หมอดูยอดอัจฉริยะ 303-304

 ตอนที่ 303 ศิษย์พี่รอง

โดย

Ink Stone_Fantasy

พอง้าวพระจันทร์เสี้ยวหลุดออกจากมือของหลิวติงติง เธอก็ส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด ตอนที่ปล่อยมือเมื่อครู่ หลิวติงติงออกแรงข้อมือดึงง้าวพระจันทร์เสี้ยวกลับมา แต่ข้อมือขวากลับได้รับบาดเจ็บ


แต่เจ้าเด็กคนนี้มีนิสัยที่ดื้อรั้น ถึงแม้หน้าผากจะเต็มไปด้วยเหงื่อ เจ็บปวดข้อมือมากที่สุด นึกไม่ถึงเลยว่าแค่ส่งเสียงร้องก็ทำให้หุบปากได้ ต้องอดทนไว้


“แย่แล้ว” เหล่าจั่วรักและทะนุถนอมหลานสาวคนนี้ ตอนนี้ทำร้ายเธอ ท่าเยี่ยเทียนจะมีปัญหาแล้ว


เมื่อเห็นหลิวติงติงได้รับบาดเจ็บ ถังเหวินหย่วนก็กลั้นก็ความรู้สึกกลัวไว้ไม่อยู่ เพราะคนที่อยู่ข้างหลังของเธอ ที่เป็นคนน่าเคารพยำเกรงคนนั้น ถือว่าครั้งนี้เยี่ยเทียนได้สร้างความหายนะไม่น้อย


“ฮือ เจ็บ”


เยี่ยเทียนเห็นสีหน้าของหลิวติงติง หน้าผากค่อย ๆ เกิดร่อยย่น คิดว่า เจ้าเด็กคนนี้มีนิสัยที่ดื้อรั้น ถ้าเกิดว่าเป็นเด็กผู้ชาย อายุน้อยกว่านี้หน่อย ก็สามารถรับไว้เป็นศิษย์ของได้เลย


เพียงแต่ว่าล้อเล่นไปล้อเล่นมา ไม่เจตนาที่จะทำให้คนรุ่นหลังได้รับบาดเจ็บ เยี่ยเทียนเพียงแค่ไม่สามารถพูดออกมาได้ ทันใดนั้นก็เดินไปข้าง ๆ หลิวติงติง คว้ามือขวาของเธอ


“แก แกจะทำอะไร ปล่อยมือฉัน”


หลิวติงติงที่ทั้งเจ็บปวดและเหงื่อไหลท่วมหน้าผากป้องกันไม่ไหวถูกเยี่ยเทียนคว้ามือไป อดไม่ได้ทั้งอับอายทั้งโมโห ยกขาซ้ายขึ้นมาถีบเยี่ยเทียนออกไป


“อย่าขยับ”  ผู้หญิงที่นิสัยแบบนี้ ไม่รู้ว่าจะแต่งออกไปได้หรือเปล่านะ


เยี่ยเทียนค่อยๆ ใช้แรง ส่งพลังเข้าไปสู่ทางเดินของเลือดลมในร่างกายของหลิวติงติง ในตอนนั้นเธอก็รู้สึกชาไปครึ่งตัว ขาที่ยกขึ้นมาก็ค่อย  ๆคลายลงมา


ฟังน้ำเสียงเยี่ยเทียนที่กำลังพูด หลิวติงติงที่เคยแต่ทำให้คนอื่นลำบาก เธอโตมาถูกเอาเปรียบเช่นนี้ได้อย่างไรกัน น้ำตาก็ไหลออกมาจากเบ้าตา


“อย่าขยับสิ ฉันกำลังรักษาเธออยู่ กลับเนื้อกลับตัวซะ อย่าให้ผู้ใหญ่บ้านเธอบอกว่าฉันรังแกเด็กรุ่นหลัง” เยี่ยเทียนกล่าวตักเตือนหลิวติงติง หันกลับไปพูดว่า “อาติง ไปตักน้ำมากะละมังหนึ่ง หลังจากนั้นก็เติมน้ำร้อนเข้าไปแก้วหนึ่ง”


“ปู่ น้ำมาแล้ว” อาติงเอาน้ำกะละมังหนึ่งออกมาจากห้องครัว ไม่ยินดียินร้ายไปกับความโชคร้ายของคนอื่น มองไปที่หลิวติงติง


“ปู่”


ฟังให้ชัดเจนกับชื่อเรียกที่อาติง เรียกเยี่ยเทียน หลิวติงติงก็รู้สึกงงอยู่พักหนึ่ง เธอรู้จักอาติง รู้ว่าเจ้าคนนี้เป็นคนที่ จิตใจโหดเหี้ยม นอกจากถังเหวินหยวนแล้วใครหน้าไหนเขาก็ไม่ให้ความเคารพ


“หรือว่าเขาจะมีฐานะที่สูงมากจริง ๆ”


ความคิดที่อยู่ภายในหัวของหลิวติงติง พร้อมกับสถานการณ์ที่เธอถูกกำจัด แต่เป็นเพราะว่าเธอเคยได้ยินคุณปู่พูดว่า บนโลกนี้นอกจากอาจารย์ของเขาและศิษย์พี่นั้น เกรงว่าน่าจะไม่มีใครที่ฐานะสูงกว่าตัวเองแล้ว


“อย่าขยับสิ”


เยี่ยเทียนที่ค่อย ๆ ผ่อนคลายข้อมือของหลิวติงติง เอาขวดเซรามิคออกมาจากห่อ หลังจากที่เทเม็ดยาสีดำ หนึ่งเม็ดลงมาขนาดเท่ากับเม็ดลำไย ใช้แรงบีบแล้วหักออกครึ่ง โยนอีกครึ่งหนึ่งลงไปที่กะละมัง ส่วนยาอีกครึ่งหนึ่งเยี่ยเทียน ยื่นไปที่ปากของหลิวติงติง พูดว่า “กินเข้าไป ภายในสิบนาทีก็สามารถทำให้ข้อมือกลับสู่สภาพเดิมได้แล้ว”


มองเห็นเม็ดยาของเยี่ยเทียน อาติงกับถังเหวินหยว่นชำเลืองมอง พวกเขาเคยเห็นของพวกนี้ เพียงแค่ตอนนั้นเยี่ยเทียนให้ยาเม็ดกับตู้เฟย ไม่ใช่ว่ามันหมดแล้วหรอ


“ไม่กิน เพราะว่าแกแตะโดนแล้ว สกปรกจะตาย ไม่สะอาดเลยแม้แต่นิดเดียว” หลังจากที่หลิวติงติงพูดเสร็จก็ปิดปาก ไม่รู้ว่ายาเม็ดนั้นคืออะไร แค่เห็นก็รู้สึกสะอิดสะเอียน เธอจะไปกล้ากินได้อย่างไร


“ฉันเต็มใจให้เธอ ถ้าไม่อย่างนั้นก็เห็นแก่หน้าผู้ใหญ่ของบ้านเธอ ไม่ต้องคิดอะไร” เยี่ยเทียนอารมณ์ไม่ดี บีบเข้าไปที่ข้อมือที่ปวดของหลิวติงติง ทันใดนั้นหลิวติงติงเจ็บปวดก็อ้าปากขึ้นมา


เยี่ยเทียนใช้มือขวาดีด หลังจากนั้นก็ตบหลังหลิวติงติงเบาๆ เม็ดยาอีกครึ่งหนึ่งนั้นก็ตกลงไปอยู่ในท้องของหลิวติงติง


“แก แก ฉันจะสู้กับแก” หลังจากรอให้หลิวติงติงโต้ตอบ เม็ดยาก็ตกลงไปในท้องแล้ว ทำอะไรไม่ได้เลย ชูกำปั้นซ้ายโบกไปมาแบบไม่รู้สึกเจ็บปวดพร้อมที่จะสู้สุดชีวิตกับเยี่ยเทียน


“พอแล้ว ทำตัวดี ๆ หน่อย” เอามือขวามาแช่น้ำไว้สิบนาที เยี่ยเทียนออกแรง คว้ามือของหลิวติงติง มากดไว้ในกะละมัง หลังจากนั้นถอยมาสองก้าว จริง ๆ แล้วเขาก็ไม่อยากยุ่งกับเจ้าเด็กโง่คนนี้เลย


หลังจากที่มือขวาแช่ไว้ในกะละมัง หลิวติงติงในเวลานั้นที่รู้สึกแสบร้อนก็ค่อยๆ รู้สึกเย็นสบาย ชั่วพริบตาเดียวความเจ็บปวดบรรเทาลง แต่ภายในใจก็ยังคงรู้สึกโกรธเคือง แต่ว่าก็ไม่ได้เอามือออกมา


“อะแฮ่ม…”


หลังจากที่จัดการกับหลิวติงติง เยี่ยเทียนเห็นว่าคนในห้องกำลังจ้องมองตัวเองอยู่ อดไม่ได้ที่จะส่งเสียงกระแอมออกไป พูดกับหลิวติงติงว่า “ขอโทษนะครับ คุณผู้หญิง ผมแค่ให้บทเรียนกับคนรุ่นหลัง ทำให้ทุกคนหัวเราะแล้ว”


“คนแซ่เยี่ย แก แกไม่ใช่ผู้ชาย” อารมณ์ที่ค่อยๆ สงบลงแล้วของหลิวติงติง หลังจากที่ได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียน ก็ระเบิดออกมาอีกครั้ง


“เฮ้ ฉันว่า แกเองก็ไม่สามารถใช้ง้าวพระจันทร์เสี้ยวนั้นได้ ที่เราสองคนพนันกันไว้ ให้แกชนะก็ได้” เยี่ยเทียนหันกลับไป สีหน้าที่รู้สึกตลกมองไปที่หลิวติงติง เขาคิดไม่ถึงว่าศิษย์พี่รองจะมีหลานสาวหัวแก้วหัวแหวนแบบนี้


ตอนที่หลิวติงติงเข้ามาในห้อง เยี่ยเที่ยนก็รู้สึกคุ้นเคยเป็นอย่างดีกับพลังงานที่ออกมาจากตัวเธอ แม้ว่านักบวชเต๋าเคยพูดไว้แต่แรกแล้ว ไม่ได้ถ่ายทอดวิชากังฟูให้กับศิษย์พี่ทั้งสองคนนั้น


แต่ว่ากังฟูของสำนักเสื้อป่าน หลี่ซั่นหยวนได้รับการถ่ายทอดแล้ว พลังที่คุ้นเคยแบบน้ันเยี่ยเทียนไม่มีทาง พลาดอย่างแน่นอน


แต่หลังจากที่ถังเหวินหย่วนบอกว่าปู่ของหลิวติงติงแซ่จั่ว ในเวลาเดียวกันก็คือคนที่ดูฮวงจุ้ยให้กับบ้านนี้ เยี่ยเทียนครุ่นคิดขึ้นมาว่า เพราะว่าศิษย์พี่รองของเขา ก็คือผู้มีปัญญาของตระกูลจั่ว


ตามที่ถึงหลี่ซั่นหยวนบอก สิบปีที่แล้วผู้มีปัญญาของตระกูลจั่วคืออายุห้าสิบกว่าปี ตอนนี้อายุก็น่าจะประมาณ หกสิบสี่หกสิบห้าปีแล้ว ก็พอดีกับที่หลานสาวโตขนาดนี้


คนดูฮวงจุ้ยแซ่จั่วคนนี้ วิธีถ่ายทอดมาจากสำนักเดียวกันกับตัวเอง นอกจากศิษย์พี่รองที่คุ้นเคยกันดี เยี่ยเทียนไม่เชื่อว่าจะมีเรื่องบังเอิญอื่นอีก


“ฉันเอาไม่ขึ้น แกก็เอาไม่ขึ้น จะพิสูจน์ได้อย่างไรว่าแกไม่ใช่พวกคนหลอกลวง” เวลานี้หลิวติงติง ถูกต้มจนเป็ดสุกแล้ว แต่ก็ไม่ยอมรับ


ง้าวพระจันทร์เสี้ยวเล่มนี้หนักมาก ให้ตายยังไงหลิวติงติงก็ไม่เชื่อ มองดูเยี่ยเทียนที่อยู่ตรงหน้าแล้ว ก็ไม่ใช่คนที่แข็งแรงกำยำ ที่จะสามารถยกขึ้นมาได้ ถ้าเกิดว่าเยี่ยเทียนก็ยกขึ้นมาไม่ได้ เธอก็จะไม่นับว่านั้นคือการขายหน้า


“เธอบอกว่าฉันก็ยกไม่ขึ้นหรอ”


เยี่ยเทียนเมื่อได้ยินแล้วก็หัวเราะ พูดว่า “เอาอย่างนี้แล้วกัน ถ้าเกิดว่าฉันยกขึ้นมาได้ เธอเรียกฉันว่าคุณอา เป็นไง”


“ยกขึ้นมาได้ก็ยังไม่นับ แกก็ต้องเล่นกับพู่ง้าวพระจันทร์เสี้ยวที่ออกมานี้ ถ้าแกทำได้ฉันจะเรียกเแกว่าคุณอา ถ้าทำไม่ได้แกมันก็แค่คนโกหก”


หลิวติงติงไม่ได้โง่ เยี่ยเทียนพูดว่ายกขึ้นมา แม้ว่าง้าวพระจันทร์เสี้ยวนี้หนักมาก แต่ว่าพวกวัยหนุ่มสาว จะเคลื่อนย้ายก็สามารถทำได้


หลิวติงติงก็ไม่รู้ว่าทำไมเยี่ยเทียนถึงอยากให้ตัวเองเรียกว่าคุณอา แต่เธอก็มั่นใจว่าเยี่ยเทียนจะยกง้าวพระจันทร์เสี้ยวนี้ออกมาไม่ได้ ง้าวพระจันทร์เสี้ยวเล่มนี้น้ำหนักของมันอยู่ที่เจ็ดแปดสิบกิโลกรัม จะเล่นกับง้าวพระจันทร์เสี้ยวเล่มนี้ ไม่ต้องพูดถึงความแข็งแรงของแขนกับน้ำหนักร้อยกว่ากิโลกรัม


“ได้ ถ้าอย่างนั้นเราตกลงกันแล้วนะ อย่ากลับคำละ”


เยี่ยเทียนหัวเราะฮาฮา เดินไปข้าง ๆ ง้าวพระจันทร์เสี้ยวที่ถูกวางทอดยาวขวางอยู่ที่พื้น ไม่ได้ก้มตัวลงไปยกง้าวพระจันทร์เสี้ยวขึ้นมา แต่ว่าใช้เท้าเกี่ยวด้ามขึ้นมา อย่างสุดแรงและรวดเร็ว


ง้าวพระจันทร์เสี้ยวที่หนักถึงเจ็ดแปดสิบกิโลกรัม คาดไม่ถึงว่าเยี่ยเทียนแค่เกี่ยว ก็ค่อยๆ ลอยขึ้นมา หันง้าวพระจันทร์เสี้ยวไปด้านหน้า เยี่ยเทียนยื่นมือขวาออกไป จับไปที่ช่วงกลางของด้ามง้าวพระจันทร์เสี้ยว


หลังจากยกง้าวพระจันทร์เสี้ยวขึ้นมาได้แล้ว เยี่ยเทียนเดินไปข้างๆ ไม่กี่ก้าว ยื่นง้าวพระจันทร์เสี้ยวออกไปข้างหน้า


ในมือของเยี่ยเทียนที่ถือง้าวพระจันทร์เสี้ยวอยู่ ดูคล้ายกับไม่มีสิ่งของอะไร เดินไปรอบ ๆคนที่อยู่ตรงหน้า พร้อมกับยื่นด้านคมง้าวไปข้างหน้า เดินไปรอบๆ คนที่อยู่ตรงหน้าอีกครั้ง เห็นเพียงแค่แสงสะท้อนของใบง้าวพระจันทร์เสี้ยว และพู่สองช่อ ที่งดงามก็ถูกเยี่ยเทียนสะบัดออกมา


เยี่ยเทียนที่กำลังสะบัดง้าวพระจันทร์เสี้ยวที่อยู่ในมือ ยังไม่เคยเคลื่อนไหวสบายอารมณ์เช่นนี้มาก่อน คาดไม่ถึงว่าง้าวพระจันทร์เสี้ยวก็มีเสียงหวีดหวิวออกมา ดูเหมือนว่ากำลังแสดงความสุขของตัวเองเช่นกัน


ถือง้าวพระจันทร์เสี้ยวติดตัว เยี่ยเทียนก็รู้ได้ทันทีถึงความหมายของง้าวพระจันทร์เสี้ยว เวลานี้เกิดอารมณ์คึกคัก ตะโกนว่า “อาติง ตักน้ำนั้นมาสาด”


“ได้ครับ!”


อาติงก็มองด้วยความตื่นเต้นประหลาดใจ เมื่อได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนก็ไม่ได้ครุ่นคิด รีบเอามือไปตักน้ำมาสาด เข้าไปที่เยี่ยเทียน น้ำกระจัดกระจายจนทำให้ง้าวพระจันทร์เสี้ยวเกิดแสงสะท้อนออกมา


“ฮ่าฮ่า”


เยี่ยเทียนส่งเสียงหัวเราะออกมา การเคลื่อนไหวของมือก็ถี่ขึ้น เมื่อไม่มีใครเห็นเงาสะท้อนของง้าวพระจันทร์เสี้ยว เยี่ยเทียนก็ดึงพู่ง้าวพระจันทร์เสี้ยวออกมา และแล้วง้าวพระจันทร์เสี้ยวก็ถูกวางลงบนพื้น


“ป้าบ” เสียงที่ดังขึ้นมา พื้นหินอ่อนนั้นมีรอยเส้นแตกเหมือนกับใยแมงมุม แต่ว่าง้าวพระจันทร์เสี้ยวกลับปัก อยู่ตรงกลางพื้นหินอ่อน


“เฮ้ ไม่ได้ระวัง เหล่าถัง ขอโทษนะ ทำพื้นบ้านของนายพังเสียแแล้ว”


เยี่ยเทียนดีใจขึ้นมาทันที แล้วก็ลืมตัวว่าควรเรียกถังเหวินหย่วนว่าอย่างไร ทันใดนั้น คนรอบข้างต่างจ้องมองเยี่ยเทียน ราวกับว่าเขาคือตัวประหลาด


พื้นตรงหน้าของเยี่ยเทียน สามารถมองเห็นร่องรอยของน้ำได้อย่างชัดเจน แต่ว่าเสื้อสีขาวของเยี่ยเทียนนั้นกลับไม่มี รอยเปื้อนหรือคราบน้ำอะไรเลย หรือว่าจะถูกใบมีดง้าวพระจันทร์เสี้ยวกั้นไว้


แม้ว่ากงเสี่ยวเสี่ยวที่ไม่มีความรู้ด้านกังฟูแม้แต่นิดเดียว ก็รู้ได้ว่าระดับความยากของการเคลื่อนไหวเมื่อกี้ อย่าว่าแต่น้ำหนักของง้าวพระจันทร์เสี้ยวนี้ การยกง้าวพระจันทร์เสี้ยวที่หนักหลายกิโลกรัมนี้ เกรงว่าไม่มีใครที่จะมีระดับความสามารถทำได้เหมือนกับเยี่ยเทียน


“นี้ นี้ นี้คือน้ำกระเซ็นไม่เข้าหรอ”


ง้าวพระจันทร์เสี้ยวแค่อยู่ในมือของตัวเองก็อาจทำให้ได้รับบาดเจ็บได้ แต่พออยู่ในมือของเยี่ยเทียนกลับเหมือน ของเล่นชิ้นหนึ่ง หลิวติงติงที่กำลังเพลิดเพลิน รู้ว่าเธอคือคนที่มีวิชากังฟู แต่เทียบไม่ได้กับการแสดงท่าทางของเยี่ยเทียน นั่นคือความยากในการใช้ง้าวพระจันทร์เสี้ยว


อย่าว่าแต่หลิวติงติงเลย ปู่ที่เธอนับถือ ก็ไม่คิดว่าจะสามารถเอาง้าวพระจันทร์เสี้ยวเล่มนี้ขึ้นมาได้ ยิ่งไม่ต้องเปรียบเทียบกับท่าที่เยี่ยเทียนยกง้าวพระจันทร์เสี้ยวขึ้นมาได้ง่าย อีกทั้งน้ำที่ไม่สามารถกระเซ็นเข้ามาได้


ความจริงแล้วเยี่ยเทียนก็ไม่ได้มีความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับการใช้ง้าวพระจันทร์เสี้ยว เขาเพียงแค่ต้องรักษาหน้าของเขา ถ้าเกิดว่าคนสมัยก่อนฝึกฝนการที่สาดน้ำเข้ามาสี่ด้านแปดทิศ เยี่ยเทียนก็อาจกลายเป็นเพียงแค่หมาตกน้ำ


“เฮ้ เจ้าเด็กโง่’


หลังจากที่เก็บง้าวพระจันทร์เสี้ยว เยี่ยเทียนหันไปหาหลิวติงติง ยิ้มแล้วพูดว่า “พู่ง้าวพระจันทร์เสี้ยวก็เล่นให้เธอดูแล้ว ยังไง เรียกคุณอาสิ”


เยี่ยเทียนตอนเด็กไม่ว่าเขาจะอยู่ที่บ้านหรือว่าอยู่ในสำนักของอาจารย์ ก็คือตัวคนเดียวมาโดยตลอด นี้ก็คือครั้งแรกที่เขาได้บังเอิญเจอกับหลานของศิษย์พี่ เขากลับมีจิตใจที่เป็นเด็กขึ้นมา อดไม่ได้ที่จะไม่หยอกล้อหลิวติงติง


……


ตอนที่ 304 สายสัมพันธ์

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ทำไม? คิดจะกลับคำพูดรึ? นี่มันไม่ใช่พฤติการณ์ของชาวยุทธภพเลยนะ?” เมื่อเห็นหลิวติงติงท่าทางอ้ำๆ อึ้งๆ เยี่ยเทียนก็ทำเป็นชักสีหน้าขึ้นมา


เมื่อถูกเยี่ยเทียนพูดต้อน หลิวติงติงก็กัดฟัน แล้วตอบว่า “เรียกก็เรียกสิ ท่านอา!”


“จ๋า!”


เยี่ยเทียนขานรับขึ้นมาเสียดื้อๆ แล้วพูดด้วยใบหน้ายิ้มกริ่ม “เรียกฉันเป็นท่านอาแล้วเธอไม่เสียใจแน่ มา เดี๋ยวท่านอาจะให้ของขวัญเธอชิ้นนึงนะ”


เยี่ยเทียนพลิกฝ่ามือหนึ่งที แล้วจี้หยกนักษัตรปีหมูขนาดเท่านิ้วหัวแม่มืออันหนึ่งก็ปรากฏอยู่กลางฝ่ามือ จี้หยกนี้ถูกเขาขัดสีมาได้ระยะหนึ่งแล้ว สีของดินที่เกาะอยู่จึงหลอมรวมเป็นเนื้อเดียวกับหยกไปแล้ว เมื่อวางอยู่ใต้แสงไฟก็ยิ่งดูเปล่งปลั่งแวววาว


“เยี่ย…เยี่ยเทียน คุณ…คุณจะยกหยกนี่ให้เธองั้นหรือ?”


เมื่อเห็นเยี่ยเทียนนำหยกออกมา ถังเหวินหย่วนก็ตาเบิกโพลงขึ้นมาทันที ขนาดเขาเสนอราคาไปตั้งหลายสิบล้าน เยี่ยเทียนก็ยังไม่ยอมขาย ตอนนี้กลับจะยกให้คนอื่นงั้นหรือ?


‘หรือว่าเจ้าหมอนี่จะชอบหลิวติงติง? ก็ไม่น่าใช่นะ คู่หมั้นที่บ้านเขายังหน้าตาสะสวยกว่าหลิวติงติงอีกนี่นา? จริงสิ สงสัยเยี่ยเทียนจะกลัวว่าตาของหลิวติงติงจะมาหาเรื่อง ก็เลยให้หยกไปแน่ๆ เลย!’


ถังเหวินหย่วนครุ่นคิดอยู่นานสองนาน สุดท้ายก็สรุปได้เช่นนี้


เมื่อเห็นหมูหยกที่เยี่ยเทียนยื่นมาให้ หลิวติงติงก็เบะปาก “ฉันไม่อยากได้ของของแกหรอก เยี่ยเทียน…”


“อ้าว เรียกท่านอาสิ เมื่อกี้ก็เพิ่งจะตกลงกันไว้ ทำไมลืมซะแล้วล่ะ!”


“ฉันตกลงไปว่าจะเรียกครั้งเดียว ไม่ได้บอกว่าจะเรียกไปทั้งชาติซะหน่อย!”


หลิวติงติงโดนเยี่ยเทียนปั่นหัวจนแทบจะเป็นบ้าอยู่แล้ว ผู้ชายคนนี้ประสาทรึเปล่าเนี่ย? อายุน้อยกว่าเธอแท้ๆ กลับดึงดันจะมาเป็นรุ่นใหญ่กว่าเธอให้ได้ แล้วยังจะมาเป็นท่านอาอะไรอีกล่ะ?


“แฮะๆ ยังไงเธอก็คงต้องเรียกไปทั้งชาตินั่นแหละนะ!”


เยี่ยเทียนหัวเราะแฮะๆ มือข้างที่ยื่นออกไปนั้นก็ยังไม่ได้ชักกลับมา เขาพูดต่อไปว่า “เวลาท่านอาจะให้ของขวัญใคร ก็ถือว่าให้แล้วให้เลยนะ แม่หนูน้อย นี่มันของดีจริงๆ นา!”


ในแวดวงยุทธภพนั้น ธรรมเนียมปฏิบัติในสำนักมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด เมื่อศิษย์รุ่นอาวุโสมาพบกับศิษย์รุ่นเยาว์ ก็จะต้องให้ของรับขวัญในการพบกันครั้งแรก วันนี้เยี่ยเทียนกลั่นแกล้งหลิวติงติงมาตั้งนาน คงจะให้ของธรรมดาๆ เป็นของรับขวัญไม่ได้อยู่แล้ว


แต่เห็นได้ชัดว่าหลิวติงติงไม่ได้ปราถนาเงินทอง ส่วนเยี่ยเทียนนั้นนอกจากเครื่องรางของขลังไม่กี่ชิ้น ก็ไม่มีอะไรอย่างอื่นที่จะยกให้เธอได้อีกแล้ว ดังนั้นหลังจากคิดไปคิดมา จึงหยิบเครื่องรางนักษัตรชิ้นสุดท้ายที่เหลืออยู่ออกมา


“ก็แค่หยกชิ้นเดียวไม่ใช่รึ? ฉันไม่เสียดายหรอก!”


ธุรกิจที่บ้านของหลิวติงติงนั้นแม้จะไม่ได้ใหญ่โตเท่าของกงเสี่ยวเสี่ยวและถังเหวินหย่วน แต่ก็มีห้างเพชรพลอยอยู่ในฮ่องกงถึงเจ็ดแปดแห่ง นับว่าเป็นครอบครัวเศรษฐีครอบครัวหนึ่งเหมือนกัน


หลิวติงติงเติบโตขึ้นมาในวงการเพชรพลอยตั้งแต่ยังเล็ก มองปราดเดียวก็ดูออกว่า หมูหยกบนฝ่ามือของเยี่ยเทียนเป็นหยกโบราณที่ขุดขึ้นมาได้ มูลค่าน่าจะราวๆ สามหมื่นหยวน แต่หลิวติงติงก็ยังไม่เห็นมันอยู่ในสายตาอยู่ดี


เยี่ยเทียนได้ยินอย่างนั้นก็หัวเราะขึ้นมา แล้วถามย้ำว่า “ไม่เสียดายจริงหรือ? หยกนี่น่ะไม่ได้ด้อยไปกว่าอันที่ห้อยคอ เธออยู่เลยนะ ถ้าเธอไม่รับไว้ละก็ อีกหน่อยต้องมีคนมาด่าเธอว่าเป็นตัวล้างผลาญตระกูลแน่ๆ เลยละ!”


หลังจากได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียน ถังเหวินหย่วนก็ตาลุกวาวขึ้นมาทันที นึกเจ็บใจอยากจะชิงจี้หยกนั้น ไปเสียเหลือเกิน ควรทราบว่า วัตถุเช่นนี้มีฤทธิ์ในการปกปักรักษาอยู่ เมื่อถึงยามคับขันก็อาจถึงขั้นช่วยให้รอดชีวิตได้เลย


“เหมือนกับหยกที่ห้อยคอฉันอยู่งั้นหรือ?”


หลิวติงติงได้ยินก็อึ้งไป จี้หยกที่ห้อยคอเธออยู่นั้น คุณตาของเธอได้รับมาจากอาจารย์ของท่าน เห็นว่าเป็นเครื่องราง อะไรสักอย่าง หลิวติงติงห้อยคอไว้มาตลอดตั้งแต่อายุห้าขวบ จนเติบโตมาถึงตอนนี้แล้วก็ยังไม่เคย เจ็บป่วย หรือประสบเคราะห์เลยสักครั้ง


“หรือว่าหยกชิ้นนี้ก็เป็นเครื่องรางเหมือนกัน?” หลิวติงติงใจเต้นแรง เมื่อเห็นว่าฝ่ามือของเยี่ยเทียนกำลัง จะชักกลับไปแล้ว เธอก็รีบยื่นมือออกไปคว้าจี้หยกนั้นมาจากมือของเยี่ยเทียนทันที


เมื่อเห็นหลิวติงติงคว้าจี้หยกนั้นไป หัวใจของถังเหวินหย่วนก็รู้สึกราวกับถูกใครมาบีบไว้ทันที หันหน้าไปมองเยี่ยเทียนอย่างวิงวอน แล้วพูดขึ้นว่า “เยี่ยเทียน คุณจะเลือกปฏิบัติแบบนี้ไม่ได้นะ คุณดูสิ หลิวติงติงมีเครื่องรางอยู่แล้วแท้ๆ แต่เสวียเสวี่ยหลานผมยังไม่มีเลยนะ”


“เดี๋ยวเถอะ ก็เคยช่วยไปแล้วแท้ๆ คุณยังทำเป็นลืมอีกนะ ตอนที่ช่วยรักษาเสวี่ยเสวี่ยน่ะผมเหนื่อยแทบตายแน่ะ”


เยี่ยเทียนขึงตาใส่ตาแก่คนนี้อย่างไม่สบอารมณ์ แล้วพูดต่อไปว่า “ที่ให้แม่หนูคนนี้ไปเพราะถือว่าผมเป็นญาติผู้ใหญ่ของเธอ ที่ให้ไปน่ะเป็นของรับขวัญ คุณน่ะเลิกคิดที่จะแย่งหยกนั่นไปได้เลย”


“คุณถังคะ หยก…หยกนั่นมันมูลค่าสูงมากเลยหรือ?” ผู้ที่อยู่ร่วมเหตุการณ์ในวันนี้ นอกจากอาติงและเยี่ยเทียนแล้ว คนอื่นๆ ก็คงจะมาจากตระกูลเศรษฐีกันทั้งนั้น กงเสี่ยวเสี่ยวเองก็สนใจหมูหยกที่เยี่ยเทียนหยิบออกมาอยู่เหมือนกัน


“เฮ้อ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ว่ามูลค่าเท่าไหร่หรอก แต่อยู่ที่ว่าถึงมีเงินก็ซื้อไม่ได้ต่างหาก!” ถังเหวินหย่วนถอนหายใจ “ฉันเคยเสนอราคาให้เขาไปตั้งสี่สิบล้านแล้ว เขาก็ยังไม่ยอมขายให้ฉันสักอัน เธอว่ามันมูลค่าสูงไหมล่ะ?”


“สี่สิบล้าน? เยี่ยเทียน หยก…หยกนี่ฉันรับไว้ไม่ได้หรอก คืนให้คุณดีกว่านะ!”


หลิวติงติงที่กำลังจับดูหมูหยกอยู่นั้นสะดุ้งขึ้นมาทันที แต่ไม่ใช่เพราะตัวเลขเงินนี้ ประเด็นคือเพิ่งจะพบกันครั้งแรก ก็ไปรับของที่มูลค่าสูงขนาดนี้มาจากคนอื่นแล้ว ซึ่งไม่ตรงกับธรรมเนียมมารยาทที่บ้านเธอสอนมาเลย


“เอาไปเถอะน่า แค่เธอเรียกฉันว่าท่านอาครั้งเดียว ก็สมควรที่จะได้เครื่องรางนี่แล้วละ”


เยี่ยเทียนโบกมือ สำนักเสื้อป่านมีศิษย์น้อยนิดมาแต่ไหนแต่ไร นอกจากศิษย์นอกสำนักที่เขาเพิ่งจะรับ มาใหม่คนนั้นแล้ว ในโลกทั้งใบนี้เขาก็มีศิษย์พี่อยู่แค่สองคน เมื่อเห็นหลานสาวของศิษย์พี่รอง เยี่ยเทียนก็มีแต่จะรู้สึกยินดี


“ไม่ได้หรอก ฉันไม่เอา ถ้ารับหยกนี่ไว้ เดี๋ยวคุณตาต้องด่าฉันแน่เลย!” หลิวติงติงเติบโตมากับคุณตาตั้งแต่เด็ก เธอไม่กลัวพ่อไม่กลัวแม่ไม่กลัวปู่ กลัวก็แต่คุณตาผู้มีนิสัยขวางโลกคนนี้นี่แหละ


เยี่ยเทียนหัวเราะ “ถ้าเขาเห็นหยกนี่เขาก็จะไม่ด่าเธออีกแล้วละ”


“เยี่ยเทียน คุณ…คุณมีความเกี่ยวข้องอะไรกับน้องจั่วงั้นหรือ?”


คราวนี้ถังเหวินหย่วนที่อยู่ข้างๆ ก็เริ่มเอะใจขึ้นมาแล้ว เยี่ยเทียนเอาแต่เซ้าซี้หลิวติงติงให้เรียกตัวเองว่าท่านอา แล้วยังยกของที่ล้ำค่าถึงเพียงนี้ให้เป็นของรับขวัญอีก คำตอบก็แทบจะชัดเจนอยู่แล้ว


“คุณรู้จักคุณตาของฉันด้วยหรือ?”


หลิวติงติงก็ตาโตขึ้นมาเหมือนกัน และมองไปที่เยี่ยเทียนอย่างตกตะลึง เธออยู่กับคุณตามาตั้งสิบกว่าปีแล้ว กลับยังไม่เคยได้ยินคุณตาเอ่ยถึงเรื่องนี้มาก่อนเลย


“ฉันเรียกจั่วเจียจวิ้นเป็นศิษย์พี่น่ะแม่หนูน้อย ที่เธอเรียกฉันว่าท่านอาก็ถูกแล้วใช่ไหมล่ะ?”


พอเยี่ยเทียนได้ยินคำถามก็หัวเราะฮ่าๆ ขึ้นมาเสียงดัง เขามีตำแหน่งระดับสูงในสมาคมหงเหมินก็จริงอยู่ แต่คนเหล่านั้นก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเขาเลย แต่กับหลิวติงติงนั้นไม่เหมือนกัน เพราะว่าเธอเป็นลูกหลานของศิษย์พี่ร่วมสำนัก


“อะไรนะ? เยี่ยเทียน เธอเป็นศิษย์น้องของจั่วเจียจวิ้นงั้นหรือ?”


เมื่อได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียน ถังเหวินหย่วนก็ตกตะลึงยิ่งกว่าหลิวติงติงเสียอีก เขากับจั่วเจียจวิ้นเป็นเพื่อนกันมา ตั้งเกือบสามสิบปีแล้ว กลับไม่รู้เลยสักนิดว่าเขามีศิษย์น้องอยู่ด้วย


“อย่างนั้น…อย่างนั้นเราก็ต้องเรียกน้องจั่วเป็นท่านปรมาจารย์เหมือนกันน่ะสิ?”


ถังเหวินหย่วนพึมพำกับตัวเองด้วยความตกตะลึงสุดขีด เขาอายุมากกว่าจั่วเจียจวิ้นตั้งสิบกว่าปี ปกติที่เรียกอีกฝ่ายว่าน้องก็ถือว่าเขาให้เกียรติจั่วเจียจวิ้นมากพออยู่แล้ว นึกไม่ถึงเลยว่าอีกฝ่ายจะมีลำดับอาวุโส สูงกว่าตนมากขนาดนี้


เมื่อเห็นถังเหวินหย่วนท่าทางลำบากใจ เยี่ยเทียนก็ยิ้มแย้ม “ศิษย์พี่รองจบจากสำนักไปนานแล้ว ก็เลยไม่รู้เรื่องหลายๆ อย่างเกี่ยวกับอาจารย์ คุณก็คุยกับเขาไปสบายๆ นั่นแหละ มันไม่เกี่ยวอะไรกับกลุ่ม ชิงปังสมาคมหงเหมินหรอก”


“อย่างนั้นก็ดี อย่างนั้นก็ดี!”


พอได้ฟังเยี่ยเทียนอธิบาย ถังเหวินหย่วนก็ค่อยวางใจลง ไม่อย่างนั้นถ้าเรื่องที่กลุ่มชิงปังสมาคมหงเหมิน มีปรมาจารย์ระดับ ‘บิ๊ก’ เพิ่มขึ้นมาอีกคนแพร่ออกไปละก็ กลุ่มสมาคมทั้งสองจะต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงแน่ๆ


ควรทราบว่า เยี่ยเทียนไม่ได้มีรากฐานอยู่ในสังคมข้างนอก ถึงนับลำดับอาวุโสแล้วจะมีตำแหน่งสูงมาก แต่ก็เป็นเพียงตำแหน่งลอยๆ เท่านั้น อย่างมากก็แค่ได้รับความเคารพจากคนอื่น แต่แท้จริงแล้วกลับไม่ได้มีอำนาจอะไรเลย


แต่จั่วเจียจวิ้นนั้นไม่เหมือนกัน เดิมทีเขาก็มีสถานะในแวดวงคนเชื้อสายจีนที่สูงมากอยู่แล้ว จึงมีคนรู้จักในวงกว้าง ถ้าเขาเข้าสู่สมาคมหงเหมินโดยอ้างตำแหน่งนี้ ก็ต้องจะกลายเป็นผู้ที่มีอิทธิพลอย่างยิ่งเลยทีเดียว


“นี่ ที่คุณพูดมาน่ะจริงรึเปล่า? คุณเป็นศิษย์น้องของคุณตาฉันจริงๆ น่ะหรือ?”


หลิวติงติงไม่เข้าใจเรื่องที่เยี่ยเทียนกับถังเหวินหย่วนคุยกัน เธอพูดขัดทั้งสองคนขึ้นมา พลางมองไปที่ เยี่ยเทียนอย่างคลางแคลงใจ


“ฉันจะไปพูดเล่นหลอกเธอทำไมล่ะ?” เยี่ยเทียนได้ยินอย่างนั้นก็ยิ้มเจื่อนๆ แม่หนูคนนี้นี่หัวแข็งจริงๆ


“ที่ฉันมาฮ่องกงคราวนี้น่ะยังมีเรื่องพัวพันอยู่ เลยไม่สะดวกจะไปเยี่ยมศิษย์พี่รอง เอาอย่างนี้ไหมล่ะ เธอไปบอกเขาว่า มีศิษย์น้องมาจากแผ่นดินใหญ่คนหนึ่ง อยากให้ศิษย์พี่มาเจอกันสักครั้งก็แล้วกัน!”


เยี่ยเทียนไม่รู้ว่า จั่วเจียจวิ้นได้ร่ำเรียนวิชามาจากอาจารย์มากแค่ไหน แต่ศาสตร์ของสำนักเสื้อป่านในยุคแรกๆ ได้ตกหล่นสูญหายไปแล้ว ดังนั้นพลังฝีมือของ ศิษย์พี่รองในด้านศาสตร์การโจมตีจึงไม่น่าจะสูงมากนัก เยี่ยเทียนจึงไม่อยาก ชักนำเคราะห์ร้ายไปถึงบ้านของเขา


ตามที่เยี่ยเทียนคาดการณ์ไว้ กว่าซ่งเสี่ยวหลงจะมีปฏิกิริยาและส่งคนมาตามล่าที่ฮ่องกง อย่างน้อยๆ ก็คงต้องใช้เวลาอีกสามวัน ถ้าเชิญจั่วเจียจวิ้นมาพบกันในวันนี้ ก็ไม่น่าจะมีปัญหาใหญ่โตนัก


“คุณรอเดี๋ยวนะ ฉัน…ฉันจะไปโทรศัพท์ก่อน” เมื่อได้ยินเยี่ยเทียนบอก หลิวติงติงก็ไม่ลังเล หยิบโทรศัพท์เคลื่อนที่เครื่องเล็กออกมาแล้วเดินออกไปข้างนอกทันที


พอหลิวติงติงไปแล้ว เยี่ยเทียนก็หันมาพูดกับกงเสี่ยวเสี่ยวว่า “คุณนายกงครับ ต้องขอโทษด้วยจริงๆ ที่ผมมาฮ่องกงคราวนี้ยังมีธุระส่วนตัวอยู่นิดหน่อย ช่วงนี้เลยยังใช้ศาสตร์พยากรณ์ไม่ได้ เรื่องเกี่ยวกับสามีของคุณนั้น คงต้องรอให้เรื่องของผมคลี่คลายไปก่อน แล้วถึงจะช่วยทำนายให้คุณได้นะครับ!”


ฝูอี๋หายตัวไปนานถึงแปดปีแล้ว และในตอนที่เกิดเรื่องขึ้นนั้นก็อยู่กลางมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ไพศาล ซึ่งพลังชี่ปะปนกันไปหมด กรณีแบบนี้คงจะทำนายได้ยากไม่ใช่เล่นเลย ดังนั้นเยี่ยเทียนจะต้องเสียพลังไปอย่างมหาศาลแน่ๆ


แต่ที่นี่ก็ไม่ใช่เรือนสี่ประสานที่ปักกิ่งซึ่งอุดมไปด้วยปราณวิเศษ ถ้าเสียพลังชี่ไปแล้วไม่ได้รับพลังทดแทนละก็ คงจะไม่เป็นผลดีอย่างยิ่งต่อศึกที่อาจจะเกิดขึ้นกับเยี่ยเทียนต่อจากนี้ไป


“ได้ค่ะ อา…อาจารย์เยี่ย ฉันจะรอ ฉันรอได้ค่ะ แต่คุณต้องช่วยฉันจริงๆ นะ!”


กงเสี่ยวเสี่ยวพยักหน้าแล้วพยักหน้าอีก เธอเองก็เคยให้คนประหลาดมนุษย์พิสดารสารพัดแบบมาทำนาย หาตำแหน่งของสามีแล้ว แต่ก็ไม่สำเร็จผล อย่างคุณตาของหลิวติงติงก็เคยพยายามทำนายให้อยู่วันหนึ่ง แต่สุดท้ายท่านกระอักเลือดจึงต้องยุติลง


ในเมื่อเยี่ยเทียนพูดอย่างมั่นใจขนาดนี้ และเมื่อครู่กงเสี่ยวเสี่ยวก็ได้เห็นฝีมือของเขากับตาแล้ว มิหนำซ้ำถังเหวินหย่วนยังยกย่องนับถือเขาอีกด้วย กงเสี่ยวเสี่ยวจึงนำความหวังที่จะเสาะหาร่างของสามีให้พบ มาฝากไว้กับเยี่ยเทียนจนหมดแล้ว


“วางใจเถอะครับคุณนายกง สามีคุณใช้ชีวิตอย่างสมถะ ตามหลักแล้วก็ไม่น่าจะมาประสบกับเคราะห์กรรมแบบนี้เลย เขาจะต้องได้ไปสู่สุคติแน่นอน คุณกลับไปก่อนเถอะนะ ถึงเวลาแล้วผมจะติดต่อคุณไปเอง!”


เยี่ยเทียนตอบรับคำขอของกงเสี่ยวเสี่ยว ขณะเดียวกันก็พูดส่งแขกกลับไปก่อน เพราะตอนที่เขาจะพบกับศิษย์พี่นั้น ไม่อยากให้มีคนนอกมาอยู่ด้วย หลังจากพูดประโยคนี้จบ สายตาก็เหลือบผ่านไปที่ถังเหวินหย่วนอย่างเป็นนัยๆ


“เอาละ น้องเสี่ยวเสี่ยว ฉันจะไปส่งเธอเองนะ” ถังเหวินหย่วนมีชีวิตอยู่มานานจนแทบจะบรรลุอยู่แล้ว แล้วจะไม่เข้าใจความคิดของเยี่ยเทียนได้อย่างไรกัน?


……

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)