ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง 306-308
ตอนที่ 306 ไม่เคยยอมรับเรื่องการแต่งง...
หากว่าร่างเนื้อของตู๋กูซิงหลันไม่สามารถรักษาให้หายได้ จะใช้ร่างของเหลียงเซิงเซิงผู้นี้แทนก็ไม่เลว
รอยประทับบนริมฝีปากล่างนั่น เป็นเครื่องรับรองที่ดีที่สุด
“ข้าไม่ใช่คนร้ายหรอก แค่อยากจะช่วยท่าน” พอไม่ได้รับคำตอบ สองแก้มของเหลียงเซิงเซิงก็ชักจะแดงขึ้นมา
นางอุ้มของกินเอาไว้มากมาย จึงรู้สึกว่าน่าอายอยู่บ้าง
นางไม่ค่อยได้เจอกับคนจากภายนอก แต่พอได้พบกับพี่สาวผู้นี้กลับรู้สึกคุ้นเคย ทั้งยังเห็นว่านางงดงามมาก จึงคิดจะช่วยเหลือนาง
หากโชคดี อาจจะช่วยรักษาสมองที่ถูกลาถีบนั่นให้หายดีก็ได้นะ?
พอตู๋กูซิงหลันเห็นท่าทางที่จริงใจของนาง คำปฏิเสธที่มาถึงริมฝีปากก็จำใจต้องกลืนกลับไป “ตกลง”
ดวงตาทั้งคู่ของเหลียงเซิงเซิงเป็นประกาย “งั้นข้าจะพาท่านไปที่บ้านในตอนนี้เลย!”
พูดแล้ว ก็เห็นนางก้าวยาวๆ ขึ้นมาบนรถม้า เอาสิ่งของในอ้อมแขนกลิ้งหลุนๆ เข้าไปในรถม้า จากนั้นก็ออกไปนั่งด้านหน้าของรถม้า บังคับรถม้านั้นด้วยตนเอง
ทันทีที่บังเ**ยนในมือขยับ ม้าตัวนั้นก็ขยับกีบเท้าวิ่งออกไปปานจะเหาะได้
เมืองกู่เย่วหลังฝนตก มีกลิ่นหอมสดชื่นของดินและหญ้าชัดเจน
ภายในรถม้า สีหน้าของตู๋กูซิงหลันสงบนิ่ง ตลอดหนึ่งเดือนที่อยู่ในเมืองกู่เย่ว นอกจากรักษาอาการบาดเจ็บแล้ว นางเองก็ไม่ได้อยู่เฉยๆ
เหลียงจวิ้นอ๋องผู้นั้น นางได้ยินข่าวเล่าลือมาไม่น้อย
หนึ่งในห้าแม่ทัพผู้ก่อตั้งประเทศ ย่อมเป็นสุดยอดผู้เข้มแข็ง
เมืองกู่เย่วภายใต้การฟื้นฟูของเขา มีน้ำท่าอุดมสมบูรณ์ ปวงประชาเป็นสุข
เหลียงจวิ้นอ๋องเอง ก็ได้รับความเคารพยกย่องจากชาวบ้านทั้งหลาย
แต่บุคคลเช่นนี้ กลับมีใจคิดคดต่อแคว้นต้าโจว
ไม่ไกลจากศาลเจ้าของเจียงชวี่ปิ้ง ตู๋กูซิงหลันและชือหลีพบเจอลานฝึกอาวุธแห่งหนึ่ง ในนั้นมีอาวุธยุทโธปกรณ์เต็มไปหมด
ถึงแม้จะบอกว่าเมืองกู่เย่วได้รับพระบัญชาให้สร้างโรงอาวุธ แต่ว่าอาวุธเหล่านั้นก็สมควรจะส่งมอบให้กับราชสำนัก
ตอนนี้เหลียงจวิ้นอ๋องกลับสะสมอาวุธเอาไว้มากมาย เขากำลังคิดอะไรอยู่ แค่ดูก็รู้แล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น ที่นั่นไม่เพียงแต่มีสถานที่ฝึกและสะสมอาวุธ แต่ทหารจากเมืองกู่เย่วที่ฝึกฝนอยู่ที่นั่นก็มีมากพอควร พอรวมเข้ากับอาวุธก็ไม่แน่ว่ามีจำนวนเท่าไหร่กันแน่
ในเมื่อตู๋กูซิงหลันมาแล้ว ย่อมไม่อาจนั่งดูโดยไม่ใส่ใจได้
ในโลกนี้ มีแต่นางเท่านั้นที่สามารถก่อกบฏกับจีเฉวียน
ผู้อื่นถอยไปด้านข้างเสียเถอะ
“พี่สาว ยังไม่รู้เลยว่าท่านมีนามว่ากระไร?” พอรถม้าเข้าสู่ตัวเมือง เหลียงเซิงเซิงถึงได้หันกลับมาถาม
ตู๋กูซิงหลันคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็ตอบออกไปสองคำ “เยี่ยซิง”
“ท่านอายุเท่าไหร่แล้ว?”
“สิบหก”
“เช่นนั้นต่อไป ข้าจะเรียกท่านว่าพี่ซิงนะเจ้าคะ” เหลียงเซิงเซิงยิ้มหวาน ขยับบังเ**ยนในมือ บังคับม้าผ่านเข้าไปในเมือง
ครึ่งชั่วยามหลังจากนั้นพวกนางก็มาถึงตำหนักจวิ้นอ๋อง
ตำหนักจวิ้นอ๋องงดงามแปลกตา เพียงเงยหน้ามองขึ้นไปก็เห็นต้นไม้สูงใหญ่เขียวขจี
เพียงแวบแรก ตู๋กูซิงหลันก็ถูกต้นไห่ถางที่โดดเด่นอยู่ในตำหนักดึงดูดใจเข้าแล้ว
ที่จริงยามนี้เป็นฤดูใบไม้ร่วงแล้ว ต้นไม้ส่วนมากล้วนเปลี่ยนเป็นสีเหลือง แต่ว่าต้นไห่ถางภายในตำหนักยังคงเบ่งบานอย่างงดงาม
กิ่งที่มีดอกทอดยาวออกมาจากในสวน สายลมพัดโชยมาเบาๆ กลีบดอกสีแดงเข้มก็ร่วงลงมา ปลิวเข้ามาในรถม้าพอดี
ตู๋กูซิงหลันยื่นมือออกไปรับกลีบดอกไม้เอาไว้
สีสันเช่นนี้ กลิ่นเช่นนี้ ช่างเหมือนกับในตำหนักเฟิ่งหมิงกงเหลือเกิน
รถม้าขับเข้ามาทางประตูหลัง ผ่านสวนดอกไห่ถางที่กำลังผลิบานอย่างแน่นขนัด หลังจากเลี้ยวไปเลี้ยวมาอยู่หลายรอบค่อยหยุดลงที่เรือนหลังหนึ่ง
ตลอดทางที่เข้ามานี้ ตู๋กูซิงหลันเห็นแต่ต้นดอกไห่ถางเท่านั้น
ในตำหนักอ๋อง นอกจากต้นไห่ถางแล้วก็ไม่ได้พบเห็นต้นไม้ชนิดอื่นใดอีก แม้แต่หญ้าสักต้น
“ตำหนักอ๋องของพวกเราสร้างขึ้นมาจากซากปรักหักพังของวังหลวงแคว้นกู่เย่ว
ต้นไห่ถางเหล่านี้เป็นองค์หญิงแคว้นกู่เย่วทรงปลูกไว้ด้วยพระองค์เอง” เหลียงเซิงเซิงอธิบาย พลางกระโดดลงไปจากรถม้า
พอพึ่งจะลงไปก็มีสาวใช้สองนางเดินเข้ามาหาอย่างกระตือรือล้น พลางกระซิบลงที่ริมหูนางหลายคำ
แววตาของเหลียงเซิงเซิงเปลี่ยนไปทันที นางรีบหันมากล่าวกับตู๋กูซิงหลันที่อยู่บนรถม้าว่า “พี่ซิงเจ้าคะ ข้ามีธุระ จำต้องขออนุญาตไปก่อนก้าวหนึ่ง หากมีเรื่องใดท่านบอกสักคำ เสี่ยวชุ่ยกับเสี่ยวหงจะคอยช่วยเหลือท่านเอง”
“อืม” ตู๋กูซิงหลันผงกศีรษะ
นางพึ่งจะรับคำ ก็เห็นเหลียงเซิงเซิงเดินออกไปโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมามองแล้ว
ท่าทางของนางรีบร้อนประหนึ่งจะไปพบกับคนรักก็ไม่ปาน
ตู๋กูซิงหลันมองดูเงาหลังของนางที่เดินจากไป ก็รู้สึกว่าภายใต้กลีบดอกไห่ถางสีแดงที่กำลังร่วงลงมานั้น เงาหลังของนางช่างงดงามเหมือนรูปวาด
ไม่รู้ว่าทำไม นับตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เจอสาวน้อยผู้นี้ ในใจของตนเองก็เกิดความรู้สึกคุ้นเคยอย่างแปลกประหลาด
อยู่ๆ ก็เกิดความต้องการจะใกล้ชิดทำความสนิมสนม
ช่างบังเอิญจริงๆ ที่เหลียงเซิงเซิงก็คิดเช่นเดียวกัน
“ไงถูกใจเข้าแล้วรึ?” ชือหลีที่อยู่ด้านข้าง มองตามสายตาของนางไป “ข้าว่าดูท่าเจ้าจะชอบนางมากนะ?”
“ก็ใช่อยู่……พวกเจ้าล้วนงดงาม ยังมี….” ชือหลีเท้าคาง หรี่ตาลง “แล้วยังมี….รูปโฉมของพวกเจ้ามีความคล้ายคลึงกันอยู่บางส่วน”
ที่จริงแล้วหากมองแต่เครื่องหน้า ก็ดูไม่เหมือนกัน แต่พอมองดูโดยรวมๆ แล้ว กลับมีความรู้สึกบางอย่างที่อธิบายไม่ถูก
นี่จะต้องเป็นร่างใหม่ที่สวรรค์ประทานมาให้อย่างแน่นอน
ชือหลีขยับตัวอย่างคึกคัก ดวงตาสีแดงทั้งคู่ของนางปรากฏแววมุ่งมั่นปรารถนาขึ้นมา
………………….
ตำหนักจวิ้นอ๋อง
โถงหลัก
เหลียงจวิ้นอ๋องนั่งเป็นสง่าอยู่ในชุดสีดำทั้งร่าง ดวงหน้าของเขามีแววหนักใจ น้ำชาในมือก็เย็นมากแล้ว
นายทหารหลายคนนั่งอยู่ข้างกายเขา แต่ละคนมีสีหน้ากลัดกลุ้ม
“ท่านอ๋องขอรับ ที่ฮ่องเต้จะเสด็จมาครั้งนี้ ใช่เป็นเพราะพระองค์พบเห็นสิ่งใดเข้าแล้วหรือไม่?” สีหน้าของแม่ทัพเก่าแก่ที่อยู่ข้างกายจวิ้นอ๋องมีความวิตกกังวล
“มีเรื่องอะไรจะต้องหวาดกลัวกัน? หากยุ่งยากนักพวกเราก็กบฏเสียเลย!” แม่ทัพหนุ่มน้อยผู้หนึ่งตบโต๊ะลุกขึ้นยืน “พวกเราไม่ไปหาเรื่องเขา เขากลับพุ่งเข้ามาหาเรื่องพวกเราก่อน หรือว่าพวกเราจะต้องอยู่นิ่งๆ ให้ยอมจับกุมหรือยังไง?”
“ใช่แล้ว พวกเราไม่กลัวหรอก! ฮ่องเต้ผู้นั้นก็เป็นแค่เด็กขนอ่อน ที่พึ่งจะขึ้นครองราชย์ ก็จะเปลี่ยนจากระบบศักดินาไปเป็นระบบกระจายอำนาจ คิดจะริดรอนฐานกำลังของอ๋องและเหล่าโหวเหย่ทั้งหลาย”
“ไม่ใช่แค่นั้นน่ะสิ เขายังกระจายข่าวลือเรื่องเทพธิดาพิทักษ์แม่น้ำลี่เหอ ขุมสมบัติแคว้นเซอปี่ซือ ทั้งหมดนี้ก็เพื่อจะได้หนุนฐานะฮ่องเต้ของเขาให้มั่นคง และก็มีแต่พวกไอ้โง่เท่านั้นละที่ยอมเชื่อ!”
แม่ทัพหนุ่มผู้นั้นอึดอัดฮึดฮัดอย่างยิ่ง ราวกับว่ามีความแค้นอยู่กับจีเฉวียนมากมายอย่างไรอย่างนั้น
“ดูเอาเฉพาะหน้านี้ก่อนเถอะ ตอนนี้เขาเพ่งเล็งมาที่เมืองกู่เย่วของพวกเราเข้าแล้ว หลายปีก่อนตอนที่ปฐมฮ่องเต้ทรงปราบปรามแคว้นกู่เย่ว ที่นี่เหลือแต่ซาก ตอนนี้ท่านอ๋องของพวกเราสร้างทุกสิ่งขึ้นมาใหม่กับมือ”
ผู้คนทั้งหลายต่างก็ถูกเขากระตุ้นจนเกิดโทสะขึ้นมาแล้ว
“จริงด้วย ตอนที่เหลือแต่ซากราชสำนักไม่เคยสนใจทั้งไม่ให้ความช่วยเหลือ ตอนนี้พอบูรณะดีแล้ว ก็คิดจะมาริบกลับไปหรือ? ในโลกนี้ไหนเลยจะมีเรื่องดีๆ แบบนั้น!”
ขณะที่ผู้คนกำลังถกเถียงกันอย่างคึกคัก สีหน้าของจวิ้นอ๋องก็ยังคงมีแต่ความอึมครึม เขายังคงนั่งอยู่ในตำแหน่งประธาน ผ่านไปอีกพักใหญ่จึงค่อยกล่าวขึ้นว่า “ที่เราผู้เป็นอ๋องกังวลใจมากที่สุดก็คือเซิงเซิง”
เพียงแค่ประโยคเดียว ก็ทำให้สีหน้าของทั้งหมดเปลี่ยนไป
จีเฉวียนผู้นั้นช่างหน้าด้านอย่างที่สุด ถึงขนาดบังคับสตรีแต่งงาน!
ฮ่องเต้ที่เหลิงลำพองผู้นี้ พึ่งจะขึ้นครองราชย์แท้ๆ ก็แต่งตั้งพระสนมถึงแปดสิบสี่นาง คุณหนูน้อยของพวกเขาสูงส่งถึงเพียงไหน เขาส่งราชโองการออกมาฉบับหนึ่งก็แต่งตั้งนางเป็นกุ้ยเฟย ฮึ แค่นี้คนก็กลายเป็นสนมของตนเองแล้วรึไง?
ปีที่แล้ว คุณหนูน้อยพึ่งจะครบสิบสี่เอง!
แม้แต่เด็กสาวอายุสิบสี่เขาก็ยังไม่ละเว้น เช่นนี้แล้วจะเป็นตัวดีได้อย่างไร?
“ท่านอ๋องไม่เคยตกลงรับปากการแต่งงานครั้งนี้ หรือว่าจีเฉวียนนั้นยังจะกล้าแย่งชิงเอาหรือ?”
——
ตอนต่อไป “เขาตีตราจองเอาไว้แล้ว”
ตอนที่ 307 เขาตีตราจองเอาไว้แล้ว
หนุ่มน้อยผู้นั้นฮึดฮัดไม่พอใจที่สุด ใบหน้าและลำคอของเขาแดงก่ำไปหมด
คุณหนูเซิงเซิงคือแสงจันทราในใจของเขา คือสตรีที่งดงามที่สุดในโลกหล้านี้
ไม่เพียงแต่เขา ในสายตาของบุรุษที่ยังมิได้แต่งงานในเมืองกู่เย่ว นางก็คือสตรีที่ทุกผู้ต่างมุ่งหมายจะมาสู่ขอกลับไปยกย่องเป็นภรรยา
แต่น่าเสียดาย เพราะราชโองการแต่งตั้งเพียงฉบับเดียวแท้ๆ คุณหนูเซิงเซิงกลายเป็นพระสนมกุ้ยเฟย
ถึงแม้จะเป็นเพียงแต่ฐานะในนามเท่านั้น แต่ก็เท่ากับว่าคุณหนูเซิงเซิงก็ถูกหน่วงเหนี่ยวกักขังเอาไว้เสียแล้ว
ถึงแม้ว่าทางจวิ้นอ๋องจะมิได้เห็นดีเห็นงามกับการแต่งตั้งครั้งนี้ แต่ราชโองการยากจะขัดขืน ถึงแม้ว่าจีเฉวียนจะมิได้มีรับสั่งเรียกเซิงเซิงเข้าวังไป แต่ว่าโดยฐานะ ก็ถือว่านางได้กลายเป็นสตรีของฮ่องเต้ไปแล้ว
คนอย่างพวกเขาก็ได้แต่เพียงเฝ้ามองดูเท่านั้น
ได้แต่ต้องเก็บงำความขื่นขมนี้เอาไว้อยู่ลึกๆ ในก้นบึ้งของหัวใจ ไม่อาจจะเปิดเผยออกมาได้แม้แต่น้อย
หากมิใช่เพราะว่ามีราชโองการแต่งตั้งฉบับนั้นขวางอยู่ เกรงว่าคนที่พากันมาสู่ขอคงจะเหยียนย่ำประตูตำหนักจนทรุดไปนานแล้ว
แววตาของเหลียงจวิ้นอ๋องทอประกายเย็นยะเยือก เขาประคองถ้วยน้ำชาที่เย็นชืดแล้วเอาไว้ในมือ พลางมองออกไปยังดอกไห่ถางที่ปลิวตามลมด้านนอกหน้าต่าง กล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นว่า “เช่นนั้นก็เตรียมการรับเสด็จฮ่องเต้ให้ดีแล้วกัน”
“ท่านอ๋อง พวกเราจะยังไม่มีแผนการรับมือหรือขอรับ?” เหล่าทหารต่างอดจะวิตกกังวลไม่ได้
“ในตอนนี้จีเฉวียนผู้นั้นมีชื่อเสียงดีงามสูงส่ง เกรงว่าคงไม่อาจจะจัดการได้ง่ายๆ”
พอพึ่งจะกล่าวจบไป ก็เห็นเงาร่างสีชมพูปรากฏขึ้นที่ด้านนอกห้องโถงหลัก
ผู้คนทั้งหลายต่างก็พากันหุบปากลง ทุกสายตาต่างก็มองไปยังร่างของสาวน้อย เห็นนางค่อยๆ เดินเข้ามาทีละก้าว พอมาถึงข้างกายของเหลียงจวิ้นอ๋อง ก็คำนับครั้งหนึ่ง ส่งเสียงเรียกอย่างนุมนวลเชื่อฟังว่า “ท่านปู่”
เหลียงจวิ้นอ๋องเห็นรองเท้าและชายกระโปรงของนางเลอะโคลน ก็รู้ทันทีว่านางพึ่งจะออกไปข้างนอกอีกแล้ว
เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย “ปู่บอกเจ้าหลายหนแล้ว ว่าอย่าได้เข้าไปในป่าเพียงลำพัง”
“ปีนี้ทุกบ้านเก็บเกี่ยวได้มาก ทุกที่ทุกทางล้วนมีแต่สีทองอร่าม สวยงามน่าดูมากจริงๆ เจ้าค่ะ” ดวงตาของเหลียงเซิงเซิงเป็นประกาย “หลานคิดว่า หากว่าฮ่องเต้ทรงได้มาทอดพระเนตร จะต้องพอพระทัยมากอย่างแน่นอน”
พอเหลียงเซิงเซิงกล่าวประโยคนี้ออกมา สีหน้าของทุกผู้คนก็เปลี่ยนไป
คุณหนูน้อยยังคงจดจำฮ่องเต้ผู้นั้นได้ด้วยหรือ?
“ผู้คนภายนอกต่างพูดกันว่า พระองค์ทรงเป็นฮ่องเต้ที่ดี” เหลียงเซิงเซิงเปลี่ยนชาร้อนให้เหลียงจวิ้นอ๋อง “บางทีที่พระองค์เสด็จมาครั้งนี้ อาจจะมาเพื่อทอดพระเนตรดูทิวทัศน์ของกู่เย่ว ชื่นชมความอุดมสมบูรณ์ก็เป็นได้นะเจ้าคะ?”
ผู้คนทั้งหลายถูกความไร้เดียงสาของนางทำเอาน้ำตาจะไหลแล้ว
คุณหนูน้อยสูญเสียบุพการีตั้งแต่เยาว์วัย อีกทั้งไม่มีพี่ชายน้องสาว ถูกท่านอ๋องกล่อมเกลี้ยเลี้ยงดูมากับมือ สามารถกล่าวได้ว่าเติบโตขึ้นมาในความรักอันลึกล้ำของท่านอ๋อง ดังนั้นอุปนิสัยจึงใสซื่อบริสุทธิ์อย่างยิ่ง
คล้ายกับว่า ในดวงตาของนางนั้น โลกนี้ไม่มีผู้ร้ายใดๆ
ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีแต่ความงดงาม……
ไม่รู้ว่าหลายปีมานี้ จวิ้นอ๋องต้องทำงานหนักเช่นไร จึงทำให้นางมีแต่ความบริสุทธิ์งดงามขนาดนี้
“คุณหนูน้อย คนภายนอกนั้นมีพวกคนไม่ดีอยู่มากมาย คำพูดของพวกเขาเชื่อถือไม่ได้หรอกขอรับ” ทหารหนุ่มผู้นั้นกล่าวเสียงเข้ม “ท่านจิตใจบริสุทธิ์ผุดผ่องและมีเมตตา แต่โปรดอย่าได้ถูกหลอก ฮ่องเต้เสด็จมาครั้งนี้ จะต้องมีพระประสงค์จะพาท่านเข้าวังไปแน่ ยิ่งไปกว่านั้น…พระองค์อาจจะต้องการยึดเมืองกู่เย่วนี้กลับไปอีกด้วย”
แค่ประโยคเดียว สีหน้าของเหลียงเซิงเซิงก็เปลี่ยนไปในทันที
นางสัมผัสไฝแดงบนริมฝีปากล่างอย่างสับสน จากนั้นก็ส่ายศีรษะ ค่อยหันไปหาเหลียงจวิ้นอ๋องกล่าวว่า “ท่านปู่เจ้าคะ ข้าไม่อาจเข้าวัง และไม่ต้องการเป็นกุ้ยเฟยเจ้าค่ะ”
นางสัญญากับคนผู้นั้นเอาไว้แล้ว ….ในเมื่อถูกเขาตีตราไปแล้ว ก็ต้องเป็นคนของเขา
ชั่วชีวิตนี้ ไม่มีทางมีใจเป็นอื่นอีก
เนื่องเพราะมีราชโองการของฮ่องเต้ ทำให้นางมีฐานะเป็นกุ้ยเฟยอยู่กับตัว และยังมีความรักที่ยิ่งใหญ่ของท่านปู่ ดังนั้นจึงไม่กล้าละทิ้งทุกอย่างไปหาเขา
หากครั้งนี้ฮ่องเต้ทรงเสด็จมาจริงๆ นางก็จะใช้โอกาสนี้….ทูลขอให้พระองค์ถอนราชโองการคืนไป มอบอิสระภาพแก่นาง
เหลียงจวิ้นอ๋องเห็นดวงตาทั้งสองของนางปรากฏแววหวาดหวั่น เขาก็ยิ่งปวดใจ
“วางใจเถอะ ในโลกนี้ยังไม่มีผู้ใดที่เหมาะสมคู่ควรกับเจ้า ต่อให้เป็นฮ่องเต้ก็ไม่คู่ควร” เขายื่นมือไปลูบใบหน้ารูปไข่ของนาง ในดวงตามีแต่ความรักถนอมเอาอกเอาใจอย่างที่สุด
หลานสาวตัวน้อยที่เขาเลี้ยงดูมากับมือจนเติบโต ไหนเลยจะยอมปล่อยให้นางถูกบีบบังคับได้กัน?
พูดแล้วเขาก็กำชับอีกว่า “ช่วงนี้เมืองกู่เย่วไม่ค่อยสงบ ในป่าลึกบนภูเขามีภูติผีออกอาละวาด เจ้าอย่าได้เข้าไปอีก”
พูดถึงเรื่องนี้ ก็ช่างเป็นความบังเอิญจริงๆ
พอจีเฉวียนจะเสด็จมา เมืองกู่เย่วก็ชักจะเกิดความไม่สงบ
ฟังว่าก่อนหน้านี้พวกพรานที่ขึ้นเขาไปเก็บฟืนหลายคนพากันตายหมด
ตายไปแล้วแต่ศีรษะกลับหายไปหมด นั่นเป็นภาพที่น่าสยดสยองอย่างยิ่ง
ยิ่งเข้าไปใกล้ภูเขาฝูซางซาน ก็ยิ่งมีแต่อันตราย
บางทีอาจเป็นเพราะฝูซางซานเป็นเขตภูติผีของแคว้นกู่เย่ว พอทราบว่าฮ่องเต้แห่งต้าโจวกำลังจะเสด็จมา ก็พากันไม่ยอมอยู่ในความสงบอีกต่อไป
เนื่องเพราะผู้ที่ประหัตประหารสังหารชาวกู่เย่ว ก็คือเสด็จปู่ของฮ่องเต้พระองค์นี้
ในเมื่อผู้ที่ผูกความแค้นล่มชาติมาเหยียบย่ำถึงที่ แล้วจะให้สงบนิ่งอยู่ได้อย่างไร?
ที่หนักหนายิ่งกว่านั้นก็คือ ไม่เพียงแต่ว่าในป่ามีภูติผีอาละวาด หลายวันก่อน ตามชบนทก็มีคนตายอีกด้วย
หลังถูกฆ่าแล้วก็เอาศีรษะไป บริเวณลำคอมีรอยเขี้ยวกัดลึก นี่จะต้องเป็นพวกภูติผีออกมาอาละวาดอย่างแน่นอน
แต่ว่าปีศาจตนนี้ที่สุดแล้วคืออะไรกันแน่นั้น พวกเขายังสืบได้ไม่แน่ชัด
“ภูติผีปีศาจที่ดีก็มีเหมือนกัน” เหลียงเซิงเซิงก้มศีรษะลง นางกระพริบตา มือที่อยู่ใต้แขนเสื้อสั่นน้อยๆ ด้วยท่าทีที่ไม่ค่อยสงบนิ่งนัก
ตอนที่นางยังเป็นเด็กน้อย ครั้งหนึ่งบังเอิญหลงเข้าไปในภูเขาฝูซางซาน…..ในตอนนั้น มีปีศาจที่งดงามมากผู้หนึ่งช่วยเหลือนางเอาไว้
ที่จริงแล้ว ปีศาจตนนั้นยังจูบนางอีกด้วย
ฉะนั้น ตอนนี้ที่ริมฝีปากล่างจึงมีไฝแดงเพิ่มขึ้นมาเม็ดหนึ่ง ปีศาจที่งดงามตนนั้นพูดว่า นั่นคือการตีตราจองจากเขา เมื่อมีตราประทับของเขาก็เท่ากับว่าเป็นคนของเขาแล้ว
สักวันหนึ่ง เขาจะมารับนาง
นางย่อมเชื่อและรอคอยเขาอยู่
รอแล้วรอเล่า ผ่านมาก็นานหลายปีแล้ว
แต่นางยังเชื่อว่าเขาจะต้องมา
ดังนั้น….ปีศาจก็ไม่ใช่ว่าจะเลวร้ายไปเสียหมด ต้องมีแบบที่ช่วยเหลือมนุษย์อยู่บ้างแน่นอนจริงไหม?
หลายปีมานี้นางได้แต่เก็บงำความลับนี้เอาไว้ในก้นบึ้งของหัวใจ โดยมิได้บอกใครทั้งนั้น แม้แต่ท่านปู่ที่นางรักที่สุด นางก็ยังไม่เคยเล่าออกไป
เหลียงจวิ้นอ๋องทั้งฉุนทั้งขำนาง หลานสาวผู้นี้ของเขาอะไรๆ ก็ดีทั้งนั้น เพียงแต่บริสุทธิ์ใสซื่อจนเกินไป ไม่รู้ว่านี่จะดีหรือไม่ดีกันแน่
“ต้องเชื่อฟัง ช่วงนี้อย่าพึ่งไป” เขาได้แต่ตบแก้มนางเบาๆ “ตอนที่ฮ่องเต้เสด็จมาแล้ว เจ้าก็ไม่ต้องออกมาเข้าเฝ้าพระองค์ ปู่มีวิธีจะทำให้พระองค์ยอมปล่อยเจ้าไปเอง”
สาวน้อยที่งดงามโดดเด่นเช่นเซิงเซิง ใครได้เห็นแล้วจิตใจจะไม่หวั่นไหวได้กัน?
โดยเฉพาะผู้ที่เป็นฮ่องเต้อย่างจีเฉวียน…..หากว่าปล่อยให้พระองค์ได้ทอดพระเนตรความงามของเซิงเซิง เกรงว่านับจากนี้ไปสายพระเนตรของพระองค์ก็คงจะไม่มีทางหันไปหาสตรีอื่นอีกแล้ว
ตอนนี้ เขาเพียงแต่หวังว่าเซิงเซิงจะมีชีวิตที่สงบสุขมีความสุขไปตลอด
นางทั้งโชคร้ายและก็โชคดีในคราวเดียวกัน เขาเพียงแต่หวังให้นางมีชีวิตที่ราบรื่น สงบสุขตลอดไป
เหลียงเซิงเซิงพยักหน้า เดิมทีคิดจะขอให้ท่านปู่เชิญตัวท่านหมอเจียงมาตรวจอาการให้พี่ซิงสักหน่อย แต่คำพูดมาถึงปากก็กลืนลงไป
ท่านปู่ไม่ชอบคนที่มาจากภายนอก….หากท่านทราบว่านางพาคนนอกเข้ามา….พี่ซิงก็อาจจะถูกขับไล่ออกไป
คิดๆ ดูแล้ว ยังคงไปเชิญท่านหมอเจียงมาด้วยตนเองดีกว่า
หากใช้ไม้อ่อนร้องขอล่ะก็ ถึงจะเป็นท่านหมอเจียงที่มีนิสัยแปลกประหลาดก็อาจจะยินยอมมาในที่สุดก็เป็นได้กระมัง?
ผู้ที่งดงามเช่นพี่สาว ต้องมารับบาดเจ็บที่ศีรษะและขา น่าสงสารจะตาย
ไม่รู้ว่าทำไม ตั้งแต่แวบแรกที่ได้เห็นพี่ซิง นางก็รู้สึกสนิทสนมคุ้นเคยอย่างประหลาด ราวกับว่า….เคยได้พบที่ไหนมาก่อนอย่างไรอย่างนั้น?
บางทีอาจจะเป็นเพราะ นางงดงามมากล่ะมั้ง?
ตอนที่ 308 บังเอิญเจอปีศาจเอาชีวิต?
ยามที่เหลียงเซิงเซิงกลับมาที่เรือนหลังน้อย ท้องฟ้าก็มืดมิดเสียแล้ว
คืนนี้ดวงดาวกระจ่างเต็มท้องฟ้า ทำให้ดอกไห่ถางในสวนคล้ายกับจะมีแสงเงินจับระยิบบางๆ
พอนางมาถึง ก็เห็นตู๋กูซิงหลันกำลังนั่งชมดอกไม้อยู่บนเก้าอี้
เหลียงเซิงเซิงกลับรู้สึกว่านางงดงามยิ่งกว่าดอกไม้เหล่านั้นเสียอีก
นางไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า สตรีเวลาสวมชุดกระโปรงสีเขียวหม่นจะดูงดงามได้ถึงเพียงนี้ นางเพียงนั่งอยู่ตรงนั้นเฉยๆ ก็ให้บรรยากาศวันคืนอันเงียบสงบแสงสีอันเรียบง่ายออกมา
เพียงได้อยู่ข้างๆ นาง ก็รู้สึกว่าสามารถสงบความวุ่นวายใจทั้งหมดลงได้
“ดอกไม้ที่อื่น ไม่น่าดูเหมือนที่นี่หรือเจ้าคะ? เหลียงเซิงเซิงนั่งลงบนเก้าอี้หินข้างกายนาง ลืมตาโตมองดูแสงดาว
“ดอกไม้ที่อื่นหลากหลายสีสันแตกต่างกันไป งดงามมากเช่นกัน” ตู๋กูซิงหลันตอบเบาๆ “บางอย่างก็หอม อย่างเช่นดอกเย่วกุ้ยฮวา”
ด้านนอกของพระตำหนักตี้หัวปลูกดอกเย่วกุ้ยฮวาเอาไว้มากมาย นั่นเป็นดอกไม้ที่ฉางซุนฮองเฮาโปรดปรานมากที่สุด
“บางอย่างก็งดงามเฉิดฉัน อย่างเช่นดอกชมจันทรา เวลาผลิบานจะปกคลุมไปทั่วทั้งภูเขา งดงามอย่างยิ่ง”
บนยอดเขาที่ตั้งสุสานของเย่วฮูหยิน ทั่วทั้งภูเขาล้วนปกคลุมไปด้วยดอกชมจันทรา
ทุกครั้งที่คิดถึงยังรู้สึกว่าน่าตื่นตะลึง
เหลียงเซิงเซิงจ้องมองดูนาง ด้วยดวงตาเป็นประกาย “ดอกไม้พวกนี้ที่กู่เย่วไม่มีเลย ดอกเย่วกุ้ยฮวาหน้าตาเป็นอย่างไร ดอกชมจันทราหน้าตาเป็นอย่างไร? แล้วโลกภายนอกเป็นอย่างไรกัน?”
“โลกภายนอก….” ตู๋กูซิงหลันมองดูใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความกระตือรือร้นของนาง ทันใดนั้นก็เปลี่ยนเป็นหัวเราะออกมา “มิสู้ต่อไปเจ้าลองตามข้าไป ข้าจะพาเจ้าไปชมดู?”
สาวน้อยผู้นี้ช่างใสซื่อไร้เดียงสา หากมีนางอยู่ข้างกายได้เจอกันบ่อยๆ ก็สบายตาดีจริงๆ
เหลียงเซิงเซิงเกือบจะพูดโพล่งรับปากออกไปในทันที แต่คำพูดมาถึงริมฝีปากก็ต้องกลืนลงไป
ประกายตาของนางอับแสงลง สองมือกอดเข่าของตนเองเอาไว้ ซุกใบหน้าลงไประหว่างหัวเข่า “ข้าออกไปไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ ท่านปู่บอกว่า หากข้าออกไปจากกู่เย่วก็อาจจะตายได้”
ในสมองของตู๋กูซิงหลันพลันเกิดคำถามตัวโตๆ
ชือหลีกลายร่างเป็นร่างงู แขวนตัวอยู่บนต้นไห่ถางที่อยู่เหนือพวกนาง “คำพูดหลอกเด็กน้อยพวกนี้ นางก็ยังเชื่อหรือ?”
“ข้าไม่ได้กลัวตายนะเจ้าคะ ข้าแค่กลัวว่าหากข้าตายไปแล้ว ท่านปู่ก็จะต้องเสียใจ เซิงเซิงไม่อาจจะทำให้คนที่รักต้องเสียใจ” เหลียงเซิงเซิงกล่าวเสียงเบา “ดังนั้น พี่ซิงช่วยอธิบายให้ข้าฟังหน่อยได้หรือไม่ว่าโลกภายนอกเป็นเช่นไรบ้าง?”
“ผู้คนก็จิตใจดีมีเมตตาเช่นกันใช่ไหม มีปีศาจที่หน้าตางดงามบ้างหรือไม่เจ้าคะ?”
ครึ่งประโยคหลังต่างหากที่เป็นประเด็นสำคัญ…….
หลายปีมานี้นางรอมานานก็ยังไม่ได้เจอปีศาจที่งดงามตนนั้นเลย ดังนั้นนางจึงคิดไปว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่เขาอาจจะไปจากเมืองกู่เย่วแล้ว ไปยังโลกภายนอก?
ถ้าเป็นเช่นนั้น เขาจะยังจดจำนางได้หรือไม่นะ?
ยังจะมารับตัวนางไปอีกไหม?
นางไม่อาจไปจากกู่เย่วเพื่อตามหาเขา จึงได้แต่รอคอยอยู่ที่นี่แล้ว
“เจ้ากำลังคาดหวังในสิ่งใดอยู่หรือ?” มุมปากของตู๋กูซิงหลันขยับยกน้อยๆ “เจ้าหลงรักปีศาจหรือ?”
ไฝแดงบนริมฝีปากล่างของนางเปี่ยมไปด้วยพลังไอหยิน ตนเองกับชือหลีต่างก็ดูออก นั่นเป็นเครื่องหมายถึงสัญญาจากมารปีศาจ
ยิ่งสามารถเดาออกได้เลยว่า แม่นางน้อยผู้นี้คงจะถูกมารปีศาจหมายตาเอาไว้แต่แรกแล้ว
ถึงจะบอกว่านางใสซื่อบริสุทธิ์ แต่ในร่างกลับมีพลังวิญญาณหมุนวน ร่างเนื้อเช่นนี้สำหรับพวกภูติผีปีศาจแล้วนับว่าน่าดึงดูดใจอย่างที่สุด
นางเป็นเหมือนกับเครื่องมือสะสมพลังวิญญาณที่สามารถเคลื่อนที่ได้
ไม่ว่าจะเป็นเหล่านักพรตผู้ฝึกตน หรือว่าเทพภูติปีศาจมารใดๆ ต่างก็หนีไม่พ้นการฝึกฝนพลังวิญญาณด้วยกันทั้งนั้น
พลังวิญญาณนั้นสะสมอยู่ในธรรมชาติ จำเป็นจะต้องมีความเข้าใจและการฝึกฝนจึงจะสามารถเพิ่มพูนขึ้นมาได้ เมื่อพลังวิญญาณในธรรมชาติถูกนำมาหลอมรวม ตนเองจึงจะสามารถนำออกไปใช้ได้
แต่แม่นางผู้นี้ บนร่างกับมีพลังวิญญาณที่บริสุทธิ์สะอาดไม่ต้องผ่านการหลอมรวมก็สามารถดึงดูดไปใช้ได้เลย
ขอถามหน่อยเถอะ อาหารที่หอมหวานเช่นนี้ จะไม่ให้ภูติผีปีศาจทั้งหลายหวั่นไหวใจได้อย่างไรกัน?
หากมิใช่ว่านางถูกปีศาจทำสัญญาเอาไว้แต่แรก เกรงว่านางคงจะไม่ได้มีชีวิตมาจนถึงบัดนี้แล้ว คงจะถูกพวกภูติผีแยกร่างจับกินไปตั้งแต่แรกแล้ว
ที่จริงแล้วการทำสัญญาของพวกปีศาจ ก็คล้ายจะเป็นกฏที่ไม่ได้เป็นลายลักษณ์อักษรเท่าไรในหมู่ของพวกภูติเทพทั้งหลาย
เหยื่อที่หมายตาเอาไว้แล้ว ก็จะทำสัญลักษณ์เอาไว้ ปีศาจตัวอื่นๆ ไม่อาจแย่งชิงไปได้
นี่คือสัญญาประทับตราของภูติผีปีศาจ
เพราะว่าการทำสัญญาประทับตราเช่นนี้จะทำให้ปีศาจต้องสูญเสียพลังมหาศาล
แต่เมื่อสำเร็จลงแล้ว ‘เหยื่อ’ ก็จะได้รับการปกป้องจากปีศาจตนนั้นกระทั่งปีศาจเห็นว่า ‘เหยื่อ’ นั้นเติบโตสมบูรณ์ดีแล้ว จึงจะกลืนกินลงไป
อย่างเหลียงเซิงเซิงที่เป็นเครื่องสะสมพลังวิญญาณเคลื่อนที่ได้นั้น เมื่อถูกสัญญาประทับตราเอาไว้แล้ว ปีศาจอื่นๆ ก็ได้แต่มองดูอย่างกระเ**้ยนกระหือเท่านั้น
ผ่านมาตั้งหลายปีแล้วเจ้าพวกนั้นก็ยังไม่อาจแตะต้องนางได้ ก็แสดงได้ชัดเลยว่า ปีศาจที่ทำสัญญาไว้จะต้องเป็นปีศาจที่แข็งแกร่งและยิ่งใหญ่เป็นแน่
น่าสงสารเด็กน้อยผู้นี้….ที่ไม่รู้เรื่องใดๆ เลย
พอถูกตู๋กูซิงหลันพูดตรงกับความในใจ เหลียงเซิงเซิงก็ใบหน้าแดงก่ำขึ้นมาในทันที นางส่ายศีรษะ ไม่คิดจะยอมรับ
แต่ก็พูดอะไรไม่ออกสักคำ
พักหนึ่งก็แย้มพรายออกมาว่า “ตอนที่ยังเป็นเด็กข้าเข้าไปในภูเขาฝูซางซาน บนภูเขามีปีศาจที่น่ากลัวมากมาย….. แต่เขาช่วยข้าเอาไว้ ชีวิตที่เหลือนี้ข้าอยากตอบแทนเขา”
ตู๋กูซิงหลัน “ใช้ร่างกายเป็นสิ่งตอบแทน?”
‘ใช้ร่างกาย’ หลายคำนี้ ทำเอาใบหน้าของเหลียงเซิงเซิงลุกเป็นไฟ ทั้งหัวตาและหางคิ้วแฝงความเขินอาย
เรื่องนี้นางไม่เคยเอ่ยกับท่านปู่มาก่อน แต่กลับมาสารภาพกับพี่สาวที่พึ่งจะได้รู้จักกันผู้นี้อย่างง่ายๆ แม้แต่ตนเองก็ยังรู้สึกว่าคาดไม่ถึงเช่นกัน
ยามที่พี่สาวได้ฟังเรื่องนี้…..ทั้งไม่ได้ตื่นตระหนก ไม่ได้ประหลาดใจ และไม่ได้หัวเราะเยาะนาง ทำให้เหลียงเซิงเซิงยิ่งรู้สึกดีกับนางมากขึ้นอีกหลายส่วน
“เจ้าไม่เคยคิดหรือว่า ที่เขาปล่อยเจ้าไปเพราะคิดจะเลี้ยงเจ้าเอาไว้แล้วค่อยจับกิน?”
พอประโยคนี้ของตู๋กูซิงหลันแทงออกไปก็ทำให้ความเขินอายของเหลียงเซิงเซิงแข็งค้างไปในทันที
“จับกิน?” นางเอียงศีรษะ ดวงตาเปลี่ยนเป็นตื่นตระหนก
ชือหลีส่ายหางไปมา “เด็กโง่เอ๋ย ไม่รู้อะไรเลยจริงๆ ด้วย? คิดว่าตนเองได้พบกับปีศาจที่เป็นคู่ชะตา หรือไง?”
ชือหลีเองก็เป็นผู้ที่เคยผิดหวังในความรักมาก่อน แค่เห็นย่อมเข้าใจความรู้สึกในแววตาของสาวน้อย
“มา มา มา ชิงร่างเลยดีกว่า ยังดีกว่าปล่อยให้นางถูกกินไปเสียเปล่า อย่างน้อยๆ ร่างเนื้อนี้ให้เจ้าใช้ก็ไม่ถือว่าเสียของ”
นางจัดแจงรีบพูด “รอให้ไฝแดงอ่อนนั้นเปลี่ยนเป็นสีแดงสดขึ้นมาเมื่อไหร่ เจ้าปีศาจร้ายนั่นก็คงจะมาล่ะมั้ง? ถึงตอนนั้นแม่เด็กน้อยเซ่อซ่านี่คงต้องตายสถานเดียว”
ยังคิดว่าพวกปีศาจจะมีความจริงใจ? ไว้ชีวิตเจ้าหรือ?
อ๋อ นางได้ยินมาว่าช่วงนี้แคว้นกู่เย่วมีปีศาจอาละวาดวุ่นวาย คนตายไปแล้วไม่น้อย พอตายแล้วศีรษะก็หายไปหมด….
ไม่แน่ว่านี่อาจจะเกี่ยวข้องกับปีศาจที่ทำสัญญากับเหลียงเซิงเซิงเอาไว้ก็เป็นได้”
ตู๋กูซิงหลันไม่ได้สนใจชือหลี นางมองดูดวงหน้าที่ซีดขาวของเหลียงเซิงเซิง ก็ได้แต่กล่าวว่า “หากว่าเจ้าได้ไปอยู่เคียงข้างฮ่องเต้แห่งต้าโจว ก็จะสามารถผ่านเคราะห์นี้ไปได้”
คำพูดนี้……มิได้โกหก
จีเฉวียนไม่เพียงแต่เป็นโอรสสวรรค์ เขายังสามารถควบคุมพลังของหยกสรรพชีวิตได้อย่างสมบูรณ์ ทั้งยังมีพลังหยินที่แข็งแกร่งอยู่ภายในร่าง
ถึงตอนนี้กระทั่งตู๋กูซิงหลันเองก็ยังมองไม่ออกว่าที่สุดแล้วจีเฉวียนฝึกฝนตบะจนกลายเป็นสิ่งใดกันแน่……จะบอกว่าเขาเป็นนักพรต ก็ไม่คล้าย
จะบอกว่าเขาเป็นมนุษย์ ก็ไม่สมเหตุผล
ได้แต่บอกว่า เขาแข็งแกร่งอย่างยิ่ง
ให้เขาปกป้องเหลียงเซิงเซิง ย่อมไม่ใช่เรื่องยาก
ปีศาจตนนั้นต่อให้แข็งแกร่งอย่างไร ก็ไม่อาจจะแข็งแกร่งไปกว่าจอมมารอย่างเสินฟางไปได้
ตอนนี้นางกลายเป็นคนพิการไปแล้ว ไม่มีกำลังจะปกป้องเหลียงเซิงเซิงอีก ชือหลีก็หมายมั่นปั้นมือแต่จะให้ชิงร่างของนาง ยิ่งพึ่งพาไม่ได้
ความหวังเดียวที่มี ย่อมต้องเป็นฮ่องเต้แล้ว
——
ตอนต่อไป: “ข้ามารับเจ้าแล้ว”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น