่
เฉินผิงอันมีแค่กุญแจห้อง ไม่มีกุญแจประตูหน้าบ้าน ดังนั้นเขาจึงเลือกเวลากลับมายังที่พัก ประตูบ้านเปิดไว้อยู่แล้ว เฉินผิงอันกลับไปที่ห้องของตัวเอง ปิดประตูลงแล้วก็ชำเลืองตามองตำราที่กองทับกันบนโต๊ะรวมไปถึงผ้าห่มบนโต๊ะซึ่งต่างก็ถูกขยับเคลื่อนย้ายมาก่อน ร่องรอยเล็กๆ น้อยๆ ล้วนปรากฏอยู่ในสายตาของเฉินผิงอันอย่างชัดเจน เขาถอนหายใจด้วยความระอา ยังดีที่ของไม่ได้หายไป
ก่อนหน้านี้เฉินผิงอันไม่ได้พักอยู่ที่นี่ แต่พักอยู่ที่โรงเตี๊ยม เช่าห้องขนาดใหญ่ที่มีพื้นที่กว้างขวางให้ฝึกหมัดฝึกกระบี่ได้ ภายหลังตามหาอารามเต๋าไม่พบ ยิ่งนานวันจิตใจก็ยิ่งหงุดหงิดงุ่นง่าน เฉินผิงอันจึงหยุดฝึกเดินนิ่งและวิชากระบี่เป็นครั้งแรก เพื่อประหยัดเงินจึงย้ายมาพักอยู่ที่นี่ แล้วก็จะฝึกท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลูแค่บางครั้งเท่านั้น
เฉินผิงอันนอนอยู่บนเตียง เหม่อมองเพดานห้อง
หากต้องเป็นเหมือนแมลงวันไร้หัวต่อไปเช่นนี้เรื่อยๆ คงไม่ใช่เรื่อง
ได้ประโยชน์จากการขัดเกลาบนกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่แข็งแกร่งแน่นหนาจนน้ำก็ลอดซึมไปไม่ได้ ภายหลังยังมาเจอศึกใหญ่ที่ป้อมอินทรีบินอีกสองครั้ง โดยเฉพาะตอนที่ผู้ฝึกตนขอบเขตโอสถทองระเบิดห้องโอสถจนปราณวิญญาณไหลทะลัก การกระทำสวนกระแสของเฉินผิงอันครั้งนั้นทำให้เขาได้รับผลประโยชน์มหาศาล ตอนนี้วิถีวรยุทธ์ขอบเขตสี่ของเฉินผิงอันมีวี่แววว่าคอขวดเริ่มจะคลายตัวออก แต่เขากลับรู้สึกว่ายังขาดอะไรอยู่อีกเล็กน้อย ลางสังหรณ์ที่เลือนรางอย่างหนึ่งบอกกับเฉินผิงอันว่า ขอแค่เขาเต็มใจก็สามารถข้ามผ่านธรณีประตูขอบเขตสี่ไปได้อย่างรวดเร็ว แต่เฉินผิงอันต้องการรากฐานที่หนาแน่นและมั่นคงยิ่งกว่านี้ หากไม่ได้จริงๆ ก็คงต้องทำอย่างที่ลู่ไถว่า นั่นคือลองไปเสี่ยงดวงที่ศาลอริยะบู๊ดู หรือไม่ก็หาซากปรักของสนามรบโบราณแห่งหนึ่งแล้วเข้าไปตามหาวิญญาณวีรบุรุษ เทพหยินที่รบตายไปแล้วแต่ดวงจิตยังไม่แตกสลาย
ถึงอย่างไรก็ต้องหาเรื่องอะไรสักอย่างทำ ไม่อย่างนั้นเฉินผิงอันกลัวว่าตัวเองจะขึ้นราเอาได้
เฉินผิงอันตัดสินใจว่าจะอยู่ที่เมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนนี้ถึงปลายฤดูร้อน หากยังหาอารามเต๋าไม่เจอก็จะกลับแจกันสมบัติทวีป ทุ่มเทแรงกายแรงใจทั้งหมดไว้บนวิถีวรยุทธ์ขอบเขตเจ็ด ปู่ของชุยฉานอยู่ที่เรือนไม้ไผ่บนภูเขาลั่วพั่ว เฉินผิงอันมีความมั่นใจในเรื่องนี้มาก และไม่แน่ว่าสัญญาสิบปีที่ให้ไว้กับหนิงเหยาอาจจะทำได้สำเร็จล่วงหน้าหลายปี
แต่เฉินผิงอันก็ยังรู้สึกหวาดหวั่นอยู่เล็กน้อย กลัวก็แต่ว่าผู้เฒ่าเปลือยเท้าที่จิตใจสูงส่งยิ่งกว่าแผ่นฟ้า วิชาหมัดไร้ศัตรูทัดเทียมผู้นั้นจะป่าวประกาศว่าจะขัดเกลาเขาให้กลายเป็นขอบเขตห้า ขอบเขตหกที่แข็งแกร่งที่สุดอะไรเทือกนั้น
ตอนนั้นแค่ขอบเขตสามตนก็ลำบากทรมานถึงเพียงนั้นแล้ว เฉินผิงอันกลัวจริงๆ ว่าจะถูกผู้เฒ่าต่อยจนตายทั้งเป็น หรือไม่ก็เจ็บปวดจนตาย
เฉินผิงอันสอดสองมือรองไว้ใต้ท้ายทอย หลับตาลงช้าๆ
ไม่รู้ว่าอาเหลียงที่อยู่ฟ้านอกฟ้าต่อสู้จนรู้แพ้รู้ชนะกับเต๋าเหล่าเอ้อร์ที่เล่าลือกันว่าเป็นผู้ไร้ศัตรูเทียมทานที่แท้จริงแล้วหรือยัง
ไม่รู้ว่าระหว่างที่เดินทางไกลไปยังสกุลเฉินอิ่งอิน ภูเขาสูงสุดที่หลิวเสี้ยนหยางได้เห็นสูงเท่าไหร่ และแม่น้ำใหญ่สุดที่ได้เห็นกว้างใหญ่แค่ไหน
ไม่รู้ว่าหลี่เป่าผิงที่เรียนหนังสืออยู่ในสำนักศึกษาซานหยาจะมีความสุขหรือไม่
ไม่รู้ว่ากู้ช่านที่อยู่ทะเลสาบเจี่ยนซูจะถูกคนรังแกหรือไม่ สมุดบัญชีเล่มเล็กๆ ที่เอาไว้จดชื่อศัตรูจะเพิ่มขึ้นมาอีกเล่มแล้วหรือเปล่า
ไม่รู้ว่าแม่นางหร่วนซิ่วยังชอบขนมกุ้ยฮวาของที่ร้านในตรอกฉีหลงหรือไม่
ไม่รู้ว่าจางซานเฟิงกับสวีหย่วนเสียที่เดินทางไปด้วยกันได้รู้จักกับเพื่อนใหม่ที่สามารถร่วมเป็นร่วมตาย ร่วมกันกำจัดปีศาจปราบมารหรือไม่
ไม่รู้ว่าฟ่านเอ้อร์ที่อยู่ในนครมังกรเฒ่าจะเจอหญิงสาวที่ถูกใจหรือยัง
เฉินผิงอันคิดเรื่องในใจจนหลับไปทั้งอย่างนี้
มีกระบี่บินชูอีสืออู่อยู่ในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ อันที่จริงตลอดทางที่เฉินผิงอันนอนกลางดินกินกลางทรายมานี้ เขาไม่ค่อยเป็นกังวลเท่าใดนัก
เจ้าของบ้านหลังนี้คือคนสามรุ่น ครอบครัวมีทั้งหมดห้าคน ผู้เฒ่าชอบออกไปเล่นหมากล้อมกับคนอื่นข้างนอก ฝีมือการเล่นหมากล้อมอ่อนด้อย กิริยาเวลาเล่นกลับแย่ยิ่งกว่า เพราะชอบร้องเสียงดังโวยวาย
หญิงชราพูดจาไม่น่าฟัง วันๆ เอาแต่ทำสีหน้าบึ้งตึงจนเฉินผิงอันอดนึกไปถึงแม่เฒ่าหม่าในตรอกซิ่งฮวาไม่ได้
คู่สามีภรรยาอายุยังน้อยสองคน สตรีแต่งงานแล้วทำงานเย็บปักถักร้อย ดูแลงานบ้าน ทุกวันจะต้องถูกแม่สามีด่าจนแทบโงหัวไม่ขึ้น ตามคำพูดเก่าแก่ของเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยน บุรุษคือคนที่แบกผ้าห่อบุญ ก็คือแบกห่อผ้าใบใหญ่ไว้ด้านหลัง เดินทางไปทั่วเพื่อหาซื้อของมา ตรงเอวผูกกลองใบเล็กเอาไว้ เวลาเดินตามถนนหรือตรอกซอกซอยก็ร้องเร่เรียกคนไปด้วย หากโชคดีเก็บได้ของเก่าที่มีมูลค่าแล้วเอาไปขายให้กับร้านของเก่าที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดี แค่ของเปลี่ยนมือก็ได้เงินมาหลายตำลึง
สตรีแต่งงานแล้วหน้าตาธรรมดา แต่กลับให้กำเนิดบุตรชายที่หน้าตางดงาม อายุเจ็ดแปดขวบ ปากแดงฟันขาว ไม่เหมือนกับเด็กคนอื่นๆ ในตรอก กลับเหมือนคุณชายน้อยของตระกูลใหญ่โตเสียมากกว่า เวลาไปเรียนที่โรงเรียน ได้ยินว่าเป็นที่ชื่นชอบของอาจารย์ผู้สอนอย่างมาก เขามักจะไปดูปู่เล่นหมากล้อมกับคนอื่นบ่อยๆ นั่งครั้งหนึ่งก็นานเกินครึ่งชั่วยาม ไม่พูดอะไรสักคำเดียว ผู้ที่ดูคนเล่นหมากล้อมแล้วไม่สอดปากเอ่ยแทรกก็คือสุภาพชนที่แท้จริง มีบุคลิกเหมือนอาจารย์น้อยอยู่มาก
เพื่อนบ้านที่ไม่ว่าจะเป็นเด็กเล็กหรือคนโตก็ล้วนสนิทสนมกับเด็กคนนี้ มักจะชอบมาหยอกล้อถามเขาว่าชอบใครมากกว่ากัน ระหว่างเด็กหญิงข้างบ้านที่เติบโตมาด้วยกันกับคุณหนูหลิวที่โรงเรียน เด็กคนนี้มักจะทำเพียงแค่ยิ้มอย่างเขินอายแล้วดูคนเล่นหมากล้อมต่อไปเงียบๆ
หลังจากที่เฉินผิงอันหลับไปแล้ว
เจ้าตัวน้อยตัวหนึ่งก็โผล่ออกมาจากพื้น ปีนขึ้นมาบนโต๊ะ มานั่งอยู่ข้าง ‘ภูเขาหนังสือ’ แล้วเริ่มงีบหลับ
เห็นได้ชัดว่าคนจิ๋วดอกบัวเชี่ยวชาญวิชาดำดิน มันทำได้อย่างเงียบเชียบและว่องไวอย่างถึงที่สุด
ก่อนจะมาถึงเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยน เฉินผิงอันหยอกเย้ามันอยู่หลายครั้ง บ้างก็ควบม้าห้อตะบึงไป หรือไม่ก็รวบรวมพละกำลังไว้ที่ฝ่าเท้าแล้ววิ่งห้อไปไกลหลายสิบลี้ในรวดเดียว รอจนเขาหยุดม้าหรือหยุดวิ่ง ข้างเท้าก็มักจะมีเจ้าตัวน้อยโผล่หัวออกมาจากดินแล้วหัวเราะคิกคักให้เขาเสมอ
ไม่ว่าเฉินผิงอันจะเดินนิ่งต่อยหมัดหรือฝึกวิชากระบี่ มันก็ไม่เคยมารบกวน มักจะทำแค่มองอยู่ไกลๆ มีเพียงเฉินผิงอันกวักมือเรียกหามัน มันถึงจะมาหยุดอยู่ข้างกายเขา ปีนป่ายไปตามชุดคลุมอาคมจินหลี่ สุดท้ายไปนั่งอยู่บนไหล่ของเฉินผิงอัน หนึ่งคนตัวโตหนึ่งคนตัวจิ๋วชมทิวทัศน์ไปด้วยกัน
ส่วนเงินเกล็ดหิมะเหรียญนั้นก็ฝากไว้ที่เฉินผิงอันชั่วคราว
เฉินผิงอันเพียงแค่งีบครู่สั้นๆ เพียงไม่นานก็ต้องตื่นเพราะเสียงความเคลื่อนไหวในลานบ้าน เสียงบ่นของหญิงชรา เสียงรับคำอย่างขลาดกลัวของสตรีแต่งงานแล้ว ผู้เฒ่าที่กำลังฝึกเปล่งเสียงในลำคอ เด็กน้อยที่ท่องเนื้อหาในตำราของนักเรียนปฐมวัยช่วงเช้า มีเพียงชายฉกรรจ์คนนั้นที่น่าจะยังนอนหลับอุตุ
เฉินผิงอันนั่งข้างโต๊ะ หยิบหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมาเบาๆ เจ้าตัวน้อยก็ตื่นขึ้นมาช้าๆ มันยังมึนงงอยู่เล็กน้อยจึงมองเฉินผิงอันด้วยสายตาเหม่อลอย
เฉินผิงอันส่งยิ้มให้ “เจ้านอนต่อเถอะ”
เจ้าตัวน้อยลุกขึ้นอย่างกระฉับกระเฉง วิ่งมาหยุดอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน ช่วยเขาเปิดหน้าหนังสือ
เฉินผิงอันเคยชินเสียแล้ว หนังสือบนโต๊ะล้วนเป็นหนังสือที่เขาซื้อมาใหม่หลังจากลากับลู่ไถและป้อมอินทรีบิน ตอนนั้นลู่ไถบอกว่ามีเพียงอ่านตำราระดับหนึ่งเท่านั้นถึงจะมีหวังเป็นคนระดับสอง เรื่องการอ่านหนังสือนี้ จะหวังให้อ่านครบทุกเล่มไม่ได้ โลภมากอ่านเยอะก็ใคร่ครวญเนื้อหาไม่แตก ให้อ่านตำราที่สำคัญเป็นหลัก ค่อยๆ ขบคิดใคร่ครวญ หากสามารถอ่านแก่นแท้ของตำราที่ถูกต้องแท้จริงเล่มหนึ่งเข้าท้องได้ทั้งหมด นำจินตภาพที่งดงาม หลักการที่แท้จริงเหมือนได้พบเห็นกับตาตัวเอง และจิตวิญญาณที่ซ่อนแฝงอยู่ระหว่างแต่ละประโยคแต่ละบทความมาให้ตัวเองใช้ นั่นต่างหากถึงจะเรียกว่าอ่านหนังสือ หาไม่แล้วสักแต่พลิกเปิดตำรา เปิดตำราเป็นพันเป็นหมื่นเล่ม ให้ตายก็เป็นได้แค่ชั้นหนังสือสองขาเท่านั้น (เปรียบเปรยถึงคนที่เก่งแต่ทฤษฎี พอนำมาปฏิบัติจริงกลับทำไม่ได้)
ตอนนั้นเฉินผิงอันที่ได้ฟังเหมือนสมองถูกเปิดโล่ง หากไม่ได้ลู่ไถช่วยพูดเตือน เขาเห็นหนังสือดีหนึ่งเล่มก็คงจะซื้อมาหนึ่งเล่มจริงๆ อีกทั้งยังจะต้องอ่านอย่างละเอียด อ่านอย่างเชื่องช้า ทว่าตำรามีมากมายดุจน้ำในมหาสมุทร แต่อายุขัยของคนมีจำกัด เฉินผิงอันทั้งต้องฝึกหมัดฝึกกระบี่ แถมยังต้องตามหาอารามเต๋า กว่าจะมีเวลาว่างอันน้อยนิดเหลือได้ไม่ใช่เรื่องง่าย จึงควรนำมันมาอ่านหนังสือที่ดีที่สุดจริงๆ
ลู่ไถมอบรายการหนังสือมาให้หนึ่งแผ่น เฉินผิงอันเก็บรักษากระดาษแผ่นนั้นไว้เป็นอย่างดี ทว่ากลับไม่ได้ซื้อหนังสือตามรายการเหล่านั้น เขาซื้อตำราหลักธรรมของหย่าเซิ่งลัทธิขงจื๊อมาแทน
น่าเสียดายที่หนังสือของเหวินเซิ่งซิ่วไฉเฒ่าหาซื้อไม่ได้ตามท้องตลาด
เฉินผิงอันคิดอยากจะอ่าน ‘ตรีจตุ’ เพื่อนำมาเปรียบเทียบกัน
หากพูดกันตามความรู้สึกแล้ว เฉินผิงอันย่อมเอนเอียงไปทางอาจารย์ของอาจารย์ฉีอย่างซิ่วไฉเฒ่าที่ชอบดื่มเหล้า แถมพอเมาแล้วยังชอบพูดจาประสาคนเมามากกว่า แต่ชื่นชอบ เลื่อมใสและนับถือคนคนหนึ่งๆ ได้ ไม่มีปัญหา แต่หากรู้สึกว่าคำพูดของคนผู้นั้น และเรื่องที่คนผู้นั้นทำล้วนถูกต้องทั้งหมด นั่นแหละถึงจะเป็นปัญหาใหญ่
ความรู้ของเหวินเซิ่งซิ่วไฉเฒ่าสูงหรือไม่? ต้องสูงมากอยู่แล้ว ตามคำกล่าวของชุยฉานคนหนุ่ม ความรู้ของเขาเคยสูงส่งจนทำให้ผู้ที่เล่าเรียนเขียนอ่านทุกคนรู้สึกว่าเป็นดั่ง ‘ดวงตะวันกลางนภา’
ถ้าเช่นนั้นเฉินผิงอันมีสิทธิ์จะเข้าใจว่าเหตุผลของซิ่วไฉเฒ่าไม่ได้มีเหตุผลมากที่สุดหรือไม่?
มองดูเหมือนมดตัวน้อยคิดจะเขย่าคลอนต้นไม้ใหญ่ น่าขำที่ไม่ประมาณตน แต่ความจริงแล้วเขากลับมีสิทธิ์นั้น เพราะยังมีหย่าเซิ่งอยู่อีกคน และมีตำรามากมายที่หย่าเซิ่งทิ้งเอาไว้
เฉินผิงอันเคยพูดกับพ่อแม่ของหนิงเหยาว่า การชอบคนคนหนึ่งอย่างแท้จริงคือต้องชอบในสิ่งที่ไม่ดีของคนคนนั้นด้วย
แล้วก็เคยกำชับเด็กชายชุดเขียวกับเด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูว่า “หากข้าทำผิด พวกเจ้าจำไว้ว่าต้องคอยเตือนข้า”
แต่ส่วนลึกในใจของเฉินผิงอันย่อมยังหวังว่าจะได้เห็นความรู้ของทั้งสองฝ่ายจากศึกตรีจตุ ตนจะได้สามารถรู้สึกจากใจจริงว่าคำพูดของเหวินเซิ่งซิ่วไฉเฒ่าถูกต้องมากยิ่งกว่า
ถ้าอย่างนั้นครั้งหน้าที่ได้ดื่มเหล่าร่วมกับผู้เฒ่าก็จะได้มีเรื่องให้คุยกัน
เฉินผิงอันนั่งตัวตรงอย่างสำรวม เขาอ่านหนังสือช้ามาก เสียงก็เบามาก ทุกครั้งที่อ่านถึงประโยคสุดท้ายของหน้า คนจิ๋วดอกบัวจะพลิกเปิดหน้าใหม่ให้เขาอย่างคล่องแคล่ว
จากนั้นก็จะกลับไปนั่งอยู่บนโต๊ะระหว่างเฉินผิงอันกับหนังสืออีกครั้ง อีกทั้งยังนั่งตัวตรงอย่างสำรวมเลียนแบบเฉินผิงอัน มันตั้งใจเงี่ยหูฟังเสียงอ่านเหนือศีรษะอย่างสงบ
สำหรับลานบ้านด้านนอกที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของชาวบ้านร้านตลาดแล้ว เฉินผิงอันผู้สวมชุดขาวสะพายกระบี่ห้อยน้ำเต้าจึงเหมือนบุคคลประหลาดที่อยู่ไกลไปสุดขอบฟ้า มาเยือนก็ไม่รู้สึกใกล้ชิดสนิทสนม จากไปแล้วก็ไม่รู้สึกอาลัยอาวรณ์
แค่จ่ายเงินก็พอแล้ว
ข้างตรอกจ้วงหยวนห่างไปไม่ไกลมีเหลาสุราหอโคมเขียว และยังมีวัดที่เสียงพระสวดคาถาบาลีดังแว่วมา แม้จะอยู่ใกล้ แต่กลับห่างไกลราวกับเป็นสองใต้หล้า
เฉินผิงอันมักจะเห็นพวกพระสงฆ์เดินอุ้มบาตรออกมาข้างนอกเป็นประจำ แม้ว่าเรือนกายของพวกเขาจะผอมบาง แต่ส่วนใหญ่กลับมีใบหน้าที่สงบอิ่มเอิบ ต่อให้ไม่สวมจีวรก็มองออกได้ในปราดเดียวว่าพวกเขาแตกต่างจากชาวบ้านทั่วไป
ส่วนทางฝ่ายของเหลาสุรานั้นมักจะมีเสียงดังอึกทึกในช่วงกลางคืนเป็นประจำ ตลอดทั้งตรอกอบอวลไปด้วยกลิ่นแป้งประทินโฉมฉุนจมูก จะสงบลงก็เมื่อล่วงเข้ายามเช้าเท่านั้น แม้ว่าคนของที่นั่นซึ่งไม่ว่าจะเป็นลูกค้าที่มาดื่มสุราเคล้านารี หรือหญิงสาวที่คอยปรนนิบัติรินสุราก็ล้วนแต่งกายด้วยเสื้อผ้างดงาม แต่เมื่อความสนุกสนานปิดฉากลง คนส่วนใหญ่ล้วนมีสีหน้าเหนื่อยล้า มีอยู่หลายครั้งที่เฉินผิงอันเห็นว่าหลังจากสตรีพวกนั้นส่งแขกออกจากหอโคมเขียวแล้ว พวกนางก็จะกลับไปลบเครื่องประทินโฉมบนใบหน้าออก ท้องฟ้าเพิ่งจะเริ่มสางก็เดินออกจากประตูข้างของหอโคมเขียวมายังตรอกเล็กที่อัดแน่นไปด้วยร้านค้าแผงลอย นั่งกินโจ๊กหรือไม่ก็เกี๊ยวน้ำหนึ่งถ้วย หญิงสาวบางคนกินไปหลับไปก็มี
หนึ่งเค่อของราตรีวสันต์มีค่าเท่าทองพันชั่ง ก็เหมือนการยืมเงินจากสวรรค์ที่ต้องใช้คืน
พ่อค้าบางคนที่คุ้นเคยกับหญิงคณิกาเหล่านี้มักจะชอบพูดจาหยาบโลน หญิงสาวบางคนก็ไม่ถือสา พูดตอบรับอย่างขอไปทีแค่ไม่กี่คำเพราะหวังประหยัดเงินไม่กี่เหรียญทองแดง แต่ก็มีบางคนที่ขึงขังจริงจัง พวกนางที่เดิมทีเคยชินกับการทำตัวว่านอนสอนง่าย ฝืนประจบเอาใจลูกค้ากลับสบถด่าหยาบคาย พวกพ่อค้าก็จะทำคอย่นด้วยความหวาดกลัว รอจนหญิงสาวจากไปแล้วถึงได้เริ่มด่าพวกนางว่าเป็นแค่ของหมักดอง (เปรียบเปรยถึงสิ่งที่สกปรก) ที่ทำงานขายเนื้อหนังเท่านั้น มีหน้าอะไรมาแสร้งทำท่าเป็นคุณหนูในห้องหอ
วันต่อมาหญิงสาวจากหอโคมเขียวที่ด่าคนก็กลับมาอีกครั้ง ชายฉกรรจ์ที่เมื่อวานโดนด่าก็ยังคงแอบเหลือบมองมือเล็กๆ ขาวนวลที่โผล่พ้นจากชายแขนเสื้อของพวกนาง ขาวราวกับเนื้อหมูที่อยู่บนเขียง เทียบกับเมียหน้าเหลืองของที่บ้านตัวเองแล้ว คนหนึ่งราวกับฟ้า อีกคนหนึ่งราวกับดิน ไม่รู้จริงๆ ว่าพวกนางที่หมดจดงดงามถูกเลี้ยงดูกันมาอย่างไร เพียงแต่พอคิดว่าหากอยากจับหน้าอกของพวกนางก็ต้องจ่ายเงินที่ทำงานอย่างยากลำบากมาเกือบครึ่งปี พ่อค้าก็ได้แค่ถอนหายใจ
แคว้นหนันเยวี่ยนไม่มีสงครามมาหลายร้อยปีแล้ว ประเทศชาติร่มเย็นเป็นสุข กษัตริย์แต่ละพระองค์แทบไม่ต้องทำอะไร ทั้งไม่มีชื่อเสียงดีงาม แล้วก็ไม่มีชื่อเสียงชั่วร้าย
เนื่องจากเมืองหลวงไม่ได้มีการห้ามเข้าออกเคหะสถานยามวิกาล เหล่าจอมยุทธ์ในยุทธภพจึงห้อยดาบพกกระบี่กันอย่างโจ่งแจ้ง แม้จะควบม้ากลางเมือง ทางการก็ไม่เคยสนใจ หากเจอกันบนทาง ทั้งคนบนม้าและล่างม้าต่างก็ทักทายกันอย่างปรองดอง บางคนที่รู้จักสนิทสนมกันก็จะเข้าไปดื่มเหล้าในร้านใกล้เคียงด้วยกัน เจ้าพูดถึงเรื่องการเลื่อนขั้นอย่างน่าระอาใจในวงการขุนนาง ข้าพูดถึงเรื่องการประมือกับยอดฝีมือแห่งยุทธภพที่สาแก่ใจ ไปๆ มาๆ สุราแค่สองสามจินย่อมไม่พอดื่ม
เพื่อตามหาอารามเต๋าแห่งนั้น ทุกวันเฉินผิงอันจะต้องเดินเตร่ไปทั่วเมืองหลวงแห่งนี้ เคยเห็นสารพัดเรื่องในหมู่ชาวบ้าน แล้วก็เห็นบางอย่างที่แปลกประหลาดซึ่งซ่อนอยู่ในหมู่พวกเขาเช่นกัน
แต่ขอแค่พวกมันไม่มาหาเรื่องตนก่อน เฉินผิงอันก็ไม่คิดจะใส่ใจ
ลู่ไถเคยพูดประโยคหนึ่ง ตอนนั้นเขาสัมผัสได้ไม่ลึกซึ้งนัก ตอนนี้ยิ่งหวนนึกถึงก็ยิ่งมีเรื่องให้ขบคิดใคร่ครวญ
เมื่อได้ฝึกบำเพ็ญตนบนภูเขาก็จะรู้สึกเพียงว่า ยิ่งนานวันก็ยิ่งดูเหมือนวัตถุหยิน ภูตผีและตัวประหลาดที่อยู่ในโลกจะมีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
เฉินผิงอันปิดหนังสือ เวลาหนึ่งชั่วยามก็ล่วงเลยผ่านไปเช่นนี้ เขาเตรียมจะออกจากบ้านไปเดินเล่นต่อ
แม้ว่าระหว่างที่ตามหาอารามเต๋า จิตใจของเฉินผิงอันจะยิ่งวุ่นวายหงุดหงิดมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ใช่ว่าเฉินผิงอันจะไม่เคยลองทำจิตใจให้สงบมาก่อน อันที่จริงเขาพยายามมากแล้ว ไปที่วัดน้อยใหญ่ จุดธูปไหว้พระ เดินอยู่ท่ามกลางร่มไม้ของทางสายเล็กที่เงียบสงบเพียงลำพัง ทุกครั้งที่ไปเยือนวัดหนึ่งก็จะจดบันทึกลงบนแผ่นไม้ไผ่ วัดเล็กในตรอกจ้วงหยวน เฉินผิงอันไปเยือนบ่อยที่สุด วัดแห่งนี้ไม่ใหญ่ นับรวมเจ้าอาวาสแล้วก็มีแค่สิบกว่าคน นานวันเข้าเขาก็กลายเป็นที่คุ้นหน้าคุ้นตา ทุกครั้งที่จิตใจของเฉินผิงอันไม่สงบ เขาก็จะไปนั่งอยู่ที่นั่ง ไม่แน่เสมอไปว่าจะต้องไปพูดคุยกับพวกพระสงฆ์ ต่อให้นั่งอยู่ใต้ชายคา รับฟังเสียงกรุ้งกริ้งของกระดิ่งลมเพียงลำพังก็สามารถฆ่าเวลาช่วงบ่ายที่ไอร้อนลอยกรุ่นไปได้
แคว้นหนันเยวี่ยนนับถือลัทธิพุทธ ลดค่าลัทธิเต๋า วัดในเมืองหลวงและตามสถานที่ต่างๆ มีมากมายดุจต้นไม้ในป่า ควันธูปลุกโชติช่วง ยากนักที่จะได้พบเห็นอารามเต๋าสักแห่ง ที่เมืองหลวงก็ยิ่งไม่มีเลยแม้แต่แห่งเดียว
หลายวันมานี้มีเรื่องลับที่น่าตกตะลึงเรื่องหนึ่งแพร่สะพัดอย่างครึกโครมไปทั่วเมืองหลวง วัดป๋ายเหอหนึ่งในสี่วัดใหญ่ของเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนเกิดเรื่องน่าอับอายอย่างใหญ่หลวงเรื่องหนึ่ง แต่ไหนแต่ไรมาวัดป๋ายเหอมีชื่อเสียงเลื่องลือเพราะพระธรรมของเจ้าอาวาสลึกล้ำ คืออรหันต์ร่างทองที่ยังมีชีวิต หลังจากภิกษุแต่ละรูปล่วงลับไปก็สามารถทิ้งร่างที่ไม่เน่าเปื่อยเอาไว้ หรือไม่พอเผาแล้วก็กลายเป็นผลึกพระธาตุ สำหรับข้อนี้ อีกสามวัดที่เหลือต่างก็ละอายใจที่สู้ไม่ได้
นี่ก็เป็นหลักฐานเด่นชัดที่ทำให้พระธรรมของแคว้นหนันเยวี่ยนเจริญรุ่งเรืองเหนือกว่าแคว้นใกล้เคียง
ทว่าก่อนหน้านี้ไม่นานพระที่มีสมณศักดิ์สูงซึ่งเข้าจำวัดในวัดป๋ายเหอ เมื่อปีก่อนได้รับการแนะนำให้ขึ้นเป็นเจ้าอาวาส อนาคตสดใสไร้ขีดจำกัดกลับหนีออกจากวัดไปในวันหนึ่ง เขาตรงไปร้องทุกข์ฟ้องศาลต้าหลี่ หลังจากฟังจบ ขุนนางทั้งหลายในศาลต้าหลี่ซึ่งรวมถึงตุลาการศาลต่างก็หันมามองหน้ากันเอง ที่แท้ภิกษุเฒ่าผู้นี้มาฟ้องว่าวัดป๋ายเหอใส่ยาพิษลงในอาหารของเขา แถมยังแอบวางแผนว่าจะกรอกปรอทใส่เข้าไปในศพเขาหลังจากที่เขาตายไป ไม่เพียงเท่านี้ เขายังเปิดโปงว่าพระสงฆ์ในวัดป๋ายเหอก่อกรรมทำชั่ว หากรวมเรื่องที่หลอกลวงสตรีสูงศักดิ์ในเมืองหลวงที่ทุ่มเงินก้อนโตเพื่อหวังมาขอลูกด้วยก็มีคดีใหญ่รวมถึงหกคดี
บทที่ 307.2 ภิกษุเฒ่าไม่ชอบพูดเรื่องพระธรรม
ProjectZyphon
คดีที่ว่านี้น่าตกใจเกินไป ถึงขั้นลอยไปเข้าพระกรรณของฮ่องเต้แคว้นหนันเยวี่ยน จึงออกคำสั่งให้ตรวจสอบเรื่องนี้อย่างจริงจัง ผลคือพระสงฆ์สามร้อยรูปของวัดป๋ายเหอถูกจับขังคุกเกินครึ่ง คนที่เหลือถูกขับออกจากเมืองหลวง ถูกขีดชื่อออกจากเอกสารผ่านทาง ชั่วชีวิตนี้เป็นพระไม่ได้อีก
สามวัดที่เหลือยังคงมีสถานะสูงส่ง ถึงอย่างไรรากฐานของพวกเขาก็ลึกล้ำแน่นหนา แต่เดือดร้อนไปถึงวัดเล็กที่ชื่อเสียงไม่โด่งดังหลายแห่ง ยกตัวอย่างเช่นวัดซินเซียงข้างตรอกจ้วงหยวนที่ช่วงนี้ผู้มีจิตศรัทธาที่มาจุดธูปไหว้พระลดน้อยลงไปอย่างเห็นได้ชัด
เจ้าอาวาสของวัดซินเซียงคือภิกษุเฒ่าท่านหนึ่งที่พูดติดสำเนียงท้องถิ่น หน้าตาใจดีมีเมตตา ร่างสูงใหญ่ เข้ามาอยู่เมืองหลวงได้สามสิบปี แต่สำเนียงบ้านเกิดของภิกษุเฒ่าก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลง แล้วก็ไม่ชอบพูดเรื่องความลึกล้ำอัศจรรย์ของพระธรรมกับคนอื่น ส่วนใหญ่มักจะพูดคุยกับเหล่าผู้อาวุโสจากตระกูลต่างๆ เพียงช่วงเวลาสั้นๆ ทุกครั้งที่ไปนั่งเล่นอยู่ในวัด เฉินผิงอันต้องเปลืองแรงมากกว่าจะฟังที่อีกฝ่ายพูดเข้าใจ สำหรับภิกษุเฒ่าผู้นี้ เฉินผิงอันมีความประทับใจที่ดีมาก อีกอย่างถึงแม้จะรู้ความพิเศษของอีกฝ่าย เขาก็ไม่ได้พูดมันออกมา เจ้าอาวาสเฒ่าคือผู้ฝึกตนคนหนึ่ง เพียงแต่ว่ายังไม่ได้เลื่อนสู่ห้าขอบเขตกลาง
เฉินผิงอันออกจากตรอกไปที่วัดซินเซียง กะว่าจะไปนั่งเงียบๆ ฝึกท่าเจี้ยนหลูยืนนิ่งอยู่ที่นั่น
แต่ระยะทางสองลี้นี้เฉินผิงอันต้องเดินผ่านศูนย์ฝึกยุทธ์และหน่วยคุ้มกันภัย โดยเฉพาะด้านในกำแพงสูงของศูนย์ฝึกยุทธ์ที่แขวนกรอบป้ายคำว่า ‘ภูเขาสูงลำธารกว้างใหญ่’ ที่ทุกครั้งที่เดินผ่านจะต้องมีเสียงร้องหึฮ่าของชายฉกรรจ์ น่าจะกำลังฝึกวิชาหมัดกันอยู่ ถนนใหญ่นอกหน่วยคุ้มกันภัยมักจะมีภาพที่รถคุ้มกันภัยจอดเบียดเสียด ชายหนุ่มหญิงสาวล้วนมีท่าทางหยิ่งยโส เปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวาฮึกเหิม แต่พวกผู้เฒ่ากลับเงียบขรึมกว่าเยอะมาก บางครั้งที่เห็นเฉินผิงอันก็จะผงกศีรษะให้ ตอนแรกเฉินผิงอันยังกุมมือคารวะกลับคืน ภายหลังเมื่อพบหน้ากันก็เป็นฝ่ายคารวะทักทายก่อน คิดไม่ถึงว่าไปๆ มาๆ ผู้เฒ่าก็พากันหมดความสนใจ ไม่คิดจะชายตาแลเฉินผิงอันเลยด้วยซ้ำ
รอจนภายหลังที่เฉินผิงอันเข้าใจความหมายของการกระทำนี้ก็ถึงกับหลุดหัวเราะขำ
น่าจะเป็นเพราะตอนแรกเห็นตนเป็นดั่งมังกรข้ามแม่น้ำ ภายหลังตรวจสอบจนรู้ที่พักของตนอย่างชัดเจนจึงดูถูกตน และมารยาทที่ ‘เกรงใจ’ มากเกินไปของตนก็ยิ่งทำให้เหล่าคนเก่าคนแก่ในยุทธภพของหน่วยคุ้มกันภัยคิดว่าตนเป็นแค่หมอนปักลายดอกไม้
เฉินผิงอันรู้สึกว่าน่าสนใจมาก
ที่เมืองหลวงแห่งนี้มีศูนย์ฝึกยุทธ์และหน่วยคุ้มกันภัยค่อนข้างเยอะ พรรคต่างๆ ในยุทธภพที่มีชื่อเสียงมักจะชอบมาตั้งสำนักอยู่ที่นี่ ประตูสูงเรือนกว้างใหญ่ไม่แพ้จวนของเหล่ากงโหวทั้งหลาย ไม่ต้องกังวลว่าจะข้ามเส้นกฎระเบียบที่ตั้งไว้ หันมามองด้านที่เกี่ยวข้องกับผู้ฝึกลมปราณกลับมีน้อยมาก แม้แต่ราชครูก็ยังเป็นปรมาจารย์ในยุทธภพท่านหนึ่ง
แต่ที่น่าสนใจที่สุดคือบุคคลที่อยู่ในเรือนไม่สะดุดตาหลังหนึ่ง ชายหญิงที่เดินเข้าออกๆ ล้วนเป็นคนบนวิถีวรยุทธ์ เป็นผู้ฝึกวิชาการต่อสู้ แต่กลับจงใจปิดบังตัวตน สวมชุดเรียบง่าย ไม่ค่อยชอบพูดคุยหัวเราะ มีครั้งหนึ่งเฉินผิงอันยังเคยเห็นยอดฝีมือที่วิถีวรยุทธ์อาจอยู่ในขอบเขตหกคนหนึ่ง ข้างกายมีหญิงสาวสวมหมวกคลุมหน้าจึงมองเห็นหน้าตาไม่ชัด ทว่ารูปร่างอ้อนแอ้น น่าจะเป็นสาวงามคนหนึ่ง
โดยไม่ทันรู้ตัว เฉินผิงอันก็เริ่มใช้สายตาอีกแบบหนึ่งมองโลกใบนี้
มาถึงวัดซินเซียง ทุกวันนี้ผู้แสวงบุญที่มาวัดบางตา ส่วนใหญ่ล้วนเป็นเพื่อนบ้านใกล้เคียงที่อายุมากหน่อย ดังนั้นพระและเณรในวัดจึงพากันหน้านิ่วคิ้วขมวด
การที่ช่วงนี้เฉินผิงอันมาเยือนบ่อยๆ สาเหตุหลักก็เพราะสัมผัสได้ว่าช่วงเวลาสุดท้ายของเจ้าอาวาสเฒ่ากำลังจะมาถึง
วันนี้ภิกษุเฒ่ารู้ว่าเฉินผิงอันจะมาจึงมารออยู่ตรงระเบียงทางเดินของตำหนักข้างแห่งหนึ่งนานแล้ว
เขาวางเบาะรองนั่งทรงกลมไว้สองใบ คนทั้งสองนั่งหันหน้าเข้าหากัน
เห็นว่าเฉินผิงอันทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด ภิกษุเฒ่าจึงพูดยิ้มๆ เข้าประเด็นว่า “ในบรรดาเจ้าอาวาสแต่ละรุ่นของวัดป๋ายเหอเคยมีร่างทองปรากฏขึ้นจริง ไม่ได้มีแต่คนหลอกลวงอย่างที่ภายนอกเล่าลือกัน อย่าได้ทุบตีประวัติศาสตร์นับพันปีของวัดป๋ายเหอให้แหลกสลายด้วยกระบองเดียว”
เคยเห็นสิ่งที่ดีงามมาแล้ว
แต่ก่อนหน้านี้ภิกษุเฒ่าเคยเห็นสิ่งที่เลวร้ายมาก่อน
ภิกษุเฒ่าพูดยิ้มๆ อีกว่า “เพียงแต่ว่าหลังจากที่อาตมาตายไป เดิมทีคิดจะทิ้งพระธาตุเอาไว้หลายก้อนหน่อย เพื่อเป็นการเพิ่มควันธูปให้แก่วัดแห่งนี้ แต่ตอนนี้ดูท่าคงยากแล้ว เกรงว่าคงต้องจงใจปิดบังเอาไว้สักช่วงระยะเวลาหนึ่ง”
เฉินผิงอันถามอย่างสงสัย “นี่ก็ถือเป็นผลกรรมของศาสนาพุทธด้วยหรือไม่?”
ภิกษุเฒ่าพยักหน้ารับ “ย่อมใช่อยู่แล้ว หากเอามาวางไว้ในเมืองแคว้นหนันเยวี่ยน วัดป๋ายเหอและวัดซินเซียงไม่เคยไปมาหาสู่กัน มองดูเหมือนผลกรรมเลือนราง แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่ใช่ เพราะหากเอาไปวางไว้ในพระธรรม ฟ้าดินกว้างใหญ่ล้วนมีเส้นใยเชื่อมโยงถึงกัน”
นี่เป็นครั้งแรกที่ภิกษุเฒ่าพูดคำว่า ‘พระธรรม’ ต่อหน้าเฉินผิงอัน
ภิกษุเฒ่าลังเลอยู่ชั่วขณะ ก่อนพูดยิ้มๆ ว่า “อันที่จริงระหว่างวัดทั้งสองแห่งก็มีผลกรรม เพียงแต่เบาบางเกินไป เล็ก…เกินไป อาตมาไม่มีความมั่นใจที่จะพูดมันออกมา คงต้องให้ประสกสัมผัสด้วยตัวเอง”
คนทั้งสองพูดคุยกัน คำพูดและการกระทำไม่จำเป็นต้องอยู่ในกรอบไปเสียทุกอย่าง ก่อนหน้านี้ภิกษุเฒ่ามักจะถูกเณรน้อยขัดจังหวะบ่อยๆ หันไปคุยเรื่องจิปาถะยิบย่อยในวัดกับเณรน้อยแล้วลืมเฉินผิงอัน เฉินผิงอันเองก็มักจะเอาแผ่นไม้ไผ่มาสลักตัวอักษร หรือไม่ก็หยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกมาอ่านโดยที่ไม่รู้สึกว่าตัวเองถูกเพิกเฉย
วันนี้เฉินผิงอันไม่ได้เอาหนังสือมาด้วย แค่พกแผ่นไม้ไผ่เล็กบางมาแผ่นหนึ่งและมีดแกะสลักเล็กๆ หนึ่งเล่ม
เฉินผิงอันไม่ใช่คนที่ได้ใหม่แล้วลืมเก่า มีดแกะสลักจึงยังคงเป็นมีดเล่มที่เจ้าของร้านแถมให้ตอนที่ซื้อแผ่นหยก
วันนี้ภิกษุเฒ่าดูไม่ค่อยมีความกระตือรือร้นมากนัก เรื่องที่เกี่ยวกับพระธรรมเขาแค่เอ่ยผ่านๆ เหมือนกบกระโดดบนผิวน้ำ แล้วก็ไม่พูดถึงอีก ส่วนใหญ่ยังคงเป็นการพูดคุยเรื่อยเปื่อยเหมือนที่เคยทำ พิณ หมากล้อม พู่กัน ภาพวาด จักรพรรดิ ราชา แม่ทัพ เสนาบดี พ่อค้า ทหารเดินเท้า เมธีร้อยสำนัก ล้วนพูดถึงอย่างละนิดอย่างละหน่อย เหมือนพูดเรื่องสัพเพเหระทั่วไป
เวลาค่อยๆ ล่วงเลยผ่านไป
ภิกษุเฒ่าถามยิ้มๆ “นักเขียนหรือขุนนางที่การกระทำชั่วช้า ชื่อเสียงฉาวโฉ่เนิ่นนานนับหมื่นปี จะสามารถเขียนตัวอักษรที่งดงาม เขียนบทกวีที่เป็นที่ชื่นชอบของผู้คนได้หรือไม่?”
เฉินผิงอันคิดแล้วก็พยักหน้ารับ “ได้”
“ปัญญาชนผู้มีชื่อเสียง แม่ทัพผู้โด่งดังที่มีชื่อจารึกอยู่ในประวัติศาสตร์ จะมีความเห็นแก่ตัวและข้อบกพร่องที่พวกเขาไม่เคยแพร่งพรายให้ใครรู้หรือไม่?”
“มี”
ภิกษุเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ถูกต้อง ทุกเรื่องไม่ควรเดินไปบนเส้นทางที่สุดโต่ง เวลาที่ใช้เหตุผลกับคนอื่น กลัวการที่ ‘เหตุผลของข้ายึดครองความถูกต้องทั้งหมด’ มากที่สุด กลัวที่สุดว่าหากขัดแย้งกับใครก็จะมองไม่เห็นความดีของเขาอีก เหตุใดการชิงดีชิงเด่นกันของแต่ละพรรคในราชสำนัก หรือที่คนรุ่นหลังอาจมองว่าเป็นการชิงดีชิงเด่นระหว่างปัญญาชน ถึงได้ทิ้งหายนะไว้อย่างยาวนาน นั่นก็เป็นเพราะว่าเหล่านักปราชญ์และวิญญูชนทั้งหลายล้วนทำไม่ถูกในเรื่องนี้ไม่ต่างกัน”
ภิกษุเฒ่ากล่าวต่อ “แต่การแข่งขันในราชสำนัก หากเจ้าอ่อนแอ ยกเหตุผลยิ่งใหญ่มาพูด ก็อาจต้องตายอย่างอนาถ แบบนี้คงโทษพวกปัญญาชนที่เข้าไปเป็นขุนนางเหลานั้นไม่ได้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็คงจะพูดได้ใช่ไหมว่า คำพูดที่อ้อมเป็นวงใหญ่นี้ของอาตมาล้วนเปล่าประโยชน์? แล้วทำไมยังต้องพูด?”
เฉินผิงอันส่ายหน้ายิ้ม “มีอาจารย์ผู้เฒ่าคนหนึ่งเคยพูดถึงหลักการคล้ายคลึงกันนี้กับข้า เขาสอนข้าว่าทุกเรื่องต้องคิดให้มาก ต่อให้คิดอ้อมไปเป็นวงใหญ่ วนกลับมาที่จุดเดิม แม้จะเปลืองแรงกายแรงใจ แต่หากมองในระยะยาวก็ยังมีประโยชน์อยู่ดี”
ภิกษุเฒ่าพยักหน้ารับอย่างชื่นชม “อาจารย์ท่านนี้มีความรู้ยิ่งใหญ่”
เฉินผิงอันชี้ไปยังแผ่นไม้ไผ่ขนาดเล็กสีเขียวสดปลั่งแผ่นนั้น กล่าวเบาๆ ว่า “มีครั้งหนึ่งอาจารย์ผู้เฒ่าดื่มเหล้าจนเมามาย สายตาปรือปรอย มองดูเหมือนกำลังถามข้า แต่อันที่จริงน่าจะกำลังถามทุกคนกระมัง เขาพูดว่า ต้องอ่านหนังสือมากเท่าไหร่ถึงกล้าพูดว่าโลกใบนี้ ‘ก็เป็นแบบนี้’ เคยพบเห็นคนมามากน้อยแค่ไหนถึงกล้าพูดว่าชายหญิงล้วน ‘เป็นเช่นนี้’? เจ้าเคยเห็นความสงบสุขและความยากลำบากมากับตาตัวเองมากน้อยเท่าไหร่ถึงกล้าสรุปว่าคนอื่นดีหรือเลว?”
ภิกษุเฒ่าทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจัง “อาจารย์ท่านนี้คงไม่ได้มีชีวิตที่ผ่อนคลายเป็นแน่”
เฉินผิงอันพลันนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ เป็นเรื่องที่เขาคิดเท่าไหร่ก็ไม่เข้าใจ จึงถามอย่างใคร่รู้ “ลัทธิพุทธสนับสนุนเรื่อง ‘วางมีดลงก็กลายเป็นพุทธะได้ทันที’ จริงๆ หรือ?”
ภิกษุเฒ่ายิ้มบางๆ “ก่อนจะตอบ อาตมาขอถามก่อนเรื่องหนึ่ง ประสกรู้สึกใช่หรือไม่ว่าประโยคนี้น่าตกใจ แต่ก็ทั้งเป็นการบุกเบิกความคิดใหม่ ทว่าพอใคร่ครวญดูแล้วกลับรู้สึกว่าการเดินทางลัดไม่ใช่วิธีการที่ถูกต้อง?”
เฉินผิงอันเกาหัว “ขนาดพระธรรมทั่วไปข้ายังไม่เคยอ่านมาก่อน ไหนเลยจะรู้ว่าเป็นวิธีการที่ถูกต้องหรือไม่”
ภิกษุเฒ่าหัวเราะเสียงดัง “วางมีดลงก็กลายเป็นพุทธะได้ทันที คนบนโลกมองเห็นแค่ทางลัดที่น่าเหลือเชื่อ แต่ไม่รู้ว่าความลี้ลับแท้จริงนั้นอยู่ที่การเห็นแจ้งว่า ‘มีดอยู่ในมือข้า’ คือการ ‘รู้ถึงความชั่วร้าย’ บนโลกมีคนสารพัดรูปแบบ หลายคนกระทำความชั่วโดยที่ไม่รู้ว่าเป็นความชั่ว หลายคนรู้ว่าเป็นความชั่วแต่ก็ยังกระทำ จะว่าไปแล้วในมือทุกคนล้วนมีมีดที่โชกเลือดอยู่เล่มหนึ่งทั้งนั้น แค่แตกต่างกันที่มันหนักหรือเบาเท่านั้น หากสามารถวางลงได้อย่างแท้จริง กลับตัวกลับใจเสียตั้งแต่นี้ไป นั่นก็ไม่ใช่การทำความดีอย่างหนึ่งหรอกหรือ?”
ภิกษุเฒ่าพูดเรื่องที่ห่างไกลไปอีก “วิธีการใช้ไม้กระบองตีหรือตวาดเสียงดังของนิกายฉาน (นิกายเซน) คนนอกยังรู้สึกว่าเป็นเรื่องประหลาด แต่ในความเป็นจริงแล้วก็แค่เพราะคนทั่วไปไม่เคยมองเห็นงานที่ยากลำบากก่อนการตีตวาดเพื่อให้บรรลุธรรม หรือเห็นแล้วแต่ไม่ยินดีทำก็เท่านั้น เป็นพุทธะยากหรือไม่? ต้องยากอยู่แล้ว การรู้พระธรรมคือความยากอย่างที่หนึ่ง การพิทักษ์ ปกป้องและถ่ายทอดพระธรรมก็ยิ่งยากเข้าไปอีก แต่ว่า…”
อยู่ดีๆ ภิกษุเฒ่าก็หยุดพูด เขาถอนหายใจหนึ่งครั้ง “ไม่มี ‘แต่ว่า’ แล้ว ในเมื่ออาตมาคือคนที่แสวงหาพระพุทธ แต่ตัวเองกลับทำไม่ได้ เหตุใดยังต้องยกหลักการห่างไกลขนาดนั้นมาพูดกับเจ้าด้วย?”
เฉินผิงอันกล่าวยิ้มๆ “เชิญท่านพูดได้ตามสบาย ต่อให้หลักการห่างไกลแค่ไหน ยังไม่ต้องพูดว่าข้าจะไปหรือไม่ แต่การที่ข้าได้รู้ว่ามันอยู่ที่ไหนก็ถือเป็นเรื่องดี”
ภิกษุเฒ่าโบกมือ “อาตมาต้องพักสักครู่ ดื่มชาให้ลำคอชุ่มชื้นสักหน่อย คอแห้งจนควันจะขึ้นแล้ว”
ภิกษุเฒ่าตะโกนเรียกหนึ่งคำ ในกุฏิแห่งหนึ่งที่ห่างไปไม่ไกลมีสามเณรน้อยที่มองดูเหมือนกำลังก้มหน้าอ่านคัมภีร์ แต่แท้จริงแล้วกลับงีบหลับ เขาพลันลืมตาโพลง พอได้ยินคำพูดของภิกษุเฒ่าก็รีบไปยกชาสองถ้วยมาให้เจ้าอาวาสและแขก
ห่างออกไปไม่ไกลมีต้นไม้สูงใหญ่เทียมฟ้า ใบเป็นพุ่มดกหนา เงาไม้ครึ้มร่มรื่น นกขมิ้นน้อยตัวหนึ่งก้มหน้าจิกอยู่บนกิ่งไม้
เฉินผิงอันดื่มชาเร็ว ภิกษุเฒ่าดื่มชาช้า
เฉินผิงอันยิ้มพลางยื่นถ้วยชาส่งให้เณรน้อย ภิกษุเฒ่าดื่มชายังไม่ทันถึงครึ่งถ้วย เฉินผิงอันก็ก้มหน้าหยิบแผ่นไม้ไผ่แผ่นนั้นขึ้นมา ปลายสองฝั่งซ้ายขวาต่างก็มีร่องรอยเส้นหนึ่งที่ยากจะสังเกตเห็น
เฉินผิงอันมองทั้งสองปลายฝั่ง
แผ่นไม้ไผ่เหมือนไม้บรรทัดขนาดเล็กอันหนึ่ง
ภิกษุเฒ่าดื่มชาหมดก็หันหน้าออกไปมอง แสงอาทิตย์ร้อนแรงแผดเผาโลกมนุษย์ ยากนักที่โลกจะสงบร่มเย็นได้ จึงพูดอย่างสะท้อนใจแบบไม่ประติดประต่อว่า
“ช่วงยุคธรรมปลาย คนในใต้หล้าประหนึ่งต้นหญ้าในอากาศแห้งแล้งที่ล้วนแห้งเหี่ยวไร้ความชุ่มชื่น”
“เหตุผล ยังต้องพูดถึง”
“พระธรรมคือเหตุผลของพระภิกษุสงฆ์ มารยาทพิธีการก็คือเหตุผลของศิษย์ลัทธิขงจื๊อ มรรคกถาคือเหตุผลของนักพรตเต๋า อันที่จริงล้วนไม่มีสิ่งใดเลวร้าย แล้วเหตุใดต้องยึดติดอยู่กับฝ่ายของตัวเอง หากถูกต้องก็หยิบมา เอามากลืนลงท้องฝ่ายของตัวเอง”
เส้นสายตาของเฉินผิงอันย้ายออกจากบนแผ่นไม้ไผ่ เขาเงยหน้าขึ้นคลี่ยิ้ม พยักหน้ารับ “ใช่แล้ว”
ภิกษุเฒ่ามองไปยังลานวัดนอกราวระเบียง “โลกใบนี้ติดค้างคนดีอยู่ตลอดเวลา ถูกๆ ผิดๆ จะหายไปได้อย่างไร? เพียงแค่พวกเราไม่ยินดีใคร่ครวญให้ลึกซึ้งเท่านั้น ปากพูดว่าไม่ต้องพูดถึงก็ได้ หรืออาจถึงขั้นจงใจกลับดำเป็นขาว แต่ในใจย่อมต้องรู้ดี น่าเสียดายก็แต่บนโลกมีความจนใจอยู่มากมาย คนฉลาดมีมากขึ้นทุกขณะ คนที่เชี่ยวชาญเรื่องกลอุบายมีมากดุจดอกบัว แล้วก็มักจะชอบเย้ยหยันคนซื่อ ปฏิเสธความหวังดีที่บริสุทธิ์ใจ รังเกียจจิตใจที่ซื่อสัตย์ของคนอื่น”
“เฉินผิงอัน เจ้าปฏิบัติต่อโลกใบนี้อย่างไร โลกก็จะปฏิบัติต่อเจ้าแบบนั้น”
แล้วภิกษุเฒ่าก็พูดซ้ำอีกรอบอย่างเกินความจำเป็น “เจ้ามองมัน มันเองก็กำลังมองเจ้าอยู่”
เฉินผิงอันคิดดูแล้วก็รู้สึกว่ามีเหตุผล แต่กลับไม่ได้คิดลึก
วันนี้ภิกษุเฒ่าพูดค่อนข้างเยอะ อีกทั้งเฉินผิงอันก็เป็นคนที่ยินดีจะใคร่ครวญอย่างจริงจัง ดังนั้นจึงยังไม่อาจเดินตามทันภิกษุเฒ่าไปได้ไกลขนาดนั้น
จู่ๆ ภิกษุเฒ่าก็ยิ้มกว้าง “ประสกเฉิน เหตุผลในวันนี้ของอาตมากล่าวได้ดีหรือไม่?”
ในใจเฉินผิงอันรู้สึกเสียใจเล็กน้อย เขาตอบด้วยรอยยิ้ม “ดีมากแล้ว”
ภิกษุเฒ่าถามยิ้มๆ “ก่อนหน้านี้เคยได้ยินเจ้าพูดถึงเรื่อง ‘ก่อนหลัง’ ‘เล็กใหญ่’ ‘ดีเลว’ อาตมายังอยากจะฟังอีกสักครั้ง”
ครั้งแรกที่เฉินผิงอันพูดค่อนข้างจะฟังเข้าใจยาก แต่ในเมื่อเป็นเหตุผลและเป็นคำพูดที่มาจากใจจริง ยิ่งพูดก็มักจะยิ่งกระจ่างแจ้ง เหมือนกระจกบานหนึ่งที่ถูกเช็ดถูฝุ่นออกบ่อยๆ ที่จะยิ่งชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ
ผิดถูกมีก่อนหลัง ควรจัดเรียงขั้นตอนให้ชัดเจนเสียก่อน ห้ามข้ามผ่านไปพูดเหตุผลที่ตัวเองอยากพูดเท่านั้น
ผิดถูกมีแบ่งใหญ่เล็ก ต้องใช้ไม้บรรทัดหนึ่งอัน สองอันหรือมากกว่านั้นมาวัดความเล็กใหญ่ ไม้บรรทัดเหล่านี้จะเป็นวิธีการที่ถูกต้อง วิธีการที่ดีงาม กฎของบ้าน กฎหมาย หลักมารยาทพิธีการ หรือหลักการคำนวณของสำนักคำนวณก็ล้วนยืมมาใช้ได้หมด กฎหมายอันเป็นบรรทัดฐาน คุณธรรมที่สูงส่ง ขนบธรรมเนียมประเพณีของแต่ละสถานที่ วิชาการคำนวณที่แม่นยำล้วนเกี่ยวพันด้วยทั้งสิ้น ไม่สามารถสรุปได้ด้วยมาตรฐานเดียว เมื่อตั้งใจศึกษาแล้วจะรู้ว่ายิบย่อยซับซ้อน เปลืองแรงกายแรงใจอย่างถึงที่สุด
หลังจากนั้นถึงตัดสินความดีความเลวในท้ายที่สุด
ดังนั้นโดยที่มองไม่เห็น ศึกตรีจตุที่ถกกันว่าสันดานคนดีหรือเลวจึงไม่ได้เป็นด่านอันตรายที่คนเรียนหนังสือไม่อาจข้ามผ่านอีกต่อไป เพราะนี่เป็นเรื่องที่พูดถึงในตอนท้าย ไม่ใช่เรื่องแรกที่ต้องตัดสินใจเมื่อเริ่มต้นเรียนหนังสือ
สุดท้ายคือคำว่า ‘ปฏิบัติ’
ให้ความรู้แก่สรรพชีวิต ถ่ายทอดพระธรรมแก่ใต้หล้าด้วยใจของพระโพธิสัตว์ แสวงหาความสงบด้วยการฝึกฝนตนเองอยู่เพียงลำพัง ทุกอย่างนี้ล้วนขึ้นอยู่กับความชื่นชอบของแต่ละคน
สีหน้าของภิกษุเฒ่านิ่งสงบ ประนมสิบนิ้วฟังคำอธิบายของเฉินผิงอัน ก้มหน้ากล่าวว่า “อามิตตาพุทธ”
เฉินผิงอันมองไปยังนกขมิ้นน้อยที่เกาะอยู่บนชายคา มันกำลังมองประเมินเณรน้อยที่กำลังกวาดลานวัด
เฉินผิงอันดึงสายตากลับมา ภิกษุเฒ่ายิ้มบางๆ “วัดไม่อยู่ พระอยู่ พระไม่อยู่ คัมภีร์อยู่ คัมภีร์ไม่อยู่ พระพุทธเจ้าอยู่ พระพุทธเจ้าไม่อยู่ พระธรรมยังอยู่ ต่อให้วัดซินเซียงจะไม่มีพระเหลือแม้แต่รูปเดียว ไม่เหลือคัมภีร์แม้แต่เล่มเดียว ขอแค่ใจคนยังมีพระธรรม วัดซินเซียงก็ยังคงอยู่”
ภิกษุเฒ่าหันหน้ามองไปลานวัดที่เงียบสงบ ได้ยินเพียงเสียงแสกสากจากเณรน้อยที่กำลังกวาดวัดอีกครั้ง
เส้นสายตาของภิกษุเฒ่าพร่ามัว พึมพำว่า “ดูเหมือนอาตมาจะมองเห็นดอกบัวผลิบานในโลกมนุษย์แล้ว”
เฉินผิงอันเงียบงัน
ภิกษุเฒ่าก้มหน้าลง ริมฝีปากสั่นระริก “ไปเถิด”
สามเณรน้อยที่อยู่ห่างไปไกลมองมาทางระเบียง กอดไม้กวาดไว้ในอ้อมอกพลางบ่นกับภิกษุเฒ่าว่า “อาจารย์ วันนี้แดดแรงยิ่งนัก รอให้เย็นลงหน่อยแล้วข้าค่อยมากวาดได้หรือไม่ ร้อนจะตายอยู่แล้ว”
เฉินผิงอันหันหน้าไป ชี้ไปยังภิกษุเฒ่าที่เหมือนคนงีบหลับ จากนั้นก็ยื่นนิ้วมาแตะตรงริมฝีปาก ทำเสียงชู่ว์เบาๆ หนึ่งที
สามเณรน้อยรีบเงียบเสียงลง แล้วก็แอบรู้สึกชอบใจ ฮ่าๆ ข้าจะแอบอู้บ้างล่ะ ที่แท้อาจารย์ก็ชอบงีบหลับเหมือนกัน
เขาค่อยๆ ย่องกลับไปใต้ร่มของชายคาตำหนักใหญ่ นกขมิ้นตัวนั้นปลุกระดมความกล้าบินไปเกาะบนไหล่ของเณรน้อย เณรน้อยอึ้งตะลึงไปครู่หนึ่ง ก่อนจะจงใจหันกลับไปทำหน้าผีใส่มัน ทำเอานกขมิ้นน้อยตกใจรีบกระพือปีกบินหนี เณรน้อยที่ยืนอึ้งอยู่คนเดียวลูบศีรษะที่เกลี้ยงเกลาด้วยความรู้สึกละอายใจเล็กน้อย
บนเบาะกลมกลางระเบียง ภิกษุเฒ่าที่มรณภาพไปแล้วยังคงนั่งอยู่ในท่าผ่อนคลายที่ทิ้งตัวลงมาเช่นนั้น
แต่กลับเหมือนช่วยยกจิตวิญญาณของฟ้าดินขนาดเล็กแห่งนี้ให้สูงขึ้น
เฉินผิงอันอดไพล่นึกไปถึงประโยคหนึ่งของลู่ไถไม่ได้
คนตายก็คือการนอนหลับครั้งใหญ่
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น