ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง 301-302

ตอนที่ 301 เหลียงจวิ้นอ๋อง

 

หยกเนื้อบริสุทธิ์ ภายในมีประกายแสงแวววาว ทั้งเรียบง่ายแต่ก็งดงามสูงส่งอย่างยิ่ง


 


 


จีเฉวียนเพียงเหลือบมองดูแวบหนึ่ง สีพระพักตร์ก็เปลี่ยนไปในทันที


 


 


“สิ่งนี้…..กระหม่อมไปเจออยู่ในโรงรับจำนำแห่งหนึ่ง เห็นมันเหมือนจะเป็นชิ้นเดียวกันกับสิ่งของประจำพระองค์อย่างไรอย่างนั้น จึงไม่อาจอดใจปล่อยให้ตกหล่นอยู่ที่ภายนอก” ฉางซุนซิ่วลูบไล้แหวนหยกน้ำงามบนมือวงนั้นราวกับว่าเป็นสมบัติล้ำค่า “ฝ่าบาทก็ทรงเห็นว่าคล้ายคลึงมากเลยใช่ไหมพะยะค่ะ?”


 


 


จีเฉวียนทรงแน่พระทัย แหวนวงนี้เป็นวงเดียวกันกับที่ตอนนั้นพระองค์ทรงประทานให้กับตู๋กูซิงหลัน


 


 


พระองค์เคยขอให้นางรักษาเอาไว้ให้ดี


 


 


แหวนวงนี้พระมารดาทรงเหลือทิ้งไว้ให้พระองค์ ตอนนั้นมันติดตามพระองค์ไปยังแคว้นเหยียนด้วย ตลอดช่วงระยะเวลาที่พระองค์ประทับอยู่ที่นั่น ก็อยู่ติดกายมาตลอด


 


 


บางที ตอนที่พระองค์ทรงประทานพระธำมรงค์วงนี้ให้แก่ตู๋กูซิงหลันนั้น ในพระทัยของพระองค์ก็อาจจะมีนางอยู่แล้วก็เป็นได้


 


 


เพียงแต่หัวใจดวงนี้เมื่อถูกส่งมอบออกไป กลับไม่มีค่าอะไรในสายตาของนางทั้งนั้น


 


 


พระทัยของพระองค์ ถูกนางโยนทิ้งไว้กับฝุ่นผงบนพื้น


 


 


ไม่มีค่าอันใดแม้แต่อีแปะเดียว


 


 


ในพระทัยของจีเฉวียนมีแต่ความเย็นยะเยือก ราวกับถูกแทงไปอีกดาบหนึ่ง เจ็บปวดจนถึงกระดูก


 


 


นับตั้งแต่แรก ตู๋กูซิงหลันก็ไม่เคยสนใจพระองค์แม้แต่น้อย


 


 


“จะพูดไป กระหม่อมก็ไม่ได้เห็นฝ่าบาททรงพระธำมรงค์วงค์นั้นมาตั้งนานแล้ว….” ฉางซุนซิ่วทูลต่อไป “กระหม่อมคิดว่าฝ่าบาทคงจะทรงเก็บเอาไว้อย่างดี เพราะเกรงว่าจะบอบช้ำสินะพะยะค่ะ”


 


 


“ท่านราชครู บาดแผลของเจ้ายังไม่หายดี กลับไปพักผ่อนแต่เนิ่นๆ เถอะ” จีเฉวียนตรัสด้วยน้ำเสียงเย็นชากว่าเดิมไม่น้อย กวาดพระเนตรมองดูเขาครั้งหนึ่งก็เห็นช่องท้องของเขาชื้นไปด้วยโลหิตแถบใหญ่


 


 


ฉางซุนซิ่วเอ๋อร์ได้แต่ต้องถอยออกไป เขาผงกศีรษะ ขยับตัวลุกขึ้นอย่างยากลำบาก “ฝ่าบาทโปรดถนอมพระวรกาย กระหม่อมทูลลา”


 


 


ยามที่ถอยออกไป เขาก็หันกลับมามองดูครั้งหนึ่ง ก็เห็นจีเฉวียนทรงฉลองพระองค์คลุมมังกรเรียบร้อยแล้ว แสงจันทร์ส่องผ่านบานหน้าต่างเข้ามา ทอทาบลงบนพระองค์


 


 


แสงสีเงินนั้นฉาบไล้อยู่บนพระองค์ชั้นหนึ่ง ดูงดงามอย่างที่สุด


 


 


พระองค์ทรงเป็นดั่งประติมากรรมอันงดงามที่ผู้สร้างตั้งอกตั้งใจสร้างสรรค์ขึ้นมา งดงามจนถึงขั้นไร้ตำหนิแม้แต่น้อย งดงามประณีตราวกับมิใช่มนุษย์


 


 


ฉางซุนซิ่วมองดูอยู่นาน มุมปากถึงได้ขยับยกขึ้นมา


 


 


เขารู้แล้วว่าพระทัยของจีเฉวียนได้ตายไปแล้ว นับจากวันนี้เป็นต้นไปเขาจะไม่รักใครอีกแล้ว


 


 


ในตอนนั้นเอง เขายิ่งยิ้มแย้มมากกว่าเดิม สะบัดแขนเสื้อจากไปเบาๆ พร้อมๆ กับอารมณ์ที่ดียิ่งกว่าเดิม


 


 


จีเฉวียน เขามีสิทธิ์อะไรจะได้รับความรัก มีสิทธิ์อะไรจะไปรักผู้อื่นกัน?


 


 


ชั่วชีวิตนี้ของเขา ถูกลิขิตให้โดดเดี่ยว ถูกทรมานกับความเหงาไปเสียเถอะ!


 


 


………………..


 


 


เมื่อฉางซุนซิ่วเอ๋อร์ไปจากจากหนักตี้หัวกง ประกายตาในพระเนตรของจีเฉวียนก็เย็นยะเยือกกว่าเดิม


 


 


“ฝ่าบาท….” ในตอนนั้นเอง หลงเซียวปรากฏตัวขึ้นมา คุกเข่าลงข้างหนึ่งที่เบื้องหน้าพระพักตร์


 


 


หลงเซียวถวายสารฉบับหนึ่งแก่พระองค์ “นี่เป็นสิ่งที่ได้จากการสืบสวนพะยะค่ะ”


 


 


จีเฉวียนเปิดสารออก ประทับลงข้างโต๊ะทอดพระเนตรดูอย่างละเอียด


 


 


ตั้งแต่ต้นจนจบ แววพระเนตรและพระขนงมิได้เปลี่ยนแปลงไปแม้แต่น้อย


 


 


หลงเซียวยังคงคุกเข่าอยู่ด้านข้างพระองค์


 


 


รอจนฝ่าบาททรงทอดพระเนตรสารฉบับนั้นจนจบแล้ว ถึงได้ยินพระองค์รับสั่งเรื่องที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกันเลยสักนิดออกมาประโยคหนึ่ง “ที่แคว้นกู่เย่วตอนนี้ยังคงมีดอกไห่ถางใช่หรือไม่?”


 


 


หลงเซียวยังมีสีหน้าเรียบเฉย “กระหม่อมจะส่งคนไปดู”


 


 


แคว้นกู่เย่ว หลังจากที่ถูกปฐมฮ่องเต้ทรงปราบปรามจนราบคาบไปแล้ว ก็เคยมีการอนุญาตให้ผู้คนย้ายเข้าไปตั้งถิ่นฐาน แต่ไม่รู้ว่าทำไม พื้นที่แถวนั้นราวกับว่าต้องคำสาป ชาวบ้านต้าโจวเมื่อย้ายเข้าไป หากมิใช่ว่าเจ็บป่วยด้วยโรคระบาดจนต้องตายก็ต้องถูกผีสิงจนเสียสติไป


 


 


ต่อมา จึงได้มีคำสั่งให้ชาวบ้านต้าโจวทั้งหมดอพยพออกมา


 


 


หลังจากนั้น ปฐมฮ่องเต้จึงได้ส่งท่านแม่ทัพใหญ่เหลียงป๋อไปควบคุมแคว้นกู่เย่ว


 


 


เหลียงป๋อเป็นหนึ่งในห้าแม่ทัพผู้บุกเบิกการก่อตั้งประเทศ เหล่าทหารใต้การปกครองของเขาล้วนเข้มแข็งคึกคัก เมื่อย้ายไปเฝ้าแคว้นกู่เย่วก็ได้เปิดโรงผลิตอาวุธขึ้นมาหลายเห่ง


 


 


ยามนี้ ที่มาของอาวุธในแคว้นต้าโจวล้วนถูกส่งออกมาจากแคว้นกู่เย่วเกินกว่าครึ่ง


 


 


หลังจากที่เหลียงป๋อได้เข้าไปก็ทำลายค่ายกลในพื้นที่เกือบทั้งหมดของแคว้นกู่เย่ว แล้ว ก็ทยอยอพยพผู้คนเข้าไปอีกครั้ง


 


 


เหลียงป๋อกลับมีฝีมือหาหนทางได้ หลังจากเขาเข้าไปปกครองที่นั่นก็ไม่มีโรคระบาดและไม่มีใครถูกผีสิงอีก


 


 


ตอนนี้แคว้นกู่เย่วเปลี่ยนชื่อกลายเป็นเมืองกู่เย่ว


 


 


ท่านแม่ทัพใหญ่เหลียงป๋อกลายเป็นอ๋องเมืองกู่เย่ว


 


 


ดูจากฐานะและอำนาจแล้ว ก็เรียกว่าเทียบได้กับตู๋กูถิงเลยทีเดียว


 


 


“ไม่จำเป็นแล้ว” จีเฉวียนเก็บม้วนข่าวสาร มองดูแสงจันทร์กระจ่างนอกหน้าต่าง “เราจะไปดูด้วยตนเอง”


 


 


หลงเซียวที่ปกติมีสีหน้าเรียบเฉยตอนนี้ชักจะหน้าเปลี่ยนสีไปบ้างแล้ว “ฝ่าบาท ตอนนี้พระองค์ยังไม่ค่อยดีเท่าไหร่…”


 


 


เขาได้เห็นฝ่าบาทที่สูญเสียจิตวิญญาณจนคลุ้มคลั่งมากับตาของตนเอง


 


 


ราวกับคนที่ถูกกระชากทุกสิ่งในชีวิตออกไป….ฝ่าบาทที่เป็นเช่นนั้น เขาไม่เคยได้เห็นมาก่อน


 


 


ภารกิจการตามขุมทรัพย์แคว้นเซอปี่ซือ จบสิ้นมาเดือนหนึ่งแล้ว


 


 


ฝ่าบาททรงผ่ายผอมลงไปทุกวัน


 


 


หากเป็นเช่นนี้ หลงเซียวรู้สึกว่าพลังชีวิตที่มีอยู่ในพระวรกายก็คงจะร่อยหรอลงไปเรื่อยๆ


 


 


เขาไม่กล้าสอบถามว่าไทเฮาทรงหายไปที่ใดแล้ว…..


 


 


เอาเป็นว่าคำว่า ไทเฮา เหนียงเหนียง ตู๋กู ซิงซิง อาหลัน เหล่านั้นล้วนกลายเป็นคำต้องห้าม


 


 


ทั่วทั้งต้าโจว นอกจากฝ่าบาทแล้ว ไม่มีผู้ใดรู้ว่าไทเฮาทรงหายไปที่ใด


 


 


หลังจากตอนนั้น….สองพี่น้องตระกูลตู๋กูที่ไม่ยอมเชื่อก็ทำการค้นหาไปทั่วทั้งทะเลสาบ แต่ก็ไม่เจอคน ทั้งไม่พบศพ


 


 


แต่ฝ่าบาท ไม่ทรงยอมตรัสเรื่องที่เกี่ยวกับการหายไปของไทเฮาแม้แต่คำเดียว


 


 


ทุกครั้งที่ได้ยินเรื่องที่เกี่ยวข้องกับไทเฮา สายพระเนตรของพระองค์มีแต่แววเจ็บช้ำ


 


 


แต่ไหนแต่ไรพระองค์ก็ทรงเป็นผู้ที่เก็บงำความรู้สึกได้อย่างดีเยี่ยม มิว่าจะเป็นความยินดีหรือทุกข์โศกใดๆ ล้วนเก็บอยู่แต่ในพระทัย ไม่เคยเผยแสดงทางสีพระพักตร์แม้แต่น้อย


 


 


แต่พอเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับไทเฮา …..พระองค์ก็ทรงเปลี่ยนไป


 


 


ภายในวัง เรื่องที่ไทเฮาทรงหายพระองค์ไปถูกปิดข่าวเอาไว้


 


 


เพียงประกาศต่อภายนอกออกไปว่าไทเฮาทรงเสด็จไปอารามเทียนเก๋อกวน เพื่อสวดขอพรให้กับพระนัดดาองค์โตที่อยู่ในพระครรภ์ของซูหวงกุ้ยเฟย


 


 


แต่ว่าผู้คนล้วนมิใช่คนตาบอด…..


 


 


ต้นไห่ถางในพระตำหนักเฟิ่งหมิงกงล้วนเ**่ยวเฉาหมดภายในคืนเดียว เรื่องนี้ย่อมทำให้เกิดข่าวลือไม่น้อย


 


 


นับตั้งแต่ที่ไทเฮาทรงหายตัวไป สองพี่น้องตระกูลตู๋กูก็มันจะมาวนเวียนอยู่ที่ตำหนักเฟิ่งหมิงกง….จนตอนนี้กลายเป็นข่าวร่ำลือไปทั่วพระราชวังแล้ว


 


 


เพียงแต่ว่าข่าวลือเหล่านั้นมิได้มาถึงพระกรรณของฝ่าบาทเท่านั้นเอง


 


 


“นับตั้งแต่ที่เราขึ้นครองราชย์ อาวุธยุทโธปกรณ์ที่ส่งมาจากเมืองกู่เย่ว ก็ลดลงจากปีที่แล้วไปถึงหนึ่งในสามส่วน “สายพระเนตรของจีเฉวียนทรงเย็นชา “อ๋องกู่เย่วเหลียงป๋อ ก็ไม่รับราชโองการที่เราเรียกหา ไม่ยอมมาเข้าเฝ้าที่เมืองหลวง เจ้าคิดว่าหากเราไม่ไปด้วยตนเองสักครั้ง จะได้เรื่องหรือ?”


 


 


หลงเซียวชะงักไป เขาคิดไม่ถึงเลยว่า ถึงตอนนี้แล้ว ฝ่าบาทจะยังทรงมีพระทัยใส่ใจเรื่องของบ้านเมืองอยู่อีก


 


 


เขานึกว่า ความคิดทั้งหมดทั้งมวลของฝ่าบาทจะวนเวียนอยู่ที่เรื่อง ‘การหายตัวไป’ ของไทเฮาเสียอีก


 


 


“อย่างไรเสียหลานสาวของอ๋องเหลียงป๋อ ก็เป็นถึงพระสนมกุ้ยเฟยในพระองค์….เขายังจะกล้าก่อกบฏอีกหรือ?” หลงเซียวพูดต่อไป “ตอนนี้ฝ่าบาททรงเป็นขวัญกำลังของปวงประชา เขาสามารถมีหลานเขยเช่นพระองค์ เกรงว่าต้องยินดีมากแล้ว”


 


 


“เจ้าเป็นหัวหน้าราชองครักษ์ลับ เรื่องของบ้านเมือง เจ้าย่อมไม่เข้าใจ” จีเฉวียนทรงโบกพระหัตถ์ หลี่กงกงที่อยู่ด้านข้างรีบส่งพระสุธารสร้อนมาถวาย


 


 


นั่นก็ถูกแล้ว…….หัวหน้าหลงเซียวเป็นผู้ยอดยุทธ์ก็จริง แต่ว่าเรื่องการใช้สมองยังต้องถือว่าขาดๆ ไปอยู่บ้าง


 


 


ถึงแม้ว่าฝ่าบาทจะทรงแต่งตั้งหลานสาวสายตรงของอ๋องเหลียงป๋อเป็นกุ้ยเฟย แต่ว่าดูเอาเถอะ เหลียงกุ้ยเฟยผู้นั้นเคยเข้ามาในวังเสียที่ไหน?


 


 


นับตั้งแต่ถูกแต่งตั้ง เหลียงกุ้ยเฟยผู้นั้นก็อยู่แต่ในเมืองกู่เย่ว


 


 


เป็นถึงพระสนมของฮ่องเต้ แต่กลับไม่อยู่ในรั้วในวัง รั้งอยู่แต่ภายนอกเช่นนี้จะใช้ได้อย่างไร?


 


 


หากเปรียบเทียบกับตระกูลตู๋กูในตอนนี้แล้ว ตระกูลเหลียงยังถือว่ายโสโอหังยิ่งกว่าอีก 

 

 


ตอนที่ 302 ส่งมีดแล่เนื้อให้นางกับมือ

 

หลงเซียวถึงกับพูดอะไรไม่ออก เขาเหลือบตามองดูฮ่องเต้ จากนั้นก็กลืนคำพูดลงไป


 


 


หลี่กงกงเป็นผู้ที่รู้จักอ่านสีพระพักตร์ที่สุดแล้ว พอถวายพระสุธารสร้อนก็รีบถอยออกไปจนไกล


 


 


“ฝ่าบาท” หลงเซียวทูลเรียกครั้งหนึ่ง “แต่ไหนแต่ไรเมืองกูเย่วก็ไม่ค่อยปลอดภัย ด้วยพระวรกายของพระองค์…. หากเสด็จไปด้วยพระองค์เองเช่นนี้จะเป็นการดีหรือพะยะค่ะ?”


 


 


ถึงแม้ว่าพระวรกายจะไม่มีอาการบาดเจ็บอะไร แต่พระทัยคงถูกแทงจนพรุนไปหมดแล้วล่ะมั้ง?


 


 


เขาไม่เคยเห็นฝ่าบาททรงอ่อนแอเช่นนี้มาก่อน ช่วงที่ผ่านมาพระองค์แทบจะหมดกำลังใจไปแล้ว ฝ่าบาทที่เป็นเช่นนี้ จะเสด็จไปเมืองกู่เย่วได้อย่างไร?


 


 


“ภูเขาฝูซาง บนเขามีค่ายกล ค่ายกลสามารถเรียกคนกลับมา”


 


 


จีเฉวียนเพียงทรงตรัสเสียงเบา ประคองถ้วยพระสุธารสร้อนเอาไว้ในพระหัตถ์ ไอร้อนจากน้ำชากลายป็นกลายเป็นควันลอยอย่างอ้อยอิ่งเป็นชั้นๆ


 


 


สีหน้าของหลงเซียวเปลี่ยนไปทันที


 


 


หรือว่าฝ่าบาท……ทรงมีพระประสงค์ที่จะทำเช่นนั้น?


 


 


หลงเซียวรู้แน่แก่ใจดี เมืองกู่เย่วมีอันตรายมากมายเพียงไร หลังจากที่ปฐมฮ่องเต้ทรงบุกทำลายล้างแคว้นกู่เย่ว ก็ได้ทรงประหัตประหารฆ่าล้างเหล่านักพรตและประชาชนทั้งไปนับพันนับหมื่นคน


 


 


กองกระดูกสูงเป็นภูเขา ปฐมกษัตริย์ทรงมีพระบัญชาให้ทิ้งศพทั้งหมดถมลงไปในหุบเหวบนภูเขาสูงลูกหนึ่ง ใช้เป็นสถานที่กลบฝังซากศพเหล่านั้น


 


 


ภูเขาลูกนั้น ชื่อว่าฝูซางซาน


 


 


ได้ยินว่าสิ่งมีชีวิตบนภูเขาฝูซางซานล้วนกลายเป็นสีแดงดุจเลือด ทั่วทั้งภูเขาเปี่ยมไปด้วยกลิ่นคาวโลหิตเข้มข้น ทุกค่ำคืนเมื่อเข้าสู่ยามดึก ต่อให้อยู่ห่างไกลออกไปหลายลี้ก็ยังสามารถได้ยินเสียงภูติผีร่ำร้องสุนัขเห่าหอนดังมาจากบนภูเขา


 


 


คนในเมืองกู่เย่วไม่มีใครกล้าเข้าไปใกล้ภูเขาลูกนั้น


 


 


บนภูเขาลูกนั้น ฟังว่ามีค่ายกลโบราณที่ซุกซ่อนบางสิ่งเอาไว้อยู่มากมาย


 


 


บางทีค่ายกลมนตราเรียกคืน……อาจจะเป็นหนึ่งในนั้นก็ได้กระมั้ง?


 


 


ความคิดนี้ทำเอาหลงเซียวถึงกับหลั่งเหงื่อเย็นๆ ออกมาเลยทีเดียว


 


 


เขาลองคิดดู…..หรือว่าไทเฮาน้อยทรงสิ้นพระชนม์ไปในสระสวรรค์ของแคว้นเซอปี่ซือ แล้วฝ่าบาททรงไม่อาจยอมรับเรื่องนี้ได้มาโดยตลอด ทั้งยังโอบกอดความคิดที่ว่าไทเฮาน้อยยังทรงมีชีวิตอยู่เอาไว้


 


 


ถึงได้ทรงคิดถึงข่ายมนตราเรียกคืนอะไรเช่นนี้ขึ้นมา


 


 


จีเฉวียนยังทรงประคองถ้วยชาร้อนในพระหัตถ์เอาไว้ สายพระเนตรมีแต่ความเย็นยะเยือก


 


 


เมืองกู่เย่ว ……เป็นแคว้นโบราณที่สุดแห่งหนึ่งบนแผ่นดินนี้


 


 


การที่พระองค์จะเสด็จไปเมืองกู่เย่วเพราะเรื่องของเหลียงจวิ้นอ๋องก็เป็นเพียงแค่ฉากหน้าเท่านั้น


 


 


ที่จริงแล้วก็เพื่อ…..นาง


 


 


“เจ้าแค่ทำตามคำสั่งเราเท่านั้นก็พอแล้ว” จีเฉวียนตรัสต่อไป กวาดพระเนตรไปทางหลงเซียวครั้งหนึ่ง ล้วงเอาป้ายคำสั่งและหนังสือเรียกตัวฉบับหนึ่งส่งให้กับเขา “เรื่องนี้ เป็นความลับ”


 


 


คำว่าความลับสองคำนี้ ทำให้หลงเซียวต้องหุบปากลงในทันที


 


 


เขาเป็นหัวหน้าราชองครักษ์ลับของฝ่าบาท เป็นขุมกำลังที่ฝ่าบาททรงไว้พระทัยมากที่สุด ทุกการตัดสินพระทัยของฝ่าบาท ย่อมต้องปฏิบัติตามโดยไม่มีข้อแม้และสนับสนุนพระองค์อย่างเต็มที่


 


 


“พะยะค่ะ” เขาผงกศีรษะ สองมือยื่นออกไปรับป้ายคำสั่งและหนังสือเรียกตัว เอามาพกติดตัวไว้ พลางหายลับไปในความมืดอย่างรวดเร็ว


 


 


แสงจันทร์ยังคงสาดส่องลงมาบนพระวรกาย เงาร่างของพระองค์ยิ่งดูโดดเดี่ยวกว่าเดิม


 


 


แสงจันทร์สะท้อนอยู่ในดวงเนตรหงส์ สองหัตถ์ภายใต้ฉลองพระองค์กำแน่นขึ้นมา


 


 


ตู๋กูซิงหลัน ต่อให้เป็นสุดล่าฟ้าเขียว เขาก็จะต้องพานางกลับมาให้ได้


 


 


จากนั้นค่อยส่งดาบแล่เนื้อเล่มใหญ่ให้กับนางด้วยพระองค์เอง


 


 


………………………


 


 


ที่คุกใต้ดินในวังหลวง อันหร่วนผมเผ้ารุ่ยร่าย ถูกล่ามมือและแขนเอาไว้กับลูกกรงเหล็ก เสื้อผ้าของนางขาดวิ่น ทั่วร่างมีแต่บาดแผล


 


 


ร่างที่ชราของนางถูกเฉือนลึกจนเห็นกระดูก ตลอดทั้งเดือนมานี้ต้องรับทรมานทั้งร่างกายและจิตใจ ทำเอานางใกล้จะทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว


 


 


วันนั้นตอนที่อยู่ในทะเลทราย…..ใครจะไปรู้ว่านางจะบังเอิญไปพบกับตู๋กูจุนเข้าพอดี


 


 


นางพึ่งจะตัดขาของรัชทายาทแคว้นเหยียนไปได้ข้างเดียว ก็ถูกตู๋กูจุนช่วยคนไปได้


 


 


ตัวนางเองก็หนีไม่พ้น….ถูกจับกลับมา


 


 


หลังจากนั้น นางก็ถูกพามายังสถานที่ที่ไร้แสงเดือนแสงตะวันเช่นนี้ รับทรมานทุกๆ วัน


 


 


เพื่อให้นางสารภาพขุมกำลังเบื้องหลังออกมา


 


 


ตลอดเดือนมานี้ นางไม่เพียงแต่ต้องรับความทรมานทางเนื้อหนัง ยิ่งต้องอยู่อย่างหวาดผวาตลอดเวลา เกรงว่าท่านประมุขจะส่งคนมาฆ่าปิดปาก


 


 


เหมือนกับที่ศพคืนวิญญาณเฒ่าผู้นั้นถูกฆ่าปิดปากไป


 


 


แต่นานถึงเพียงนี้แล้ว ก็ยังไม่เห็นความเคลื่อนไหวใดๆ


 


 


เช่นนี้ก็มีความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียว คุกแห่งนี้ลี้ลับเกินไป แม้แต่คนของท่านประมุขก็ยังหาไม่พบ


 


 


บางที……ท่านประมุขอาจจะไม่ทราบว่านางถูกจับตัวมาเสียด้วยซ้ำ หรือไม่ก็คิดว่านางตายไปในทะเลทรายเสียแล้ว?


 


 


ตอนนี้อันหร่วนได้แต่คิดไปอย่างวุ่นวายใจ


 


 


“ครืน” ในตอนนั้นเอง ประตูใหญ่ของคุกก็เปิดออก


 


 


เพราะนางอยู่ในมุมอับ ผ่านไปครู่หนึ่งถึงได้ยินเสียงฝีเท้า


 


 


เมื่อเงยหน้ามองขึ้นไป ก็เห็นแต่ร่างของบุรุษผู้หนึ่งภายใต้ผ้าคลุมสีดำกำลังเดินลงมา และเหล่าองครักษ์ลับที่ทรมานนางมาเนิ่นนานก็พากับยืนอยู่ด้านหลังเขาด้วยความเคารพนอบน้อม


 


 


หมวกคลุมหน้าสีดำนั้นปิดบังใบหน้าของเขาไปครึ่งหนึ่ง เผยให้เห็นแค่เพียงริมฝีปากที่ซีดเซียวและปลายคางที่แหลมเรียว


 


 


ปลายคางของเขามีเคราขึ้น ดูท่าคงไม่ได้โกนมานานแล้ว


 


 


อันหร่วนตกตะลึงไป


 


 


จากนั้นก็เห็นพวกองครักษ์ลับนำตัวหญิงสาวอายุน้อยผู้หนึ่งเข้ามา


 


 


เด็กสาวสวมชุดกระโปรงสีเหลือง ทันทีที่นางได้เห็นอันหร่วนที่ถูกทุบตีอย่างทารุณ สายตาก็เต็มไปด้วยความตื่นตระหนก


 


 


“ท่านย่า…นี่มันเรื่องอะไรกัน? ท่านเป็นถึงแม่นมของอดีตฮองเฮา และเป็นพระพี่เลี้ยงของฝ่าบาท ในแคว้นต้าโจวใครกันที่กล้าบังอาจ ทำกับท่านถึงเพียงนี้……”


 


 


พูดยังไม่ทันจบ อันหว่าจรือก็รู้สึกถึงบางอย่างขึ้นมา


 


 


หัวใจของนางชาวาบ ยามที่มองไปยังบุรุษในชุดคลุมสีดำข้างกาย สายตาของนางก็ปรากฏความหวาดกลัวถึงขีดสุด


 


 


ในแคว้นต้าโจว นอกจากฮ่องเต้ที่ยืนอยู่เหนือผู้คนนับหมื่นนับแสนแล้ว ยังจะมีผู้ใดกล้าทำเช่นนี้กับท่านย่าได้อีก?


 


 


“เราไม่มีแก่ใจจะฟังเจ้าพูดคำไร้สาระ” คราวนี้ จีเฉวียนตรัสเสียงเย็นชา “ครั้งนี้ เราถามอะไร เจ้าก็ตอบตามนั้นหากโป้ปดเพียงคำเดียว เราจะเฉือนเนื้ออันหว่านจรือออกมาชิ้นหนึ่ง”


 


 


“ฝ่าบาท!” อันหร่วนร้องตะโกนออกมาในทันที “ไยพระองค์ทรงทำเช่นนี้กับบ่าวเฒ่าได้ลงคอ…..บ่าวเฒ่าทำคลอดพระองค์มา เลี้ยงดูพระองค์จนเติบโต หลายปีมานี้ก็คอยเฝ้าพระสุสานอดีตฮองเฮาด้วยความภักดี บ่าวเฒ่าเคยทำเรื่องใดให้ทรงขุ่นเขืองพระทัยหรือ พระองค์จึงได้ทรงลงอาญาโหดร้ายเช่นนี้?”


 


 


จีเฉวียนไม่ตรัสตอบวาจาของนาง เพียงแต่ขยับพระหัตถ์เล็กน้อย องครักษ์ลับที่อยู่ข้างพระองค์ก็พุ่งเข้าไปลงมือกับอันหว่าจรือ


 


 


ทันทีที่วาดดาบออกไปปลายนิ้วข้างหนึ่งของอันหว่านจรือก็ขาดร่วงลงมา


 


 


นางส่งเสียงร้องประหนึ่งหมูถูกเชือด ทันทีที่ร้องออกมา ก็ถูกองครักษ์ลับคว้าลิ้นของนางเอาไว้


 


 


จีเฉวียนจดจ้องไปที่อันหร่วน ตรัสเสียงเย็นว่า “หากไม่ต้องการลิ้นนี่แล้ว เจ้าก็แกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องต่อไปแล้วกัน”


 


 


อันหร่วนถึงกับสมองชาไปแล้ว นางรู้มาตลอดว่าจีเฉวียนเป็นคนที่ชาญฉลาดผู้หนึ่ง


 


 


แต่นางไม่เคยรู้ว่า จิตใจของเขาจะโหดเ**้ยมอำมหิตถึงเพียงนี้


 


 


ยามปกติไม่ลงมือ หากลงมือก็บีบจนนางไร้หนทาง มีแต่ต้องตายเท่านั้น


 


 


นางอ้าปากขึ้นมา คิดจะหาข้อแก้ตัว ก็เห็นองครักษ์ลับใช้ดาบเฉือนลิ้นของอันหว่านจรือจนกลายเป็นชุ่มเลือดเส้นหนึ่งแล้ว


 


 


คำพูดที่มาถึงริมฝีปากเหล่านั้นก็ได้แต่ต้องกล้ำกลืนกลับไป


 


 


ตระกูลอัน เหลือแต่อันหว่านจรือเป็นทายาทคนสุดท้ายแล้ว …..นางไหนเลยจะทนมองเห็นหลานสาวตายไปต่อหน้าต่อตาได้กัน?


 


 


“ปีนั้น เจ้าเป็นคนวางยาพิษฆ่าพระมารดา” จีเฉวียนตรัสเสียงเย็นชา


 


 


แค่ประโยคเดียว ก็ทำเอาเลือดทั้งตัวของอันหร่วนจับแข็งไปหมดแล้ว


 


 


เขารู้แล้ว……ที่แท้เขาก็รู้หมดแล้ว “ใช่เพคะ เป็นบ่าวเฒ่าที่ถวายยาพิษกำเริบช้าให้กับฮองเฮา ทุกๆ วัน พอดื่มครบเดือน ตอนที่พระนางคลอดพระองค์ออกมาถึงแม้จะช่วยชีวิตเอาไว้ได้ ….แต่เพราะยาพิษทำลายพื้นฐานร่างกาย จึงทำให้ไม่นานก็สิ้นไป”


 


 


 


 


——


 


 


คุยกันนิดนึง:


 


 


ไรท์: ยายเฒ่านี้เอง ตัวดีเลย!


 


 


ตอนต่อไป “ตำหนักซิ่วหลัว นอกดินแดน”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)