กระบี่จงมา 301.1-303.2

 บทที่ 301.1 ยุทธภพชั่วร้าย

ProjectZyphon

กว่าที่ทุกคนจะบุกสังหารเปิดทางเลือดผ่านมาถึงนอกศาลบรรพชนสกุลหลวนได้ไม่ใช่เรื่องง่าย หลังจากที่ผู้เฒ่ามอซอร่ายเวทลับที่ได้รับการสืบทอดมาจากอดีตเจ้าประมุขของป้อมอินทรีบินใส่ถ้วยสองใบที่บรรจุเลือดสดของลูกหลานสกุลหลวนเอาไว้ ผู้เฒ่าก็รออยู่ครู่หนึ่ง แต่กลับต้องทรุดตัวลงไปนั่งกับพื้น พึมพำอย่างตื่นตระหนก “ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ ไม่ควรเป็นอย่างนี้สิ…”


สองพี่น้องสกุลหลวนที่ทั่วร่างเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดสีหน้าซีดขาว  นักพรตหนุ่มพูดปากสั่น “ไม่รู้ว่าภูตผีปีศาจพวกนั้นใช้วิธีชั่วร้ายอะไร ถึงเผาผลาญปราณวิญญาณที่อยู่ในสิงโตหินสองตนจนหมดสิ้นไปนานแล้ว”


ผู้เฒ่าหันหน้าไปมองทะเลเมฆทางสนามฝึกยุทธ์ ขุนเขาลดตัวลงต่ำ พายุหมัดพัดตะลุยรับศัตรู เหนือทะเลเมฆยิ่งมีปราณกระบี่ตัดสลับวนเวียน


ผู้เฒ่าพลันบังเกิดความหวังอันเลือนรางเสี้ยวหนึ่ง ดิ้นรนลุกขึ้นยืน พูดกับหนุ่มสาวทั้งสี่คนว่า “พวกเจ้าสี่คนรีบออกไปจากป้อมอินทรีบินซะ ก่อนหน้านี้เป็นพวกเจ้าที่ช่วยคุ้มกันข้ามาตลอดทาง ตอนนี้ถึงเวลาที่ข้าจะช่วยคุ้มกันพวกเจ้าไปส่งบ้างแล้ว พวกเจ้าจงคิดซะว่านี่เป็นการจากไปเพื่อเหลือสายเลือดของป้อมอินทรีบินเอาไว้ ไม่ต้องลังเลแล้ว รีบไปจากที่นี่ ไปไกลเท่าไหร่ยิ่งดี วันหน้าก็ไม่ต้องคิดจะแก้แค้น!”


เถาเสียหยางไม่มีท่าทีว่าจะลุกขึ้นยืน เขาเงยหน้ามองสตรีสกุลหลวนที่ตัวเองปักใจรักมาเนิ่นนาน พูดด้วยเสียงแหบแห้ง “หลวนซู เจ้าไปกับหลวนฉางเถอะ ข้าจะอยู่ที่นี่ ขึ้นเหนือล่องใต้ท่องไปทั่วยุทธภพมานานหลายปี รู้สึกเหนื่อยแล้วจริงๆ วันนี้ข้าไม่ไปไหนแล้วล่ะ”


นักพรตหนุ่มกำลังจะเปิดปากพูด เถาเสียหยางกลับส่ายหน้าให้เขา “หวงซ่าง ไม่ต้องเกลี้ยกล่อมข้าหรอก ข้าตัดสินใจดีแล้ว!”


นักพรตเฒ่าถอนหายใจหนึ่งครั้งแล้วพาลูกศิษย์กับสองพี่น้องสกุลหลวนบุกฆ่าไปตลอดทาง มุ่งหน้าสู่ประตูทิศเหนือของป้อมอินทรีบิน


เถาเสียหยางนั่งขัดสมาธิ หันหน้าเข้าหาประตูใหญ่ของศาลบรรพชน เริ่มใช้ชายแขนเสื้อเช็ดดาบยาว


หวงซ่างวิ่งตะบึงไปเบื้องหน้าพร้อมกับพวกอาจารย์ สายตาของเขาพร่าเลือน ไม่กล้าหันหลังกลับไปมองผู้ฝึกยุทธ์หนุ่มคนนั้นแม้แต่ครั้งเดียว


หลวนซูพลันหันหน้ากลับไปมองแผ่นหลังที่สิ้นหวังของบุรุษที่ตัวเองคุ้นเคยดี ในใจเกิดความเวทนาสงสาร คำพูดนับพันนับหมื่นขึ้นมารออยู่ที่ปาก แต่สุดท้ายกลับสลายไปดั่งหมอกควัน


ระหว่างความเป็นความตาย นิสัยแท้จริงของคนมักจะเปิดเผยให้เห็นได้ดีที่สุด


หญิงสาวถูกพี่ชายกระชากให้วิ่งไปด้วยกัน ไม่มัวหยุดยืนเฉยอยู่อีก


เถาเสียหยางก้มหน้าลงจ้องมองใบหน้าของตัวเองที่สะท้อนจากคมมีดแวววาว แล้วกระตุกมุมปาก ก็ยังไม่ชอบอยู่ดีสินะ


……


วินาทีที่ทารกผีถูกพัดไม้ไผ่ของลู่ไถแทงทะลุหัวใจตาย เสียงร้องโหยหวนก็ดังออกไปจากห้องโถงหลัก เหนือทะเลเมฆสีดำนอกหอเรือน ผู้เฒ่ากวานสูงไม่มัวมาสนใจการบินโจมตีฉวัดเฉวียนอย่างกำเริบเสิบสานจากกระบี่บินสองเล่มอีกต่อไป เขาเผยตัวอีกครั้งด้วยสีหน้าที่ไม่น่ามองถึงขีดสุด โมโหจนสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง แม้แต่กวานสูงเหนือศีรษะก็ยังสั่นคลอนตามไปด้วย ทะเลเมฆที่เกือบจะกลบทับหลังคาสูงก็ยิ่งซัดตลบอบอวลเหมือนน้ำเดือดพล่าน


ผู้เฒ่าหันไปคำรามใส่หอหลักอย่างเดือดดาล “เศษสวะ เศษสวะ! จะเก็บเจ้าไว้ทำซากอะไร?!”


ผู้เฒ่ายื่นฝ่ามือข้างหนึ่งออกไปแล้วพลันบีบแน่น


บุรุษถือแส้ที่กำลังรับมือกับกระบี่บินสองเล่มอย่างยากลำบากอยู่ในห้องโถงใหญ่ ช่วงแรกเริ่มที่ฝากตัวเป็นศิษย์ เขาก็ถูกผู้เฒ่าใช้เวทลับของสำนักควบคุมไว้แล้ว เวลานี้อยู่ดีๆ หัวใจของบุรุษก็ระเบิดอย่างไม่ทราบสาเหตุ จากนั้นจิตวิญญาณของเขาก็แหลกสลายในเสี้ยววินาที กระดูกและเนื้อแยกออกจากกัน เลือดสดก็ยิ่งถูกดูดดึงไปจนเกลี้ยง กลายมาเป็นลูกกลมสีแดงสดขนาดใหญ่ลูกหนึ่งที่พุ่งชนไปรอบด้านโดยไม่สนใจสิ่งใด การระเบิดแตกของมหาสมุทรลมปราณขอบเขตชมมหาสมุทรคนหนึ่งทำให้ยันต์ของลู่ไถที่เข้ายึดครองพื้นที่ระเบิดแตก สั่นสะเทือนราวกับจะร่วงกราวลงมา รอจนเลือดสดพุ่งออกไปด้านนอกก็เหมือนสกุณากลับคืนรังที่พยายามจะบินไปหาผู้เฒ่าบนทะเลเมฆด้านนอก


ลู่ไถขมวดคิ้ว เก็บเจินเจียนและม่ายกวางกลับมาเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เปรอะเปื้อนเลือดที่สกปรกเหล่านั้น เพราะหากโดนพวกมันขึ้นมา ถึงเวลานั้นย่อมไม่ได้ง่ายดายแค่เผาผลาญวัตถุดิบวิเศษอย่างเดียวเท่านั้น เขาไม่กรอกปราณวิญญาณใส่ยันต์เหล่านั้นอีก ดังนั้นเลือดสดจึงเหมือนแม่น้ำสายหนึ่งที่ไหลยาวจากห้องโถงใหญ่ไปยังผู้เฒ่ากวานสูงที่อยู่บนทะเลเมฆ ไหลกรูกันเข้าหาฝ่ามือของผู้เฒ่า


ผู้เฒ่าเหมือนคนหิวกระหายที่กินอิ่มหนำไปหนึ่งมื้อ ดวงตาทั้งคู่สาดประกายสีเลือด สะบัดชายแขนเสื้อสองข้าง ลมปราณสีแดงฉานสองขุมก็พรั่งพรูออกจากชายแขนเสื้อใหญ่ ทันใดนั้นลมพายุก็พัดกระพือฮือโหมจนชูอีสืออู่สองกระบี่บินปลิวล่องลอยอยู่ในทะเลเมฆ


ผู้เฒ่ากวานสูงสีหน้าดุร้าย ก้มหน้าลงมองขุนเขากลางที่ยังไม่สัมผัสพื้นแล้วคำรามกร้าวอย่างเดือดดาล “ดิ้นรนก่อนตาย! เดิมทีนึกว่าเมื่อผีร้ายเพิ่งถือกำเนิด ย่อมไม่มีความอยากอาหาร จึงคิดจะใช้ขุนเขากดทับร่างเจ้า ค่อยๆ คั้นแก่นเลือดออกมาทีละนิด ในเมื่อตอนนี้เจ้าทำให้การใหญ่ของข้าผู้อาวุโสพังพินาศไปหมดแล้ว ถ้าอย่างนั้นข้าผู้อาวุโสก็จะไม่มัวพิถีพิถันอยู่อีก! ไปตายซะ!”


ลู่ไถมายืนอยู่บนดาดฟ้าของหอหลักป้อมอินทรีบินแล้ว เขาควบคุมกระบี่บินสองเล่มให้พุ่งเข้าหาผู้เฒ่าที่อยู่บนทะเลเมฆ หัวเราะเสียงดังอย่าสาสมใจ “เจ้าโจรเฒ่า! ภูเขาไท่ผิง (*ขออนุญาตเปลี่ยนจากไท่ผิงซานเป็นภูเขาไท่ผิง) ของข้ารอวันนี้มานานมากแล้ว!”


สีหน้าของผู้เฒ่าแข็งค้าง แต่แล้วก็หัวเราะเสียงดังอย่างบ้าคลั่ง “ต่อให้วันนี้ข้าผู้อาวุโสต้องมาตายอยู่ที่นี่ ก็จะต้องให้ผู้ฝึกตนที่มีพรสวรรค์ของภูเขาไท่ผิงอย่างพวกเจ้าสองคนตายตกไปตามกันให้จงได้!”


มือข้างหนึ่งของผู้เฒ่าโบกชายแขนเสื้อไม่หยุด พยายามขัดขวางการลอบสังหารจากกระบี่บินสี่เล่มอย่างชูอีสืออู่ ส่วนอีกมือหนึ่งกำเป็นหมัดต่อยลงไปด้านล่างสุดแรง “ไอ้เด็กเปรต จะตายหรือไม่ตาย?!”


สีหน้าของลู่ไถเปลี่ยนไปเล็กน้อย พูดในใจหนึ่งคำว่า “ไป” เข็มขัดหลากสีเส้นหนึ่งบินจากดาดฟ้า ร่วมมือกับเชือกพันธนาการปีศาจที่เป็นดั่งเจียวหลงสีทองรัดพันภูเขา พากันกระชากขุนเขากลางขึ้นไป จะปล่อยให้มันรวมกับขุนเขาอีกสี่ลูกที่ลงหลักปักฐานอยู่บนพื้นดินแล้วไม่ได้เด็ดขาด ถึงเวลานั้นหากห้าขุนเขารวมกันเป็นค่ายกลใหญ่ อย่าว่าแต่เฉินผิงอันคือผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสี่เลย ต่อให้เป็นร่างกายและจิตวิญญาณของขอบเขตหก เกรงว่าก็คงถูกบดขยี้กลายเป็นก้อนเนื้อเละๆ ทั้งเป็นเช่นกัน


ลู่ไถตวาดกร้าวอย่างเดือดดาล “จงขึ้นให้ข้า!”


ภูเขาเริ่มขยับขึ้นไปหลายฉื่อ


“ใครบ้างที่สู้สุดชีวิตไม่เป็น?!” ผู้เฒ่ากวานสูงคนนั้นไม่เสียแรงที่เป็นผู้ฝึกตนอิสระที่มีชื่อเสียงความดุร้ายเลื่องลือ เขาลุกขึ้นยืนพลางหัวเราะอย่างกำเริบเสิบสาน หลังเก็บเบาะนั่งใบนั้นไปแล้ว ร่างกายครึ่งร่างก็แห้งเหี่ยวเหมือนไม้เฉาทันที อีกทั้งยังกลายเป็นเถ้าธุลีที่ลอยกระจายหายไปอย่างต่อเนื่อง ผู้เฒ่ายังคงไม่สนใจใยดี เขาพุ่งตัวไปยังขุนเขากลาง พอสองเท้าสัมผัสกับยอดเขาก็กระแทกร่างกดทับลงไป ทำให้ยอดเขาที่ถูกเข็มขัดห้าสีและเชือกพันธนาการปีศาจรั้งตัวไว้สัมผัสกับพื้นได้สำเร็จ!


เมื่อขุนเขากลางร่วงลงบนพื้น ตลอดทั้งป้อมอินทรีบินก็สั่นสะเทือนไม่หยุด เป็นเหตุให้เทือกเขานอกป้อมเริ่มแตกร้าว


เชือกพันธนาการปีศาจสีทองก็เลื่อนไถลลงไปเบื้องล่างอย่างสิ้นเรี่ยวแรง ผู้เฒ่ากวานสูงหัวเราะฮ่าๆ แค่ยื่นมือไปคว้า เชือกพันธนาการปีศาจก็เข้ามาอยู่ในมือ


หลังจากที่ขุนเขาทั้งห้ารวมตัวกัน ค่ายกลใหญ่ก็ถูกจัดวางสำเร็จ ลู่ไถที่อยู่บนดาดฟ้ากระอักเลือดหนึ่งครั้ง เซถลาไปด้านหน้าหลายก้าว ก่อนจะลนลานคว้าจับราวระเบียงไว้ด้วยนิ้วมือที่สั่นระริก เปิดปากอย่างยากลำบาก “กลับมา…”


เข็มขัดห้าสีที่เดิมทีพันธนาการขุนเขากลางหมดประกายแสงเจิดจ้าอันงดงาม เริ่มกลับคืนสู่สภาพดั้งเดิมแล้วพุ่งตัวไปทางหอหลัก ดวงตาของผู้เฒ่าเป็นประกายจ้า ยื่นมือออกไปอีกครั้ง กระชากเข็มขัดเข้ามาอยู่ในมือ เพิ่งจะได้เชือกพันธนาการปีศาจมา คราวนี้ยังมาได้เข็มขัดห้าสีที่แค่มองก็รู้แล้วว่าต้องเป็นสมบัติอาคมอย่างแน่นอนอีก สวรรค์ไม่เคยไร้ทางให้คนเดินจริงๆ  แม้ว่าครั้งนี้จะยังขาดทุนอย่างหนัก แต่จะดีจะชั่วก็ไม่ถึงขั้นขาดทุนย่อยยับ


ผู้เฒ่ากลับไปนั่งขัดสมาธิดังเดิม เบาะรองนั่งปรากฎขึ้นมาจากความว่างเปล่า เมื่อผ่านศึกครั้งนี้ ปราณวิญญาณในกวานสูงห้าขุนเขาบนศีรษะจึงเบาบางเต็มที


ตรงทะเลเมฆเหนือศีรษะมีเพียงกระบี่สองเล่มหนึ่งใหญ่หนึ่งเล็กของผู้ฝึกกระบี่บนหอหลักที่ยังพยายามดิ้นรน ส่วนกระบี่จิ๋วสองเล่มก่อนหน้านี้ อันที่จริงผู้เฒ่ากวานสูงคอยจับสังเกตอย่างลับๆ อยู่ตลอดเวลา หลังจากที่ขุนเขากลางกดทับเด็กหนุ่มชุดทองคนนั้นได้สำเร็จ กระบี่บินก็ร่วงดิ่งลงไปบนพื้นในตรอกสองแห่งที่ห่างออกไป น่าจะสูญสลายไปแล้ว ช่างน่าเสียดายยิ่งนัก


แค้นใหญ่ในวันนี้ได้ชำระ ผู้เฒ่าสะใจไม่น้อย ข้อแรกเขาไม่จำเป็นต้องควบคุมค่ายกลใหญ่ที่เป็นรูปห้าขุนเขาอีกต่อไป สองคือต้องรีบไปเอาชุดคลุมอาคมสีทองบนศพของเด็กหนุ่มมา จากนั้นก็รีบหนีไปจากป้อมอินทรีบิน จะได้ไม่ต้องถูกพวกตะพาบเฒ่าจากสำนักฝูจีหรือภูเขาไท่ผิงมาดักสังหารกลางทาง ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นดั่งสุนัขไร้บ้านเหมือนอย่างในปีนั้นอีก


เรื่องมาถึงขั้นนี้ แต่ก็ยังไม่มีบุรพาจารย์ขอบเขตโอสถทองหรือก่อกำเนิดของภูเขาไท่ผิงลงมือ ดูท่าเด็กเปรตสองคนที่หนึ่งตายหนึ่งบาดเจ็บนี้คงประมาทเกินไป ถึงได้มอบโอกาสให้ตนจากไปอย่างปลอดภัย แต่เด็กหนุ่มสองคนนี้ต้องเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดระดับต้นๆ ของภูเขาไท่ผิงแน่นอน ไม่แน่ว่าอาจเป็นลูกศิษย์ผู้ภาคภูมิใจของเจ้าขุนเขา ถึงได้กล้าเอาสมบัติอาคมที่มีอยู่เต็มตัวออกมาโอ้อวดผู้คนเช่นนี้


หากไม่เป็นเพราะตนกับภูเขาไท่ผิงผูกปมแค้นที่ไม่ตายก็ไม่ยอมเลิกราไว้นานแล้ว เกรงว่าป่านนี้ตนคงต้องหลบลี้หนีให้ห่างอีกฝ่ายไปแล้ว


ผู้เฒ่ากวานสูงท่องคาถา ‘เก็บภูเขา’ เงียบๆ ขุนเขาทั้งห้าก็พลันทะยานขึ้นสูงทันที ก่อนจะลดขนาดลงเรื่อยๆ สุดท้ายหวนกลับเข้าไปในกวานสูงห้าขุนเขาอีกครั้ง


ผู้เฒ่าด้านหนึ่งโบกชายแขนเสื้อควบคุมทะเลเมฆขัดขวางกระบี่บินสองเล่มของลู่ไถอย่างเจินเจียนและม่ายกวาง


อีกด้านหนึ่งก็นั่งขัดสมาธิอยู่บนเบาะ หัวเราะพลางลดตัวลงต่ำไปยังสนามฝึกยุทธ์


บนพื้นมีแสงสีทองสว่างจ้าอยู่กลุ่มหนึ่ง คล้ายชุดสีทองตัวหนึ่งที่ตากอยู่บนราวไม้ไผ่แล้วไม่ทันระวังร่วงหล่นลงมาปูแผ่อยู่บนพื้น


ทั้งที่สมบัติอาคมอยู่ตรงหน้า แค่เอื้อมมือไปคว้าก็ถึง แต่ผู้เฒ่ากวานสูงกลับหน้าเปลี่ยนสีอย่างรุนแรง มือทั้งคู่ตบเข้าหากันกลางอากาศ ทั้งคนและเบาะรองนั่งต่างก็ลอยพรวดขึ้นด้านบน ผ่านการต่อสู้มาพักใหญ่ รวมไปถึงปราณวิญญาณของตัวผู้เฒ่าเองก็ถดถอยลดน้อยไป ทะเลเมฆสีดำที่เหลือไม่ถึงเศษหนึ่งส่วนสิบจึงไหลกรูเข้าหาผู้เฒ่าอย่างรวดเร็ว


แสงสีทองกลุ่มนั้นที่อยู่บนพื้นสนามประลองยุทธ์กระโดดผลุงขึ้นมาจากหลุมใหญ่ใต้ดินที่พอให้คนคนหนึ่งนอน เสียงตะโกนดังขึ้น “ลู่ไถ ขอข้ายืมใช้เจินเจียนหน่อย!”


ลู่ไถไม่ได้รู้สึกประหลาดใจแม้แต่นิด ดวงจิตขยับเพียงเล็กน้อย เจินเจียนกระบี่บินเล่มยักษ์ก็มาปรากฎอยู่ใต้เท้าของเฉินผิงอัน


ก่อนหน้านี้นับตั้งแต่ที่ชูอีสืออู่ ‘ร่วงลงพื้น’ อันที่จริงลู่ไถก็ค้นพบเบาะแสแล้ว เฉินผิงอันเคยบอกว่า พวกมันคือกระบี่บินแห่งชะตาชีวิต แต่กลับไม่ใช่วัตถุแห่งชะตาชีวิตของเฉินผิงอัน ดังนั้นหากเฉินผิงอันตายจริงๆ ชูอีกับสืออู่มีแต่จะยิ่งทุ่มสุดชีวิตสังหารศัตรู มีเพียงเฉินผิงอันแกล้งตายเท่านั้นถึงจะจงใจให้กระบี่บินสองเล่มร่วมแสดงละคร


หลังจากนั้นเชือกพันธนาการปีศาจก็ ‘แกล้งตาย’ เช่นกัน ลู่ไถต้องอดทนอย่างยากลำบากถึงจะกลั้นเสียงหัวเราะเอาไว้ได้


วาดกระบวยตามรูปน้ำเต้า (อุปมาว่า ลอกแบบ/เลียนแบบ) ลู่ไถที่ความคิดดีๆ พลันบังเกิดจึงจงใจปล่อยให้เข็มขัดหลุดจากการควบคุม ปล่อยให้ผู้เฒ่ากวานสูงดึงเอาไป


ผู้เฒ่าหนีไปอย่างว่องไว แต่ชูอีกับสืออู่ที่แอบซ่อนตัวอยู่บริเวณใกล้เคียงมานานแล้วกลับเร็วยิ่งกว่า


หนึ่งซ้ายหนึ่งขวา พวกมันแทงทะลุเบาะนั่งไปในเสี้ยววินาที เป็นเหตุให้ความเร็วในการเผ่นหนีของผู้เฒ่ากวานสูงติดขัดเล็กน้อย


อีกทั้งยังมีม่ายกวางกระบี่บินของลู่ไถมาขัดขวางอยู่กลางอากาศสูง


ที่สำคัญที่สุดคือเข็มขัดห้าสีของลู่ไถและเชือกพันธนาการปีศาจของเฉินผิงอันต่างก็มีชีวิตกลับคืนมา พวกมันพร้อมใจกันรัดพันแขนของผู้เฒ่ากวานสูง เหมือนมีงูหลามสองตัวรัดพันกายผู้เฒ่า


ส่วนเฉินผิงอันก็เหยียบอยู่บนกระบี่บินเจินเจียน บินทะยานไล่กวดผู้เฒ่ากวานสูงและทะเลเมฆไป


ขี่กระบี่บินเดินทางไกล!


แม้ว่าตอนที่ถูกขุนเขากดกำราบจะอาศัยเข็มขัดของลู่ไถถ่วงเวลาไว้ได้ บวกกับที่ตัวเฉินผิงอันเองได้เล็งหาหลุมที่ใหญ่ที่สุดไว้แล้ว ก่อนจะออกหมัด เขากระทืบเท้าให้พื้นดินปริแตกเพื่อสร้างหลุมใหญ่พอให้นอนได้ชั่วคราว หลบพ้นจุดจบที่ร่างเละกระดูกแหลกสลายมาได้ แต่ภายใต้สถานการณ์ที่ถูกปราณยิ่งใหญ่ไพศาลของค่ายกลห้าขุนเขากดทับลงมาจังๆ หน้า เฉินผิงอันที่เหมือนนอนอยู่ในโลงปิดตายก็ไม่ได้รู้สึกดีสักนิดเลย ตอนนี้กระดูกซี่โครงของเขาหักไปหลายท่อน หากไม่เคยชินกับความทรมานมาตั้งแต่ตอนอยู่บนเรือนไม้ไผ่ภูเขาลั่วพั่วแล้วล่ะก็ เวลานี้คงได้แต่มองผู้เฒ่ากวานสูงเผ่นหนีไปคาตาเท่านั้น


ก่อนหน้าที่เฉินผิงอันจะเหยียบกระบี่ ‘บินทะยาน’ ก็ได้ใช้วิชาควบคุมกระบี่ของอาจารย์กระบี่เรียก ‘ชือซิน’ กระบี่ยาวที่ก่อนหน้านี้โยนไว้ด้านข้างมาไว้ในมือ


มีเข็มขัดหลากสีและเชือกพันธนาการปีศาจพันธนาการสองแขนของผู้เฒ่า อีกทั้งวัตถุสองชนิดนี้ยังสามารถแหวกการอำพรางของทะเลเมฆ ชักนำให้กระบี่บินสามเล่มทิ่มแทงเบาะรองนั่งได้อย่างแม่นยำ


นี่เป็นเหตุให้เฉินผิงอันที่แม้จะเพิ่งควบคุมกระบี่ครั้งแรกก็ยังสามารถไล่ตามผู้เฒ่าได้ทัน ครั้นจึงเงื้อกระบี่ฟันใส่ท้ายทอยของอีกฝ่าย


บทที่ 301.2 ยุทธภพชั่วร้าย

ProjectZyphon

ผู้เฒ่าต้องทุ่มสุดชีวิตแก่ๆ หอบเอาทะเลเมฆพุ่งฉิวไปด้านหน้าถึงจะหลบกระบี่นั้นมาได้อย่างยากลำบาก ทว่าปราณกระบี่ที่เอ่อล้นออกมาก็ยังทิ้งร่องเลือดเส้นหนึ่งไว้บนศีรษะของผู้เฒ่ากวานสูงได้อยู่ดี


ทางฝั่งของดาดฟ้า ลู่ไถกัดฟันกล่าวสองคำว่า ‘บุปผาผลิบาน’ อีกครั้ง แล้วทะยานลมไล่ตามไป อาภรณ์สีเขียวปลิวสะบัดพัดไปตามลม


ความเร็วเหนือกว่ากระบี่บินเจินเจียน


ลู่ไถวาดเส้นโค้งเส้นหนึ่งอยู่กลางอากาศ เพียงแค่ชั่วกะพริบตาสิบกว่าครั้งก็ตัดขาดทางหนีของผู้เฒ่ากวานสูงขอบเขตประตูมังกรผู้นั้นได้


ผู้เฒ่าเคยมีบทเรียนมาก่อนแล้วจึงไม่กล้าฝืนบุกฝ่าออกไป เขาหมุนตัวกลับหมายบินอ้อม แต่กลับถูกเด็กหนุ่มชุดทองที่ออกกระบี่สองครั้งหลังช้าไปหนึ่งเสี้ยวปล่อยหนึ่งกระบี่แทงทะลุหัวใจ จนรู้สึกได้ว่าหัวใจตัวเองเย็นวาบ!


อีกทั้งกระบี่เล่มนี้ยังแปลกประหลาดอย่างถึงที่สุด!


ทั้งพลังชีวิตและปราณวิญญาณต่างก็ไหลหายไป เพราะถูกกระบี่ยาวที่แทงทะลุร่างดูดดึง


ผู้เฒ่าหยุดชะงัก ทะเลเมฆที่อยู่ใต้เบาะรองนั่งก็หยุดค้างกลางอากาศตามไปด้วย


ก้มหน้าลงมองปลายกระบี่ แล้วยิ้มเศร้า


ผู้ที่เอาชีวิตของข้ากลับไม่ใช่กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสี่เล่ม


ผู้ที่ช่วยกระบี่ยาวเล่มนี้เอาชีวิตข้ากลับเป็นแค่ยันต์ย่อพื้นที่ที่ตนดูแคลนแผ่นหนึ่ง


เหตุใดเดี๋ยวนี้พวกเด็กๆ จากตระกูลเซียนที่ในชื่อมีคำว่าสำนักถึงได้เจ้าเล่ห์เพทุบายยิ่งกว่าผู้ฝึกตนอิสระอย่างพวกข้าเสียอีก?


เดิมทีเฉินผิงอันคิดจะฉวยโอกาสปล่อยไปอีกหนึ่งหมัด ต้องต่อยให้ผู้เฒ่ากวานสูงหัวขาดถึงจะมั่นใจเต็มร้อยว่าไม่พลาด แต่ลู่ไถกลับส่งเสียงในใจที่แทบจะใกล้เคียงกับการตะโกนเอ่ยเตือนเฉินผิงอันว่าให้อาศัยกระบี่บินเจินเจียนรีบหนีไป ยิ่งไกลเท่าไหร่ยิ่งดี


ผู้เฒ่ากวานสูงจับประคองกวานห้าขุนเขาที่เอียงกะเท่เร่ แล้วก็ไม่คิดจะดึง ‘ชือซิน’ ที่แทงทะลุหัวใจออก แต่หันมามองลู่ไถด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย


มือทั้งสองข้างยังคงถูกสมบัติอาคมสองชิ้นพันธนาการไว้อย่างแน่นหนา พวกมันพยายามสร้างขีดจำกัดในการไหลเวียนลมปราณของผู้เฒ่าอย่างเต็มที่


เบาะรองนั่งขาดวิ่นไม่เหลือสภาพดี เพราะถูกกระบี่บินสามเล่มทิ่มแทงหลายสิบรูจนลมพัดผ่านได้เต็มที่


ลู่ไถยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับผู้เฒ่ากวานสูง ในใจยังหวาดผวาไม่คลาย ตอนนั้นที่แกล้งทำเป็นลูกศิษย์ของภูเขาไท่ผิงก็เพราะอยากจะขู่ให้ตาแก่ผู้นี้ตกใจกลัวแล้วหนีไป ไหนเลยจะคิดว่าพอตนบอกว่ามาจากภูเขาไท่ผิง อีกฝ่ายจะเหมือนหมาบ้าที่กัดคนไม่เลือก อีกอย่างสภาพการณ์ของเฉินผิงอันในตอนนั้นก็เรียกว่าชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้ายจริงๆ


ลู่ไถสงบจิตใจ พูดเสียงเรียบว่า “อันที่จริงพวกเราไม่ใช่ผู้ฝึกตนของภูเขาไท่ผิง”


ผู้เฒ่ากระตุกมุมปากยิ้มเสแสร้ง “เมื่อครู่ข้าผู้อาวุโสก็คิดจนกระจ่างแล้ว ภูเขาไท่ผิงไม่มีทางสอนคนให้เป็นเหมือนพวกเจ้าสองคนได้”


ทะเลเมฆรอบด้านค่อยๆ สลายหายไป กลับไปมือเปล่า หวนคืนสู่ฟ้าดิน


……


เทพเซียนตีกันมักจะอยู่บนสวรรค์


แต่การพบพรากในแบบที่ทั้งทุกข์และสุขกลับอยู่บนโลกมนุษย์


บรรยากาศในห้องโถงใหญ่ของป้อมอินทรีบินแปลกประหลาดยิ่ง


หลวนหยางเจ้าปราสาทสามารถขยับตัวได้เป็นปกติแล้ว แต่เขากลับไม่แม้แต่จะชายตามองศพของสตรีที่อยู่บนเก้าอี้ข้างกัน


ผู้ดูแลเฒ่าเหอหยาชำเลืองตามองฮูหยินเจ้าประมุขด้วยสายตาซับซ้อน ในใจพลันเกิดความเวทนาจึงขยับปากทำท่าจะพูด แต่กลับถูกหลวนหยางใช้สายตาเย็นชาคมปลาบมองกำราบมาเสียก่อน


หลวนหยางใช้มือข้างหนึ่งจับที่เท้าแขนเก้าอี้ประคองตัว พูดเสียงหนัก “เรื่องที่เกิดขึ้นในห้องโถงใหญ่วันนี้ ใครก็ห้ามเอาไปแพร่งพราย หากใครกล้าปริปากพูดไปแม้แต่คำเดียว ไม่เพียงแต่จะเจอการลงโทษด้วยกฎตระกูล ยังเดือดร้อนให้ทุกคนในครอบครัวถูกตัดมือตัดเท้า แล้วถูกขับออกจากป้อมอินทรีบิน!”


หลวนหยางไม่ได้หันหน้ากลับมา แค่ใช้มือชี้ไปยังเก้าอี้ที่อยู่ข้างตัว “ฮูหยินเจ็บป่วยเรื้อรัง อาการหนักจนไม่อาจรักษาให้หายได้…”


หลวนหยางหยุดชะงักไปเล็กน้อยแล้วพูดต่อด้วยเสียงเย็นชา “ตายไปแล้วไม่อนุญาตให้ตั้งป้ายวิญญาณไว้ในศาลบรรพชนสกุลหลวนของข้า! ไม่ให้ฝังไว้ใน…”


ทุกคนในห้องโถงใหญ่เงียบกริบราวจักจั่นในหน้าหนาว ไม่มีใครกล้าเอ่ยโต้แย้ง


ในที่สุดอาจารย์ผู้เฒ่าก็ทนไม่ไหว เดินขึ้นหน้ามาหนึ่งก้าว พูดขัดจังหวะประโยคหลังของหลวนหยางด้วยเสียงเศร้าสลด “เจ้าประมุข ฮูหยินทำผิดก็จริง แต่ขอเจ้าประมุขเห็นแก่ที่ฮูหยินช่วยเหลือสามีอบรมเลี้ยงดูบุตร จัดการกิจธุระในตระกูลตลอดหลายปีมานี้ อนุญาตให้ฝังฮูหยินไว้ที่ภูเขาด้านหลังด้วยเถอะ เจ้าประมุข ถือว่าข้าเหอหยาขอร้องท่านล่ะ…”


กล่าวมาถึงช่วงท้าย ผู้ดูแลเฒ่าที่อุทิศตัวให้แก่ป้อมอินทรีบิน อาจารย์ผู้เฒ่าที่สอนหนังสือให้แก่เด็กๆ รุ่นแล้วรุ่นเล่าผู้นี้ก็ถึงกับสะอื้นจนพูดไม่เป็นคำ


หลวนหยางเดือดดาลอย่างหนัก ตบที่เท้าแขนอย่างแรงจนเก้าอี้ทั้งตัวหักถล่มลงไปครึ่งหนึ่ง สีหน้ามืดทะมึน ใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก็แค่นเสียงเย็นชากล่าวว่า “เรื่องนี้ไว้ค่อยพูดกันทีหลัง!”


หลวนหยางที่แต่ไรไหนมาปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความสุภาพอ่อนโยน เวลานี้กลับเหมือนสัตว์ร้ายหิวกระหายที่กวาดตามองคนรอบกาย ทำเอาทุกคนที่เห็นรู้สึกชาไปทั้งหนังศีรษะ รีบพากันก้มหน้า ไม่กล้าสบตากับเขา


“ป้อมอินทรีบินจะรอดไปได้หรือไม่ ตอนนี้ยังบอกไม่ได้ พวกเจ้าอย่าเพิ่งออกไปจากที่นี่ ใครกล้าออกจากประตูใหญ่ไปโดยพลการ เหอหยา เจ้าสังหารได้เลย!”


หลวนหยางทิ้งประโยคนี้ไว้แล้วก็ออกไปจากห้องโถงใหญ่เพียงลำพัง เขาเดินขึ้นไปชั้นบน สุดท้ายไปถึงสถานที่ที่ไม่รู้ว่าทำไมบิดาถึงตั้งชื่อว่า ‘ขึ้นดาดฟ้า’ บุรุษที่ชั่วชีวิตที่ผ่านมาไม่เคยใจแข็งปานหินเหล็กเช่นนี้มาก่อนทอดสายตามองไปไกล พยายามมองให้เห็นผลลัพธ์ของศึกใหญ่ให้ได้ แต่น่าเสียดายที่ตบะวรยุทธ์ของเขาธรรมดา การมองเห็นมีจำกัด มองเบาะแสอะไรไม่ออกเลยสักนิดเดียว เห็นแค่ว่าทะเลเมฆสลายหายไป แสงกระบี่พาดข้ามแผ่นฟ้าเท่านั้น


หลวนหยางกดเสียงต่ำ เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันพูด “หากทารกผีตนนั้นคลอดออกมาแล้วร้ายกาจอย่างที่พวกเขาพูดกันจริงๆ แล้วถูกป้อมอินทรีบินของข้าควบคุมไว้ได้ แบบนั้นก็ดีน่ะสิ!”


……


นักพรตเฒ่าพาคนทั้งสามหนีออกมาจากป้อมอินทรีบินได้อย่างราบรื่น เข้าป่าลึกขึ้นเหนือไปตลอดทาง คราวนี้เดินทางอย่างสะดวกสะบายไร้อุปสรรคจนน่าแปลกใจ นอกจากผีและวัตถุหยินบางส่วนที่ออกมาก่อกวนแล้วก็ไม่มีปัญหาใหญ่นัก


ไม่เพียงแต่หนุ่มสาวสามคนที่รอดพ้นจากหายนะมาได้ แม้แต่นักพรตเฒ่าเองก็ยังรู้สึกเหลือเชื่ออย่างมาก


ทันใดนั้นคนทั้งสี่ก็รู้สึกเลื่อนลอยเหมือนเข้ามาอยู่คนละโลก


ยืนอยู่บนเนินเขาแห่งหนึ่ง หลวนฉางพลันกล่าวว่า “ข้าจะกลับไป”


ผู้เฒ่ามอซอแอบพยักหน้าให้อีกฝ่าย ยังไม่ต้องพูดว่าอีกฝ่ายยังเยาว์หรือไม่ แค่มีความคิดเช่นนี้ก็ถือว่ามีหวังที่จะช่วยทำให้ป้อมอินทรีบินฟื้นกลับมารุ่งโรจน์ได้อีกครั้งแล้ว


หากเอาแต่ตั้งหน้าตั้งตาหนีหัวซุกหัวซุน ผู้เฒ่าไม่มีทางดูแคลนสตรีอย่างหลวนซู แต่กลับจะดูถูกหลานชายของพี่น้องอย่างผู้เฒ่าหลวนแน่นอน


ก่อนหน้านี้ทะเลเมฆที่มืดทะมึนเหมือนน้ำหมึกได้สลายหายไปแล้ว แม้จะยังบอกไม่ได้ว่าป้อมอินทรีบินพ้นจากหายนะแล้วหรือยัง แต่ถึงอย่างไรนี่ก็ถือว่าเป็นนิมิตหมายที่ดี


ผู้เฒ่าทอดสายตามองไปไกล ใช้วิชาของสำนักสังเกตการณ์สภาพการณ์ที่ปรากฏอยู่เวลานี้ก็เห็นว่าปราณหยินที่เข้มข้นในป้อมอินทรีบินจางหายไปเกือบหมดสิ้นแล้ว


ดังนั้นจึงเอ่ยเกลี้ยกล่อมหลวนฉางว่า “อย่าเพิ่งรีบร้อนกลับไป ดูเหมือนว่าสถานการณ์ณ์ในวันนี้โชคจะเข้าข้างพวกเราแล้ว ในเวลาเช่นนี้เจ้าจะสร้างปัญหาเพิ่มไม่ได้เด็ดขาด”


หลวนฉางกำด้ามดาบตรงเอวแน่นจนเส้นเลือดสีเขียวบนหลังมือปูดโปน พูดอย่างอัดอั้น “ท่านพ่อท่านแม่ยังตกอยู่ในอันตราย ข้าเป็นบุตรชายกลับนิ่งดูดายก็ไม่สมควรเป็นบุตรของพวกเขา!”


ผู้เฒ่าหลุดหัวเราะพรืด ไม่ได้รู้สึกหงุดหงิด กลับกันยังอธิบายอย่างใจเย็นว่า “การเสียสละโดยไร้ความเกรงกลัวหาใช่ความกล้าหาญที่แท้จริงไม่ หลวนฉาง เจ้าต้องเป็นบุรุษเหมือนท่านปู่ของเจ้า มีเพียงช่วงเวลาที่ถอยจนถอยไม่ได้อีกแล้ว เพื่อความชอบธรรม ถึงได้สร้างวีรกรรมยิ่งใหญ่อย่างการฟันเทวรูปหลิงกวานด้วยดาบเดียว! ต่อให้เป็นผู้ฝึกตนบนภูเขาที่เก็บตัวสันโดษอย่างพวกข้า ตอนที่ได้ยินเรื่องนี้ก็ยังตบโต๊ะร้องชมเชย เรียกขานเขาว่าเป็นวีรบุรุษ ความกล้าหาญนี้ไม่ใช่ความกล้าของบุรุษทั่วไป ไม่ใช่การพาตัวไปตายอย่างเสียเปล่า”


หลวนฉางพยักหน้ารับเงียบๆ


เห็นได้ชัดว่าผู้ฝึกยุทธ์หนุ่มที่ถูกฝากความหวังยิ่งใหญ่จากตระกูลผู้นี้ไม่ได้มีนิสัยดื้อดึงดัน หากจิตใจไม่กว้างขวางพอ ในฐานะเจ้าประมุขคนถัดไปของป้อมอินทรีบิน คงไม่มีทางปล่อยเถาเสียหยางคนต่างแซ่ที่เจริญรุ่งเรืองขึ้นในทุกๆ วันไว้ในป้อมอินทรีบิน


หลวนซูกระตุกชายแขนเสื้อของหลวนฉางเบาๆ


หลวนฉางเงยหน้าขึ้นยิ้มให้ “ข้าไม่เป็นไร วางใจเถอะ”


ผู้เฒ่ารู้สึกปลาบปลื้มใจเล็กน้อย


ยุทธภพแบบนี้ถึงจะมีรสชาติ


นักพรตหนุ่มหวงซ่างพึมพำเบาๆ ว่า “อาจารย์ คนต่างถิ่นสองคนนั้นสามารถสังหารมารบนท้องฟ้าได้จริงๆ หรือ?”


ผู้เฒ่าไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เขาถอนหายใจหนึ่งครั้งก่อนกล่าวว่า “มีความสามารถในการวางแผนใหญ่โตขนาดนี้ พลิกกลับโชคชะตาลมและน้ำในระยะร้อยลี้ มีความเป็นไปได้มากว่าจะเป็นมารใหญ่ขอบเขตโอสถทองคนหนึ่ง เวทลับขยับย้ายภูเขาเช่นนั้น อย่าว่าแต่อาจารย์อย่างข้าเลย ต่อให้เป็นอาจารย์ปู่ของเจ้าที่มีความสามารถดั่งฟ้าประทาน ตอนที่มีตบะสูงสุดก็ยังทำไม่ได้ หากคนหนุ่มสองคนนั้นสามารถขับไล่ศัตรูที่แข็งแกร่งให้หนีไปได้ก็ถือว่าโชคดีอย่างถึงที่สุดแล้ว ไม่ต้องเพ้อฝันเลยว่าจะสังหารศัตรูได้สำเร็จ”


หลุดพ้นอันตรายมาได้ เส้นเอ็นหัวใจที่หดเกร็งมาตลอดเวลาของผู้เฒ่าก็คลายลง สีหน้าจึงแสดงความเหนื่อยล้าอย่างเห็นได้ชัด ศึกในวันนี้ทำให้จิตใจของนักพรตที่อาศัยอยู่บนภูเขาท่านนี้เหนื่อยล้าอย่างแท้จริง


นักพรตเฒ่าเอนหลังพิงต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง “เว้นเสียแต่ว่านักพรตใหญ่ของสำนักฝูจีจะตามมาทัน อีกทั้งยังต้องมีศักดิ์ไม่ต่ำ ไม่อย่างนั้นก็ยากที่จะขัดขวางยักษ์ใหญ่วิถีมารที่ขี่ทะเลเมฆผู้นั้นได้”


คนทั้งสามสีหน้าหนักอึ้ง หลวนซูกัดริมฝีปากแน่น อารมณ์ซับซ้อนถึงขีดสุด


พ่อแม่ยังตกอยู่ในอันตราย นอกศาลบรรพชนยังมีเจ้าคนโง่ที่ยินดีรอความตายอยู่อีกคน


ต่อให้ตนกับพี่ชายเอาชีวิตรอดไปได้อย่างหวุดหวิด อนาคตก็ยังเลือนรางอยู่ดี จะไปที่ไหน ไปทำอะไร หลวนซูไม่รู้เลยจริงๆ


หวงซ่างสีหน้าหม่นหมอง


ฝึกตนอย่างยากลำบากมาหลายปี ไม่เคยเกียจคร้านแม้แต่นาทีเดียว เดิมคิดว่าพอจะฝึกมรรคกถาได้สำเร็จในระดับหนึ่งแล้ว ออกมาเผชิญโลกภายนอกนับครั้งไม่ถ้วน ไหนเลยจะคิดว่าต้องเกือบมาทิ้งชีวิตไว้ที่ป้อมอินทรีบินที่เป็นดั่งแดนสุขาวดีแห่งนี้


ผู้เฒ่าทำลายบรรยากาศที่น่าอึดอัดนี้ลงด้วยการหอบหายใจเสียงดัง จากนั้นก็พูดกลั้วหัวเราะว่า “แต่ก็วางใจเถอะ หลังจากที่มารร้ายกลับไปมือเปล่าครั้งนี้ต้องดึงดูดความสนใจจากสำนักฝูจีได้แน่นอน ภายในหนึ่งร้อยปี มารร้ายตนนั้นต้องไม่กล้าก่อเรื่องอีกแน่ สำนักฝูจีมีเซียนสองคนที่เป็นคู่บำเพ็ญตนกัน หากไปมีเรื่องกับพวกเขา ไม่ว่าคนใดที่ลงจากภูเขามาก็ล้วนสังหารมารร้ายได้อย่างง่ายดายราวกับพลิกฝ่ามือ!”


ดูเหมือนผู้เฒ่ายังไม่สามารถแก่ใจจึงทำท่าพลิกฝ่ามือแล้วพูดกลั้วหัวเราะซ้ำว่า “ง่ายดายราวกับพลิกฝ่ามือ!”


……


นอกศาลบรรพชน เถาเสียหยางเต็มไปด้วยความกังวลใจ


ไม่ได้กังวลใจที่ป้อมอินทรีบินกลายมาเป็นเหมือนนรกบนดิน


แต่เป็นกังวลว่าครั้งนี้บุรพาจารย์ในตระกูลที่จับตนมาโยนไว้ที่นี่ตั้งแต่ยังเล็กจะเสียหายอย่างหนัก เดือดร้อนให้ตนไม่อาจเติบโตทีละก้าวจนกลายเป็นปรมาจารย์อันดับหนึ่งของแคว้นเฉินเซียงได้


สาวงาม เขาต้องการ ยุทธภพ เขาก็ต้องการ


ไม่แน่ว่าวันหน้าอาจจะมีโอกาสได้ขึ้นไปดูทัศนียภาพบนยอดเขา


บางครั้งที่มีโอกาสแกล้งทำเป็นออกไปท่องในยุทธภพแทนสกุลหลวน เขาก็จะแอบไปพบกับบุรพาจารย์อย่างลับๆ มีครั้งหนึ่งที่บุรพาจารย์ท่านนั้นสอนเขา บอกว่าขอแค่เป็นสิ่งที่ตัวเองชอบ ก็ควรจะคว้ามาไว้ในมือของตัวเอง หากคว้าไว้ไม่อยู่ ก็เลือกเอาว่าจะไม่คิดให้มากความหรือทำลายมันไปเสียเลย


เถาเสียหยางเห็นด้วยอย่างยิ่ง


เมื่อเห็นว่ารอบด้านไร้ผู้คน เถาเสียหยางที่ปลดหน้ากากลงเผยให้เห็นสีหน้าที่เดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่าง เขาหยุดความคิดที่วุ่นวายลง สุดท้ายรู้สึกว่าสิงโตหินที่ไร้ประโยชน์คู่นี้เกะกะสายตา จึงฟันฉับลงไปสองที ตัดสิงโตหินออกเป็นสองท่อน ก้อนหินพลันถล่มครืนลงมา


หลังจากระบายความอัดอั้นในใจออกไปแล้ว คนหนุ่มพลันตระหนักได้ว่าตนทำพลาด หากแผนการของบุรพาจารย์ล้มเหลว ไม่เพียงแต่ต้องถอยกลับรังเก่าไปพักฟื้น การกระทำที่แสดงความขุ่นเคืองใจนี้ของตนย่อมเปิดเผยพิรุธได้ง่าย ถ้าตาแก่สมควรตายคนนั้นจับได้ขึ้นมาย่อมไม่เป็นผลดี ดังนั้นเถาเสียหยางผู้รอบคอบจึงเดินเร็วๆ ไปเบื้องหน้า ใช้ด้ามดาบที่ถูกกรอกลมปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์ทุบรูปปั้นสิงโตหินที่ล้มครืนอยู่กับพื้นให้แหลกทีละนิด


จากนั้นเขาก็เดินเร็วๆ ไปที่หอหลักของป้อมอินทรีบิน ระหว่างทางก็ฟาดฝ่ามือลงบนหน้าอกตัวเองหนึ่งครั้ง ทำให้ตัวเองกระอักเลือดได้แล้วถึงจะยอมหยุดมือ


บนภูเขาอันตราย ลมแรงคนก็ล้มได้ง่าย ยุทธภพชั่วร้าย น้ำลึกย่อมง่ายที่เรือจะล่ม


จิตใจคนขึ้นลงไม่แน่นอน ยากสงบมากที่สุด


จิตใจมั่นคงทั้งยังจริงใจ ช่างหาได้ยากยิ่ง


บทที่ 302.1 เสียใจ

ProjectZyphon

แนวโน้มของสถานการณ์ใหญ่ในใต้หล้า แท้จริงแล้วส่วนใหญ่บนภูเขามักจะเป็นผู้ตัดสิน


บนท้องฟ้าที่ห่างไกลไปจากป้อมอินทรีบิน


ทั้งสองฝ่ายกำลังคุมเชิงกัน


ชัยชนะหรือความพ่ายแพ้ของพวกเขาคล้ายจะเป็นตัวตัดสินว่าป้อมอินทรีบินจะดำรงอยู่หรือล่มสลาย


กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสามเล่มบวกกับคนหนุ่มอีกสองคน ซ้ำร้ายยังมีเชือกพันธนาการปีศาจและเข็มขัดห้าสีรัดพันกาย


เรียกได้ว่าผู้เฒ่ากวานสูงตกอยู่ในวงล้อมที่แน่นหนาของศัตรู หาใช่เพราะฝ่ายตรงข้ามมีกองกำลังมาก แค่เพราะอีกฝ่ายมีสมบัติอาคมให้ใช้ไม่หมดหมดสิ้น


เผชิญหน้ากับตัวประหลาดที่อายุยังน้อยสองคนตรงหน้า ราวกับรู้ว่าตัวเองต้องตาย ผู้เฒ่าจึงมีสีหน้าหดหู่ เต็มไปด้วยความจนใจ เขาเอ่ยเนิบช้าว่า “หากไม่เป็นเช่นนี้ เมื่อครู่ตอนที่เด็กหนุ่มชุดทองแทงข้าหนึ่งกระบี่ ข้าย่อมระเบิดโอสถทองของตัวเองไปแล้ว จากนั้นค่อยใช้จิตหยินที่หลงเหลืออยู่ระเบิดร่างเจ้าให้ตายตกไปตามกัน ถึงอย่างไรในยุคสมัยที่ข้าผู้อาวุโสรุ่งเรืองก็เคยเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตโอสถทองที่ได้สัมผัสธรณีของขอบเขตก่อกำเนิดมาก่อน ต่อให้เจ้าหลบพ้นก็ไม่มีทางดีไปกว่ากันสักเท่าไหร่ ไม่แน่ว่าเปลือกนอกที่งดงามนี้ก็อาจจะไม่เหลือแล้วก็ได้”


ลู่ไถพยักหน้ารับ ไม่ได้ปฏิเสธ


แต่หางตากลับแอบจับจ้องแขนทั้งสองข้างของผู้เฒ่าผู้กวานสูงตลอดเวลา นั่นต่างหากถึงจะเป็นไม้ตายที่แท้จริงของผู้เฒ่า


ผู้เฒ่าเจ้าเล่ห์และฉลาดถึงเพียงนั้น จึงก้มหน้าลงมองตามสายตาของเขาไป จุ๊ปากพูด “ล้วนแต่เป็นของดีทั้งนั้น”


ผู้เฒ่ากวาดตามองรอบด้านด้วยความรู้สึกหงอยเหงาเล็กน้อย “ตอนนั้นหากไม่เป็นเพราะลูกศิษย์คนสำคัญของบุรพาจารย์ท่านหนึ่งแห่งภูเขาไท่ผิงปรารถนาอยากได้กวานห้าขุนเขาของข้า แต่ข้าไม่ยอมมอบให้เขา ต่อให้ต้องตกอยู่ในสภาพอย่างทุกวันนี้ก็ตาม เขาที่ไม่ได้สมใจจึงแอบไปติดต่อกับผู้ฝึกตนอิสระอย่างลับๆ ออกเงินให้พวกเขาเปิดฉากสังหาร สังหารเพื่อนสนิทของข้าจนไม่เหลือแม้แต่คนเดียว…”


กล่าวมาถึงตรงนี้ผู้เฒ่าก็หัวเราะหึหึ “ข้าผู้อาวุโสก็ไม่ได้กินหญ้า จึงหาโอกาสปลิดชีพผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกรของพวกเขาสองคน พวกเขาต่างก็เป็นผู้มีพรสวรรค์อย่างแท้จริง แทบไม่ต่างจากพวกเจ้าเลย หากโชคดีก็มีหวังว่าจะเลื่อนขอบเขตสู่ก่อกำเนิด ขอบเขตโอสถทองก็ยิ่งเป็นเรื่องที่แน่นอน ดังนั้นภูเขาไท่ผิงจึงโมโหเจียนคลั่ง ไม่คิดจะรักษามาดอะไรอีกทั้งนั้น ภายนอกป่าวประกาศว่าเป็นโอสถทองหนุ่มคนหนึ่งที่ประมือกับข้า สุดท้ายเล่นงานจนขอบเขตของข้าถดถอย แต่ความจริงล่ะเป็นเช่นไร? ฮ่าๆ ภูเขาไท่ผิงตัวดี เบื้องหลังโอสถทองหนุ่มคนนั้นมีเซียนดินก่อกำเนิดคนหนึ่งคอยช่วยหนุนหลังต่างหาก เพื่อให้ข้าฝึกปรือฝีมือของโอสถทองหนุ่ม พร้อมกับสร้างชื่อเสียงให้โอสถทองหนุ่มว่าสังหารขอบเขตโอสถทองแก่ๆ คนหนึ่งได้ แถมยังมีประโยชน์ทำให้ขอบเขตของเขามั่นคงยิ่งกว่าเดิม ได้ทั้งสร้างชื่อเสียงที่ดีงาม ได้ทั้งมอบผลประโยชน์ให้แก่เขา พวกเจ้าว่าสำนักใหญ่ที่มีชื่อเสียงเหล่านี้ร้ายกาจหรือไม่ล่ะ?”


สายตาของลู่ไถมองผ่านเบาะรองนั่งของผู้เฒ่าไปยังเฉินผิงอันที่อยู่ห่างออกไป


เขาสามารถพูดในทะเลสาบหัวใจกับเฉินผิงอันได้โดยที่แน่ใจว่าจะไม่ถูกผู้ฝึกตนห้าขอบเขตกลางทุกคนลอบฟัง แต่เฉินผิงอันดันตอบกลับมาไม่ได้ วิธีการรวมเสียงให้เป็นเส้นของผู้ฝึกยุทธ์ในยุทธภพ พวกชาวบ้านอาจจะรู้สึกว่ามหัศจรรย์ แต่ในสายตาของผู้ฝึกตนบนภูเขา นี่กลับเป็นวิธีแย่ๆ ที่มีระดับขั้นต่ำมากที่สุด ด้วยเหตุนี้ลู่ไถที่อยากรู้การตัดสินใจของเฉินผิงอันจึงได้แต่แลกเปลี่ยนความคิดกันทางสายตาเท่านั้น


ทั้งๆ ที่เห็นอยู่คาตาว่าคนหนุ่มสองคน ‘เล่นหูเล่นตา’ กันไปมา ทว่าผู้เฒ่ากวานสูงที่กำลังจะเดินไปพบจุดจบของชีวิตกลับไม่ได้สนใจ เขายกแขนขึ้นอย่างยากลำบาก ยื่นนิ้วข้างหนึ่งออกมาดีดปลายกระบี่แหลมคมที่แทงทะลุหัวใจออกเบาๆ ท่าทางที่เปี่ยมไปด้วยมาดของวีรบุรุษนี้ทำให้ผู้เฒ่ากระอักเลือดไม่หยุด เพียงแต่ว่าสีหน้าของผู้เฒ่ายังคงเป็นปกติเหมือนไม่รู้สึกรู้สา “หากจำไม่ผิด นี่น่าจะเป็นกระบี่ประจำกายของมือกระบี่อันดับหนึ่งแคว้นเฉินเซียงที่ทุ่มเงินก้อนใหญ่ซื้อมาจากสำนักฝูจีกระมัง เดิมทีก็ถือว่าเป็นสมบัติอาคมกึ่งเซียนบนภูเขาอยู่แล้ว พอกินเลือดหัวใจของข้าผู้อาวุโสเข้าไป ในที่สุดก็มีพัฒนาการขึ้นไปอีกขั้น ได้นั่งตำแหน่งของสมบัติอาคมอย่างมั่นคงแล้ว”


ผู้เฒ่ากวานสูงหัวเราะฮ่าๆ หันหน้าไปมองเด็กหนุ่มชุดทองที่ยืนเหยียบอยู่บนกระบี่ ยื่นนิ้วออกมาสามนิ้ว “ไอ้หนู เจ้านี่มันมีเงินจริงๆ แม้จะไม่รู้ว่าเหตุใดเจ้าถึงไม่ชักกระบี่ยาวที่สะพายอยู่ด้านหลังออกจากฝัก แต่มันคงไม่ได้เป็นสมบัติอาคมเหมือนกันหรอกกระมัง?”


เฉินผิงอันนิ่งเฉย ไม่ตอบโต้สักคำ


ผู้เฒ่าดึงสายตากลับมามองท้องฟ้า สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ลมบนนภาพัดแรงจนชายแขนเสื้อสองข้างของผู้เฒ่าที่สภาพสะบักสะบอมพัดดังพึ่บพั่บ


“สมบัติที่มีอยู่ติดกายของข้า เด็กเปรตสองคนอย่างพวกเจ้าที่ทำลายมหามรรคาของข้า อย่าได้หวังว่าจะได้พวกมันไปครอง!”


ทันใดนั้นผู้เฒ่าก็แผดเสียงหัวเราะดังลั่น “การตายของข้าในครั้งนี้นับว่าคุ้มค่าแล้ว กระบี่ยาวตรงหัวใจ เข็มขัดหลากสีและเชือกพันธนาการปีศาจบนแขนสองข้าง บวกกับกวานห้าขุนเขาบนศีรษะ เบาะรองนั่งใต้ก้นก็พอจะถือว่าเป็นสมบัติได้หนึ่งชิ้น มีสมบัติอาคมห้าชิ้นถูกฝังไปพร้อมกันด้วย แทบไม่ต่างอะไรจากเซียนดินก่อกำเนิด! หากบวกกับกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตอีกสามเล่ม เซียนบนยอดเขาของห้าขอบเขตบนก็เท่านี้เองมิใช่หรือ?”


ร่างของผู้เฒ่าเริ่มเน่าเปื่อย เถ้าธุลีเป็นกลุ่มร่วงเผลาะๆ ลงมา แต่ตรงจุดตันเถียนกลับส่องประกายแสงจ้าแสบตาที่สาดยิงออกไปสี่ด้านแปดทิศ


แทบจะเวลาเดียวกันนั้น ชูอีสืออู่และม่ายกวางล้วนพากันถอยกรูดไปด้านหลังอย่างรวดเร็ว ออกห่างจากผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกรที่กำลังจะระเบิดจุดตันเถียนของตัวเองผู้นี้


รวมไปถึงชือซินกระบี่ยาวที่ดื่มเลือดผู้เฒ่าจนอิ่มก็ถูกเฉินผิงอันใช้เวทบังคับกระบี่ของอาจารย์กระบี่ดึงออกมาจากหัวใจเขาเช่นกัน เพียงแต่ว่าก่อนจะดึงออกมายังไม่ลืมคว้านหนักๆ อีกที ปั่นขยี้หัวใจของผู้เฒ่าจนเละ เห็นได้ชัดว่าต่อให้จะเสี่ยงที่กระบี่ยาวต้องระเบิดไปด้วย แต่เฉินผิงอันก็ต้องการทำให้แน่ใจว่าผู้เฒ่าต้องตายอย่างแน่นอน


ผู้เฒ่าหลุบตาลงต่ำ เมื่อเข็มขัดห้าสีที่สำคัญอย่างถึงที่สุดสำหรับลู่ไถหลุดออกไปจากแขน ผู้เฒ่ากวานสูงก็พลันรู้สึกว่าร่างโล่งสบาย ไม่มีความรู้สึกเหมือนคนถูกรังแกที่ตกอยู่ในสภาพอับจนอีก ผู้เฒ่าหรี่ตาลง แค่รอให้เชือกพันธนาการปีศาจบนแขนอีกข้างถูกเด็กหนุ่มชุดทองดึงกลับไปเท่านั้น


แต่ผู้เฒ่ากลับต้องอึ้งงันราวไก่ไม้


เชือกพันธนาการปีศาจสีทองที่ระดับขั้นสูงมากเส้นนั้นไม่เพียงแต่ไม่หนีหายไป กลับกันยังรัดแขนของเขาแน่นขึ้นอีก แสดงออกชัดเจนว่าพร้อมยอมเป็นสิ่งของที่ถูกฝังไปพร้อมกับร่างเขา


จนกระทั่งถึงบัดนี้ที่ใช้ครบทุกวิธีการที่มีแล้ว แต่สุดท้ายกลับยังไม่อาจพลิกกลับมาเป็นฝ่ายกระทำ ผู้เฒ่าถึงได้ระเบิดความดุร้ายที่สะกดกลั้นเอาไว้และความหวาดกลัวลนลานที่ซุกซ่อนอยู่ในส่วนลึกของหัวใจออกมา


ความกระวนกระวายหวาดหวั่นอย่างที่ห้ามไม่อยู่นี้ ไม่เป็นรองปีนั้นที่ถูกโอสถทองหนุ่มของภูเขาไท่ผิงไล่ฆ่าเลยสักนิดเดียว


ไอ้คำพูดที่บอกว่าอีกฝ่ายมีเซียนดินก่อกำเนิดให้การปกป้องคุ้มครองอย่างไร้ยางอาย บีบให้ผู้เฒ่าต้องกลายมาเป็นตัวขัดเกลาฝีมือของโอสถทองหนุ่มอะไรพวกนั้น แน่นอนว่าเป็นเพียงคำโกหกพกลมของผู้เฒ่ากวานสูง


นี่ก็เพื่อสร้างบรรยากาศจอมปลอมว่าตัวเองยินดีกระโจนเข้าสู่ความตายอย่างกล้าหาญ หลังจากที่เชือกพันธนาการปีศาจและเข็มขัดหลากสีคลายตัวออก เขาก็จะแบ่งแก่นของจิตหยินกลุ่มหนึ่ง สละทิ้งเลือดเนื้อและตบะเผ่นหนีไปให้ไกล แม้ว่ารากฐานมหามรรคาจะเสียหาย แต่ก็ยังดีกว่าสิ้นชีวิต วันหน้าค่อยไปหาต้นกล้าดีๆ ในหมู่ชาวบ้านสักต้น แต่งเรื่องน่ารันทดหดหู่ให้อีกฝ่ายฟัง หลังจากนั้นก็ช่วยเหลือด้านการฝึกตนให้กับอีกฝ่าย พอถึงโอกาสเหมาะๆ ค่อยช่วงชิงร่างของอีกฝ่ายมา


ไม่สนแล้ว ไม่มีเวลามาสนใจอะไรมากมายอีกแล้ว!


ต่อให้บนแขนยังมีเชือกพันธนาการปีศาจอยู่ แต่หากยังไม่ลอกคราบออกไปก็เท่ากับว่าอยู่เฉยๆ รอความตายอย่างแท้จริงแล้ว


มหาสมุทรลมปราณและห้องโอสถของผู้เฒ่ากวานสูงระเบิดแตกพร้อมกัน แรงระเบิดสาดกระเซ็นไปแปดทิศรอบด้าน ปราณวิญญาณแตกกระจายประหนึ่งสะเก็ดไฟที่แตกลั่นยามชายฉกรรจ์ตีเหล็กในห้องหลอมกระบี่


เนื่องจากลู่ไถคือผู้ฝึกลมปราณจึงทนรับแรงระเบิดได้ยากลำบากยิ่งกว่า ต่อให้อยู่ห่างมาตั้งห้าสิบจั้งแล้ว เขาก็ยังต้องถอยแล้วถอยอีก แม้สถานการณ์จะสุ่มเสี่ยงเต็มที ลู่ไถก็ยังพยายามใช้เสียงในใจบอกกับเฉินผิงอันว่าให้เลือกหาตำแหน่งที่ตัวเองปลอดภัยให้เจอ แล้วใช้สถานการณ์นี้เป็นดั่งโอกาสในการหล่อหลอมร่างกายและจิตวิญญาณของผู้ฝึกยุทธ์ นี่ย่อมมีประโยชน์ต่อเขามาก


มีภาพลมปราณซัดตลบยุ่งเหยิงกั้นขวางอยู่ ลู่ไถมองเห็นท่าทางของเฉินผิงอันได้ไม่ชัด แต่เชื่อว่าด้วยนิสัยรอบคอบระมัดระวังตัวแจของเฉินผิงอัน เขาต้องเลือกใช้แผนการที่ปลอดภัยอย่างแน่นอน


โดยไม่ทันรู้ตัวลู่ไถก็มองเฉินผิงอันเป็นคนบนเส้นทางเดียวกันไปแล้ว ในสถานการณ์คับขันบางครั้งที่ต้องตัดสินใจเลือก เขาก็ยินดีที่จะเชื่อหรืออาจถึงขั้นพึ่งพาเฉินผิงอันในระดับหนึ่งเลยด้วยซ้ำ


สำหรับผู้ฝึกลมปราณบนภูเขาที่แสวงหาความเป็นอมตะ สำหรับลูกรักแห่งสวรรค์ที่มีหวังว่าจะพิสูจน์มหามรรคาแล้ว นี่เป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลย


ผู้เฒ่ากวานสูงไม่กล้าวาดหวังถึงความดีงามพร้อมสรรพ แม้จะสัมผัสได้อย่างเฉียบคมว่ามีกระบี่บินหลบซ่อนอยู่หลายจุด แต่ก็อาศัยเสี้ยววินาทีที่ห้องโอสถระเบิดทำให้แสงเจิดจ้า แสงแสบตาพุ่งทะยานสู่ชั้นฟ้า เล็งหาช่องว่างเหมาะๆ แล้วพาแก่นของจิตหยินกลุ่มหนึ่งเผ่นหนีไปไกลอย่างเด็ดเดี่ยว


แม้ว่าบนจิตหยินจะมีด้ายสีทองเส้นหนึ่งรัดพันแน่นอยู่ตลอดเวลา แต่เมื่ออยู่ท่ามกลางแรงสะเทือนเลือนลั่นที่แม้แต่ผีและเทพยังหลั่งน้ำตานี้ย่อมมองข้ามไปได้โดยสิ้นเชิง


คิดไม่ถึงว่าถึงแม้เด็กหนุ่มชุดทองจะไม่หลงกล ไม่ได้ยื่นมือไปรับกวานห้าขุนเขามา แต่ปล่อยให้มันร่วงลงสู่พื้นดิน แต่จิตหยินของผู้เฒ่ากวานสูงมั่นใจมากว่าเด็กหนุ่มชุดทองที่เหยียบอยู่บนกระบี่บินไม่มีทางตามตนได้ทัน เว้นเสียจากเขาจะขี่กระบี่พลางใช้ยันต์ย่อพื้นที่ไปด้วย อีกทั้งก่อนหน้านั้นต้องรู้ทิศทางที่แน่ชัดที่ตนหนีไป ทั้งสามอย่างนี้จะขาดไม่ได้แม้แต่อย่างเดียว


โดยเฉพาะอย่างยิ่งโอกาศที่ว่านี้ยังมีแค่ชั่วประเดี๋ยวเดียว เพราะเพียงไม่นานจิตหยินก็จะสลัดเชือกพันธนาการปีศาจหลุด ก่อนหน้านี้ตอนที่ห้องโอสถและมหาสมุทรลมปราณระเบิดพร้อมกัน ปราณวิญญาณบนเชือกพันธนาการปีศาจแทบไม่เหลืออยู่แล้ว จึงยากที่จะพันธนาการจิตหยินไว้ได้อีก


หาไม่แล้วเหตุใดผู้ฝึกตนบนภูเขาถึงกลัวคำว่า ‘เหตุไม่คาดฝัน’ มากที่สุด?


บนท้องฟ้า เฉินผิงอันที่สวมชุดคลุมสีทองใช้ยันต์ย่อพื้นที่สองครั้งติด ครั้งแรกคือออกไปจากกระบี่บินเจินเจียน ครั้งที่สองก็คือหลังจากที่แก่นจิตหยินกลุ่มนั้นโผล่ออกมาจากความว่างเปล่า เฉินผิงอันชัก ‘ปราณยาว’ ที่ยืมมาจากผู้ฝึกกระบี่ใหญ่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ออกจากฝักเป็นครั้งแรกด้วยจิตใจที่มุ่งมั่นไม่วอกแวก ในสมองมีแต่ภาพในวัดร้างที่อาจารย์ฉีปล่อยหนึ่งกระบี่ใส่หลิ่วชื่อเฉิงบุรุษชุดเต๋าสีชมพู


หนึ่งกระบี่ฟันฉับลงไป!


บทที่ 302.2 เสียใจ

ProjectZyphon

จิตหยินที่น่าสงสารเหมือนจอกแหนไม่สมประกอบใบหนึ่งที่ถูกปราณกระบี่ไหลบ่ากระแทกผ่านไป


บนโลกนี้ไม่เหลือร่องรอยของผู้เฒ่าอีกแม้แต่นิดเดียว


หลังจากฟันกระบี่ออกไปได้สำเร็จ เฉินผิงอันในตอนนี้ก็มีสภาพอเนจอนาถดั่งตะเกียงที่น้ำมันแห้งขอด แขนทั้งแขนข้างที่ถือกระบี่ ‘ปราณยาว’ เหลือให้เห็นเพียงกระดูกขาวโพลน เป็นเหตุให้นิ้วทั้งห้ากำด้าม ‘ปราณยาว’ ไม่อยู่ กระบี่ยาวร่วงตกลงไปบนพื้น ไม่เพียงแค่นี้ร่างทั้งร่างของเฉินผิงอันก็ร่วงลงมาอย่างหมดเรี่ยวแรงด้วย


ชูอีสืออู่เต็มไปด้วยความร้อนรนกระวนกระวาย บินวนอยู่รอบร่างที่กำลังร่วงลงกระแทกพื้น แต่กลับไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี


ยังดีที่ลู่ไถซึ่งมียันต์ดอกบัวพลิบานอยู่บนมือและเท้าพุ่งเข้ามารับตัวของเฉินผิงอันกลางทาง สุดท้ายประคองให้เขายืนบนกระบี่บินที่ค่อยๆ ลดระดับลง ส่วนตัวลู่ไถเองนั้นยืนอยู่กลางอากาศนอกกระบี่บิน ชายแขนเสื้อกว้างใหญ่โบกสะบัดรุนแรง


ลู่ไถมองเฉินผิงอันที่สภาพน่าสังเวชก็ทั้งสงสาร ทั้งโมโห “เฉินผิงอัน เจ้ามุทะลุเกินไปแล้ว! ชีวิตนี่ยังจะเอาไว้ไหม ปล่อยให้เขาหนีไปแล้วอย่างไร แค่วิญญาณหยินกลุ่มเดียวเท่านั้น คิดจะคืนชีพกลับมาอีกครั้ง อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาหลายสิบปีหรืออาจถึงขั้นเป็นร้อยปี ถึงเวลานั้นเจ้ากับข้ายังต้องกลัวเขาอีกงั้นรึ?!”


เฉินผิงอันเบี่ยงศีรษะไปถ่มเลือดออกจากปากหนึ่งคำ และยังมีแก่ใจไล่สายตามองตามก้อนเลือดไปอีกนาน ทำเอาลู่ไถที่มองดูอยู่ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี


เฉินผิงอันดึงสายตากลับมา หันหน้าไปมองสนามรบกลางอากาศที่ผู้ฝึกตนเฒ่าตายไป ไม่ได้มีสีหน้าลำพองใจที่ประสบความสำเร็จ “ข้ากำลังไล่ฆ่าคนนี่นา”


ลู่ไถรีบควักขวดกระเบื้องใบหนึ่งออกมา เทยาทาที่มีกลิ่นหอมอีกทั้งเนื้อยายังเข้มข้นออกมากลางฝ่ามือ แล้วค่อยๆ เทลงไปบนแขนข้างที่สภาพน่าสยดสยองจนแทบทนมองไม่ได้ของเฉินผิงอัน ต่อให้เป็นเฉินผิงอันที่ทนกับความลำบากได้ดีก็ยังแสยะปากแยกเขี้ยว ลู่ไถช่วยอธิบายให้เบาๆ ว่า “ทนเอาหน่อย มันสามารถทำให้กระดูกของคนมีเนื้องอกขึ้นมาใหม่ได้”


ลู่ไถสังเกตเห็นว่าเฉินผิงอันกำลังกวาดตามองไปรอบด้านคล้ายกำลังมองหาอะไรอยู่ จึงเข้าใจได้ทันควัน พูดเสียงขุ่นว่า “เมื่อครู่นี้ข้าช่วยรับกระบี่ยาวและเชือกพันธนาการปีศาจไว้แทนเจ้า ตอนนี้อยู่ในเข็มขัดหลากสีของข้าชั่วคราว แต่บอกให้รู้ไว้ก่อนว่าเชือกพันธนาการปีศาจเสียหายหนักมาก ต้องจ่ายเงินเกล็ดหิมะไม่น้อยถึงจะสามารถซ่อมแซมมันได้เป็นปกติดังเดิม แต่เจ้าก็วางใจเถอะ เงินก้อนนี้ข้าต้องเป็นคนออกให้แน่นอน”


เฉินผิงอันโล่งอก จากนั้นก็ถามต่อทันที “แล้วกวานสูงชิ้นนั้นล่ะ?”


ลู่ไถเหลือกตามองสูง “ใต้ฝ่าเท้าพวกเราคือผืนป่า ไม่ต้องกลัวว่าใครจะมาเจอเข้าหรอก หาเจอง่ายนักล่ะ”


คนสองคนบนกระบี่บินเล่มเดียวกันค่อยๆ ลดตัวลงบนพื้น


เฉินผิงอันถอนหายใจ เบาะรองนั่งใบนั้นถูกทำลายไปแล้ว น่าเสียดายไม่น้อย การกำจัดปีศาจปราบมารครั้งนี้สุดท้ายกลับเหลือแค่กวานสูงห้าขุนเขาชิ้นเดียว


แต่สำหรับก่อนหน้านี้ที่ ‘ทวนกระแส’ ดึงดันจะสังหารผู้ฝึกตนเฒ่าให้ตายคาที่ ถือว่ามีประโยชน์ต่อการหล่อหลอมเรือนกายและจิตวิญญาณของเฉินผิงอันมาก นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่าวิถีวรยุทธ์ขอบเขตสี่ของตัวเอง ‘จม’ ลงไป ไม่ได้เป็นความรู้สึกเหมือนมายาล่องลอยที่จับต้องไม่ได้อีก


การเปลี่ยนแปลงหรือควรจะพูดว่าโอกาสในครั้งนี้คล้ายคลึงกับการเลือกของเทพหยินบิดากู้ช่านระหว่างเดินทางไกลไปต้าสุยอย่างมาก


เฉินผิงอันรู้สึกว่าการเข่นฆ่าครั้งนี้ ต่อให้ไม่มีกวานห้าขุนเขาอันนั้น ต่อให้เชือกพันธนาการปีศาจจะพังภินท์ลงอย่างสิ้นเชิง แต่ก็ไม่ถือว่าขาดทุน


ตอนนี้ยังได้กำไรก้อนโตด้วย


ไม่พูดถึงเรื่องอื่น เอาแค่ชือซินกระบี่ยาวที่เปี่ยมไปด้วยปราณแห่งความชั่วร้ายเล่มนั้น ตอนนี้ระดับขั้นเพิ่มขึ้นไปสูงมาก หากเอาไปขายต่อก็มีแต่เงินทั้งนั้น


แต่ถึงอย่างไรสมบัติอาคมบนโลกใบนี้ก็เป็นแค่ของนอกกาย มีเพียงวิชาหมัดและเวทกระบี่เท่านั้นที่ถึงจะเป็นต้นทุนในการหยัดยืนที่เฉินผิงอันอยากคว้าไว้ให้อยู่มืออย่างแท้จริง


ลู่ไถพลันเอ่ยขึ้นกลั้วหัวเราะ “กวานห้าขุนเขาอันนั้นสวยมากจริงๆ ดูเหมือนว่าตาแก่นั่นยังไม่เคยสำแดงอานุภาพที่แท้จริงของมันออกมาได้ คงไม่รู้ภูมิหลังที่แท้จริงของกวานห้าขุนเขานี้ เดี๋ยวพอข้ากลับไปทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางเมื่อไหร่ จะไปที่หอหนังสือของตระกูลแล้วพลิกเปิดหาตำราภูมิศาสตร์ดูหลายๆ เล่มหน่อย ไม่แน่ว่าอาจจะได้ข้อมูลอะไรมาบ้าง”


เฉินผิงอันพูดพลางหัวเราะพลาง “ใช้ได้เลยนะเจ้า นี่คือหมายความว่าอยากเก็บเข้ากระเป๋าตัวเองสินะ แค่เจ้าบิดก้นก็รู้แล้วว่าเจ้าจะผายลมอะไรออกมา”


ลู่ไถพูดเสียงขุ่น “เฉินผิงอัน จะดีจะชั่วเจ้าก็เคยอ่านตำราอริยะปราชญ์มาบ้าง ช่วยพูดจาให้สุภาพหน่อยได้ไหม?”


เฉินผิงอันร้องโอ้ยหนึ่งที “บุรุษตัวโตๆ สองคน จะมัวพิถีพิถันกับเรื่องพวกนี้ไปทำไม?”


ลู่ไถตวัดตามองค้อน


ต่อให้เดินทางมาร่วมกัน หากนับรวมช่วงที่โดยสารปลาวาฬกลืนสมบัติจากภูเขาห้อยหัวมาถึงใบถงทวีปก็เป็นระยะทางหลายพันลี้ แต่เฉินผิงอันก็ยังรู้สึกทนรับท่าทางแบบนี้ของเขาไม่ได้อยู่ดี


คนทั้งสองพลิ้วกายลงกลางผืนป่านอกป้อมอินทรีบิน จิตของลู่ไถขยับเคลื่อนไหวเล็กน้อย ม่ายกวางกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตก็พุ่งสวบจากไป


ลู่ไถเป็นฝ่ายเปิดเผยความลับของตัวเองให้เฉินผิงอันฟังว่า “เมื่อเทียบกับเจินเจียนแล้ว พลังการต่อสู้ของม่ายกวางค่อนข้างธรรมดา แต่ตอนที่ม่ายกวางถือกำเนิดก็มีวิชาอภินิหารที่หายากอย่างการ ‘ค้นหาสมบัติ’ ติดตัวมาด้วย”


“ได้ยินไหม เป็นกระบี่บินเหมือนกัน แต่ของคนอื่นเขากลับไม่เหมือนกัน” เฉินผิงอันตบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่พูดยิ้มๆ ชูอีกับสืออู่กลับเข้ามาซ่อนตัวอยู่ข้างในแล้ว


แต่ว่าครั้งนี้ต่อให้เป็นชูอีก็ยังไม่ระบายความขุ่นเคืองใส่เฉินผิงอัน คงเป็นเพราะศึกตัดสินเป็นตายในครั้งนี้ไม่เหมือนสองครั้งตอนที่อยู่ในศาลเทพอภิบาลเมืองและตอนที่อยู่เหนือกองทัพนับหมื่น คุณความชอบของพวกมันมีไม่มาก


แต่สาเหตุที่แท้จริงยังคงเป็นเพราะ แม้ปากของเฉินผิงอันจะพูดว่าอิจฉาคนอื่น แต่ลึกๆ ในใจกลับยังคงซาบซึ้งใจในตัวของชูอีและสืออู่อย่างมาก


เฉินผิงอันนั่งขัดสมาธิอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ชำเลืองตามองแขนที่กระดูกขาวโผล่อย่างน่ากลัวแล้วเบ้ปาก


ลู่ไถตาแดงก่ำอย่างไม่ทราบสาเหตุ แล้วก็เหมือนว่าจะเงียบขรึมไป


เฉินผิงอันปรายตามองเขา “เจ้าน้ำตาเป็นผู้หญิงไปได้!”


ลู่ไถอึ้งตะลึง


เฉินผิงอันจึงหัวเราะ หัวเราะอย่างอารมณ์ดีมาก


ตอนอยู่เรือนไม้ไผ่บนภูเขาลั่วพั่ว เฉินผิงอันเคยถูกผู้เฒ่าเปลือยเท้าด่าทำนองนี้มาก่อน ตอนนั้นเขาเสียใจมาก


แต่ตอนนี้เขากลับรู้สึกว่าพอด่าคนอื่นแบบนี้ก็สนุกดีเหมือนกัน


ลู่ไถมองเฉินผิงอันที่หัวเราะเสียงดังอย่างร่าเริง ในใจก็พลอยรู้สึกสงบตามไปด้วย เขานั่งลงตรงข้ามกับเฉินผิงอัน ถามว่า “ทำไมต้องสู้สุดชีวิตขนาดนี้ด้วย?”


เฉินผิงอันทำสีหน้าจริงจัง “ก่อนหน้านี้พวกเราก็ตกลงกันไว้แล้วไม่ใช่หรือว่า เจ้าไปที่หอหลักของป้อมอินทรีบิน ข้ามารับมือที่ทะเลเมฆ เรื่องที่รับปากเจ้าไปแล้ว ถึงอย่างไรก็ต้องทำให้สำเร็จไม่ใช่หรือ? แล้วนับประสาอะไรกับที่ภายหลังผู้เฒ่าลัทธิมารคนนั้นตัดสินใจเด็ดขาดแล้วว่าจะสังหารข้า ข้าไม่ทุ่มสุดชีวิตก็ต้องตาย ยังจะทำยังไงได้อีก”


เฉินผิงอันหยุดชะงักไปชั่วครู่ ทำท่าครุ่นคิดอยู่เล็กน้อยก็พูดเสริมไปว่า “ในเมื่อต่อสู้เอาเป็นเอาตายกับคนอื่น คิดถึงผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดไว้ก่อนย่อมไม่ผิด หากเชือกพันธนาการปีศาจถูกทำลายไปจริงๆ ข้าก็ไม่มีทางโทษเจ้า เพราะนั่นเป็นการตัดสินใจของข้าเอง ก็เหมือนก่อนหน้านี้ที่พวกเรารับมือกับกลุ่มคนที่มาดักปล้นชิงทรัพย์ ข้ารู้สึกว่าสามารถหยุดมือได้แล้ว แต่เจ้าก็ยังไล่ตามไปฆ่าผู้บงการที่อยู่เบื้องหลัง ก็คือหลักการเดียวกัน”


ลู่ไถเอ่ยขอโทษ “เข็มขัดเส้นนั้นเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตของข้า ขอโทษด้วยนะ”


เฉินผิงอันโบกมือบอกให้ลู่ไถรู้ว่าไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไร เห็นว่าลู่ไถมีสีหน้าหม่นหมองก็ยิ้มปลอบใจเขา “นี่ไม่ได้เป็นเพราะข้าไม่แยแส แต่เป็นเพราะข้าเต็มใจเชื่อเจ้า ถึงได้รู้สึกว่าเรื่องบางเรื่องเมื่อเจ้าทำไปแล้ว แสดงว่าเจ้าเองก็ต้องชั่งน้ำหนักและคิดใคร่ครวญมาดีแล้ว ระหว่างสหาย ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรให้มากความ”


ลู่ไถน้ำตาคลอขึ้นมา เฉินผิงอันจึงพูดด้วยความปรารถนาดีว่า “เจ้าน่ะ ไม่ใช่ผู้หญิง เป็นเรื่องที่น่าเสียดายมากจริงๆ เมื่อก่อนข้ามีสหายในยุทธภพอยู่สองคน ก็คือนักพรตหนุ่มและจอมยุทธ์เคราดกที่เคยเล่าให้เจ้าฟังนั่นแหละ ถ้าเป็นเรื่องแบบนี้ พวกเขาไม่เคยคิดเล็กคิดน้อยแบบเจ้าเลย เจ้าขี้เกรงใจเกินไปแล้ว”


คนคนหนึ่งที่เห็นคนอื่นเป็นสหายไปทั่ว มักจะไม่มีสหายที่แท้จริง


คนคนหนึ่งที่ปากชอบเรียกขานคนอื่นว่าพี่น้อง แท้จริงแล้วในใจกลับไม่เคยเห็นใครเป็นพี่น้อง


ดังนั้นลู่ไถจึงรู้ดีว่าคำว่า ‘สหาย’ ที่หลุดออกมาจากปากของเฉินผิงอันนี้ มีน้ำหนักมากแค่ไหน


มากจนสามารถฝากความเป็นความตายไว้ให้ได้!


และในความเป็นจริงแล้วเฉินผิงอันก็ทำอย่างนี้จริงๆ ตอนที่ผู้เฒ่ากวานสูงใช้ห้าขุนเขากดทับลงมา ขอแค่ลู่ไถลงมือช้ากว่านั้นอีกสักหน่อย ต่อให้เฉินผิงอันหลบอยู่ในหลุมใหญ่ใต้ ‘ตีนเขา’ ก็ยังต้องถูกปราณวิญญาณกดกำราบ หายใจไม่ออกตายอยู่ในนั้น


พอลู่ไถคิดถึงเรื่องนี้ก็เริ่มกลัดกลุ้มทุกข์ใจคิดมาอีก ท่าทางจึงยิ่งเหมือนผู้หญิงเข้าไปใหญ่


เพราะตอนนั้นที่อยู่ในลานบ้านขนาดเล็ก เขาคือผู้ฟังคนเดียวที่ได้ยินเฉินผิงอันเล่าเรื่องราวต่างๆ ที่เกี่ยวกับความฝันและความปรารถนาจากปากของเขาเอง


ดังนั้นลู่ไถจึงพูดอย่างเด็ดเดี่ยวว่า “เฉินผิงอัน การแบ่งของกันครั้งนี้ ข้าจะต้องทำให้เจ้าได้กำไรเป็นกอบเป็นกำแน่นอน”


เฉินผิงอันเหลือกตามองสูง คร้านจะพูดให้เปลืองน้ำลายอีก


เงียบงันกันไปนาน


มีเพียงแสงแดดของฤดูใบไม้ร่วงที่ส่องลอดผ่านร่องใบไม้ที่แน่นหนาลงมาในผืนป่า


ในที่สุดลู่ไถก็พูดขึ้นมาเบาๆ ว่า “เฉินผิงอัน เจ้ากลัวตาย ข้ากลัวการมีชีวิตอยู่ เจ้าว่าพวกเราหัวอกเดียวกันไหม?”


เฉินผิงอันส่ายหน้า “ย่อมไม่ใช่อยู่แล้ว ข้าเป็นลูกผู้ชายกว่าเจ้าเยอะ”


กว่าลู่ไถจะยอมพูดความในใจกับคนอื่นไม่ใช่เรื่องง่าย ผลกลับกลายเป็นว่าถูกสาดน้ำเย็นใส่หน้า จึงพลันโมโหเดือด “เฉินผิงอัน! ทำไมเจ้าถึงได้น่าเบื่อขนาดนี้!”


เฉินผิงอันกะพริบตาปริบๆ “ข้าเป็นผู้ชายเต็มตัว จะต้องการให้ผู้ชายอีกคนมารู้สึกว่าข้าน่าสนใจไปทำไม ข้าเป็นบ้าหรือไง?”


ลู่ไถพูดเสียงหงอย “ก็ได้ ข้าบ้าเอง”


จากนั้นเขาก็พูดพึมพำเสียงเบาราวเสียงยุง “ขนาดตัวข้าเองยังไม่รู้เลยว่าตัวเองเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง”


เฉินผิงอันที่เงี่ยหูฟังถึงกับอึ้งตะลึง “หมายความว่าไง?”


ลู่ไถทิ้งตัวไปด้านหลัง นอนหงายลงบนพื้น “ก็หมายความตามที่พูดนั่นแหละ ข้าก็คือตัวประหลาด ตั้งแต่เล็กจนโต คนที่รู้ความลับนี้มีแค่พ่อแม่ข้า อาจารย์อีกสองคน แล้วก็บรรพบุรุษของตระกูลอีกหนึ่งคน เจ้าคือคนที่หก พอขึ้นไปบนดาดฟ้าแล้ว ข้าถึงจะสามารถ…”


กล่าวมาถึงช่วงท้าย เฉินผิงอันก็ได้ยินไม่ถนัดแล้ว


เฉินผิงอันต้องข่มกลั้นความอยากรู้ไว้เป็นนาน


ลู่ไถที่เงยหน้ามองเหม่อไปบนท้องฟ้าถึงพูดว่า “อยากพูดอะไรก็พูดมาเถอะ ในเมื่อข้าเอ่ยออกมาแล้วย่อมสามารถยอมรับทุกความคิดเห็นของเจ้าได้”


เฉินผิงอันขยับตำแหน่งมานั่งใกล้ลู่ไถ เอ่ยถามเบาๆ ด้วยความอยากรู้ แต่ก็อดรู้สึกลำบากใจไปด้วยไม่ได้ “เวลาที่ผู้หญิงเป็นวันนั้น เจ็บปวดมากเลยใช่ไหม?”


ลู่ไถเหมือนถูกฟ้าผ่า หันหน้าดำทะมึนกลับมา พูดเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน “ทำไมเจ้าไม่ไปถามแม่นางคนนั้นที่เจ้าชอบล่ะห๊ะ?!”


เฉินผิงอันยกมือเกาหัวโดยไม่รู้ตัว “ข้ากล้าเสียที่ไหน”


ลู่ไถพลันหัวเราะ ชี้ไปที่แขนข้างนั้นของเฉินผิงอัน


เฉินผิงอันสบถหนึ่งคำแล้วรีบวางแขนข้างที่เลือดเนื้อกำลังงอกช้าๆ ลง เจ็บชะมัด


คนทั้งสองเงียบงันกันไปอีกครั้ง


ตอนที่ลู่ไถลุกขึ้นนั่งพลันสังเกตเห็นว่าเจ้าหมอนั่นกำลังเสียใจ แถมยังเป็นความเสียใจที่มากล้นอีกด้วย


ลู่ไถรู้สึกเหลือเชื่อ


ไม่รู้ว่าใต้หล้ามีเรื่องอะไรที่ทำให้เฉินผิงอันคิดไม่ตกได้ขนาดนี้


เห็นเพียงว่าบนหัวเข่าของเฉินผิงอันวางตราประทับเล็กๆ อันหนึ่งที่ลู่ไถไม่เคยเห็นมาก่อน


วันนี้หายนะใหญ่มาเยือนป้อมอินทรีบิน แต่สุดท้ายพวกเขาก็รอดมาได้อย่างปลอดภัย


และเขาเฉินผิงอันก็ยังมีชีวิตอยู่


ถ้ำสวรรค์หลีจู


ทุกคนเองก็อยู่อย่างเป็นสุขปลอดภัย ถึงขั้นที่ว่าขนาดเด็กบ้านนอกอย่างเขาเฉินผิงอันก็ยังได้ออกมาท่องยุทธภพไกลขนาดนี้


เพราะพวกเรามีอาจารย์ฉี


แล้ว


อาจารย์ฉีล่ะอยู่ที่ไหน?


บทที่ 303.1 แยกทาง

ProjectZyphon

ระหว่างทางที่เดินกลับ อารมณ์ของเฉินผิงอันก็กลับคืนมาเป็นปกติแล้ว แขนข้างที่กระดูกขาวโผล่ เลือดเนื้อก็ค่อยๆ เติบโตอย่างเชื่องช้า เส้นชีพจรมากมายที่อยู่ในนั้นเหมือนเถาวัลย์ที่แผ่ขยายออกไป มหัศจรรย์อย่างถึงที่สุด เฉินผิงอันเพ่งมองอย่างละเอียดราวกับนักปราชญ์ท่านหนึ่งที่กำลังศึกษาหาความรู้ แต่กลับทำให้ลู่ไถรู้สึกสะอิดสะเอียนอย่างถึงที่สุด ในใจคิดว่าตระกูลลู่ของตนก็เลี้ยงปรมาจารย์ผู้ฝึกยุทธที่เก็บตัวอย่างลึกลับไว้บางส่วน แต่ตอนที่พวกเขาอยู่ในขอบเขตสี่ห้าต้องไม่มีใครที่มีตบะหนักแน่นเช่นเฉินผิงอันแน่นอน


เฉินผิงอันเดินพลางมองไปด้วย แม้จะต้องข่มกลั้นความเจ็บปวด แต่ก็ยังมองด้วยความเพลิดเพลินอย่างยิ่ง เมื่อได้เห็นว่าเส้นชีพจรเหล่านั้นเติบโตกับตาของตัวเอง นี่จึงมีประโยชน์อย่างมากต่อในเรื่องของโชคชะตา ปมในใจบางอย่างที่เดิมที คิดไม่ตกก็พลันถูกคลายออก ใกล้จะถึงป้อมอินทรีบินแล้ว เฉินผิงอันจึงต้องเก็บแขนข้างนั้นลง หลีกเลี่ยงไม่ให้ชาวบ้านในป้อมอินทรีบินคิดว่าตนเป็นคนของลัทธิมาร มีชุดคลุมอาคงจินหลี่อยู่กับกายจึงสามารถบดบังสภาพชวนสังเวชนี้ไว้ในแขนเสื้อขณะเดียวกันก็ไม่ส่งผลกระทบต่อขั้นตอนกระดูกขาวงอกเนื้อบนแขนของเฉินผิงอันด้วย


ก่อนหน้านี้กระบี่บินม่ายกวางได้นำกวานห้าขุนเขาชิ้นนั้นกลับมาแล้ว ลู่ไถลองชั่งน้ำหนักดูก็บอกว่านี่คือสมบัติอาคมที่มีอายุยาวนานอย่างยิ่ง ระดับขั้นสูงอย่างถึงที่สุด ภาพจริงของห้าขุนเขาที่วาดไว้ด้านบน ไม่ว่าจะเป็นเทคนิคหรือรูปแบบการวาดก็ล้วนแสดงให้เห็นว่ากวานห้าขุนเขาชิ้นนี้มาจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง มีความเป็นไปได้มากว่าภายหลังได้พลัดตกมาอยู่ที่ใบถงทวีป เป็นดั่งไข่มุกที่ถูกฝุ่นเกาะ ไม่แน่ว่าช่วงแรกเริ่มสุดอาจจะเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตของทวยเทพแห่งขุนเขาบางแห่งที่มีชื่อเสียงของแผ่นดินกลาง


เฉินผิงอันค่อนข้างจะสนใจเรื่องพวกนี้เพราะคิดว่าเป็นการเพิ่มพูนความรู้ให้กับตัวเอง ส่วนเรื่องที่ว่าลู่ไถจะยึดเอากวานห้าขุนเขาไว้เพียงลำพังหรือไม่ หรือจงใจลดระดับคุณค่ากวานห้าขุนเขาลงหรือเปล่า เฉินผิงอันกลับไม่แม้แต่จะคิด เพราะลึกๆ ในใจรู้สึกว่าลู่ไถไม่ใช่คนแบบนั้น โลกมนุษย์ซับซ้อน ใจคนยากแท้หยั่งถึง จะใช้ใจของคนถ่อยไปวัดใจของวิญญูชนก็ได้ แต่จะไม่ใช้ก็ได้เช่นกัน


คนทั้งสองไม่ได้เดินตรงไปที่หอหลักของป้อมอินทรีบิน แต่แอบกลับไปที่สนามฝึกยุทธก่อน เพื่อไปเก็บกระบี่อาคมที่มีชื่อว่า ‘ชือซิน’ ซึ่งโต้วจื่อจือทุ่มเงินก้อนใหญ่ซื้อมาจากสำนักฝูจี หลังจากดูดดึงปราณวิญญาณและเลือดหัวใจของผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกรขั้นสูงสุดมาคนหนึ่งแล้ว ตัวกระบี่ของกระบี่ยาวก็ยิ่งวาววับดุจหิมะ เส้นลายเหมือนสายน้ำฤดูใบไม้ร่วงที่ไหลรินอย่างเงียบเชียบ ยิ่งมีชีวิตชีวามากขึ้น ประกายแสงก็ยิ่งเจิดจ้า ต่อให้เป็นลู่ไถที่หัวสูงก็ยังอดหยิบกระบี่มามองประเมินอีกรอบไม่ได้ เค้าจุ๊ปากชื่นชมบอกว่า คำพูดของมารเฒ่าตนนั้นมีจริงเท็จปะปนกัน แต่เกี่ยวกับเรื่องของขอบเขตน่าจะเป็นความจริง  ขอบเขตสูงสุดในอดีตก่อนที่จะถดถอยของเขามีความเป็นไปได้เกินครึ่งว่าจะเคยสัมผัสกับธรณีประตูขอบเขตก่อกำเนิดมาก่อนจริงๆ ผู้ฝึกตนโอสถทองในระดับนี้ หากอยู่ในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางก็ถือว่าไม่เลวแล้ว สามารถเดินยืดอกขึ้นยอดเขาได้เลยทีเดียว


ด้วยเหตุนี้การได้กระบี่อาคม ‘ชือซิน’ (จิตที่ลุ่มหลง/หลงใหล ) หรือควรจะเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ‘ชือซิน’ (กินหัวใจ ) ถึงจะเหมาะสมกว่ามาครองนั้น ถือว่าเป็นโชควาสนาที่ใหญ่เทียมฟ้าครั้งหนึ่ง


เป็นเหตุให้ลู่ไถแนะนำเฉินผิงอันว่าอย่าเอาชือซินไปขาย วันหน้าเมื่อพบเจอกับผู้ฝึกตนลัทธิมารหรือภูตผีปีศาจก็สามารถใช้กระบี่นี้แทงทะลุหัวใจ ทั้งเป็นการสั่งสมบุญกุศลให้ตัวเอง อีกทั้งยังสามารถเพิ่มระดับของกระบี่ให้สูงขึ้นได้ ได้ผลดีด้วยกันทั้งสองฝ่าย เหตุใดถึงไม่เต็มใจทำ


เมื่อเห็นว่าเฉินผิงอันมีท่าทางลังเล ลู่ไถจึงเอ่ยสั่งสอนเฉินผิงอันอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน “คำที่บอกว่าผู้ฝึกตนจะไม่สนใจดีชั่วก็ได้นั้น เป็นเพียงแค่คำพูดของคนระยำเท่านั้น แต่สมบัติอาคมหรืออาวุธวิเศษบนโลกนี้ ไหนเลยจะมีแบ่งแยกธรรมะและอธรรม ใช้อาวุธมารผดุงคุณธรรม มีอะไรที่ไม่เหมาะสม?”


ลู่ไถยิ่งพูดก็ยิ่งโมโห แทบจะยกนิ้วชี้หน้าด่าเฉินผิงอัน “ขนาดเบิกตามองกระดูกตัวเองมีเนื้องอกขึ้นมา เจ้าก็ยังทำไปแล้ว เหตุใดหลุมเล็กๆ ในใจแค่นี้ถึงข้ามผ่านมันไปไม่ได้ เฉินผิงอันเจ้าเลิกไอ้นิสัยหัวรั้นดึงดันนี่ซะที ไม่ซ่อมสะพานแห่งความเป็นอมตะก็ช่างเถอะ ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ตั้งใจเป็นผู้ฝึกยุทธเต็มตัวให้ดีไปก็แล้วกัน อย่าได้วาดหวังว่าจะเป็นเซียนกระบี่ใหญ่อะไรเลย ด้วยนิสัยเช่นนี้ของเจ้า วันหน้าต่อให้สร้างสะพานแห่งความเป็นอมตะขึ้นมาได้ใหม่ กลายเป็นผู้ฝึกลมปราณได้สำเร็จ แต่ไม่แน่ว่ามารในใจที่เจ้าต้องเจอก่อนจะฝ่าทะลุคอขวดของห้าขอบเขตบนอาจจะใหญ่ยิ่งกว่าท้องฟ้าก็เป็นได้ เจ้ารู้หรือไม่ว่า ผู้ฝึกลมปราณทุกคนบนโลกใบนี้ที่เลื่อนสู่ขอบเขตก่อกำเนิดแล้วมีจิตใจที่กล้าแกร่ง มีเวทอภินิหารเลิศล้ำและมีปณิธานเด็ดเดี่ยวมั่นคงจนเอาชนะฟ้าดินได้ นั่นก็ถือว่าร้ายกาจมากแล้ว แต่เหตุใดห้าขอบเขตบนถึงเป็นเรื่องที่ยากลำบากยิ่งนัก นั่นก็เพราะกุญแจสำคัญอยู่ที่ด่านนี้ ความอันตรายไม่ได้อยู่ที่ทัณฑ์สวรรค์อย่างที่คนบนโลกเข้าใจผิดกัน นั่นเป็นเพียงแค่เปลือกภายนอก ศัตรูร้ายกาจที่แท้จริงก็คือจิตตั้งเดิมของตน จิตแห่งเต๋าของเจ้าสูงมากเท่าไหร่ จิตใจยืนหยัดได้มากแค่ไหน กายธรรมของมารในใจเจ้าก็จะสูงมากเท่านั้น อาจสูงเป็นร้อยเป็นพันจั้ง หรืออาจเป็นเหมือนทวยเทพบรรพกาลร่างทองที่แข็งแกร่งไม่อาจทำลายเลยก็ได้ แล้วเจ้าจะฝ่ามันไปได้อย่างไร…”


เฉินผิงอันไม่ได้โต้แย้งอะไร แค่ชี้ไปที่จมูกของลู่ไถแล้วเอ่ยเตือนเบาๆ ว่า “เป็นอีกแล้ว”


ลู่ไถหยุดพูด เช็ดเลือดกำเดาอย่างแรง


หากเป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ใหญ่ในใต้หล้า แค่เกี่ยวพันถึงมหามรรคาของเฉินผิงอันคนเดียว การแว้งกลับของวิถีสวรรค์ที่มีต่อลูกหลานสกุลลู่สำนักหยินหยาง เมื่อเทียบกับครั้งก่อนก็ถือว่าน้อยกว่ามากนัก


เฉินผิงอันพลันเอ่ยขึ้นว่า “ข้างนอกมีคนมา”


ลู่ไถชำเลืองตามองเฉินผิงอัน ความรู้สึกที่เฉียบไวเช่นนี้ไม่เป็นรองผู้ฝึกยุทธขอบเขตหกเลย นี่เขาเป็นแค่ผู้ฝึกยุทธขอบเขตสี่จริงๆ หรือ?


เขายิ่งสงสัยใคร่รู้ในตัวของคนที่ถ่ายทอดวิชาหมัดให้แก่เฉินผิงอัน


คนกลุ่มหนึ่งที่มีกันสี่คนเดินเข้ามาในสนามประลองยุทธอย่างระมัดระวัง พวกเขาก็คือนักพรตเฒ่าและลูกศิษย์หวงซ่าง รวมไปถึงพี่น้องหลวนฉางหลวนซู การที่พวกเขาไม่ได้ไปที่หอหลักก็มาจากความคิดของผู้เฒ่ามอซอ เพราะขณะที่อยู่บนจุดสูงของภูเขาทางทิศเหนือได้เห็นเงาร่างของเฉินผิงอันกับลู่ไถที่ย้อนกลับไปยังป้อมอินทรีบินโดยบังเอิญ ผู้เฒ่าจึงตัดสินใจว่าจะมารวมตัวกันที่นี่ ถามให้แน่ชัดถึงร่องรอยของมารตนนั้นก่อน แล้วคนทั้งสองกลุ่มค่อยไปที่หอหลักด้วยกัน แบบนั้นจะมั่นคงมากกว่า


ผู้เฒ่าคารวะตามแบบพิธีการของลัทธิเต๋า แล้วเอ่ยแนะนำตัวเองว่า “ข้าผู้เป็นนักพรตมีชื่อว่าหม่าเฟยฝู่ ฝึกตนอยู่บนภูเขายวนยาง มีเกียรติยิ่งนักที่ได้มาพบกับลู่เซียนซือและเฉินเซียนซือ”


ก่อนหน้านี้ตอนที่เฉินผิงอันกับลู่ไถเข้าไปเป็นแขกในป้อมอินทรีบินแค่บอกแซ่ของตัวเองไว้เท่านั้น


ลู่ไถยื่นมือออกมา พัดไม้ไผ่ด้ามนั้นก็ปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่า เขาโบกมันเบาๆ “ข้ามาจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง”


เฉินผิงอันคิดแล้วก็กล่าวว่าข้า “เป็นคนจากต้าหลีแจกันสมบัติทวีป”


ผู้เฒ่าเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง “เซียนซือทั้งสองท่านรู้หรือไม่ว่ามารตนนั้นไปอยู่ที่ไหนแล้ว?”


ลู่ไถหุบพัดไม้ไผ่แล้วใช้มันชี้ไปที่นักพรตเฒ่า ในขณะที่ทุกคนกำลังงุนงงกันอยู่นั้น บนด้ามของพัดพับก็ปรากฏกวานห้าขุนเขา ลู่ไถสะบัดข้อมือเบาๆ กวานห้าขุนเขานั้นก็โยกขึ้นลงตามไป เขาเอ่ยด้วยรอยยิ้มบางๆ ว่า “ตายไปแล้ว ได้ผลเก็บเกี่ยวมาเล็กน้อย”


ตอนที่นักพรตกวานสูงนั่งอยู่บนเบาะรองบังคับให้ทะเลเมฆลดตัวลงต่ำ ใช้ขนเขาใหญ่ทั้งห้าสยบกดทับสนามประลองยุทธ ตอนนั้นนักพรตเฒ่าได้เห็นแค่แวบเดียวก็รู้สึกอกสั่นขวัญแขวนแล้ว ความทรงจำที่มีต่อกวานห้าขุนเขาจึงลึกซึ้งมากเป็นพิเศษ เวลานี้ได้เห็นว่าบนพัดไม้ไผ่มีกวานสูงลักษณะโบราณเรียบง่ายตั้งวางอยู่ ในใจก็เหมือนมีคลื่นโถมซัดสาด ทั้งไม่กล้าเชื่อว่าคนหนุ่มสองคนจะสามารถสังหารเซียนดินขอบเขตโอสถทองคนหนึ่งได้สำเร็จ แต่ก็ทั้งคาดหวังอย่างถึงที่สุดว่าคำพูดของคุณชายหน้าตาหล่อเหลาคนนี้จะเป็นความจริง


ถึงอย่างไรหม่าเฟยฝู่ที่อาศัยอยู่บนภูเขายวนยางก็คือคนเก่าคนแก่ในยุทธภพที่ผ่านลมผ่านฝนมาอย่างยาวนาน ต่อให้จะเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่บนใบหน้าก็ยังแสดงความซาบซึ้งใจ เปี่ยมไปด้วยความเลื่อมใสนับถือ คารวะด้วยพิธีการของลัทธิเต๋าอย่างจริงจังอีกครั้ง “เซียนซือทั้งสองท่านก็แค่ผ่านทางมา แต่เมื่อพบเจอมารร้ายกระทำการชั่วช้าก็ยังเต็มใจให้ความช่วยเหลืออย่างมีคุณธรรม ช่วยชีวิตของชาวบ้านป้อมอินทรีบินให้รอดพ้นจากน้ำลึก จากกองไฟแผดเผา บุญกุศลที่พวกท่านสร้างมากมายจนไม่อาจประเมิน ข้าผู้เป็นนักพรตขอขอบพระคุณในบุญคุณอันใหญ่หลวงของเซียนซือทั้งสองท่านแทนป้อมอินทรีบินไว้ก่อน ณ ที่นี้”


สองพี่น้องหลวนฉางหลวนซูน้ำตาคลอเบ้า รีบยกมือขึ้นกุมคารวะพร้อมโค้งตัวลงต่ำ ต่างก็เอ่ยกับคุณชายต่างถิ่นทั้งสองคนนั้นว่า “พระคุณยิ่งใหญ่ไม่อาจทดแทนได้แค่คำว่าขอบคุณ หากเซียนซือทั้งสองท่านไม่รังเกียจที่ข้าน้อยโง่เขลา หลวนฉางยินดีเป็นวัวเป็นม้า บุกน้ำลุยไฟให้ท่านทั้งสองโดยไม่เกี่ยงงอน!”


“หลวนซูขอบพระคุณคุณชายลู่ ขอบพระคุณเซียนซือเฉิน ข้าไม่รู้แล้วว่าควรพูดอย่างไรจึงจะแสดงออกถึงความซาบซึ้งที่มีอยู่ในใจออกมาได้หมด…”


นักพรตหนุ่มหวงซ่างสีหน้าซับซ้อน เขายืนอยู่ด้านหลังสุดของกลุ่มคน


ในใจมีความคิดหนึ่งแวบผ่านไป


หากกราบทั้งเซียนซือทั้งสองท่านเป็นอาจารย์ การฝึกตนของตนจะยิ่งราบรื่นขึ้นอีก ไม่ไร้ประโยชน์เหมือนอย่างในทุกวันนี้ที่แค่พบเจอกับภูตผีปีศาจก็ทำให้ตัวเองต้องตกอยู่ในอันตรายรายล้อมหรือไม่?


หวงซ่างมองแผ่นหลังของอาจารย์ตัวเอง แล้วนักพรตหนุ่มที่การฝึกตนเต็มไปด้วยอุปสรรคก็ก้มหน้าลงเงียบๆ ด้วยความละอายใจ รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนเนรคุณ เทียบกับลัทธิมารนอกรีตพวกนั้นไม่ได้เลยด้วยซ้ำ


เพียงแต่ว่าเมื่อความคิดนี้แตกหน่อขึ้นมาในใจกลับไม่อาจถอนดึงออกไปได้ กลับกันคือยิ่งนานก็ยิ่งเติบโตดังกองไฟที่ไฟลุกไหม้ แผดเผาให้หัวใจของเขาร้อนรุ่มทุรนทุราย ดวงตาพลันเปลี่ยนเป็นสีแดงฉาน


สำหรับความกังขาและความรู้สึกที่ว่าตัวเองโชคดี รวมไปถึงสีหน้าเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้าหลังจากผ่านศึกใหญ่ของนักพรตเฒ่าที่อยู่อาศัยในภูเขา


หลวนฉางที่พอผ่านพ้นหายนะครั้งใหญ่มาได้ก็พยายามปรับปรุงเปลี่ยนแปลงตัวเอง คิดจะทำให้ตัวเองแข็งแกร่งมากขึ้นอย่างฮึกเหิม เปลี่ยนจากฝึกวรยุทธกลายไปเป็นผู้ฝึกตน


คำเรียกขานสองอย่างที่ให้ความรู้สึกแตกต่างกันของหลวนซู


รวมไปถึงความคิดของนักพรตหนุ่ม


ลู่ไถที่เห็นทุกอย่างนี้อยู่ในสายตาเพียงแค่กระตุกมุมปากน้อยๆ


เดิมทีความสามารถในการเปิดใจคนอ่านใจคนก็เป็นสิ่งที่ลูกศิษย์สำนักหยินหยางเชี่ยวชาญมากที่สุดอยู่แล้ว


ส่วนเฉินผิงอันกลับไม่อาจสัมผัสความรู้สึกของคนเหล่านี้ได้ลึกซึ้งนัก เพียงแค่จำสีหน้าและสายตาแบบนี้ได้อย่างเรือนราง แต่กลับยังไม่กระจ่างแจ้งเหตุผลที่ซุกซ่อนอยู่ภายใน


ถึงอย่างไรสิ่งละอันพันละน้อยในชีวิตคนก็ไม่ใช่ตัวอักษรที่เขียนไว้บนตำรา


คนทั้งกลุ่มมุ่งหน้าไปยังหอหลักของป้อมอินทรีบิน แม้ลู่ไถจะบอกว่าเหตุการณ์ทางนั้นสิ้นสุดลงแล้ว ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บหรือตาย แต่หลวนฉางหลวนซูก็ยังรู้สึกอกสั่นขวัญแขวน กลัวว่าเมื่อผลักประตูใหญ่เปิดออกจะเห็นภาพที่เลือดนองเป็นสายน้ำ แต่พอไปถึงหอหลักกลับพบว่าประตูใหญ่ปิดสนิท หลวนฉางเคาะประตูอย่างแรง รออยู่นานกว่าจะมีผู้เฒ่าสกุลหลวนคนหนึ่งมาเปิดประตูให้ พอเห็นว่าเป็นสองพี่น้องที่ยังปลอดภัยดี ผู้เฒ่าคนนั้นถึงกับน้ำตาไหลอาบหน้า ทำเอาหลวนฉางตกใจสะดุ้งโหยง นึกว่าบิดามารดาโดนบุรุษถือแส้ที่อำมหิตเล่นงาน อธิบายให้กันฟังอยู่พักหนึ่งถึงได้รู้ว่าเซียนซือลู่ท่านนั้นได้ร่ายเวทอภินิหารไว้นานแล้ว คนชั่วที่แสร้งสวมรอยเป็นผู้ฝึกตนของภูเขาไท่ผิงก็ถูกเขาสังหารตายคาที่ไปแล้ว


ช่วงเวลานั้นคนทั้งหมดในห้องโถงที่ยังมีชีวิตรอดต่างก็รู้สึกเลื่อนลอยเหมือนอยู่กันคนละโลก


หลวนฉางหลวนซูไม่ทันสังเกตเห็นว่าไม่เพียงแต่บิดามารดาไม่อยู่ในห้องโถง อีกทั้งพอพวกเขาถามถึงเรื่องนี้ทุกคนกลับพากันมองไปทางอื่น ไม่มีใครกล้าสบตาพวกเขา


ลู่ไถคร้านจะสนใจเรื่องยิบย่อยวุ่นวายในครอบครัวของคนอื่น จึงพาเฉินผิงอันเดินไปทางดาดฟ้าบนหอ


เจ้าประมุขหลวนหยางไม่ได้อยู่บนสถานที่ประหลาดที่มีชื่อว่า ‘ขึ้นดาดฟ้า’ แห่งนี้แล้ว


ลู่ไถขึ้นไปนั่งอยู่บนรั้วระเบียง เฉินผิงอันก็ทำตาม จากนั้นจึงปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลงมา แหงนหน้าดื่มสุรารสร้อนแรง ก่อนจะพ่นลมหายใจขุ่นมัวที่มีกลิ่นของเหล้าออกมายาวๆ


ลู่ไถแกว่งเท้าทั้งสองข้าง โบกพัดอย่างเชื่องช้า เส้นผมตรงจอนหูปลิวไสว


จากนั้นคนทั้งสองก็เริ่มแบ่งของเชลยศึกกันอย่างคล่องแคล่วคุ้นเคย


บทที่ 303.2 แยกทาง

ProjectZyphon

“การต่อสู้ระหว่างหมาว่านฝ่าและโต้วจื่อจือก่อนหน้านี้ บวกกับศึกตัดสินเป็นตายในวันนี้ โชคของพวกเราไม่เลวเลยจริงๆ ได้กำไรมาไม่น้อย หากเป็นเมื่อก่อนข้าคนเดียวก็ยังไม่แน่เสมอไปว่าจะได้ผลเก็บเกี่ยวเช่นนี้ ต้องรู้ว่าเวลาที่ข้าอยู่ในตระกูลถูกเรียกขานว่า ‘เซียนใหญ่เก็บสมบัติ’ เชียวนะ”


เฉินผิงอันคลี่ยิ้ม อยู่ดีๆ ก็นึกถึงหญิงสาวจากสำนักโองการเทพที่ได้รับการขนานนามว่ามี ‘โชควาสนายิ่งใหญ่เป็นอันดับหนึ่งของทวีป’ ผู้นั้นอย่างไม่ทราบสาเหตุ


“กระบี่อาคมชือซินของโต้วจื่อจือเป็นของเจ้า กวานห้าขุนเขาเป็นของข้า จะพูดว่าเป็นของข้าก็ไม่ถูก ถือว่าข้าซื้อจากเจ้าก็แล้วกัน นอกจากข้าจะช่วยเจ้าซ่อมแซมเชือกพันธนาการปีศาจเส้นนั้นแล้ว เม็ดเสื้อเกราะที่เสียหายซึ่งเจ้าซื้อมาจากหอหลินจือที่ภูเขาห้อยหัวก่อนหน้านั้น เจ้าบ่นอยู่เสมอไม่ใช่หรือว่าต้องแยกชิ้นส่วนเสื้อเกราะใส่ไว้ในสืออู่ เปลืองพื้นที่อย่างมากน่ะ ข้าสามารถช่วยเจ้าซ่อมแซมให้เหมือนใหม่โดยไม่คิดค่าตอบแทน ทำให้มันเปลี่ยนมาเป็นเม็ดเสื้อเกราะของสำนักการทหารเม็ดหนึ่ง เจ้าไม่ต้องสนใจว่าข้าทำอย่างไร คนบนภูเขา…ย่อมมีวิธีการที่มหัศจรรย์อยู่แล้ว!”


ลู่ไถยิ้มกว้างอย่างสดใส “ดังนั้นเจ้าอาจจะต้องอยู่ที่ป้อมอินทรีบินอีกช่วงระยะเวลาหนึ่ง ไม่นานเท่าไหร่หรอก ก็ถือโอกาสพักฟื้นรักษาบาดแผลอยู่ที่นี่ไปก่อน จากนั้นค่อยไปตามหาอารามเต๋าแห่งนั้น”


เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม มาเจอกับลูกหลานเศรษฐีอย่างลู่ไถ เฉินผิงอันไม่มีทางใจอ่อนแน่นอน


ลู่ไถเอ่ยอย่างเชื่องช้าว่า “กวานห้าขุนเขาสมบัติอาคมชั้นสูงหนึ่งชิ้น ข้าจำเป็นต้องมอบเงินเกล็ดหิมะให้เจ้าสองหมื่นเหรียญ หากหักเป็นเงินฝนธัญพืชก็เท่ากับยี่สิบเหรียญ ตอนที่ไล่ฆ่าหม่าว่านฝ่าและสังหารผู้ฝึกตนถือแส้ในหอหลัก ข้าเองก็ได้ผลเก็บเกี่ยวมาเช่นกัน ลองคำนวณดูคร่าวๆ แล้ว น่าจะยังต้องจ่ายเงินเกล็ดหิมะให้เจ้าอีกสองหมื่นเหรียญ หรือก็คือเงินฝนธัญพืช ยี่สิบเหรียญ ด้ามยาวของแส้ปัดฝุ่นที่สลักสองคำว่า ‘ขจัดทุกข์’ นั้นถือว่าไม่เลวเลยทีเดียว เจ้าเอาไปได้ ถือซะว่าเป็นของรางวัลเล็กๆ น้อยๆ แล้วกัน”


เฉินผิงอันตื่นตะลึง “ได้เงินฝนธัญพืชมากขนาดนี้เชียวหรือ?”


ลู่ไถทอดสายตามองไปยังทิศไกลอยู่ตลอดเวลา ยิ้มบางบางเอ่ยว่า “เงินของเทพเซียนบนภูเขา ข้าพอมีติดตัวอยู่บ้าง เซียนดินก่อกำเนิดทั่วไปของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางไม่มีใครกล้ามาแข่งขันเรื่องทรัพย์สินเงินทองกับข้าหรอก”


ทำเอาเฉินผิงอันโมโหจนเงื้อมือตบไปหนึ่งฉาด “ถ้าอย่างนั้นตอนที่อยู่ภูเขาห้อยหัวเจ้าจะมาร่ำร้องกับข้าว่ายากจนไปทำไม? ลู่ไถ เจ้านี่มันใช้ได้จริงๆ เล่นละครเก่งนักนะ!”


ลู่ไถรู้สึกร้อนตัวเล็กน้อย กล่าวยังขลาดๆ ว่า “ก็ข้ากลัวว่าตอนนั้นเจ้าไม่ปรารถนาในความงามของข้า แต่ปรารถนาอยากได้เงินของข้าแทนนี่นา”


“ปรารถนาในความงามกับปู่ทวดเจ้าน่ะสิ!” เฉินผิงอันฟาดมือลงไปอีกครั้ง ทำเอาลู่ไถอับอายจนพาลมาเป็นความโกรธ “เฉินผิงอัน ระวังข้าจะเลิกคบเจ้านะ!”


เฉินผิงอันหัวเราะฮ่าๆ แต่ก็ยังไม่หยุดตบอยู่ดี


ดวงตาของลู่ไถคลอประกายน้ำ ทำท่าว่าจะเรียกท่าไม้ตายออกมา แต่เฉินผิงอันกลับทำมือบอกให้ลู่ไถ ‘หยุด’ จากนั้นก็ดื่มเหล้าหนึ่งอึกแล้วพูดว่า “เจ้าพูดต่อได้เลย”


ลู่ไถพลิกมือหนึ่งครั้ง ถุงผ้าที่ตัดเย็บอย่างประณีตใบหนึ่งก็ปรากฏขึ้นมา เขายื่นมันส่งให้กับเฉินผิงอัน


เฉินผิงอันขมวดคิ้ว “เอามาทำไม?”


ลู่ไถเอ่ยยิ้มๆ “ของเล่นเล็กๆ น้อยๆ มอบให้เจ้า ลองเปิดดูสิ เจ้าต้องชอบแน่นอน เมล็ดพันธุ์ต้นอวี๋เฉียนที่มีภูมิหลังค่อนข้างพิเศษชนิดนี้ พอกลับไปถึงบ้านเกิดสามารถเอาไปปลูกไว้บนภูเขาที่ฮวงจุ้ยดีได้ จะต้องปลูกให้หันหน้าเข้าหาแสงแดด ประมาณสามปีห้าปี ไม่แน่ว่าอาจมีเรื่องน่ายินดีเกิดขึ้น”


แม้ว่าเฉินผิงอันจะรับถุงต้นอวี๋เฉียนมาแล้ว แต่ก็ยังพูดว่า “อธิบายให้ชัดเจนก่อน ไม่งั้นข้าก็จะคืนมันให้เจ้า”


ลู่ไถจึงอธิบายให้ฟังคร่าวๆ ทำเอาเฉินผิงอันที่ฟังอยู่ยิ้มกว้างจนหุบปากไม่ลง รีบเก็บมันลงไป ไอ้ที่บอกว่าจะคืนไม่คืนอะไรนั้น ถือซะว่าเค้าไม่เคยพูดแล้วกัน


ที่แท้อวี๋เฉียนถุงนี้ก็มหัศจรรย์อย่างมาก อีกทั้งยังถูกกับรสนิยมของเฉินผิงอันอย่างถึงที่สุด พวกมันคือเมล็ดพันธุ์ล้ำค่าจากต้นอวี๋ของตระกูลเซียนยุคบรรพกาลที่ห่างไกลในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง เนื่องด้วยรูปลักษณ์ภายนอกเป็นลักษณะเหมือนเหรียญกษาปณ์ทรงกลมบางๆ จึงถูกตั้งชื่อเช่นนี้


ออกเสียงเหมือนคำว่า ‘อวี๋เฉียน’ ที่แปลว่าเงินเหลือ (อวี๋เฉียนที่เป็นต้นไม้ ภาษาจีนเขียนว่า 榆钱 แต่อวี๋เฉียนที่แปลว่าเงินเหลือ เขียนว่า 余钱)


เนื่องจากพวกชาวบ้านมีคำกล่าวว่ากินอวี๋เฉียนก็จะมีเงินเหลือ จึงถูกคนส่วนใหญ่เอามาเล่าลือกันปากต่อปากอย่างผิดๆ เพราะแท้จริงแล้ววิธีการกินแบบนั้นไม่ถูกต้อง ที่ถูกต้องคือแค่ต้องหาภูตจินหวงที่ซ่อนอยู่ในต้นอวี๋เฉียนให้เจอ เอามันมาแช่ในไหเหล้า พอเหล้าหมักได้ที่แล้วก็เอาออกมากินสดๆ ทุกปีจึงจะมีรายได้เพิ่มพูนขึ้นมา ครอบครัวที่มีฐานะหน่อย เวลาถึงช่วงฤดูใบไม้ผลิ เพื่อความเป็นสิริมงคลจึงมักจะจัด ‘งานเลี้ยงอวี๋เฉียน’ เพราะหวังว่าในช่วงปีใหม่จะมีเงินทองไหลมาเทมาไม่ขาดสาย


รายรับทรัพย์สินเงินทองที่คล้ายสายน้ำเส้นเล็กที่ไหลยาวต่อเนื่องนี้ เป็นสิ่งที่เฉินผิงอันชื่นชอบมากที่สุด


เพราะลึกๆ ในใจของเฉินผิงอันเชื่อว่าความร่ำรวยสูงศักดิ์ที่เกิดขึ้นกะทันหันยอมง่ายที่จะมาเร็วไปเร็ว เว้นเสียแต่ว่าจะทุ่มเททำงานอย่างยากลำบาก ถึงจะคว้าไว้ได้อยู่มือ ถึงจะรักษาไว้สำเร็จ แต่ผลกำไรและประโยชน์ที่สะดุดตาเป็นพิเศษอย่างอวี๋เฉียนนี้กลับทำให้เฉินผิงอันสบายใจได้มาก


เฉินผิงอันได้ผลประโยชน์ไปแล้วเพิ่งจะทำเป็นพูดยิ้มๆ ว่า “ไม่ล้ำค่าเกินไปหน่อยหรือ?”


ลู่ไถใช้นิ้วชี้กับนิวโป้งคลี่พัดเปิดและหุบพัดปิดเล่นไปเรื่อยๆ เขาพูดเหมือนสะท้อนใจว่า “เฉินผิงอัน การเดินทางมาขึ้นดาดฟ้าครั้งนี้เป็นการแสวงหามรรคาของข้า คำว่ามหามรรคา เจ้ารู้หรือไม่ว่ามันมีน้ำหนักมากเท่าไหร่? ข้าถึงขั้นไม่รู้ด้วยซ้ำว่าควรจะแปลงมันเป็นเงินอย่างไร แต่ข้ารู้สึกว่าในเมื่อพวกเราเป็นเพื่อนกันแล้ว อะไรที่หยวนได้ก็หยวนๆ ไปเถอะ ไม่อย่างนั้นต่อให้ข้าลู่ไถร่ำรวยแค่ไหน ต่อให้ใช้ทรัพย์สมบัติที่มีจนหมดสิ้นก็ยังควักเงินก้อนนี้ออกมาให้เจ้าไม่ได้ แล้วจะทำอย่างไร?”


เฉินผิงอันยื่นน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ที่อยู่ในมือส่งไปให้ พลางพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “จะต้องทำอย่างไรอีก ก็ทำอย่างนี้แหละ!”


ลู่ไถรับกาเหล้ามา ชูขึ้นสูงแล้วแหงนหน้ากรอกเหล้าใส่ปาก น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่อยู่ห่างจากใบหน้าสูงหลายชุ่น ดื่มเหล้าแบบนี้ก็สะใจดีเหมือนกัน


เช็ดปากเรียบร้อยก็ส่ง ‘เจียงหู’ คืนให้กับเฉินผิงอัน “ควรเติมเหล้าได้แล้ว เดี๋ยวกลับไปข้าจะบอกให้ป้อมอินทรีบินเติมเหล้าให้เจ้าจนเต็ม”


เรื่องดีๆ แบบนี้เฉินผิงอันยอมไม่ปฏิเสธอยู่แล้ว


จู่ๆ ลู่ไถก็กล่าวอย่างระอาใจว่า “ทำไมถึงชอบดื่มเหล้าขนาดนี้? เหล้ามีอะไรดี?”


เฉินผิงอันแค่ยิ้มรับ ไม่ได้เอ่ยตอบ เพียงดื่มเหล้าต่อไป


พอดื่มเหล้าเข้าไปแล้ว อะไรที่กล้าคิดไม่กล้าคิด กล้าพูดไม่กล้าพูด กล้าทำไม่กล้าทำ ก็ล้วนต่างไปจากเดิม


สิบวันต่อมาเฉินผิงอันยังคงพักอยู่ในบ้านหลังเล็กนั้น เพียงแต่ว่าไม่มีวัตถุหยินหรือผีร้ายมารบกวนอีกแล้ว


บางครั้งเฉินผิงอันก็จะไปนั่งอยู่บนขั้นบันไดหน้าประตูบ้าน มองไปทางกำแพงที่อยู่สุดซอย นึกถึงผีเด็กที่ชะตากรรมน่าสงสารเหล่านั้น นึกถึงใบหน้าเปื้อนยิ้มที่เผยบนโลกเป็นครั้งสุดท้ายของพวกมัน


ส่วนลู่ไถพักอยู่ที่หอหลักแห่งนั้น บางครั้งก็จะมานั่งเล่นที่บ้านหลังนี้บ้าง เพียงแต่ว่าอยู่ไม่นานก็ต้องกลับไปทำธุระของตัวเองต่อ


สิบวันผ่านไปลู่ไถก็เอาเม็ดเสื้อเกราะของสำนักการทหารที่ถูกซ่อมแซมจนเหมือนใหม่เม็ดนั้นมาให้ เฉินผิงอันชอบใจจนแทบวางไม่ลง แขนข้างนั้นของเขากลับคืนมาเป็นปกติแล้ว เพียงแต่ว่ายังใช้งานหนักๆ ได้ไม่คล่องนัก


นอกจากเม็ดเสื้อเกราะของหอหลิงจือภูเขาห้อยหัวเม็ดนี้แล้ว ลู่ไถยังนำดาบแคบที่มีฝักยาวเป็นสีขาวหิมะเล่มหนึ่งมามอบให้เฉินผิงอันด้วย บอกว่าเป็นของตอบแทนของตระกูลหลวนแห่งป้อมอินทรีบิน หากไม่รับไว้คนตระกูลหลวนคงรู้สึกไม่สบายใจ


ครั้งนี้ลู่ไถแอบอู้งาน เขาไม่ได้รีบร้อนกลับไป นั่งต้มชาอยู่ในลานบ้านให้ตัวเองหนึ่งกาแล้วก็ถือโอกาสเล่าถึงที่มาของดาบแคบให้เฉินผิงอันฟัง ปีนั้นเพื่อสยบฮวงจุ้ยที่มีธาตุหยินหนาข้นเกินไปของที่แห่งนี้ เซียนดินก่อกำเนิดของภูเขาไท่ผิงท่านนั้นจึงได้มอบดาบพกเล่มหนึ่งให้แก่บรรพบุรุษที่เป็นนายพรานของป้อมอินทรีบิน มันมีชื่อว่า ‘หยุดหิมะ’ ลูกหลานของป้อมอินทรีบินในรุ่นหลังไม่มีใครที่มีพรสวรรค์ในการฝึกตน ดาบเล่มนี้ที่สืบทอดต่อกันมาจึงเป็นเหมือนแค่เครื่องประดับอย่างหนึ่ง นับว่าสิ้นเปลืองสมบัติแห่งสวรรค์โดยแท้


เฉินผิงอันรู้ดีถึงความล้ำค่าของดาบแคบเล่มนี้ มีความเป็นไปได้เกินครึ่งว่ามันจะเป็นของรักของเทพเซียนพสุธาแห่งภูเขาไท่ผิงท่านนั้น ลู่ไถครุ่นคิดอยู่เล็กน้อยก็ไม่ทำตัวเป็นกุมารแจกทรัพย์อีก เขาเอาดาบแคบเล่มนี้มาหักเป็นเงินฝนธัญพืชยี่สิบเหรียญ ดังนั้นเงินฝนธัญพืชถุงหนึ่งที่เขาโยนให้เฉินผิงอันจึงมีแค่เงินยี่สิบเหรียญที่เขาติดค้างไว้คราวก่อน


สิบวันให้หลัง ทุกวันเฉินผิงอันจะต้องฝึกเดินนิ่ง ฝึกวิชากระบี่และนอนหลับ เขาไม่มองไปทางกำแพงแห่งนั้นอีกแล้ว ถึงอย่างไรก็เป็นเพียงการพบเจอกันในช่วงระยะเวลาสั้นๆ ต่อให้จะเกี่ยวข้องกับเรื่องของความเป็นความตาย แต่ถึงอย่างไรปมในใจก็ค่อยๆ คลายลงไปได้แล้วตามวันเวลา ก็เหมือนกับเหล้าหนึ่งจอกในร้านสุราข้างทางที่ต่อให้รสชาติจะดีสักแค่ไหน แต่จะทำให้คนคนหนึ่งเมามายได้หลายวันเชียวหรือ?


สิบวันนี้ลู่ไถมาหาแค่ครั้งเดียว เพื่อบอกว่าเขารับลูกศิษย์ไว้สามคน


เถาเสียหยาง เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ชื่อว่าหลวนอินและยังมีนักพรตหนุ่มที่เปลี่ยนสำนักเปลี่ยนอาจารย์อย่างหวงซ่างอีกคน


ส่วนเหตุผลนั้นลู่ไถไม่ได้บอกให้ฟังอย่างละเอียด พูดแค่หกคำว่า ‘ไม่ใกล้ความชั่วร้ายก็ไม่รู้จักความดีงาม’ เป็นประโยคเก่าที่เอามาพูดซ้ำอีกครั้ง ก่อนหน้านี้ลู่ไถเคยพูดตอนที่อยู่บนปลาวาฬกลืนสมบัติ


ก่อนที่ลู่ไถจะจากไปได้บอกว่าเขาอาจจะต้องอยู่ที่นี่เป็นเวลานานมากจริงๆ ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ นี้คงยังไม่ได้กลับไปที่ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง


เมื่อลู่ไถนำเชือกพันธนาการปีศาจเส้นนั้นมาให้เป็นครั้งสุดท้าย เฉินผิงอันเองก็พักฟื้นจนแทบจะหายสนิทแล้ว


การจากลากำลังจะมาถึง


แต่กลับไม่มีความเสียใจใดๆ


คนหนึ่งมีความฝัน อีกคนหนึ่งเริ่มต้นการเดินทางบนมหามรรคา ไม่มีเหตุผลให้ต้องเศร้าเสียใจเกินไปนัก


ดังนั้นพวกเขาจึงจากลากันอย่างเรียบง่ายฉับไว คนหนึ่งอยู่ต่อในป้อมอินทรีบินต่างบ้าน อีกคนหนึ่งแบกกระบี่มุ่งหน้าไปทางทิศเหนือ


ลู่ไถถึงขั้นไม่ได้มาส่ง เพียงแค่ยืนอยู่บนดาดฟ้า มองตามเฉินผิงอันที่สวมชุดคลุมสีขาวค่อยๆ จากไปไกล


ก่อนหน้านี้เขายุให้เฉินผิงอันห้อยกระบี่ยาวชือซินและดาบแคบหยุดหิมะไว้ที่เอว บอกว่าจะต้องเปี่ยมไปด้วยมาดแห่งยุทธภพแน่นอน น่าเสียดายที่เฉินผิงอันไม่หลงกล บอกว่าข้าไม่ใช่ร้านขายอาวุธสักหน่อย


ลู่ไถรู้สึกเสียดายเล็กน้อย


หากเฉินผิงอันทำแบบนั้นจริงๆ ลู่ไถก็จะสามารถหัวเราะเยาะว่าเขาเป็นคนโง่ได้อย่างตรงไปตรงมา


เดินออกจากประตูใหญ่ เดินไปบนถนนเส้นใหญ่ เฉินผิงอันอดหันกลับไปมองป้อมอินทรีบินไม่ได้ ไม่ได้มองลู่ไถ แต่พอนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาแล้วรู้สึกว่าน่าประหลาดใจ สุดท้ายก็ส่ายหน้า ไม่คิดให้มากความอีก


ระหว่างทางที่เดินออกจากป้อมอินทรีบินได้เดินสวนไหล่กับบุรุษวัยกลางคนคนหนึ่ง ทั้งๆ ที่จำได้ว่าไม่เคยเจอเขามาก่อน แต่กลับดันรู้สึกว่าต้องเคยเห็นเขาที่ไหนสักแห่ง


บุรุษท่าทางซื่อๆ คนนั้นก็สังเกตเห็นสายตามองประเมินของเฉินผิงอันเช่นกัน จึงส่งยิ้มอายๆ มาให้ มองดูแล้วก็คือชายฉกรรจ์ชาวบ้านคนหนึ่งเท่านั้น


หลังจากที่เฉินผิงอันออกห่างจากป้อมอินทรีบินไปไกลแล้ว ชายฉกรรจ์แต่งตัวบ้านๆ ที่ท่องพเนจรไปทั่วทิศก็กระทืบเท้าเบาๆ  หนึ่งครั้ง แม่น้ำและภูเขาในรัศมีพันลี้ก็ไม่เหลือเวทอาคมพันธนาการไว้อีก


หาไม่แล้วเหตุใดก่อนหน้านี้ความเคลื่อนไหวอึกทึกรุนแรงถึงเพียงนั้น สำนักฝูจีกลับยังนิ่งเฉยไม่สะทกสะท้าน


ลู่ไถฟุบตัวอยู่บนราวระเบียง ยิ้มตาหยีมองการพลิกกลับของโชคชะตาแห่งแม่น้ำและภูเขาที่เปี่ยมไปด้วยความลี้ลับซับซ้อน ไม่เสียแรงที่เป็นอาจารย์ผู้สืบทอดมรรคาของเขา เมื่อเทียบกับอาจารย์อีกท่านที่ถ่ายทอดความรู้แล้ว นับว่าแข็งแกร่งกว่าไม่น้อย


บนยอดเขาแห่งหนึ่งที่ห่างออกไปหนึ่งล้อยลี้ ระหว่างที่เฉินผิงอันเดินนิ่ง ไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ ถึงคิดถึงรสชาติของพุทราเชื่อมเคลือบน้ำตาลขึ้นมา นี่ทำให้เฉินผิงอันรู้สึกขบขันตัวเอง คิดในใจว่าตอนนี้มีเงินมีทองแล้ว หากไปถึงเมืองหนึ่งเมื่อไหร่ จะหาร้านข้างทางที่ขายพุทราเชื่อมเคลือบน้ำตาล แล้วซื้อมาสักสองไม้ ไม้หนึ่งถือมือซ้าย อีกไม้หนึ่งถึงมือขวา!

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)