ท่านเทพมาแล้ว 303-314

 บทที่ 303 เรื่องเหนือความคาดหมาย

โดย

Ink Stone_Romance

ดวงตาดำขลับของม่อเหยียนดำราวกับคืนมืด เขาพูดอย่างเชื่องช้า “พูดเช่นนี้แสดงว่าอาจารย์อาใหญ่สงสัยข้า?”


ลู่ยาไม่ลังเลเลย “เป็นไปได้ที่จะเป็นเจ้าจริงๆ”


ม่อเหยียนพลันยิ้มอย่างขมขื่น


“เพียงแต่ตอนนี้ข้าไม่คิดเช่นนั้นแล้ว หากเป็นเจ้า ข้าคิดว่ายามนี้เจ้าคงไม่มีเวลาตามหาคนมาอุ่นเตียงไปทั่ว” ลู่ยามองไปที่เป้ากางเกงเขาอย่างเย็นชา


ม่อเหยียนกุมเป้าทันที ใบหน้างดงามแดงเสียจนเหมือนเพิ่งดื่มสุราร้อนแรงสิบกว่าชั่งในคำเดียว เขาเงียบไปสามวินาทีก่อนหายตัวไป และกลับมาทันทีในเวลาไม่ถึงสามวินาที ครั้งนี้ภายในเสื้อที่เปิดกว้างมีเสื้อตัวในเนื้อหนาขึ้นมาอีกชั้นหนึ่ง ปกปิดแม้กระทั่งลำคอ แต่ใบหน้าของเขายังคงแดงซ่านอยู่


ราชาปีศาจที่สามารถร่วมอภิรมย์กับชายหนุ่มได้หลายรอบ กลับยังรู้จักมียางอายด้วย


มู่จิ่วกัดหน่อไม้กรอบดังกร๊อบ ช่างเปิดโลกทัศน์โดยแท้


“อาจารย์อาใหญ่ช่างมองได้แม่นยำ วิเคราะห์ออกมาอย่างมีเหตุผล แต่ครั้งนี้ไม่ใช่ข้าจริงๆ” ม่อเหยียนกุมเข่าด้วยมือข้างเดียว พูดอย่างช้าๆ “ไม่เพียงไม่ใช่ข้า เกรงว่าแม้แต่ข้าก็ตกเป็นเหยื่อเช่นเดียวกัน”


ลู่ยาชะงักถ้วยที่กำลังจะจรดริมฝีปาก “หมายความว่าอย่างไร?”


ม่อเหยียนยืนขึ้นมา “ท่านตามข้ามาก็จะรู้เอง”


พูดจบก็ยกแขนเสื้อก่อนลุกขึ้นมายืนด้านข้าง


ลู่ยาชะงักเล็กน้อยแล้วยืนขึ้น


มู่จิ่วเห็นแล้วก็รีบยืนตาม


ม่อเหยียนเดินนำอยู่ข้างหน้า ออกจากประตูตำหนักเลี้ยวไปทางตะวันตก ขึ้นไปยังระเบียงทางเดินยาว


ระเบียงทางเดินยาวนั้นคดเคี้ยวลงไปเหมือนงูและยังสร้างอยู่บนผา ด้านหนึ่งเป็นศาลาของสวนดอกไม้ในวัง ด้านหนึ่งเป็นดอกพลับพลึงแมงมุมสีแดงเลือด และด้านนอกของดอกพลับพลึงแมงมุมก็เป็นภูเขาสูงชัน ด้านล่างมีเมฆหมอกปกคลุมจนไม่เห็นพื้น ดวงจันทร์ส่องสว่างกลางท้องฟ้า ทำให้ทิวทัศน์เบื้องหน้ายิ่งดูมืดสลัวและแปลกประหลาด


เดินไปไม่รู้นานเท่าไหร่ เห็นเพียงว่าท้องฟ้ายิ่งมืดมิด มู่จิ่วรู้สึกเครียดขึ้นเล็กน้อย ถึงแม้นางมั่นใจว่าม่อเหยียนไม่ใช่ชายชุดเขียว แต่หากนางมองพลาดล่ะ? หากม่อเหยียนเป็นชายชุดเขียว หากลู่ยากระชากใบหน้าที่แท้จริงของเขาออกมา เช่นนั้นอันดับแรกก็ต้องต่อกรกับพวกเขาแน่ ถึงแม้นางมั่นใจในฝีมือของลู่ยามาก แต่นางยังไม่รู้ว่าฝีมือของชายชุดเขียวมีมากเท่าไหร่ หากเขาแข็งแกร่งกว่าลู่ยาล่ะ?


นางจับแขนลู่ยา อดมองเขาไม่ได้


เห็นเพียงความสงบนิ่งของเขา ราวกับมีแผนการอยู่แล้ว


จากนั้นมองม่อเหยียนที่อยู่ข้างหน้า แต่ละย่างก้าวมั่นคง ไม่มีอะไรผิดปกติ


เดินไปเช่นนี้อีกสักพัก ท้องฟ้ามืดสนิทจนมองไม่เห็นนิ้วทั้งห้า ก่อนจะมีเสียงฟู่หลายเสียงดังมาจากทางด้านหน้า จากนั้นโคมสิบกว่าดวงก็สว่างขึ้นตลอดทาง


เมื่อมีแสงโคมข้างหน้า ทัศนวิสัยของมู่จิ่วก็ชัดเจนขึ้น และนางเห็นม่อเหยียนหยุดออยู่ที่ปลายสุดของโคม


ปลายสุดของโคมคือประตูสำริดขนาดใหญ่ที่ปิดสนิท ปากประตูมีหมอกดำลอยอยู่ มีปีศาจหลายตนที่เห็นหน้าไม่ชัดวนเวียน


ม่อเหยียนสะบัดมือเปิดประตูสำริด ด้านในมีเสียงฟู่ๆ ยามโคมสว่างขึ้น พริบตาเดียวโคมไฟก็สว่างไสว แต่ในประตูมีผนังหินล้อมรอบ ด้านบนวาดตัวอักษรใหญ่ๆ เล็กๆ ที่ไม่เข้าใจความหมายไว้


หลังจากเข้าไปข้างในแล้ว ประตูพับสำริดทั้งสองฝั่งก็ปิดลงทันที


ม่อเหยียนหันกลับมายืนนิ่ง มองลู่ยาคราหนึ่งก่อนพูด “อาจารย์อาใหญ่คงจะเดาออกแล้วว่าที่นี่คือที่ไหน”


ลู่ยามองตัวอักษรบนผนังหิน “ในสมัยบรรพกาล สวรรค์ชั้นหกซิวหมีเดิมเป็นพื้นที่หนองน้ำ ภายหลังเมื่อถึงยามที่สิ่งมีชีวิตค่อยๆ ถือกำเนิดขึ้น ที่แห่งนี้กลายเป็นสถานที่ล่าสัตว์ หลังจากนั้น สัตว์ที่กินปราณเดิมของฟ้าดินก็มีมากขึ้น ค่อยๆ มีปีศาจปรากฏขึ้นมาและกลายเป็นมาร ซิวหมีจึงเป็นสถานที่ที่มีวิญญาณมารสมบูรณ์ที่สุดในหกภพ”


“หลายหมื่นปีก่อนวิญญาณมารที่อาจารย์หลอมได้ก็มาจากซิวหมี ดังนั้นที่แห่งนี้คงจะเป็นสถานที่พวกเจ้าเก็บซ่อนของวิเศษของภพมาร”


“อาจารย์อาใหญ่พูดได้ไม่ผิด” ม่อเหยียนหยิบเทียนเล่มหนึ่งขึ้นมาจากแท่นหยกใต้กำแพงหิน ก่อนจะใช้นิ้วจุดไฟ เห็นเปลวเทียนพลิ้วไหวเล็กน้อยตามการเคลื่อนไหวของพลัง “หลังจากที่ปีนั้นปฐมวิญญาณหลอมวิญญาณมารจากซิวหมีแล้ว ก็ผนึกพลังและสถานที่ที่หลอมไว้ แต่หลังจากที่ข้าพาศิษย์ของลัทธิเจี๋ยเข้ามาดูแลซิวหมี จึงคลายผนึกออกเพื่อกระตุ้นปราณเดิมของที่นี่ และสร้างวังน้ำพุนี้ขึ้นมา”


“เมื่อก่อนวังน้ำพุนี้เป็นสถานที่หลอมวิญญาณ หลังจากหลอมวิญญาณมารแล้วยังทิ้งหินวิญญาณไว้อีกมากมาย พลังวิญญาณบนหินเหล่านี้เมื่อรวมกันแล้วแม้ยังแข็งแกร่งสู้วิญญาณมารไม่ได้ แต่สามารถรักษาพลังในภพมารของข้าให้สงบ แต่ก่อนหน้านี้ไม่นานหินวิญญาณมารในวังน้ำพุกลับหายไปทั้งหมด”


ม่อเหยียนพูดถึงตรงนี้ก็พลันผลักผนังหินด้านหน้าออก พื้นที่ที่ถูกขวางไว้เมื่อครู่พลันเผยให้เห็นเตาหลอมหินขนาดหนึ่งจั้ง


ไม่รู้ว่าเตาหลอมหินนี้ลึกเท่าไหร่ แต่ระยะสองจั้งจากปากเตาคือหินหนืดสีแดงเพลิง หินหนืดสีแดงนี้ย้อมใต้ดินให้เป็นสีแดง ความร้อนกดดันให้มู่จิ่วถอยหลังไป ท่ามกลางหินหนืดนั้นมีแท่นนั่งอยู่สิบสองที่ บนนั้นว่างเปล่า


ลู่ยาหยักนิ้วทำสัญลักษณ์มือ สร้างปราการเซียนขึ้นปกป้องนาง จากนั้นมองไปยังหลุมลึกอย่างสงสัย “เจ้าหมายความว่ามีคนขโมยหินวิญญาณมารไป?”


“พวกมันไม่อาจหายไปเองได้” ม่อเหยียนตอบ “ราวแปดร้อยปีก่อน ข้ามาตรวจสอบหลุมตามปกติ พบว่าหินวิญญาณมารทั้งสิบสองก้อนหายไปหมด”


“หินวิญญาณมารเป็นของวิเศษของภพมาร สถานที่แห่งนี้ก็เป็นสถานที่ที่ปฐมวิญญาณสร้างขึ้น เต็มไปด้วยพลังของเขาไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ พูดอย่างโอ้ออวดสักหน่อย แม้กำลังการต่อสู้ของภพมารข้าไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในใต้หล้า แต่ก็นับได้ว่าเป็นที่สองหรือสาม แต่หินวิญญาณมารกลับหายไปภายใต้สายตาข้าเช่นนี้”


“หลายร้อยปีมานี้ข้าใช้ทุกวิถีทางตามหามัน แต่กลับไม่พบร่องรอยเลยแม้แต่น้อย เมื่อสูญเสียการสะกดจากหินวิญญาณมารไป ช่วงนี้ภพมารของข้าก็ถูกภพอื่นก่อกวน ข้าจึงสั่งให้เข้มงวดระแวดระวังกันทุกเผ่า แต่นี่เป็นเพียงการแก้ไขที่ปลายเหตุ ปฐมวิญญาณทิ้งหินวิญญาณมารทั้งสิบสองไว้ก็เพื่อทำให้ซิวหมีมั่นคง มาตอนนี้หินหายไปแล้ว พลังวิญญาณในภพมารก็เดือดพล่าน”


พูดถึงตรงนี้เขาก็หันกลับมามองลู่ยา “หากอาจารย์อาใหญ่ไม่บอกว่าเสือลายเหลืองแห่งถิ่นทุรกันดารทางเหนือหลอมวิญญาณร้าย เกรงว่าข้าคงไม่มีวันเชื่อมโยงเรื่องที่หินวิญญาณมารหายไปกับเรื่องนั้นเข้าด้วยกันแน่ ในเมื่อท่านมาหาข้า แสดงว่าหาร่องรอยของคนผู้นี้ได้แล้ว?”


พูดจบเขาก็ยื่นมือมาหาลู่ยา


ลู่ยาก็ไม่เกรงใจ ยื่นมือไปโบกไปมาบนข้อมือเขาก่อนรั้งกลับมา “มีเบาะแสเล็กน้อยจริงๆ แต่ก็ยังไม่มีหลักฐาน” พูดจบก็เล่าเรื่องคดีทั้งหมดให้เขาฟัง “เมื่อมองไปทั้งใต้หล้า ก็มีเพียงภพมารของเจ้าถึงจะมีความสามารถพลิกฟ้าดินได้ แต่ในเมื่อไม่ใช่เจ้า ข้าก็คิดไม่ออกแล้วว่าจะเป็นใครไปได้อีก”


บนโลกนี้ยังมีคนใช้กำลังของตนเองเพียงคนเดียววางอำนาจบาตรใหญ่ได้ด้วยหรือ?


คนผู้หนึ่งต่อให้ยิ่งร้ายกาจกว่านี้ แต่เมื่อเป็นเรื่องการสร้างอำนาจย่อมต้องมีผู้สนับสนุน มิฉะนั้นแล้วแม้ทั้งโลกพ่ายแพ้ต่อเขา ใครเล่าจะไปวิ่งรอกทำงานให้? ไม่มีฐานกำลังค้ำบัลลังก์ เรื่องที่จะล้มอำนาจเขาก็เกิดขึ้นได้ตลอด


ชีพจรของม่อเหยียนบอกว่าเขาไม่ได้โกหก


เมื่อตัดหินหนืดในเตาหลอมออกไป ยังหลงเหลือแท่นนั่งสิบสองที่ เตานั้นเป็นสิ่งที่ปฐมวิญญาณสร้างไว้หรือไม่ เพียงมองเขาก็รู้แล้ว ทั้งสายตาและชีพจรของม่อเหยียนล้วนกระจ่างแจ้งว่าเขาไม่ได้โกหก


…………………………………………………………………..


บทที่ 304 เรื่องรักใคร่ของหัวหน้า

โดย

Ink Stone_Romance

ไม่ต้องสงสัยแม้แต่น้อย คนที่ขโมยหินวิญญาณมารไปคือชายชุดเขียว


แต่ก่อนเขาเข้าใจว่ามีเพียงความสามารถในการหลอมวิญญาณเทพและวิญญาณร้ายเท่านั้น แต่คิดอีกทีของวิเศษเหล่านั้นหลอมวิญญาณเซียนได้ หินวิญญาณมารสามารถหลอมวิญญาณร้าย ตอนนี้การคาดเดานี้ก็ถูกลบล้างไปแล้ว


“พูดเช่นนี้แสดงว่าเขามีแผนแน่” ลู่ยาเอามือไพล่หลังมองเตาหลอม เอ่ยราวพูดกับตนเอง


ม่อเหยียนเดินขึ้นไปข้างหน้าพลางมองข้างล่าง “เมื่อก่อนข้าม่อเหยียนติดตามอาจารย์ต่อต้านภพเซียน นับได้ว่าเป็นชายชาตรีคนหนึ่ง ถึงตอนนี้รู้ว่ายังมีอีกคนเช่นนี้อยู่อีก ข้าก็อดสนใจไม่ได้”


น้ำเสียงของเขายังคงเกียจคร้าน แต่คำพูดกลับเจือความเย็นเยียบทำให้คนฟังหนาวสั่น


มู่จิ่วมองไปยังเตาหลอมพร้อมกับพวกเขา นางที่ไม่ได้พูดอะไรมาตลอด ตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี


ก่อนมานั้นได้เตรียมใจไว้อย่างดี ยามนี้รู้ว่าม่อเหยียนไม่ใช่ชายชุดเขียว บทสรุปนี้ไม่นับว่าเหนือความคาดหมาย


แต่ชายชุดเขียวกลับขโมยหินวิญญาณมารไป…เขาคิดจะทำอะไรกันแน่? ล้างแค้นหกภพ? มีเพียงความแค้นเท่านั้นจึงจะสมเหตุผล ความโกรธแค้นทำให้คนทำเรื่องผิดสามัญเสมอ อย่างเช่นหลินเจี้ยนหรูกับสำนักแรกพยับ นางไม่คิดเลยว่าเขาจะกลายเป็นเช่นนั้น หากในหกภพมีคนรังแกชายชุดเขียวมาก่อนเล่า?


…แต่ชายชุดเขียวที่นางเห็น เขาไม่มีกลิ่นอายความโกรธแค้น กลับกัน กลิ่นอายของเขานับได้ว่าเป็นกลิ่นอายมงคล…


เป็นความรู้สึกนางที่ผิด หรือเขาทำเช่นนี้เพราะมีเหตุผลอื่น?


นางคิดเท่าไหร่ก็ไม่เข้าใจ


ลู่ยากลับผ่อนคลายลงเมื่อเทียบกับยามเข้ามา ตอนที่จะจากไปยังมีท่าทีสนิทชิดเชื้อกับม่อเหยียน


กลับมาวังมารดื่มชาเสร็จพวกเขาก็ออกไป ม่อเหยียนเป็นหลานศิษย์ย่อมต้องคิดต้อนรับอย่างดี แต่ลู่ยากลับไม่คิดอยู่ต่อ ดังนั้นม่อเหยียนจึงพาพวกเขาไปส่งยังทางเข้าสวรรค์ชั้นหกซิวหมี


ลู่ยาจับมือนางตลอดทาง จนกลับไปยังประตูสวรรค์แดนใต้ถึงคลายออก


การเดินทางครั้งนี้ถึงแม้หาฐานะที่แท้จริงของชายชุดเขียวไม่พบ แต่ได้รู้มาว่าเขากำลังหลอมวิญญาณมาร นี่ก็นับว่าเป็นเบาะแสใหญ่เช่นกัน แบบนี้สามารถยืนยันได้ว่าเขากำลังคิดก่อเรื่องใหญ่ ตอนนี้เพียงไม่รู้ว่าคิดจะทำอะไร


ลู่ยาตัดสินใจพักเรื่องตามหาจุ่นถีไปก่อน ในเมื่อหุนคุนบอกว่าชายชุดเขียวไม่ใช่เขา เช่นนั้นตนก็สามารถไปสืบหาที่มาของชายชุดเขียวได้ ส่วนจุ่นถีไปซ่อนอยู่ที่ไหน และทำไม่ถึงต้องแอบซ่อน รอจนเรื่องของมู่จิ่วจบก่อน เขาย่อมคิดหาทางตามหาอีกฝ่ายเจอจนได้


มู่จิ่วไม่คัดค้าน


นางคิดตกแล้วเหมือนกัน หลิวหยางเร้นกายไปต้องมีเหตุผลของเขา หากเขาไม่ต้องการพบคนอื่น ทำไมนางต้องไปบีบบังคับเขา?


ระหว่างวันลู่ยาครุ่นคิดเรื่องคดีต่อ มู่จิ่วก็ไปทำงานตามปกติ


หากตัดเรื่องความลึกลับของชายชุดเขียวที่คอยกระตุ้นประสาทอยู่เนืองๆ ออก วันคืนก็ผ่านไปอย่างสงบนัก


อาฝูกลับมาบ้านแล้ว และยังสามารถพูดได้ด้วย จึงคึกคักขึ้นมามาก ทั้งยังรับจื่อจิ้งที่ชอบสร้างความวุ่นวายเพิ่มอีกคน ทั้งสามคนนี้อายุไม่ต่างกันมากนัก เพียงจื่อจิ้งแก่ประสบการณ์มากกว่าหน่อย แต่ก็ไม่มีใครมองเขาเป็นรุ่นพี่ ดังนั้นทั้งสามคนไม่เพียงวิ่งเล่นไล่กัน แต่ยังล้อมวงคุยโวโอ้อวด


แต่ช่วงนี้จื่อจิ้งเคร่งเครียดนัก เพราะลู่ยาจับเขาแผดเผาไว้ในเขตพลัง ยังไงก็ออกมาไม่ได้!


มู่จิ่วนั้นชอบความครึกครื้นนัก ตอนแรกเป็นตายอย่างไรก็ไม่อยากมาสวรรค์ ตอนนี้กลับหลงรักความอบอุ่นเช่นนี้แล้ว


ในหน่วยนับได้ว่าสงบมากที่สุดแล้ว ช่วงนี้คดีล้วนจัดการเรียบร้อย หลิวจวิ้นก็ชื่นชมนางไม่น้อยทีเดียว


แต่บางครั้งเขาก็ช่างนินทานัก เช่นตอนพักไม่มีคนนอก เขาก็มักอดไม่ได้ถามนางว่าเวลากินข้าวกับลู่ยาต้องคีบอาหารให้เขาก่อน ตนเองถึงค่อยกินได้หรือไม่ ทั้งยังถามว่าตัวป่วนเช่นนางโดนคุกเข่าทำโทษอยู่บ่อยๆ หรือเปล่า?


มู่จิ่วไม่รู้แล้วว่าในหัวเขาคิดอะไรบ้าง


แต่เพราะถามเรื่องสัพเพเหระทั่วไป นางจึงไม่ได้เก็บมาใส่ใจ ถามเท่าไหร่ตอบเท่านั้น แล้วนางก็ค่อยๆ พบว่าแท้จริงตัวเองก็ชื่นชอบแบ่งปันเรื่องราวความใกล้ชิดของตนกับลู่ยาแก่ผู้อื่น บางครั้งไม่ต้องให้หลิวจวิ้นถาม นางก็พูดออกมาเอง หลังจากเล่าจบ มุมปากของนางก็มักจะยกขึ้นอยู่นาน


หลิวจวิ้นก็เป็นผู้ฟังที่ดี เรื่องที่ไม่ควรถามเขาก็ไม่ถาม แต่มีเพียงสิ่งหนึ่ง ยามที่ฟังเรื่องราวกระทบอารมณ์ เขามักจะมีแววตาเศร้าสร้อย จากนั้นก็ถอนหายใจ


นี่ทำให้นางมู่จิ่วสงสัย “ใต้เท้าทะเลาะกับคนรักหรือเจ้าคะ?”


คำถามนี้นางถามมาหลายครั้งแล้ว แต่ทุกครั้งเขาจะเลี่ยงไม่ตอบ


แต่ครั้งนี้หลังจากเขาชะงักไป กลับกระแอมไอก่อนพูด “ข้าถามเจ้าเรื่องหนึ่ง หากเจ้าคิดถึงคนที่ไม่ชอบเจ้าอย่างไม่เลิกรา ใช่อาการป่วยชนิดหนึ่งหรือไม่?”


มู่จิ่วอ้าปากกว้าง สมองหยุดทำงานเล็กน้อย คิดถึงคนที่ไม่ชอบเจ้าอยู่เสมอ หมายความว่าเขามีคนที่ชมชอบอยู่แล้ว?


คนผู้นี้คือใคร?


ลั่วเสินฝูเฟย?


นางอยากจะซุบซิบขึ้นมาแล้ว


“ข้าหมายความว่า หากคนที่เจ้าชอบแต่งงานแล้ว เจ้าจะยังคงคิดถึงเขาหรือไม่?” หลิวจวิ้นหน้าแดงถึงหู แต่สีหน้ายังขึงขัง


คำถามนี้ออกจะยากนัก มู่จิ่วชอบลู่ยามาเพียงคนเดียว ไม่เคยมีเพื่อนชายมาก่อน เรื่องแบบนี้จึงไม่มีคำตอบ


“เจ้าจินตนาการหน่อย!” หลิวจวิ้นพูด “คิดว่าเจ้ามีคนในใจ เจ้ารักเขาอย่างบ้าคลั่ง แต่อย่างไรเขาก็ไม่ชอบเจ้า จากนั้นเขาก็แต่งกับผู้อื่นไป เจ้าว่าเจ้ายังจะห่วงหาอาทรเขาหรือไม่?”


“คงไม่กระมัง?” มู่จิ่วส่ายหน้า “หากเขาไม่ชอบข้าจริง ข้าคิดถึงเขาไปก็ไม่มีประโยชน์ อีกอย่างเขาแต่งงานแล้วด้วย หากข้าก่อเรื่องอะไรไปก็ไม่ดีกับเขามิใช่หรือ?”


“ข้าก็คิดเช่นนั้น!” หลิวจวิ้นลูบหน้า ใบหน้าหงิกงอ “ข้ารู้ว่าข้าต้องป่วยแน่”


เขาพูดพลางยืนขึ้นมา เดินไปมาอยู่ในห้อง


มู่จิ่วรอจนเขาเดินได้มากกว่าสิบรอบ ก็อดพูดขึ้นไม่ได้ “หญิงในใจใต้เท้าผู้นี้ ใช่ลั่วเสินหรือไม่?”


หลิวจวิ้นชะงักไปราวกับโดนฟ้าผ่าเมื่อได้ยินชื่อนี้ จากนั้นหันมาพึมพำทันใด “เจ้ารู้ได้อย่างไร…”


หากนางดูไม่ออกก็แปลกแล้ว!


แต่ลั่วเสินเป็นบุตรสาวของฝูซี หลานสาวของหนี่ว์วา แต่งงานไปกับโฮ่วอี้นานแล้ว นี่เป็นเรื่องเมื่อหลายปีก่อน หลิวจวิ้นกลับบอกว่าเขาชอบลั่วเสินมาก่อนนางจะแต่งงาน เช่นนั้นหลิวจวิ้นอายุเท่าไหร่กัน?


มู่จิ่วพลันรู้สึกว่านางไม่ได้รู้จักหัวหน้าเท่าไหร่นัก


“ใต้เท้าให้ข้าไปจุดธูปที่ศาลเจ้าลั่วเสินในครั้งแรก ข้าก็เดาได้แล้วเจ้าค่ะ” นางพูด “นี่ไม่ใช่เรื่องน่าอายอะไร ท่านชอบนางก่อนนางจะแต่งให้คนอื่นไป ไม่ได้ทำเรื่องผิดทำนองคลองธรรมก่อนแต่ง มีอะไรน่าปิดบังกัน? ถึงแม้ตอนนี้ยังคิดถึงอยู่ แต่พวกท่านไม่ได้พบหน้ากัน และท่านก็ไม่ได้ไปยุ่งกับชีวิตนาง เช่นนี้ไม่มีอะไรไม่ดี”


ปกติหลิวจวิ้นดีต่อนางยิ่งนัก ตอนนี้นางต้องช่วยปลอบใจเขาดีๆ


…………………………………


บทที่ 305 มีอุปสรรคเล็กน้อย

โดย

Ink Stone_Romance

“แม้จะพูดแบบนี้ แต่นี่ก็หลายปีมาแล้ว หลายหมื่นปีแล้วข้ายังไม่อาจตัดใจได้ และราวกับจะตัดใจไม่ได้ตลอดไป บางครั้งข้าเลยอดรู้สึกไม่ได้ว่าข้าผิดปกติ” หลิวจวิ้นพึมพำเสียงเบา ใบหน้าเขินอาย แต่ละคำพูดเป็นคำสารภาพของชายผู้ลุ่มหลงในรัก


“ไม่เลย ท่านคิดมากไปแล้ว” มู่จิ่วพยายามปลอบใจเขา “นี่แสดงว่าเสน่ห์ของลั่วเสินมีมากมาย ส่วนใต้เท้านั้นรักมั่นฝังใจ มิใช่อาการป่วย เป็นเรื่องปกติ สมัยนี้คนเช่นท่านมีไม่มากนัก ท่านทำใจให้สบายเถิด”


สีหน้าของหลิวจวิ้นดีขึ้นมานิดหน่อย แต่ยังคงมีความกังวลอยู่


มู่จิ่วจึงพูดอีก “ความจริงเซียนหญิงที่โดดเด่นในใต้หล้ามีมากขนาดนี้ ท่านน่าจะลองคบหากับเซียนหญิงท่านอื่นดู ไม่แน่ว่าท่านอาจจะพบกับคนที่เหมาะสมกับท่านมากกว่าลั่วเสินเหนียงเหนียงก็ได้?”


อย่างไรลั่วเสินก็ไม่ชอบเขา ต่อให้นางดียิ่งกว่านี้ หากยึดมั่นไม่เปลี่ยนแปลงก็คงไม่ดีกระมัง?


อีกอย่างคุณสมบัติแต่ละด้านของเขาก็ไม่เลว ท่าทางเป็นผู้ใหญ่ แม้ดูไปแล้วไม่อ่อนหวานชวนฝัน แต่ภายในใจของคนที่รักมั่นย่อมละเอียดอ่อน เขาก็มีเสน่ห์ที่คนอื่นเทียบไม่ได้


“เฮ้อ” หลิวจวิ้นถอนหายใจ เห็นชัดว่าไม่สนใจคำแนะนำของนาง


มู่จิ่วทำได้เพียงให้กำลังใจ หากเขาตัดใจไม่ได้จริง ย่อมไม่อาจบังคับเขาให้คบหากับหญิงอื่น


“ใต้เท้ากัวอยู่ที่นี่หรือไม่?”


ตอนนี้เองมีเสียงถามเบาๆ ลอยมาจากด้านนอก มู่จิ่วเยี่ยมหน้าออกไปมองนอกหน้าต่าง เห็นแค่หลินเจี้ยนหรูยืนอยู่หน้าประตูลาน เมื่อเห็นเขามู่จิ่วจึงได้นึกถึงเรื่องที่เขายืมกุญแจจันทราไปฟื้นฟูจิตต้นกำเนิดของนางชิว นับดูแล้วก็วันที่สาม ไม่รู้ว่าผลเป็นอย่างไรบ้าง?


“เจ้าไปทำธุระเถิด ข้าก็จะเลิกงานแล้ว”


หลิวจวิ้นโบกมือ จากนั้นกระแอมไอก่อนจัดการงานที่อยู่ด้านข้างต่อ


มู่จิ่วจึงปิดประตูแล้วออกไป


หลินเจี้ยนหรูฝีเท้าเร็วนัก นางเพิ่งมาถึงระเบียงทางเดิน เขากลับมาถึงด้านหน้านางแล้ว “มู่จิ่ว ข้ามีเรื่องจะพูดกับเจ้า”


มู่จิ่วเดาได้ว่าเป็นเรื่องนั้น เพื่อป้องกันไม่ให้คนครหา นางจึงบอกว่า “ไปที่หน่วยข้าเถิด”


ทั้งสองคนไปถึงห้องของหน่วยบัญชาการ มู่จิ่วปิดประตู สร้างเขตพลัง จึงค่อยพูด “ผลเป็นอย่างไรบ้าง?”


“พบอุปสรรคเล็กน้อย” หลินเจี้ยนหรูกำหมัดแน่น คิ้วก็ขมวดมุ่น “ข้านับแล้วว่าวันนี้เป็นวันที่พลังหยินเข้มข้น เหมาะแก่การฟื้นฟูจิตต้นกำเนิดที่สุด แต่เพื่อป้องกันอุบัติเหตุ ดังนั้นหลายวันนี้ข้าจึงเตรียมตัวไว้ ข้าไปรับแม่มาก่อน จากนั้นค่อยหาที่อยู่อื่นให้นาง”


“เมื่อคืนวานข้าลองใช้กุญแจจันทราเรียกจิตต้นกำเนิดนางกลับมา ลองอยู่หลายครั้งกลับไม่พบร่อยรอยจิตต้นกำเนิดที่แตกสลายไปของนาง”


“ไม่พบเช่นนั้นหรือ?” มู่จิ่วได้ยินแล้วก็ชะงัก “เป็นไปได้อย่างไร? กุญแจจันทราเป็นของวิเศษไว้ซ่อมแซมวิญญาณ มันซ่อมได้แม้แต่วิญญาณของสัตว์เทพอย่างอวิ๋นฉัวกับอ๋าวเชิน จะหาจิตต้นกำเนิดของมนุษย์ไม่เจอได้อย่างไร?” นางไม่เชื่อว่าอ๋าวเชินจะไม่บอกนาง หากกุญแจจันทราใช้ได้เฉพาะกับเผ่าเทพเท่านั้น


“แต่หาไม่พบจริงๆ” แววตาของหลินเจี้ยนหรูร้อนรนและกังวล “ข้าลองมาหลายครั้งแล้วก็ไม่เกิดผล”


มู่จิ่วเชื่อว่าเขาจะไม่โกหกเรื่องนี้ แต่นี่เกิดจากสาเหตุอะไรกัน?


“ตอนแรกเจ้ารู้หรือไม่ว่าหลินเซี่ยทำร้ายนางอย่างไร?”


“รู้ ข้าจำได้อย่างชัดเจนทุกอย่าง” เขาตอบ “หลินเซี่ยทำลายจิตต้นกำเนิดของนางต่อหน้ายมทูตดำและขาว จากนั้นนางกลายเป็นคนสติไม่สมประกอบ ไปถึงนรกแล้วก็ไม่อาจฟ้องร้องต่อเทพแห่งปรโลก วิชาเช่นนี้เป็นวิชาก้นสำนักของแรกพยับ แต่มักจะใช้กับการลงโทษปีศาจร้ายชั่วช้าหรือศิษย์ที่หักหลังสำนัก ไม่เคยมีใครทำร้ายหญิงบริสุทธิ์เช่นนี้!”


“ตอนนี้หากต้องการทำเรื่องนี้ให้สำเร็จ ข้าต้องตามหาจิตต้นกำเนิดส่วนที่หายไปก่อน และเมื่อถึงเวลาที่พลังหยินเข้มข้น ค่อยหยดเลือดหัวใจของนางเข้าไปในกุญแจ จิตต้นกำเนิดของนางก็จะมารวมตัวกันเองจนสมบูรณ์ในที่สุด ตามเหตุผลแล้ว พลังวิญญาณของกุญแจจันทราเพียงขยับอยู่ในเขตลมหายใจของนาง มันก็สามารถหาพบได้ แต่นี่กลับไม่พบ”


มู่จิ่วอึ้งอยู่นานถึงจะหุบปากได้ ดูเหมือนเขาศึกษามาอย่างดีแล้ว นางไม่รู้แม้กระทั่งขั้นตอนเหล่านี้ด้วยซ้ำ


นางก็สับสน นี่เป็นเพราะสาเหตุอันใดกัน?


หรือมันหมดฤทธิ์ไปแล้ว?


“เช่นนั้นกุญแจล่ะ? เจ้าให้ข้าดูหน่อย” นางยื่นมือไปพลางพูด


หลินเจี้ยนหรูนำมันออกจากอกเสื้อ วางไว้บนมือนาง


มู่จิ่วรับมาดูก่อนส่งพลังเข้าไปช้าๆ รอบกุญแจพลันมีคลื่นพลังเคลื่อนไหว และขอบเขตของพลังก็ค่อยๆ กว้างขึ้น นางวางกลับไปบนมือเขาอีกครั้ง พลังที่ปกคลุมอยู่บนร่างเขาพลันฉายแสงที่เคลื่อนไหวไม่หยุด ทั้งยังเคลื่อนที่ไปตามเขา นี่คือจิตต้นกำเนิดของเขานั่นเอง!


“กุญแจไม่ได้เสีย!” นางพูดอย่างสงสัย


“ข้ารู้สึกว่าประหลาดนัก” หลินเจี้ยนหรูพูดเสียงเบา “ความจริงเมื่อคืนข้าทดลองกับผู้อื่นก็ไม่มีปัญหา”


มู่จิ่วไม่เข้าใจ มองท้องฟ้าด้านนอกหน้าต่าง ตอนนี้สายแล้ว อ๋าวเชินให้ยืมกุญแจได้แค่เจ็ดวัน และวันนี้ก็เป็นวันที่พลังหยินเข้มข้นที่สุดหนึ่งเดียวในเจ็ดวัน พลาดไปก็น่าเสียดายนัก


“เจ้ากลับไปรอข้า อีกไม่นานข้าจะไปหาเจ้า” นางยืนขึ้นมา


หลินเจี้ยนหรูพยักหน้า “ข้าจะกลับไปรอเจ้า” พูดจบเขาก็ออกไป


มู่จิ่วรีบกลับบ้าน ไปหาลู่ยาที่เหม่อลอยอยู่ข้างหน้าต่าง เล่าเรื่องเมื่อครู่ให้เขาฟัง “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น?”


ลู่ยาชักมือที่เท้าคางกลับมา วางอยู่บนขาที่ขัดสมาธิอยู่ ครุ่นคิดก่อนพูด “ปรโลกเก้าชั้นเป็นสถานที่กักขังวิญญาณที่ตายแล้ว จิตต้นกำเนิดที่แตกสลาย เป็นไปได้ว่าจะถูกดูดไปที่ปรโลกเก้าแดนและถูกขังอยู่ที่นั่น พวกเจ้าสามารถไปดูที่นั่นได้ ช่วยวิญญาณที่แตกสลายออกมา กุญแจจันทราก็จะหาจิตต้นกำเนิดทั้งหมดของนางเจอเอง”


มู่จิ่วพลันกระจ่าง รีบหันหลังเดินจากไปทันที


ลู่ยาเรียกนางไว้ “ยามจื่อสามเค่อ (ราว 5 ทุ่ม 45 นาที) เป็นเวลาที่พลังหยินเข้มข้นที่สุด ต้องปลดปล่อยจิตต้นกำเนิดออกจากปรโลกเก้าแดนให้ได้ก่อนเวลานั้น”


มู่จิ่วพยักหน้ารัว ชะงักไปครู่หนึ่งก่อนถาม “เจ้าจะไปกับข้าหรือไม่?”


เขาตอบ “เจ้าต้องสะสมบุญกุศล ข้าไม่อาจสอดมือเข้ายุ่ง อีกอย่างเรื่องของหลินเจี้ยนหรูข้าก็ไม่ควรไปข้องเกี่ยว” ในเมื่อฐานะของเขาไม่เท่าเทียม


มู่จิ่วแสดงออกว่าเข้าใจ นางพยักหน้าพลางพูด “เช่นนั้นข้าไปกับเขา เดี๋ยวกลับมา”


ลู่ยาเอายันต์สองแผ่นให้นาง “เอานี่ไป แผ่นหนึ่งคือไป แผ่นหนึ่งคือกลับ ช่วยย่นเวลาได้ไม่น้อย”


มู่จิ่วโอบคอเขาเข้ามาหอมหนึ่งที จากนั้นวิ่งกลับห้องไปอย่างรวดเร็ว นำยาเซียนอำพรางกายที่หวังหมู่เคยให้นางมาก่อนจากไป


หลิวเจี้ยนหรูชะเง้อคอรออยู่นานแล้วในห้อง เขาเดาได้ว่านางต้องไปถามความเห็นจากลู่ยา ดังนั้นใจจึงสงบ แต่ก็กังวลว่าลู่ยาจะขวางไม่ให้นางเข้าใกล้เขา อีกใจหนึ่งจึงไม่สงบเช่นกัน


เมื่อเห็นนางก้าวเร็วๆ เข้ามา จึงรีบเดินออกไป “ได้เรื่องแล้วหรือ?”


…………………………………………


บทที่ 306 ปรโลกเก้าแดน

โดย

Ink Stone_Romance

มู่จิ่วรอจนเข้าไปในห้องเขาแล้วจึงพูด “ถามมาได้แล้ว ลู่ยาบอกว่าเป็นไปได้ที่เศษเสี้ยวจิตต้นกำเนิดของนางจะถูกดูดไปกักขังยังปรโลกเก้าแดน ดังนั้นพวกเราต้องไปปลดปล่อยมันจากที่นั่น เช่นนี้กุญแจจันทราถึงจะเสาะหาจิตต้นกำเนิดเจอ ลู่ยายังบอกอีกว่ายามจื่อสามเค่อเป็นเวลาที่พลังหยินเข้มข้นที่สุด พวกเราต้องรีบกลับมาที่โลกมนุษย์ก่อนเวลานี้”


หลินเจี้ยนหรูพยักหน้าก่อนถาม “เจ้าจะไปกับข้าหรือไม่?”


“มาถึงขนาดนี้แล้ว ข้าจะไปเป็นเพื่อนเจ้า เผื่อเจ้าคนเดียวไม่ไหว” มู่จิ่วตอบ “แต่ข้าจะไม่ตามไปถึงปรโลกเก้าแดน เจ้าคอยระแวดระวังแล้วกัน ข้าจะคุ้มครองเจ้าอยู่ข้างบน” อันที่จริงเขาเป็นคนมีบาปติดตัว การช่วยเหลือนางชิวคือความต้องการของเขา ขณะเดียวกันนางก็หวังว่าเขาจะใช้โอกาสนี้ล้างมลทินได้


“ดี!” เขาพยักหน้ากล่าว “ได้เช่นนี้ก็เพียงพอแล้ว!”


พูดจบเขาก็เข้าไปเก็บของด้านใน เมื่อเดินออกมาก็มุ่งไปประตูสวรรค์แดนใต้


เมื่อพวกเขาเดินออกมา เหลียงชิวฉานที่มีใบหน้าสงสัยตกใจก็ออกมาจากเงาไม้ นางเดินตามหลังไปยังประตูสวรรค์แดนใต้ จับจ้องพวกเขาออกจากเขตแดนจึงค่อยถอยกลับไป ผ้าเช็ดหน้าในมือถูกนางกำไว้จนเสียรูปหมด


สถานที่ที่มุ่งหน้าไปอันดับแรกคือที่อยู่ของนางชิวในโลกมนุษย์


ในความเป็นจริงอยู่ในสวรรค์มาสองปีนี้ บนโลกมนุษย์ผ่านไปร้อยปีแล้ว นางชิวได้มาเกิดเป็นมนุษย์อีกครั้ง ตอนนี้นางมาเกิดในตระกูลขุนนางแซ่อู่ ชื่ออู่หลานเอ๋อร์ อายุเพียงสิบเจ็ดปี เป็นช่วงอายุที่สมบูรณ์พูนสุขที่สุด ยามสงบเงียบก็ดูเหมือนหญิงในตระกลสูงส่ง แต่เพราะสติไม่สมประกอบจึงไม่ได้แต่งออกไป


แม่ของอู่หลานเอ๋อร์แต่งเข้ามายกฐานะ ตอนที่ยังไม่คลอดก็บอกว่าลูกนางเป็นเด็กผู้ชาย จะได้เชิดหน้าชูตาต่อหน้าพ่อแม่สามีและเหล่าสะใภ้ คิดไม่ถึงว่ากลับคลอดเด็กผู้หญิงออกมา ทั้งยังสติฟั่นเฟือน ดังนั้นนางที่ต้องคอยดูสีหน้าของคนในบ้านจึงยิ่งปฏิบัติต่ออู่หลานเอ๋อร์อย่างไม่ยุติธรรม ต่อหน้าคนก็รังเกียจลับหลังก็ด่าทอ ผิวของอู่หลานเอ๋อร์ตอนยังเล็กนั้นไม่มีส่วนไหนไร้ร่องรอย


ช่วงเวลาสงบสุขหนึ่งเดียวภายใต้การดูแลของแม่แท้ๆ นั่นคือตอนที่แม่นางตั้งครรภ์ลูกคนที่สอง นางเชิญหมอดูมาทำนาย ไปเสี่ยงเซียมซีที่ศาลเจ้า ทั้งยังเชิญหมอเทวดาที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองมาตรวจรักษา ล้วนบอกว่าเป็นเด็กผู้ชาย วันคืนเหล่านั้นนางจึงปฏิบัติต่ออู่หลานเอ๋อร์อย่างปรานีหน่อย


แต่ชะตามนุษย์หรือจะสู้ชะตาฟ้า แม่ตายตอนที่คลอดน้องชาย เด็กน้อยนั้นกลับรอดมาได้ แต่อู่หลานเอ๋อร์ที่เสียแม่ไปยิ่งลำบากกว่าเดิม


ไม่นานบิดาอู่ก็แต่งอนุเข้ามา น้องชายก็ส่งให้ยายไปเลี้ยง อู่หลานเอ๋อร์ไม่มีใครรับไว้ แม่เลี้ยงรังเกียจนาง บิดาอู่เอาแต่ท่องอ่านคัมภีร์ปรัชญามากมาย เดิมทีก็สนแต่หน้าตาของตำแหน่ง ไม่ได้รู้สึกว่าลูกสาวคนโตนั้นเป็นอย่างไร แต่เมื่อถูกแม่เลี้ยงกรอกหูมากเข้า เขาก็รู้สึกว่านางขวางหูขวางตา ภายหลังนอกจากเรื่องปัจจัยสี่แล้วก็ค่อยๆ ละทิ้งนาง กระทั่งขังนางไว้ในห้องบูชาบรรพชนเล็กๆ ตลอดทั้งปีเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้อื่นหัวเราะเยาะ


ตอนหลินเจี้ยนหรูพบเจอนาง นางกำลังนั่งยองๆ เด็ดดอกไม้ป่าที่มุมกำแพง ในห้องบรรพชนมืดๆ นั้นเต็มไปด้วยป้ายวิญญาณ ไม่มีคนเป็นเลยสักคน แต่นางกลับร้องเพลงเพี้ยนๆ อยู่ในห้องมืดดำนั้น ตอนต้นฤดูใบไม้ผลินางใส่เพียงเสื้อตัวเดียวเท่านั้น เท้าเปล่า ผมยาวระพื้น เนื้อตัวสกปรก มีเพียงดวงตาที่เปล่งประกาย


ยามหลินเจี้ยนหรูพูดถึงนาง มีหยุดชะงักไปหลายครั้ง มองไม่เห็นสีหน้าเขาภายใต้ความมืด มู่จิ่วไม่ได้หันไปมองหน้าโดยตรง น้ำเสียงของเขาก็สงบราบเรียบตลอด แต่กลับเดาได้ไม่ยากว่าเขารู้สึกอย่างไรอยู่ในตอนนี้


นอกจากเรื่องนี้ก็ไม่ได้พูดอะไรมาก พวกเขามาถึงเมืองเหยียนที่อู่หลานเอ๋อร์อยู่


เมืองเหยียนในยามนี้งดงามยิ่งนัก ถึงแม้เป็นยามค่ำคืนก็ยังสามารถเห็นทิวทัศน์อันสวยงามอุดมสมบูรณ์ได้ชัดเจน


เป็ดบนแม่น้ำในเมืองขึ้นฝั่งมาอย่างอาลัยอาวรณ์ เรือกระแชงก็เริ่มเก็บเข้าฝั่ง เสียงของเหล่าหญิงสาวเรียกลูกให้กลับบ้านกินข้าวดังขึ้น ตรงหัวถนน สุนัขของใครไม่รู้ไปเหยียบหางแมวที่กำลังงีบหลับตรงประตูบ้านเนื่องจากวิ่งเร็วเกินไป แมวนั้นกระเด้งตัวขึ้นไปกลางอากาศ จากนั้นก็เข้าฟัดกับสุนัขจนไม่อาจแยกออก


สถานที่ที่อู่หลานเอ๋อร์พำนักตั้งอยู่บนถนนที่ไม่เล็กไม่ใหญ่ทางด้านเหนือของเมือง หลินเจี้ยนหรูจ้างหญิงคนหนึ่งมาดูแลนาง


มู่จิ่วเพิ่งเข้าไปก็เห็นหญิงคนหนึ่งนั่งหลังตรง เงยหน้ามองต้นดอกท้อที่มุมลานบ้าน นางถูกปรนนิบัติดูแลจนสะอาดสะอ้าน เสื้อผ้าแม้จะไม่งามแต่ก็เหมาะกับรูปร่าง สีเหลืองอ่อนดูไปแล้วสบายตายิ่งนัก ผมก็คงถูกตัดสั้นลงมากแล้ว ปลายผมถูกรวบไว้อย่างเรียบร้อยที่ช่วงเอว ปักปิ่นไม้ดำบนมวยผมที่เรียบง่าย


บวกกับใบหน้าซูบผอมแต่สะอาดสะอ้าน ทำให้นางดูไปแล้วเหมือนดอกอวี้หลาน (แมกโนเลีย)


“นี่คือนาง” เสียงของหลินเจี้ยนหรูแหบแห้งอยู่บ้าง ราวกับพูดเปิดเรื่องมาเพื่อทำคอให้โล่ง จากนั้นทำสัญลักษณ์มือไปทางหญิงที่ซักผ้าอยู่มุมบ้านโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว นางหายตัวไป เสียงวุ่นวายที่อยู่ห่างไกลก็เงียบลง


มู่จิ่ววางกุญแจจันทราไว้บนไหล่ของอู่หลานเอ๋อร์ ลองขับเคลื่อนพลังวิญญาณดู เห็นเพียงกุญแจส่องสว่างเล็กน้อย ครู่หนึ่งผ่านไปกลับนิ่งสนิทอย่างที่คิดไว้


“ข้ามียันต์ สามารถพาเจ้าไปปรโลกได้ เจ้าเอาไปเถอะ!”


พูดจบนางก็หยิบโต๊ะบูชาออกมาจากกำไลไม้ จากนั้นก็เตรียมกระถางธูปยันต์อะไรก็ตามที่คู่กันไว้เรียบร้อย ก่อนร่ายรำกระบี่เผายันต์ ตอนยันต์แผดเผา ด้านหน้าก็ปรากฏถนนสายเล็กๆ ขึ้นมา ช่างห่างไกลและเลือนราง ไม่รู้มุ่งหน้าไปที่ไหน


ต่อมานางตัดผมของอู่หลานเอ๋อร์ไปปอยหนึ่ง วางเข้าไปในกุญแจจันทรา และส่งยันต์อีกแผ่นให้เขา “กระตุ้นกุญแจจันทรา หากวิญญาณที่แตกสลายอยู่ที่นั่น มันต้องมีปฏิกิริยาแน่ ตอนกลับมาให้เผายันต์นี้ มันจะนำทางเจ้ากลับมาเช่นกัน”


หลินเจี้ยนหรูเก็บกุญแจจันทราไว้ในอก จากนั้นสูดหายใจลึก ก้าวเข้าไปบนถนนสายเล็กนั้นอย่างรวดเร็ว


มู่จิ่วจุดธูปสามดอกในกระถาง ย้ายเก้าอี้ออกมาจากในเรือน แล้วนั่งอยู่ข้างอู่หลานเอ๋อร์ มองท้อต้นนั้นกับนาง


หลินเจี้ยนหรูพุ่งเข้าไปในถนนสายเล็กนั้น ยังมีเวลาอีกสามชั่วยามจึงจะถึงยามจื่อสามเค่อ แต่ยิ่งหาเร็วขึ้นหนึ่งเค่อยิ่งวางใจได้เร็วขึ้นหนึ่งเค่อ เขาต้องลดทอนเวลาเดินทางให้สั้นที่สุด


ปรโลกเก้าแดนเป็นสถานที่กักขังวิญญาณทั้งหมดในหกภพ แต่ไหนแต่ไรเขาไม่เคยไปที่นั่นเลย แต่เพราะที่นั่นกับหกภพมีส่วนเกี่ยวข้องกัน ดังนั้นจึงรู้เรื่องราวเกี่ยวกับมันมาก สำหรับภพเซียนแล้ว ปรโลกไม่ได้เป็นสถานที่ลึกลับเป็นพิเศษอะไร ดังนั้นอย่างน้อยเขาก็ไม่ต้องกังวลว่าจะพบเจออะไรเหนือความคาดหมายระหว่างทาง


เรื่องนอกเหนือความคาดหมายที่อาจจะเกิดขึ้นคือสุดท้ายแล้วไม่พบจิตต้นกำเนิดที่สลายไปอยู่ที่นั่น


อันที่จริงลู่หยาก็เป็นเพียงซ่านเซียน คำพูดของเขาอาจไม่ถูกต้อง


ไม่นานก็ถึงปลายทางสู่ปรโลก คลื่นน้ำแห่งแม่น้ำแห่งความตายเคลื่อนไหวรุนแรงภายใต้ท้องฟ้าอันมืดมิด สองริมฝั่งเรียงรายไปด้วยดอกพลับพลึงแมงมุม ราวกับแม่น้ำเลือดสะท้อนเข้าตา


ทางที่ไปปรโลกเก้าแดนเป็นถนนแห่งความตายก่อน จากนั้นข้ามสะพานไน่เหอ ข้ามแม่น้ำแห่งความตาย ผ่านเนินหลิวเอ๋อร์ ก่อนขึ้นยอดเขาหลิงถัว ที่ตีนเขาหลิงถัวก็คือปรโลกเก้าแดน เป็นนรกที่แท้จริง


แต่ถนนข้างแม่น้ำแห่งความตายกลับไม่สบายเท่าถนนแห่งความตาย ในแม่น้ำมีเสียงร้องโหยหวนเจ็บปวด เสียงหลอกหลอนเขย่าขวัญ ทั้งยังมีเหล่าวิญญาณเร่ร่อนร้องเรียก วิญญาณเหล่านี้คือวิญญาณที่ยังไม่เข้าปรโลกเก้าแดนเพื่อรอไปเกิด วิญญาณที่บาปหนาต้องลงไปในแม่น้ำ ต้องผ่านเสือเหล็กหมาป่าสำริดในน้ำที่คอยกัดตลอดทาง กระทั่งขึ้นฝั่งจึงจะไปยังศาลเหยียนหลัว (พญามัจจุราช) เพื่อรับคำตัดสินได้


…………………………………


บทที่ 307 เจ้าคือใคร

โดย

Ink Stone_Romance

เขาปิดทวารทั้งห้า เหลือเพียงลมหายใจและดวงตาสองคู่ ขับเคลื่อนพลังวิญญาณพุ่งไปยังปลายสุดแม่น้ำ


ไม่นานก็ข้ามผ่านเนินหลิวเอ๋อร์ไป จากนั้นเห็นผายอดเขาหินที่อยู่ไกลออกไป มองจากไกลๆ มันกว้างราวพันจั้ง สูงราวพันจั้ง แต่เมื่อเข้าไปใกล้ด้านหน้ากลับได้รู้ว่าที่จริงไม่ได้สูงแค่พันจั้งเท่านั้น!


ที่แท้ยอดเขาเหวยถัวนี้ตั้งอยู่กลางผา รอบยอดเขาหินว่างเปล่า มีเมฆทะมึนลอยวน แม่น้ำแห่งความตายมาสิ้นสุดที่นี่ น้ำในแม่น้ำไหลลงตามช่องว่างระหว่างยอดเขา กลายเป็นร่องน้ำยาวพันลี้สายหนึ่ง แต่ยิ่งเดินลงไปก็ไม่เห็นผิวน้ำ และไม่ได้ยินเสียงน้ำ! ได้ยินเพียงเสียงขยับของหางมังกรในเมฆหมอกและเสียงร้องมังกรที่สะเทือนหู!


ยามนี้เขาต้องข้ามผ่านผาลึกไม่เห็นก้นนี้ก่อนถึงจะไปถึงฝั่งตรงข้ามได้


ตอนนี้เขารู้แล้วว่าชื่อปรโลกเก้าแดนนี้ไม่ได้มีเพียงชื่อ ทว่าเมื่อมาถึงที่นี่แล้ว ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องไปต่อ!


เขาฝึกฝนเพลงกระบี่ได้ไม่เลวนัก ในช่วงเวลาปีกว่านี้เขาอาศัยพลังของสวรรค์จึงก้าวหน้าเร็ว ขอเพียงแค่ไม่ตกลงไปในแม่น้ำเท่านั้น เนินกว่าร้อยจั้งนี้ก็ไม่เป็นปัญหา


และแล้วเขาก็มาถึงฝั่งอย่างราบรื่น ดอกไม้บนฝั่งพลิ้วไหวไปตามลม ในสายตาคนยังดูเหมือนเลือดที่ติดอยู่บนพื้น


เขาไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา ง่ายดายกว่าที่คิดไว้เล็กน้อย ก่อนอื่นเขาเข้าไปในถ้ำบนผาสูงชัน เดินเข้าไปแล้วก็กินยาอำพรางกายที่มู่จิ่วให้เขาไว้ก่อนหน้านี้ จากนั้นหลบเลี่ยงการลาดตระเวนของเหล่าปีศาจ ผ่านระเบียงยาวเจาะอยู่ในถ้ำเหนือแม่น้ำแห่งความตาย เมื่อเดินลึกเข้าไปอีกก็ถึงปากถ้ำแห่งหนึ่ง


บนปากประตูถ้ำเขียนคำว่า ‘หยวนเจี่ย’ อยู่ตรงตำแหน่งที่สูงที่สุด คิดดูแล้วนี่คงเป็นชั้นของวิญญาณดี


จิตต้นกำเนิดที่แตกสลายของอูหลานเอ๋อร์ยากจะแยกว่าดีหรือร้าย ไม่รู้ว่าไปอยู่ชั้นไหน เขาแอบกระตุ้นพลังของกุญแจจันทรา ค่อยๆ เคลื่อนที่ไป ค่อยๆ ตามหา


นรกชั้นแรกหากจะบอกว่าเป็นนรก มิสู้บอกว่าเป็นห้องรับรอง ห้องที่สลักขึ้นจากหยกเขียว ด้านในยังมีชั้นหยกมากมาย แต่ละชั้นหยกมีถาดหยกวางอยู่ บนถาดหยกนั้นมีวิญญาณหลากสีพักผ่อนอยู่หลากหลายประเภท ในนี้มีเหล่าขุนพลอำมาตย์ที่ทำคุณไว้กับแผ่นดิน รวมทั้งเทพเทวดาเซียนพุทธ


ชั้นที่สองก็เป็นห้องเล็กๆ ที่เป็นระเบียบ จำนวนมากกว่าชั้นแรกหน่อย วัสดุที่ใช้ทำก็ล้วนเป็นหยกขาวชั้นดี เหมือนกับชั้นบน ต่างแค่คุณภาพวัสดุที่ใช้


ชั้นที่สามไม่มีประตูปิดขัง มีเพียงปราการเท่านั้น ถึงชั้นสี่จึงจะมีประตูและมีปีศาจวัวปีศาจงูเฝ้ายาม


หกชั้นแรกกุญแจจันทราไม่มีปฏิกิริยา


หลินเจี้ยนหรูรู้สึกสิ้นหวังเล็กน้อย แต่เขายังคงกัดฟันเดินเข้าไปลึกอีกชั้น


ชั้นที่เจ็ดเข้าสู่ภพชั่วร้าย แต่ละห้องล้วนมีสัตว์นรกเฝ้าอยู่ ถึงแม้หลินเจี้ยนหรูรู้ว่าพวกมันมองไม่เห็นเขา แต่ก็ยังอดรู้สึกกดดันไม่ได้ เขากำกุญแจจันทราไว้แน่น เดินเร็วๆ ไปจนสุดทาง ก่อนพลันมีเสียง ‘อืม’ เสียงหนึ่งดังมาจากในมือ เขาหยุดยืนนิ่ง พลังของกุญแจจันทราแกร่งขึ้นฉับพลัน ดันจนนิ้วของเขาเหมือนถูกผลักออกมา!


เลือดลมเขาพลุ่งพล่าน รีบมองไปรอบด้าน พลันเห็นแสงสว่างวูบวาบในห้องมืดด้านซ้ายมือ…จิตต้นกำเนิดขนาดเล็บมือสว่างเลือนๆ กำลังเคลื่อนไหวเล็กน้อย! และยังเคลื่อนเข้ามาหาเขาทีละน้อยด้วย!


เขาตื่นเต้นจนใจแทบจะหลุดออกจากคอ เวลาคล้ายเคลื่อนผ่านเชื่องช้าอย่างยิ่งในพริบตานั้น เขาวางกุญแจจันทราไว้ในมือ ยื่นมือผ่านประตูนรกเข้าไปด้านในสุดกำลัง!


สามฉื่อ สองฉื่อ หนึ่งฉื่อ…แปดชุ่น ห้าชุ่น สามชุ่น…


“วูบ!”


ยามที่เห็นว่าเกือบจะได้แล้ว กลับมีเงาร่างหนึ่งวูบผ่านทันใด ก่อนค่อยๆ เก็บจิตต้นกำเนิดกลุ่มนั้นไป!


หลินเจี้ยนหรูกระอักเลือดที่ขึ้นมากองอยู่ที่คอนานแล้วออกมา เขารับการโจมตีนี้ไม่ได้ ร่างก็ถอยหลังไปหลายก้าว


แต่สัตว์นรกและห้องคุมขังรอบด้านหายไปแล้ว เขาถูกล้อมรอบด้วยความมืดมิดที่ไร้ขอบเขต!


เขาค้อมตัวลงเล็กน้อย หัวใจเต้นรัวในอก!


ด้านหน้าพลันปรากฏแสงจุดหนึ่ง แสงนี้ค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้น ส่งกระทบผนังหินและดอกพลับพลึงแมงมุมโดยรอบ ทำให้ทิวทัศน์รอบด้านเขาสว่างขึ้นทีละน้อย…ตรงหน้าคือน้ำตก ใต้น้ำตกมีเพียงหางมังกรกับเมฆหมอกที่ไม่รู้หนาบาง ส่วนด้านหน้าเป็นยอดเขายิ่งใหญ่ที่ไม่รู้ความลึกและเต็มไปด้วยดอกพลับพลึงแมงมุม!


แต่คนที่ผ่านไปมาราวกับมองไม่เห็นเขา ประหนึ่งเขาอยู่ในอีกห้วงเวลาหนึ่ง!


เขาไม่ได้ขยับ พริบตาเดียวก็กลับมาอยู่ที่ปลายแม่น้ำแห่งความตายอีกแล้วหรือ?!


“เจ้าตกใจมากหรือ?”


ด้านหลังพลันมีเสียงอ่อนโยนดังขึ้น


เขาหันกลับไปทันที ด้านหน้าไม่รู้มีคนมายืนอยู่ตอนไหน สวมเสื้อเขียวแขนเสื้อกว้าง ดวงตาสว่างดุจดาว ผมดำขลับมีเพียงปิ่นอันเดียวปักไว้ ทิ้งตัวอยู่ระดับเอว


ภายใต้ฟ้ามืดสลัว แม้ดูไปแล้วเขาไม่เหมือนปีศาจเลยสักนิด แต่ให้กลิ่นอายเหนือสามัญ


“เจ้าเป็นใคร?” หลินเจี้ยนหรูถอยไปสองก้าว เก็บกุญแจจันทราไว้ในอกอย่างมิดชิด


ชายชุดเขียวยกมุมปากให้เขา “ข้ามาช่วยเจ้า”


หลินเจี้ยนหรูขมวดคิ้ว ก่อนถามกลับ “เท่าที่ข้ารู้ ข้าไม่ได้มีอันตรายอะไร”


“เจ้ามีอันตรายแน่” ชายชุดเขียวพูด นั่งลงบนดงดอกพลับพลึงแมงมุมด้านหลัง ชันเข่าขึ้นชมดอกไม้ แม้แต่หลินเจี้ยนหรูที่เป็นชายเห็นแล้วยังใจสั่น


เขากล่าวราวกับพูดคุยเล่น “ตั้งแต่เจ้าสังหารบิดา ตัวเจ้าก็เกิดรากฐานมารแล้ว ภายหลังเจ้าทำร้ายพี่สาวต่างมารดา หากข้าไม่ช่วยเจ้า เจ้าก็ทำได้เพียงเดินไปทางสายมารไกลขึ้นเรื่อยๆ เท่านั้น สุดท้ายต้องแหลกสลายไม่ได้ผุดได้เกิด”


หลินเจี้ยนหรูตกใจ เขาไม่รู้จักชายชุดเขียว เหตุใดเขากลับรู้เรื่องราวของตนชัดเจนทั้งหมด?!


เขาใช้ชีวิตอย่างยากลำบากในแรกพยับมานาน พยายามทำให้ตนเองนิ่งสงบแล้ว เขาชั่งน้ำหนักอยู่ครู่หนึ่งก่อนพูด “ข่าวของท่านยังไม่แม่นยำนัก ที่จริงข้าได้รับปากเพื่อนคนหนึ่งไว้แล้ว ชีวิตนี้จะไม่ทำเรื่องชั่วช้าอีก หากข้ากลับใจคืนสู่ทางสายธรรม ฟ้าจะลงโทษข้าได้อย่างไร?”


“แต่เจ้าเปลี่ยนไม่ได้” ชายชุดเขียวมองเขาพลางพูดนิ่งๆ


ชัดเจนว่าเขานั่งอยู่บนพื้น ที่จริงจะต้องเงยหน้าขึ้นมองหลินเจี้ยนหรู แต่จากมุมมองของหลินเจี้ยนหรู เขายังมีกลิ่นอายสูงส่งจนไม่อาจเทียบ และมองเขาในระดับสายตาเดียวกันด้วยความมั่นใจ


“หมายความว่าอย่างไร?” เขาพลันขมวดคิ้ว


“เพราะจิตต้นกำเนิดของอู๋หลานเอ๋อร์อยู่ในมือข้า” ชายชุดเขียวแบมือ วิญญาณแตกสลายขาดเท่าเล็บมือลอยอยู่บนมือเขา “หากข้าใช้มันข่มขู่เจ้า เจ้ายังทนไม่เดินทางสายมารได้หรือ?”


“คืนข้ามา!”


สีหน้าหลินเจี้ยนหรูพลันเปลี่ยน พุ่งเข้าหาชายชุดเขียวโดยไม่สนสิ่งใด


ชายชุดเขียวงอมือกลับมา มองเขาที่ไม่มีหนทางเข้าใกล้ในระยะสามฉื่อ “ไม่มีจิตต้นกำเนิดนี้ ความปรารถนาของเจ้าไม่มีวันเป็นจริง”


หลินเจี้ยนหรูหน้าซีดขาวทรุดลงกับพื้น มือทั้งสองกำดินและหญ้าบนพื้นแน่น


นี่เป็นความปรารถนาของเขามาตลอดสองร้อยปี! ทั้งยังเกี่ยวพันกับหนทางในอนาคตของเขา!


…………………………………………………………..


บทที่ 308 หนึ่งหมื่นปีต่อไป

โดย

Ink Stone_Romance

แต่เขารับปากมู่จิ่วไว้แล้ว ไม่ว่าอย่างไรเขาจะไม่กลับไปเดินทางสายมารอีก! และเพื่อรักษาสัญญานี้ แม้แต่เหลียงชิวฉานเขายังไม่พบมาหลายวันแล้ว!


เลือดลมในอกเขาพลุ่งพล่านไม่หยุด ทั้งยังพุ่งไปบนหัวและแขนขา เขาอ้าปาก อยากจะบอกว่า ‘ได้’ ออกมายิ่งนัก ทำเช่นนี้เขาจะสามารถนำเศษเสี้ยวจิตต้นกำเนิดกลับมาได้ตามต้องการ และซ่อมแซมวิญญาณของอู่หลานเอ๋อร์ก่อนยามจื่อสามเค่อ!


อย่างไรเขาก็ไม่ใช่คนดีอะไร สังหารแม้กระทั่งบิดาของตน พี่สาวต่างมารดาก็ไม่ละเว้น แม้แต่เรื่องสกปรกเช่นใช้เรื่องพรหมจรรย์มาบีบบังคับข่มขู่หญิงสาวก็ทำมาแล้ว เวลานี้ทำชั่วอีกเรื่องเพื่อมารดา จะมีอะไรหนักหนากัน?!


แต่การกลายเป็นคนชั่วโดยสมบูรณ์ไม่ใช่ความต้องการของเขาเลย บาปที่เขาก่อขึ้นทั้งหมดล้วนไม่ใช่สิ่งที่เขาตั้งใจไว้ สิ่งที่เขาต้องการคือแข็งแกร่งขึ้นเพื่อหลุดพ้นจากสำนักแรกพยับโดยเร็ว จากนั้นกลับไปสู่สิ่งที่เขาควรมีและชีวิตอันสงบสุขที่หวังมานาน!


ดังนั้นเขาจึงยืนกรานรับปากมู่จิ่วว่าจะไม่ทำอะไรผิดต่อวิถีฟ้าอีกแล้ว!


นี่ไม่ใช่เพียงเพราะนาง แต่ยังเพื่อตนเองด้วย เขาไม่อาจผิดคำพูดได้!


ในเมื่อนางหวังดีต่อเขา อย่างน้อยเขาก็ต้องทำตามคำสัญญาที่ให้นางไว้…


เขาเหลือบมองเศษเสี้ยวจิตต้นกำเนิดในมือของชายชุดเขียว เอ่ยเสียงสั่นว่า “ข้า…ข้ารับข้อเสนอไม่ได้!”


ชายชุดเขียวชะงัก


สายตาอีกฝ่ายมองลงมา หลินเจี้ยนหรูมองไม่ออกว่าแววตาคู่นี้ซ่อนความรู้สึกใดไว้


เขาคิดกระทั่งว่าชายชุดเขียวอาจจะโกรธกริ้วจนลงมือกับตนเอง


แต่อีกฝ่ายก็ไม่ได้ทำ


ชายชุดเขียวเพียงมองหลินเจี้ยนหรูอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนพลันหันไปมองที่ไกลๆ มุมปากบนใบหน้าที่หันข้างของเขาเหมือนยกขึ้นเล็กน้อย อีกทั้งยังอ่อนโยน เหมือนนุ่นที่ร่วงหล่นบนหลังมือในฤดูหนาว


แต่ยามที่สายตานั้นจับจ้องบนร่างของเขากลับไม่เป็นเช่นนั้นแล้ว มันกลายเป็นราบเรียบ มองไม่เห็นถึงความรู้สึกใดๆ


“เจ้ายืนยันว่าจะไม่ทำตามข้า?” เขาถาม


หลินเจี้ยนหรูพยุงตนเองขึ้นมา นั่งลงมองเขากลับ “ข้าสาบานต่อนางแล้ว หากข้าผิดสัญญา ต่อไปต้องสลายกลายเป็นเถ้าถ่าน และหากข้าเดินทางสายมารก็คงมีบทสรุปสุดท้ายเช่นเดียวกันอยู่ดี เช่นนั้นแล้วทำไมข้าต้องผิดสัญญากับนางด้วย ได้ชื่อว่ารักษาคำมั่นสัญญาไว้มิดีกว่าหรือ?”


ชายชุดเขียวมองเขา นิ่งอยู่พักหนึ่ง


เขาไม่ได้ลนลานอีก หันกลับไปมองยอดเขาเหวยถัวที่อยู่ไกลๆ ปัดดินบนเสื้อก่อนลุกขึ้นยืน


แขนขาของเขาไม่มีเรี่ยวแรงราวกับเป็นตะคริว หากบอกว่าไม่เสียใจก็โกหกแล้ว แต่เขาไม่นึกเสียดาย


เขาไม่ต้องการผิดต่อคำสาบานที่เขาให้ไว้


“เช่นนั้น ถ้าข้าใช้กุญแจจันทรากดดันเจ้าล่ะ?”


เสียงของชายชุดเขียวดังขึ้นด้านหลัง


หลินเจี้ยนหรูชะงักก่อนลูบที่ข้างเอว…ไหนเลยจะยังมีกุญแจจันทราอยู่!


เขาหันตัวกลับไป กุญแจเซียนโบราณอยู่ในมือชายชุดเขียว!


จิตใจของหลินเจี้ยนหรูพลันขมวดแน่นถึงขีดสุด!


“เจ้าคิดจะทำอย่างไรกันแน่!”


สีหน้าแววตาเขาเปลี่ยนเป็นดุร้าย กุญแจจันทราเป็นของที่มู่จิ่วยืมมาให้ หากเขาไม่นำกลับไป เขาก็ผิดคำพูดต่อนางเช่นกัน อีกทั้งสิ่งนี้เขาไม่สามารถตัดสินใจได้ว่าจะเอาหรือไม่เอา! เขาต้องนำมันกลับไป! ประเด็นคือถ้าไม่มีกุญแจจันทรา เขาก็ไม่สามารถซ่อมแซมจิตต้นกำนิดของอู่หลานเอ๋อร์ได้!


“ทำตามข้า ข้าสามารถปกป้องไม่ให้วิญญาณเจ้าสลายในท้ายที่สุดได้” ชายชุดเขียวเดินเข้ามา นั่งยองลงตรงหน้าเขา


หลินเจี้ยนหรูเบิกตากว้าง มองฝ่ายตรงข้ามจนตาแทบจะถลนออกมาแล้ว


“หากข้าไม่รับปากเล่า?”


“ไม่รับปาก กุญแจจันทรานี้ก็จะหายไป”


เขามองของวิเศษในมือ ใบหน้าที่ก้มลงเล็กน้อยดูมีมิติมากขึ้นเมื่ออยู่ภายใต้แสงสลัว


แต่ตอนนี้หลินเจี้ยนหรูมองใบหน้านี้แล้วอดสั่นเทาไม่ได้…เขาเป็นมารร้าย เขาต้องเป็นมารร้ายแน่!


มือทั้งสองกำหญ้าสูงระดับเข่าแน่น รู้สึกเสียใจภายหลังขึ้นโดยพลัน เมื่อครู่ทำไมไม่รบเร้าให้มู่จิ่วตามเขามา หากนางมา อย่างน้อยนางก็ช่วยตัดสินใจได้ว่าเขาควรทำอย่างไร ตอนนี้เขาควรทำอย่างไรดี? ร่วมมือกับชายชุดเขียว เขาก็ทำลายคำมั่นสัญญา หากไม่ร่วมมือแล้วปล่อยให้ทำลายกุญแจจันทรา เขาก็ผิดสัญญาต่อนางเช่นกัน


หากเขาละทิ้งทุกอย่างตอนนี้แล้วกลับไป บอกว่ากุญแจจันทราถูกคนทำลายไปแล้ว นางจะเชื่อหรือไม่?


เขาเป็นคนที่สังหารแม้กระทั่งบิดาแท้ๆ ของตนเอง หากมู่จิ่วเห็นเขาเป็นพวกละโมบก็คงไม่แปลกนัก


ถึงตอนนั้นเขาคงไม่มีทางอธิบายกับนางได้ แม้เขาจะพูดเก่งขนาดไหนก็ไม่มีหนทางอธิบาย!


เจ้ามารผู้นี้กลับฝังกลบหนทางถอยของเขาจนสิ้น เขาไม่เคยอยากเป็นคนชั่ว แต่ตอนนี้เขาไม่มีทางเลือกอื่น!


“ตอนนี้ใกล้ยามจื่อสามเค่อแล้ว เจ้าต้องรีบตัดสินใจหน่อย” ชายชุดเขียวพูดอย่างไม่เร็วไม่ช้า


หลินเจี้ยนหรูกลืนน้ำลาย ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “ทำไมถึงเป็นข้า?” ใต้หล้านี้มีคนชั่วมากมาย ทำไมต้องเป็นเขา!


ชายชุดเขียวดูราวกับสนใจคำถามนี้ เขาหรี่ตาครุ่นคิด สุดท้ายก็ยกริมฝีปากเอ่ย “คำถามนี้ถามได้น่าสนใจยิ่ง”


พูดจบเขาก็สะบัดแขนเสื้อ ความว่างเปล่าเบื้องหน้าพลันปรากฏม่านแสง ด้านในเป็นภาพทิวทัศน์อีกที่หนึ่ง


มันเป็นเนินเขามีแสงแดดส่องทั่วถึง ต้นไม้ใบหญ้าอุดมสมบูรณ์ มีคนกุมแผลโชกเลือดเดินกะโผลกกะเผลก ผมปล่อยสยายปรกใบหน้าที่เต็มไปด้วยไอมาร และถึงแม้จะห่างกันห้วงอวกาศหนึ่ง แต่ก็รู้สึกได้ถึงวิถีมารนองเลือดบนร่างเขา


“รู้สึกว่าคุ้นเคยมากหรือไม่?” ชายชุดเขียวถาม


หลินเจี้ยนหรูไม่ตอบ เขารู้สึกคุ้นตาคนผู้นี้นัก แต่มองไม่เห็นหน้าจึงไม่รู้ว่าเป็นใคร


“นี่คือเจ้าในอีกหมื่นปีจากนี้” ชายชุดเขียวมองไปบนภาพ พูดช้าๆ “ชะตาชีวิตของเจ้าถูกลิขิตให้เป็นมาร ไม่ว่าเจ้าจะไม่อยากเป็นขนาดไหน แต่นี่คือสิ่งที่กำหนดไว้แล้ว ไม่ว่าเจ้าจะมีความกล้าหาญอยากรักษาสัญญากลับสู่ทางธรรมมากเพียงใด แต่ไอมารที่เจ้าแบกรับไว้หนักหนานัก สุดท้ายเจ้าก็หนีไม่พ้นชะตาที่ต้องเดินทางสายนี้อยู่ดี”


ชายชุดเขียวพูดถึงตรงนี้ คนในภาพก็ยืนหยัดต่อไปไม่ไหว แหงนหน้าล้มลง ใบหน้าของเขาจึงเผยโฉมให้เห็นระหว่างผมเผ้าอันยุ่งเหยิง


หลินเจี้ยนหรูตกตะลึง! ใบหน้านี้เขาเห็นมาแล้วสองร้อยปี ไม่มีทางมองตนเองผิดไปแน่!


“นี่คือเรื่องจริงหรือ?!” แม้แต่น้ำเสียงเขาก็สั่นเทา


ชายชุดเขียวไม่ตอบ เพียงจับจ้องไปยังม่านแสง


หลินเจี้ยนหรูในภาพนอนอยู่ไม่นาน ก็พลันมีเงาร่างหนึ่งบินเข้ามาบนพื้น แล้วกลายเป็นหญิงสาวที่คล้ายกับหยาดน้ำบนดอกพุดตาน


ทั้งร่างหญิงสาวดูงดงาม ผมยาวปล่อยสยาย นางยกกระโปรงตัวยาว เดินทอดน่องเท้าเปล่าอยู่บนพื้นหญ้า นางเดินวนเล่นอยู่ตรงนั้น พลังวิญญาณของนางก็บริสุทธิ์เช่นเดียวกับลักษณะของนาง เหมือนกับคลื่นน้ำและสายลม คลื่นแล้วคลื่นเล่ากระทบเข้ากับต้นไม้โดยรอบ ทั้งยังพัดผมดำยาวของนางลอยขึ้น


หลินเจี้ยนหรูไม่เคยเห็นพลังวิญญาณที่แข็งแกร่งขนาดนี้มาก่อน ทั้งยังเป็นธรรมชาติและบริสุทธิ์เพียงนี้!


เขาไม่เคยพบเจอหญิงสาวเช่นนี้ ความงามของนางไม่ใช่สิ่งที่ดึงดูดใจคนที่สุด แต่เป็นรัศมีที่ไม่อาจบรรยายได้ทั่วเรือนร่าง…


หลินเจี้ยนหรูไม่รู้จะพรรณนานางอย่างไร


นางหยุดอยู่ที่ใต้ต้นหงเฟิง (เมเปิ้ลแดง) แล้วมองไปรอบๆ ไม่สนใจว่าการปลดปล่อยพลังวิญญาณที่แข็งแกร่งขนาดนี้ออกมาจะมีอะไรไม่ดี


…………………………………………………………….


บทที่ 309 อย่าคิดมาก

โดย

Ink Stone_Romance

นางก้มลงเก็บใบไม้ที่ร่วงหล่นลงจากต้น และเด็ดดอกไม้สดจากพุ่มหญ้า


ท้ายสุดนางก็พบเขาที่นอนอยู่บนพื้น ดวงตาพลันสว่างไสว กระตือรือร้นขึ้นมา พลังวิญญาณรอบร่างยิ่งเคลื่อนไหวรุนแรงขึ้น นางร้องเรียกพลางโผเข้าไปหา “อาลู่!” เสียงนั้นใสเสียจนรู้สึกเปี่ยมสุขหวานล้ำ หญิงที่มีพลังวิญญญาณยิ่งใหญ่ขนาดนี้คงจะสูงส่งเกินเอื้อมอย่างมาก แต่นางกลับตื่นเต้นเพราะคนอีกคน…


“มู่…มู่จิ่ว!”


หลินเจี้ยนหรูตกตะลึง!


เขาไม่อยากเชื่อเลยว่าหญิงที่มีพลังวิญญาณบริสุทธิ์ไร้คาวโลกีย์ผู้นั้น จะมีใบหน้าเหมือนมู่จิ่วทุกประการ!


เสียงของนางกระจ่างเสนาะหู เหมือนกับเสียงของมู่จิ่วในตอนนี้ เครื่องหน้าของนางงดงาม พิมพ์เดียวกับนางที่เขาเพิ่งแยกจากมาเมื่อสักครู่ แต่มู่จิ่วในภาพกับในความเป็นจริงกลับมีบุคลิคต่างกันโดยสิ้นเชิง! นาง ณ ตรงนี้เหมือนหญิงอ่อนโยนอ่อนหวานที่มีกิริยางดงาม แต่ในความเป็นจริงนางกลับเจ้าอารมณ์นัก…


เขาลุกขึ้นเดินเข้าไป แต่ม่านแสงพลันหายวับ!


ด้านหน้าเหลือเพียงความว่างเปล่า ไม่มีอะไรทั้งสิ้น


เขาหันกลับไปมองชายชุดเขียว ฝ่ายนั้นยังคงมองไปข้างหน้าราวกับเหม่อลอย ไม่ขยับแม้แต่น้อย


“นั่นคือมู่จิ่วหรือ?!” เขากลืนน้ำลาย


ชายชุดเขียวละสายตามา ความอ่อนโยนที่เหลือหายไปจากดวงตาเขา เขาไม่ได้ตอบตรงๆ ว่าใช่หรือไม่ บางทีอาจรู้สึกว่าเป็นคำตอบที่เกินความจำเป็น หรือบางทีอาจไม่อยากให้หลินเจี้ยนหรูรู้มากไป


“ตอนนั้นเจ้าบาดเจ็บหนัก และนางเพิ่งออกจากบ้านครั้งแรก ไม่มีประสบการณ์ที่โลกภายนอกเลยสักนิด โง่งมจนไม่รู้จักเก็บพลังไป หากตอนนั้นเจ้าดูดรับพลังนาง ไม่เพียงบาดแผลจะหายดีทันที อาคมก็จะก้าวหน้าขึ้นมาก แต่เจ้าไม่ได้ทำเช่นนั้น ชัดเจนว่าเจ้ายังมีหนทางเยียวยา”


“ดังนั้นข้าจึงมาให้โอกาสเจ้า เปลี่ยนชะตาชีวิตเจ้า”


ใบหน้าหลินเจี้ยนหรูสั่นไหว “เจ้าต้องการให้ข้าทำเช่นไรกันแน่?”


ฟังจากน้ำเสียงเขาไม่เหมือนว่าต้องการทำร้ายนาง หากไม่ให้ทำร้ายผู้อื่น เขาจะลงทุนลงแรงเช่นนี้เพื่ออะไร?


ชายชุดเขียวนิ่งงัน เดินไปหลายก้าว ว่างเว้นไปชั่วครู่หนึ่งจึงหันกลับมา มองเขาคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “ข้าอยากให้เจ้ากลายเป็นมารก่อนกำหนดเวลา”


หลินเจี้ยนหรูตกตะลึง มือทั้งสองกำหมัด “เจ้าบอกว่าจะเปลี่ยนชะตาชีวิตข้ามิใช่หรือ?!”


“ข้าไม่เคยเปลี่ยนทางเลือกของผู้อื่น แต่บทสรุปสามารถตกลงกันได้ ทางที่เจ้าควรเดินก็ต้องเดิน เพียงแต่ข้าจะทำให้มันเกิดเร็วขึ้นหน่อยเท่านั้น”


หลินเจี้ยนหรูโงนเงน ในอกเต็มไปด้วยความขมขื่น


เขาเงยหน้ามองชายชุดเขียว หมดหวังเหมือนทหารพ่ายสงครามเดินไปสู่ทางตัน


“นี่เจ้ากำลังบีบบังคับให้ข้าตัดขาดกับนาง” เขาพึมพำ


“ช้าเร็วก็ต้องเป็นเช่นนี้” น้ำเสียงชายชุดเขียวยังสงบ “เพราะสุดท้ายแล้วเจ้าต้องตายด้วยน้ำมือนาง” พูดถึงตรงนี้เขาก็ยิ้ม “อย่าคิดไปว่านางฆ่าคนไม่เป็น ตอนนางโกรธก็ไม่ไว้หน้าใครทั้งนั้น”


หลินเจี้ยนหรูรู้สึกว่าคำพูดนี้เหมือนความหนาวเย็นที่มาจากแกนโลก พุ่งจากใต้เท้าตรงเข้าสู่หัวใจเขา


มู่จิ่วฆ่าเขา…


นางเป็นคนใจอ่อนเช่นนั้น มีเมตตาเพียงนั้น สุดท้ายกลับยังฆ่าเขา…


“เจ้าเป็นใครกันแน่? ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าคำพูดเจ้าเป็นจริงหรือไม่?!” เขาพลันเงยหน้าขึ้นมา ดวงตาสาดประกายแสงไปยังชายชุดเขียว


ชายชุดเขียววางฝ่ามือบนกระหม่อมของเขา “รอข้ายอมให้เจ้าเข้าถึงข้าก่อน เจ้าก็จะเชื่อเอง”


หลินเจี้ยนหรูไม่ทันต้านทาน…ในความเป็นจริงเขาก็ไม่มีปัญญาต่อต้าน รู้สึกว่ามีกระแสพลังขุมหนึ่งไหลเข้ามาในร่างเขาช้าๆ ผ่านชีพจร กระแทกจนแขนขาของเขาเหน็บชาอ่อนแรงไปหมด และไม่อาจใช้เรี่ยวแรงได้! เขาค่อยๆ รู้สึกว่ากระแสพลังนี้เหมือนน้ำท่วม เคลื่อนไหวไปทั่วร่างเขาไม่หยุด บ้าคลั่งอย่างต่อเนื่อง จนสุดท้ายเขารับไม่ไหว ร้องตะโกนแล้วทรุดลงไป!


รอบด้านค่อยๆ เงียบสงบลง กระแสพลังภายในร่างก็ค่อยๆ ไร้การต่อต้าน เขาเงยหน้าขึ้น ชายชุดเขียวยังคงอยู่เบื้องหน้าเขา ไพล่มือมองเขา


หลินเจี้ยนหรูลุกขึ้นมา พลันรู้สึกว่าจุดตันเถียนอบอุ่นขึ้นและขยับเบาๆ พลังวิญญาณยืดยาวต่อเนื่องเหมือนกับลำน้ำ


“ตอนนี้ขั้นเซียนของเจ้าถึงขั้นหัวเสินแล้ว แต่อาคมกลับแข็งแกร่งกว่า หากพินิจกันจริงจัง เจ้าก็ไม่ต่างอะไรกับซ่านเซียนผู้หนึ่ง แต่เจ้าไม่อาจสำเร็จเป็นเซียนได้ เพราะข้าไม่ได้ถอนรากฐานมารเจ้าออกมา และรากฐานมารของเจ้าไม่เกี่ยวอะไรกับข้า”


หลินเจี้ยนหรูมองเขา ไม่ได้พูดอะไร


ในเมื่อรู้แล้วว่าเป้าหมายของชายชุดเขียวคือให้เขากลายเป็นมารล่วงหน้า เรื่องที่สำเร็จเป็นเซียนไม่ได้ก็ไม่ทำให้เขาตื่นตกใจแล้ว


เขาเชื่อในความสามรถของชายชุดเขียวโดยสมบูรณ์ พลังวิญญาณที่ส่งมาให้เมื่อครู่ เขาไม่เคยพบมาก่อนทั้งจากหัวชิงและเหล่าเซียนบนสวรรค์ พลังวิญญาณของเขามากมายราวกับจะใช้ไม่หมด มอบมันให้กับร่างคนต่ำต้อยตามแต่ใจ แต่เขาตรงหน้าก็ดูไม่ได้รับผลกระทบอะไรกับการสูญเสียพลังวิญญาณไปเลย


เขาเรียกสติกลับมา ก่อนพูด “ต่อไปข้าจะเป็นอย่างไร?”


“เจ้าจะเป็นอย่างไรขึ้นอยู่กับเจ้า ไม่ใช่ข้าเป็นผู้กำหนด” ชายชุดเขียวกล่าว “ถึงแม้ข้าทำให้เจ้าได้พลังวิญญาณมากมายขนาดนี้ก่อนหน้า แต่ก็ไม่มีอะไรต้องการให้เจ้าทำเป็นพิเศษ เจ้าสามารถทำตามใจปราถนาได้”


หลินเจี้ยนหรูกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก “หากข้ายืนกรานไม่เดินสู่ทางสายมารเล่า?”


“ก็แล้วแต่เจ้า” เขาไม่สนใจอันใด “เพียงเจ้าควบคุมความปรารถนาของเจ้าได้ ข้าก็ยินดีจะเห็นเจ้าเดินทางสายธรรม”


หลินเจี้ยนหรูกัดฟันยืนขึ้นมา “ข้าทำสำเร็จแน่!”


ชายชุดเขียวยิ้มน้อยๆ พลางพยักหน้า ในรอยยิ้มปราศจากความดูแคลนและเย้ยหยัน เป็นการตอบรับแบบปกติยิ่ง


หลินเจี้ยนหรูพูดอีก “เจ้าบอกข้าได้หรือไม่ว่าแท้จริงเกิดอะไรขึ้นกับมู่จิ่ว? นางในอีกหมื่นปีข้างหน้าทำไมถึงกลายเป็นเช่นนั้น? ทำไมเจ้าบอกว่านางออกจากบ้านครั้งแรก? ยังมีอีก ทำไม่นางเรียกข้าด้วยชื่อประหลาดแบบนั้น? หรือ… หรือว่านั่นเป็นชาติหน้าของนาง?”


นางในภาพนั้นต่างกับนางในตอนนี้ราวกับเป็นคนละคน หากนางไม่ได้กลับชาติมาเกิด ทำไมนางถึงเปลี่ยนไปเป็นเช่นนั้น?


นางที่ตื่นเต้นยามเจอเขานอนอยู่บนพื้น ขนาดเขาเห็นแล้วยังใจเต้น…


ชายชุดเขียวนิ่งอยู่นาน จนกระทั่งเงียบพอแล้วจึงค่อยตอบประโยคหนึ่ง “อย่าคิดมาก นางเพียงคิดว่าเจ้าเป็นข้าเท่านั้น”


เรื่องที่เหลือเขาไม่ได้ตอบอะไร ทำไมนางออกมาครั้งแรก ทำไมนางมีพลังวิญญาณมากมายเพียงนั้น ใช่ชาติหน้าหรือไม่ ทำไมบุคลิกเปลี่ยนไป เขาไม่ตอบอะไรเลย


หลินเจี้ยนหรูอับจนคำพูด


“เจ้าควรกลับไปได้แล้ว”


ขณะกำลังสับสน ชายชุดเขียวพลันยื่นมือออกมา ส่งจิตต้นกำเนิดที่แตกสลายและกุญแจจันทราให้เขาช้าๆ


เขารีบรับมาก่อนเงยหน้าขึ้นอีก แต่กลับไม่เห็นเงาร่างของชายชุดเขียวแล้ว


มู่จิ่วนั่งอยู่ใต้ต้นดอกท้อ ชมดอกไม้ และก็คอยดูอู่หลานเอ๋อร์ไปด้วย


ตอนนี้อู่หลานเอ๋อร์สงบยิ่งนัก นางที่สงบนิ่งดูไปแล้วก็มีความงามพิเศษเฉพาะอีกแบบหนึ่ง ดวงตาของนางทั้งโตและกระจ่างใส จนทำให้มู่จิ่วรู้สึกว่านางมองเห็นบางเรื่องที่คนอื่นมองไม่เห็น


มู่จิ่วชอบมองคนงาม ไม่ว่าชายหรือหญิง แน่นอนว่านางไม่ใช่คนบ้าตัณหา เพียงดื่มด่ำความงามเท่านั้น


……………………………………….


บทที่ 310 ศิษย์พี่มีธุระ?

โดย

Ink Stone_Romance

อู่หลานเอ๋อร์ในตอนนี้งดงามยิ่งนัก ทำให้นางคิดถึงตอนที่หลินเซี่ยเห็นอู่หลานเอ๋อร์ในตอนแรก คงต้องก้าวขาไม่ออกเป็นแน่


ภายใต้สถานการณ์เช่นนั้น อู่หลานเอ๋อร์กลับยินยอมเก็บหลินเจี้ยนหรูไว้และละทิ้งโอกาสแต่งงานกับผู้อื่น เห็นได้ชัดว่ารักหลินเซี่ยและลูกในท้องจริง ความตั้งใจของนางก็คู่ควรให้หลินเจี้ยนหรูไม่อาจปล่อยวางนางได้ตลอดหลายปีมานี้ เพียงหวังว่าหลังจากซ่อมแซมจิตต้นกำเนิดเรียบร้อยแล้ว ชีวิตในภายภาคหน้าของนางจะราบรื่น ได้คบหากับคนดี มีชาติภพที่สงบสุข


อู่หลานเอ๋อร์เงยหน้ามองดอกไม้เหนือหัว มู่จิ่วพลันอยากจะร่ายยันต์ปกป้องให้นาง


ถึงแม้วิชาของมู่จิ่วจะต่ำ ไม่ดีเหมือนที่หลิวหยางทำ แต่อย่างน้อยก็มีผลนิดหน่อย


“เขากลับมาแล้ว”


เพิ่งเด็ดดอกไม้ลงมา อู่หลานเอ๋อร์ที่เงียบมาตลอดก็ส่งเสียง ใบหน้าที่แหงนขึ้นเล็กน้อยก็ก้มลงมา


“หืม?” มู่จิ่วมองไปรอบๆ


อู่หลานเอ๋อร์กลับยืนขึ้นแล้ว ก่อนเดินไปยังโต๊ะบูชาอย่างเชื่องช้าราวคนใจลอย


นางเพิ่งหยุดยืนอยู่หน้าโต๊ะบูชา ก็ปรากฏถนนเล็กสายหนึ่งในลานบ้านมืดสลัว มีคนเดินก้าวยาวๆ ออกมาจากถนนสายนั้น เป็นหลินเจี้ยนหรูนั่นเอง!


“อา เป็นเจ้า!”


มู่จิ่วไปต้อนรับเขา “สำเร็จหรือไม่?!”


หลินเจี้ยนหรูมองนางอย่างตื่นตะลึงอยู่นาน จากนั้นก้มหน้าลง “สำเร็จแล้ว”


เขาเอากุญแจจันทรากับเศษเสี้ยวจิตต้นกำเนิดออกมา


มู่จิ่วรีบนำกุญแจจันทรามากระตุ้นพลังวิญญาณ เป็นจิตต้นกำเนิดที่แตกสลายส่วนนั้นของอู่หลานเอ๋อร์ไม่ผิดแน่!


“ดียิ่งนัก!”


นางพูดพลางรีบประคองอู่หลานเอ๋อร์ขึ้นมานั่ง จากนั้นนั่งขัดสมาธิ กระตุ้นกุญแจจันทรา ใช้อาคมของมันซ่อมแซมจิตต้นกำเนิดอย่างช้าๆ


หลินเจี้ยนหรูก้มหน้าลงมองมือของตน จากนั้นมองมู่จิ่วที่ทุ่มเทกำลังช่วยเขา ในใจมีความรู้สึกแปลกพิกล


ด้วยพลังของเขาในตอนนี้ ไม่จำเป็นต้องให้นางพยายามลงมือ แต่ยามนี้จิตใจเขาสับสนนัก จะพูดเรื่องจริงออกมาได้อย่างไร?


เขาจะพูดได้อย่างไรว่าตนผิดสัญญาที่มีไว้ให้นางแล้ว?


“เรียบร้อยแล้ว!”


ขณะเขากำลังนิ่งอึ้ง มู่จิ่วก็ยืนขึ้น ประคองอู่หลานเอ๋อร์ที่หลับอยู่ไปเอนนอนบนตั่งไม้ที่เรียกออกมา


เขารีบเรียกสติ เดินเข้าไปดู อู่หลานเอ๋อร์ลืมตาเห็นเขาก็รีบลุกนั่งขึ้นมา “พวกเจ้าคือใคร?”


หลินเจี้ยนหรูก็อดไม่ได้อีก ดึงนางเข้ามากอดไว้แนบอกอย่างตื่นเต้น


ร่างของอู่หลานเอ๋อร์แข็งเกร็ง อยากจะร้องตะโกน มู่จิ่วรีบดึงหลินเจี้ยนหรูออกมาก่อนปลอบนาง “แม่นางอู่ไม่ต้องตกใจ นี่เป็นหมอเทวดาที่มารักษาอาการป่วยเจ้า ไม่รู้ว่าเจ้าจำเรื่องก่อนหน้านี้ได้หรือไม่ มีคนร้องขอให้พวกเรามาช่วย ตอนนี้โรคของเจ้าหายแล้ว เจ้าสามารถกลับไปได้แล้ว”


“รักษาโรค?” อู่หลานเอ๋อร์มองพวกเขาอย่างงุนงง ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ราวกับนึกขึ้นได้ “พ่อของข้าเป็นนายอำเภอเมืองเหยียน ข้าเป็นลูกสาวคนโตของเขา! แม่แท้ๆ ของข้าตายนานแล้ว แม่บุญธรรมโหดเหี้ยม ขังข้าไว้ในหอบรรพชน!”


ถึงแม้แต่ก่อนนางจะปัญญาอ่อน แต่กลับมีความทรงจำอยู่ ดังนั้นจะใช้ชีวิตอย่างไรคงไม่เป็นปัญหา


“ไม่ผิด” มู่จิ่วพยักหน้า “ตอนนี้หากเจ้ายินดีกลับไป พวกเราก็จะไปส่งเจ้า หากไม่ยินดีกลับไป พวกเราส่งเจ้าไปที่อื่นที่อยากไปได้”


สุดท้ายอู่หลานเอ๋อร์เลือกที่จะกลับไป บนโลกมนุษย์ หญิงอ่อนแออาศัยอยู่ตัวคนเดียวก็ลำบากยิ่งนัก


ถึงแม้ตระกูลอู่ปฏิบัติต่อนางไม่ดี แต่ในที่สุดนางก็มีจิตต้นกำเนิดที่สมบูรณ์ สติปัญญาของนางปกติแล้ว ไม่ว่าอย่างไรภายภาคหน้าต้องดีกว่าเดิมมากแน่


ระหว่างทางกลับมู่จิ่วดีใจอย่างมาก ถึงแม้ชะตาชีวิตของอู๋หลานเอ๋อร์ไม่เกี่ยวข้องกับนาง แต่ทำเรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นสำเร็จก็เป็นเรื่องที่น่ายินดี


แต่หลินเจี้ยนหรูกลับเงียบขรึม ตลอดทางพูดไม่มากนัก เขาไม่อาจไม่เงียบได้ เพราะกลัวหลุดพูดอะไรออกมา และตอนนี้เขาจะไม่คิดได้อย่างไร? เรื่องราวประหลาดนัก ยากจะจินตนาการได้ ยามมู่จิ่วพูดถึงเรื่องอู่หลานเอ๋อร์ด้วยเขาถึงจะยิ้มออก สีหน้าผ่อนคลาย แต่ไม่ชัดเจนเหมือนที่นางคิดเอาไว้


มู่จิ่วก็ไม่ได้กดดัน เพียงคิดว่าเขาคงหมดแรงหลังจากทำสำเร็จดั่งหวัง อย่างไรเขาก็เป็นคนที่มีประสบการณ์มาก จะไม่เปลี่ยนไปสงบนิ่งได้อย่างไร?


หลินเจี้ยนหรูหยุดฝีเท้าที่ประตูสวรรค์แดนใต้ มองมู่จิ่วอย่างล้ำลึกภายใต้ฟ้ามืด


นางภายใต้แสงจันทร์ก็เงียบขรึมมาก ผมยาวที่ระแผ่นหลังและชุดกระโปรงสีน้ำเงินเผยให้เห็นใบหน้าที่น้อยคนนักจะรู้ออกมา


“ต้องการพูดอะไรหรือไม่?” นางเงยหน้าขึ้นพูด


เขาหลบสายตา ครู่หนึ่งถึงหันกลับมากล่าว “อยากขอบคุณเจ้ามาก”


มู่จิ่วยิ้ม “ช่างเถิด ไม่ต้องพูดอะไรเช่นนี้แล้ว ต่อไปเจ้าเพียงบำเพ็ญเพียรเป็นเซียนอย่างสงบ ก็ดีกว่าอะไรทั้งหมดแล้ว ข้ามักนึกถึงยามที่ใต้เท้าหลิวรังแกข้าในครั้งนั้น เป็นเจ้าที่ยืดอกออกมาปกป้องข้า เห็นเจ้าสงบสุขข้าก็วางใจ”


หลินเจี้ยนหรูไม่รู้จะพูดอะไรดี นางไม่รู้ เมื่อมีพลังบำเพ็ญและพลังวิญญาณที่เพิ่มมาโดยไม่ต้องลงแรงนี้อยู่ในร่าง เกรงว่าเขาจะฝึกบำเพ็ญอย่างสงบสุขไม่ได้อีก


“ดึกแล้ว เจ้ากลับไปก่อนเถิด” เขาพูด


มู่จิ่วพยักหน้าแล้วจากไป


เขามองนางหายไปจากถนนอยู่ที่เดิม ก่อนหมุนตัวกลับหอวิหคแดง


เขาตั้งใจขี่เมฆกลับไป รวดเร็วกว่าก่อนหน้านี้ไม่รู้กี่เท่า


เพียงคิดก็คาดเดาได้ พลังด้านอื่นของเขาก็พัฒนาขึ้นเช่นกัน


แต่เขายังรู้สึกหมดเรี่ยวแรง เดิมทีเขาคิดว่าจะสามารถบำเพ็ญตนอย่างสงบสุขได้แล้ว ทว่าเรื่องกลับไม่เป็นอย่างที่หวัง เขาเพิ่งแก้ไขอุปสรรคได้เรื่องหนึ่ง ตัวเองกลับตกลงไปอยู่ในเงื้อมมือของผู้อื่น


เขาหยุดอยู่ใต้ต้นสนใหญ่ในลาน เงยหน้ามองฟ้า


ถึงตอนนี้เขาถึงเพิ่งสงบใจครุ่นคิดเรื่องราวก่อนหลังได้ และพิจารณาถึงชายชุดเขียวผู้ลึกลับนั้น


เขาเป็นใครกันแน่?


เขาเกี่ยวข้องอะไรกับมู่จิ่ว?


เขาต้องการจะทำอะไร?


ตอนที่มู่จิ่วในม่านแสงนั้นเรียกเขาซึ่งได้รับบาดเจ็บว่า ‘อาลู่’ นางเปล่งประกายสดใสอย่างมาก ดวงตาทั้งสองของนางส่องประกายดุจดาวบนฟ้า ความเป็นมิตรของนางจริงใจและเต็มเปี่ยม ยามชายชุดเขียวพูดถึงนาง บอกว่านางออกมาข้างนอกครั้งแรก บอกว่านางโง่จนกักเก็บพลังวิญญาณไม่เป็น น้ำเสียงที่ใช้ไม่ได้ประชดประชัน แต่กลับเอ็นดูและจนปัญญา เห็นได้ชัดว่าความรู้สึกของนางในหมื่นปีให้หลังกับ ‘อาลู่’ นั้นลึกซึ้งมาก


เช่นนั้นตอนนี้เขาทำอะไรอยู่?


มู่จิ่วรับรู้ถึงการมีอยู่ของเขาหรือไม่?


วิชาของเขาแกร่งกล้าเพียงนั้น ส่วนมู่จิ่วเป็นเพียงผู้บำเพ็ญตนธรรมดา พวกเขารู้จักกันได้อย่างไร?


ยิ่งคิดก็ยิ่งมาก เขายิ่งมีความใคร่รู้ในตัวชายชุดเขียวมากขึ้น


เขาควรไปบอกนางหรือไม่…ถึงแม้พูดไม่ได้ แอบส่งสัญญาณให้นางเตรียมรับมือไว้ก็ดี


หลินเจี้ยนหรูพลันหันกลับไป สายตาตกอยู่ที่ประตูลาน ชะงักไปครู่หนึ่งทันที


เหลียงชิวฉานยืนอยู่ที่นั่น มองเขาแน่นิ่ง ไม่รู้อยู่ตรงนั้นนานเท่าไหร่แล้ว


ตั้งแต่วันนั้นที่เขาปฏิเสธนาง เขาก็ไม่ได้พบนางอีก ตอนนี้ก็ไม่อยากพบ


ดังนั้นเขาจึงหันกลับไป เดินมุ่งไปยังลานสนเขียว


“เจ้าจะไปไหน?”


เสียงของนางดังมากจากด้านหลัง ชั่วครู่เดียว นางตามมาขวางไว้ด้านหน้า


“ออกไปทำธุระเล็กน้อย ศิษย์พี่มีเรื่องอันใด?” เขาก็ไม่เคยลุกลี้ลุกลน ไม่รีบไม่ร้อน มักจะมีรอยยิ้มอยู่สองส่วนเสมอ


……………………………………


บทที่ 311 เผาข้าให้ตายเสียเถิด

โดย

Ink Stone_Romance

เหลียงชิวฉานเม้มริมฝีปากมองหลินเจี้ยนหรู สายตาทอดไปยังกลีบดอกท้อซึ่งตกลงมาบนไหล่เขาเมื่อไหร่ก็ไม่อาจทราบได้ ก่อนเอ่ยว่า “ไปทำธุระที่ไหนมาถึงได้มีดอกท้อ?”


หลินเจี้ยนหรูมองไหล่ ปัดมันออกไปราวกับไม่มีเรื่องอันใด “หากศิษย์พี่ไม่มีเรื่องอื่นแล้ว ข้ากลับเรือนก่อนล่ะ”


เหลียงชิวฉานเดินขึ้นมาขวางหน้าเขาอีก “เจ้าเป็นอะไรกับกัวมู่จิ่วกันแน่?!”


กับมู่จิ่ว?


แววตาของหลินเจี้ยนหรูเย็นชาทันที


เขาหันกลับมา “เจ้าต้องการพูดอะไรกันแน่?”


“เมื่อครู่ข้าเห็นเต็มตาว่าเจ้ากับกัวมู่จิ่วออกไปด้วยกัน!” เหลียงชิวฉานชี้ประตูพลางพูด “หลายวันนี้เจ้าไม่สนใจข้า เป็นเพราะนางใช่หรือไม่?!”


หลินเจี้ยนรู้สึกเพียงนางไร้เหตุผลนัก


“ข้าเป็นอะไรกับนาง แล้วเกี่ยวอะไรกับเจ้า?”


สีหน้าของเหลียงชิวฉานซีดขาว “หลินเจี้ยนหรู!”


หลินเจี้ยนหรูจดจ้องนาง ปรับน้ำเสียงให้อ่อนลง “ศิษย์พี่หญิงฉาน หากเมื่อก่อนข้าทำสิ่งใดผิดต่อเจ้า ขอให้เจ้าอภัยข้าด้วย เสื้อผ้าของเจ้าข้าเอาไปคืนให้ได้ แต่ขอให้เจ้าอย่าคิดเรื่องเกินเลยกับข้าอีก ข้าเป็นเพียงผู้บำเพ็ญเซียนต้อยต่ำทั้งยังเป็นลูกนอกสมรส ไม่คู่ควรให้เจ้ามารัก”


แต่เดิมเขาคิดใช้นางจัดการกับสำนักแรกพยับก็จริง แต่ตอนนี้ไม่จำเป็นแล้ว เขาไม่อยากทำเช่นนี้


จิตต้นกำเนิดของอู่หลานเอ๋อร์กลับมาสมบูรณ์แล้ว ต่อไปภายภาคหน้านางก็สามารถเป็นคนปกติไปได้ทุกชาติภพ


เขาไม่กังวลว่าเขาจะช่วยนางไม่ทันอีกต่อไป และยิ่งไม่อยากให้คำทำนายของชายชุดเขียวเป็นจริง…เขารู้สึกว่าตนเองพิสูจน์ให้ชายชุดเขียวเห็นได้


ดังนั้นสำหรับเหลียงชิวฉานแล้ว ไม่ว่าความรู้สึกที่นางมีต่อเขาจะจริงหรือไม่ก็ตาม ทุกสิ่งควรจบลงตรงนี้


“หลินเจี้ยนหรู!”


เหลียงชิวฉานตะโกนใส่ พุ่งตรงเข้าไปคว้าจับเขาไว้ “ข้าทำผิดอะไรกันแน่!”


ใบหน้าของนางมีคราบน้ำตา ความว่างเปล่าในดวงตาราวกับจะดูดคนเข้าไปได้


หลินเจี้ยนหรูเคยคิดว่าสิ่งที่เขาอยากเห็นมากที่สุดคือน้ำตาของเหลียงชิวฉานและพวกของนาง แต่เมื่อเห็นเข้าจริงกลับไม่ใคร่ดีใจนัก


“ศิษย์พี่ไม่ได้ทำอะไรผิด” เขาบอก “เพียงแต่ข้ารู้ตัวว่าข้ามองศิษย์พี่เป็นพี่สาวแท้ๆ มาตลอด แต่ตอนนี้เห็นศิษย์พี่เข้าใจผิดบางอย่าง ข้าก็ไม่อาจปล่อยให้ศิษย์พี่ยิ่งถลำลึก ต่อไปขอให้ศิษย์พี่ไม่ต้องสนใจเรื่องของข้าอีกแล้ว”


พูดจบเขาก็เดินอ้อมนาง จากไปไกลบนระเบียงโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง


เหลียงชิวฉานยืนอยู่ที่เดิม โอนเอนเล็กน้อย ก่อนทรุดนั่งลงไป


เมื่อมู่จิ่วกลับมาถึงบ้าน ลู่ยายังไม่นอน


ในหน้าต่างที่เปิดแง้มไว้เห็นเขากำลังนั่งเขียนคัมภีร์ เมื่อเห็นนางที่ยืนอยู่ใต้ต้นดอกท้อ มุมปากก็ยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม


พอมู่จิ่วผลักประตูเข้าไป เขาก็เอ่ยถาม “ทำธุระเสร็จแล้ว?”


นางพยักหน้า นั่งลงข้างเขา ดื่มชาของเขาไปพลาง เล่าเรื่องทั้งหมดให้เขาฟังไปพลาง “อู่หลานเอ๋อร์กลับถึงตระกูลอู่ เกรงว่ายังคงมีชีวิตที่ไม่ค่อยดีนัก แต่ก็ดีกว่าถูกขังไว้ในหอบรรพชนตลอดชีวิต ในเมื่อนางปกติดีแล้วก็ควรจะแต่งงาน ตระกูลอู่เป็นขุนนาง ย่อมไม่อาจให้นางแต่งออกไปแย่นัก คู่ครองไม่อาจบอกได้ว่าเป็นคนแบบใด อย่างไรเรื่องปัจจัยสี่คงไม่ต้องกังวล”


“เจ้าคิดแทนนางได้รอบคอบนัก” ลู่ยาหยิบลำไยสองลูกส่งให้นาง “นางใช้ชีวิตอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราวถึงสิบเจ็ดปี ไม่เคยได้รับการศึกษามาก่อน และก็ไม่เคยมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น ไหนเลยจะสามารถกลับเข้าสู่สังคมได้ง่ายถึงเพียงนั้น?…หลินเจี้ยนหรูไปปรโลก ไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้นใช่หรือไม่?” ตอนสุดท้ายเขาเปลี่ยนเรื่องไป


มู่จิ่วชะงัก “ไม่มี ไม่เห็นเขาพูดอะไร”


ลู่ยาพยักหน้า ไม่ได้พูดอะไรอีก


มู่จิ่วกลับถาม “เจ้าทำนายอะไรได้หรือ?”


ลู่ยาครุ่นคิดก่อนพูด “บนผังดวงชะตามีปัญหาเล็กน้อย แต่มองไม่ค่อยออก เขาคงพบเจอเรื่องอะไรบางอย่าง แต่ในเมื่อไม่มีอะไร เจ้าก็ไม่ต้องกังวล” อย่างไรผังดวงชะตาของเขาก็ไม่ได้กระทบนาง ลู่ยาไม่จำเป็นต้องสิ้นเปลืองความคิดกังวลเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้อง


มู่จิ่วหวนนึกถึงเรื่องเมื่อครู่ ไม่ได้รู้สึกว่าหลินเจี้ยนหรูมีอะไรผิดปกติ จึงปล่อยผ่านเรื่องนี้ไป


วันคืนช่างสงบอย่างแท้จริง


แต่ก่อนไม่ว่าว่างหรือไม่นางก็มักจะออกไปเดินเล่นนอกสวรรค์ ตอนนี้ตามปกติกลับไปมาเพียงสองที่ วนเวียนอยู่ในสวรรค์


วันถัดมาหลังเลิกงานนางก็นำกุญแจจันทราไปคืนทะเลสาบน้ำแข็ง ได้เจออ๋าวเจียงที่กลับมาวังพอดี ไม่ได้เจอกันหลายเดือน อ๋าวเจียงกลับมาสดใสร่าเริงอย่างเดิมแล้ว แต่ในส่วนลึกของดวงตายังมีร่องรอยของความลุ่มลึกเพิ่มขึ้นมา ตอนขากลับเขาเชิญนางไปเกาะเป่ยอี๋ มู่จิ่วก็ไปด้วย เห็นเพียงอาคารเซียนเพิ่มขึ้นมาบนเกาะรกร้าง ใช้วัสดุบนเกาะ วิจิตรงดงามดูน่าสบาย ทั้งยังเลี้ยงสัตว์วิเศษไว้หลายตัว ดูแล้วน่าพึงพอใจยิ่งนัก


ตอนจากไป อ๋าวเจียงได้ให้หญ้าเซียนนางกลับสวรรค์ไปหลายต้น นางใช้สิ่งเหล่านี้น้อยจึงมอบมันให้ลู่ยาไป


แต่ผ่านไปไม่กี่วัน ในบ้านกลับมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ลอยไปทั่ว นางถึงได้รู้ว่าหญ้าเซียนนี้มีสรรพคุณเช่นนี้ด้วย


อิ่นเสวี่ยรั่วรู้ว่าช่วงนี้นางไม่ออกไปไหน จึงมากินข้าวด้วยที่บ้านบ่อยๆ ลานจื่อหลิงไม่มีการทะเลาะกันแล้ว แต่ละคนที่อยู่ในลานนั้นล้วนเป็นพวกรสนิยมสูงแต่ไร้กำลังทั้งนั้น ไม่มีใครทำอาหารเป็น หากอยากจะกินอาหารดีๆ นอกจากไปภัตตาคารแล้วก็ทำได้เพียงไปโลกมนุษย์ อิ่นเสวี่ยรั่วได้กลิ่นหญ้าเซียนที่อ๋าวเจียงให้มาก็สนใจยิ่งนัก ขอมู่จิ่วไปปลูกด้วยต้นหนึ่ง


ตอนมู่จิ่วส่งนางกลับไปก็ถามอีกฝ่าย “ระหว่างเจ้ากับหยางอวิ้นเป็นอย่างไรบ้าง?”


“จะเป็นอย่างไรได้? นางยังจะทำอะไรข้าได้อีก?” แม่นางอิ่นไม่กล้าโอ้อวด นางเพียงไม่ได้มองหยางอวิ้นอยู่ในสายตาเลย


มู่จิ่วยิ้มกล่าว “เจ้าเก่งนัก”


“ข้าไม่นับว่าเก่ง หากข้าเก่งคงผูกให้สุนัขชายหญิงคู่นั้นอยู่ด้วยกันไปตลอดชีวิต!” นางเย้ยหยันก่อนเอ่ยอีก “ต่อไปเจ้ากับลู่หยาก็เหมือนกัน ในเมื่อหมั้นหมายกันแล้วก็อย่ารอนาน รอนานไปไม่มีผลดี ถึงแม้ความรู้สึกของพวกเจ้าจะแข็งแกร่งกว่าทองคำ แต่ก็อาจมีคนเข้ามาแทรกได้เสมอ ท่าทางเขาไม่เลว เจ้า…”


นางยังไม่ทันพูดคำที่เหลือจบ แต่มู่จิ่วก็รู้ว่านางอยากจะพูดอะไร


มู่จิ่วโบกมือพลางพูด “ตอนนี้ข้ามุ่งมั่นอยู่กับการสะสมบุญกุศลเท่านั้น ข้าสำเร็จเป็นเซียนไม่ได้หากข้าบุญกุศลไม่พอ และหากไม่สำเร็จเป็นเซียนข้าก็แต่งงานไม่ได้”


“นั่นก็ใช่” อิ่นเสวี่ยรั่วกอดกระถางดอกไม้พลางพยักหน้า


จื่อจิ้งถูกปล่อยตัวหลังจากถูกเผาอยู่หนึ่งเดือนเต็ม ตอนออกมาหน้าซีดผ่ายผอม ยามเดินยังต้องเกาะกำแพง


รุ่ยเจี๋ยกับอาฝูยกถาดเนื้อไปวางตรงหน้าเขาด้วยความเห็นใจ เขาน้ำตานอง นั่งขัดสมาธิบนพื้น กอดถาดเนื้อไว้แล้วด่าทอลู่ยาตลอดบ่ายทั้งน้ำตา พวกอาฝูฟังกันจนหูชา คิดจะจากไปอย่างเงียบเชียบ จื่อจิ้งกลับตะโกนเรียกพวกเขากลับมาเสียอย่างนั้น ทั้งสองจนปัญญา จึงใช้อุ้งมือปิดหูแล้วฟังต่อไป


เมื่อในที่สุดจื่อจิ้งพูดจนเหนื่อยแล้ว กำลังจะกินเนื้อเพิ่มพละกำลัง ไหนเลยจะรู้ว่าเนื้อยังไม่ทันเข้าปาก เขาก็ถูกลู่ยาลากกลับห้อง “ถามอะไรเจ้าหน่อย”


จื่อจิ้งอยากจะลากเขาไปลงนรกพร้อมกันเสียจริง!


“ข้าถามสักหน่อย ทำไมตอนนั้นข้าโดนคำสาปของเจ้า แต่ทำไมอยู่กับอาจิ่วที่นี่กลับไม่เป็นอะไรเลย?”


“ข้าจะรู้ได้อย่างไร!” เขามองลู่ยาอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ


“ไม่รู้?” ลู่ยาขึ้นเสียงสูง “ข้ายังไม่ได้ดับเตาไฟในห้องเจ้า”


จื่อจิ้งเบือนหน้าวิ่งเข้ากองไฟ “ท่านเผาข้าให้ตายเลยดีกว่า!”


……………………………………


บทที่ 312 ไปเอาเรื่อง

โดย

Ink Stone_Romance

ลู่ยาจับเขากลับมา “เจ้าคิดว่าข้ากลัวหรือ?”


“ข้าไม่สนว่าท่านกลัวหรือไม่ ยังไงข้าก็ไม่รู้! ท่านเป็นถึงเทพแห่งสวรรค์อันสูงส่งยังไม่รู้เรื่องนี้ แล้วมาถามข้าจะได้อะไร? ท่านอยากฆ่าข้าก็พูดมาตรงๆ เลย!”


จื่อจิ้งทนไม่ไหว โวยวายออกไป


มารดามันเถอะ เขาคิดว่าจะสามารถปกปิดเรื่องที่ทำให้จุ่นถีตกใจหนีไปได้ตลอดชีวิตหรือ? ถึงแม้เขาไม่พูด นางจะไม่กลับไปดูเองบ้างเลยหรือ? ตัวเองทำเรื่องแต่กลับมาลงกับจื่อจิ้ง นับเป็นชายชาตรีอะไรกัน!


ลู่ยาจ้องจื่อจิ้งอยู่นาน ก่อนปล่อยเขาลงไป


เพียงสองเท้าแตะพื้นเขาก็วิ่งหายไปไม่เห็นเงา


เรื่องที่ลู่ยาต้องทำช่วงนี้มีมากนัก นอกจากตามหาที่อยู่ของหลิวหยางแล้ว ยังต้องสืบหาภูมิหลังของมู่จิ่วและที่มาของชายชุดเขียว ทางฝั่งสวรรค์ซิวหมีของม่อเหยียนก็ไม่มีข่าวอะไร และชายชุดเขียวก็ไม่ได้โผล่หน้าออกมาอีก ตอนนี้สิ่งที่มั่นใจได้คือคนผู้นี้ไม่เพียงแต่กำลังหมายตามู่จิ่ว แต่ยังมีวิชาอาคมกล้าแกร่งจนไม่อาจประมาณอีก เมื่อดูจากการที่แล้วๆ มาเขายังไม่อาจล่วงรู้ถึงร่องรอยของชายชุดเขียวได้แม้สักนิด อย่างน้อยแสดงว่าความสามารถของชายชุดเขียวย่อมไม่ต่ำไปกว่าเขา


เช่นนั้นในหกภพนี้รวมถึงสวรรค์อันสูงส่ง แท้จริงแล้วมีคนที่แข็งแกร่งกว่าเขาอยู่เท่าไหร่กัน?


เท่าที่รู้มีเพียงหงจวิน หุนคุน และหนี่ว์วาเท่านั้น ตัดหุนคุนกับหนี่ว์วาออกไปก่อน พวกเขายุ่งอยู่กับการทอผ้าปลูกผักอย่างมาก ไหนเลยจะมีเวลามาเล่นซ่อนหากับเขา? ตัดหลิวหยางกับม่อเหยียนที่เหลืออยู่ออกไปด้วย ถึงแม้จะไม่ได้ไปยืนยันกับทงเทียนเจี้ยวจู่ด้วยตัวเอง แต่เขาก็ไม่มีเหตุผลที่จะทำร้ายลูกศิษย์ของตัวเอง ดังนั้นในเบื้องต้นสามารถตัดเขาออกไปได้


สุดท้ายเหลือเพียงหงจวิน…หงจวินหายตัวไร้ร่องรอยไปหลายปี ไม่รู้ว่าไปแห่งหนไหน เขาเข้าเงื่อนไขมากที่สุด แต่เขาเป็นอันดับหนึ่งแล้วในใต้หล้านี้ จะยังไม่พอใจอะไรอีกกัน หรือต้องการก่อเรื่องวุ่นวายเพื่อให้รู้สึกถึงการมีตัวตนของเขา?


เรื่องที่รู้แล้วเหล่านี้ล้วนไม่ค่อยเข้าเค้า แล้วเรื่องที่ยังไม่รู้ล่ะ?


เรื่องที่ยังไม่รู้ก็พูดได้ไม่ชัด


ใต้หล้าอันกว้างใหญ่ไพศาลนี้ ไม่มีใครกล้าพูดว่าไร้ผู้ปราบตนได้


เช่นนั้นก็ยิ่งประหลาดนัก ยิ่งไม่สามารถประมาณกำลังได้ ก็ควรห่างให้ไกลเรื่องคาวโลกีย์ เขามีเหตุผลใดถึงต้องวางแผนก่อเรื่องชั่วช้ามากมายขนาดนี้? มีเรื่องสำคัญอันใดที่เขาต้องหลอมวิญญาณของหกภพเพื่อต่อกรด้วย?


ถึงแม้ทุกอย่างจะสงบตั้งแต่กลับมาจากถิ่นทุรกันดารทางเหนือ จนเหมือนข้อสงสัยทั้งหลายล้วนเป็นจินตนาการของเขาเอง แต่เรื่องเหล่านี้กลับก็ยังคงอยู่ เขาไม่อาจไม่ขบคิดได้


มู่จิ่วยังคงมุ่งมั่นกับการคลี่คลายคดีและสะสมบุญกุศล


ถึงแม้แต่ก่อนนางวางเรื่องสะสมบุญกุศลเพื่อสำเร็จเป็นเซียนไว้เป็นอันดับหนึ่งอยู่แล้ว แต่พูดกันอย่างหมดเปลือกก็ยังมีช่วงที่ย่อหย่อนบ้าง อันที่จริงพอจัดการเรื่องจุกจิกมากเข้า เป็นใครก็ต้องรู้สึกชาชินกันบ้าง แต่ตั้งแต่รู้ว่าลู่ยาไม่สบายใจเรื่องชายชุดเขียว รวมทั้งคำพูดของอิ่นเสวี่ยรั่ว ทำให้นางตั้งใจขึ้นมาอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว


ช่วงนี้จัดการคดีเล็กมากขึ้น ถึงแม้อาจจะไม่ทั้งหมดที่ปิดคดีได้สมบูรณ์แบบ แต่เพราะความตั้งใจจริงจังของนาง จึงได้รับคำชื่นชมมากมาย หลิวจวิ้นได้รับรายงานไม่หยุด ทั้งหมดล้วนเป็นคำวิจารณ์ต่อหน่วยบัญชาการถิงเว่ย ท่ามกลางคำวิจารณ์เหล่านั้นเป็นคำชื่นชมที่มีต่อมู่จิ่วสักสามส่วน แม้แต่เฉินอิงและหูเหยียนต่างก็ยอมรับ


มู่จิ่วรู้สึกภาคภูมิใจในตัวเอง แต่ก็ไม่เหมือนตอนเข้าหน่วยมาใหม่ๆ ที่ได้รับคำชื่นชมก็หวาดกลัวตัวสั่น พอประสบการณ์มากแล้วจึงสงบใจได้บ้างกระมัง


เพิ่งเจออิ่นเสวี่ยรั่วมา ผ่านไปได้ไม่กี่วันก็เจออวี๋เสี่ยวเหลียนบนถนน นางเห็นหน้ามู่จิ่วก็ทำหน้าตึง มู่จิ่วจึงยิ้มๆ ก่อนเดินต่อ


ก่อนนี้รู้สึกว่าวันคืนที่อยู่ร่วมกันกับพวกนางหนักหนานัก ตอนนี้ดูแล้วก็เท่านั้นเอง


วันนี้ไปทำธุระที่วังหลิงเซียวเสร็จกลับมา กำลังจะเลี้ยวเข้าหน่วยบัญชาการ ก็พบเข้ากับคนผู้หนึ่ง ดวงตาคมกริบราวกับมีดมองนางอยู่ใต้ต้นสายน้ำผึ้งที่ทิ้งตัวอยู่เหนือกำแพง


มู่จิ่วชะงัก มองซ้ายมองขวาก่อนมองอีกฝ่าย “เจ้ามาหาข้า?”


คนที่มาคือเหลียงชิวฉาน ประตูที่นางยืนอยู่คือประตูเข้าห้องทำงานของมู่จิ่ว คนที่นางมองอยู่คือมู่จิ่ว รอบตัวก็ไม่มีผู้อื่นอยู่อีก หากนางไม่ได้มาหามู่จิ่วจะมาหาใครได้อีก?


“สิบคืนก่อน เจ้าอยู่กับหลินเจี้ยนหรูใช่หรือไม่!”


คล้อยหลังคำพูด ดวงตาของเหลียงชิวฉานก็มีความโกรธเกรี้ยว


มู่จิ่วนิ่งคิด สิบคืนก่อนเป็นคืนที่นางกับหลินเจี้ยนหรูไปซ่อมแซมจิตต้นกำเนิดของอู่หลานเอ๋อร์พอดี เช่นนี้นางก็อยู่กับเขาจริง แต่นางอยู่กับหลินเจี้ยนหรูหรือไม่ เกี่ยวอะไรกับนางด้วย? หรือตอนนี้เหลียงชิวฉานสนใจแม้กระทั่งหลินเจี้ยนหรูจะไปที่ไหน?


นางขมวดคิ้วพูด “ใช่แล้วทำไม?”


สีหน้าของเหลียงชิวฉานซีดขาวทันใด ความโกรธในดวงตาเพิ่มพูน พลันเงื้อมือมาทางหน้านาง “นังสารเลว!”


มู่จิ่วคว้ามือนางไว้อย่างไม่ต้องสิ้นเปลืองกำลัง ก่อนผลักนางออกไปสี่ห้าฉื่อ “แม่นางเหลียงทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?”


“ในเมื่อเจ้ามีคู่หมั้นอยู่แล้ว ทำไมต้องมายุ่งกับเขา!” เหลียงชิวฉานทั้งอับอายและโมโห อดตะโกนด่าทอนางไม่ได้


มู่จิ่วตะลึงอยู่บ้าง นางยุ่งกับหลินเจี้ยนหรู?


เอาละ ถึงแม้นางยุ่งกับหลินเจี้ยนหรู แล้วเกี่ยวอะไรกับเหลียงชิวฉานด้วยเล่า?


นางขมวดคิ้วมองเหลียงชิวฉานอยู่นาน เมื่อเห็นดวงตาที่แดงก่ำด้วยความโกรธก็พลันกระจ่าง คิดถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ “พวกเจ้า? เจ้ากับเขา…”


ความหมายของนางชัดเจนยิ่ง เหลียงชิวฉานต้องมีใจหมายมั่นต่อหลินเจี้ยนหรูถึงจะมีปฏิกิริยาเช่นนี้ หรือพวกเขาสองคนชอบพอกันแล้ว?


เหลียงชิวฉานถลึงตาใส่นาง แต่ไม่ได้พูดอะไร


มู่จิ่วรู้สึกราวกับโดนฟ้าผ่า นางเข้าใจมาตลอดว่าหลินเจี้ยนหรูกับคนสำนักแรกพยับเป็นศัตรูคู่อาฆาต และก็เป็นเช่นนั้นจริงมิใช่หรือ? สำนักแรกพยับเหยียบเขาไว้ใต้เท้ามานานถึงสองร้อยปี อีกทั้งเขายังสังหารหลินเซี่ยและทำให้จีหย่งฟางต้องตาย ยามที่พวกจีหมิ่นจวินปฏิบัติต่อเขาราวกับเขาไม่ใช่มนุษย์ เหลียงชิวฉานก็คงมิได้น้อยหน้าสักเท่าไหร่กระมัง?


แต่ตอนนี้เหลียงชิวฉานกลับมาหามู่จิ่วถึงประตูเพราะโกรธที่หลินเจี้ยนหรูออกไปข้างนอกกับนางยามค่ำคืน ชี้หน้าด่านางว่าเป็นนังสารเลว?


ระหว่างที่นางห่างเหินจากหลินเจี้ยนหรู เกิดอะไรขึ้นระหว่างพวกเขากันแน่?!


“พวกเจ้าเริ่มคบหากันตั้งแต่เมื่อไหร่?” ไม่ใช่เพราะอยากจะรู้ แต่ยากจะเชื่อจริงๆ “พวกเจ้าคบกันได้อย่างไร?”


แววตาของเหลียงชิวฉานยิ่งโหดเหี้ยม “ไม่เกี่ยวกับเจ้า!”


พวกเขาคบหากันได้อย่างไร นางจะพูดออกมาได้ที่ไหน!


ไม่ต้องพูดถึงว่ามู่จิ่วจะไม่เชื่อ แม้แต่ตัวนางเองยังไม่เชื่อ…


แต่ก่อนหลินเจี้ยนหรูในสายตานางก็เป็นเพียงขยะ เป็นลูกนอกสมรสที่ต้อยต่ำ เขาถูกคนทุบตีก็ไม่กล้ายื่นมือเข้าช่วย เขาถูกด่าทอก็ไม่กล้าเถียง แม้แต่จีหย่งฟางพี่สาวน้องสาวและศิษย์ที่เพิ่งเข้าสำนักมาใหม่ยังกล้าเหยียบหน้าเขาอย่างไม่เกรงกลัว ส่วนลึกในใจนางดูถูกเขา ในเมื่อเขาไม่รู้จักปกป้องตนเอง นางย่อมไม่ถือสาที่จะเหยียบย่ำเขาร่วมกับคนอื่น


ทว่าแม้เป็นฝันนางก็คิดไม่ถึง เขาจะถึงกับสังหารหลินเซี่ย ทั้งไม่ได้คุกเข่าร้องขอให้ละเว้นยามที่นางไปซักถามถึงหน้าประตู แต่กลับจัดการนางกลับอย่างเยือกเย็น!


ตอนเขาล่วงเกินนาง นางอยากตายไปเสียจริงๆ


ภายหลังเป็นระยะเวลานาน นางยังอยากฆ่าเขาด้วยตนเองแทบตาย!


แต่ทุกครั้งยามนึกถึงความบริสุทธิ์ของนางที่ถูกเขาทำลายไป นางก็เต็มไปด้วยความสับสนตลอดเวลา อย่างไรนางก็ข้ามผ่านเรื่องนี้ไปไม่ได้


……………………………..


บทที่ 313 นางเข้าใจผิดแล้ว

โดย

Ink Stone_Romance

แต่ก่อนนางรักและเทิดทูนแต่หัวชิงเจินเหรินอาจารย์ของนางเท่านั้น นางหวังจะเป็นคู่ครองของเขา ในใจของนางหัวชิงเป็นราวกับเทพสวรรค์ เป็นประหนึ่งศรัทธาของนาง ดังนั้นนางจึงเห็นชื่อเสียงของตนเองสำคัญกว่าสิ่งใดทั้งหมด ทั้งยังให้ความสำคัญกับพรหมจรรย์ของตนเองยิ่งกว่าสิ่งใด!


นางไม่เคยคิดเลยว่าจะถูกชายอื่นนอกจากหัวชิงเห็นเรือนร่างของตนเอง!


ด้านหนึ่งนางรู้สึกอับอาย อีกด้านหนึ่งภาพนั้นก็ยังวนเวียนอยู่ในสมอง…


เมื่อไม่มีคนเข้าใจความรู้สึกของนาง นางก็จนปัญญาจะอธิบาย นางไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่สายตาของนางจับจ้องไปที่เขาอย่างไม่รู้ตัว มองแผ่นหลัง มองใบหน้าด้านข้างของเขาอย่างละเอียด ยามรู้สึกตัวนางก็รู้สึกว่าตนเองคล้ายติดบ่วงเสน่ห์เข้าแล้ว จึงเพียรฝืนตนเองให้โกรธแค้นและรังเกียจเขาอยู่หลายครั้ง บอกตนเองว่าเขาเป็นเพียงลูกนอกสมรสอันต่ำช้าไม่ต่างจากมารดาของเขา!


แต่ส่วนลึกอีกด้านในใจของตนเองกลับเอ่อล้นออกมาทีละน้อย นางพบว่าตนเองเริ่มสนใจความรู้สึกของหลินเจี้ยนหรู! หากเขายิ้มให้นาง นางก็รู้สึกผ่อนคลาย หากเขาขมวดคิ้ว นางก็หวาดหวั่นอยู่บ้าง…เพราะรู้ว่าระหว่างเขากับนางมีเขตแดนขวางกั้น ดังนั้นนางจึงกลัวว่าอยู่ๆ หลินเจี้ยนหรูจะไม่ต้องการนาง


นางกระทั่งยินยอมลดศักดิ์ศรีทำดีกับเขา นางไม่เคยรู้สึกสิ้นกำลังเช่นนี้มาก่อน แต่เดิมนางมั่นคง เด็ดขาด เหลียงชิวฉานไม่เคยคิดมาก่อนว่าตนเองจะเปลี่ยนไปเป็นเช่นนี้ แต่นางก็เปลี่ยนไปแล้ว ทั้งยังไม่มีหนทางถอนตัวด้วย


ใจนางราวกับมีทะเลคลั่ง มองมู่จิ่วที่กำลังพิจารณาตนคราหนึ่ง ใบหน้าพลันร้อนผ่าวขึ้นมา


แต่ก่อนเหลียงชิวฉานไม่เคยคิดจะมาหามู่จิ่วมาก่อน เหลียงชิวฉานก็มีศักดิ์ศรีของตัวเอง นางเข้าใจว่าอีกฝ่ายสามารถผ่านไปได้ หรือหลินเจี้ยนหรูที่ระมัดระวังว่าความผิดจะเปิดเผยออกมาตลอดเวลาคงกลับมาหานางเอง แต่ผ่านไปสิบวันเขากลับยังไม่มา ใจของนางเลยยิ่งร้อนรน คืนนั้นเขานำเสื้อผ้าของนางมาคืน เขาไม่คิดจะสนใจนางอีกจริงๆ…


นางรู้ว่าตัวเองมาถามเช่นนี้ต้อยต่ำไร้ค่าเพียงใด น่าสมเพชเพียงใด มู่จิ่วไม่พูดอะไร นางยิ่งรู้สึกอับอาย


นางเดินผ่านมู่จิ่วไปเฉกเช่นขุนพลพ่ายศึกสูญเสียเมืองหนีลนลาน


มู่จิ่วหันกลับมามองแผ่นหลังนาง ขมวดคิ้วแน่น ไม่รู้ทำไม นางเชื่อว่าเหลียงชิวฉานมีใจให้หลินเจี้ยนหรูจริง ความเจ็บปวดกังวลบนใบหน้านางไม่ใช่เรื่องโกหก แต่ทำไมนางไม่เคยได้ยินหลินเจี้ยนหรูพูดให้ฟังมาก่อน? เขาทำสิ่งใดไว้กันแน่ ถึงทำให้เหลียงชิวฉานปักใจกับเขาเช่นนี้?


ในสิบวันนี้หลินเจี้ยนหรูก็ไม่ใคร่สบายใจนัก


เขาพยายามปรับสมดุลพลังในร่าง และสำรวจตนเองบ่อยครั้ง


อันที่จริง วิชาอาคมพลันสูงส่งขึ้นมาขนาดนี้ จะบอกว่าไม่ดีใจก็คงโกหก เขาเคยแอบลองใช้ ฝ่ามือหนึ่งของเขาสามารถล่มยอดเขาได้ครึ่งหนึ่ง ทั้งยังสามารถขี่กระบี่ได้ไกลถึงหลายพันลี้ในหนึ่งวัน วิชาที่เขาเคยเรียนในสำนักแรกพยับมาอย่างหยาบๆ บัดนี้กลับแข็งแกร่งขึ้นมากมาย ด้วยความสามารถระดับนี้ เขาไม่จำเป็นต้องกลัวสำนักแรกพยับอีกต่อไป


ชายชุดเขียวยังบอกอีกว่าเขาบำเพ็ญได้ถึงขั้นหัวเสินแล้ว นั่นก็หมายความว่าอีกไม่นานเขาจะสามารถผ่านด่านเคราะห์สำเร็จเป็นเซียน


รอจนเขากลายเป็นเซียนเมื่อใด อดีตที่ผ่านมาก็จะกลายเป็นหมอกควัน จะไม่มีคนดูถูกด้วยชาติกำเนิดของเขาอีกแล้ว เขาสามารถเทียบเคียงกับเหล่าเซียนและสำนักแรกพยับได้


แต่เขายังไม่ลืมท่าทางที่ชายชุดเขียวพูดกับเขา เป้าหมายของฝ่ายนั้นคือต้องการให้เขากลายเป็นมารก่อนเวลา แต่ยังไม่ได้บอกชัดเจนว่าต้องการให้เขาทำเรื่องใด หากไม่มั่นใจว่าเขาจะหันเข้าสู่ทางอธรรม ทำไมชายชุดเขียวถึงได้มอบพลังบำเพ็ญให้เขามากมายขนาดนั้น?


คิดเช่นนี้มือของเขาก็หลั่งเหงื่อออกมา


และเขาก็ไม่ได้บอกเรื่องนี้กับมู่จิ่ว หากบอกไป เรื่องที่เขาผิดสัญญากับนางก็จะแดงออกมา เขามีนางเป็นเพื่อนเพียงคนเดียว เขาไม่อยากให้นางผิดหวัง ดูไปแล้วชายชุดเขียวก็ไม่ได้มีใจคิดร้ายต่อนาง ถึงเขาปิดบังเรื่องนี้ต่อไปก็คงไม่มีปัญหาอะไร


“ก๊อกก๊อก”


ขณะกำลังครุ่นคิด ตรงประตูพลันมีเสียงเคาะเบาๆ ลอยมา


เขาหยุดความคิดแล้วลุกขึ้น


ไหนเลยจะรู้ว่าคนที่มาคือมู่จิ่ว!


นางเข้ามาก่อนพูด “กลางวันแสกๆ เช่นนี้ เจ้าปิดประตูทำอันใดอยู่?”


เขานิ่งอึ้งไปชั่วครู่หนึ่งถึงค่อยๆ ผ่อนคลายลง “เมื่อคืนเข้าเวรกะดึก อยากจะงีบหลับสักหน่อย”


มู่จิ่วมองใบหน้าเขา ไม่เห็นร่องรอยความเหนื่อยอ่อน แต่ไม่ว่าอย่างไรนางก็ไม่ได้มาเพราะสิ่งนี้ “ระหว่างเจ้ากับเหลียงชิวฉานเกิดอะไรขึ้น?”


เหลียงชิวฉาน?


ไอเย็นเยียบพลันลอยขึ้นมาในแววตาเขา นางรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร?


“เหตุใดจึงถามเช่นนี้?” เขานั่งลง จากนั้นลองถามหยั่งเชิง


“นางเพิ่งมาหาข้า “ มู่จิ่วมองเขา “ถามข้าว่าอยู่กับเจ้าเมื่อสิบคืนก่อนหรือไม่ นางมองข้าเป็นคนมาแทรกกลางระหว่างพวกเจ้า” พูดถึงตรงนี้นางก็ถามต่อ “ทำไมข้าไม่เคยได้ยินเจ้าพูดถึงแม้แต่น้อย? พวกเจ้าอยู่ด้วยกันแล้ว ทำไมข้าจึงไม่ได้ข่าวเลยสักนิด?”


แน่นอนว่าเขามีเหตุผลที่จะไม่ป่าวประกาศ แต่นางรู้สึกว่าเรื่องนี้เก็บเงียบเกินไปหน่อย


ก่อนหน้านี้นางลังเลว่าควรมาหรือไม่ เพราะทำเช่นนี้อาจยิ่งเพิ่มความเข้าใจผิดให้แก่พวกเขา


แต่เหลียงชิวฉานไม่พูดอะไรสักคำก็จากไป สีหน้าเช่นนั้นไม่เหมือนมาเพียงเพื่อทำให้นางอับอาย นางครุ่นคิดชั่งน้ำหนักในใจแล้ว จึงตัดสินใจมาถามหาความจริง หากไม่เพราะมู่จิ่วมีความสามารถอยู่หลายส่วน ฝ่ามือนั้นคงตบลงบนหน้านางแน่ ใครจะรู้ว่าต่อไปฝ่ายนั้นจะมาอีกเป็นครั้งที่สองหรือไม่?


สีหน้าของหลินเจี้ยนหรูเย็นชา


หลายวันมานี้เหลียงชิวฉานไม่ได้มาตอแยเขา เขายังเข้าใจไปว่านางถอดใจแล้ว คิดไม่ถึงว่านางกลับไปหามู่จิ่ว?


นางอยากครอบครองเขามากขนาดนั้นเลยหรือ?


“นางเข้าใจผิดแล้ว นางกับข้าไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกันนอกจากความเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้อง” เขาบอก “ข้าว่านางคงคิดมากเกินไป อา นางคงไม่ได้พูดจาเลอะเทอะทำร้ายเจ้าหรอกนะ?”


มู่จิ่วมองเขาพลางคิ้วขมวดเล็กน้อย


นางรู้สึกว่าเขาพูดได้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นยิ่งนัก เหลียงชิวฉานไม่ได้โง่ หากเขาไม่ได้ทำสิ่งใดให้นางเข้าใจผิด นางจะคิดมากได้อย่างไร?


และถึงแม้เหลียงชิวฉานจะเพ้อเจ้อไปเอง เขาก็ไม่ควรแสดงออกเช่นนี้


แต่นี่เป็นเรื่องของพวกเขา ไม่ว่าหลินเจี้ยนหรูจะพูดความจริงหรือไม่ เขาอยากอยู่กับใคร ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับนาง


นางพยักหน้า “ไม่มีอะไรก็ดีแล้ว”


จากนั้นจึงจากไป


หลินเจี้ยนหรูรอจนนางจากไปแล้ว สายตาก็พลันแข็งกระด้าง


เขาออกจากบ้านมุ่งไปทางถนนตะวันตกโดยไม่ลังเล


มู่จิ่วที่อยู่ตรงต้นสนมองแผ่นหลังของเขาที่เดินไปอย่างรวดเร็ว ดวงตาทั้งสองพลันหรี่ลง


ฝ่ายเหลียงชิวฉานกลับมาถึงห้องก็นั่งลงไปบนเตียง บอกไม่ถูกว่ารู้สึกเช่นไร


นางรู้ว่าหลินเจี้ยนหรูไม่คู่ควรต่อใจของนาง และรู้ว่าตัดใจตอนนี้ยังไม่นับว่าสาย แต่นางกลับไม่ยินยอม อย่างไรเขาก็เห็นเรือนร่างของนางแล้ว! หากเขาไม่ต้องการนาง เช่นนั้นภายหน้านางจะยังสามารถให้บุรุษอื่นเห็นเรือนร่างนี้ได้อีกหรือ? นางทำไม่ได้ ไม่ว่าหัวชิงผู้สูงส่งหรือหลินเจี้ยนหรูผู้ต่ำต้อย นางเลือกได้เพียงคนเดียว


เมื่อนึกถึงสายตาเมื่อครู่ของมู่จิ่ว นางยิ่งรู้สึกอับอายยิ่งนัก


……………………………………………………..


บทที่ 314 มีอะไรดี?

โดย

Ink Stone_Romance

เดิมทีนางเป็นผู้บำเพ็ญหญิงแห่งพรรคธรรมะที่มีชื่อ แต่กัวมู่จิ่วเป็นเพียงผู้บำเพ็ญเซียนที่ไร้หัวนอนปลายเท้า อีกฝ่ายกลับได้รับคำชื่นชมมากมายในทัพทหารสวรรค์ ในขณะที่เหลียงชิวฉานได้รับเพียงสายตาเย็นชา ตอนนี้เพียงสองปีเท่านั้น มู่จิ่วเลื่อนขั้นเป็นถึงผู้บัญชาการถิงเว่ย ทั้งยังมีคู่หมั้นมากความสามารถร่วมทุกข์ร่วมสุขไปด้วยกัน ยามนี้มู่จิ่วสามารถยืนเหลือบมองนางอย่างเย็นชา แต่นางกลับต้องอับอายเพราะหลินเจี้ยนหรูคนเดียว!


นางหยิบกาเหล้าขึ้นมารินใส่จอก แหงนหน้ากรอกมันเข้าไป


มีมือหนึ่งคว้าจอกเหล้าของนางไป หญิงสาวเงยหน้าขึ้นก็เห็นเสื้อฟ้าที่คุ้นเคย เมื่อมองสูงขึ้นไปก็สบเข้ากับดวงตาที่ไม่อาจคุ้นเคยไปมากกว่านี้อีกแล้ว


“ข้ามีอะไรดี?” หลินเจี้ยนหรูรินเหล้าเต็มจอกให้นาง พลางเอ่ยอย่างสงบนิ่ง


นางยืนขึ้นมา อยู่ๆ ก็พูดไม่ออกอยู่บ้าง ใจเต้นตึกตักราวกับจะกระเด้งออกมาได้ทุกเมื่อ


“ข้าถอดเสื้อผ้าเจ้า ปลดเสื้อตัวในของเจ้าออก บังคับให้เจ้าช่วยข้าใส่ร้ายจีหย่งฟางที่สำนักแรกพยับ ให้เจ้าเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดกับข้า บัดนี้มือของเจ้าได้เปื้อนเลือดผู้บริสุทธิ์แล้ว ข้ามีอะไรดีคู่ควรกับความรู้สึกลึกซึ้งของเจ้า?” เขายกจอกเหล้าเข้าไปใกล้เหลียงชิวฉาน มือหนึ่งจับที่พนักเตียงด้านหลังนาง สายตาคมกริบราวกับใบมีดที่กรีดไปบนร่าง


นางพูดไม่ออก ส่ายหน้าซ้ำไปซ้ำมา เขาทั้งไม่โกรธและไม่ลงมือ เพียงถือจอกเหล้าและจับพนักหัวเตียงไว้ แต่กลับดูน่ากลัวยิ่งนัก


นางก้มหน้าลง รู้สึกเหมือนตนเองเป็นเพียงทาสที่ต้อยต่ำ


เขาเลวทราม ไม่มีอะไรดี แต่นางมีหนทางใดเล่า?


หากย้อนเวลากลับไปได้ นางย่อมต้องย้อนกลับไปแน่! นางจะไม่เข้าไปถามว่าเขาฆ่าหลินเซี่ยหรือไม่แน่นอน!


นางยังมีหนทางใด? นางก็ถูกสวรรค์บีบบังคับ!


“อย่าได้หวังกับข้าอีก และอย่าได้ไปก่อเรื่องที่เจ้าคิดไปเองว่าใช่” หลินเจี้ยนหรูมองนางพลางดื่มเหล้า ก่อนทิ้งจอกเหล้าลงบนพื้น เสียงแจ่มชัดราวกับมีดดาบที่เฉือนใบหู “ชั่วชีวิตนี้ของข้า…ไม่สิ ตลอดชั่วชีวิตชั่วชาติภพนี้ข้าไม่มีทางชอบเจ้า ฉะนั้นตัดใจเสีย ไปหาหัวชิงของเจ้าซะ”


เขาชักมือกลับ แววตาเหมือนงูที่เยียบเย็นไล่ผ่านใบหน้านางไปหยุดอยู่ที่ขอบหน้าต่าง แล้วเดินจากไป


เหลียงชิวฉานกอดแขนทั้งสองข้าง ร่างกระตุกขึ้น


นางพลันชักดาบออกมา ฟาดฟันไปยังเขาที่อยู่ตรงกรอบประตู “ข้าจะฆ่าเจ้า!”


หลินเจี้ยนหรูหยุดเท้ายามที่ลมกระบี่ลอยมา แต่เขาไม่ได้ขยับ กระบี่ยาวฟันลงบนหัวไหล่ คมมีดตัดผ่านเนื้อ มีเสียงร้องขึ้นจมูกดังมา เสื้อสีฟ้าตัวค่อนข้างใหม่พลันแหวกออก เผยให้เห็นเสื้อขาวตัวในที่แดงฉานไปด้วยสีเลือด


เหลียงชิวฉานตาโต กระบี่ยาวตกลงบนพื้น นางกุมหน้าที่ซีดขาวราวหิมะ


หลินเจี้ยนหรูไม่ได้หันกลับ เพียงก้าวยาวๆ ออกไป


“หลินเจี้ยนหรู!”


เหลียงชิวฉานร้องอย่างบ้าคลั่ง ร่างโน้มลงไป


มู่จิ่วในชุดซ่อนเซียนตรงประตูก็นิ่งอึ้งไปเมื่อเห็นภาพนี้เข้า


นอกจากบาดแผลบนไหล่ของหลินเจี้ยนหรูที่เหลียงชิวฉานทำ นางได้ยินคำพูดของเขาทั้งหมด! การตายของจีหย่งฟางเป็นเขาที่บังคับให้เหลียงชิวฉานลงมือเช่นนั้นหรือ? เขาใช้วิธีแบบนี้บังคับเหลียงชิวฉานให้ร่วมมือกับเขา?…และเหลียงชิวฉานยังมีใจให้กับเขาภายใต้สถานการณ์นี้อีก? บางทีประสบการณ์ของมู่จิ่วอาจน้อยเกินไป ยามนี้ไม่อาจเข้าใจความคิดของเหลียงชิวฉานได้


แต่สิ่งที่ยิ่งทำให้นางผิดหวังคือหลินเจี้ยนหรูต่ำช้าถึงเพียงนี้ เสียแรงที่นางเข้าใจว่าเขาทำทั้งหมดนี้เพราะไม่มีทางเลือกและไม่อาจตอบโต้ แต่เขาถอดเสื้อผ้าเหลียงชิวฉาน นี่มันเรื่องอันใดกัน?


นางพลันไม่เชื่อคำสาบานของเขาเช่นกัน ฟ้ารู้ว่านางเชื่อลู่ยาที่บอกว่าสามารถช่วยเขาได้ จึงกล่าวคำพูดเหล่านั้นกับเขา ทั้งยังคิดจะนำเขากลับมาทางธรรม แต่ตอนนี้ความจริงนี้กลับตบหน้านาง หนำซ้ำเมื่อครู่เขายังโกหกนางว่าไม่ได้มีอะไรกับเหลียงชิวฉาน…นางจะยังเชื่อเขาได้อย่างไร?!


“หลินเจี้ยนหรู…”


เหลียงชิวฉานในห้องยังคงกอดเข่าร่ำไห้ นางมองกระบี่เปื้อนเลือดตรงกรอบประตู ก่อนยืนขึ้นพุ่งหายออกไปข้างนอกราวกับลม


มู่จิ่วยืนอยู่อีกครู่หนึ่งก่อนจะจากไปเช่นกัน


เหลียงชิวฉานตรงออกจากจากหอวิหคแดง ลมที่ปะทะใบหน้าพัดจนน้ำตาเหือดแห้ง แต่กลับไม่อาจพัดความเจ็บปวดออกจากใจไปได้


นางไม่รู้ว่าควรจะไปไหน ราวกับมีเขาอยู่ทุกแห่งหน…นางไม่รักเขาแล้ว นางเกลียดเขา นางเกลียดเขา! เขาบอกว่าเขาไม่สามารถรักนางได้ตลอดชีวิต เขาหลอกนางมาตลอด! เขารู้ความคิดทุกสิ่งของนาง แต่เขากลับหลอกใช้ความรักของนางอย่างไร้ยางอาย!


เขาพูดถูกยิ่งนัก เขาไม่คู่ควรกับความจริงใจของนาง เขาเป็นเพียงสัตว์เดรัจฉานที่ต่ำช้าไร้ยางอายเท่านั้น!


นางบินไปข้างหน้าสุดกำลัง จนถึงหน้าป้ายประตูสูงตระหง่าน นางถึงได้รู้สึกตัวว่ามาถึงประตูสวรรค์แดนใต้แล้ว


นางวิ่งมาถึงที่นี่เชียว


มาถึงแล้วก็มาเถิด! นางกำลังอยากกลับสำนักแรกพยับพอดี นางต้องการเปิดโปงเขา ดูว่าเขาจะตายอย่างไรภายใต้เงื้อมมือของจีหมิ่นจวิน!


นางขี่เมฆกลับสำนักแรกพยับ ความเดือดดาลในใจทำให้นางไม่สนใจแม้แต่จะกลับไปยังหน่วย ไม่มีเรื่องใดสำคัญไปกว่าความตายของเขาอีกแล้ว!


น้ำตาของนางหยดแล้วหยดเล่าไหลลงมา นางบอกตัวเองว่าน้ำตาเหล่านี้ไร้ค่า แต่กลับไม่มีหนทางหยุดยั้งมันได้


ยามพระอาทิตย์ตกดินนางก็มาถึงสำนักแรกพยับ ภายใต้ความมืดมิด โคมไฟถูกจุดขึ้นตามอาคารเซียนจนดูเหมือนกับดวงดาวที่ถูกฝังอยู่บนผืนฟ้าสีดำ นางเช็ดน้ำตา มุ่งไปยังยอดเขาขลุ่ยหยกที่หัวชิงอยู่


เซียนเด็กซึ่งกำลังกวาดใบสนแห้งเห็นนางเข้าก็รีบค้อมตัวเรียกศิษย์พี่ นางไม่สนใจ เข้าประตูไปสองชั้น ตรงไปหาหัวชิงที่อยู่ในเรือนยอดนภา


ในเรือนเต็มไปด้วยกลิ่นกล้วยไม้ ปกติหัวชิงชอบตัดแต่งดอกไม้ใบหญ้า ตอนนี้ม่านตรงหน้าต่างปรากฎเงาร่างของเขา เพียงนางเข้าไปบอกเล่าความผิดของหลินเจี้ยนหรู ไม่ถึงครึ่งวัน นางรู้ว่าอาจารย์ต้องไปลากหลินเจี้ยนหรูจากสวรรค์กลับมาสอบถามแน่ๆ และเพียงเขากลับมาถึงสำนักแรกพยับ จีหมิ่นจวินต้องลงมือกับเขาเป็นอันดับแรกแน่นอน


ใจนางอิ่มเอิบไปด้วยความสุขหาใดเปรียบ นางไม่อาจแพ้ให้กับคนต้อยต่ำเช่นเขา มีเพียงแบบนี้เท่านั้นถึงจะนำเกียรติของนางกลับมาได้!


แต่นางกลับลังเลไม่ก้าวเท้า ภาพที่เขาจากไปพร้อมรอยแผลวาบเข้ามา


“ฉานเอ๋อร์?”


หน้าต่างที่ปิดอยู่เมื่อครู่ถูกเปิดออกเมื่อไหร่ไม่อาจทราบได้ หัวชิงยืนอยู่ข้างใน เขาสวมเสื้อเรียบง่ายดูสง่างาม กลิ่นอายความเป็นเซียนยิ่งเข้มข้น


“อะ อาจารย์”


หากเป็นแต่ก่อน นางต้องโผเข้าไปหา แล้วใช้สายตาร้อนแรงมองชื่นชมรัศมีของเขานานแล้ว


แต่ตอนนี้นางกลับไม่ได้ทำ เขาในสายตานางตอนนี้เป็นเพียงซ่านเซียนธรรมดาเท่านั้น ไม่ได้มีความสามารถโดดเด่นอะไร เขาเพียงหน้าตาหมดจดคมคาย หากแต่ยามนี้นางรู้สึกว่าเขาดูเหลาะแหละไปเสียหน่อย เมื่อก่อนนางมองเขาเป็นเทพเซียน เป็นแบบอย่าง ทว่าตอนนี้เขาเป็นเพียงอาจารย์ที่มีบุญคุณสั่งสอนนางเท่านั้น


“เจ้ากลับมาได้อย่างไร? ทำไมไม่เข้ามา?”


น้ำเสียงของหัวชิงแสดงความประหลาดใจอย่างชัดเจน กระทั่งเดินออกมารับถึงประตู


นางก้มหน้ากะพริบตา ซ่อนน้ำตาแห่งความเจ็บปวดในเบ้าตาไว้ ก่อนเอ่ย “อยู่ๆ ก็คิดถึงอาจารย์ จึงกลับมาเจ้าค่ะ”


……………………………………….

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)