กระบี่จงมา 304.1-305.3
บทที่ 304.1 โลกมนุษย์เต็มไปด้วยความอยุติธรรม
ProjectZyphon
จากคำบันทึกใน ‘จารึกภูเขาและทะเล’ ซึ่งเป็นตำราเซียนกล่าวว่าใบถงทวีปมีภูตผีปีศาจบนภูเขาอยู่เป็นจำนวนมาก และในความเป็นจริงก็เป็นเช่นนี้
ต่อให้เวลาส่วนใหญ่เฉินผิงอันจะจงใจเดินอ้อมผ่านสถานที่ที่มีปราณวิญญาณเปี่ยมล้นหรือไม่ก็สถานที่อันตรายเต็มไปด้วยไอสกปรกที่แค่มองก็ชวนให้รู้สึกหวาดกลัวแล้ว แต่ในบางครั้งก็ยังเลี่ยงไม่ได้ ยกตัวอย่างเช่นกลางดึกของคืนนี้ เฉินผิงอันมองไปยังเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งที่แสงไฟสว่างไสว ในมือของเฉินผิงอันไม่มีแผนที่ เพราะคิดอยากจะหาอาหารมาเพิ่มจึงเดินตามเส้นทางที่มีแสงไฟไป เพราะว่าแผนที่ชัยภูมิส่วนใหญ่มักจะเป็นสิ่งของต้องห้ามของราชวงศ์ในแคว้นนั้นๆ ถูกเก็บรักษาไว้เข้มงวดแน่นหนายิ่งกว่าอาวุธทางการทหารเสียอีก
ในเมืองเล็กแห่งนี้ไม่มีการห้ามเข้าออกเคหะสถานในยามวิกาล แต่หน้าประตูเมืองมีทหารคอยตรวจเอกสารผ่านทาง รอจนเฉินผิงอันเดินเข้าไปในเมืองได้อย่างราบรื่นและหาโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งที่ยังไม่ปิดกิจการเพื่อเข้าพัก ทว่าเถ้าแก่กลับโบกมือส่ายหน้า บอกว่าเงินของเฉินผิงอันไม่ถูกต้อง ที่โรงเตี๊ยมของพวกเขาไม่รับ แต่ละแคว้นต่างก็มีเหรียญทองแดงในรูปแบบที่แตกต่างกันออกไป นี่เป็นเรื่องที่ปกติอย่างมาก แต่หากกระทั่งทองจริงและเงินขาวก็ยังไม่รับก็ออกจากประหลาดไปสักหน่อย ยังดีที่เถ้าแก่ช่วยชี้ทาง บอกว่ามีสถานที่แห่งหนึ่งที่สามารถนำเงินและทองมาแลกเปลี่ยนเป็นเงินของเมืองพวกเขาได้ หลังจากเปลี่ยนเสร็จแล้วค่อยมาเข้าพักในโรงเตี๊ยม
เฉินผิงอันจึงไปที่ร้านแห่งนั้น โต๊ะคิดเงินของร้านนี้สูงมาก สูงแทบจะครึ่งตัวคน เฉินผิงอันเข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม จึงเหยียบลงบนม้านั่งตัวเล็ก บอกว่าต้องการแลกเงิน มอบเงินก้อนสีเงินไปให้สองสามก้อน แลกมาด้วยเงินเหรียญทองแดงทงเป่าหนึ่งกองและตั๋วเงินอีกหนึ่งปึ กเงินเหรียญทองแดงหนักมาก คุณภาพก็ดีเยี่ยม ส่วนด้านบนของตั๋วเงิน เฉินผิงอันเห็นว่ามีตราประทับสีชาดของโรงฝากเงินกับของราชสำนักประทับอยู่อย่างเป็นทางการจึงไม่ได้คิดอะไรมาก พอกลับไปที่โรงเตี๊ยมก็จ่ายเงินแล้วแสดงเอกสารผ่านทาง เถ้าแก่จึงจดบันทึกเอาไว้อย่างรอบคอบ เตรียมไว้เผื่อขุนนางฝ่ายกระทรวงครัวเรือนของท้องที่มาขอตรวจดู
วันต่อมาเฉินผิงอันเตรียมจะออกไปข้างนอก เถ้าแก่ยังคงดีดลูกคิดอยู่ที่เดิม เขาเอ่ยเติมเฉินผิงอันยิ้มๆ ว่า ที่นี่มีขนบธรรมเนียมอย่างหนึ่ง นั่นคือเวลาที่พูดคุยกับคนอื่นห้ามพูดคำว่ากระดาษออกมาเด็ดขาด ยกตัวอย่างเช่นคำว่าวางแผนการรบบนกระดาษ หรือตัวอักษรเปล่าบนกระดาษ (หมายถึงสิ่งที่เขียนลงบนกระดาษโดยที่ไม่ได้พูดออกมา) ที่ห้ามพูดออกมาเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นถ้าถูกคนจับโยนออกไปนอกเมืองก็อย่าหาว่าเขาไม่เตือน
เฉินผิงอันจดจำไว้ในใจ หลังจากกล่าวขอบคุณแล้วก็ออกไปซื้อของที่ต้องใช้ในชีวิตประจำวันอย่างฟืน ข้าว น้ำมัน เกลือและเสื้อผ้าอีกสองชุด ตอนที่กลับโรงเตี๊ยมมากินข้าว รู้สึกเพียงว่ารสชาติของอาหารจืดชืด หลังจากนั้นเขาก็ออกจากเมือง เดินไปได้หลายสิบลี้ยังพอจะมองเห็นเค้าโครงของเมืองได้อย่างเลือนราง แต่จู่ๆ กลับเจอกับฝนห่าใหญ่ เฉินผิงอันยืนหลบฝนอยู่ในศาลาผุพังแห่งหนึ่งบนภูเขา ด้วยอยู่ว่างไม่มีอะไรทำจึงฝึกเดินนิ่งและฝึกหมัดไปอย่างเชื่องช้า ผลกลับกลายเป็นว่าได้เห็นภาพที่น่าตกใจภาพหนึ่ง นั่นคือเมืองที่อยู่ห่างไปทางตีนเขากลับหลอมละลายอยู่ท่ามกลางฝนห่าใหญ่ กลายมาเป็นเพียงแค่ดินโคลนเละๆ กองหนึ่งเท่านั้น
เฉินผิงอันรีบควักเอาของที่ซื้อจากเมืองเล็กมาดู รวมไปถึงพวกเงินเหรียญทองแดงและตั๋วเงิน แล้วก็พลันชาไปทั้งหนังศีรษะ
สิ่งของทั้งหมดกลับกลายมาเป็นเพียงกระดาษขาวที่ถูกตัดให้เป็นรูปร่างต่างๆ เหมือนกระดาษที่คนเป็นในโลกเผาไปให้แก่คนตายในยมโลก
ราวกับขบขันท่าทางตกอกตกใจของเฉินผิงอัน เสียงหลุดหัวเราะพรืดจึงดังออกมาจากกำแพง ก้องสะท้อนอยู่ภายในศาลา
เฉินผิงอันแค่ตกใจในความน่าเหลือเชื่อของเมืองเล็กประหลาดก่อนหน้านี้ แต่ไม่ได้กลัวเรื่องลี้ลับเหล่านี้ ดังนั้นพอในศาลามีคนแกล้งทำเป็นผีหลอก เฉินผิงอันจึงคืนสติอย่างว่องไว เขาเพียงนั่งลงไปบนม้านั่งตัวยาวที่ทำมาจากต้นไม้เก่าแก่ในภูเขาลึกซึ่งตั้งอยู่ตรงมุมกำแพง หันหน้าเข้าหากำแพงสีขาวซีดฝั่งตรงข้าม ยกเหล้าขึ้นดื่มเงียบเงียบ
เว้นเสียจากว่าตนดวงซวยอย่างมากจึงมาเจอกับปีศาจใหญ่หรือไม่ก็มารตัวเอ้ที่เชี่ยวชาญในการปลอมตัว ไม่อย่างนั้นเกินครึ่งอีกฝ่ายก็น่าจะเป็นพวกที่ตบะตื้นเขิน เจ้านั่นหลอกให้คนธรรมดาตกใจกลัวได้ไม่ยาก ซึ่งก็พอดีกับที่เฉินผิงอันคิดจะตบมันให้ตายด้วยฝ่ามือเดียวก็ไม่ยากเช่นกัน
เจ้าคนที่ไม่รู้ว่าตัวเองมาเจอตอแข็งเข้าให้แล้วแสร้งกดเสียงให้ต่ำลึกน่าสะพรึงกลัวมากกว่าเดิม “เจ้าไม่กลัวข้าหรือ?”
เฉินผิงอันผูกน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ไว้ตรงเอวเรียบร้อยแล้วก็ลุกขึ้นยืน เดินไปทางกำแพงแห่งนั้นช้าๆ ตบลงไปหนึ่งที ยันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจแผ่นหนึ่งก็แปะอยู่ด้านบน เสียงร้องไห้และเสียงวิงวอนดังมาจากด้านในทันที น้ำเสียงนั้นฟังดูเหมือนเสียงของเด็ก เฉินผิงอันไม่ได้ปลดยันต์กระดาษสีเหลืองแผ่นนั้นลงมา เพียงถามยิ้มๆ ว่า “เจ้าคิดว่าข้ากลัวหรือไม่?”
เจ้านั่นรีบตะโกนตอบ “กลัวแล้วๆ กลัวจนแทบจะมีชีวิตฟื้นกลับคืนมาอยู่แล้ว!”
“ออกมาเถอะ เลิกทำหลบๆ ซ่อนๆ ได้แล้ว มาพูดกับข้าให้รู้เรื่องว่าเมืองเล็กแห่งนั้นเป็นมาอย่างไรกันแน่”
เฉินผิงอันปลดยันต์สยบปีศาจลงมา เก็บไว้ในชายแขนเสื้อ แล้วเดินกลับไปนั่งที่เดิม
เด็กอายุน้อยคนหนึ่งที่ท่าทางยังหวาดผวาไม่คลายเดินออกมาจากกำแพง เสื้อผ้าทั้งด้านหน้าและด้านหลังต่างก็ปักลายของทางการ เพียงแต่ว่าไม่ได้มีสีสันสดใสเหมือนของราชวงศ์ต่างๆ ในโลกมนุษย์ มีแค่สองสีคือสีดำกับสีขาว เขายืนอยู่ตรงมุมกำแพงด้วยท่าทางกล้าๆ กลัวๆ มองมายังนายท่านผู้เฒ่าเทพเซียนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ไม่เพียงแต่โค้งตัวคารวะ ยังพึมพำอะไรแปลกๆ หนึ่งคำ จากนั้นก็พูดแนะนำตัวเอง ที่แท้เขาก็คือเทพเจ้าที่คนหนึ่งที่ได้รับการแต่งตั้งจากราชวงศ์ก่อน ภายหลังเมื่อเปลี่ยนฮ่องเต้และเปลี่ยนแซ่ของแคว้นใหม่ เขาจึงถูกคัดให้เป็นขุนนางของราชวงศ์เดิมโดยอัตโนมัติ เมื่อไม่มีตำแหน่งขุนนาง ตบะที่เดิมทีก็เบาบางอยู่แล้วจึงยิ่งลดน้อยถดถอยลงไปอีก
ตอนที่เขายังมีชีวิตอยู่คือบุตรชายคนเล็กที่เป็นลูกรักของทูตใหญ่ในแคว้นศักดินาแห่งหนึ่ง ภายหลังตายไปยังไม่ทันครบเจ็ดวันก็มีเทพเซียนขี่เมฆผ่านทางมา อีกฝ่ายเข้ามาในห้องโถงที่ตั้งป้ายวิญญาณของเขา ช่วยเหลือบิดาเขาดำเนินการอยู่พักหนึ่ง เขาจึงได้กลายเป็นเทพเจ้าที่องค์หนึ่งที่ระดับขั้นไม่สูง แต่ก็ได้รับควันธูปอย่างโชติช่วงสมบูรณ์ นี่ก็เพื่อหวังให้เขาคอยช่วยปกป้องฮวงจุ้ยของสุสานบรรพชน ภายหลังเกิดการผลัดเปลี่ยนแผ่นดิน ทุกอย่างจึงมลายหายไปดั่งควันที่ลอยผ่านหน้า
จากประสบการณ์ที่ผ่านๆ มา เหตุการณ์ที่ไม่ได้สลักสำคัญส่วนใหญ่มักจะน่าสนใจเสมอ เฉินผิงอันจึงถามเรื่องของที่มาของคนกระดาษในเมืองเล็กจากเทพเจ้าที่ที่ไม่มีตำแหน่งขุนนางแล้วตนนี้ ที่แท้ในอดีตชาวบ้านในเมืองเล็กนับหมื่นคนต้องมาตายด้วยหายนะยิ่งใหญ่จากน้ำมือมนุษย์ภายในค่ำคืนเดียว เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้คนแตกตื่นขวัญผวา ทางราชสำนักจึงออกคำสั่งให้เมืองรอบด้านปิดข่าวนี้ไว้เป็นความลับ อีกทั้งยังเชิญพระสงฆ์ที่มีวิชาอาคมสูงมาทำพิธีกรรมครั้งหนึ่ง นั่นถึงทำให้สถานที่แห่งนี้ไม่ได้กลายเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยวิญญาณชั่วร้าย
เฉินผิงอันถามว่าหลังจากพายุใหญ่ผ่านไปแล้วเมืองเล็กแห่งนั้นจะเป็นอย่างไร เด็กชายพูดยิ้มๆ ว่าไม่เป็นอะไร ขอแค่อากาศดีๆ ท้องฟ้าสดใสสักสองสาม วันเมืองเล็กแห่งนั้นก็จะกลับคืนมาเป็นสภาพเดิม
เฉินผิงอันจึงขยับมานั่งยองอยู่บนพื้น หันหน้าเข้าหาเมืองเล็กแล้วเผากระดาษเงินเสื้อผ้ากระดาษเหล่านั้นอยู่ในศาลา
เด็กชายขยับมานั่งยองอยู่ด้านข้าง พูดอย่างสะท้อนใจว่า “นายท่านผู้เฒ่าเทพเซียน ไม่นึกเลยว่าท่านจะเป็นคนจิตใจดีงามถึงเพียงนี้”
เฉินผิงอันยิ้มให้เป็นการตอบรับ
จากนั้นจึงถือโอกาสถามถึงสภาพภูเขาและแม่น้ำในรัศมีพันลี้รอบสถานที่แห่งนี้ว่ามีตระกูลเซียนหรือมีท่าเรือบ้างหรือไม่ เด็กชายไล่ตอบทีละคำถามโดยไม่ปิดบังแม้แต่นิดเดียว
มันบอกว่าขึ้นเหนือไปประมาณแปดร้อยลี้มีภูตผีปิศาจที่ตั้งตัวเป็นราชาแห่งขุนเขาคอยก่อความวุ่นวายอยู่จริง แต่ก็ไม่ได้ดักปล้นหรือรังแกพวกนายพรานและชาวบ้านบนภูเขาบ่อยนัก บนภูเขาและล่างภูเขาจึงถือว่าค่อนข้างสงบสุข น้อยครั้งที่จะมีข่าวว่าชาวบ้านได้รับความเดือดร้อน ในช่วงเวลาที่ชื่อเสียงของมันเลื่องลือ แม้แต่ผู้ฝึกลมปราณบนภูเขาบางส่วนก็ยังต้องเดินอ้อมไปทางอื่น เพียงแต่ว่าภายหลังเจอกับเหตุการณ์การเปลี่ยนแปลงอย่างหนึ่งจึงทำตัวสงบเสงี่ยมลง ได้ยินว่ามีแค่แมวน้อยหมาน้อยสองสามตัวเท่านั้น ไม่ได้น่ากลัวอะไร แต่ความเป็นจริงเป็นเช่นไรก็บอกไม่ได้เหมือนกัน คนด้านนอกเล่าลือกันไปสารพัดอย่าง บางคนก็บอกว่าเซียนซือของสำนักฝูจีรู้สึกขวางหูขวางตา แล้วก็มีคนบอกว่าขณะที่พระธุดงค์องค์หนึ่งของศาสนาพุทธมาปักกลดอยู่ตรงนั้น ได้มีปีศาจที่ตาไร้แววทำให้ยอดฝีมือสำนักพุทธเดือดดาล ถึงได้เจอกับหายนะครั้งนี้
เฉินผิงอันรู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย ไพล่นึกไปถึงการเดินทางบนภูเขาในขอบเขตของต้าหลีที่ผีสาวสวมชุดแต่งงานปรากฏกาย จนถึงวันนี้เฉินผิงอันก็ยังไม่อาจลืมได้
ในศาลามีกิ่งไม้แห้งอยู่บางส่วน ภายใต้ความช่วยเหลือของเด็กชาย กิ่งไม้แห้งจึงถูกรวบมารวมกัน พอก่อไฟแล้วหนึ่งคนหนึ่งภูตประหลาดก็พากันนั่งอยู่ข้างกองไฟ
แม้มองดูแล้วใบหน้าของเด็กชายจะอ่อนเยาว์อยู่มาก แต่ในความเป็นจริงกลับมีชีวิตอยู่มาห้าร้อยปีแล้ว มันอธิบายต้นสายปลายเหตุให้เฉินผิงอันฟังว่า “การที่ปีศาจบนภูเขาลูกนั้นทำตัวเป็นกระต่ายไม่กินหญ้าข้างรังของตัวเอง นอกจากจะเป็นเพราะนิสัยของราชาแห่งขุนเขาตนนั้นค่อนข้างจะอ่อนโยนแล้ว พวกลูกน้องใต้บังคับบัญชาก็มีหลายคนที่นิสัยดุร้ายอำมหิต แน่นอนว่าไม่ได้มีจิตใจเป็นดั่งพระโพธิสัตว์ แต่เนื่องจากเขาปกครองพื้นที่แห่งหนึ่งจึงกลัวว่าชื่อเสียงจะฉาวโฉ่มากที่สุด หากแค่คนพูดถึงก็หน้าเปลี่ยนสีด้วยความหวาดกลัว เล่าลือกันไปอย่างนี้สักสิบปี ร้อยปีหรือพันปี แล้วถ้าวันหนึ่งลูกศิษย์ตระกูลเซียนที่กินอิ่มแล้วว่างงานไม่มีอะไรทำนึกอยากจะสร้างชื่อเสียงให้กับตัวเองว่าเป็นผู้กำจัดปีศาจกำราบมารขึ้นมา จะทำอย่างไร?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ
เด็กชายยื่นฝ่ามือสองข้างมาอังไฟพลางพูดกลั้วหัวเราะว่า “ฆ่าหรือไม่ฆ่า ฆ่าเด็กไปแล้วเดี๋ยวผู้ใหญ่ก็มา ฆ่าผู้ใหญ่ไปแล้วเดี๋ยวคนแก่ก็ตามมา ต่อให้มีความสามารถที่จะฆ่าหนึ่งคนสองคน หรือมาสามคนก็ฆ่าได้หมด พอฆ่าทิ้งหมดเรื่องราวก็ใหญ่โต หน่วยงานในท้องถิ่นแจ้งเรื่องไปยังราชสำนัก ฮ่องเต้รู้สึกว่าเสียหน้า สุดท้ายก็ย่อมต้องเชิญเซียนซือให้ออกจากภูเขามาปราบไม่ใช่หรือ?”
เด็กชายกล่าวอย่างหน่ายใจ “นั่นน่ะน่ารำคาญมากที่สุด”
เฉินผิงอันจึงกล่าวยิ้มๆ ว่า “หากไม่เป็นเช่นนี้ก็คงเละเป็นโจ๊กไปนานแล้ว ชาวบ้านด้านล่างภูเขาจะมีชีวิตอยู่อย่างไร พูดแค่เมืองเล็กแห่งนั้น คนตายไปตั้งหมื่นกว่าคน ญาติพี่น้องมิตรสหายของพวกเขาที่อยู่ต่างถิ่นจะคิดอย่างไร เวลาเพียงชั่วข้ามคืน คนทั้งหมดกลับไม่มีใครเหลืออยู่เลย คนที่ยังมีชีวิตอยู่ก็กลัวเป็นเหมือนกัน”
เด็กชายอึ้งตะลึง ดูเหมือนว่าจะไม่เคยคิดถึงปัญหาข้อนี้มาก่อน
ภายหลังเด็กชายจึงเล่าเรื่องน่าสนใจของบริเวณใกล้เคียงให้ฟัง ส่วนใหญ่ล้วนเป็นเรื่องที่เขาฟังคนอื่นเล่ามาอีกที ถึงอย่างไรเวลาหลายร้อยปีก็จำเป็นต้องหาความบันเทิงมาฆ่าเวลาเสียบ้าง
หลังสายฝนห่าใหญ่หยุดตก เฉินผิงอันจึงบอกลากับเทพเจ้าที่น้อยตนนี้แล้วออกเดินทางต่ออีกครั้ง
ทิ้งเด็กชายให้ยืนพึมพำกับตัวเองอยู่นอกศาลาคนเดียว
บทที่ 304.2 โลกมนุษย์เต็มไปด้วยความอยุติธรรม
ProjectZyphon
ระหว่างนี้เฉินผิงอันเดินผ่านสุสานแห่งหนึ่งก็เห็นว่ามีบัณฑิตยากจนที่เตรียมจะเข้าเมืองหลวงไปสอบกลุ่มหนึ่งยืนอยู่ด้านหน้าหลุมศพขนาดใหญ่ แต่ละคนเผยสีหน้าละอายใจที่ตนเองสู้ไม่ได้และทอดถอนใจด้วยความชื่นชมไม่หยุด
จากนั้นเขาก็เห็นว่าบริเวณใกล้กับหลุมศพมีจิ้งจอกสีขาวหิมะสองตัววิ่งออกมาแล้วทำท่าคารวะเหมือนคน
ยังมีจิ้งจอกอายุน้อยอีกหลายตัวที่นอนหมอบอยู่บนหลุมศพ พวกมันหัวเราะคิกคัก ตรงหว่างคิ้วเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา ฉายสีหน้าเพ้อฝันและเขินอาย ดูท่าแล้วคงไม่ใช่ปีศาจที่ดุร้ายอะไร แต่กลับคล้ายเด็กเล็กจอมตะกละมากกว่า
บัณฑิตเหล่านั้นพากันคารวะกลับคืน
ทำเอาเฉินผิงอันที่มองอยู่หัวเราะขำยกใหญ่ รู้ดีว่านี่ต้องเป็นฝีมือกลั่นแกล้งของปีศาจจิ้งจอกแน่นอน พวกมันกำลังล่อลวงใจคน แต่เฉินผิงอันก็ไม่ได้เป็นกังวลเท่าใดนัก เพราะปีศาจจิ้งจอกบนโลกใบนี้ ไม่ว่าอยู่ในทวีปใดก็ตาม ส่วนใหญ่แล้วล้วนไม่มีนิสัยหรือการกระทำที่ดุร้ายโหดเหี้ยม นับตั้งแต่โบราณกาลมาธรรมชาติของพวกมันก็ใกล้ชิดกับมนุษย์อยู่แล้ว อีกทั้งส่วนใหญ่ยังมาใกล้ชิดเพราะหวังผ่านด่านความรักเพื่อเพิ่มขอบเขตและตบะของตัวเองเท่านั้น
เฉินผิงอันจึงไม่ได้เปิดโปงโดยการบอกกล่าวให้บัณฑิตพวกนั้นเข้าใจว่า บ้านหลังใหญ่โตที่อยู่ตรงหน้าพวกเขา แท้จริงแล้วเป็นแค่หลุมศพหลุมหนึ่งเท่านั้น
เฉินผิงอันเพียงแค่เฝ้าอยู่ข้างหลุมศพเงียบเงียบ
แล้วก็จริงดังคาด วันที่สองพวกบัณฑิตก็ออกจากจวนแห่งนี้ไปได้อย่างปลอดภัย แต่ละคนเต็มไปด้วยความปลาบปลื้มยินดี รู้สึกเพียงว่านี่เป็นการพบเจอกันที่งดงามครั้งหนึ่ง ไม่เสียแรงที่เกิดมาชาตินี้
เฉินผิงอันจึงจากไปด้วยรอยยิ้ม
เดินไปหน้าอีกสามร้อยลี้เฉินผิงอันก็มาถึงแคว้นเล็กๆ แห่งหนึ่งที่มีชื่อว่าเป่ยจิ้น ตอนที่เดินผ่านเมืองแห่งนี้เจอตลาดพอดี เฉินผิงอันจึงซื้อพุทราเชื่อมเคลือบน้ำตาลมาสองไม้จริงๆ ก่อนหน้านี้ได้ยินมาว่าวัดหรูชวี่ของแคว้นเป่ยจิ้นมีชื่อเสียงอย่างมาก ในวัดมีก้อนหินขนาดใหญ่ก้อนหนึ่ง เล่าลือกันว่าเป็นหนึ่งในสถานที่ที่พระโพธิสัตว์ท่านหนึ่งบรรลุมรรคคา ถูกขนานนามว่าแท่นบงกชหิน หินยักษ์มีขนาดกว้างถึงห้าจั้ง สามารถบรรจุคนได้หลายร้อยคน และคนเพียงคนเดียวก็สามารถทำให้มันโยกคลอนได้ ไม่มีใครสามารถอธิบายต้นสายปลายเหตุของเรื่องนี้ ฮ่องเต้เป่ยจิ้นที่เสด็จมาเยือนทางทิศตะวันตกเคยได้ทดลองโยกหินด้วยตัวเองก็ให้สำราญพระทัยอย่างยิ่ง เป็นเหตุให้ชื่อเสียงของวัดหรูชวี่ยิ่งขจรขจายไปไกล
แต่พอเฉินผิงอันสอบถามคนหลายคน ทุกคนกลับบอกว่าไม่รู้ว่าต้องไปวันหรูชวี่อย่างไร เฉินผิงอันจึงนึกขึ้นมาได้ว่าตอนที่เด็กชายพูดถึงเรื่องนี้น่าจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อสองร้อยปีก่อนแล้ว เวลาสองร้อยปีในโลกมนุษย์มากพอให้หลายเรื่องราวเปลี่ยนแปลงไปแล้ว
เฉินผิงอันลังเลอยู่เล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ยังยืนหยัดไม่ย่อท้อ จนกระทั่งถามจนรู้ถึงที่ตั้งซากปรักของวัดแห่งนั้นถึงได้ยอมเลิกรา เมื่อเดินทางไปถึง รอบด้านเต็มไปด้วยพืชหญ้ารกชัฏ ไม่มีทั้งกลิ่นอายของคนแล้วก็ไม่มีทั้งกลิ่นอายของปีศาจ มีแต่ความทรุดโทรมเสื่อมสภาพ ท่ามกลางแสงสายัณห์ เฉินผิงอันเจอหินยักษ์ก้อนหนึ่งที่มองไม่ออกถึงความมหัศจรรย์ใดๆ
เฉินผิงอันกินพุทราเชื่อมเคลือบน้ำตาลสองไม้หมดก็โยนด้ามไม้ไผ่ทิ้งลงพื้น แล้วหมุนตัวจากไป
หลังจากเฉินผิงอันเดินออกจากประตูใหญ่ของวัดร้างไปแล้ว ยอดบนสุดของหินก้อนนั้นก็มีคนตัวจิ๋วโผล่หัวเล็กๆ ออกมา
มันขยับขึ้นมานั่งบนก้อนหินอย่างเงียบเชียบ
ที่แท้สาเหตุแท้จริงที่หินบงกชก้อนนี้สามารถโยกคลอนได้นั้น เป็นเพราะมันได้ให้กำเนิดคนจิ๋วดอกบัวซึ่งเป็นภูตก้อนหินตนหนึ่ง มันชอบซ่อนตัวแล้วแอบหัวเราะคิกคัก ทุกครั้งที่มีคนพยายามจะโยกก้อนหินมันก็จะรู้สึกคึกคักขึ้นมาทันใด โยกตัวไปซ้ายทีขวาทีก็หินก็โยกคลอนตามไปด้วย จึงทำให้ทุกคนเข้าใจผิด
เพียงแต่ว่ามีอยู่วันหนึ่งมันรู้สึกเบื่อแล้ว การโยกของแท่นบงกชหินจึง ‘ศักดิ์สิทธิ์บ้างไม่ศักดิ์สิทธิ์บ้าง’ สุดท้ายก็ ‘แน่นิ่งไม่ขยับดุจขุนเขา’ ที่แท้เป็นเพราะมันไปจากแท่นดอกบัวหินแล้ว มันอยากไปตามหาสหายที่อยู่ห่างไปไกล อยู่เพียงลำพังมาปีแล้วปีเล่า มันรู้สึกเหงาอย่างมาก
สุดท้ายมันก็พบเจอสหายสองคน คนหนึ่งคือภูตงู อีกคนหนึ่งคือภูตกวางแม่น้ำ คนจิ๋วดอกบัวที่มีจิตใจซื่อบริสุทธิ์ถูกพวกมันสองตนหลอกเอาแขนเล็กข้างหนึ่งที่ ‘รวบรวมขึ้นมาจากรากเมฆาและแก่นดิน’ รวมถึงใบบัวเฉิงหวง (ชื่อสัตว์ในตำนานโบราณ) หนึ่งกลีบ แต่ถึงกระนั้นมันก็ยังยืนหยัดที่จะตามหาสหายต่อไป และในที่สุดมันก็ได้เจอกับภูตดอกไม้ที่ไม่ต้องการสิ่งใดจากมัน มันจึงพานางกลับมาที่แท่นบงกชหิน เล่นสนุกด้วยกัน หยอกพวกนักท่องเที่ยวด้วยกัน ทว่าถึงท้ายที่สุดมีวันหนึ่งที่มันตื่นขึ้นมาจากการหลับไหลกลับค้นพบว่าปราณวิญญาณในแท่นบงกชหินไม่เหลืออยู่แล้ว ไม่เหลือเลยแม้สักนิดเดียว ภูตดอกไม้ก็ไม่อยู่แล้วเช่นกัน
แท่นบงกชหินที่สูญเสียความศักดิ์สิทธิ์จึงไม่มีใครให้ความสนใจอีก สุดท้ายก็ถูกละทิ้งหลงลืมไปอย่างสิ้นเชิง เหลือเพียงภูตน้อยแขนเดียวที่มักจะมานั่งอยู่ริมแท่นหิน คลอเพลงพื้นบ้านในลำคอ แกว่งเท้าเบาๆ
บางครั้งมันก็รู้สึกเสียใจ เพราะมันไม่รู้ว่าตอนนี้สหายทั้งสามคนนั้นมีชีวิตที่ดีหรือไม่
หากมีชีวิตไม่ดี เหตุใดถึงไม่มาหาตนล่ะ มันจะได้ปลอบช่วยปลอบใจพวกเขาไง
แต่หากมีชีวิตที่ดี แล้วทำไมถึงยังไม่มาหาตนอีกล่ะ มันจะได้ร่วมดีใจไปกับพวกเขา
มันไม่เข้าใจเลยจริงๆ
เจ้าตัวน้อยหันขวับกลับมาก็ค้นพบว่าคนต่างถิ่นที่สวมชุดยาวสีขาวหิมะคนนั้นนั่งอยู่อีกฝั่งหนึ่งของก้อนหิน กำลังมองพระอาทิตย์ตกดินพลางดื่มเหล้า
พอสังเกตว่าตนหันไปมอง เขาก็ส่งยิ้มมาให้มัน
ทำเอาเจ้าตัวน้อยตกใจจนรีบลุกขึ้นยืน กระโดดทิ้งตัวลงไปในก้อนหินยักษ์ทันที
เฉินผิงอันหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง แล้วกระโดดลงจากก้อนหิน ออกไปจากวัดหรูชวี่แห่งนี้จริงๆ ไม่แกล้งหยอกภูตน้อยตนนี้อีก
เจ้าตัวน้อยหลบซ่อนในก้อนหินอยู่นานถึงได้กล้าโผล่ออกมาอย่างลับๆ ล่อๆ กวาดตามองไปรอบด้านพักหนึ่ง หลังจากแน่ใจว่าคนผู้นั้นไม่อยู่แล้ว ถึงได้ขึ้นมาตรงตำแหน่งที่คนผู้นั้นนั่งเมื่อครู่ แล้วมันก็พลันเบิกตากว้างเพราะมองเห็นว่ามีเหรียญเงินที่ปราณวิญญาณโอบล้อมอยู่เหรียญหนึ่ง
ภูตบนโลกใบนี้ส่วนใหญ่ล้วนชอบเงินของเทพเซียนบนภูเขา เพราะกินพวกมันเป็นอาหาร
การที่วางเงินเกล็ดหิมะเหรียญหนึ่งเอาไว้ เฉินผิงอันทำไปเพราะคิดว่าเป็นสิ่งที่ตัวเองทำได้เท่านั้น
แต่รอจนเฉินผิงอันออกไปจากเมือง เดินพ้นไปจากถนนหลวง เพิ่งจะเข้ามาในภูเขาก็พบว่าบนทางเล็กเบื้องหน้ามีเจ้าตัวน้อยยืนน้ำตาคลออยู่ มือข้างหนึ่งของมันกำเงินเกล็ดหิมะเหรียญนั้นที่เมื่อเปรียบเทียบของกับร่างของมันแล้วนับว่าใหญ่โตกว่ามากเอาไว้แน่น สายตามองเฉินผิงอัน ดูเหมือนว่าเจ้าตัวน้อยทั้งกระวนกระวายใจแล้วก็ทั้งดีใจด้วย
เฉินผิงอันเดินเข้าไปหาช้าๆ เจ้าตัวน้อยมีนิสัยขี้ขลาดมาตั้งแต่เกิดจึงหายตัววับไปจากเส้นทาง เป็นอย่างนี้ซ้ำไปซ้ำมาอยู่หลายครั้ง จนกลายเป็นว่าเจ้าตัวน้อยเดินตามหลังเฉินผิงอันไปบนภูเขาได้เกือบหนึ่งร้อยลี้
เฉินผิงอันก็ไม่เป็นฝ่ายขยับเข้าไปใกล้มัน ปล่อยให้มันเดินตามตนมาอย่างไม่ใกล้ไม่ไกล
หนึ่งคนตัวใหญ่หนึ่งคนตัวเล็กจึงเดินทางร่วมกันไปแบบนี้
พอไปถึงป่าเก่าแก่ในภูเขาลึกที่เด็กชายพูดให้ฟังก็พบว่าหนทางอันตรายจริง ในขณะที่เฉินผิงอันกำลังจะพ้นเดินออกไปจากขอบเขตของพื้นที่แห่งนี้ได้เจอกับปีศาจน้อยตนหนึ่งที่เหมือนคลุ้มคลั่ง เสื้อผ้าที่มันสวมใส่ขาดวิ่น เดินโซซัดโซเซ ปากก็พร่ำพูดประโยคหนึ่งซ้ำไปซ้ำมาด้วยความเสียใจว่า “จิตใจเช่นนี้ จะกลายเป็นพระได้อย่างไร? จะกลายเป็นพระได้อย่างไร…”
ทำเอาเจ้าตัวน้อยตกใจจนไม่สนใจอะไรอีก รีบวิ่งปรู๊ดมาหลบอยู่ข้างเท้าเฉินผิงอันทันที
หลังจากนั้นมาเจ้าตัวน้อยก็ไม่เหลือใจระแวดระวังอีก หากไม่กระโดดโลดเต้นอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน ก็จะมานั่งอยู่บนหัวไหล่ของเขา
ภายหลังเฉินผิงอันพาสหายใหม่ที่พูดไม่ได้ตนนี้เดินผ่านแคว้นแห่งหนึ่งที่มีสงครามเกิดขึ้นไม่หยุดหย่อน หลายชีวิตต้องสิ้นล้มประดาตาย วีรบุรุษผู้กล้าถูกบีบให้ผันตัวมาเป็นโจร ยึดครองภูเขาตั้งตนเป็นราชา สร้างกองกำลังใหญ่กองหนึ่งขึ้นมา
เรื่องราวที่เฉินผิงอันได้ยินมาตลอดทางล้วนเป็นเรื่องราวของวีรบุรุษผู้กล้าที่สามสิบหกคน บอกว่าพวกเขาองอาจผึ่งผายแค่ไหน วรยุทธสูงส่งมากเสียจนดึงภูเขาชักแม่น้ำได้ แน่นอนว่าเฉินผิงอันยอมไม่เชื่อทั้งหมด แต่ก็คิดว่าหากมีโอกาสจะลองไปเยือนภูเขาแห่งนั้นเพื่อพบกับเหล่าวีรบุรุษดู ต่อให้อีกฝ่ายอาจจะไม่ยินยอมดื่มเหล้าร่วมโต๊ะกับตน แต่แค่ได้สัมผัสกลิ่นอายจอมยุทธ์ของพวกเขาอยู่ไกลๆ ก็ถือว่าเป็นเรื่องดี
ผลคือพอเฉินผิงอันไปเยือนด้วยความเลื่อมใสกลับไปเจอเข้ากับร้านเถื่อนที่เอาเนื้อมนุษย์มาทำเป็นซาลาเปา เฉินผิงอันเห็นว่าเหล่าพ่อค้าที่เดินทางมาด้วยกันหมดสติไปแล้ว จึงแสร้งทำเป็นหมดสติตามไปด้วย เขาถูกคนจับมัดมือมัดเท้าเอาไป ด้านหลังร้าน โยนไว้บนเขียงหั่นเนื้อหมูขนาดยาวและใหญ่ จากนั้นก็มีลูกจ้างร้านถือมีดเลาะกระดูกเดินหาวเข้ามาหาพวกเขา
ส่วนทางฝ่ายของเมืองที่อยู่ใกล้เคียง ในขณะที่เพชฌฆาตกำลังจะลงมือประหารโจรใหญ่คนหนึ่ง กลับมีคนหลายสิบคนบุกเข้ามาชิงตัวนักโทษ โดยเฉพาะชายฉกรรจ์ผู้หนึ่งที่มือสองข้างถือขวานคู่ที่ไล่ฟันสังหารผู้คนไปตลอดทาง เขาหัวเราะร่าด้วยความสาแก่ใจ ไม่ว่าจะเป็นพวกชาวบ้านที่มาชมเรื่องสนุกหรือพวกขุนนางล้วนถูกขวานของเขาผ่าออกเป็นสองท่อนไปหลายคน
มีชายผิวดำเกรียมร่างเตี้ยม่อต้อคนหนึ่งตวาดด่า ชายถือขวานถึงได้หยุดมืออย่างขลาดกลัว สีหน้ากระดากอาย ไม่เหลือความดุร้ายอีกแม้แต่นิดเดียว
บุรุษผิวดำคนนั้นมองชายฉกรรจ์ร่างกำยำแวบหนึ่งก็โบกมือบอกให้เขาถอยออกไป กวาดตามองรอบด้านด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า แต่ที่มากกว่านั้นคือความปลื้มปิติและความสะใจ
เมื่อครู่นี้เขาตวาดสั่งสอนชายฉกรรจ์ถือขวานคู่ไปด้วยคำพูดที่ดุดันเอาเรื่องก็จริง ทว่าสายตาที่มองแผ่นหลังของคนสนิทในเวลานี้กลับแฝงไว้ด้วยรอยยิ้ม
คนทั้งกลุ่มช่วยคนจากลานประหารได้สำเร็จจึงพากันขึ้นม้าที่เตรียมรอไว้ไม่ห่าง แล้วควบม้าออกไปจากเมืองที่โกลาหลวุ่นวายแห่งนี้อย่างรวดเร็ว
ทหารของทางการกลับไม่มีใครกล้าออกจากเมืองไล่ตามไป
รอจนคนทั้งกลุ่มพลิกตัวลงจากหลังม้าด้วยความฮึกเหิม เดินเข้าไปในร้านของตัวเองพร้อมเสียงหัวเราะดังกังวาน กลับค้นพบว่าในร้านไม่มีคู่สามีภรรยาที่คุ้นเคยอยู่แล้ว มีเพียงเด็กหนุ่มชุดขาวคนเดียว บนโต๊ะสุราเบื้องหน้าเขาวางกระบี่ยาวไว้เล่มหนึ่ง
ปราณกระบี่เข้มข้นน่าพรั่นพรึง
เวลาเพียงแค่หนึ่งก้านธูป เฉินผิงอันก็เดินออกมาจากร้าน
ในร้านที่อยู่ด้านหลังมีทั้งคนตายและมีทั้งคนเป็น คนเหล่านั้นล้วนเป็นวีรบุรุษชายชาตรีในสายตาของคนบนโลก ซึ่งบางคนก่อนจะตายก็ยังคงเปี่ยมไปด้วยมาดองอาจจริงๆ
กลับเป็นกลุ่มคนที่ยังมีชีวิตอยู่ที่ส่วนใหญ่ล้วนเงียบงัน บ้างก็เป็นฝ่ายหยุดมือด้วยตัวเองหลังจากได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย พวกเขาทั้งไม่พ่นคำพูดโอหังหยาบคาย และในดวงตาก็ไม่มีแววอาฆาตอยากแก้แค้น กลับกันคือมีเพียงความเลื่อนลอยราวกับกำลังพูดว่า ในเมื่อชีวิตเป็นอย่างนี้แล้วก็คงต้องปล่อยให้มันเป็นไป
เฉินผิงอันไม่สนใจเรื่องพวกนี้
เดินออกมาจากร้านเห็นว่าข้างทางมีม้าผูกไว้หลายตัว คิดดูแล้วเฉินผิงอันก็เดินไปจูงม้าสูงใหญ่ตัวหนึ่งมา พลิกตัวขึ้นบนหลังม้าอย่างคล่องแคล่วถึงที่สุด
แรกเริ่มยังค่อยๆ ปล่อยให้ม้าเยาะย่างไปอย่างเชื่องช้า แต่หลังจากนั้นก็กลายเป็นควบม้าห้อตะบึงไปในยุทธภพ
บทที่ 305.1 ก้มหน้ามองบ่อ เงยหน้ามองฟ้า
ProjectZyphon
เฉินผิงอันคิดไม่ถึงว่าการเดินทางในยุทธภพครั้งนี้ต้องใช้เวลานานถึงครึ่งปี หาใช่ว่าเส้นทางการตามหาอารามกวานเต๋ายาวไกลเกินไป แต่เป็นเพราะเฉินผิงอันอาศัยการชี้นำจาก ‘ปราณยาว’ ที่สะพายอยู่ด้านหลัง เดินวนไปวนมาอยู่ในนครใหญ่โตแห่งหนึ่งเป็นเวลานานถึงสามเดือนเต็ม แต่ก็ยังหาอารามกวานเต๋านั่นไม่เจอ เมื่ออยู่ในเมืองหลวงของแคว้นหนันเยวี่ยนแห่งนี้ เฉินผิงอันสอบถามทั้งคนเดินเท้า พ่อค้าแผงลอย ชาวยุทธ์ในยุทธภพ หัวหน้าหน่วยคุ้มกัน หรือแม้กระทั่งขุนนางในที่ว่าการต่างๆ ทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าไม่เคยได้ยินชื่อของอารามเต๋าแห่งนี้มาก่อน เฉินผิงอันพลิกเปิดตำราประวัติศาสตร์ อักขรานุกรมภูมิศาสตร์ และผลงานส่วนบุคคลหลากหลายชนิด แต่ก็ยังไม่มีเบาะแสใดๆ ผลเก็บเกี่ยวเดียวที่ได้รับมาก็คือเฉินผิงอันพอจะพูดภาษาทางการของแคว้นหนันเยวี่ยนได้บ้างแล้ว
แล้วก็เป็นอย่างนี้ไปตั้งแต่ปลายฤดูใบไม้ร่วงจนถึงวันที่หิมะเท่าขนห่านตกหนัก เดินไปจนถึงสายฝนโปรยปรายในฤดูใบไม้ผลิ รอจนกระทั่งหน้าร้อนมาเยือน เฉินผิงอันก็พอจะแน่ใจได้แล้วว่าทางเข้าของอารามเต๋าอยู่ที่เมืองหลวงแห่งนี้ เพียงแต่ว่ายังหาประตูเข้าไม่เจอ
ต่อให้เป็นเฉินผิงอันที่มีจิตใจหนักแน่นเด็ดเดี่ยวก็ยังเริ่มสั่นคลอนและหงุดหงิดบ้างแล้ว
ช่วงระยะเวลาระหว่างนี้เฉินผิงอันได้พบเห็นอะไรแปลกๆ มากมาย เคยเห็นชุดกระโปรงสีเขียวตัวหนึ่งล่องลอยอยู่กลางอากาศยามค่ำคืน มันเหมือนสาวงามที่กำลังร่ายระบำ ชายแขนเสื้อพลิ้วสะบัดราวสายน้ำไหล
และยังเคยเจอกับหลวงจีนที่พบเห็นได้ไม่ง่ายในแจกันสมบัติทวีป ในแคว้นหนันเยวี่ยนศาสนาพุทธได้รับความนิยมอย่างมาก ทุกสถานที่จะต้องมีวัดวาอารามตั้งอยู่ เฉินผิงอันรู้ว่าพระสงฆ์ทั้งหลายให้ความสำคัญกับเรื่องการห่มจีวร รวมไปถึงความแตกต่างมากมายระหว่างพระสงฆ์ผู้ท่องพระคัมภีร์ พระสงฆ์ผู้อธิบายพระคัมภีร์ พระสงฆ์ผู้ถ่ายทอดพระธรรมและพระผู้ปกปักษ์รักษาศาสนาพุทธ มีครั้งหนึ่งที่ออกไปผ่อนคลายอารมณ์นอกเมืองหลวง เขาได้ติดตามหลวงจีนกลุ่มหนึ่งที่ได้รับคำสั่งจากราชสำนักให้ไปเยือนสนามรบที่มีการรบราฆ่าฟันกันอย่างดุเดือดอยู่ไกลๆ เฉินผิงอันเห็นกับตาตัวเองว่าเมื่อพระสงฆ์ผู้ท่องพระคัมภีร์หลายร้อยท่านนั่งลงบนเบาะดอกบัว พวกเขาจะถอดรองเท้าหุ้มแข้งออก เปลือยเท้าเดินก้มหน้าพนมมือ ระหว่างที่เท้าทั้งสองข้างก้าวเดิน รวมไปถึงระหว่างที่ริมฝีปากขยับเปิดและปิดก็จะมีดอกบัวสีขาวหิมะหลายดอกผุดขึ้นมา พระสงฆ์ทุกรูปล้วนถือลูกประคำหนึ่งวงไว้ในฝ่ามือ หากมีผีร้ายเข้ามาก่อกวนก็จะถูกแสงสีทองที่แผ่ออกมาจากลูกประคำโจมตีให้ถอยร่นออกไป
แสงสีทองของลูกประคำสว่างเจิดจ้าส่งให้ภาพลักษณ์ของหลวงจีนยิ่งเคร่งขรึมสง่างาม แต่ละย่างก้าวล้วนมีดอกบัวผลิบาน
ชักนำให้วิญญาณที่มีแรงอาฆาตคาดท่วมเทียมฟ้าหลายหมื่นตนเดินตามพวกเขาไปยัง ‘ด่านประตูผี’ อันเป็นจุดเชื่อมโยงระหว่างโลกมนุษย์กับโลกแห่งความตาย
สุดท้ายเฉินผิงอันก็นั่งอยู่ห่างๆ สิบนิ้วพนมเข้าหากัน ก้มหน้าลงต่ำไม่พูดไม่จาเลียนแบบหลวงจีนเหล่านั้น
หลังจากกลับมาถึงเมืองหลวง เฉินผิงอันก็ยังหาอารามกวานเต๋าไม่เจอ และในขณะที่เฉินผิงอันกัดฟันเตรียมจะแอบเข้าไปยังวังหลวงนั้นเอง วันนี้พระอาทิตย์ร้อนแรงส่องแสงอยู่กลางนภา เฉินผิงอันเดินมาหยุดอยู่ข้างบ่อน้ำแห่งหนึ่ง ก้มหน้ามองลงไปเห็นว่าบ่อน้ำแห่งนี้ลึกจนมองไม่เห็นก้นบึ้ง มืดสนิทไร้แสงสว่าง
เฉินผิงอันมองอยู่ครู่หนึ่ง
เพียงแต่ว่าก็ยังมองอะไรไม่ออกอยู่ดี จึงดึงสายตากลับแล้วเตรียมจะออกไปเดินเตร่ข้างนอกอีกครั้ง
หันกลับมามองบ่อน้ำแวบหนึ่งก็รู้สึกว่าเมื่อครู่ที่ยืนอยู่ตรงนั้นคล้ายจะค่อนข้างเย็นสบายกว่า
……
หลังจากต่อสู้ไปกับไช่จิงเสินที่คนต้าสุยให้ความเคารพนับถือ ชุยตงซานก็ได้รับตำแหน่งบรรพบุรุษตระกูลไชมาฟรีๆ ใช้ชีวิตอยู่ในสำนักศึกษาซานหยาอย่างสุขสบายยิ่งบวกกับที่เนื้อหนังมังสาอันเป็นเปลือกนอกนี้ของชุยตงซานมีไฝแดงกลางหว่างคิ้ว หน้าตาหล่อเหลาท่วงท่าสง่างาม เขาจึงเป็นที่ชื่นชอบของผู้คนอย่างยิ่ง
ชุยตงซานสามารถเดินไปไหนมาไหนในสำนักศึกษาซานหยาได้ตามใจชอบ ข้างกายจะต้องมีสาวใช้คนหนึ่งนามว่าเซี่ยเซี่ยติดตามมาด้วยเสมอ วันนี้คนทั้งสองไปฟังบทเรียนวิชาหลักการในคัมภีร์ที่อาจารย์เฒ่าคนหนึ่งเป็นผู้สอน ฟังไปได้แค่ครึ่งเดียว ชุยตงซานที่เดิมทีนอนฟุบอยู่บนขอบหน้าต่างด้านนอกก็หลับไปซะแล้ว เซี่ยเซี่ยที่ยืนอยู่ข้างกายไม่กล้ารบกวนความฝันของคุณชายตัวเอง เป็นเหตุให้นักเรียนในห้องต้องพากันกลั้นยิ้มอย่างยากลำบาก อาจารย์ผู้เฒ่าคิดอยากจะหยิบไม้บรรทัดมาฟาดให้ชุยตงซานหัวโนเป็นซาลาเปา แต่พอคิดได้ว่าขนาดไช่จิงเสินก็ยังพาคนทั้งตระกูลหนีออกไปจากเมืองหลวง อาจารย์ผู้เฒ่าก็ได้แต่ข่มกลั้นความโมโหไว้ในใจ เดี๋ยวกลับไปจะต้องไปพูดกับรองเจ้าขุนเขาเหมาเสี่ยวตงสักหน่อย จะไม่อนุญาตให้ชุยตงซานเข้ามาใกล้คาบเรียนของตนอีกแล้ว
หลังจากที่สะดุ้งโหยงคล้ายตื่นจากฝันร้าย ชุยตงซานก็ลืมตาขึ้น เหม่อลอยอยู่พักใหญ่กว่าจะคืนสติ แล้วจึงเดินอาดๆ พาสาวใช้เซี่ยเซี่ยกลับไปที่พักด้วยกัน
รอจนเซี่ยเซี่ยปิดประตูบ้าน ชุยตงซานก็ถอดรองเท้าหุ้มแข้งก้าวข้ามผ่านธรณีประตู สะบัดชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง ไอหมอกก็ลอยอวลขึ้นมา สุดท้ายกลายเป็นภาพแผนที่ของแจกันสมบัติทวีป
ชุยตงซานยกมือข้างหนึ่งกอดอก อีกข้างหนึ่งบีบปลายคางของตัวเอง เขาขยับมายืนตรงต้าสุยที่อยู่เหนือสุดของแจกันสมบัติทวีป ก่อนจะไล่เส้นสายตามองไปทางทิศใต้ ข้ามผ่านแคว้นหวงถิง อาณาเขตของต้าสุยไปหยุดอยู่ที่แถบสำนักศึกษากวานหู แคว้นไช่อีและแคว้นซูสุ่ยที่อยู่ภาคกลาง สุดท้ายอยู่ๆ เขาก็นอนคว่ำลงไปบนพื้น กวาดตามองซ้ายมองขวา
เซี่ยเซี่ยนั่งพิงอยู่ตรงกรอบธรณีประตูด้านนอก แผนที่แผ่นนี้ใหญ่โตจนเกือบจะยึดครองพื้นที่ของทั้งห้อง หากนางเข้าไปต้องโดนด่าแน่นอน หรืออาจจะโดนตีด้วยซ้ำ
ชุยตงซานนอนฟุบคว่ำอยู่ตรงนั้นตลอดเวลา แต่ปากก็ถามเหมือนชวนคุยว่า “เจ้าว่าตอนนี้ในอาณาเขตของต้าสุย ในราชสำนัก ยุทธภพ บนภูเขา ล่างภูเขา มีใครกล้าด่าฮ่องเต้ว่าเป็นทรราชที่ไม่ยอมทำสงครามแต่ดันขอร้องศัตรู ยอมแบ่งพื้นที่ของแคว้นให้ศัตรูเพียงเพราะหวังความปรองดองหรือไม่?”
เซี่ยเซี่ยตอบตามสัตย์จริง “ข้าไม่รู้เรื่องราวภายนอก แต่หากเป็นในสำนักศึกษา เหล่าอาจารย์ที่ถือกำเนิดในต้าสุยส่วนใหญ่ก็แค่ขมวดคิ้วถอนหายใจ แต่กลับไม่เคยได้ยินว่ามีใครด่าทอหยาบคาย”
ชุยตงซานลุกขึ้นยืนยิ้มตาหยีกล่าวว่า “บัณฑิตมีข้อดีอยู่อย่างหนึ่ง นั่นคือไม่ด่ากษัตริย์ ด่าแค่ขุนนางกังฉิน ขันทีที่กุมอำนาจ ปีศาจจิ้งจอก พระญาติฝ่ายภรรยา ด่าฟ้าด่าดิน ด่าพ่อด่าแม่…แน่นอนว่าไม่มีเรื่องใดที่ตายตัว คนที่กล้าด่าฮ่องเต้ย่อมต้องมีอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าคนที่ด่าได้ดี ด่าถูกจุดนั้นมีน้อยมาก”
เซี่ยเซี่ยชินกับการอยู่ร่วมกับชุยตงซานแล้วจึงตอบอย่างขอไปทีว่า “คุณชายปราดเปรื่อง”
นางตอบอย่างขอไปทีจริงๆ เป็นการตอบประเภทที่ว่าไม่คิดจะเก็บอารมณ์สักนิดเดียว อย่าว่าแต่ราชครูต้าหลีที่เป็นดั่ง ‘ปีศาจด้านภาษา’ (เปรียบเปรยถึงนักประพันธ์หรือผลงานที่มีอิทธิพลต่อแนวความคิดดั้งเดิมของสังคม) ‘จิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์’ เลยขนาดคนอย่างหลี่ไหวที่ไม่สนใจอะไรก็ยังมองออกได้ในปราดเดียว
แต่ชุยตงซานกลับไม่ถือสาเรื่องนี้
ชุยตงซานยกมือสองข้างเท้าเอว อ้าปากกว้างแล้วสูดแรงๆ หนึ่งครั้ง ไอหมอกที่เป็นภาพแผนที่แผ่นนั้นก็หายพรวดเข้าไปในท้องของเขา
จากนั้นชุยตงซานก็ยกมือสองข้างขึ้นทำท่าอ้าปากกว้างกางกรงเล็บคล้ายพยัคฆ์คำราม
ทำเอาเซี่ยเซี่ยที่มองดูอยู่ถึงกับปากกระตุก
ชุยตงซานชายแขนเสื้อตัวเองพูดอย่างภาคภูมิใจว่า “สมกับคำว่ากลืนปราณหมื่นลี้ดุจดังพยัคฆ์จริงๆ ร้ายกาจๆ”
สาวใช้เซี่ยเซี่ยได้แต่เจ็บใจที่ตัวเองไม่กล้ากรอกตามองบน
นางพลันหันไปมองทางกำแพงสูงของบ้าน ไม่ว่าในราชสำนักต้าสุยจะมีกระแสคลื่นใต้น้ำไหลรุนแรงอย่างไร ทว่าภูเขาตงซานและสำนักศึกษาแห่งนี้กลับมีวันเวลาที่สันติสงบสุข
แต่บัดนี้กลับมีแสงสีทองเส้นหนึ่งพุ่งมาถึงด้านนอกเรือน
เงียบกริบและไวดุจสายฟ้าแลบ
แม้ว่าจะเล็กบางมาก ถึงขั้นบางกว่าผมสีนิลหนึ่งเส้นของหญิงสาวเซี่ยเซี่ยด้วยซ้ำ แต่เมื่อเส้นสีทองเส้นนี้ปรากฏขึ้นมาอากาศ บรรยากาศในเรือนก็เปลี่ยนจากความเย็นสบายของปลายฤดูใบไม้ร่วงเป็นร้อนมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้คนรู้สึกราวกับอยู่กลางแสงแดดแผดเผา
เซี่ยเซี่ยปากอ้าตาค้าง ปรับตัวไม่ทันเลยสักนิด
ในหัวสมองของนางว่างเปล่า แม้ว่าอุณหภูมิในบ้านจะร้อนระอุ แต่เซี่ยเซี่ยกลับรู้สึกเย็นเยียบไปทั้งตัว นางหันหน้ากลับไปมองอย่างแข็งทื่อก็เห็นเพียงว่าหว่างคิ้วของชุยตงซานถูกแสงสีทองเส้นนั้นทะลุผ่านไปพอดี เขาหงายหลังล้มตึงลงบนพื้นแล้ว
ต้องเป็นการลอบฆ่าจากเทพเซียนพระสุธาท่านหนึ่งแน่นอน!
น้ำเสียงแก่ชราที่เต็มไปด้วยความสะใจดังขึ้นมาจากที่ไกลๆ “ปีศาจที่สร้างความวุ่นวายให้แก่บ้านเมือง ตายไปก็ไม่น่าเสียดาย!”
ห่างออกไปไกลยิ่งกว่ามีเสียงของเหมาเสี่ยวตงรองเจ้าขุนเขาที่เป็นดั่งเจ้าของฟ้าดินขนาดเล็กแห่งนี้แผดเสียงคำรามอย่างเดือดดาล “บังอาจมาลอบฆ่าคนในสำนักศึกษาของข้ารึ?!”
สีหน้าเซี่ยเซี่ยอึ้งค้าง ยังคงอยู่ในท่านั่งเอนพิงกรอบประตู นางเหม่อมองเด็กหนุ่มชุดขาวที่ล้มแล้วไม่ลุกขึ้นมาอีก ตายทั้งอย่างนี้นะหรือ?
ไหล่ถูกคนตบเบาๆ เซี่ยเซี่ยพลันสะดุ้งคืนสติ ร่างกายหดเกร็ง ขณะเดียวกันกับที่หันไปก็เตรียมจะใช้หลังมือฟาดอีกฝ่าย
แต่เซี่ยเซี่ยก็ต้องรีบเก็บมืออย่างรวดเร็ว สีหน้าของนางเหมือนเห็นผีกลางวันแสกๆ
ที่แท้ชุยตงซานมายืนอยู่ตรงหน้านาง กำลังค้อมเอวมองประสานสายตากับนาง เขาหรี่ตาลงมือ หนึ่งไพล่หลัง อีกมือหนึ่งยื่นนิ้วชี้มาจิ้มบนหน้าผากของเซี่ยเซี่ยเบาๆ ผลักให้นางล้มหงายเข้าไปในห้อง แต่สิ่งที่น่ามหัศจรรย์ก็คือร่างของเซี่ยเซี่ยนอนหงายอยู่บนพื้นแล้ว ทว่าดวงวิญญาณที่ล่องลอยกลับยังอยู่ที่เดิม นางถูกชุยตงซานใช้เวทลับป่าเถื่อนบังคับให้ร่างและวิญญาณแยกออกจากกัน วิญญาณเป็นกลุ่มๆ เส้นๆ ไม่อาจทนรับการทำลายจากปราณหยางได้จึงใกล้จะแหลกสลายเต็มที่
ชุยตงซานมองประเมินดวงวิญญาณของเซี่ยเซี่ย สุดท้ายเขาก็ค้นพบความผิดปกติในช่องโพรงลมปราณบางแห่งของนาง จึงพูดยิ้มๆ ว่า “คิดจะมาเล่นไล่จับกับข้า อ่อนหัดไปหน่อยไหม?” จากนั้นเขาก็ประกบนิ้วสองข้างเป็นท่าคีบเหมือนเวลาคีบเม็ดหมาก ดึงเอาแสงสีเขียวเข้มเส้นหนึ่งออกมาจากดวงวิญญาณของเซี่ยเซี่ย แล้วบีบมันให้ระเบิดแตกอยู่ในร่องนิ้ว ร่างกายที่สูญเสียความรู้สึกเพราะจิตวิญญาณถูกอยู่ดึงไปเหมือนปลาบนเขียงที่กระตุกดีดเด้งอย่างแรง
ชุยตงซานฟาดฝ่ามือตบลงไป ‘บนใบหน้า’ ดวงวิญญาณของเซี่ยเซี่ย ด่ายิ้มๆ ว่า “นังคนมือไม่พายเอาเท้าราน้ำ ไสหัวกลับไปได้แล้ว”
ดวงจิตกลับคืนสู่ตำแหน่ง เซี่ยเซี่ยค่อยๆ ฟื้นคืนสติ นางปวดหัวจนแทบระเบิด ดิ้นรนลุกขึ้นนั่ง มือหนึ่งยันพื้น อีกมือหนึ่งกุมศีรษะ เจ็บปวดจนน้ำตาไหลอาบหน้า
ชุยตงซานก้าวยาวๆ ข้ามธรณีประตู ก้มตัวลงไปหยิบยันต์หุ่นเชิดแทนตัวที่ระดับสูงมากในห้องแผ่นนั้น ใช้นิ้วขยี้ให้เป็นเถ้าธุลี แล้วจึงหันหน้ามาพูดยิ้มๆ “เหมาเสี่ยวตง เรื่องแบบนี้เจ้าก็ทนได้หรือ?! คนอื่นเค้ามาขี้มาเยี่ยวในบ้านของเจ้าแล้ว!”
ระหว่างที่กำลังไล่สังหาร เสียงแค่นหัวเราะเย็นชาของเหมาเสี่ยวตงดังแว่วเข้ามาในเรือนหลังเล็ก “ใช่ เจ้าก็คือขี้กองนั้น!”
ชุยตงซานหัวเราะหึหึ “ข้าเดินไปเดินมาอยู่ทุกวัน ถ้าอย่างนั้นสำนักศึกษาซานหยาของพวกเราก็เป็นห้องน้ำน่ะสิ?”
เซี่ยเซี่ยไม่พูดอะไรสักคำ
ชุยตงซานก็คร้านที่จะอธิบายให้นางฟังถึงอันตรายและความลี้ลับที่ซ่อนอยู่ เขานั่งขัดสมาธิขมวดคิ้วครุ่นคิดจริงจัง
เหตุใดสำนักศึกษากวานหูถึงยอมอดทนข่มกลั้นถึงเพียงนี้
การที่กองทัพม้าเหล็กของต้าหลีเครื่อนพลลงใต้มาได้อย่างราบรื่น ไม่สอดคล้องกับการคาดการณ์ในปีนั้นของเขาอย่างยิ่ง ตามการคาดการณ์เดิม อย่างน้อยก็ต้องผ่านสงครามใหญ่ที่ยากลำบากสี่ครั้ง ครั้งหนึ่งคือรบกับราชวงศ์บนโลกมนุษย์ที่อยู่ใกล้เคียงกับภาคกลาง ครั้งหนึ่งคือแตกหักกับสำนักศึกษากวานหู อีกครั้งหนึ่งคือรบกับราชวงศ์ป๋ายซวงของทักษิณแจกันสมบัติทวีป ส่วนอีกครั้งหนึ่งก็คือรบกับกองกำลังบนภูเขาทางทิศใต้ของแจกันสมบัติทวีป
หรือว่านอกจากสำนักโม่ของต้าหลีแล้ว ในแจกันสมบัติทวีปยังมีกองกำลังอื่นที่แอบเดินทางกันเข้ามาอีกมาก?
น่าเสียดายก็แต่ตอนนี้ตนไม่ใช่ราชครูของต้าหลีแล้ว จึงไม่อาจรับรู้ข่าววงในมากมายของบนยอดเขา แม้แต่ข้อที่ว่าคนที่เล่นหมากกระดานนี้คือใคร วิธีการเล่นเป็นอย่างไร ทุกอย่างก็ล้วนอาศัยการคาดเดาเอาทั้งนั้น
จู่ๆ ชุยตงซานก็ถามขึ้นว่า “เคยคิดจะไปลงหลักปักฐานอยู่ที่หลงเฉวียนต้าหลีบ้างหรือไม่?”
เซี่ยเซี่ยส่ายหน้า “ไม่เคย”
เหมาเสี่ยวตงผู้เฒ่าร่างสูงใหญ่เดินเข้ามาในบ้าน “คือผู้ฝึกตนก่อกำเนิดที่ไม่รู้ที่มาคนหนึ่ง เขาหนีไปได้แล้ว”
ชุยตงซานไม่สนใจเลยสักนิด พูดยิ้มๆ ว่า “ครั้งนี้ก็เป็นแค่การหยั่งเชิงเท่านั้น เจ้าระวังพวกอาจารย์และลูกศิษย์ในสำนักศึกษาให้ดีเถอะ บนโลกมักจะมีคนดีที่คิดว่าตัวเองทำสิ่งที่ถูกต้องอยู่เสมอ คนเหล่านี้มักจะคิดว่าเรื่องราวทางโลกควรโคจรไปตามความคิดของพวกเขา หากสำนักศึกษาตั้งตนเป็นศัตรูกับเมืองหลวงต้าสุยขึ้นมา พันธมิตรภูเขาที่ลงนามกันไปสองครั้งระหว่างสกุลเกาและสกุลซ่งก็อาจจะถูกยกเลิกด้วยเหตุนี้ก็เป็นได้”
เหมาเสี่ยวตงขมวดคิ้ว “จะให้ปิดภูเขาจริงๆ หรือ?”
ส่วนเรื่องลอบฆ่าในวันนี้จะเป็นความคิดของภูเขาบางแห่งในต้าสุย หรือเป็นคนที่มีแค้นส่วนตัวกับ ‘ชุยฉาน’ ความต่างก็ไม่มากนัก เพราะความเป็นไปได้ที่ชุยตงซานพูดถึงไม่ใช่เรื่องที่จะเอามาล้อเล่นกันได้เลย
ชุยตงซานหัวเราะเสียงเย็น “ทำไม รู้สึกเสียหน้าอย่างนั้นหรือ?”
เหมาเสี่ยวตงที่ตัดสินใจได้แล้วหมุนตัวจากไปทันที
ชุยตงซานพูดยิ้มๆ “เหมาเสี่ยวตง ถ้าเจ้าพูดว่าตัวเองคือขี้กองหนึ่ง หากเกิดเรื่อง ข้าจะยื่นมือช่วยเหลือสำนักศึกษา”
เหมาเสี่ยวตงหันหน้ากลับมาพูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “ข้าคือขี้กองหนึ่ง”
ชุยตงซานกล่าวอย่างขุ่นเคือง “หากข้าพูดว่าตัวเองคือขี้สองกอง จะเอาคำพูดก่อนหน้านี้คืนมา จากนั้นก็นั่งดูไฟชายฝั่งอย่างสบายอารมณ์ได้หรือไม่?”
ผู้เฒ่ากระตุกมุมปากทิ้งสองคำว่า ‘ไม่ได้’ เอาไว้แล้วจากไปอย่างรวดเร็ว ชุยตงซานถอนหายใจหนึ่งที ทิ้งตัวไปด้านหลัง ร่างกระแทกพื้นดังตึง นิ้วทั้งสองข้างประกบกันวางตั้งไว้ด้านหน้า ปากก็ท่องว่า “จงรีบมารับคำสั่ง ณ บัดนี้” จากนั้นก็กลิ้งตัวเข้าไปในห้องด้วยท่านั้น
เซี่ยเซี่ยแอบปาดเหงื่อบนหน้าผากเบาๆ
ชุยตงซานหยุดการกระทำที่เหมือนเด็กลง เขานอนตัวแข็งทื่อเหมือนศพอยู่บนพื้น แต่กลับพูดด้วยภาษาที่เหมือนเด็กยิ่งกว่า “อาจารย์ เมื่อไหร่ท่านจะกลับมา ศิษย์ถูกคนรังแกแล้ว”
เซี่ยเซี่ยระอาใจอย่างยิ่ง
ชุยตงซานโงหัวขึ้นมาถามว่า “คิดว่าคุณชายของเจ้าอย่างข้ากำลังทำตัวน่าตลกใช่ไหม?”
เซี่ยเซี่ยลังเลอยู่เล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ยังพยักหน้ารับ
ชุยตงซานพลิกตัวนอนตะแคงข้าง เอามือข้างหนึ่งเท้าศีรษะ พูดกลั้วหัวเราะ “หากมีเฉินผิงอันอยู่ด้วย ไม่ว่าตบะของเขาจะสูงหรือไม่ ข้าแค่ออกแรงก็พอแล้ว ถ้าทำถูกก็ไม่โดนด่า หรือทำผิดก็แค่โดนด่า ไม่จำเป็นต้องคิดอะไรให้วุ่นวาย ส่วนเจ้าเองก็จะโดนข้าตีน้อยลง เจ้าคนแล้งน้ำใจอย่างอวี๋ลู่แค่ดูเรื่องสนุกก็พอ หลินโส่วอีก็สามารถตั้งใจฝึกตนได้อย่างเดียว หลี่ไหวเป็นเด็กขี้ขลาดก็ยิ่งมีเหตุผลให้ขี้ขลาดเข้าไปอีก เพราะถึงอย่างไรก็มีเฉินผิงอันคอยปกป้องเขา”
“เอาเป็นว่าไม่ว่าจะมีเรื่องอะไรในใจ ทุกอย่างก็ล้วนมีอาจารย์ของข้าคอยแบกรับให้”
ชุยตงซานรู้สึกขี้เกียจจึงไม่พูดอะไรอีก
เซี่ยเซี่ยรู้สึกสงสัยใคร่รู้จึงเผยท่าทางเหมือนแม่นางน้อยที่ชื่นชอบสวมชุดสีแดงออกมา
ชุยตงซานถอนหายใจหนึ่งครั้ง “คาดว่าคงมีแต่เสี่ยวเป่าผิงกระมังที่รู้สึกสงสารอาจารย์ของข้า”
ชุยตงซานร้องโอ้ยหนึ่งทีแล้วเริ่มกลิ้งตัวไปมาอีกครั้ง มือข้างหนึ่งกุมไว้ตรงหัวใจ ปากพร่ำพูดว่า “พอคิดถึงเรื่องนี้ข้าก็เจ็บปวดหัวใจจะตายอยู่แล้ว”
บทที่ 305.2 ก้มหน้ามองบ่อ เงยหน้ามองฟ้า
ProjectZyphon
หลังจากผ่านเรื่องการลอบฆ่าอันเป็นคลื่นมรสุมในช่วงระยะเวลาสั้นๆ ภายใต้การยืนกรานของเหมาเสี่ยวตงรองเจ้าขุนเขาก็ได้เริ่มมีการปิดภูเขา ไม่ว่าจะเป็นอาจารย์ นักเรียนหรือคนงานที่อยู่ด้านบนล้วนไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปข้างนอก รองเจ้ากรมพิธีการแห่งต้าสุยหรือเจ้าขุนเขาในนามค่อนข้างไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ แต่ฮ่องเต้กลับให้การสนับสนุน อวี๋ลู่กทั้งยังส่งข้ารับใช้ใกล้ชิดหลายคนให้ไปแฝงตัวอยู่บริเวณโดยรอบภูเขาตงซานอย่างลับๆ รวมถึงยังบอกให้องค์ชายเกาเซวียนมาเข้าเรียนในสำนักศึกษาอย่างเป็นทางการด้วย
วันนี้เกาเซวียนมาตกปลาข้างทะเลสาบร่วมกับเพื่อนสนิทอย่างอวี๋ลู่อีกครั้ง
เมื่อเวลาล่วงเลยผ่านไป ในที่สุดอวี๋ลู่ก็มอบความจริงใจให้แก่เกาเซวียนด้วยการบอกสองเรื่อง เรื่องหนึ่งคือสถานะของเขาที่เป็นรัชทายาทของอดีตราชวงศ์ก่อนอย่างราชวงศ์สกุลหลู อีกเรื่องหนึ่งก็คือวิถีวรยุของเขาคือขอบเขตเจ็ด
พอเกาเซวียนได้ยินเรื่องนี้ก็ร้องออกมาสองเสียง เสียงแรกคืออ้อ เสียงสองคือว้าว
ตอนนั้นดวงตาขององค์ชายต้าสุยเป็นประกายวาววับ เกิดความรู้สึกภาคภูมิใจในการเลือกคบสหายของตัวเอง
อวี๋ลู่ก็ไม่รู้สึกว่ามีอะไรที่ไม่ถูกต้อง ในเมื่อคนอื่นยื่นผลท้อให้ก็ควรจะยื่นผลหลีตอบแทน ด้านเกาเซวียนเองก็พูดถึงเรื่องราวน่าอายในตระกูลของตัวเองหลายเรื่องเช่นกัน เวลาที่อยู่กับสตรี คนโดยมากมักจะหวังให้ตัวเองดีงามพร้อมสรรพไปทุกเรื่อง แต่เมื่ออยู่กับบุรุษ คนที่ไม่สนใจข้อบกพร่องของตัวเอง ปฏิบัติต่อกันด้วยความจริงใจ ก็แสดงว่าเขาต้องมองเห็นตนเป็นสหายแล้ว
คนสองคนที่อายุเท่ากัน คนหนึ่งถือเบ็ดตกปลาไม้ไผ่เขียวหนึ่งคัน รอให้ปลามากินเบ็ดอยู่เงียบๆ เกาเซวียนถามขึ้นมาว่า “ก่อนหน้านี้เจ้าเล่าให้ฟังว่าเป่าผิงเรียกประชุมใหญ่แห่งยุทธภพไม่ใช่หรือ? ข้าเข้ามาอยู่ในสำนักศึกษานานขนาดนี้แล้ว เหตุใดถึงไม่เคยเห็นเจ้าไปเข้าร่วมอีกเลย?”
“เป่าผิงจัดประชุมอยู่สามครั้ง แต่หลังจากนั้นก็ไม่เรียกประชุมพวกผู้ชายอีก คนอื่นคิดอย่างไรข้าไม่รู้ แต่ข้ารู้สึกผิดหวังเล็กน้อย”
เกาเซวียนชี้ไปทางเส้นทางเล็กๆ บนชายฝั่งแล้วเอ่ยยิ้มๆ ว่า “หลี่ไหวอยู่ตรงนั้น”
อวี๋ลู่ไม่ได้หันหน้ากลับไปมอง
ไม่จำเป็นต้องมองก็รู้ได้ว่าหลี่ไหวต้องพาเด็กน้อยสองคนเล่นสนุกอย่างบ้าคลั่ง คนหนึ่งคือลูกหลานตระกูลยากจนที่นิสัยร่าเริงและค่อนข้างจะเกเรเล็กน้อย อีกคนหนึ่งคือคุณชายที่เป็นหลานของตระกูลขุนนางซึ่งสืบทอดอำนาจกันมาหลายรุ่นหลายสมัย แต่กลับมีนิสัยขี้ขลาดเก็บตัว ไม่รู้ว่าคนทั้งสามมาจับกลุ่มอยู่ด้วยกันได้อย่างไร ทุกวันตัวติดกันไม่ห่าง ว่ากันว่าภายใต้ข้อเสนอของเด็กบ้านยากจนคนนั้น เจ้าตัวน้อยทั้งสามยังตัดหัวไก่เผากระดาษเหลือง กราบไหว้กันเป็นพี่น้องอีกด้วย คำว่าหัวไก่ที่พูดถึงนี้ เอาเข้าจริงก็เป็นแค่นกกระจิบที่ไปจับมาจากบนต้นไม้ ส่วนกระดาษเหลืองก็คือหน้าหนังสือที่แอบฉีกมาจากตำราในหอเก็บหนังสือ หลังจากเรื่องแดงขึ้นมา คนทั้งสามยังถูกอาจารย์ที่สอนตีจนก้นลาย
คนทั้งสามที่อยู่ริมทะเลสาบใช้กิ่งไม้ในมือแทนดาบและกระบี่ เจ้าฟาดมาข้าฟาดกลับ วิ่งตะบึงผ่านไป แน่นอนว่าหลี่ไหวต้องเห็นอวี๋ลู่ที่นั่งตกปลาอยู่ริมชายฝั่งอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าหลังจากลังเลอยู่ชั่วขณะ เขาก็ยังไม่เอ่ยทักทายอวี๋ลู่
หากเป็นหลินโส่วอี บางทีหลี่ไหวอาจจะมาคุยด้วยคำสองคำ แต่สำหรับอวี๋ลู่และเซี่ยเซี่ยแล้ว หลี่ไหวไม่ค่อยสนิทสนมด้วยนัก
ปีนั้นในกลุ่มคนที่เดินทางไกลมาต้าสุยเพื่อขอเรียนต่อ หลี่ไหวกับหลี่เป่าผิงและหลินโส่วอีเป็นทั้งเพื่อนร่วมห้องเรียน และยังเป็นคนบ้านเกิดเดียวกัน ความสัมพันธ์จึงสนิทสนมมากกว่าอวี๋ลู่และเซี่ยเซี่ย
ทุกวันนี้หลินโส่วอีไม่ค่อยไปที่หอเก็บหนังสือแล้ว ทุกวันนอกจากจะไปเรียน เวลามากกว่านั้นใช้หมดไปกับการฝึกตนในเรือนหลังเล็กที่ได้อยู่แยกเพียงลำพัง เรือนหลังนี้อาจารย์ผู้เฒ่าคนหนึ่งที่มีชื่อเสียงด้านคุณธรรมช่วยขอกับทางสำนักศึกษามาให้เขา ผู้เฒ่าเองก็เป็นผู้ฝึกตนเช่นกัน เขายินดีที่จะให้ความช่วยเหลือหลินโส่วอี ไม่เพียงแต่ช่วยอธิบายความลี้ลับหลายอย่างในตำรา ‘เหนือเมฆพร่างพราว’ ที่หลินโส่วอีนำติดตัวมาด้วย ยังเอาตำราลับตระกูลเซียนหลายเล่มที่ตระกูลของตนเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดีมาให้ที่เรือนเล็ก ให้หลินโส่วอีได้เปิดอ่านตามใจต้องการ หากอาจารย์ผู้เฒ่ามีเวลาว่างก็จะมาช่วยไขข้อข้องใจให้กับหลินโส่วอีที่เรือนเล็ก
หนึ่งคนแก่หนึ่งเด็กหนุ่มที่ไม่ได้เรียกขานกันเป็นอาจารย์และศิษย์ แต่กลับมีพฤติกรรมเหมือนอาจารย์และศิษย์กันจริงๆ
นอกจากจะศึกษาหลักการในคัมภีร์และตำราต่างๆ ที่น่าเบื่อหน่ายแล้ว ความคิดส่วนใหญ่ของหลินโส่วอีก็ล้วนอยู่ที่การฝึกตน
จิตใจมุ่งมั่นอยู่กับมรรคา
……
ฤดูใบไม้ร่วงอากาศหนาวเย็น ในสำนักศึกษามีแม่นางน้อยอยู่คนหนึ่งที่แค่เปลี่ยนจากชุดกระโปรงสีแดงบางๆ มาเป็นชุดที่หนาขึ้นอีกนิด ส่วนชุดผ้าฝ้ายบุนวมนั้น ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาเอามาใช้
นางยังคงมานั่งเหม่ออยู่บนต้นไม้สูงยอดภูเขาเพียงลำพังเป็นประจำ หรือไม่บางครั้งก็เอาขนมจุบจิบมากินแก้หิว บางครั้งเวลาที่เรียนวิชาซับซ้อน นางก็จะเอาหนังสือมานั่งท่องอยู่บนกิ่งไม้ เพื่อที่ว่าวันถัดไปจะได้ไม่ต้องถูกอาจารย์ลงโทษให้คัดตัวหนังสือ ยังดีที่ทุกครั้งพอนางมีเวลาว่างเมื่อไหร่ก็มักจะคัดบทความที่อาจารย์ต้องลงโทษให้คัดไว้ล่วงหน้าก่อนแล้ว ตอนนี้ที่ห้องพักก็มีวางเรียงกันอย่างเป็นระเบียบไว้หลายปึก สะสมไว้ได้มากแล้ว
ดังนั้นนางที่อยู่ในสำนักศึกษาจึงมีฉายาว่า ‘แม่นางคัดตำรา’
วันนี้หลี่เป่าผิงนั่งแกว่งขาอยู่บนกิ่งไม้ นับนิ้วมือคำนวณอย่างตั้งใจว่าตัวเองจากลากับอาจารย์อาน้อยมานานแค่ไหนแล้ว
นานขนาดนี้แล้ว ทำไมอาจารย์อาน้อยถึงยังไม่มาซักที?
สายตาของหลี่เป่าผิงหม่นแสงลงเล็กน้อย
ฮ่าๆ ในเมื่อผ่านไปนานขนาดนี้แล้ว ก็หมายความว่าขยับเข้าไปใกล้การได้พบเจอกันในครั้งหน้าแล้วใช่หรือไม่?
หลี่เป่าผิงอารมณ์ดีขึ้นมาอีกครั้ง
ดังนั้นแม่นางน้อยชุดแดงจึงลุกขึ้นยืน กระโดดอยู่บนกิ่งไม้ พยายามให้ตัวเองมองไปได้ไกลๆ ไม่แน่ว่าโดยไม่ทันรู้ตัว อาจารย์อาน้อยอาจจะมาอยู่ที่ตีนเขาแล้วก็ได้
เสียงตุ้บดังขึ้น
หลี่เป่าผิงร่วงลงไปบนพื้นแล้ว ใบหน้ามอมแมมเนื้อตัวเต็มไปด้วยฝุ่น
ยังดีที่มีประสบการณ์มาอย่างโชกโชน รู้ดีว่าควรทำอย่างไรตนเองถึงจะตกลงมาไม่เจ็บ สุดท้ายหลี่เป่าผิงก็ไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่ร้าวระบมบวมช้ำไปทั้งตัวเป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้อยู่แล้ว
แม่นางน้อยที่แสยะปากแยกเขี้ยวรีบหันไปมองรอบด้าน เมื่อเห็นว่าไม่มีใครได้เห็นสภาพน่าอายของตนถึงได้เดินกะเผลกลงเขาไป
ตลอดทางมีคนไม่น้อยเป็นฝ่ายเอ่ยทักทายนางก่อน หลี่เป่าผิงก็ตอบรับไปทีละคน
กลับมาถึงหอพัก เพราะอยู่ว่างไม่มีอะไรทำ จึงเริ่มคัดตำราอีกครั้ง หลี่เป่าผิงชำเลืองตามองไปยังสมบัติที่อยู่บนโต๊ะของตนแล้วยิ้มกว้างสดใส หึหึ คราวหน้าถ้าอาจารย์อาน้อยมาที่เมืองหลวงต้าสุย นางก็จะโดดเรียนได้สิบวัน หลังจบเรื่องหากอาจารย์มาคิดบัญชีด้วย นางก็จะยกภูเขาหนังสือลูกนี้ไปให้เขา
หลี่เป่าผิงยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองฉลาด มือหนึ่งจับพู่กันคัดหนังสืออย่างคุ้นเคย อีกมือหนึ่งชูนิ้วโป้ง ตาสองข้างเป็นประกาย จุ๊ปาก “พูดไม่เสียแรงที่เป็นผู้นำแห่งยุทธภพ เผด็จการน่าเกรงขามจริงๆ”
……
บนภูเขาลั่วพั่วเขตการปกครองหลงเฉวียน หลังจากได้รับจดหมายฉบับหนึ่ง เด็กชายชุดเขียวที่น้อยครั้งนักจะออกไปข้างนอกก็ไปที่เมืองเล็กเพื่อตอบจดหมายกลับด้วยความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม จากนั้นก็ไปตามหาเว่ยป้อที่ตำหนักขุนเขาเหนือแห่งต้าหลีบนภูเขาพีอวิ๋นอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน
แต่พอกลับมาที่เรือนไม้ไผ่ เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูสังเกตเห็นว่าเขาดูไม่ค่อยร่าเริงนัก แม้จะไม่รู้ว่าเขาต้องการทำอะไร แต่ก็พอรู้ว่าเรื่องนั้นคงจะไม่ค่อยราบรื่นสักเท่าไหร่
เด็กชายชุดเขียวไม่อยากเล่าให้นางฟัง เขาแค่ทอดถอนใจอยู่กับตัวเองริมหน้าผา แต่ไม่นานก็กลับมาฮึกเหิมกระปรี้กระเป่า เขาลงจากเขาไปที่เมืองเล็กอีกครั้ง แม้แต่ที่ว่าการอำเภอและจวนผู้ตรวจการงานเตาเผาก็ยังแข็งใจแบกหน้าไปเยือน แต่ว่าตอนที่กลับมากลับมีท่าทางอ่อนระโหยโรยแรงเหมือนเดิม ผ่านไปอีกสองวันก็ไปหาเจ้าเมืองอู๋ที่ที่ว่าการหลงเฉวียนซึ่งสร้างขึ้นใหม่นอกภูเขาใหญ่ทางทิศเหนือ
เด็กชายชุดเขียวยุ่งจนหัวหมุนอยู่หลายวัน ทำเอาเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูที่มองดูอยู่มึนงงไปหมด
แม้ว่าปกติเขาจะไม่ใช่คนที่เอาการเอางานอะไร แต่นางรู้ดีว่าเขาเป็นคนหยิ่งในศักดิ์ศรีตัวเองแค่ไหน อย่างเขาน่ะต้องเรียกว่าสายตามองสูงจนไม่เห็นหัวใคร เวลาปกติแม้แต่กับเว่ยป้อเองเขาก็ยังไม่ถูกชะตา อย่าเห็นว่าทุกครั้งเวลาเจอกับเทพภูเขาใหญ่เว่ย เขาจะคอยเลียแข้งเลียขาอยู่ตลอดเวลา เพราะพอประจบเสร็จแล้วหันหน้ากลับเมื่อไหร่เป็นต้องถมน้ำลายทิ้ง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงนายอำเภอหยวน ผู้ตรวจการเฉาหรือเจ้าเมืองอู๋อะไรเลย
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูอดไม่ไหวจึงถามไปหนึ่งคำ เขาก็พูดแค่ว่าเด็กน้อยอย่างเจ้าจะเข้าใจกะผีอะไร จากนั้นก็ยกเก้าอี้ไม้ไผ่ไปนั่งอยู่ตรงริมหน้าผาเพียงลำพัง
ในที่สุดมีวันหนึ่งเด็กชายชุดเขียวก็กลับมาเดินอาดๆ อย่างมาดมั่นอีกครั้ง
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูกลัวเขาจะรังเกียจที่ตัวเองถามมากน่ารำคาญ จึงอดใจไว้ไม่เอ่ยถามอะไร แต่คราวนี้เด็กชายชุดเขียวอารมณ์ดีมากเป็นพิเศษ เป็นฝ่ายไปยกเก้าอี้ไม้ไผ่สองตัวมาไว้ใต้ชายคาด้วยตัวเอง นั่งไขว่ห้างแทะเมล็ดแตง เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูคิดในใจว่าสมองเขาคงไม่ได้ถูกกระทบกระเทือนจนโง่ไปแล้วกระมัง?
เด็กชายชุดเขียวพูดด้วยรอยยิ้มฮึกเหิมว่า “เรื่องที่พี่เทพวารีไหว้วานให้ข้าทำ ข้าทำสำเร็จแล้ว! ส่งจดหมายไปให้ที่ศาลเทพแม่น้ำแคว้นหวงถิงแล้ว”
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูอึ้งตะลึง “เทพแม่น้ำอวี้เจียงผู้นั้นต้องการให้เจ้าช่วยเรื่องอะไร?”
เด็กชายชุดเขียวยิ้มกว้าง “ก็ตอนนี้แคว้นหวงถิงเปลี่ยนเป็นแคว้นในอาณัติของต้าหลีแล้วใช่ไหมล่ะ พี่เทพแม่น้ำได้ยินว่าข้าอยู่ในต้าหลีมีชีวิตสุขสบายเจริญรุ่งเรือง เลยอยากจะขอให้ข้าช่วยเขาหาเส้นสาย นอกจากจะรับประกันว่าศาลเทพแม่น้ำของเขาจะไม่ถูกรื้อทิ้ง แล้วทางที่ดีที่สุดคือขอให้ต้าหลีมอบป้ายสงบสุขปลอดภัยให้แก่เขาหนึ่งแผ่น เรื่องเล็กน้อยแค่นี้จะนับเป็นอะไรบ้าง นี่ข้าก็ทำสำเร็จแล้วไม่ใช่หรือ?!”
ที่แท้เทพวารีของแม่น้ำอวี้เจียงผู้นั้นก็ส่งจดหมายมาขอให้เขาช่วย ตอนนั้นเด็กชายชุดเขียวรับรองเป็นมั่นเป็นเหมาะ เขียนบอกไปในจดหมายด้วยความมั่นใจว่าขอไห้พี่เทพวารีวางใจ เรื่องเล็กน้อยเพียงเท่านี้ ไม่มีค่าพอให้พูดถึง แค่รอฟังข่าวดีจากเขาก็พอ
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูนินทาในใจว่า เรื่องเล็ก? แล้วที่ก่อนหน้านี้เจ้างุ่นง่านใจ ทำท่าทางน่าสงสารตั้งแต่เช้าจรดเย็นล่ะนับเป็นอะไร?
อีกอย่างเจ้ากล้าพูดได้อย่างไรว่าตัวเองมีชีวิตเจริญรุ่งเรืองอยู่ในหลงเฉวียนแห่งนี้? เพราะแม้แต่การตั้งใจฝึกตนของเจ้าก็ยังทำเพียงแค่เพื่อไม่ให้ถูกคนอื่นต่อยตายด้วยสองหมัดเท่านั้น
คาดว่าทุกครั้งที่ปลุกความกล้าลงไปจากภูเขาคงอกสั่นขวัญแขวนมากเลยกระมัง
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูถามเบาๆ ว่า “เทพภูเขาเว่ยป้อเป็นคนจัดการปัญหาเรื่องนี้ให้เจ้าหรือ?”
เด็กชายชุดเขียวหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย รอยยิ้มค่อนข้างจะฝืนใจ แต่ก็แสร้งพูดอย่างมาดมั่นว่า “นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว ข้ากับเว่ยป้อมีความสัมพันธ์กันอย่างไร? สนิทกันถึงขนาดนี้แล้ว ทุกวันเรียกกันเป็นพี่เป็นน้อง แค่ช่วยเหลือกันเล็กๆ น้อยๆ แค่นี้เว่ยป้อหรือจะกล้าพูดคำว่าไม่ ครั้งแรกที่ขึ้นไปเยือนตำหนักขุนเขาเหนือบนภูเขาพีอวิ๋นเป็นเพราะเหล่าเว่ยมีธุระต้องออกไปทำด้านนอก เจ้าไม่รู้อะไร เทพองค์อื่นในตำหนักบนภูเขาที่เป็นผู้ช่วยของเขาต่างก็เกรงใจข้ามาก ยกอาหารโต๊ะใหญ่มาเลี้ยงรับรองข้า ข้าบอกว่าไม่ต้อง พวกเขาก็ยังรั้งไม่ให้ข้าลงจากภูเขา เฮ้อ น่ากลุ้มใจจริงๆ …”
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูไม่ได้พูดอะไร
นางก็แค่ไม่อยากเปิดโปงคำคุยโวของเขาเท่านั้น เพราะรู้ดีว่าเขาเป็นคนรักหน้าตาเสียยิ่งกว่าอะไร
เด็กชายชุดเขียวคุยโม้น้ำลายแตกฟอง หน้าบานเป็นกระด้ง เพียงแต่ว่าพูดมาถึงท้ายที่สุดกลับห่อเหี่ยวไม่สดชื่นเหมือนเก่า จากนั้นก็ไม่พูดอะไรอีก เพียงแทะเมล็ดแตงไปเงียบๆ
การพบกันครั้งที่สองเว่ยป้อตอบรับแล้วก็จริง เขาบอกว่าจะใช้สถานะขององค์เทพขุนเขาเหนือไปเปิดปากพูดกับราชสำนักต้าหลี ช่วยขอยันต์คุ้มกันกายสองแผ่นมาให้สหายเทพวารีแห่งแม่น้ำอวี้เจียงของเขา
เพียงแต่ว่าเขาต้องจ่ายค่าตอบแทนเล็กน้อยเป็นการแลกเปลี่ยน
หินดีงูชั้นเยี่ยมก้อนหนึ่งที่เฉินผิงอันให้เขา
เด็กชายชุดเขียวเสียดายมาก แต่ไม่เสียใจ
แล้วจู่ๆ เขาก็หัวเราะขึ้นมา ยื่นนิ้วชี้ไปทางทิศใต้พูดว่า “เด็กโง่ วันหน้าเมื่อไปถึงแม่น้ำอวี้เจียง ข้าจะพาเจ้าไปที่จวนของสหายเทพวารี ดื่มเหล้าถ้วยใหญ่กินเนื้อชิ้นโต สอนให้เจ้ารู้ว่าข้าเป็นที่ชื่นชอบของผู้คนที่นั่นมากขนาดไหน ขอแค่ข้าพาเจ้าไปด้วย ทุกคนก็จะต้องให้ความเคารพเจ้า”
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูไม่ได้เอ่ยอะไร
เพียงแต่พอนางเหลือบไปเห็นสีหน้าเบิกบานมีชีวิตชีวาของเขาโดยไม่ตั้งใจ ก็อดไม่ได้จึงพูดเบาๆ ว่า “ตกลง จำไว้ว่าไม่ต้องเอาปลาตัวใหญ่เนื้อชิ้นโตหรอก ข้าแค่กินอาหารหายากบนภูเขาตามฤดูกาลก็พอแล้ว”
เด็กชายชุดเขียวหัวเราะร่าเสียงดัง “เรื่องนี้จะไปยากอะไร ข้าแค่พูดคำเดียวก็ได้แล้ว”
จากนั้นคนทั้งสองก็เงียบไป
จู่ๆ เขาก็พูดขึ้นมาว่า “หากนายท่านอยู่บนภูเขาด้วย ข้าก็คงวิ่งไปวิ่งมาน้อยลง ใช่ไหม?”
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูอืมรับเบาๆ หนึ่งที
……
ภูเขาใหญ่ทางฝั่งทิศตะวันตก กิจการร้านเกี๊ยวน้ำของต่งสุ่ยจิ่งยิ่งนานก็ยิ่งขายดี ผู้มีจิตศรัทธาชายหญิงที่มาจุดธูปกราบไหว้เทพภูเขาต่างก็ชอบมากินเกี๊ยวน้ำที่นี่หนึ่งถ้วยเพื่อให้อิ่มท้อง ได้ประโยชน์ทั้งคนซื้อและคนขาย ทว่ากิจการใหญ่ขึ้นแล้ว ร้านกลับยังเล็กเกินไป ดังนั้นต่งสุ่ยจิงจึงสร้างร้านขึ้นมาหนึ่งร้าน เมื่อเป็นเช่นนี้ต่อให้เป็นวันที่อากาศเลวร้ายฝนตกลมพัดก็ยังให้ลูกค้าเข้ามากินอาหารและรอให้ฝนหยุดตกไปพลางได้ อีกทั้งเด็กหนุ่มคนนี้ยังเป็นคนพูดง่าย ต่อให้ไม่ควักเงินซื้อเกี๊ยวน้ำ แค่เข้ามาในร้านหวังพักเท้า ก็ไม่เพียงแต่ไม่ไล่คนกลับ แถมยังบอกให้ลูกจ้างร้านสองคนที่เพิ่งจ้างมาใหม่นำชาร้อนกรุ่นมาให้ดื่มด้วยหนึ่งถ้วย
ค่าใช้จ่ายในร้านค่อนข้างมาก แต่ราคาเกี๊ยวน้ำทุกชามกลับไม่เคยเพิ่มราคา และรสชาติก็ไม่เปลี่ยนแปลง
เป็นเหตุให้ขุนนางท้องที่ตำแหน่งใหญ่โตในเขตการปกครองหลงเฉวียนหลายคนต่างก็มาเยือนเพราะข่าวที่เล่าลือกันไป อย่างเจ้าเมืองอู๋ยวนที่หมวกขุนนางใหญ่ที่สุดที่พอได้มากินเกี๊ยวน้ำส่งกลิ่นหอมโชยเข้าจมูกแล้วก็ยังชื่นชมไม่ขาดปาก
ยามสนธยาของวันนี้ ในขณะที่ร้านกำลังจะปิดกิจการ หลังจากบอกให้ลูกจ้างหลายคนรับรองลูกค้าไม่กี่โต๊ะที่บางตา ต่งสุ่ยจิงจึงมีเวลาอู้งานอย่างที่หาได้ยาก เหน็ตเหนื่อยมาทั้งวัน ใช้แรงกายจนหมดสิ้น จึงมานั่งที่หน้าประตูร้าน ยกถ้วยชาขึ้นดื่มช้าๆ
ต่งสุ่ยจิงพลันลุกขึ้นยืน รีบดื่มชาที่เหลือให้หมดแล้วก้าวเร็วๆ ออกไป คนกลุ่มหนึ่งที่ลงมาจากภูเขา ในกลุ่มนี้มีใบหน้าหนึ่งที่เขาคุ้นเคย นางน่าจะติดตามผู้ใหญ่ในครอบครัวขึ้นเขามาจุดธูป เพิ่งลงมาจากภูเขาเวลานี้ ดูจากสีท้องฟ้าที่เย็นเต็มทีแล้ว คาดว่าคืนนี้น่าจะพักนอนอยู่ในเขตปกครองหลงเฉวียน
ส่งยิ้มทักทายเรียกผู้ใหญ่ที่มีอายุหลายคนว่าท่านลุงท่านน้าท่านอาท่านป้า จากนั้นก็มองไปยังเด็กผู้หญิงที่ตัวสูงขึ้นมาเล็กน้อยแล้วถามว่า “สือชุนเจีย เจ้ากลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่?”
ตอนนี้แม่นางน้อยไม่ได้มัดผมแกละอีกแล้ว
บทที่ 305.3 ก้มหน้ามองบ่อ เงยหน้ามองฟ้า
ProjectZyphon
ตอนนั้นสือชุนเจียติดตามพวกหลี่เป่าผิง ต่งสุ่ยจิงเดินทางไกลไปขอศึกษาต่อซึ่งระหว่างทางเจอเรื่องน่าอกสั่นขวัญผวาในช่วงระยะเวลาสั้นๆ พอกลับมาถึงเมืองเล็ก เด็กเหล่านี้ก็แบ่งออกเป็นสามกลุ่ม ต่างคนต่างแยกย้ายกันไป ต่างคนต่างมีทางเลือกเป็นของตัวเอง
หลี่เป่าผิง หลี่ไหวและหลินโส่วอีติดตามเฉินผิงอันเดินทางไปขอเรียนต่อที่ต้าสุย ต่งสุ่ยจิ่งอยู่ต่อในเมืองเล็ก เคยเข้าเรียนที่โรงเรียนอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่ง แต่ไม่นานก็ออกจากโรงเรียน บ้านบรรพบุรุษสองหลังในเมืองเล็ก เก็บไว้หนึ่งหลังขายออกไปหนึ่งหลัง ไม่เพียงแต่ซื้อบ้านหลังใหญ่โตไว้ครึ่งถนนที่เขตการปกครอง เงินที่เหลือยังเอามาทำทุนสร้างกิจการเป็นของตัวเอง มีเพียงสือชุนเจียที่ทางครอบครัวขายร้านที่สืบทอดต่อกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษในตรอกฉีหลง ติดตามครอบครัวย้ายไปอยู่ที่เมืองหลวงต้าหลี ไม่รู้ว่าครั้งนี้กลับมาบ้านเกิดเพื่อกราบไหว้บรรพบุรุษหรือเพื่ออะไร
พ่อแม่ของสือชุนเจียแค่เคยได้ยินชื่อของต่งสุ่ยจิง แต่กลับไม่เคยเห็นหน้าค่าตากันมาก่อน เห็นว่าบุตรสาวมีท่าทางอาลัยอาวรณ์จึงบอกว่าจะขอพักกินเกี๊ยวก่อนสักชามสองชาม ต่งสุ่ยจิ่งเข้าครัวทำด้วยตัวเอง หลังจากเอามาส่งที่โต๊ะให้ด้วยตัวเองแล้วก็พูดคุยกับพวกเขาสองสามคำ ก่อนจะกลับไปอยู่ด้านหลังโต๊ะคิดเงิน สือชุนเจียกินแบบขอไปทีเสร็จแล้วก็วิ่งไปหาต่งสุ่ยจิ่ง ถามเสียงเบาว่ามีข่าวของเป่าผิงหรือไม่ ต่งสุ่ยจิ่งจึงได้แต่เล่าเรื่องบางอย่างที่เฉินผิงอันเคยเล่าให้ฟังซ้ำอีกรอบ สือชุนเจียเงี่ยหูตั้งใจฟัง ไม่ยอมให้ตกหล่นแม้แต่คำเดียว
ต่งสุ่ยจิ่งกวาดตามองไปรอบด้าน เห็นว่าทางฝั่งนั้นกินเกี๊ยวกันใกล้จะหมดแล้วจึงถามเหมือนไม่ใส่ใจว่า “กลับมาครั้งนี้จะอยู่เลยหรือไม่?”
สือชุนเจียพยักหน้ารับ “ได้ยินว่าโรงเรียนที่มาเปิดใหม่เป็นของสกุลเฉินหลงเหว่ย ท่านปู่ของข้าจึงบอกให้ท่านพ่อท่านแม่ข้ากลับมา แม้ว่าจะขายร้านไปแล้ว แต่บ้านบรรพบุรุษก็ยังอยู่ มีที่ให้อยู่อาศัย”
ต่งสุ่ยจิ่งพยักหน้ารับ
สุดท้ายเขาก็ยังเก็บเงินคนในครอบครัวของสือชุนเจีย เพียงแต่ว่าเมื่อเทียบกับเวลาปกติแล้ว ราคาเกี๊ยวทุกชามเก็บน้อยลงหลายเหรียญทองแดง
สือชุนเจียเป็นเด็กที่นิสัยตรงไปตรงมา เห็นว่าต่งสุ่ยจิ่งยังกล้าเก็บเงิน นางจึงถลึงตาใส่สหายร่วมชั้นเรียนที่มีแต่เงินอยู่ในสายตาผู้นี้
ต่งสุ่ยจิ่งยิ้มบางๆ ไม่ได้ถือสา
มองส่งพวกเขาจากไป รู้ว่าวันหน้าโอกาสที่จะได้เจอกันยังมีอีกมาก
ทำการค้า คนสนิทมาเข้าร้าน จะหลอกเอาเงินคนสนิทไม่ได้เด็ดขาด แต่จะไม่เก็บเงินก็ไม่ได้ ไม่ได้กำไรและไม่ขาดทุนคือการเลือกที่ดีที่สุด
หาไม่แล้วยิ่งทำการค้าก็จะยิ่งไม่มีเพื่อน
เจ้าขาดทุนครั้งแล้วครั้งเล่า คนผู้นั้นยังชอบมาที่ร้านเป็นประจำ แสดงว่าอีกฝ่ายไม่ได้เห็นเจ้าเป็นเพื่อน
เจ้าได้กำไรมากกว่าปกติในทุกๆ ครั้ง นั่นก็ยิ่งแสดงให้เห็นว่า เจ้าไม่เคยเห็นคนผู้นั้นเป็นเพื่อน หากเป็นอย่างนี้ก็อาจจะไม่ต้องคิดอะไรให้ปวดหัว
แต่หากเป็นอย่างแรกย่อมต้องทุกข์ใจตาย
เมื่อแน่ใจว่าจะไม่มีลูกค้ามาแล้ว ลูกจ้างร้านสองคนเหนื่อยจนกระดูกแทบหลุด ต่งสุ่ยจิ่งจึงทำเกี๊ยวน้ำชามโตสองชามให้พวกเขา เห็นพวกเขาสวาปามกินอย่างหิวโหย ต่งสุ่ยจิ่งก็หันมองไปยังสีท้องฟ้านอกร้าน จากนั้นก็เห็นบุรุษผู้หนึ่งที่พาดกระบี่ยาววางขวางไว้ด้านหลังเดินข้ามธรณีประตูเข้ามา
จอมยุทธ์สำนักโม่ที่มีชื่อว่าสวี่รั่วเพิ่งเดินทางจากนครมังกรเฒ่ากลับมาถึงท่าเรือเขตการปกครองหลงเฉวียนก็ตรงมาที่นี่ทันที เขาถามเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ด้วยรอยยิ้มว่า “ข่าวคราวเกี่ยวกับนาง ข้าละเมิดกฎบอกเจ้าไปแล้ว ถ้าอย่างนั้นตอนนี้เจ้าตัดสินใจได้แล้วหรือยัง?”
ต่งสุ่ยจิ่งพยักหน้า
ในเมื่อนางได้เป็นคนในกลุ่มของเทพเซียนแล้ว ตนก็ไม่ควรใช้ชีวิตแบบนี้ต่อไป
เป็นคนเชื่อดาบอะไรนั่นก็จะมีชีวิตอยู่ได้หลายสิบปี หรืออาจหลายร้อยปี
ไม่ว่าสุดท้ายตนจะสามารถครองคู่อยู่กับแม่นางคนนั้นได้หรือไม่ แต่การที่ได้เห็นนางมากหน่อยก็ถือว่าดี
……
ทะเลสาบเจี่ยนซูมีมารน้อยแซ่กู้คนหนึ่งปรากฎตัว
ชื่อว่ากู้ช่าน คือลูกศิษย์คนสุดท้ายของสกัดคงคาเจินจวินแห่งเกาะชิงเสีย เขาถึงกับสามารถบังคับเจียวหลงตัวหนึ่งที่มีศักยภาพแท้จริงเทียบเคียงได้กับโอสถทองขั้นสูงสุด ศึกนองเลือดภายในฝ่ายของตัวเองก่อนหน้านี้ เจียวหลงตัวนั้นสังหารผู้คนศพเกลื่อนไปทั่วเกาะชิงเสีย ที่น่าประหลาดยิ่งกว่านั้นก็คือหลิวจื้อเม่าไม่ได้ขัดขวาง ต่อให้ลูกศิษย์ใหญ่จะถูกสัตว์เดรัจฉานตัวนั้นกัดกินจนตายก็ยังไม่ยอมปรากฎตัว
หากหยุดไว้แต่เพียงเท่านี้ ชื่อเสียงดุร้ายที่เลื่องลือของมารน้อยกู้ก็คงไม่ถึงขั้นแพร่สะพัดไปทั่วทะเลสาบเจี่ยนหูที่มีน่านน้ำกว้างขวางที่สุดในแจกันสมบัติทวีป สาเหตุก็เพราะหลังจากนั้นมา บนคลื่นสีมรกตของทะเลสาบเจี่ยนหูมักจะปรากฎภาพเด็กน้อยคนหนึ่งที่มองดูเหมือนบริสุทธิ์ไร้เดียงสาเดินเล่นเตร็ดเตร่ไปทั่ว แรกเริ่มยังมีผู้ฝึกลมปราณเข้าใจผิดคิดว่าเด็กชายใช้เวทลับบังคับน้ำหรือเวทลับหลบเลี่ยงน้ำ ถึงสามารถเดินอย่างสบายอารมณ์อยู่บนผิวน้ำทะเลสาบได้โดยที่เท้าสองข้างไม่ขยับ
โดยทั่วไปแล้วน้ำบ่อจะไม่ยุ่งกับน้ำคลอง
แต่มีอยู่ครั้งหนึ่งเขาสร้างหายนะใหญ่เทียมฟ้า ผู้ฝึกลมปราณหนุ่มสาวยี่สิบกว่าคนที่มีความสัมพันธ์อันดีกับสำนัก พวกเขาโดยสารเรืออาคารหลายชั้นขนาดใหญ่ยักษ์ จับกลุ่มกันมาท่องเที่ยวบนทะเลสาบ แล้วได้มาเจอกับเด็กคนนั้นโดยบังเอิญ ทั้งสองฝ่ายประจันหน้า ไม่มีใครยอมลงให้ใคร จึงเกิดความขัดแย้งขึ้น
ผลคือตอนที่ทั้งสองฝ่ายกำลังจะปะทะกัน เด็กชายที่สองแขนกอดอกพลันทะยานตัวขึ้นสูง ที่แท้ใต้ฝ่าเท้าของเขาก็เหยียบอยู่บนเจียวหลงขนาดมหึมา มันกดกรงเล็บลงมาหนึ่งครั้ง เรืออาคารขนาดใหญ่ก็ขาดครึ่งท่อน จากนั้นผู้ฝึกลมปราณที่พยายามบังคับลมหนีไปจากเรือที่กำลังจมก็ถูกสัตว์เดรัจฉานตัวนั้นพ่นลำน้ำใส่ พอถูกสายน้ำชะผ่านไปก็หลงเหลือเพียงโครงกระดูก ส่วนกลุ่มคนที่จมน้ำเปียกมะลอกมะแลกก็ถูกกรงเล็บกรีดเปิดท้อง คนที่โชคร้ายหน่อยถึงขั้นถูกมันส่งเข้าปากเคี้ยวกิน
อาวุธและวิชาอภินิหารทั้งหมดที่กระแทกลงบนร่างของมันไม่สร้างความระคายผิวให้มันได้เลย มันถึงขั้นคร้านจะหลบเลี่ยงด้วยซ้ำ คนที่น่าอนาถที่สุดก็คือ ‘คนฉลาด’ ที่พยายามจะจับหัวหน้าโจรก่อนคนนั้น เขาคือผู้ฝึกกระบี่ที่มีสถานะค่อนข้างสูง ในทะเลสาบเจี่ยนหูอันเป็นสถานที่รวบรวมเหล่าผู้พิชิตก็ถือว่าพอจะมีชื่อเสียงอยู่บ้าง เขาคิดจะใช้กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสังหารเด็กที่ยืนอยู่บนศีรษะของเจียวหลง
เจียวหลงที่เดิมทีแค่คิดเล่นสนุกพลันเปลี่ยนมาเป็นดุร้ายเกรี้ยวกราดในบัดดล มันบังคับน้ำของทะเลสาบที่อยู่รอบกายให้เกิดคลื่นลูกยักษ์ถาโถม กักตัวผู้ฝึกกระบี่คนนั้นไว้ภายในกรงขังน้ำมรกตรูปสี่เหลี่ยม จากนั้นก็ไม่รู้ว่าสัตว์เดรัจฉานตัวนั้นใช้เวทลับอะไรถึงสามารถดึงอากาศทั้งหมดออกไป ปล่อยให้ปราณวิญญาณของผู้ฝึกกระบี่แห้งขอดแล้วร่างระเบิดแตกตาย
เสียงปังดังกัมปนาท
เลือดสดแตกกระจายเต็มกรงขัง
คล้ายดอกไม้ขนาดใหญ่ดอกหนึ่งเบ่งบาน
เด็กคนนั้นที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนศีรษะของเจียวหลงหัวเราะร่า
ผู้อาวุโสขอบเขตโอสถทองและผู้ฝึกลมปราณขอบเขตประตูมังกรที่เร่งรุดมา พอได้เห็นภาพนี้กับตาตัวเองในระยะประชิดก็ตกอกตกใจกันไม่น้อย ก่อนหน้านี้ตอนที่เกาะชิงเสียเกิดความขัดแย้งกันเองภายใน พวกเขาอยู่ห่างไปไกล อีกทั้งตอนนั้นสัตว์เดรัจฉานตัวนี้ก็ยังร่ายใช้วิชาคาถาของผู้ฝึกลมปราณไม่เป็น จนกระทั่งวันนนี้ อยู่ห่างแค่ร้อยกว่าจั้ง เห็นสัตว์เดรัจฉานที่ดูเหมือนว่าจะบรรลุวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิต หากในตำราโบราณที่บันทึกเกี่ยวกับเจียวหลงไม่ได้กล่าวผิดไป นี่ไม่เท่ากับว่ามันพัฒนาไปอีกขั้น กลายเป็นเจียวหลงเซียนดินสมชื่อแล้วหรอกหรือ? สามารถจำแลงร่างกลายเป็นคน หากไปอยู่ในช่วงยุคบรรพกาลที่เผ่าพันธ์เจียวและมังกรเจริญรุ่งเรือง เกรงว่าก็คงมีคุณสมบัติจะได้ครอบครองวังมังกรแห่งหนึ่งในแม่น้ำสายใหญ่แล้ว
ตอนแรกผู้ฝึกลมปราณใหญ่ที่มีชื่อเสียงเลื่องลือในทะเลสาบเจี่ยนหูกลุ่มนี้ยังหวังว่าตัวเองจะโชคดี คิดจะแอบช่วยลูกศิษย์ของตัวเองอย่างลับๆ แต่เมื่อผู้ฝึกตนเฒ่าขอบเขตประตูงมังกรคนหนึ่งที่ลงมือก่อนใครถูกสัตว์เดรัจฉานตนนั้นกรีดกรงเล็บใส่เบาๆ แล้วร่างทั้งร่างของผู้ฝึกลมปราณเฒ่าที่อยู่ห่างมาไกลหลายสิบลี้ปรากฎรอยกรงเล็บขนาดใหญ่ยักษ์ จากนั้นร่างก็ระเบิดแตกกลางอากาศ
การเข่นฆ่าระหว่างผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตกลางด้วยกัน ต่อให้ห่างกันหนึ่งหรือสองขอบเขต โอกาสแพ้ชนะย่อมไม่ต่างกันมากนัก แต่โดยทั่วไปแล้วจะไม่ถูกตัดสินด้วยความเป็นความตายในทันทีเช่นนี้
ทุกคนจึงหันมามองหน้ากัน สุดท้ายก็ไม่มีใครให้ความช่วยเหลือลูกศิษย์ที่ตกน้ำพวกนั้นอีก เลือกที่จะรักษาชีวิตของตัวเองไว้ด้วยการถอยออกไปอย่างรวดเร็ว
หลังจากนั้นมาก็มีคนแอบเข้าไปในเกาะชิงเสีย คิดจะสังหารมารกู้ช่านผู้นั้น ผลกลับกลายเป็นว่าถูกหลิวจื้อเม่าสกัดคงคาเจินจวินสังหารตายไปทีละคน เวลาเพียงครึ่งปีก็มีการลอบสังหารติดต่อกันถึงห้าหกครั้ง แต่ก็ล้วนถูกเกาะชิงเสียขัดขวางเอาไว้ ครึ่งปีให้หลังกลุ่มที่มีหลิวจื้อเม่าเป็นผู้นำ กู้ช่านและสัตว์เดรัจฉานตนนั้นเป็นกองกำลังหลักก็บุกไปสังหารถึงบนเกาะที่ตั้งของสำนักพวกนักฆ่า ทุกครั้งจะเลือกแค่เด็กหนุ่มเด็กสาวที่มีพรสวรรค์ในการฝึกตนเก็บไว้ ส่วนคนอื่นๆ ที่เหลือล้วนตายสิ้นโดยไม่มีข้อยกเว้น ขุดดินลึกลงไปสามฉื่อ กวาดเอาสมบัติอาคมทรัพย์สินของมีค่าทั้งหมดมา เวลานั้นเหมือนกับว่าเกาะชิงเสียจะกลายมาเป็นผู้นำของหมู่เกาะบนทะเลสาบเจี่ยนซูแล้ว
ผู้ปฏิบัติตามเจริญรุ่งเรือง ผู้ต่อต้านพินาศ
ตอนนี้กู้ช่านและมารดาของเขาอาศัยอยู่ในจวนที่หรูหรางดงามที่สุดของเกาะชิงเสีย หลายครั้งที่อาจารย์และศิษย์จับมือกันไปสังหารพรรคใหญ่ เมื่อศึกปิดฉากลง กู้ช่านจะบอกศิษย์พี่หญิงที่ปีนั้นเอาข่าวมาบอกเขาให้ช่วยเลือกสตรีงดงามที่หน้าตาบุคลิกโดดเด่นมาไว้ ต้องเป็นคนที่อายุไม่มาก เพื่อเอาไว้เป็นตัวเลือก ‘สาวน้อยเปิดสาบเสื้อ’ ในอนาคต อีกทั้งยังเชื้อเชิญให้คนมาสอนพวกนางเรียนดีดพิณ หมากล้อม เขียนพู่กันและวาดภาพโดยเฉพาะอีกด้วย
วันนี้กู้ช่านไม่ได้ออกไปเที่ยวเล่นข้างนอกอย่างที่หาได้ยาก เขาไปที่ศาลด้านหลังเป็นเพื่อนมารดา นั่งคุกเข่าอยู่บนเบาะ จุดธูปกราบไว้ป้ายหนึ่งอย่างนอบน้อม
ตลอดหลายปีมานี้สตรีแต่งงานแล้วบำรุงรักษาตัวเองเป็นอย่างดี ไม่ว่าจะหน้าตาหรือทรวดทรงองค์เอวก็ยิ่งอวบอิ่มงดงามเย้ายวนใจ
หลังจากสตรีแต่งงานแล้วลุกขึ้นยืนก็หลับตาลง พนมมือพูดเบาๆ คล้ายกำลังบอกให้สามีที่จากไปแล้วรู้ว่าตนและลูกสบายดี
กู้ช่านยืนอยู่ในห้องโถงใหญ่ที่เคร่งขรึมเงียบสงบ มองควันธูปลอยกรุ่นเบื้องหน้า เด็กชายที่บนมือเปื้อนเลือดของคนนับไม่ถ้วนมองเหม่ออย่างเงียบงัน
แม่ลูกสองคนพากันเดินข้ามธรณีประตูออกมา จู่ๆ กู้ช่านก็เอ่ยเรียกว่าท่านแม่
สตรีแต่งงานแล้วที่จูงมือเล็กๆ ของกู้ช่านก้มหน้าลงมอง ถามเสียงอ่อนโยน “มีอะไรหรือ?”
กู้ช่านคลี่ยิ้มส่งให้นาง ส่ายหน้าแล้วบอกว่าไม่มีอะไร
……
เมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนมีเด็กหญิงผอมแห้ง สวมใส่เสื้อผ้าขาดวิ่น แม้ท้องจะร้องโครกครากด้วยความหิวโหย แต่สีหน้าก็ยังเย็นชา นางเดินอย่างระมัดระวังไปถึงถนนชิงเหออันที่เป็นที่อยู่อาศัยของคนรวยและมีอำนาจ มาถึงประตูด้านหลังของจวนที่หรูหราโอ่อ่าแห่งหนึ่งอย่างคุ้นเคย แสงแดดแสบจ้า เด็กหญิงผอมดำเดินจนเหงื่อท่วมเต็มกาย แต่ถึงกระนั้นสีหน้าก็ยังเย็นชาอยู่ดังเดิม นางนั่งยองอยู่ใต้ร่มไม้เย็นฉ่ำของต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง เงยหน้ามองไปยังดวงอาทิตย์กลางนภา รัศมีแสงนั้นจัดจ้าจนน้ำตาไหลออกมาจากดวงตาทั้งคู่ของนาง
นางดึงสายตากลับมาเงียบๆ เช็ดน้ำตาทิ้ง
เพียงไม่นานประตูหลังของจวนก็ถูกคนแอบแง้มออก คุณหนูน้อยผิวอมชมพูราวกับหยกสลัก สวมใส่อาภรณ์ประณีตงดงาม มองดูแล้วอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเด็กหญิงผอมแห้งลอดออกมาจากช่องประตูแคบๆ นางอุ้มกล่องไม้ใบเล็กใบหนึ่งมาด้วย ท่าทางจะหนักไม่น้อย เหงื่อจึงท่วมตัว วิ่งเหยาะๆ มาหยุดอยู่ตรงหน้าเด็กหญิงผอมแห้ง ยิ้มสดใสกล่าวว่า “ของขวัญมอบให้เจ้า”
ฤดูร้อนที่อากาศร้อนแผดเผา บนเกาะเล็กกลับมีหยดน้ำซึมออกมา
เด็กหญิงผอมแห้งขมวดคิ้วรับกล่องไม้มาอุ้มไว้ในอ้อมอก อีกมือหนึ่งเปิดฝากล่อง
เด็กหญิงงดงามที่อยู่ฝั่งตรงข้ามยิ้มอย่างอารมณ์ดี “เจ้ายังจำได้หรือไม่ ตุ๊กตาหิมะที่พวกเราปั้นด้วยกันเมื่อหน้าหนาวปีที่แล้ว ข้าบอกให้คนในจวนเอาเก็บไว้ในห้องน้ำแข็ง ตั้งใจเอาออกมาให้เจ้าวันนี้ เจ้าชอบไหม?”
เด็กหญิงผอมแห้งก้มหน้าลงจ้องตุ๊กตาหิมะตัวน้อยนั่นเขม็ง จึงมองเห็นสีหน้าของนางไม่ชัด
เด็กหญิงหน้าตางดงามที่เดินออกมาจากจวนโหวสูงศักดิ์ที่มีคุณูปการต่อแคว้นยังซักไซ้ถามต่อด้วยความไร้เดียงสาว่าชอบหรือไม่ราวกับต้องการขอความดีความชอบอย่างไรอย่างนั้น
เด็กหญิงผอมแห้งเงยหน้าขึ้นช้าๆ ถามว่า “ของกินล่ะ?”
เด็กหญิงหน้าตางดงามร้องอั๊ยหยาหนึ่งที แล้วรีบพูดขอโทษ “ขอโทษนะ ข้าลืม”
นางหน้าม่อย พูดขออภัยไม่หยุด “อีกเดี๋ยวข้าจะต้องไปไหว้พระขอพรที่วัดกับพ่อแม่แล้ว วันนี้คงเอาของกินมาให้เจ้าไม่ได้แล้ว ขอโทษด้วยนะ…”
เด็กหญิงผอมแห้งมุมปากกระตุก ก้มหน้ามองตุ๊กตาหิมะตัวน้อยในกล่องไม้ใบเล็กอีกรอบ
เสียงตุ้บดังขึ้น
กล่องไม้ตกลงบนพื้น ‘โดยไม่ทันระวัง’
เด็กหญิงหน้าตางดงามน้ำตาคลอเจียนจะหยด รีบทรุดตัวลงไป
เด็กหญิงผอมแห้งก็ทรุดตัวตามไปด้วย เพียงแต่ว่ามือข้างหนึ่งกลับเอื้อมไปหยิบหินก้อนหนึ่งตรงมุมกำแพงขึ้นมา นางมองตุ๊กตาหิมะน้อยที่หักออกเป็นสองท่อนอยู่ในกล่องไม้อีกรอบ จากนั้นก็ชูมือขึ้นสูง เตรียมจะขว้างหินใส่เด็กหญิงที่สวมอาภรณ์ผ้าแพรปักลายงดงาม
ลมเย็นวูบหนึ่งพัดผ่านมา
เมื่อเด็กหญิงดงามเงยหน้าขึ้นคลี่ยิ้ม คิดจะพูดกับเพื่อนรักว่าไม่เป็นไร กลับค้นพบด้วยความตกตะลึงว่าเบื้องหน้ามีคนแปลกหน้าคนหนึ่งปรากฎกาย เขาสวมชุดคลุมสีขาวหิมะน่ามอง แถมยังสะพายกระบี่อีกด้วย ตรงเอวห้อยน้ำเต้าลูกเล็กสีชาดหนึ่งใบ เด็กหญิงกะพริบดวงตาคลอประกายน้ำปริบๆ มองไปทางเด็กหญิงผอมแห้งดำเกรียมด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยคำถาม
แล้วก็เห็นว่าเพื่อนรักของตนถูกคนผู้นั้นจับมือเอาไว้
คนที่สะพายกระบี่หันมายิ้มให้นางแล้วชี้ไปทางประตูหลัง “เจ้ากลับบ้านไปก่อนเถอะ เห็นไหม มีคนมารอเจ้าแล้ว”
ท่านปู่จ้าวพ่อบ้านมารอนางแล้วจริงๆ เด็กหญิงงดงามที่อุ้มกล่องไม้ใบเล็กมีท่าทางลังเลใจเล็กน้อย ไม่รู้ว่าควรจะมอบมันให้สหายหรือควรจะเอาไปเก็บไว้ในห้องน้ำแข็งของที่บ้านต่อดี
ยังดีที่คนแปลกหน้าช่วยตัดสินใจแทนนางอีกครั้ง “เอากลับไปเถอะ อยู่ข้างนอกคงเก็บไว้ไม่ได้ แบบนั้นคงน่าเสียดายแย่ พวกเจ้ารอให้หิมะของปีนี้ตกแล้วค่อยเอาตุ๊กตาหิมะน้อยมาปั้นใหม่เป็นตุ๊กตาหิมะใหญ่ก็ได้”
เด็กหญิงพยักหน้ารับอย่างแรง กอดกล่องไม้ใบเล็กไว้ บอกลากับสหายที่รู้จักมาเกือบสองปีแล้วจากไป
เด็กหญิงผอมแห้งไม่เอ่ยคำใด
เมื่อประตูใหญ่กำลังจะปิด
เฉินผิงอันถึงได้ปล่อยมือของเด็กหญิง เด็กบ้าคนนี้ทำให้เขารู้สึกเหลือเชื่ออย่างยิ่ง เห็นๆ กันอยู่ว่าความสัมพันธ์ของคนทั้งสองไม่เลวเลย แต่เป็นเพราะอีกฝ่ายไม่เอาอาหารมาให้ครั้งเดียว นางก็คิดจะฆ่าแกงกันเลยหรือ?
เฉินผิงอันก้มหน้ามองนาง ถามว่า “เจ้าเป็นใคร?”
เด็กหญิงเงยหน้าขึ้น ถามกลับ “แล้วเจ้ามายุ่งอะไรกับข้าด้วย?”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น