ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง 303-304
ตอนที่ 303 ตำหนักซิ่วหลัว นอกดินแดน
เรื่องนี้……ที่จริงจีเฉวียนทรงสืบสวนมาอย่างชัดเจนแล้ว พอตอนนี้ได้ยินอันหร่วนสารภาพออกมาเอง ดวงเนตรหงส์คู่นั้นก็ฉุดประกายไอสังหารขึ้นมาอีกครั้ง
อันหว่านจรือตกตะลึงไปแล้ว ต่อให้ฝันนางก็ยังคิดไม่ถึง ว่าท่านย่าก็คือฆาตกรที่วางยาพิษสังหารฉางซุนฮองเฮา?
แต่ทำไมนางถึงต้องทำเช่นนั้น?
“ใครหนุนหลังเจ้ากัน?” จีเฉวียนสงบจิตใจลง ตรัสถามต่อด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก
อันหร่วนส่ายศีรษะ “ฝ่าบาทอย่าได้ทรงลืมไป บ่าวเฒ่าเป็นเชื้อสายของราชวงศ์ก่อน….ตอนนั้นเสด็จปู่ของพระองค์เป็นแม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นต้าซางของข้า แต่ว่าเขาเกิดมีจิตใจมักใหญ่ใฝ่สูง ทำลายแคว้นต้าซาง สร้างแคว้นต้าโจวขึ้นมา….ข้าสูญเสียแว่นแคว้นจากเดิมที่เป็นองค์หญิงกลับกลายเป็นบ่าวทาส ฝ่าบาททรงคิดว่า บ่าวเฒ่าคิดฆ่าฉางซุนฮองเฮา ยังจะต้องให้ผู้ใดมาสนับสนุนอีกหรือ?”
ทุกประโยคของอันหร่วน จุดประกายเย็นยะเยือกในดวงเนตรของจีเฉวียนขึ้นมา
พระองค์ขยับพระหัตถ์น้อยๆ องครักษ์ลับก็ตัดนิ้วของอันหว่านจรือทิ้งไปอีกนิ้ว
นิ้วข้อนั้นพอหลุดลงมาจากมือ หล่นลงไปบนพื้นก็ยังกระดิกอยู่เลยด้วยซ้ำ
เลือดสดๆ ไหลริน เป็นภาพที่น่าหวาดกลัวอย่างที่สุด แต่เพราะอันหว่านจรือถูกบีบลิ้นเอาไว้ จึงได้แต่ส่งเสียงครวญคราง
แคว้นต้าซาง……ปกครองมานานนับร้อยปี ชะตาเมืองถึงจุดสิ้นสุด เพราะผู้ครองแคว้นมัวเมาและไร้สามารถ นั่นจึงเป็นเหตุสำคัญที่ทำให้แคว้นต้องสิ้นสูญ
แต่กลับลากเอาความเกลียดชังมาถมลงบนพระเศียรของปฐมฮ่องเต้แห้งต้าโจว……มันช่าง…..
ท่านย่าคิดเช่นไรอยู่กันแน่?
“ฝ่าบาท! บ่าวเฒ่ามิได้โกหกพระองค์!” อันหร่วนสติกระเจิงไปแล้ว นิ้วที่กระดิกอยู่บนพื้นช่างบาดตา ทำร้ายจิตใจจนว้าวุ่นไปหมด
“ชู่….” จีเฉวียนยกพระดัชนีขึ้นมาข้างหนึ่ง ตั้งอยู่เหนือริมพระโอษฐ์ตรัสเสียงแผ่วเบา “เราไม่ต้องการฟังวาจาไร้สาระแม้แต่ครึ่งคำ”
อันหร่วนมีฐานะเช่นไร พระองค์ทรงทราบอย่างชัดเจน หลังพระมารดาสิ้นไป ในระหว่างที่พระองค์ทรงขึ้นครองราชย์มา ก็ทำการสืบหามาโดยตลอด
ในที่สุดเมื่อไม่กี่วันก่อน ก็ได้รับคำตอบออกมาแล้ว
ที่พระองค์ให้อันหร่วนเข้าวังมา ก็เพื่อจะสืบเรื่องในปีนั้นให้กระจ่างชัด
ตระกูลตู๋กู……ถึงแม้ว่าจะส่งเสียนไท่เฟยผู้หนึ่งมาที่ข้างกายพระมารดา แต่ไม่ได้เกี่ยวของกับเรื่องการวางยาพิษพระมารดา
เสียนไท่เฟย……มีฐานะอีกอย่างหนึ่ง
หลังจากที่พระองค์ได้ทรงรับผลของการสืบสวนก็ทรงทราบว่า เสียนไท่เฟยและอันหร่วนต่างก็เป็นตัวหมาก
ส่วนผู้ที่วางหมากอยู่เบื้องหลังนั้น ก็เกี่ยวข้องกับ ‘องค์ชายน้อย’ ผู้นั้นอย่างหนีไม่พ้น
อันหร่วนเป็นบุคคลที่เกี่ยวข้องกับ ‘องค์ชายน้อย’ ผู้นั้น สำหรับจีเฉวียนแล้ว วิธีที่รวบรัดที่สุดก็คืองัดเอาความจริงเกี่ยวกับฐานะเบื้องหลังของคนผู้นั้นออกมาจากอันหร่วน
คนผู้นั้นกำลังเล่นหมากกระดานสำคัญ ถึงกับเริ่มวางตัวหมากมาตั้งแต่รัชสมัยก่อนแล้ว
กลหมากแต่ละก้าว แยบยลซับซ้อน กระทั่งพระองค์เองยังสืบไม่ค่อยได้สิ่งที่มีประโยชน์ออกมาสักเท่าไหร่
เพราะว่า ….คนผู้นี้สุดลึกลับ และแข็งแกร่งอย่างยิ่ง
และ ‘องค์ชายน้อย’ ฉางซุนซิ่วเออร์ ก็ยังเป็นแค่หมากตัวสำคัญตัวหนึ่งในมือของเขาเท่านั้น
ตอนนี้จีเฉวียนกำลังทรงใช้วิธีวางเหยื่อระยะยาวเพื่อดักปลาใหญ่
เพียงแต่ พระองค์จะต้องทรงทราบฐานะของปลาใหญ่ตัวนั้นอย่างชัดเจนให้จงได้
อันหร่วน คือกุญแจสำคัญ
“หากไม่มีผู้ใดสนับสนุน แล้วเจ้าจะไปรู้จักมักจี่กับ ‘ศพคืนชีพเฒ่า’ ผู้นั้นได้อย่างไร ตอนที่อยู่ลี่โจวก็ใช้ยันต์สาปปีศาจกับเรา ในทะเลทราย ก็สมคบกับ ‘องค์ชายน้อย’ ?” จีเฉวียนแย้มสรวลเสียงเย็น “อันหร่วน เจ้ามีฝีมือในการปรุงยา ยาถอนพิษที่เหยียนเฉียวหลัวใช้ทั้งหมด ก็เป็นยาที่เจ้าปรุงขึ้นมา เจ้าอย่าได้ปฏิเสธ”
ทันทีที่จีเฉวียนตรัสจบ อันหร่วนก็ถึงกับเป็นใบ้ไป
นางคิดไม่ถึงเลยว่า จีเฉวียนจะสืบจนรู้กระจ่างทุกเรื่องหมดแล้ว
ที่พระองค์เสด็จมาวันนี้ ไม่ใช่เพื่อมาไต่สวนความผิด แต่ว่า….คิดจะง้างปากของนางออก ให้นางสารภาพความจริงออกมา
“หากเจ้าสารภาพจนเราพอใจ เราจะลองไตร่ตรองว่าสมควรให้เจ้ามีศพครบหรือไม่ แล้วค่อยเว้นทางรอดชีวิตให้อันหว่านจรือสายหนึ่ง” จีเฉวียนตบหัว จากนั้นค่อยลูบหลัง
อันหร่วนสังหารพระมารดา มิว่าอย่างไรนางก็ไม่อาจรอดชีวิต
ให้นางได้มีศพสมบูรณ์……ถือว่าเป็นพระกรุณาสูงสุดจากพระองค์แล้ว
ให้ทางรอดสายหนึ่งแก่อันหว่านจรือ ถือว่ายอมให้ราชวงศ์ก่อนได้หลงเหลือสายเลือดสุดท้ายไว้
อันหร่วนไม่มีทางเลือกอื่นใดอีก……
อันหว่านจรือร้องไห้ครวญคราง น้ำตาไหลอาบเป็นทาง นางยังไม่อยากตาย….ฝ่าบาทประทานสัญญาจะให้ทางทางรอดแก่นางสายหนึ่ง แสดงว่าจะต้องทรงปล่อยนางไป
วางยาพิษสังหารอดีตฮองเฮา ความผิดเช่นนี้ต่อให้ประหารเก้าชั่วโคตรก็ยังไม่ถือว่ามากเกินไป
พอองครักษ์ลับคลายลิ้นให้นาง ก็ได้ยินอันหว่านจรือหันไปหาอันหร่วนร้องว่า “ท่านย่า ขอท่านโปรดช่วยข้าด้วย หว่านจรือเจ็บเหลือเกิน ท่านเลี้ยงดูหว่านจรือมากับมือ ยังใกล้ชิดยิ่งกว่าหลานแท้ๆ อีก….”
นางประคองมือเอาไว้ นิ้วมือที่ขาดด้วนไปมีเลือดไหลทะลักไม่หยุด ดูแล้วน่าสงสารอย่างที่สุด
อันหร่วนปวดใจเช่นกัน…..
ในที่สุดนางก็ถอนใจออกมา ผงกศีรษะ พูดว่า “ไกลออกนอกดินแดนนี้ไป ตำหนัก…..ซิว…หลัว…เตี้ยน”
ทันทีที่สิ้นเสียง อันหร่วนก็กระอักเลือดออกมาคำโต ร่างของนางกระตุกไปทั้งตัว กล้ามเนื้อและกระดูกบิดเกลียวอย่างรวดเร็วจนเห็นได้ชัด
สาปสะกดวาจา…..
นี่เป็นอาคมชั้นสูงที่ผนึกเอาไว้บนร่างมนุษย์เพื่อป้องกันมิให้ความลับรั่วไหล
ทันทีที่ความลับเล็ดลอดออกไป ชีพจรหัวใจของคนผู้นั้นก็จะขาดสะบั้น กระดูกบิดหักทั่วร่าง ขาดใจตายในทันที
“ขอฝ่าบาท….เว้นทางรอดให้หว่านจรือสายหนึ่ง….”
อันหร่วนตัวบิดไปทั้งร่างแล้ว ก็ยังไม่วายวอนขอความเมตตาให้กับอันหว่านจรือ
ใบหน้าของนางถึงกับผิดรูปไป ดูแล้วทรมานอย่างยิ่ง
“ตำหนักซิวหลัวเตี้ยน…..ไม่ว่าแคว้นใดในแผ่นดินนี้ก็ไม่อาจต่อกรได้….”
พูดแล้ว อันหร่วนก็กระอักเลือดออกมามากมาย ร่างบิดเป็นเกลียว ในขณะที่ลำคอถูกบิดไปจนสุดนั้น นางก็หมดลมหายใจสุดท้ายไป
ภาพที่ได้เห็นนี้น่าสยดสยองอย่างที่สุด
อันหว่านจรือตระหนกจนต้องอุดปากเอาไว้ ไม่กล้าส่งเสียงออกมา
ท่านย่าทำร้ายนางถึงตายเสียแล้ว……มิน่าเล่าฝ่าบาทถึงได้เกลียดชังนาง มิน่าเล่าฝ่าบาทถึงได้จับนางมาขังเอาไว้ ทั้งหมดนี้เป็นเพราะท่านย่าคือผู้ที่สังหารพระมารดาของพระองค์
มิเช่นนั้น….ฝ่าบาทจะต้องโปรดปรานนางอย่างแน่นอน
สำหรับอันหว่านจรือแล้ว สิ่งที่ยิ่งกว่าความเจ็บปวดและความเสียใจก็คือความคับแค้น
หากว่านางไม่ได้ถูกท่านย่าเลี้ยงดูมา …..หากว่านางเข้ามาอยู่ในวังอย่างคนทั่วไป….บางทีทุกสิ่งอาจไม่เป็นเช่นนี้
โอรสสวรรค์แห่งต้าโจว….จะอย่างไรก็คือผู้ที่นางเฝ้าฝันถึง
จีเฉวียนทอดพระเนตรมองดูอันหร่วนที่บิดเป็นก้อนกลมจนขาดใจตายไป แววเย็นชาในดวงเนตรทั้งสองก็ยังมิได้จางหาย
“ฝังร่างของนางเอาไว้ที่ภูเขาจงหลิงซาน เราต้องการให้แม้นางตายไปแล้ววิญญาณก็ไม่อาจไปไหน ต้องอยู่เฝ้าสุสานของพระมารดาไปตลอดกาล”
พระสุรเสียงของจีเฉวียนตรัสออกมาอย่างเย็นชา เหล่าองครักษ์ลับต่างก็ทำงานอย่างรวดเร็ว
ทันทีที่พระองค์ชักพระบาทก้าวออกไป อันหว่านจรือก็รีบคุกเข่าลงไป ฝืนอดทนเจ็บ รั้งรองพระบาทของพระองค์เอาไว้ “ฝ่าบาท หว่านจรือไม่รู้เรื่องอะไรจริงๆ นะเพคะ ท่านย่าจัดการเองทั้งหมดคนเดียว ขอฝ่าบาททรงอนุญาตให้หว่านจรืออยู่ข้างพระองค์ หว่านจรือยอมเป็นบ่าวไพร่ รับใช้พระองค์ดังวัวดั่งม้า”
สายพระเนตรรังเกียจของจีเฉวียนกวาดมองไปทางนางครั้งหนึ่ง
อันหร่วนถึงแม้จะชั่วช้า แต่ก็จริงใจกันอันหว่านจรืออย่างแท้จริง
น่าเสียดาย….หลานสาวที่เลี้ยงดูมากับมือ กลับรู้จักแต่ปัดความผิดให้พ้นตัว
“ในเมื่อเจ้าอยากเป็นวัวเป็นม้า เราก็จะให้เจ้าได้สมประสงค์”
สองตาของอันหว่านจรือเปล่งประกาย ขอเพียงนางมีโอกาสรั้งอยู่ข้างกายของฝ่าบาท….เช่นนั้นทุกอย่างก็ยังเป็นไปได้
ต่อให้ไม่มีความช่วยเหลือจากท่านย่า นางก็สามารถช่วงชิงหัวใจของฝ่าบาทมาได้
สายพระเนตรของจีเฉวียนเย็นยะเยือก “ส่งนางไปรับใช้หนิงอ๋อง”
หัวใจของอันหว่านจรือเย็นวาบไปทั้งดวงในทันที หนิงอ๋อง?
พระอนุชาร่วมมารดาของปฐมฮ่องเต้ หลายปีมานี้เขาถูกกักขังอยู่ในที่คุมขังของเชื้อพระวงศ์มาโดยตลอด คนผู้นั้น….ทั้งชราและวิปริตทางเพศ!
——
ตอนต่อไป “อย่างช้าๆ นางก็หลงรักเข้าแล้ว”
ตอนที่ 304 อย่างช้าๆ นางก็หลงรักเข้าแล้ว
ที่ผ่านมานางชอบฟังข่าวเล่าลือถึงเรื่องราวในวังอยู่เสมอ
หนิงอ๋องผู้นั้น…..ถึงแม้จะบอกว่าถูกกักขังอยู่ในสถานที่คุมขังของราชวงศ์ แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร จึงยังได้รับการปรนนิบัติเฉกเช่นอ๋องผู้หนึ่งมาโดยตลอด
ฟังว่าสตรีที่ไปปรนนิบัติดูแลเขาแต่ละคน ล้วนไม่มีใครมีจุดจบที่ดี…
อันหว่านจรือถึงกับสติหลุด น้ำตาไหลพรากเป็นทาง “ฝ่าบาท ทรงทำเช่นนี้กับหม่อมฉันไม่ได้นะเพคะ….”
จีเฉวียนมิได้สนใจนางอีกต่อไป องครักษ์ลับจึงรีบเข้ามาพาตัวคนไป
กรอกยาให้เป็นใบ้ลงไปชามหนึ่ง ก็ทำให้ชั่วชีวิตนี้นางไม่อาจพูดอะไรได้อีกแล้ว
จากนั้นก็ใช้สาปสะกดวาจากับนาง ทุกความลับที่นางเคยได้รู้ ก็ไม่อาจแพร่งพรายออกไปแม้แต่คำเดียว
ยามที่ฝ่าบาททรงโหดเ**้ยมขึ้นมานั้น ก็ไร้น้ำพระทัยอย่างที่สุดจริงๆ
หากว่าอันหว่านจรือรู้จักฐานะของตนเองเจียมเนื้อเจียมตัวให้ดี นางก็คงไม่ต้องมามีจุดจบเช่นนี้
ได้แต่โทษที่นางเอาแต่ใฝ่ใจในผู้ที่นางไม่ใช่และไม่ควร คิดจะทำตนเป็นนังมารอยู่ตลอดเวลา
ตอนนี้จีเฉวียนไหนเลยจะยังมีแก่ใจมาจัดการสตรีผู้นี้อีก?
พอมองดูคุกมืดที่อึมครึม ในสมองของพระองค์ก็มีแต่คำว่า “นอกดินแดนนี้ออกไป ตำหนักซิวหลัวเตี้ยน”
ถ้อยคำที่อันหร่วนสารภาพออกมายังไม่เพียงพอ เพียงประโยคสั้นๆ ไม่กี่คำ ยังต้องมีประโยคหลังที่ต้องให้เขาไปค้นหาเองอีกมาก
บนโลกใบนี้ นอกจากแผ่นดินเหลืองนี้แล้ว สมควรจะมีดินแดนอื่นๆ อีกด้วย
บนดินแดนอื่นสมควรจะมีความเข็มแข็งกว่า เก่งกาจกว่า มีพละกำลังมากกว่า ฟังจากที่อันหร่วนพูด ตำหนักซิงหลัวเตี้ยนคือขุมกำลังนอกดินแดนแห่งหนึ่ง
จีเฉวียนหรี่พระเนตรลง แสงในแววพระเนตรแหลมคมราวกับเข็มเล่มหนึ่ง
แคว้นต้าโจวของเขาช่างมีบุญจริงๆ ถูกเพ่งเล็งเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้ว
……………
เมื่อฤดูใบไม้ร่วงมาถึง เมืองกู่เย่วก็กลายเป็นสีเหลืองทองไปทั่วทั้งเมือง
เมล็ดข้าวสุกเต็มรวงแล้ว ทั่วทั้งผืนนาก็กลางเป็นคลื่นสีทองไปทั้งแถบ น่าชมอย่างที่สุด
ชาวไร่ชาวนาต่างเร่งมือเก็บเกี่ยว ใบหน้าแต่ละคนเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม
ปีนี้น้ำท่าบริบูรณ์ และเพราะพึ่งใบบุญของเหลียงจวิ้นอ๋อง พวกเขาจึงได้อาศัยอยู่ในเมืองกู่เย่วนี้อย่างมีความสุข
ฝนพึ่งจะตกไปรอบหนึ่ง พอรถม้าคันหนึ่งแล่นผ่านมาก็ทิ้งร่องรอยเล็กน้อยเอาไว้บนเส้นทาง
ภายในรถม้า สาวน้อยผู้หนึ่งนั่งศีรษะโขยกเขยกมาตลอดทาง สายลมพัดมาเบาๆ พัดพาชายผ้าคลุมหน้าของนางขึ้นมา เปิดเผยดวงตาดอกท้อที่งดงามปานน้ำใสไหลนิ่งออกมา
ที่ข้างกายของนาง มีสตรีผมแดงที่งดงามเย้ายวนผู้หนึ่งนั่งอยู่ด้วย
“ร่างกายของเจ้ายังไม่ทันหายดี แถมยังพิการ แล้วจะออกมาทำไมกัน?” ชือหลีนั่งอยู่บนที่นั่งเล็กภายในรถม้า จดจ้องมายังนาง
“ออกมาสูดอากาศ” ตู๋กูซิงหลันกล่าวอย่างเรียบนิ่ง
เมืองกู่เย่วแตกต่างจากที่นางเคยคิดเอาไว้มากมายนัก
ท้องที่แถบนี้เคยผ่านการประหัตประหารครั้งใหญ่ที่ทำให้คนต้องหวาดผวามาก่อน นางนึกว่าที่นี่จะต้องเปี่ยมไปด้วยความเหน็บหนาวและวังเวง ราวกับว่าก้าวเข้ามาอยู่ในที่ที่มีแต่ไอหยินกระจัดกระจายอยู่เต็มไปหมดเสียอีก
คิดไม่ถึงว่า เมืองกู่เย่วนี้จะมีแต่กลิ่นอายสดชื่นของท้องนาที่อุดมสมบูรณ์ เต็มไปด้วยชีวิตชีวา
ชาวประชาต่างทำมาหากินอย่างมีความสุข ถึงแม้ว่าไม่อาจนับได้ว่ามีความเจริญรุ่งเรืองสักเท่าใด แต่ก็นับได้ว่าอบอุ่นและปลอดภัยอย่างเต็มที่
ตอนที่อยู่ในโลกโน้น นางชอบชมดูบรรยายกาศยามที่แต่ละบ้านเรือนเก็บเกี่ยวผลผลิตมากที่สุด ในตอนนั้นทุกอย่างล้วนเป็นสีทอง
เป็นสีสันที่งดงามเสียยิ่งกว่าทองคำเสียอีก
พึงพอใจ สุขกายสบายใจ และอุดมสมบูรณ์
ถ้อยคำเหล่านี้แขวนอยู่บนใบหน้าของแต่ละคน และยังแพร่มาถึงนางอย่างไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัวอีกด้วย
สำนักหุบเขาภูติเล้นลับของนางเป็นสำนักที่ศรัทธาในพุทธศาสนา กระทำแต่เรื่องปราบปรามภูติผีปีศาจ ปกป้องสรรพชีวิต พาท่านยายชราข้ามถนน ส่งเพื่อนตัวน้อยกลับบ้านอย่างปลอดภัย
ถึงแม้ว่านางค่อนข้างจะแหวกขนบไปบ้าง แต่อย่างไรเสียก็ยังจดจำคำสั่งสอนและกฏข้อบังคับของท่านอาจารย์ได้ นางไม่เคยกระทำเรื่องชั่วร้ายใดๆ
ทุกครั้งที่ถึงฤดูใบไม้ร่วง ท่านอาจารย์จะพานางไปดูการเก็บเกี่ยว ผลหมากรากไม้ดกเดื่อนแขวนอยู่เต็มต้น ข้าวออกรวงหนักจนโค้งงอ
ตอนที่ยังเป็นเด็กนั้นนางก็ยังไม่เข้าใจ รอจนเติบใหญ่ขึ้นมาหน่อย จึงได้เข้าใจถึงความสุขและความพึงพอใจที่…เรียบง่ายเช่นนี้ ช่างบริสุทธิ์สะอาดนัก
ท่านอาจารย์……ชมชอบการได้มองเห็นบรรยากาศของความอุดมสมบูรณ์ของใต้หล้าเช่นนี้
อย่างช้าๆ นางเองก็ตกหลุมรักบ้างเช่นกัน
“ข้าผู้เป็นเทพชักจะนับถือความสงบนิ่งของเจ้าอยู่บ้างจริงๆ” ชือหลีแง้มหน้าต่างรถออกมา มองดูท้องนาที่เป็นสีทองอร่ามและชาวนาที่กำลังเก็บเกี่ยวอย่างขยันขันแข็งดูบ้าง นางไม่เห็นจะรู้สึกว่ามีอะไรน่าดูตรงไหน
แต่พอดูตู๋กูซิงหลัน กลับเห็นนางมองอย่างน่าสนอกสนใจ?
เมื่อเดือนก่อนนางพาตู๋กูซิงหลันมาที่นี่ เพื่อตามหาเทพโอสถเจียงชวี่ปิ้ง คนผู้นี้ หานั้นหาเจอแล้ว
แต่ว่าตาเฒ่านั่นอุปนิสัยแปลกประหลาดนัก แค่ได้ยินว่าตู๋กูซิงหลันเป็นคนของแคว้นต้าโจว ก็ไม่ยอมเจอหน้านางแม้แต่ครั้งเดียว ปฏิเสธการรักษาในทนที
นางทุบศาลเจ้าเก่าผุของเขาพังไปแถบหนึ่ง สู้กับไอ้เฒ่านั่นไปรอบหนึ่ง ไอ้เฒ่านั่นก็ยังไม่ยอมมาดูตู๋กูซิงหลันเลยสักครั้ง
ไอ้แก่นั่นยังประกาศว่า ชั่วชีวิตนี้จะไม่รักษาคนต้าโจว หากยังบังคับ เขาจะแพร่โรคระบาดไปทั่วเมืองกู่เย่ว ให้คนต้าโจวในเมืองนี้ตายๆ ไปให้หมด
ฟังสิฟัง….นี่มันใช่คำพูดที่เจ้าที่เจ้าทางควรจะพูดออกมาหรือ?
ชือหลีที่อารมณ์ร้ายอยู่แล้ว ย่อมคิดจะเตะเขาจนต้องร้องเรียกเตี่ยออกมา
แต่ว่าตอนนั้นไม่รู้ว่าตู๋กูซิงหลันเกิดนึกสังหรณ์อะไรขึ้นมา ถึงได้เรียกหาให้นางกลับไป ……จึงได้แต่ปล่อยเจียงชวี่ปิ้งไปทั้งอย่างนั้น
แล้วตอนนี้ทำไง ตลอดเดือนมานี้ นางก็ได้แต่ต้องใช้จิตวิญญาณอันแข็งแกร่งของตนเอง ช่วยให้ร่างนี้หายดีเร็วขึ้น
บาดแผลจากไอหยินบริเวณหัวไหล่และช่องท้อง ถึงแม้ว่าดูผิวเผินจะดีแล้วก็ตาม แต่ว่าอวัยวะภายในสุดท้ายยังคงไม่อาจรักษาหาย
ไม่เพียงแค่นี้ ตั้งแต่บั้นเอวลงมาล้วนไม่มีความรู้สึก สองขากายเป็นพิการไปแล้ว
ตู๋กูซิงหลันในตอนนี้แม้แต่จะยืนก็ยังทำไม่ได้ด้วยซ้ำ
ใครจะไปคิดว่า แม่นางน้อยผู้นี้ในตอนนั้นจะมีความสามารถถึงขนาดควบคุมตนที่เป็นเทพได้กัน?
ตลอดเดือนมานี้นางไม่ได้ร้อนอกร้อนใจเลยสักนิด พอดีขึ้นมาหน่อยก็ชักจะหาเรื่องออกไปทั้งเมืองกู่เย่วแล้ว
วันนี้ชมนาข้าว พรุ่งนี้ดูไร่ข้าวฟ่าง จากนั้นก็ไปดูข้าวโพด ใครไม่รู้คงจะนึกว่าบรรพบุรุษทั้งสิบแปดรุ่นของนางเป็นเกษตรกรเสียอีก
สายตาของนางเป็นประกายเปี่ยมไปด้วยความสุขอย่างยิ่ง ทำเอาชือหลียังเข้าใจไปว่านางเจอเงินเจอทองเข้าแล้วเสียอีก
“เจ้าดูสภาพของข้าตอนนี้สิ รีบร้อนไปก็ไม่มีประโยชน์ มาลองมองดูสิ่งต่างๆ ที่เป็นสีทองเหลืองอร่ามพวกนี้สิ ยังช่วยฟื้นฟูอาการบาดเจ็บได้นะ” ตู๋กูซิงหลันหันกลับมา ส่งยิ้มให้กับนาง
ตลอดเดือนมานี้ นางถูกอาการบาดเจ็บรุมเร้า จึงเปลี่ยนจากเจ้าอ้วนน้อยไปเป็นเจ้าผอมน้อยเสียแล้ว
ทั้งยังผ่ายผอมกว่าเดิมอยู่มาก ก่อนหน้านี้ยังดูอวบอ้วนเหมือนดั่งทารก ตอนนี้กลับไม่มีเนื้อหนังเลยสักนิด
“หากเอาตามข้าว่า ชิงร่างย้ายบ้านใหม่อย่างไรก็ยังดีกว่า” พอชือหลีได้ยินเสียงนาง ก็อดจะแสดงความเห็นออกไปไม่ได้
พูดไปพึ่งจะขาดคำ ด้านนอกก็มีสายลมพัดมา กลิ่นหอมบางอย่างโชยมาด้วย
ได้ยินแต่เสียงม้าของพวกเขาร้องขึ้นครั้งหนึ่ง รถม้าก็พลันหยุดลง
จากนั้นก็เห็นสาวน้อยในชุดกระโปรงสีชมพูผ่านมาจากด้านหน้ารถม้า
เรือนร่างของสาวน้อยผู้นั้นสูงโปร่ง มีผ้าปิดบังโฉมหน้า เปิดเผยหน้าผากกว้างและดวงตาที่สุกใสมีชีวิตชีวาคู่หนึ่ง
ผิวพรรณของนางขาวสะอาด แวววาวราวเนื้อหยก ถึงแม้ไม่อาจบอกได้ว่างดงามล้ำเลิศ แต่จิตวิญญาณกลับไม่ธรรมดา เป็นผู้ที่มีพลังวิญญาณดึงดูดผู้คนที่สุดคนหนึ่ง
“อ๋ายย่าห์ จุ๊ จุ๊ จุ๊ ……พอคิดจะนอนก็มีคนส่งหมอนมาให้ เจ้าดูสิดูนี่สิ แม่นางผู้นั้นงดงามน่าดูมาก” ชือหลีจับจ้องไม่หยุด
ทั้งยังลากแขนเสื้อของตู๋กูซิงหลันพลางกล่าวว่า “ร่างเนื้อนี้ ยอดเยี่ยมไปเลย ถึงแม้ว่าห่างชั้นจากเจ้าในตอนนี้อีกไกล แต่ก็นับว่าเป็นของชั้นเลิศ ยังไงเจ้าก็รับๆ เอาไว้เถอะ ใช้ๆ ไปก่อน?”
“ประเด็นสำคัญคือ….เจ้าดูโครงกระดูกของนางสิ ที่เป็นสัดส่วนที่เหมาะสมกับการฝึกฝนมากที่สุด อก เอว ก้นก็มีครบ!”
ตู๋กูซิงหลัน “……”
ชือหลีเป็นถึงเทพพิทักษ์สายน้ำ แต่ตอนนี้กลับดูเหมือนตัวร้ายอย่างไรอย่างนั้น
——
ตอนต่อไป “เหลียงเซิงเซิง”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น