เจาะเวลาสู่ต้าถัง ส่วนที่ 3 ตอนที่ 45-54
ตอนที่ 45 ความคิดอันเจิดจรัสกับบทสรุปที่หมดทางเลือก
การเก็บตัวอยู่บ้านในวันที่อากาศร้อนอบอ้าวนั้นรู้สึกทรมานเป็นอย่างยิ่ง อวิ๋นเยี่ยสวมกางเกงขาสั้นและเสื้อกั๊ก นั่งยองๆ บนเก้าอี้ สองมือขีดๆ เขียนๆ ลงบนกระดาษแผ่นใหญ่ ใช้เวลาไม่นานนัก ภาพวาดเสมือนจริงสถาปัตยกรรมของราชวงศ์ถังก็ค่อยๆ ปรากฏทีละภาพด้วยฝีมือของอวิ๋นเยี่ย วัสดุย้อมสีที่จะนำมาใช้วาดภาพต้องค่อยๆ ลงสี อิฐสีแดงกระเบื้องสีเขียว อาคารใหญ่โตหรูหรา
ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างทรงเจดีย์ก็ดี โครงสร้างคานไม้แปก็ดี แต่โครงสร้างที่ทำจากไม้นั้นง่ายต่อการดึงดูดแมลง ไม่ว่าจะทำการป้องกันดีเพียงไหน ก็สามารถใช้ได้เพียงไม่กี่ปี ปลวกนั้นน่ารังเกียจจริงๆ ขอเพียงแค่มีสภาพอากาศชื้นเพียงไม่กี่วันก็มากันเป็นฝูงใหญ่ ทั้งยังถือเป็นกองทัพอากาศอีก มันจะกางปีกบินไปยังที่ที่เหมาะ จากนั้นสลัดปีกทิ้งแล้วก้มหน้าก้มตากัดกินไม้อย่างดุดัน ไม่นานนัก ท่อนไม้ที่เปลือกนอกดูแล้วยังคงสวยงามเป็นปกติแต่เนื้อในนั้นกลับไม่เป็นชิ้นดี โดยไม่รู้ว่ามันจะหักโค่นลงมาในเวลาไหนที่คุณไม่ทันตั้งตัว จึงคิดถึงเหตุการณ์ตอนที่จับนกในสมัยยังเป็นเด็ก จากนั้นมองดูหลังคาบ้านที่สูงใหญ่เหนือศีรษะ อวิ๋นเยี่ยก็รู้สึกว่าเขาเป็นนกที่น่าสงสารตัวนั้น
สามสิ่งชั่วร้ายอันลือชื่อฉางอัน ฉันเป็นคนแรก ก็ไม่รู้ว่าการจัดอันดับนี้มาจากไหน ฉันไม่ได้ทำอันตรายคนอื่นเสียหน่อย อย่างมากที่สุดก็หลอกพวกคนเขลา เช่น ขุนนางใหญ่ในราชสำนัก อยากมากก็ให้พวกเขากินตั๊กแตนไม่กี่ตัว ซึ่งมันมีโปรตีนสูง ฉันทำไปก็เพื่อพวกเขา ไม่รู้จักดีชั่วเอาเสียเลย
สำหรับในตอนนี้ หากฉันจะเขียนรายงานสักฉบับก็ต้องเรียกหัวหน้าราชเลขาทั้งสามสำนักมาร่วมวิเคราะห์พร้อมกันและถูกจำกัดการตัดสินใจ เพียงแค่จะสร้างบ้านไม่กี่หลังบนเขาอวี้ซันไม่ใช่หรือ ป่าเขารกร้างนอกจากฉันยังจะมีใครมาที่นี่กัน
ก็จริงอยู่ ฉันยอมรับว่าแม้จะสร้างบ้านจำนวนมากไปเสียหน่อย แต่ก็เพียงหลายร้อยห้องเท่านั้น คุณจะไม่อนุญาตให้ฉันเหลือพื้นที่ไว้เผื่อการขยายตัวของสำนักศึกษาในอนาคตบ้างเชียวหรือ ซึ่งในชื่อนั้นมีคำว่า “ราชนิกูล” อยู่ด้วย อยากหลอกคุณก็ไม่สามารถทำได้จริงไหม
สุนัขพันธุ์ชิสุ นั่นเป็นเพราะตระกูลเจ้าไม่ได้มีการอบรมสั่งสอนที่ดี เกี่ยวอะไรกับฉันด้วย ก็เป็นผู้ชายนี่ บางครั้งการออกไปสังสรรค์บ้างก็เป็นเรื่องธรรมดา แม้ว่ามันอาจจะทำให้ภาพลักษณ์ดูไม่ค่อยดีนักหากบอกว่าไปหอโคมเขียว แต่แม่เสือที่บ้านเจ้า ก็ไม่ควรใช้สุนัขพันธุ์ชิสุเหมือนเป็นสุนัขตำรวจถูกไหม จับสามีตนเองห่อผ้าห่มแล้วมัดไว้ทั้งยังไม่ให้ใส่เสื้อผ้า ดึงหูลากกลับบ้าน การอุ้มสุนัขปิดร่างกายส่วนล่างก็เพราะความจำเป็น จะให้เดินเปลือยป่าวบนถนนได้อย่างไรกัน อย่างไรเสียมีอะไรปกปิดบ้างก็ดีกว่าการกลับบ้านทั้งอย่างนั้นจริงไหม ใครจะคิดถึงตอนที่โดนกัดเข้าให้ สวรรค์ ถึงเป็นผู้ชายก็รู้สึกขวัญหนีดีฝ่ออยู่ดี
เหล่าผู้หญิงที่ออกเรือนแล้วในเมืองฉางอันเริ่มเลี้ยงสุนัขพันธุ์ชิสุที่บ้านจนเป็นที่นิยมมากขึ้น ซึ่งนี่คือความทุกข์เศร้าของผู้ชาย
ภาพแบบแปลนวาดเสร็จแล้ว แน่นอนว่าต้องหาคนที่จะแสดงความคิดเห็น อาจารย์อาวุโสหลายๆ ท่านนั้นคือตัวเลือกที่ดีที่สุด จึงรีบถือภาพแบบแปลนไปหาบรรดาอาจารย์ที่กำลังนั่งดื่มชาอยู่ ตอนนี้ใบชาสูตรลับของอวิ๋นเยี่ยเริ่มส่งมอบให้เหล่าอาจารย์ในปริมาณที่น้อยลง แต่ละคนถือถ้วยชาใหญ่พร้อมฝาปิด แง้มฝาถ้วยขึ้นเล็กน้อยและซดชาเป็นระยะๆ ด้วยท่าทางที่สบายอกสบายใจ…
หลี่กังมองดูภาพภาพแบบแปลนแล้วถึงกับอึ้งไปเกือบหมดวัน อวี้ซัน หยวนจางและหลีสือเองก็ไม่พูดอะไร มันสมองของอวิ๋นเยี่ยหมุนรอบโลกไปแล้วหลายครั้ง พวกเขาก็ยังไม่พูดอะไรนิ่งเหมือนตุ๊กตาปูนปั้น โบกมือตรงหน้าพวกเขาก็ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ขณะที่กำลังตั้งใจจะสาดด้วยน้ำเย็น เหลาหลี่เอ่ยปากแล้ว “โครงการที่ยอดเยี่ยมและใหญ่โตเช่นนี้ เจ้าหนุ่ม เจ้าวางแผนจะใช้เวลากี่ปีในการสร้าง ใช้เงินหลวงเท่าไร ใช้กำลังคนเท่าไร ราขสำนักจะอนุญาตหรือ นี่เป็นโครงการที่สามารถทำให้ประเทศล่มจมได้เลย เจ้าคงทำได้เพียงฝันเท่านั้นไม่สามารถทำให้เป็นจริงได้ เพียงแค่สถานที่ก็ใหญ่กว่าวังหลวงแล้ว เจ้ายังรวมพื้นที่เขาอวี้ซันเข้ามาด้วย ภายในรัศมีสิบลี้ สิ่งที่เจ้าสร้างน่ะไม่ใช่สำนักศึกษาแต่เป็นเมืองเมืองหนึ่ง อีกทั้งยังสามารถเทียบเคียงได้กับเมืองฉางอันเสียด้วยซ้ำ มันเป็นไปไม่ได้ที่จะทำให้สำเร็จ”
“เงินไม่ขาด คนไม่ขาด วัสดุไม่ขาด ทำไมเจ้าจึงคิดว่าข้าน้อยจะไม่สามารถสร้างสำนักศึกษาเช่นนี้ได้ ข้าน้อยจะต้องทำให้สำเร็จในระหว่างที่ยังชีวิตอยู่อย่างแน่นอน เริ่มต้นในปีนี้ โครงการในส่วนแรกใช้เงินเพียงหนึ่งแสนก้วนก็สามารถทำให้แล้วเสร็จได้ ใช้เวลาสามปี ในปีนี้ถึงปีหน้าเป็นช่วงเวลาของการก่อสร้างเป็นหลัก เนื่องจากประสบภัยพิบัติจะต้องมีคนมากมายเต็มใจที่จะมาเขาอวี้ซันเพื่อของานทำหาเลี้ยงครอบครัวอย่างแน่นอน หากข้าน้อยไม่ฉวยโอกาสนี้เพื่อหาแรงงานแล้วจะให้รอถึงเมื่อไหร่กัน” อวิ๋นเยี่ยพูดอย่างมั่นอกมั่นใจ
“เจ้าหนุ่ม ข้าจะไม่ถามเจ้าว่าไปเอาเงินมาจากไหน หากเจ้าบอกว่าเจ้ามีความมั่นใจ ข้าก็เชื่อว่าเจ้าจะสามารถหาเงินมาได้ เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่า ในช่วงเวลาสั้นๆ เจ้าเอาเงินมาจากต้าถังมากถึงเพียงนี้ แล้วราชสำนักจะทำเช่นไร หากจำเป็นต้องใช้เงินแต่ไม่มีเงินจะทำอย่างไร” เหลาหลี่สีหน้าเต็มไปด้วยความกังวล จากการที่ใกล้ชิดกันเป็นเวลาครึ่งปี เหลาหลี่ไม่เคยสงสัยในความสามารถด้านการหาเงินของอวิ๋นเยี่ยเลย เขาเพียงแต่กังวลแทนราชสำนัก ข้าราชการระดับสูงเมื่ออยู่ต่อหน้าอวิ๋นเยี่ยแล้วก็เหมือนเด็กที่ยังไม่โต โดยเฉพาะเรื่องเงินทอง
“พวกท่านมีมุมมองเกี่ยวกับทรัพย์สินเงินทองเช่นนี้หรือ เพียงแค่พวกท่านที่คิดเช่นนี้ หรือทุกคนก็คิดเช่นนี้” อวิ๋นเยี่ยค่อนข้างหวาดระแวง
“ข้าเชื่อเจ้า สำหรับมุมมองเรื่องเงินของราชสำนักนั้นเหมือนกับข้า แตกต่างกันเพียงแค่บางคนรู้จักที่จะนำไปใช้เท่านั้นเอง” หลี่กังรีบอธิบาย อวี้ซัน หยวนจางและหลีสือทั้งสามต่างก็พยักหน้าพร้อมกัน พวกเขาต่างก็มีพื้นเพเป็นข้าราชการย่อมต้องเข้าใจดี
“ฮ่าๆๆ รวยแล้ว รวยแล้ว สำนักศึกษาของข้าสามารถสร้างเสร็จได้เร็วขึ้นตั้งยี่สิบปี พวกท่านทั้งสี่จะต้องได้เห็นโรงเรียนที่ใหญ่โตที่สุดในต้าถังหรือในประวัติศาสตร์ ข้าจะรับสมัครนักเรียนหนึ่งหมื่นคนและรับอาจารย์ที่มีชื่อเสียงหลายร้อยคน ตอนนี้กำลังกลุ้มว่าว่างจนไม่รู้จะทำอะไร ตอนนี้เหมือนจะมีงานให้ทำแล้ว ข้าจะรีบวางโครงการเดี๋ยวนี้เลย” หลังจากพูดจบก็แทบจะวิ่งหนี อาจารย์ทั้งสี่จึงรีบรั้งไว้ ตื่นเต้นจนสั่นเทาไปทั้งร่าง ดูเหมือนว่าที่รั้งไว้ไม่ใช่อวิ๋นเยี่ย แต่เป็นเสือโคร่งที่ดุดัน
“เจ้าห้ามทำเช่นนี้ สำนักศึกษายังเป็นเพียงช่วงเริ่มก่อตั้งเท่านั้น หากเจ้าสร้างโรงเรียนเสร็จแล้ว ไม่มีนักเรียนไม่มีครู เช่นนั้นยังจะเรียกว่าสำนักศึกษาอีกหรือ” คำพูดของหลี่กังทำให้ปณิธานอันแรงกล้าของอวิ๋นเยี่ยดับสิ้นลงในทันที
นั่นสิ การสร้างอาคารนั้นง่าย แต่จะหาครูที่ดีได้จากไหนกัน จะไปหานักเรียนได้จากไหน ในสำนักศึกษามีลูกศิษย์เพียงร้อยกว่าคนก็ทำให้ผู้เฒ่าทั้งสี่คนนี้เหนื่อยแทบขาดใจแล้ว หากเป็นหนึ่งหมื่นคน หากอยู่ในยุคปัจจุบันนี่เป็นเพียงโรงเรียนขนาดกลาง แต่มันเป็นเรื่องเหลือเชื่อมากในต้าถัง ฉันเบลอแล้วจริงๆ อวิ๋นเยี่ยเขกศีรษะตนเองอย่างแรงไปสองที ร่างกายดูเหมือนจะหมดแรงทรุดตัวนั่งลงกับพื้น
“ข้ารู้ว่าเจ้าต้องการสร้างเสริมภูมิปัญญาให้กับชาวบ้าน นี่ก็เป็นความปรารถนามาตลอดชีวิตของพวกข้าเช่นกัน มีแขกจำนวนตั้งมากมาย โต๊ะอาหารเจ้าใหญ่เพียงไหนก็ไร้ประโยชน์ ค่อยเป็นค่อยไป มันจะดีขึ้นเอง ปีนี้ข้าอายุเจ็ดสิบปีแล้วยังไม่ร้อนรนเลย ตอนเจ้าอายุเพียงสิบหกปี เหตุใดต้องร้อนใจด้วย การร้อนใจเกินไปรังแต่จะทำให้เสียการ ระยะนี้เจ้าค่อนข้างจะกระวนกระวาย ข้าจะไม่ถามเจ้าว่าเกิดอะไรขึ้นในฉางอัน เพียงแค่อยากให้เจ้าสงบจิตใจลง อย่าใจร้อน เข้าใจไหม เจ้าเป็นความหวังของชายชราอย่างพวกข้า ข้าไม่เคยรู้สึกว่าการเผยแพร่ความรู้ไปทั่วหล้าจะอยู่ใกล้เรามากถึงเพียงนี้มาก่อน มักรู้สึกเสมอว่ามันอยู่ห่างออกไปเพียงก้าวเดียว หากก้าวข้ามไปแล้วก็จะเห็นแสงสว่าง เจ้าไม่ควรที่จะเสี่ยง ถ้าหากต้องเสี่ยงก็ปล่อยเป็นหน้าที่ของชายชราอย่างพวกเรา” หลี่กัวนั่งยองๆ ลงลูบศีรษะอวิ๋นเยี่ยเบาๆ คำพูดที่ฟังดูเพ้อฝันเหมือนภาพลวงตา เขาราวกับว่ากำลังเคลิบเคลิ้มอยู่ในทุ่งร้างแห่งความหวัง
สภาพจิตของคนคนหนึ่งที่เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายทำให้สิ้นเปลืองพลังงานของร่างกายมากที่สุด พยายามยืนอยู่หลายครั้ง สุดท้ายได้เหล่าอาจารย์ช่วยพยุงไว้จึงยืนนิ่งได้
“เสียทีที่ข้ามีทักษะสูงส่ง หากแต่ไม่มีที่ไหนที่จะให้แสดงออกมาได้ ช่างเถอะ พวกเราก็ค่อยๆ ดำเนินการไป ข้ารู้สึกเพลียเล็กน้อย ขอตัวกลับไปนอนพัก พวกท่านเองก็รีบกลับไปพักผ่อนเถอะ พูดจบก็โค้งตัวเก้าสิบองศาให้อาจารย์ทั้งหลาย จากนั้นก็ค่อยๆ เดินกลับไป
“เหลาหลี่ เหตุใดเจ้าถึงเชื่อว่าเขาจะหาเงินได้มากพอที่จะนำมาขยายสำนักศึกษาได้ หนึ่งแสนก้วนเทียบเท่ากับภาษีถึงสิบมณฑล เขาไม่สามารถทำได้” อาจารย์หยวนจางเอ่ยปากพูดแล้ว เขาไม่แยแสต่อราชสำนัก เรื่องหลายๆ เรื่องที่เกิดขึ้นในฉางอันยังมีหลายสิ่งที่ไม่ชัดเจน
“ข้าเล่าเรื่องที่ว่าเด็กคนนี้ใช้แผ่นเหล็กขนาดเล็กสี่แผ่นหาเงินจำนวนหนึ่งหมื่นหกพันก้วนได้ในหนึ่งวันให้พวกเจ้าฟังแล้วหรือยัง” ทั้งสามคนรีบส่ายศีรษะ
หลี่กังจึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในเมืองฉางอันให้สหายเก่าทั้งสามฟังอย่างละเอียด ทั้งสามได้ฟังแล้วถึงกับควันออกหู ใครจะคิดว่าอวิ๋นเยี่ยจะวางหลุมพรางเหล่าขุนนางทั้งหลายไว้ก่อนหน้าแล้ว ใช้วิธีที่เรียบง่ายที่ยิ่งกว่าเรียบง่าย หยิบเงินหนึ่งหมื่นหกพันก้วนจากมือของเหล่าขุนนางไป ทั้งยังเอาไปแบบต่อหน้าต่อตาโดยที่ทำให้ทุกคนพูดอะไรไม่ออกอีกด้วย
“นี่เป็นเพียงครั้งแรกเท่านั้น เห็นได้ชัดว่าเขายังมีแผนต่อมาอีก เพียงแต่ยังไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ตอนนี้หากเป็นฎีกาของเจ้าหนุ่มคนนี้ต่างก็จะคิดหน้าคิดหลังให้ดี จากนั้นก็มอบให้เพียงครึ่งเดียว หน่วยงานใดได้รับฎีกาการทำงานของเขา หน่วยงานนั้นก็เปรียบเหมือนเจอศัตรูตัวฉกาจ ดังนั้นหากเขาบอกว่าจะหาเงินได้หนึ่งแสนก้วน พวกเจ้าก็จงเชื่อไว้จะเป็นการดีที่สุด เพียงแต่ไม่รู้ว่าใครจะเป็นผู้โชคร้าย”
ทั้งสี่คนมองหน้ากันแล้วหัวเราะ แม้ว่าจะรู้สึกตลกขบขัน แต่พวกเขาก็รู้สึกโล่งอก มีคนหนุ่มเช่นนี้สำนักศึกษาก็ไม่ต้องกังวลเรื่องเงินอีกต่อไป ซึ่งนี่จะเป็นการประหยัดแรงได้มากเลย พวกเขาถนัดในการสอนและให้ความรู้ผู้อื่น แต่กลับไม่ถนัดเรื่องการหารายได้และสิ่งของ อีกทั้งสิ่งที่สำนักศึกษาขาดไม่ได้เลยก็คือเงิน พวกหนอนหนังสือจะถนัดในการหาแหล่งหารายได้ได้อย่างไร คงจะได้แต่ได้อย่างก็ต้องเสียอย่างเท่านั้น
“เห็นทีว่าคฤหาสน์ริมแม่น้ำตงหยางของข้านั้นคงจะต้องค่อนข้างเล็กเป็นแน่ เสาะหาช่างวาดที่เก่งกาจมาก็ไร้ประโยชน์แล้ว ภาพแบบผังของเจ้าหนุ่มนั่นวาดได้ดีมาก เหลาหลี่เจ้าคิดว่าอย่างไร” อาจารย์อวี้ซันเหมือนจะตระหนักได้จึงถามหลี่กัง
“เรื่องคฤหาสน์เราก็อย่าได้ไปยุ่งเลย ตั้งใจสอนหนังสือให้ดีก็พอแล้ว เจ้าหนุ่มนั่นจะเป็นคนจัดการให้เรียบร้อยเองและจัดการได้ดีกว่าที่เจ้าคิด…”
แสงจันทร์ยามค่ำคืนในฤดูร้อนมีเสน่ห์ชวนหลงใหลเป็นอย่างยิ่ง อวิ๋นเยี่ยนั่งอยู่ด้านหน้าหน้าต่าง เหม่อมองดวงจันทร์อยู่เป็นเวลานาน ดวงจันทร์ของต้าถังนั้นค่อนข้างสว่างกว่าดวงจันทร์ในยุคปัจจุบันจริงๆ สามารถเห็นหลุมปุปะบนผิวดวงจันทร์อย่างเลือนราง แสงจันทร์สีเงินสาดส่องบนพื้นกว้าง รวมถึงสาดส่องมาที่ใบหน้าของอวิ๋นเยี่ยด้วย
รีบร้อนไปจริงๆ นับตั้งแต่กลับจากฉางอันก็ไม่มีเวลาไหนที่ได้สงบจิตใจอย่างจริงจัง ความโกรธแค้นในอกไม่เคยได้ระบายออกไปเลย เพียงแค่อัดแน่นพองบวมอยู่ในใจ ตอนนี้เริ่มส่งผลต่ออารมณ์ของตัวเอง ไม่ถูกต้อง นี่ไม่ใช่ความรู้สึกวิตกกังวลที่ฉันควรจะมี เขาไม่รู้ว่าจะจัดการกับสถานการณ์ปัจจุบันอย่างไรดี บางทีอาจารย์อาจจะพอรู้ก็เป็นได้ เขามีชีวิตอยู่จนอายุเจ็ดสิบปีคงจะถึงขั้นจอมเจ้าเล่ห์แล้วกระมัง
ความโดดเดี่ยวและความอึดอัดแพร่กระจายอยู่ในห้องและค่อยๆ ส่งผลต่อห้องข้างๆ
ผู้ที่อยู่ในห้องข้างๆ คือหลี่เค่อ เขารู้สึกหดหู่อย่างมากในตอนนี้ เขาเลิกคิดที่จะเอาชนะหลี่ไท่คนวิปริตคนนั้น ในด้านการเรียนแล้ว ไม่ว่าเขาจะพยายามอย่างหนักเพียงไหนก็มักจะต่ำกว่าเขาอยู่ขั้นหนึ่ง อาจารย์บอกว่าคนบางคนมีความสามารถในการเรียนรู้มาแต่กำเนิด เขาไม่จำเป็นต้องพยายามสักเท่าไรก็สามารถเข้าใจได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ซึ่งสิ่งนี้คือพรสววรค์
แต่ท่านแม่บอกว่าสายเลือดของเขานั้นถือเป็นสายเลือดที่สูงส่งที่สุด รวบรวมสายเลือดของฮ่องเต้ทั้งสองแห่ง ซึ่งหาที่เปรียบมิได้ แต่ในสำนักศึกษาดูเหมือนว่าเขาจะไม่มีวันสามารถตามรอยเท้าของหลี่ไท่ได้ทัน ดูเหมือนเขาจะเดินไปไกลแล้วเหลือไว้ให้เพียงแค่เงาให้ข้าเท่านั้น
ครั้นเปิดหน้าต่างออกด้วยความโกรธเคือง ก็บังเอิญเห็นอวิ๋นเยี่ยเองก็เปิดหน้าต่างเช่นกัน ทั้งสองคนที่หงุดหงิดเช่นเดียวกันต่างก็ถอนหายใจพร้อมกันแล้วก็ปิดหน้าต่างอีกครั้ง…
ในคืนที่ร้อนอบอ้าว มีเพียงจั๊กจั่นส่งเสียงร้องและหิ่งห้อยกำลังส่องแสงเต้นรำอยู่บนพุ่มหญ้า ค้างคาวบินไม่ยอมหยุดอยู่บนท้องฟ้าอย่างเงียบๆ เสียงลมพัดต้นสนบนภูเขาดังขั้น ราวกับเสียงกลองรบที่เร่งเร้าผู้คน…!!
ตอนที่ 46 ความรักอันแสนจะเรียบง่าย
ขอบฟ้าเพิ่งจะเริ่มสว่าง หวงสู่ก็ถือถังเหล็กของตัวเองเดินมาที่ริมแม่น้ำตงหยาง เตรียมที่จะอาบน้ำ เมื่อคืนนอนหลับไม่สนิทกลิ้งไปมาอยู่บนเตียง พลิกไปพลิกมาเหมือนโรตีทอดจนสว่าง ทั้งตัวเต็มไปด้วยเหงื่อ
เขาไม่ใช่คนแรก แต่เป็นคนที่สาม ก่อนหน้านี้ได้มีอีกสองคนกำลังตักน้ำราดจากศีรษะทีละถังๆ หวงสู่ตั้งใจจะเดินลงไปให้ลึกขึ้นอีกเล็กน้อย จะได้ไม่รบกวนพวกชนชั้นสูง ในที่สุดตอนนี้เขาก็เข้าใจว่าทุกคนในสำนักศึกษาล้วนแล้วแต่เป็นชนชั้นสูงทั้งหมด ดังนั้นเขาจึงยิ่งรู้สึกว่าตัวเองต่ำต้อยมากขึ้นเรื่อยๆ
“เหล่าหวง มาทางนี้ จะไปไหนกัน มาอาบที่นี่สิ ไม่กลัวหมาป่าคาบไปหรือ” อวิ๋นเยี่ยเห็นหวงสู่ตั้งนานแล้ว ตั้งใจจะคุยกับเขา ใครจะคิดว่าหมอนี่เดินลงไปปลายน้ำโดยไม่พูดอะไรสักคำ จึงต้องตะโกนเรียกเขา
หลี่เค่อที่สวมกางเกงยืนราดน้ำอยู่ด้านข้างด้วยความเบื่อหน่ายไม่พูดอะไรเลย
“เสี่ยวเค่อ ปณิธานอันยิ่งใหญ่ของข้ายากจะเป็นจริง จิตใจที่ยิ่งใหญ่เหมือนคุนเผิง[1] แต่ตัวเล็กกระจิ๊ดริดเหมือนนกกระจอก เจ้าเกิดมาก็เป็นมังกรที่ยิ่งใหญ่แล้ว จะหดหู่อะไรหนักหนา” เจ้าเด็กคนนี้หลายวันนี้ดูผิดปกติมาก อวิ๋นเยี่ยรู้สึกประหลาดใจ
“ข้าโง่มากใช่หรือไม่”
“ใครพูดกัน ดีกว่าหวงสู่มากมายเลย” อวิ๋นเยี่ยพูดโดยไม่ตั้งใจ ศีรษะหวงสู่เหมือนกับถูกไก่จิกเข้าให้
หลี่เค่อคลุ้มคลั่งกระโจนเข้าคว้าอวิ๋นเยี่ยไว้ ใครไม่รู้กันบ้างว่าในสำนักศึกษาหวงสู่ก็คือคำสรรพนามแทนคำว่า “โง่เขลา” ตอนนี้ถ้าใครทำอะไรโง่เขลา ตอนนี้จะไม่ด่าว่าเจ้าโง่แล้ว แต่จะเปลี่ยนชื่อของเขาเป็นหวงสู่ตรงๆ อวิ๋นเยี่ยวิ่งหนีไป หลี่เค่อจับหวงสู่ผู้สมรู้ร่วมคิดเตะไปสองครั้งจึงค่อยอารมณ์ดีขึ้น
“เสี่ยวเค่อ ข้ารู้ว่าในใจเจ้ารู้สึกหดหู่ การสอบกลางภาคของสำนักศึกษาเจ้าก็แพ้ให้กับอาไท่อีกแล้ว เห็นเขาโอ้อวดคุยโตคุยโม้บนเวทีในใจรู้สึกไม่ยอมรับ นี่เป็นสภาพจิตใจที่ปกติยิ่งกว่าปกติของคนหนุ่มสาวอยู่แล้ว ตอนที่ข้าเรียนกับอาจารย์มีข้าเพียงคนเดียวเท่านั้น ไม่มีใครให้เปรียบเทียบ ดังนั้นจึงแน่นอนว่าข้าเป็นที่หนึ่ง อาจารย์ก็ชื่นชมข้าเสมอ เจ้ารู้หรือไม่ว่าทำไมยอดหัวกะทิแห่งแดนเสฉวนจึงพ่ายแพ้ให้กับเหล่าตระกูลใหญ่”
อวิ๋นเยี่ยคิดว่านี่เป็นโอกาสที่ดีที่จะเปลี่ยนมุมมองต่อโลกภายนอกของหลี่เค่อ เพียงแค่ให้เขาระบายความภาคภูมิใจของเขาออกมา ใช้ความแข็งแกร่งของตัวเองในการไปให้ถึงจุดสูงสุดในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง แรงดึงดูดเรื่องบัลลังก์สำหรับเขาก็จะลดลงอย่างมาก อย่างไรเสียในโลกนี้มียอดเขาสูงมากมายให้เราไปปีนอยู่ มนุษย์เรามักจะพึงพอใจกับผลงานที่แลกมาด้วยความพยายามของตัวเองอยู่เสมอ
“เพราะทักษะของพวกเขาไม่ดีสู้ผู้อื่นไม่ได้ ห้าตระกูลใหญ่นั้นเก่งเกินไป”
“ผิดแล้ว เพราะยอดหัวกะทิแห่งแดนเสฉวนเลือกสถานที่ผิด เลือกเวลาผิด เลือกเป้าหมายผิด การที่พวกเขาเลือกเป้าหมายผิด เพราะพวกเขาไม่ได้เตรียมตัวล่วงหน้าและไม่ได้ทำข้อสรุปหลังจากที่เสร็จสิ้น ถ้าหากมีคราวหน้าอีกครั้ง พวกเขาก็จะยังคงพ่ายแพ้เช่นเดิมและแพ้อย่างอนาถกว่าเดิม”
“เจ้ากำลังทำผิดพลาดเช่นเดียวกัน เจ้าก็รู้อยู่ว่าอาไท่เป็นสัตว์ประหลาดในด้านการเรียนรู้ แต่กลับพยายามที่จะแข่งขันกับเขาในสิ่งที่เขาภาคภูมิใจที่สุด เช่นนั้นไม่เท่ากับหาเรื่องให้ตัวเองเป็นทุกข์หรือ เจ้าก็มีจุดเด่นของเจ้า จุดเด่นของเจ้าก็เป็นสิ่งที่อาไท่ไม่มีวันไล่ตามได้ทัน เอาจุดด้อยของตัวเองไปแข่งขันกับจุดเด่นของคนอื่นข้าว่าเจ้าเป็นหวงสู่ เจ้ายังคิดว่าข้าว่าร้ายเจ้าอีกหรือ”
หลี่เค่อไม่พูดอะไรอีก นอนแช่อยู่ในน้ำ เหลือเพียงศีรษะที่โผล่พ้นน้ำ ไม่รู้ว่าคิดอะไร อวิ๋นเยี่ยก็ไม่ได้อยากสนใจเสียหน่อย วัยรุ่นหากรู้จักเรียนรู้ที่จะคิดวิเคราะห์ได้ก็ถือว่าเป็นเรื่องดี
หวงสู่รู้อยู่แก่ใจว่ามีสามคนได้ยินบทสนทนา แต่ที่ทำให้เขาเสียใจคือมีเพียงสองคนเท่านั้นที่รู้ว่ากำลังคุยอะไรกัน
“ตอนนี้เจ้าใช้ชีวิตที่สำนักศึกษาเป็นอย่างไรบ้าง ยังคิดที่จะเป็นโจรปล้นสุสานอีกหรือไม่” อวิ๋นเยี่ยถามหวงสู่ที่นั่งอยู่ในแม่น้ำและกำลังวักน้ำใส่ร่างเขาอยู่
“ตอนนี้ข้าไม่มีความคิดเช่นนั้นแล้ว คราวนี้หากไม่เป็นเพราะเหล่าชนชั้นสูงไม่ถือโทษโกรธข้า ป่านนี้คงถูกตัดศีรษะไปแล้ว” หวงสู่ค่อนข้างรู้สึกไม่ดี
“อาชีพเจ้าในตอนนี้ไม่ควรทำ เพราะเรื่องการถูกจับได้และถูกประหารมันเป็นเรื่องของเวลาที่ว่าช้าหรือเร็ว เจ้าเองก็อายุไม่น้อยแล้ว ใช้โอกาสนี้ปีนออกจากบ่อโคลนสกปรกนั้นเสีย กลับเนื้อกลับตัวใหม่อย่าได้ทำตัวหลบๆ ซ่อนๆ ความสามารถของเจ้าถูกใช้ผิดทาง ตั้งใจทำงานในสำนักศึกษาให้ดี จะต้องได้มีโอกาสทำตัวให้เป็นประโยชน์อย่างแน่นอน”
“ข้าน้อยเข้าใจแล้ว วันนี้เป็นวันหยุดของข้าน้อย ตั้งใจว่าอาบน้ำเสร็จแล้วจะไปที่ตลาดซินเฟิงเพื่อเยี่ยมคนคนหนึ่ง”
“ผู้หญิงใช่ไหม ท่าทางเจ้าแบบนี้ก็มีคนรักหรือ ต้องรีบไขว่คว้าเอาไว้ ไปที่คอกม้าแล้วนำม้าไปตัวหนึ่ง รีบไปรีบกลับล่ะ” อวิ๋นเยี่ยเผลอเอ่ยปากจัดการให้ ตอนนี้เขาค่อนข้างวางใจในตัวหวงสู่ ตั้งแต่โบราณมา ผู้ที่ร่ำเรียนจนมีความรู้ทั้งบุ๋นและบู๊ต่างก็เข้ารับราชการกับทางการ นี่คือหลักการสากล ชื่อเสียงของหวงสู่เลวร้ายเกินไป สามารถรับไว้ในสำนักศึกษาที่มีราชนิกุลเป็นหุ้นส่วนด้วยได้ ก็ต้องถือว่าบรรพชนได้สั่งสมบุญมาดีมากแล้ว
ในเวลาใกล้เที่ยงวัน หวงสู่ควบม้าสีพุทราแดงอยู่บนถนน ชุดสีฟ้าครามแขนกระบอกที่สวมอยู่ถูกลมพัดปลิวเป็นระยะๆ ถึงแม้ว่าผู้ที่สวมจะหน้าตาน่าเกลียด แต่เมื่อสวมชุดของสำนักศึกษา กลับทำให้ดูดีมีราศีมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขณะที่ขี่ม้าสีพุทราแดง เพียงแค่มองก็รู้แล้วว่าเป็นม้าดีชั้นเลิศที่ไม่ใช่ว่าคนธรรมดาจะสามารถมีไว้ในครอบครอง
ความคิดถึงเป็นเวลานานเสมือนมีดเล็กๆ ที่กรีดหัวใจอันเร่าร้อนของเขาไม่ยอมหยุด ไม่เห็นชาวบ้านผู้ประสบภัยสองข้างทางที่ไปๆ มาๆ อยู่ในสายตา ตอนนี้ข้าเป็นคนที่มีฐานะอยู่กับเหล่าชนชั้นสูงตลอดเวลา จะให้ทำตัวเป็นคนพเนจรเหมือนแต่ก่อนมาคลุกคลีอยู่กับพวกเขาได้อย่างไรกัน
ความรู้สึกอันยอดเยี่ยมในจิตใจนี้ทำให้เขาร้อนอกร้อนใจ อยากเจอหญิงที่ขายเหล้าข้าวหมักนางนั้น
หวงสู่ขี่ม้าอย่างโอ่อ่าหรูหรามาถึงตลาดซินเฟิง ข้าหวงสู่ก็เพียงแค่ต้องการดื่มเหล้าข้าวหมักสักชาม เช่นนี้ยังไม่อยู่ในกำมืออย่างง่ายดายอีกหรือ
กิ่งก้านของต้นหลิ่วนั้นเยอะมากจนน่ารำคาญ ห้อยเป็นพวงระย้ากีดขวางการมองเห็น ม้าเองดูเหมือนจะเข้าใจจิตใจของเขา เร่งฝีเท้ามาตลอดทาง ในที่สุดก็มาถึงตลาดซินเฟิง
ที่ตลาดนั้นเงียบเหงากว่าเมื่อก่อนมาก เสียงตะโกนขายของเบาบางลง ร้านที่สามที่อยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่เมื่อมองไปแล้วไม่พบหญิงที่รูปร่างอวบอัดนางนั้น มีเพียงนกกระจอกไม่กี่ตัวที่หาอาหารกินอยู่บนพื้นดิน
“พ่อค้า แผงขายเหล้าหมักที่อยู่ตรงด้านนั้นไปไหนแล้ว” หวงสู่สอบถามเจ้าของร้านขายของชำที่อยู่ข้างๆ
“รับเคราะห์จากภัยพิบัติ อิงเหนียงเป็นเพียงหญิงหม้าย เมื่อสูญเสียร้านค้าไป นางจึงได้แต่ต้องพาลูกสาวนางไปที่บ้านมารดานาง ท่านเป็นสหายเก่าอิงเหนียงหรือ” เจ้าของร้านผมหงอกก็เป็นคนช่างพูดคนหนึ่ง
“ใช่ เมื่อก่อนข้ามาดื่มเหล้าที่นี่บ่อยๆ คิดไม่ถึงว่าวันนี้จะไม่มีแล้ว ผิดหวังจริงๆ ข้านั้นชอบดื่มเหล้าร้านนี้หากไม่ได้ดื่มแล้วมันรู้สึกกระวนกระวาย ตั้งใจอยากจะให้อิงเหนียงไปเป็นแม่ครัวที่บ้าน พ่อค้าคิดว่าอย่างไร” หวงสู่อยู่ในยุทธภพมานาน ย่อมรู้ว่าไม่ควรถามตรงๆ จึงได้แต่ต้องถามอย่างอ้อมค้อม สำหรับเรื่องที่จะให้อิงเหนียงเป็นภรรยาหรือแม่ครัวก็เป็นเรื่องส่วนตัวเขาแล้ว
“มีเรื่องดีเช่นนี้ด้วยหรือ บ้านมารดาของอิงเหนียงอยู่ตรงปากทางของตลาดนี้ ซึ่งก็ไม่ใช่ครอบครัวที่ร่ำรวย อะไร ท่านรอสักครู่ ข้าจะให้ลูกชายที่บ้านไปตามนางมา พวกนางแม่ลูกทั้งคู่กำลังจะอับจนหนทางอยู่แล้ว ต้องรับปากจะไปเป็นแม่ครัวที่บ้านท่านแน่” เจ้าของร้านพูดน้ำไหลไฟดับ จากนั้นตะโกนเรียกลูกชายตนให้ไปหาอิงเหนียง
ความสุขของหวงสู่แทบจะเป็นควันลอยออกจากกะโหลกศีรษะแล้ว เรื่องราวเป็นอย่างที่เขาคาดไว้จริงๆ ว่าอิงเหนียงเป็นหม้าย สำหรับเรื่องที่ว่ามีลูกติดหนึ่งคนนั้นไม่เรียกว่าเป็นปัญหาเสียด้วยซ้ำ เมื่อแต่งงานก็ได้เป็นพ่อคนในทันที มีอะไรไม่ดีกันเล่า เมื่อก่อนแม้แต่ฝันยังอยากได้ลูกผู้หญิงสักคนเลย เพียงแต่กลัวว่าหน้าตาของตัวเองจะมีผลร้ายกับเด็ก ตอนนี้อิงเหนียงมีลูกสาวคนนี้แล้ว สวรรค์เมตตาข้าแล้ว!
“นายท่าน นายท่าน” เจ้าของร้านเรียกอยู่สองครั้งจึงฉุดให้หวงสู่ตื่นจากความฝันได้
หลังจากเช็ดน้ำลายออก หวงสู่คาวระเจ้าของร้านอย่างนอบน้อม ทำให้เจ้าของร้านลนลานไปหมด
“เหตุใดนายท่านต้องมากพิธีเช่นนี้ด้วย” เจ้าของร้านรู้สึกแปลกใจมาก ไม่เคยเจอคนประหลาดเช่นเขามาก่อน
“ข้าคารวะขอขมาที่นี่ไม่ใช่เพื่ออะไรอื่น แต่เป็นเพราะข้าเพิ่งจะหลอกลวงผู้เฒ่า ข้าน้อยแซ่หวงชื่อสู่ ตอนนี้ทำงานให้กับสำนักศึกษาอวี้ซัน เงินเดือนเดือนละหนึ่งก้วน คงไม่สามารถพูดได้ว่าเป็นคนมีฐานะอะไรแต่เรื่องกินและอยู่ก็ไม่ได้ขาดแคลน ที่ผ่านมายังไม่เคยแต่งงาน เมื่อต้นปีของปีนี้มาถึงที่นี่โดยไม่ตั้งใจ เล่าอย่างไม่อายท่านผู้เฒ่า เมื่อได้พบอิงเหนียงก็ไปไหนไม่ถูกเสียแล้ว จึงหวังจะไปสู่ขอนาง คำพูดเมื่อครู่เพียงแค่หาข้ออ้าง โปรดยกโทษให้ข้าด้วย” ชั่วชีวิตนี้หวงสู่ก็ไม่เคยพูดด้วยกิริยาท่าสุภาพเช่นนี้มาก่อน เมื่อพูดออกมาจนหมดเปลือกแล้วก็ตื่นเต้นมากจนเหงื่อออกท่วมตัว
เจ้าของร้านเห็นหวงสู่เหงื่อออกท่วมตัวจึงหัวเราะฮ่าๆ อย่างหยุดไม่อยู่ไปชั่วครู่หนึ่ง หวงสู่จึงได้แต่หัวเราะเจื่อนๆ ด้วย ทำให้เป็นที่สนใจของผู้ที่ผ่านไปมาอยู่ครู่หนึ่ง
“เห็นเจ้าตั้งนานแล้ว เจ้ามาดื่มเหล้าข้าวหมักที่แผงลอยของอิงเหนียงหลายเดือนแล้ว ทุกครั้งก็ดื่มหลายชาม ทั้งยังนั่งสองชั่วยาม เจ้าลองถามพ่อค้าในตลาดนี้ดู มีใครบ้างที่ไม่รู้ว่าเจ้าสนใจอิงเหนียง เจ้าคิดว่าข้าจะเที่ยวบอกที่อยู่ของอิงเหนียงให้ใครต่อใครรู้หรือ เจ้าไม่ได้มาสองเดือนข้ายังเสียดายแทนอิงเหนียงเลย คิดว่าจะพลาดโอกาสที่จะได้คู่ครองที่ดีแล้ว ในเมื่อวันนี้เจ้ามาแล้วข้าก็อยากถามเจ้า ใครจะรู้ว่าเจ้าจะพูดออกมาด้วยตัวเอง ฮ่าๆๆ ข้าขำจนท้องแข็งแล้ว”
เมื่อเจ้าของร้านหัวเราะพอแล้ว ก็คิดว่าควรเล่าเรื่องนี้ให้เพื่อนบ้านฟัง เพื่อให้ทุกคนสนุกด้วยกัน ในปีที่เกิดภาวะข้าวยากหมากแพงนั้น หายากที่จะมีเรื่องที่มีความสุขสักเรื่อง ด้วยเหตุนี้จึงมีผู้คนมากมายกรูเข้ามารายล้อม ซึ่งมีลุงป้าน้าอาจำนวนไม่น้อย ทั้งยังมีบางคนที่เท้าไวรีบวิ่งไปที่บ้านพี่ชายของอิงเหนียงแล้ว
ยิ่งมีคนมากเท่าไรหวงสู่ยิ่งประหม่ามากเท่านั้น เหงื่อนั้นไหลไม่ยอมหยุดจนดูไม่จืดเลย รู้สึกว่าเพื่อนบ้านเหล่านี้ยังน่ากลัวกว่าปีศาจเสียอีก
คนนี้บอกว่าหวงสู่แต่งตัวเช่นนี้ก็ยังพอดูได้ คนนั้นบอกว่าม้านั้นสวยมาก แต่ไม่มีใครชื่นชมหน้าตาของหวงสู่เลยแม้แต่คนเดียว
“เจ้าจะไปรู้อะไร ชายที่ดีไร้ศรีภรรยา ชายทำตัวไร้ค่ากลับได้ภรรยาอ่อนหวาน นี่เป็นคำพูดโบราณคร่ำครึ ดูแล้วพี่หวงร่างกายแข็งแรง ทั้งยังสามารถดูแลครอบครัวได้ รายได้เดือนละหนึ่งก้วน ผียาจกอย่างพวกเจ้าเทียบกับเขาได้หรือ ทั้งยังทำงานอยู่ในสำนักศึกษา มีข้อเสียตรงไหนกัน ต่อไปภายหน้าไม่แน่ว่าลูกสาวของอิงเหนียงอาจได้แต่งงานกับสามีที่รู้หนังสือก็เป็นได้ ช่างวาสนาดียิ่งนัก ปากหอยปากปูอย่างพวกเจ้ามาพูดมากอะไรกัน สามีอิงเหนียงตายตั้งแต่อายุยังน้อยทั้งไม่มีพี่น้อง ลำบากเกือบจะหกปีแล้ว ตอนนี้พี่หวงไม่รังเกียจที่อิงเหนียงมีลูกติด จะแต่งงานกับนางอย่างออกหน้าออกตา เจ้าว่า นี่เป็นวาสนาของใคร ผู้ชายจำเป็นต้องพูดถึงเรื่องหน้าตาด้วยหรือ!”
เจ้าของร้านโกรธจนอาละวาด ระเบิดอารมณ์ใส่เหล่าเพื่อนบ้าน พูดจนทุกคนไม่มีอะไรจะพูดและเงียบลง
เมื่อได้ยินผู้เฒ่าพูดเช่นนี้แล้วหวงสู่ก็เห็นด้วยอยู่ในใจ เอวที่เพิ่งโค้งลงไปก็ยืดตรงขึ้น ใช่แล้ว ตอนนี้ข้าเป็นคนของสำนักศึกษาแล้ว จะก้มศีรษะไปทำไม ข้าไม่ใช่โจรปล้นสุสานเสียหน่อย คนที่เราทำงานรับใช้ในสำนักศึกษาล้วนแล้วแต่เป็นคนใหญ่คนโตทั้งสิ้น แม้แต่องค์ชายก็ยังได้เจออยู่ทุกวัน พวกผียากจกอย่างพวกเจ้าเหลวไหลอะไรกันอยู่ได้
เงินคือความกล้าหาญของมนุษย์ เขาคลำแผ่นเงินขนาดใหญ่สองสามอันที่อยู่ที่เอว จากนั้นหยิบถุงเงินออกจากอกเสื้อมอบให้กับเจ้าของร้าน
“ท่านช่างเป็นคนที่เข้าใจเหตุผลยิ่งนัก ในถุงนี้มีก้อนเงินอยู่และมีอีกห้าร้อยเหวิน ท่านช่วยจัดการหาซื้อของขวัญเพื่อให้ผู้เยาว์ได้นำไปสู่ขอนางด้วย”
เสียงตุบๆๆ เจ้าของร้านเทเงินในถุงเงินออกมา กองสีทองเหลืองอร่าม กลางกองเงินยังมีเศษก้อนเงินที่มูลค่าหนึ่งถึงสองก้วนอยู่ด้วย ซึ่งเงินเหล่านี้ทำให้เพื่อนบ้านที่ทำมาค้าขายเล็กๆ น้อยๆ บนถนนเส้นนี้ถึงกับพากันสูดหายใจเข้ากันอย่างตกตะลึง
ก่อนที่จะมาที่นี่ หวงสู่ได้นำเงินทั้งหมดที่อยู่ใต้ต้นกุ๋ยหลิ่วออกมา นี่เป็นเงินเล็กน้อยที่ได้มาจากการเป็นโจรปล้นสุสานมานานสิบกว่าปี ในตอนนั้นเพื่อความสะดวกในการพกพา จึงได้แลกเป็นก้อนเงินไว้ตั้งนานแล้ว ตอนนี้เพียงแค่ผ้าห่อและแบกไว้ก็เป็นอันใช้ได้แล้ว
เจ้าของร้านยังไม่ทันได้เก็บขึ้น มือเล็กๆ ที่มีรูเล็กๆ บนหลังฝ่ามือข้างหนึ่งก็ยื่นเข้ามา เพียงพริบตาก็กวาดเงินมารวมกันและใส่ไว้ในถุงเงินทั้งยังผูกปมอีก
อิงเหนียง! ใบหน้านางเต็มไปด้วยน้ำตา ปากก็พูดว่า “ข้ารอเจ้ามาหนึ่งเดือนกว่าแล้ว ไม่เห็นเจ้ามา เดิมยังคิดว่าเจ้าก็แค่นึกสนุกเพียงชั่วครู่ จึงได้มาเย้ยหยันคนที่อาภัพเช่นข้า เพราะว่าทนต่อไปไม่ไหวแล้วจริงๆ จึงได้เลิกขาย ไปพึ่งพิงอยู่ที่บ้านของพี่ชาย ทำไมเจ้าจึงเพิ่งมาเอาป่านนี้”
เมื่อเห็นอิงเหนียงร้องไห้ หวงสู่ก็รู้สึกปวดใจ ลนลานทำอะไรไม่ถูก สองมือถูกันพูดว่า “เจ้าก็น่าจะรู้ ข้ามีงานที่ต้องไปทำ คราวนี้ไปที่เขาหลานซัน เมื่อไปครั้งหนึ่งก็เป็นเวลาสองเดือน เมื่อกลับออกมาข้าก็รีบมาที่นี่ เจ้าอย่าได้ร้องไห้ ข้าจะรับเจ้าสองแม่ลูกไปที่เขาอวี้ซันเดี๋ยวนี้ ทุกคนในสำนักศึกษาเป็นคนดีทั้งนั้น คิดว่านางหนูเองก็น่าจะชอบเช่นกัน”
“แล้วเกวียนเทียมวัวเล่า” อิงเหนียงถาม
“ไม่มีเกวียนเทียมวัว ข้าขี่ม้ามา” หวงสู่ยังจับต้นชนปลายไม่ถูก
“เป็นผู้ชายที่ไม่มองการณ์ไกลเลย เจ้าขี่ม้า หรือว่าเราแม่ลูกขี่ม้าได้”
หวงสู่ได้ยินดังนี้ ดวงตาแดงก่ำ หยิบเงินสิบกว่าตำลึงออกมาแล้วยกขึ้นเหนือศีรษะ “ใครมีรถม้าขายให้ข้า!” การวางอำนาจแผ่กระจายออกมาอย่างชัดเจน
ยังไม่ทันได้ยินคำตอบ มือเล็กๆ อ้วนๆ ยื่นออกมาอีกแล้วแย่งแผ่นเงินไปจากมือของเขา ใส่ไว้ในอกเสื้อ จากนั้นลากหวงสู่ออกไปจากร้าน
ด้านนอกประตูมีเด็กผู้หญิงรูปร่างเล็กๆ ผอมๆ อายุประมาณแปดขวบนั่งอยู่บนกองสัมภาระ มองดูหวงสู่ด้วยอาการเขินอาย ทั้งชอบแต่ก็หวาดกลัว
หวงสู่วิ่งพุ่งกลับเข้าไปในร้านขายของชำ หอบของว่างมากมายในร้านใส่ลงในตะกร้า แล้ววิ่งไปหาเด็กหญิงตัวน้อยนั่งยองๆ ลงข้างๆ ก่อนจะส่งตะกร้าใส่แขนของเด็กหญิง เพื่อนบ้านยืนมองอิงเหนียงที่กำลังยุ่งวุ่นวายด้วยความอิจฉา มองสาวน้อยที่กำลังอ้าปากกินขนมที่แข็งเหมือนก้อนหิน หวงสู่นั่งอยู่ข้างๆ คอยป้อนเด็กหญิงดื่มน้ำเป็นระยะๆ…
หลังจากเลี้ยงเพื่อนบ้านทานอาหารมื้อใหญ่และได้รับคำอวยพรมากมายนับไม่ถ้วน ได้รับขนมเปี๊ยะข้าวเหนียวดำมาหลายตระกร้า จากนั้นมอบเงินให้พี่ชายอิเหนียงห้าก้วน ดวงอาทิตย์เพิ่งขึ้นอยู่กลางศีรษะพอดี
รถม้าวิ่งอย่างรวดเร็ว หวงสู่ฟาดแส้อย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง หยอกล้อซิ่วเหนียงซึ่งเป็นลูกสาวของเขาในตอนนี้ที่โผล่ศีรษะออกมานอกรถม้าเป็นครั้งคราว ทั้งยังถูกอิงเหนียงค้อนใส่ในขณะเดียวกัน ทุกอย่างเป็นไปด้วยดี สำหรับเรื่องที่ว่าเหตุการณ์ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในเวลาอันรวดเร็วเกินไปหน่อยหรือไม่นั้น ไม่ได้อยู่ในความคิดของหวงสู่เลยแม้แต่น้อยนิด
มาถึงเขาอวี้ซันแล้ว เมื่อได้ยินว่าหวงสู่พาครอบครัวมา ทุกคนต่างก็อยากรู้อยากเห็น บรรดาลูกศิษย์มองดูหวงสู่ที่ใจฝ่อในอดีตมาวันนี้กลับทรนงเย่อหยิ่ง ผู้ที่ชอบหาเรื่องตั้งใจอยากจะสั่งสอนเขาเสียหน่อย แต่เห็นแก่เด็กผู้หญิงตัวน้อยที่ท่าทางทั้งเขินทั้งหวาดกลัวแล้ว จึงยกโทษให้เขาเป็นการชั่วคราว
ผู้ดูแลที่นิสัยเสียโยนของที่ต้องใช้ในเรือนหอห่อใหญ่ให้กับเขา และถือโอกาสบอกเขาว่าด้านข้างสำนักศึกษามีลานเล็กๆ อยู่ เขาสามารถอยู่ได้ ทั้งยังบอกว่าโหวเหยียสั่งไว้โดยเฉพาะ
หวงสู่คุกเข่าลงบนพื้น โขกศีรษะอย่างแรง อิงเหนียงไม่เข้าใจ แต่แม้แต่ผู้ชายของนางยังทำเช่นนี้ จึงรีบคุกเข่าโขกศีรษะในทันที สายตาที่ดูถูกเหยียดหยามบนใบหน้าของผู้ดูแลค่อยๆ จางหายไปหลังจากที่หน้าผากของหวงสู่เริ่มมีรอยเลือด
เด็กหญิงตัวน้อยมองไปที่ห้องครัวแล้วน้ำลายไหล นางเห็นว่าเมื่อครู่มีคนถือเนื้อแดงจานใหญ่ที่ปรุงเสร็จออกมาจากในห้องนั้น ท่าทางน่าอร่อยมาก หวงสู่บอกเด็กน้อยว่าภายหน้าถ้าอยากกินให้หยิบแผ่นกระดาษที่อยู่ในกล่องนำไปแลก ขอเพียงมีแผ่นกระดาษแบบนี้ ก็จะสามารถไปรับหมูสามชั้นผัดรากบัวแสนอร่อยได้ ครั้นมองดูลูกสาวที่ถือจานค่อยๆ เดินกลับไปที่ห้องครัวทีละก้าวๆ อิงเหนียงถึงกับน้ำตาไหล…
เมื่อดวงจันทร์ลอยขึ้นเหนือท้องฟ้า เสียงกบร้องเป็นระยะๆ เด็กหญิงตัวน้อยนอนหลับอยู่ในห้องด้านนอกของหวงสู่แล้ว เมื่อมองไปที่หญิงรูปร่างอวบอัดแล้ว หวงสู่ก็อดใจรอไม่ไหวอีกต่อไป รีบเป่าเทียนให้ดับ พุ่งเข้าหาราวกับหมาป่าที่หิวโหยก็ไม่ปาน…
——
[1] คุนเผิง เป็นสัตว์ในตำนานที่บันทึกไว้ว่ารูปร่างใหญ่โตมาก คุน เป็นปลาขนาดใหญ่อาศัยอยู่ในแม่น้ำทางเหนือ สามารถแปลงร่างเป็นนกยักษ์หรือเผิงเพื่อบินลงสู่ทางใต้ได้
47 หมู่บ้านตระกูลอวิ๋นกำลังร่ำไห้
ดวงอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้าสาดส่องไปทั่วพื้นดิน อากาศดีอย่างหาได้ยาก ความเขียวชอุ่มพุ่มไสวปกคลุมเขาอวี้ซัน ไม่มีเมฆหมอกแม้แต่น้อย การออกกำลังกายยามเช้าในตอนเช้าจบลง นักเรียนของสำนักศึกษาหยิบชามข้าวไปกินในโรงอาหาร
เกือบทุกคนที่ยิ้มแย้มแจ่มใส แน่นอนว่ายกเว้นหลายๆ ท่านนี้
หลี่ไท่ขยี้ขอบตาที่ดำคล้ำพลางกินโจ๊กไปหนึ่งคำและหาว กัดซาลาเปาไม่กี่คำด้วยความหมดอาลัยตายอยากแล้วก็กลับไปที่ห้อง เมื่อคืนนี้เสียงดังมากเขาแทบจะไม่ได้หลับเลยตลอดคืน การออกกำลังกายยามเช้าที่ต้องตื่นเช้าก็จำเป็นต้องทำ ถึงแม้หลิวเซี่ยนจะเป็นคนรับใช้ของตระกูลเขา แต่เมื่ออยู่ที่นี่ก็เป็นผู้กำกับดูแลที่แท้จริงในมือมีอำนาจการลงโทษและให้รางวัลอย่างเต็มที่ หากอยู่ที่นี่แล้วเป็นฝ่ายเสียเปรียบต่อให้กลับไปหาเสด็จพ่อก็คงไม่มีทางได้เอาคืน
ผู้ที่เป็นเช่นเดียวกับเขายังมีต้วนเหมิ่ง เมิ่งโหย่วถงและอีกหลายคน ไม่ว่าพวกเขาจะทำอะไรก็อืดอาดยืดยาดไม่มีความกระตือรือร้นแม้แต่น้อย
หวงสู่มาที่โรงอาหารด้วยความกระชุ่มกระชวย เขาใช้ชามดินเผาขนาดใหญ่ใส่โจ๊กเต็มชามและใช้ผ้าห่อซาลาเปาสิบกว่าลูก เดินฮัมเพลงกลับบ้าน
เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นก็พบว่าพวกหลี่ไท่ ต้วนเหมิ่งและเมิ่งโหย่วถงยืนขวางทางอยู่ด้วยท่าทางอารมณ์เสีย
“วางโจ๊กไว้ตรงนั้นอย่าให้หกล่ะ” หลี่ไท่สั่ง
หวงสู่จึงวางโจ๊กไว้บนม้านั่งยาวที่อยู่ด้านข้างแต่โดยดีแล้ววางซาลาเปาลงด้วย จากนั้นจึงเข้ามาหาด้วยความระมัดระวัง
“นั่งยองๆ เอามือวางบนศีรษะ”
เมื่อทำตามคำสั่งของราชาปีศาจแล้ว รู้สึกเพียงว่ากำปั้นและเท้าลอยเข้าใส่ดั่งห่าพายุฝน หวงสู่ไม่กล้าที่จะต่อต้าน จึงได้แต่อดทนจนกว่าพวกเขาจะรู้สึกเบื่อหน่ายแล้วหยุดมือไปเอง
หลี่ไท่เป็นคนที่มีเหตุผลมาก ลงมือเสร็จแล้วจึงบอกสาเหตุว่า “รู้ไหมว่าทำไมจึงตีเจ้า”
หวงสู่ที่จมูกเลือดไหลอยู่ส่ายศีรษะเพื่อบอกว่าเขาไม่รู้
“ให้ดิ้นตายสิ เจ้าจัดงานให้เสียงเบาๆ หน่อยไม่ได้หรืออย่างไร พวกข้าหลายคนนอนไม่หลับเลย เพราะเจ้าพวกเราถึงได้ทรมานทั้งคืน พวกเราพี่น้องต้องเบิ่งตาจนถึงรุ่งสางเป็นเพื่อนเจ้า หากไม่เห็นแก่ที่ว่าเมื่อคืนนี้เป็นงานแต่งงานเจ้า ยังจะรอจนถึงป่านนี้จึงค่อยลงมือซ้อมเจ้าหรือ” ต้วนเหมิ่งตะโกนบอกอย่างชัดเจนด้วยเสียงที่ดังมาก ทำให้นักเรียนออกมาห้อมล้อมหัวเราะเสียงดังทั่วโรงอาหาร
หวงสู่แทบจะรีบเอาศีรษะมุดเข้าหว่างขาอยู่แล้ว เบียดฝูงชนออกมาหยิบอาหารแล้วรีบวิ่งหนีออกไปอย่างไม่เหลือร่องรอย
อิงเหนียงกำลังเก็บกวาดห้องและเช็ดข้าวของต่างๆ ในบ้านซ้ำแล้วซ้ำอีก จนกระทั่งไม่มีฝุ่นเกาะแม้แต่จุดเดียว เมื่อนึกถึงเรื่องเมื่อคืนนี้ก็อายจนหน้าแดง การคุมกำเนิดมาห้าปีนั้น เมื่อปลดปล่อยออกมาในคืนที่ผ่านมาถึงกับเร่าร้อนได้ถึงเพียงนี้
นางชอบสภาพแวดล้อมนี้ ทุกคนดูไปแล้วต่างก็เป็นสุภาพชน ไม่เหมือนปกติที่เจอแต่พวกที่พูดหยาบคาย ทุกคนยิ้มให้นาง ล้วนเป็นรอยยิ้มที่จริงใจและอบอุ่น สามีบอกนางว่าทุกคนที่นี่ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ที่มีความรู้ แม้แต่นักพรตซุนซือเหมี่ยวก็ยังพำนักอยู่ที่นี่ ที่นี่มีเพียงแต่เทพเจ้าเท่านั้นจึงจะสามารถมาอยู่ได้ใช่หรือไม่
หวงสู่วิ่งเข้ามาด้วยใบหน้าเปื้อนเลือด อิงเหนียงรีบรับกล่องอาหารแล้วถามเขาว่า “หกล้มหรือ หรือว่าถูกคนอื่นซ้อม”
หวงสู่ไม่พูดอะไร เพียงแต่ก้มหน้าลงในอ่างล้างคราบเลือดบนใบหน้าออก
อาการบาดเจ็บไม่หนัก หวงสู่รู้สึกได้ เพียงแค่โดนจมูกโดยไม่ตั้งใจจึงมีเลือดออก ขายหน้าจริงๆ เมื่อคืนตื่นเต้นมากไปหน่อย จึงลืมว่าที่นี่คือสำนักศึกษา ไม่ใช่หอนางโลมที่ตัวเองเที่ยวเตร่ได้โดยไม่ต้องกังวลอะไร
“พวกเราไปคุยกับเขาเถอะ แม้จะเป็นลูกชายของตระกูลใหญ่ก็ไม่ควรรังแกผู้อื่น” นิสัยของหญิงแดนกวนจงนั้นแข็งกร้าวมาก อิงเหนียงเองก็เช่นกัน
ดึงอิงเหนียงกำลังหัวเสียอย่างมาก กระซิบว่า “งานเมื่อคืนนี้พวกเราสองคนทำเสียงดังมาก ทำให้คุณชายห้องข้างๆ นอนไม่หลับตลอดคืน เช้านี้จึงได้มาระบายโทสะใส่ข้า ไม่เป็นไร เราเป็นฝ่ายผิด”
อิงเหนียงหน้าแดงระเรื่อในพริบตา แต่เพียงชั่วครู่ก็อาการกำเริบอีก “แม้ว่าพวกเราจะเป็นฝ่ายทำไม่ถูก พวกเขาก็ไม่ควรจะซ้อมเจ้า เจ้าดูสิ จมูกเป็นแผลแล้ว ข้าไม่เชื่อว่าพวกเขายิ่งใหญ่กว่านายอำเภอ บนโลกนี้ยังมีที่ที่ว่ากล่าวกันด้วยเหตุผลอีกหรือไม่”
หวงสู่ทั้งรู้สึกซาบซึ้งทั้งรู้สึกขำ จึงดึงอิงเหนียงไปที่หน้าต่าง แล้วชี้ไปที่อวิ๋นเยี่ยซึ่งเดินเล่นอยู่ด้านนอกแล้วบอกว่า “ท่านนั้นคือโหวเหยีย” จากนั้นชี้ไปที่หลี่ไท่ที่เพิ่งซ้อมเขาแล้วบอกว่า “คนที่ซ้อมข้าก็คือท่านนั้น บิดาเขาไม่ได้เป็นหัวหน้าหมู่บ้าน แต่เป็นฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน…”
อวิ๋นเยี่ยมีอาการเซื่องซึมเล็กน้อย ชื่อเสียงของสำนักศึกษานั้นโด่งดังขึ้นเรื่อยๆ เวลาเพียงครึ่งปี สำนักศึกษามีนักศึกษามากถึงหนึ่งร้อยสามสิบกว่าคน เกือบทุกวันจะมีนักเรียนใหม่เข้าเรียน อาจารย์นั้นไม่เพียงพอ เขาไม่ต้องการรับเพิ่มเติมอย่างขอไปที หากทำเช่นนี้จะได้ใช้ที่ไหนกัน
แต่เดิมได้เจรจาไว้แล้ว รับลงทะเบียนปีละหนึ่งครั้ง ตอนนี้เป็นอย่างไรเล่า แต่ละคนถือจดหมายมาหาอวิ๋นเยี่ย ก็ได้ จั่งซุนอู๋จี้บอกว่าลูกชายของเขาไปสนามรบ สำนักศึกษาจำเป็นจะต้องอนุญาตให้ลูกหลานคนอื่นของตระกูลจั่งซุนหนึ่งคนเข้าเรียนถึงจะถูก
ข้อนี้ปฏิเสธได้ยาก อย่างไรเสียก็ต้องไว้หน้าของจั่งซุนชงบ้าง ด้วยเหตุนี้จั่งซุนเวินจึงได้มาที่สำนักศึกษา
ฝางเสวียนหลิงสั่งให้คนส่งเงินหนึ่งพันก้วนมาให้ โดยบอกว่าเป็นเงินที่ได้มาขณะที่ขออาศัยอวิ๋นโหวเดินทางมาด้วยเมื่อครั้งที่แล้ว นำมาใช้เพื่อการศึกษาจะดีกว่า แสดงให้เห็นถึงความใจกว้างของเสนาบดีท่านหนึ่งที่ห่วงใยประเทศและประชาชน เพียงแต่ว่าลูกตัวเล็กที่บ้านวันหนึ่งๆ ทำตัวสำมะเลเทเมาก็ทำให้เขาสุดจะทนแล้ว ถ้าหากว่า…
เอาเถอะ ความทุกข์ใจของเสนาบดีก็ควรต้องช่วยแบ่งเบาด้วย ด้วยเหตุนี้ฝางอี๋อ้ายจึงได้มาที่สำนักศึกษา เมื่อมองดูฝางอี๋อ้ายที่อายุเพียงสิบขวบที่อยู่ตรงหน้า อวิ๋นเยี่ยจึงได้แต่ทอดถอนใจจนด้วยคำพูด
ถ้าสองท่านนั้นอวิ๋นเยี่ยยังไม่สามารถปฏิเสธได้ แล้วเหล่าเหลียงซึ่งเป็นพี่น้องในกองทัพอู่เว่ยฝ่ายซ้ายซึ่งเขียนรายงานทางทหารเพื่อขอกลับจากแนวหน้าโดยเฉพาะ เพื่อพาลูกๆ ของเพื่อนร่วมกองทัพอีกเจ็ดถึงแปดคนมานั่งคุกเข่าอยู่หน้าจวนอวิ๋น ร้องขออวิ๋นโหวให้เห็นแก่ที่เป็นพี่น้องร่วมรบด้วยกัน ให้โอกาสเด็กๆ ที่ไม่เป็นโล้ไม่เป็นพายของที่บ้านได้สร้างเนื้อสร้างตัว เช่นนี้แล้วจะให้อวิ๋นเยี่ยปฏิเสธได้อย่างไร
ลูกผู้ชายอกสามศอกร้องไห้จนทำให้รู้สึกปวดใจ ช่างเถอะ! โบกมือให้แม่บ้านส่งเด็กๆ ไปที่สำนักศึกษา จากนั้นพาเหล่าเหลียงเข้าไปนั่งในบ้านแล้วถือโอกาสถามถึงสถานการณ์ทางการทหาร
เมื่อเอ่ยปากไปแล้วจะกลับคำก็จะกลายเป็นเรื่องน่าขันไป อวิ๋นเยี่ยทำการขานชื่อ เมื่อเริ่มเดือนใหม่เขาจึงพบว่าสำนักศึกษามีนักเรียนเกือบจะสองร้อยคนแล้ว
แล้วจะให้ฉันไปหาอาจารย์ที่มีความรู้ดี มีคุณธรรมสูงและถวายหัวในการสอนนักเรียนได้จากไหน
“จ่ายข้าสามพันก้วนแล้วจะหาอาจารย์ให้เจ้าห้าสิบคน” หลี่กังเคี้ยวแตงกวาที่เพิ่งส่งเข้ามาใหม่ ปากก็เคี้ยวเสียงดังกร๊วบๆ พลางใช้แตงกวาครึ่งท่อนชี้ไปที่อักษรขนาดใหญ่ประโยคนี้บนกระดานดำ กิริยาท่าทางเหมือนกับอวิ๋นเยี่ยมาก อีกทั้งท่าทีก็ยังดูดีอีกด้วย
สิ่งที่สำนักศึกษาไม่ขาดแคลนเลยก็คือเงิน ถ้านักเรียนใหม่ไม่จ่ายเงินหลักร้อยหรือหลักพันก้วนมีหรือจะกล้าเดินอยู่ในสำนักศึกษา ยกเว้นผียาจกของกองทัพอู่เว่ยฝ่ายซ้าย
ง่ายมาก ใบเบิกเงินสามพันก้วนก็ลอยขึ้นมาอยู่ต่อหน้าของหลี่กัง จากนั้นประสานมือและอวิ๋นเยี่ยก็จากไป สำหรับจะหาอย่างไร จะหาคนประเภทไหน หลี่กังรู้ดีกว่าตัวเขามากนัก
ตาเฒ่าตอนนี้ยิ่งอยู่ยิ่งดูอายุอ่อนวัยลงเรื่อยๆ คาดว่าจะให้อยู่อีกสิบปีก็ไม่มีปัญหา เพียงแต่นิสัยนับวันยิ่งประหลาดขึ้นเรื่อยๆ เปลี่ยนแปลงไปในทิศทางของนิสัยเด็ก เริ่มแรกก็งอแงว่าเขาต้องการคฤหาสน์ ต่อมาก็งอแงจะเอาเฟอร์นิเจอร์ ตอนนี้ถึงกับเอ่ยปากต้องการเงินแล้ว แต่ก็ตามใจเขา ขอเพียงแค่มีชีวิตอยู่ดีมีสุขเพื่อช่วยฉันดูแลสำนักศึกษาไว้ก็ไม่เป็นปัญหาอะไร
รู้ว่าตาเฒ่ากลัว เขากลัวว่าอวิ๋นเยี่ยจะใช้เงินในมือไปทำสิ่งที่เขาไม่รู้เรื่อง ครั้งก่อนที่เขาได้ดูภาพแบบแปลนของสำนักศึกษาก็ทำเขาตกใจกลัวไปแล้ว เขากลัวว่าสำนักศึกษาจะเกิดข้อพิพาทกับทางการขึ้น ฐานะของเด็กที่ทยอยมาเข้าเรียน ถ้าหากไม่ใช่เพราะมีเงาของเหล่าอาจารย์อย่างพวกเขาอยู่เบื้องหลังนี่สิจึงจะเป็นเรื่องแปลก ยอมที่จะเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงเดือดร้อนด้วย แต่ไม่ว่าอย่างไรก็จะใช้นักเรียนมาสร้างข้อจำกัดให้อวิ๋นเยี่ยให้ได้ ช่างมุมานะบากบั่นเสียจริง!
แบ่งชั้นเรียน! เด็กทุกคนที่เพิ่งเข้ามายังสำนักศึกษาให้จัดเป็นชั้นเรียนปีที่หนึ่ง จากนั้นให้ใช้การทดสอบแล้วแบ่งนักเรียนในสำนักศึกษาออกเป็นสามระดับชั้น โดยระดับสูงจะมีนักเรียนเพียงสิบสี่คน วิชาวิทยาศาสตร์ของยุคปัจจุบัน เช่น ฟิสิกส์ คณิตศาสตร์ เรขาคณิต ฯลฯ จะถ่ายทอดให้เพียงสิบสี่คนนี้เท่านั้น โดยที่สิบสี่คนนี้จะต้องหมุนเวียนกันไป สอนศาสตร์การคำนวณพื้นฐานให้กับนักเรียนระดับชั้นที่ต่ำกว่าด้วย
ด้วยเหตุนี้หลี่กังจึงพบว่า ในขณะที่พวกเขากำลังยุ่งอยู่นั้น อวิ๋นเยี่ยกลับยิ่งสุขสบายมากขึ้น
ในปีแห่งความอดอยาก แต่ละคนเริ่มรู้สึกไม่ปลอดภัย ในแดนกวนจงที่กว้างใหญ่เริ่มมีผู้ลี้ภัยเกิดขึ้น พวกเขาละทิ้งบ้านและที่ดินแห่กรูกันเข้าเมือง หวังว่าจะพอหาอะไรประทังชีวิตได้ ในเวลานี้เหล่าเกษตรกรไม่มีเสบียงอาหารสำรองให้พอเพียงต่อการกินมากกว่าสองปี การเก็บเกี่ยวที่รอคอยกลับถูกตั๊กแตนเต็มท้องฟ้าทำลายจนหมดสิ้น เมื่อที่นาไร้ซึ่งผลผลิตย่อมต้องไม่มีอาหารเลี้ยงปากท้อง ชาวบ้านผู้ประสบภัยที่ไม่อยากนั่งรอความตายจึงฉวยโอกาสที่ครอบครัวยังพอมีเสบียงอยู่เล็กน้อย ทยอยย้ายถิ่นฐานไปยังหมู่บ้านอื่น
สิ่งที่แปลกคือไม่มีใครไปทางใต้ แม้ว่าแดนกวนจงจะประสบภัยไปทั่วทุกหัวระแหง พวกเขาก็เดินอย่างไร้จุดหมายวนเวียนอยู่ในกวนจงไม่ไปที่อื่น
ตอนนี้มีคนจำนวนมากในหมู่บ้านตระกูลอวิ๋น อุตสาหกรรมตั๊กแตนดึงดูดแรงงานว่างงานจำนวนมาก ไม่เพียงแต่ไม่พบคนว่างงานในหมู่บ้านตัวเอง แม้แต่ชาวบ้านหมู่บ้านข้างๆ ก็เข้ามาของานทำ สำหรับตระกูลอวิ๋นแล้วไม่มีปฏิเสธผู้มาเยือน ขอเพียงมาทำงาน บ้างก็จ่ายเป็นเงิน บ้างก็จ่ายเป็นเสบียงอาหาร ไม่ปริปากอะไรเลย กองถุงใส่ตั๊กแตนป่นนับวันก็ยิ่งกองสูงขึ้นเรื่อยๆ
ภัยพิบัติตั๊กแตนผ่านไปและครอบครัวก็กลับคืนสู่สภาพเดิม ข้าวสาลีในที่นาก็เก็บเกี่ยวไปแล้ว ไม่ผิดไปจากที่คาดไว้ มีเพียงหกส่วนเท่านั้น แต่เพียงเท่านี้ชาวบ้านก็มีความสุขเฉลิมฉลองกันเป็นเวลาหลายวัน
พวกเขานำเสบียงหนึ่งส่วนมาเพื่อจ่ายค่าเช่าที่ซึ่งผิดปกติ อวิ๋นเยี่ยจำได้ว่าเขาพูดว่าปีนี้ประสบภัยพิบัติไม่ต้องจ่ายค่าเช่า ซึ่งนี่ก็เป็นความประสงค์ของราชสำนักเช่นกัน การกลับบ้านวันนี้ก็เพื่อจัดการกับเรื่องนี้
คนเหล่านี้ไม่ยอมพูดอะไรเลย อาหารที่ที่บ้านเตรียมไว้ให้ก็ไม่กิน เพียงแค่รอที่ประตูหลังเตรียมที่จะจ่ายค่าเช่าที่ เมื่อเห็นอวิ๋นเยี่ยเดินมา ท่านตาซึ่งปีนี้อายุเก้าสิบปีที่แม้แต่พูดยังพูดไม่เป็นคำเลยมีคนช่วยพยุงลงจากเกวียนเทียมวัว เพียงแต่ด้วยอายุที่มากเพียงนี้ อวิ๋นเยี่ยจึงต้อนรับด้วยฐานะผู้อาวุโสคนหนึ่ง ด้วยอายุของเขาแม้เข้าเฝ้าฮ่องเต้ก็ไม่จำเป็นต้องถวายการคำนับ
พยายามฟังอยู่เป็นเวลานานจึงได้รู้ว่า ชาวบ้านคิดว่าภัยพิบัติในปีนี้ทุกคนต่างก็โชคร้าย ตระกูลอวิ๋นเองก็เช่นกัน ที่นาสามารถเก็บเกี่ยวได้เพียงหกส่วนเท่านั้น ก็ควรต้องมีส่วนของตระกูลอวิ๋นหนึ่งส่วน นี่คือเหตุผล
เหตุผลที่ง่ายมาก แม้ว่าจะดูถูกคนโง่เหล่านี้จากหัวใจ แต่น้ำตากลับไหลริน นี่คือการที่เจ้าของที่วางกับดักทำร้ายชาวนาที่ไหนกัน นี่คือชาวนาวางกับดักทำร้ายเจ้าของที่ต่างหาก สวรรค์! หลี่ซื่อหมินได้ประหารเจ้าของที่ที่เก็บเช่าที่ในปีที่เกิดภัยพิบัติไปแล้วเจ็ดถึงแปดคน นี่หวังว่าจะให้ฉันโดนประหารหรือ หากเป็นเจ้าของที่และกระทำถึงขั้นนี้ ฟ้าดินคงต้องลงโทษแน่
เจ้าของที่โดยทั่วไป หากไม่แย่งของที่ตัวเองสนใจก็ฉวยโอกาสขายในราคาต่ำในปีที่เกิดภัยพิบัติ สรุปแล้วพอใจทำเช่นไรก็ทำเช่นนั้น เมื่อมาถึงฉันมีโอกาสเป็นเจ้าของที่ การเก็บค่าเช่าที่กลับมีความเสี่ยงโดนโทษประหาร
เมื่ออวิ๋นเยี่ยร้องไห้ ชาวบ้านก็ร้องไห้ตามด้วย ซุนซือเหมี่ยวที่เดินผ่านมาก็หัวเราะจนน้ำตาไหล ท่านย่าร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวร
อวิ๋นเยี่ยหยิบอาหารที่ตระกูลอวิ๋นเตรียมไว้ขึ้นมา ฉีกขนมเปี๊ยะชิ้นโตแล้วก็กัดหนึ่งคำ พูดเสียงดังว่า “กินสิ นี่เป็นธรรมเนียม เมื่อมาจ่ายค่าเช่าที่ถึงถิ่น พวกเจ้าทำหน้าที่ของตัวเองอย่างดีที่สุด เช่นนั้นก็ควรจะให้ตระกูลอวิ๋นได้ทำหน้าที่ของตัวเองด้วย เริ่มทานอาหาร” หลังจากพูดจบก็ส่งขนมเปี๊ยะที่เหลืออีกครึ่งหนึ่งส่งให้กับผู้เฒ่า ผู้เฒ่าอ้าปากที่ไร้ฟันออกแรงกัดขนมเปี๊ยะ แม้กัดไม่ขาดก็ยังไม่ปล่อย พูดเสียงอื้ออึงในลำคอว่ามันเป็นขนมเปี๊ยะที่อร่อยที่สุดในชีวิตที่เคยกินมา
ชาวบ้านรีบแห่กรูกันเข้าไปกินขนมเปี๊ยะ แม้แต่คนรับใช้ตระกูลอวิ๋นก็แย่งกับพวกเขาด้วย เฉียนทงเช็ดน้ำตาจนแห้งและรวบรวมกำลังไว้ที่จุดตันเถียนตะโกนเสียงดังว่า “เก็บค่าเช่า!” ด้วยเสียงที่ลากยาว…
48 ร้อนระอุ
อวิ๋นเยี่ยเก็บตัวอยู่ในสวนหลังบ้านเพื่อดูข้าวโพดทั้งห้าต้นของเขา แต่ละต้นนั้นสูงใหญ่และแข็งแรง รากสีม่วงที่อยู่เหนือพื้นดินแข็งแรง มีกำลังเกาะพื้นดินดีมาก ทั้งสองข้างเริ่มมีเมล็ดข้าวโพดงอกออกมาแล้ว เขาจำได้ว่าข้าวโพดแต่ละต้นควรผูกไม้ค้ำไว้จะดีกว่า แต่ก็ไม่แน่ใจอีก จึงได้แต่ต้องปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ
เขาเขย่าก้านของต้นข้าวโพด ละอองเรณูของดอกข้าวโพดที่อยู่ตรงยอดก็ร่วงหล่นลงมามากมาย ข้าวโพดเป็นพืชที่มีดอกแยกเพศอยู่ร่วมต้น การผสมเกสรนั้นจึงสะดวกมาก แม้ว่าจะดูค่อนข้างวิปริตไปบ้าง แต่อวิ๋นเยี่ยก็ชอบ หากไม่คำนึงถึงผลของการแต่งงานของเชื้อสายที่ใกล้ชิดกัน มนุษย์เราก็น่าจะเป็นเช่นนี้ สะดวกสบายมากเลย จะไปมัวมองหาภรรยาหรือสามีทำไมกัน ตัวเองลองอุ้มท้องโตให้กำเนิดเด็กหญิงและเด็กชายก็แลดูเป็นเรื่องที่ดีอยู่ไม่น้อย
สู่ขอฝ่ายหญิงต้องเสียเงิน ลูกสาวแต่งงานต้องเสียเงิน สรุปแล้วคือไม่คุ้มค่าอย่างแท้จริง คราวก่อนที่ได้เจอหลี่อันหลานจนตกหลุมรักเข้า ผลก็คือเกือบจะถูกนำไปเลี้ยงสุนัข ถึงตอนนี้ความโกรธก็ยังไม่จางหายไป
เมื่อเทียบกันแล้ว หวงสู่น่าอิจฉามาก ภรรยาที่อวบๆ ขาวๆ ได้ยินว่าตั้งแต่สู่ขอจนถึงเข้าห้องหอใช้เวลาเพียงครึ่งวัน เป็นหญิงที่ขยันหมั่นเพียร ดูแลบ้านช่องอย่างสะอาด ทั้งยังมีหัวการค้าอีกโดยไปตั้งแผงขายเหล้าข้าวหมักอยู่หน้าประตูสำนักศึกษา มนุษยสัมพันธ์ดีมาก ภาชนะสะอาดหมดจดเพราะล้วนแล้วแต่นำไปต้มในน้ำร้อน เหล้าข้าวหมักก็อร่อยกลิ่นหอมเย้ายวน
ในตอนนี้ได้เห็นข้อเสียของการมีฐานะที่สูงส่งแล้ว เมื่อมองดูอวี้ฉือต้าส่าพาหั่วจู้สองพี่น้องนั่งดื่มเหล้าหมักคนละชามๆ หลี่ไท่และหลี่เค่อสองพี่น้องได้แต่กลืนน้ำลายเท่านั้น หลิวเซี่ยนปฏิเสธอย่างเด็ดขาดที่จะให้สองพี่น้องดื่มเหล้าหมักนั้น หากต้องการดื่มก็ให้พ่อครัวในครัวทำให้
“ข้าไม่ต้องการกินของเหลือ ไม่ต้องการกินของเหลืออีกต่อไป ทุกครั้งที่ให้ซาลาเปามาล้วนแล้วแต่ถูกกัดแล้ว โจ๊กที่ให้ก็เป็นของที่คนอื่นกินแล้ว ข้าเป็นท่านอ๋องไม่ใช่สุนัขที่กินของเหลือ คราวหน้าใครก็ตามที่กล้าให้ซาลาเปาที่กัดแล้วให้ข้า ข้าจะกัดคนนั้น”
คราวนี้แย่แล้ว หลี่ไท่ที่มีโรครักสะอาดอารมณ์ขึ้นเสียแล้ว หลายวันนี้ เด็กคนนี้ไม่มีเวลาไหนที่อารมณ์ดีเลย วันห้ามไม่ให้เขาดื่มเหล้าข้าวหมักเท่ากับเป็นการจุดชนวนระเบิดอารมณ์ของเขาอย่างแท้จริง คำพูดที่ไม่ผ่านการกลั่นกรอง ไม่เห็นหรือว่าหลี่ไท่ที่อยู่ด้านข้างหน้านิ่วคิ้วขมวดแล้ว ซาลาเปาของเขาก็ถูกคนอื่นกัดมาก่อน ทั้งยังถูกแบะออกเพื่อลองชิมไส้ด้วย
“พี่สาม คำพูดนี้มันสะเทือนถูกหลายคน แม้ว่าข้าก็เกลียดที่จะกินอาหารเหลือ อย่างน้อยก็น่าจะบอกว่าเราสองพี่น้องเป็นมังกรที่ต้องกินของเหลือเช่นนี้ข้าไม่มีความเห็น แต่อย่าบอกว่าเป็นสุนัขได้ไหม”
นับตั้งแต่ที่อวิ๋นเยี่ยให้คนขุดพื้นที่ด้านข้างเมืองหรงโจวอย่างพลิกแผ่นดินแล้ว จนสามารถรวบรวมซากฟอสซิลได้เต็มคันรถและเพิ่งมาถึงเมื่อวานนี้ เมื่อเห็นโครงกระดูกขนาดใหญ่ อวิ๋นเยี่ยบอกว่ามันเป็นกระดูกมังกร กระดูกมังกรที่เปลี่ยนรูป ก็อย่างที่พูดกัน ลูกมังกรทุกตัวใช่ว่าจะเหมือนกันทั้งหมด นี่คือโครงกระดูกของมังกร พอเข้าไปยืนอยู่ในปากของกะโหลกศีรษะ หลี่ไท่รู้สึกว่าการที่ราชวงศ์ใช้มังกรเป็นสัญลักษณ์ของกษัตริย์เป็นการกระทำที่ชาญฉลาด
เมื่อดูที่ปากอันใหญ่นี้แล้ว การจะกลืนวัวทั้งตัวก็ไม่เป็นปัญหา ตั้งแต่นั้นหลี่ไท่ก็เล่นอ้าปากและหุบปากของมังกรเสมือนหนึ่งว่าเขาก็คือมังกรตัวนั้นที่สามารถกลืนวัวได้ทั้งตัว
สิ่งที่มาพร้อมกับโครงกระดูกยังมีจดหมายกล่าวโทษของจั่งซุนอีกหนึ่งฉบับด้วย บอกว่าอวิ๋นเยี่ยอยู่ดีไม่ว่าดี หลอกล่อให้เจ้าหน้าที่ของเมืองหรงโจวต้องสิ้นเปลืองเงินหลวงขุดสิ่งที่ไร้ประโยชน์ ในเมื่อชอบพวกโครงกระดูกเช่นนั้นก็ขอมอบให้เจ้า และถือโอกาสคิดค่าใช้จ่ายในการขุดโครงกระดูกเสียด้วยเลย ทั้งหมดสองพันก้วน!
แต่ไหนแต่ไรมาเมื่ออยู่ต่อหน้าอวิ๋นเยี่ย จั่งซุนไม่เคยแสดงท่าทีของฮองเฮาผู้เมตตาอย่างที่เล่าขานกันในตำนานเลย แต่จะเป็นเจ้าโหดร้ายเพียงใดก็จะทำเช่นนั้นกลับ เรื่องเล็กเท่าหัวเข็มก็จะต้องป่าวประกาศไปให้ทั่ว พูดตำหนิติติงโยงไกลไปถึงเรื่องคุณธรรมและการประพฤติตัว
ก็แค่โครงกระดูกไดโนเสาร์ไม่ใช่หรือ รัฐบาลในยุคปัจจุบันยังขุดกระดูกทั้งหมดที่มีในเมืองจื้อก้งออกมาเลย แล้วสร้างอาคารเพื่อเก็บรักษาไว้ ทั้งยังให้คนมาเยี่ยมชม สามารถเก็บค่าบัตรผ่านประตูได้ไม่น้อย เรื่องน่ายินดีเช่นนี้ เหตุใดเมื่ออยู่ในยุคนี้แล้วจึงไม่เป็นที่สนใจอะไรเลย
อย่างที่กล่าวกัน ลูกมังกรทุกตัวใช่ว่าจะเหมือนกันทั้งหมด เหตุใดท่านยังชอบตอกย้ำข้อเสียคนอื่นด้วย มังกรก็เพียงแค่หน้าตาน่าเกลียดไปหน่อยเท่านั้นเองไม่ใช่หรือ แต่มันก็มีขอดีนะ เจ้าดูฟันสองซี่นั่น ใหญ่เพียงไหน ยาวหนึ่งฟุตเห็นจะได้ หากเป็นสิ่งมีชีวิตทั่วไปจะมีฟันที่ใหญ่มากเช่นนี้หรือ เป็นได้แต่เพียงมังกรเท่านั้นและจะต้องเป็นมังกรด้วย มิฉะนั้นเจ้าหน้าที่ของหรงโจวจะโชคร้ายอย่างที่สุด ห้ามวางแผนให้ร้ายเพื่อนไม่ใช่หรือ สองพันก้วนน่ะหรือ เรื่องเล็ก สิ่งที่ข้ามีมากที่สุดก็คือเงิน เหรียญทองแดงกองไว้ได้หลายห้องแล้ว ก็ไม่รู้ว่ามันมาจากไหน กล่าวก็คือมักเห็นท่านย่าพาอาหญิงและป้าสะใภ้เอาเงินเข้าไปสะสมไว้ในนั้น สิ่งที่นางโปรดปรานที่สุดคือการนั่งหัวเราะดั่งคนบ้าบนกองเงิน เงินไม่ได้มีไว้สำหรับกองเก็บ แต่มีไว้ให้ใช้ ไม่เช่นนั้นมันก็คือกองเศษทองแดง
จอมล้างผลาญก็คือการกระทำเช่นอวิ๋นเยี่ย ใช้เงินสองพันก้วนเพื่อซื้อโครงกระดูก จากนั้นก็จะสร้างบ้านในบริเวณที่ราบทั้งหมดบนเขาอวี้ซัน คนอื่นสร้างด้วยไม้อวิ๋นเยี่ยสร้างด้วยก้อนหิน ช่างหินในบริเวณสิบลี้ได้ถูกรวบรวมไว้ที่เขาอวี้ซันหมดแล้ว เสียงก๊องแก๊งดังต่อเนื่องไม่มีหยุด คนเร่ร่อนเมื่อมาถึงหลานเถียน ไม่ต้องเอ่ยปาก ก็จะมีเจ้าหน้าที่ของทางการนำพวกเขามาที่เขาอวี้ซัน จากนั้นให้พวกเขาปลูกกระท่อมที่เรียบง่ายอยู่และมอบเสบียงของทางการให้ก็เป็นอันเสร็จสิ้น สมบูรณ์ตามธรรมชาติ บางครั้งก็มีผู้ดูแลที่รีบเร่งหาคนมาขอรับสมัคร ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิงก็ล้วนแล้วแต่ต้องการทั้งหมด ถึงแม้เป็นเด็กอายุสิบเอ็ดสิบสองขวบก็สามารถถือค้อนทุบหินได้
เกษตรกรในหมู่บ้านล้วนแต่ตาแดงก่ำ ไม่เคยเห็นคนจำนวนมากที่มาเอารัดเอาเปรียบเจ้าของที่ของพวกเขา ที่บ้านนอกจากคนชราแล้ว ยังต้องเลี้ยงหมู เลี้ยงไก่และเป็ด ปรับหน้าดินของที่บ้านอย่างจริงจังด้วยคันไถใหม่ไปรอบหนึ่งแล้วและทิ้งให้ตากแดดไว้ จากนั้นพวกเขาต่างก็รีบไปช่วยงานสร้างบ้านกันหมด
หลี่เค่อยุ่งมาก ยุ่งมากๆ ไม่มีแม้แต่เวลามาดื่มน้ำ ดังนั้นจึงไม่มีเวลาที่จะโวยวายด้วย อวิ๋นเยี่ยบอกเขาว่าเรื่องของการสร้างบ้านคือการสอบปลายภาคของเขา มีวิธีการใดที่จะลดค่าใช้จ่ายให้เหลือน้อยที่สุด ต้องทำอย่างไรที่จะสามารถสร้างบ้านให้ได้ดีแต่ใช้วัสดุให้น้อยที่สุด ถ้าหากหนึ่งในสองข้อนี้เกิดข้อผิดพลาด เขาจะได้คะแนนเป็นศูนย์ อวิ๋นเยี่ยบอกว่าเขาจะนำเหล็กมาทำเป็นเลขศูนย์แขวนบนคอของเขาแล้วเดินไปทั่วถนน
เด็กอายุสิบสองปีที่แก่ก่อนวัย เมื่อได้รับคำสั่งนี้ก็ถึงกับเข่าอ่อนแล้ว เมื่อคิดถึงผลอันเลวร้ายที่จะตามมาจึงนำทหารองครักษ์สิบกว่าคนรีบกลับฉางอันโดยไม่มีหยุดพัก เปิดประตูพระราชวังและไปคร่ำครวญให้บิดาฟังและขอให้บิดาช่วยเขาด้วย เขาไม่อยากแขวนเลขศูนย์เดินไปตามถนน
บิดาเขาไม่พูดปลอบโยนอะไรทั้งนั้น หลังจากครุ่นคิดเป็นเวลานานก็หัวเราะร่าขึ้นในทันใด เพียงแค่มอบเจ้าหน้าที่สองสามคนของกรมโยธาให้แก่เขา สุดท้ายก็ตบไหล่ลูกชายและบอกว่าถ้าเขาได้คะแนนเป็นศูนย์และต้องเดินบนถนนจริงจะพาหยางเฟยไปดูด้วย ซึ่งคำพูดประโยคนี้ทำให้หลี่เค่อรู้สึกเสียวสันหลัง เหงื่อไหลเต็มแผ่นหลัง
ตอนที่จากไปมีตัวเองเพียงลำพัง เมื่อกลับมากลายเป็นคนกลุ่มใหญ่ พระสนมหยางเฟยกลัวว่าลูกชายจะต้องเดินบนถนน จึงได้เชิญขุนนางเก่าในสมัยราชวงศ์สุยหลายคนมาช่วยเหลือลูกชาย
อวิ๋นเยี่ยนั้นเป็นคนวาดภาพแบบแปลน ซึ่งเป็นเพียงภาพโครงภายนอกเท่านั้น ด้านในไม่มีอะไร เจ้าหน้าที่กรมโยธาโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ชี้นิ้วด่าเทวดาฟ้าดิน บอกว่าให้ใช้หินเพื่อสร้างบ้าน ช่างเป็นเรื่องที่น่าขันที่สุดในใต้หล้า ใครจะสามารถเคลื่อนหินที่หนักสองพันจินขึ้นไปได้สูงถึงหนึ่งจั้งกัน ทั้งยังต้องการให้เสร็จสิ้นภายในสามเดือน นี่มันแกล้งกันชัดๆ สามปีก็สร้างไม่เสร็จ เลขศูนย์ของท่านอ๋องนั้นถูกกำหนดไว้แน่นอนแล้ว
หลี่เค่อยิ้มเจื่อนๆ แล้วพาพวกเขาไปที่สถานที่ก่อสร้าง หลี่ไท่ยืนยืดอกท่ามกลางเหล่าขุนนางกรมโยธาที่ตกตะลึงจนอ้าปากค้าง ใช้รอกพวงดึงก้อนหินขนาดใหญ่ขึ้น ดูเหมือนไม่มีอะไรยาก ด้านข้างมีคนช่วยเปลี่ยนทิศทางของแขนบูม จากนั้นวางก้อนหินลงบนเสาได้อย่างง่ายดาย ซึ่งแขนบูมประเภทนี้ยังมีอีกมากมาย อาคารแต่ละหลังจะมีหนึ่งตัว เคลื่อนตัวทำงานหนักไม่มีหยุดพัก
เจ้าหน้าที่ของกรมโยธาแทบจะลงไปคุกเข่า ขอภาพแบบแปลนและแขนบูมเพื่อนำกลับไปศึกษา จึงถูกหลี่ไท่ด่าชุดใหญ่และบอกว่านี่เป็นหัวข้อการสอบปลายภาคของเขา หากเจ้าเอามันไปแล้วจะปล่อยให้ข้าเอาเลขศูนย์แขวนคอหรืออย่างไร ถ้าให้เสด็จพ่อทอดพระเนตรเข้าจะไม่ฆ่าข้าหรือ
หลี่กังเองก็ยุ่งมาก จดหมายหลายสิบฉบับต้องนำไปฝากที่จุดพักรับส่งสาส์นให้กระจายไปทั่วทุกทิศทาง แลดูมีวัตถุประสงค์ที่ฝากสายลมช่วยบอกกล่าวเพื่อรวบรวมสมัครพรรคพวก
เมืองจิ้นหยางที่อยู่ห่างไกล มีบัณฑิตสูงวัยสองคนกำลังเล่นหมากรุกในยามว่าง เจ้าวางหนึ่งครั้งข้าวางหนึ่งครั้งวางหมากกันอย่างสนุกสนาน ข้างๆ มีเด็กรับใช้คอยรินเหล้าให้ทั้งสองท่าน เมื่อเหล้าอุ่นๆ ถูกส่งลงท้องและสูดลมหายใจเข้า ช่างรู้สึกปลอดโปร่งโดยแท้
“พี่เหวินเจี๋ย จดหมายของอาจารย์หลี่เชื่อว่าท่านคงได้อ่านแล้ว มีความเห็นอย่างไร” บัณฑิตเสื้อขาวถามชายวัยกลางคนในชุดสีน้ำเงิน
“ในเมื่ออาจารย์หลี่เรียกตัว แน่นอนย่อมต้องไป พวกเราปล่อยเวลาให้ล่วงเลยอยากเปล่าประโยชน์มานานแล้ว เพียงชั่วพริบตาก็ย่างเข้าวัยห้าสิบปีแล้ว จะเหลือเวลาให้ปล่อยผ่านเลยได้อีกนานเท่าไหร่ ครั้งนี้ก็ตั้งใจจะมากล่าวลากับน้องจินจู๋ เหลือเวลาอีกสามวันข้าก็จะออกเดินทางไปยังเขาอวี้ซัน
“ข้าเองก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน อาจารย์หลี่บรรยายในจดหมายประหนึ่งว่าเขาอวี้ซันเป็นดั่งถ้ำฟ้าแดนสวรรค์ มีหรือที่จะมีเหตุผลให้ปฏิเสธว่าไม่ไป จะว่าไปแล้ว อาจารย์ถึงกับเตรียมที่พักและบ้านให้อย่างพร้อมสรรพ บอกว่าเพียงแค่เก็บสัมภาระมาก็สามารถเข้าอยู่ได้เลย เรื่องเล็กๆ น้อยๆ เกี่ยวกับการเข้าอยู่ไม่ต้องใส่ใจ จะมีผู้อื่นคอยดูแลจัดสรรให้ ข้าอยากรู้มากว่าโหวเยี๋ยวัยเยาว์ผู้นั้นไปเอาความสามารถเช่นเถาจูกงมาจากไหนกัน จ่ายเงินพันก้วนโดยไม่กระพริบตา หากไม่ใช่ว่าอาจารย์หลี่เป็นผู้พูดแต่เป็นผู้อื่นพูดเช่นนี้ ข้าคงต้องคิดว่าเหลวไหลไร้สาระทั้งเพ”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ สามวันให้หลังพวกเราเดินทางไปด้วยกันเป็นเช่นไร”
“วิเศษมาก”
การสนทนาเช่นนี้ไม่เพียงแต่เกิดขึ้นที่จิ้นหยางเท่านั้น แต่ยังเกิดขึ้นเช่นเดียวกันที่ฉูโจว ฉู่โจวและหยางโจวที่อยู่ไกลโพ้นที่สุดด้วย
ในขณะที่อวิ๋นเยี่ยกำลังบ้าคลั่งอยู่กับการสร้างอาคารด้วยการก่อหิน ก็มีนักบวชรูปหนึ่งที่บ้าคลั่งยิ่งกว่า เขาต้องการให้ใช้เหล็กในการสร้างอาคาร อีกทั้งยังตั้งชื่อให้เสร็จเรียบร้อยว่า วัดเถียหว่าซื่อ เพียงช่วงเวลาไม่นานก็เป็นที่โด่งดังไปทั่วหล้า ไม่รู้ว่าไต้ซือท่านนี้ใช้มาตรการใดจึงสามารถป้องกันการเกิดสนิมได้ อวิ๋นเยี่ยตัดสินใจว่าหากมีโอกาสจะไปขอพบเพื่อไต่ถาม
เมื่อเห็นเงินในบ้านถูกหาบออกไปเป็นตะกร้าๆ หัวใจของท่านย่าเหมือนโดนมีดกรีด มื้อเย็นกินข้าวน้อยลงไปครึ่งชาม พูดลากเสียงยาวว่า “แก่แล้ว ต้องเหลือข้าวไว้ครึ่งชาม เผื่อกินยามหิวตอนดึก”
อาหญิงก้มหน้าแอบหัวเราะ เมื่อตะเกียบหนึ่งข้างลอยมากระแทกกลางหน้าผากจึงได้เงียบลง
“ท่านย่า เงินนั้นมีไว้ให้ใช้ หากท่านไม่ใช้มันก็จะกลายเป็นกองเศษทองแดง ทั้งยังเปลืองพื้นที่อีก มีเพียงเงินที่ถูกใช้ออกไปจึงจะเป็นเงิน ท่านลองคิดดูว่า บ้านเราใช้เงินไปหนึ่งหมื่นก้วน นั่นหมายความว่าเหล่าผู้ประสบภัยเขาได้กำไรเงินหนึ่งหมื่นก้วนนี้ไป พวกเขาจะนำมาซื้อเสบียงอาหาร จากนั้นเงินก็จะไปอยู่ในมือครอบครัวที่มีฐานะ เมื่อพวกเราขายน้ำหอมให้กับครอบครัวที่มีฐานะและขายของจิปาถะให้พวกเขาด้วย เช่นนี้แล้วเงินก็จะกลับมาอยู่ในคลังบ้านเราอีกไม่ใช่หรือ จากจุดนี้มีส่วนใดเพิ่มขึ้นมา มีสำนักศึกษาขนาดใหญ่ที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์เกิดขึ้น ประเทศมีภาษีมากขึ้น ผู้ประสบภัยมีเสบียงอาหารมากขึ้น ครอบครัวที่มีฐานะมีน้ำหอมใช้ ทุกคนได้รับในสิ่งที่เขาต้องการและพวกเราเองก็ไม่ได้เสียหายอะไร ทั้งยังได้สำนักศึกษาเพิ่มขึ้นอีกแห่งด้วย เมื่อมีสำนักศึกษาแห่งนี้ ท่านต้องการให้ตระกูลอวิ๋นสืบทอดชื่อเสียงไปอีกกี่รุ่นก็ย่อมได้ นี่คือรากเหง้าของตระกูลเรา ไม่ใช่เศษเหรียญทองแดงที่ไร้ประโยชน์เหล่านั้น พรุ่งนี้หลานจะไปฉางอัน หาเหรียญทองแดงจำนวนมากกลับมาให้ท่านเติมให้บ้าน กองเงินให้เต็มเตียงนอนท่าน เช่นนี้ท่านชอบหรือไม่”
ท่านย่ารู้สึกค่อนข้างกระดากใจ
“ท่านเป็นย่าที่ดีที่สุดในใต้หล้า หลานทำเช่นนี้ย่อมต้องมีเหตุผลของตัวเอง สิ่งของที่เรียกว่าเงินนี้ ตอนเกิดไม่ได้นำมา ตอนตายไม่ได้นำกลับไป เมื่อมองดูผู้ประสบภัยที่มีอยู่ทั่วทุกแห่งหน ท่านเองก็คงไม่ชอบกระมัง ปกติท่านสอนข้าว่าสะสมบุญดีกว่าการสะสมเงิน เหตุใดเมื่อมาถึงจุดนี้จึงเป็นทุกข์” อวิ๋นเยี่ยยิ้มถามท่านย่า ต้องแก้ปมในใจของนาง เพราะนางมักคิดแต่จะเก็บเงิน เพราะนี่คือการขูดรีดภาษี มหาเศรษฐีแห่งใต้หล้า คำเรียกนี้นอกจากราชวงศ์แล้วไม่มีใครสามารถใช้ได้ หากใครใช้ นั่นหมายถึงชีวิต
49 ซินเย่ว์
ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่ที่บ้านดูเหมือนว่าจะมีคนเพิ่มขึ้นสองคน ขณะที่ออกไปข้างนอกในตอนเช้ามักจะพบกับซินเย่ว์ที่ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มอยู่เสมอ ในตะกร้าไม้ไผ่ของเสี่ยวชิวมักจะมีขนมถั่วเขียวที่อวิ๋นเยี่ยชอบมากใส่อยู่เสมอ รีบร้อนคารวะทักทายและต่างคนต่างไป ก็ดูเหมือนจะไม่มีอะไรที่ไม่เหมาะไม่ควร
ขณะกินข้าวเที่ยง พ่อครัวตระกูลอวิ๋นจะมาส่งอาหารตรงเวลาเสมอ ในเวลานี้ก็เป็นช่วงเวลาสำคัญที่อวิ๋นเยี่ยกับเหล่าอาจารย์จะได้พูดคุยกัน หลังจากที่ไม่ใส่ใจในคำสอนโบราณที่ว่าต้องไม่พูดคุยระหว่างทานอาหาร อาจารย์รู้สึกว่าปริมาณอาหารที่ตัวเองกินนั้นเพิ่มขึ้น
เมื่อกินอาหารเสร็จและเตรียมที่จะพูดคุยสัพเพเหระ ก็มีหญิงสวมชุดสีเขียวคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้น รินชาหอมที่ชงได้กำลังดีให้พวกเขา ได้รับคำชื่นชมเป็นเสียงเดียวกันจากทุกคน จากนั้นยกมือปิดหน้าและถอยออกไป
ในลานแห่งนี้ไม่มีใครดื่มน้ำแกงมันๆ อีกแล้ว ซึ่งนี่ทำให้จ้าวเหยียนหลิงเจ็บปวดอย่างมาก เฉพาะเวลาที่เขาอยู่เพียงคนเดียวเท่านั้น จึงค่อยต้มชาดื่มเพื่อลิ้มรสชั้นเลิศของชาที่อยู่ในปาก
ซินเย่ว์เล่นโยนลูกบอลอยู่กับเสี่ยวยาอยู่ที่ลานด้านหน้าด้วยความสนุกสนานทั้งคู่
ซินเย่ว์กับอาหญิงกำลังคุยเรื่องการทำขนมกันอยู่ในครัว ทักษะการทำขนมของจวนอวิ๋นนั้นพัฒนาอย่างรวดเร็ว
ซินเย่ว์นั่งตัดเย็บเสื้อผ้ากับป้าสะใภ้อยู่ในสวน ทั้งยังแลกเปลี่ยนความเห็นเป็นครั้งคราว ด้วยเหตุนี้อวิ๋นเยี่ยจึงมีเสื้อนอกลายปักสู่ซิ่วหนึ่งชุดซึ่งสะดุดตามาก
ซินเย่ว์พูดคุยกับท่านย่าอยู่ในเรือนหลัง ไม่รู้ว่าพูดอะไรกัน ทำให้ท่านย่าหัวเราะเสียงดังเป็นระยะๆ พวกวนางแลดูเหมือนจะเข้ากันได้ดีมาก
จนกระทั่งวันหนึ่งอวิ๋นเยี่ยพบว่าชาในห้องหมดแล้ว จึงตะโกนเรียกอี้เหนียงให้นำน้ำร้อนมาเปลี่ยน คนที่เปิดมู่ลี่เข้ามากลับกลายเป็นซินเย่ว์ที่ใบหน้าแดงระเรื่อด้วยอาการเขินอาย เปลี่ยนน้ำชาให้อวิ๋นเยี่ยที่ยังคงตกตะลึงเสร็จแล้วจึงกลับออกไป หลังมู่ลี่ไม้ไผ่ยังมองเห็นแผ่นหลังอันงดงามที่เดินผ่านลานไปได้รางๆ คลอเคล้าไปกับเสียงหัวเราะของอี้เหนียง
อวิ๋นเยี่ยไม่แปลกใจที่ซินเย่ว์รุกเข้าหาผ่านทางบรรดาผู้หญิงในบ้าน เพียงแต่แปลกใจที่นางสามารถรุกได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้ เห็นทีว่าคุณภาพของผู้หญิงที่บ้านจะต้องได้รับการปรับปรุงเสียแล้ว อาหญิงที่ยากแก่การเข้าหา ป้าสะใภ้ที่ไม่ค่อยมีเหตุผล ความละเอียดรอบคอบของท่านย่าหายไปไหนกันหมด
เมื่อวานยังเห็นนางอยู่กับเสี่ยวตงด้วย แกว่งชิงช้ายิ่งแกว่งยิ่งคึกคัก สุดท้าย เสี่ยวตงแอบไปขุดขนมที่ฝังในพื้นออกมาให้ซินเย่ว์กิน สามารถหลอกเสี่ยวตงให้นำอาหารที่ซ่อนมามอบให้นางช่วยเก็บรักษาได้ เพียงแค่จุดนี้ อวิ๋นเยี่ยก็รู้สึกว่าจวนอวิ๋นถูกเงามืดขนาดใหญ่ปกคลุม ซึ่งเงามืดนั้นก็เหมือนซินเย่ว์มาก
โต๊ะอาหารนั้นนั่งไม่ได้เลย ผู้หญิงในบ้านพากันห้อมล้อมซินเย่ว์ คนนี้คีบเนื้อไก่ให้ คนนั้นตักน้ำแกงให้ ปล่อยให้อวิ๋นเยี่ยที่ปกติจะเป็นผู้ที่ได้เสพสุขเช่นนี้โมโหโกรธาเป็นอย่างมาก ชามข้าวนั้นว่างเปล่าเป็นเวลานานไม่มีใครใส่ใจ เสี่ยวยายังนำกระดูกไก่ใส่ในชามอวิ๋นเยี่ยและบอกว่าเคี้ยวไม่ได้ พี่ชายช่วยกินหน่อย เขาจึงวางชามและตะเกียบไว้บนโต๊ะอาหาร โหวเหยียอย่างเขายืนกรานว่าจะไม่กินอาหารที่คนอื่นไม่กินแล้วส่งมา จึงตั้งใจจะไปที่ห้องครัวเพื่อหาอะไรบางอย่างกินรองท้อง คิดไม่ถึงว่าห้องครัวจะคึกคักมากเช่นนี้ มีคนรับใช้และสาวใช้อยู่เต็มไปหมด
เสี่ยวชิวนั่งกินข้าวอยู่กับพวกสาวใช้ คนหนึ่งถือชามขนาดใหญ่ซึ่งใหญ่กว่าศีรษะเสียอีก ตักข้าวจนเต็มชาม กับข้าวด้านบนเป็นเนินสูงเหมือนยอดเขา ก้มหน้าก้มตากินอย่างเอร็ดอร่อยด้วยท่าทีที่ไม่สนใจคนรอบข้าง อิสระกว่าการอยู่ที่บ้านของนางอีก
ห้ามขายหน้าคนอื่นเด็ดขาด นวดท้องที่ยังไม่อิ่มวิ่งโซซัดโซเซออกไปยังลานด้านนอกดูสภาอเนจอนาถ
เหล่าผู้อาวุโสไม่มีอะไรทำจึงตากลมเย็นอยู่ใต้ต้นไม้ แต่ละคนสวมเสื้อและกางเกงขาสั้น สวมรองเท้าแตะที่เป็นพื้นไม้ นั่งไขว่ห้างอยู่บนเก้าอี้โยก ในมือก็โบกพัด วางกาน้ำชาเล็กๆ ไว้บนม้านั่งเตี้ยๆ หากคุยมากจนคอแห้งก็ยกปากของกาน้ำชาใส่ปากดื่มหนึ่งคำ ถ้าหากร้องบทงิ้วจีนอีกสักสองประโยค อวิ๋นเยี่ยคงคิดว่าเขาอยู่ที่ปักกิ่ง
“อายุยังน้อยอยู่ อย่าได้มารวมตัวขลุกอยู่กับชายชราเลย ไปหาเรื่องสนุกทำเถอะ” ยังไม่ทันได้เดินไปถึงด้านหน้าก็ถูกพวกเขาไล่เหมือนกับไล่สุนัขแล้ว
อวิ๋นเยี่ยจึงมาหาซุนซือเหมี่ยว โดยบอกว่าผู้อาวุโสยังไม่ได้รับปากว่าจะพักอยู่ที่นี่ จึงฉวยโอกาสที่ยังว่างอยู่ไปหาเขาเพื่อพูดคุย ดูว่าจะสามารถรั้งให้นักพรตชราพักอยู่ที่นี่ได้หรือไม่
จึงตามแสงแดดสุดท้ายที่พยายามส่องผ่านเข้าไปที่ห้องของเหล่าซุน ภายในห้องนั้นกลิ่นยาฉุนมาก จนทำให้ปวดตา เพิ่งจะเข้าไปก็ต้องวิ่งออกมา ไม่รู้ว่าเหล่าซุนกำลังทำอะไรอยู่ ผ่านไปชั่วครู่หนึ่งหั่วจู้เองก็วิ่งออกมาด้วยน้ำตานองหน้าดูแล้วน่าสงสารมาก หลังจากรออยู่เป็นนานจึงเห็นเหล่าซุนเดินออกมาอย่างเอื่อยเฉื่อยปากก็บ่นพึมพำว่า “ล้มเหลวอีกแล้ว”
“นักพรตกำลังทำอะไร ทำไมจึงดูเอิกเกริกเช่นนี้” อวิ๋นเยี่ยถามด้วยความสงสัย ดูเหมือนว่าตอนนี้เขาก็ไม่ค่อยเข้าใจสภาพของลานบ้านแห่งนี้เสียเท่าไร หลายๆ คนดูแปลกประหลาดไป เช่น เหล่าซุนที่เที่ยวค้นหายาสมุนไพรทุกชนิด เพื่อจะสกัดยาไป๋เย่าที่เหมือนของอวิ๋นเยี่ยให้ได้ ตามที่เขาบอกก็เกือบจะประสบความสำเร็จแล้ว
ส่วนอาจารย์หลีสือขอเพียงมีเวลาว่าง เขาก็จะไปเดินวนเวียนอยู่ที่โครงกระดูกนั้นเพื่อศึกษาอย่างละเอียด ห้ามถาม หากใครก็ตามที่ถามก็จะหงุดหงิดใส่คนนั้น มีนักเรียนมารายงานว่าอาจารย์หลีสือกำลังแอบขโมยกินกระดูกมังกร และยังแอบวาดโครงกระดูกเวลาไม่มีคนอยู่อีกต่างๆ นานา ราวกับจะมรรคผลแล้ว
อาจารย์หยวนจางได้ถามคำถามเหมือนกับไม่ได้เจตนามากมายหลายครั้งเกี่ยวกับเรื่องไป๋อวี้จิง ทั้งยังรู้สึกอายที่จะถามว่าเขาจะมีโอกาสไปที่นั่นหรือไม่
อวี้ฉือต้าส่าได้ขุดเนินดินที่อยู่ข้างหน้าเพียงลำพังจนไม่เหลือสภาพเดิม โดยบอกว่าจะสร้างคูน้ำรอบเมืองเพื่อใช้ในการวางแผนกองกำลังทหารและเตรียมพร้อมที่จะต่อสู้กับต้วนเหมิ่งให้ตายกันไปข้างหนึ่งที่นี่
ตอนนี้หลี่ไท่ชอบที่จะนำผ้าผูกไว้กับก้อนหินแล้วโยนมันขึ้นไปบนฟ้า มองไปที่ชายผ้าทั้งสี่ด้านที่ทำให้ก้อนหินค่อยๆ หล่นลงพื้น โดยเริ่มต้นด้วยหินก้อนเล็กๆ แล้วค่อยๆ กลายเป็นก้อนหินหนักหนึ่งจิน สองจิน ห้าจิน เมื่อวานนี้เห็นองครักษ์ของเขาแบกหินก้อนโตหนักหนึ่งร้อยสิบจินปีนขึ้นชะง่อนผาด้วยความยากลำบาก…
เหล่าซุนไม่ได้ยินสิ่งที่อวิ๋นเยี่ยถาม หรือจะบอกว่าเขาไม่อยากจะสนใจอวิ๋นเยี่ย รีบเดินจ้ำอ้าวกลับเข้าไปในห้อง
นี่เป็นเวรกรรมอะไรกัน!
ไม่มีใครสนใจก็ช่าง อวิ๋นเยี่ยจึงกลับไปที่ห้องครัวบังคับให้แม่ครัวนำเนื้อแพะที่ดีที่สุดให้เขา วางหม้อเล็กๆ ไว้บนเตาดินเผาสีอิฐแดงที่ไว้ใช้ต้มชา เตรียมตัวจะทำเนื้อแพะหม้อไฟ เต้าหู้ ผักใบเขียวและเห็ดป่าอีกจำนวนหนึ่ง ไม่ชวนใครทั้งสิ้นกินเพียงลำพัง วันนี้ฉันอารมณ์เสียมาก ตนไม่เชื่อว่าจะกินเนื้อแพะห้าจินไม่หมด
มีเหล้าองุ่นหมักซ่อนอยู่ใต้เตียงหรือจะบอกว่าขโมยมาจากบ้านของหลี่เซี่ยวกง กาเหล้าทองเหลืองใส่เหล้าไว้เต็มกา วางแช่ในน้ำที่ตักขึ้นมาจากบ่อ อีกครู่หนึ่งจะได้ดื่มอย่างอร่อย
เขาไม่ชอบกินเนื้อแพะหม้อไฟน้ำใส เช่นนั้นก็กินน้ำพริกเผา แม่ครัวส่งเนื้อแพะที่หั่นเป็นชิ้นบางๆ มาให้ ต้นหอมซอย ผักสีเขียวสดดูแล้วชวนน่ารับประทาน เต้าหู้ขาวหั่นเป็นเส้นยาวๆ กระเทียม ซอส เตรียมไว้พร้อมหมดแล้ว อวิ๋นเยี่ยตั้งใจจะปลอบใจตัวเองให้เต็มที่สักหน่อย
มักมีเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นเสมอ ขณะที่อวิ๋นเยี่ยกำลังจะอ้าปากนั้น หลี่เค่อก็ผลักประตูเดินเข้ามาด้วยความโมโหแล้วตะโกนเสียงดังว่า “แย่แล้ว แย่แล้ว” สีหน้าดูตื่นเต้นลนลาน
ในพริบตากลับพบหม้อไฟจึงลืมความเศร้าในทันที หยิบตะเกียบเงินคู่หนึ่งออกมาจากอกเสื้อแล้วจุ่มลงในหม้อควานหาชิ้นเนื้ออย่างไม่เกรงใจ
“เกิดอะไรขึ้น เจ้าจึงได้ร้อนใจเช่นนี้” อวิ๋นเยี่ยกังวลว่าจะเกิดเหตุ อย่างไรเสียพวกเครื่องจักรก่อสร้างเบื้องต้นเหล่านั้นไม่ปลอดภัยเท่าไรนัก
“ไม่มีอิฐแล้ว มันคืบหน้าเร็วเกินไป อิฐนำมาไม่ทันใช้ ซีเมนต์ที่เจ้าเผาก็ใกล้จะหมดแล้ว พวกเราก่อหินเสร็จหมดแล้ว ขาดก็แต่อิฐและซีเมนต์ที่อยู่ในเตาเผา ซีเมนต์นั้นยังพอว่าเพราะทุบเป็นผงให้ละเอียดก็ใช้ได้ แต่ก้อนอิฐนั้นจนหนทาง ไม่เกินสามวันคงต้องหยุดทำงาน” กินเนื้อแพะไปสองคำ หลี่เค่อโดนลวกปากจนต้องแลบลิ้นออกมา สูดหายใจพลางพูดอย่างคนติดอ่าง แต่สายตากลับไม่ละออกจากเนื้อแพะที่กำลังเดือดลอยในหม้อ
เตาเผาอิฐของตระกูลอวิ๋น นับตั้งแต่ครั้งที่แล้วที่แรงงานเผาหินที่ไม่สะเพร่าเผาได้หินหลิวหลีออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจจนได้รับรางวัลจากเจ้าของบ้านแล้ว เรื่องนี้ก็โด่งดังไปทั่วทั้งโรงงานเตาเผา ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาก็มักเผาสิ่งแปลกประหลาดบางอย่างออกมาอยู่เรื่อยๆ ชั้นวางของโบราณในห้องอวิ๋นเยี่ยเต็มไปด้วยหินที่รูปร่างพิลึกพิลั่น มีหินชนิดหนึ่งที่ถูกเผาจนไหม้ เมื่อทุบจนละเอียดแล้วผสมน้ำในชั่วข้ามคืนมันก็แข็งตัว อวิ๋นเยี่ยรู้ว่าสิ่งนี้คงจะเป็นซีเมนต์แน่เลย จึงทดลองอีกครั้งหลายร้อยครั้งก่อนที่จะจับจุดได้ ตอนนี้กำลังเผาเป็นจำนวนมาก กระบวนการต่อไปมีความซับซ้อน ต้องทุบหินก้อนใหญ่แล้วทุบให้เป็นละเอียด จากนั้นนำไปใส่แท่นโม่หินบดให้เป็นผงจึงจะใช้ได้ ซึ่งความมั่นใจของอวิ๋นเยี่ยในการสร้างบ้านด้วยหินก็มาจากจุดนี้
เมื่อรอจนอวิ๋นเยี่ยได้สติกลับมา เขาพบว่าหลี่เค่อกินจนนั่งไม่ลงแล้ว และกำลังคลายสายรัดเอวออก ส่วนเนื้อแพะบนโต๊ะเล็กๆ หายไปมากกว่าครึ่ง ผักสดและเต้าหู้ก็หายไปเกินครึ่ง ตอนนี้ที่กำลังนั่งเกาะโต๊ะก้มหน้าก้มตากินคือหลี่ไท่
“เมื่อครู่เห็นอวิ๋นโหวกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่ ข้าเห็นเสี่ยวไท่ยังไม่ได้กินอาหารเย็นจึงเรียกเขามากินอาหารอร่อยด้วยกัน นี่สิจึงจะเป็นการกินข้าว ในที่สุดข้าก็ได้กินอาหารจริงๆ สักมื้อไม่ใช่ของเหลือ” หลี่เค่อไม่ยี่หระต่อแววตาของอวิ๋นเยี่ยที่กำลังพ่นไฟอยู่ อธิบายอย่างไม่ร้อนรน
หลี่ไท่ที่กำลังควานหาเนื้อแพะอยู่ก็ยกนิ้วหัวแม่มือให้ ชื่นชมความใจกว้างของพี่สามที่ไม่เห็นแก่ตัว
ช่างเถอะ วันนี้ไม่ใช่วันดีที่จะกินอาหาร รอให้หลี่ไท่ทำลายเนื้อแพะชิ้นสุดท้ายจนหมด ทั้งสามจึงออกจากห้อง ลมเย็นในยามเย็นได้พัดผ่านและพัดความหงุดหงิดสุดท้ายของอวิ๋นเยี่ยไป ยืนอยู่บนที่สูง แม่น้ำตงหยางที่อยู่ใต้ฝ่าเท้า ระลอกคลื่นสีเขียวใส อาคารสามชั้นสิบกว่าหลังตั้งตระหง่านอยู่ริมสองฝั่งน้ำ ถึงแม้จะมีแต่โครงสร้าง แต่ก็ดูเป็นรูปเป็นร่างมาก ทำให้ผู้คนอดชื่นชมไม่ได้ สถานที่ก่อสร้างที่มีเสียงดังอึกทึกในที่สุดเงียบลง กลุ่มกระท่อมที่อยู่ในภูเขามีควันไฟลอยคลุ้งขึ้น ซึ่งเป็นเหล่าคนงานที่กำลังทำอาหาร คิดว่าพวกเขาที่ทำงานหนักเป็นเวลาหนึ่งวัน ในตอนนี้ต่างก็ถือชามข้าว ในใจบางทีอาจลืมเรื่องภัยพิบัติที่น่ากลัวนั้นชั่วคราว
“เสี่ยวเยี่ย อยู่มาจนป่านนี้ นี่คือสิ่งที่มีประโยชน์ที่สุดที่ข้าเคยทำมา ห้องพัก ห้องโถง ห้องประเภทต่างๆ ที่สวยงามค่อยๆ เป็นรูปเป็นร่างขึ้นจากมือของข้า เจ้าไม่รู้ว่าข้ามีความสุขเพียงไหน ข้าถึงกับต้องรู้ว่าบ้านแต่ละหลังจำเป็นต้องใช้วัสดุอะไรบ้าง ทั้งยังสามารถประมาณการได้ว่าบ้านแต่ละหลังจะแล้วเสร็จเมื่อไหร่ มีเพียงข้าที่รู้ว่าบ้านเหล่านี้หลังสร้างเสร็จแล้วจะใหญ่โตโอ่อ่างดงามเพียงใด เราตกลงกันแล้วว่าเจ้าต้องเหลือไว้ให้ข้าหนึ่งหลัง ฤดูใบไม้ร่วงของเขาอวี้ซันนั้นสวยงามที่สุด ถึงตอนนั้นข้าจะพามารดาข้ามาพักที่นี่สักช่วงหนึ่ง ให้นางได้มีความสุขด้วย”
“ฮึ ช่างฝันหวาน อาคารเหล่านี้ล้วนแล้วแต่มีวัตถุประสงค์ในการใช้ ปีหน้าเราจะเปิดลงทะเบียนรับนักเรียนจำนวนมาก ถึงตอนนั้นจะนักเรียนไม่น้อยกว่าหนึ่งพันคนและจะมีอาจารย์หนึ่งร้อยคน ข้ายังกังวลว่าอาคารจะไม่เพียงพอ จะมีห้องว่างสำหรับเจ้าที่ไหนกัน”
“ก็เพียงแค่กินอาหารของเจ้าไม่ใช่หรือ ต้องใจคอคับแคบเช่นนี้หรือ ข้าจ่ายเงินคืนให้ดีหรือไม่” หลี่เค่อชวนทะเลาะด้วยความหัวเสีย
อวิ๋นเยี่ยไม่สนใจความคิดงี่เง่าของเด็กน้อย ดึงหลี่ไท่แล้วเดินกลับ ประตูทางเข้าลานบ้านคึกคักมาก หวงสู่สองสามีภรรยากำลังเก็บแผงขายเหล้า ใบหน้ายิ้มแย้มมองเงินที่กำไรมาได้ไม่น้อย บรรดาอาจารย์ก็เพิ่งกลับจากเดินเล่นริมแม่น้ำ ตลอดทางพูดคุยหัวเราะเฮฮา นักเรียนในสถานศึกษาวิ่งเล่นหยอกล้อกันที่หน้าประตู จ้าวเหยียนหลิงและอาจารย์รุ่นที่สองกำลังพูดคุยเกี่ยวกับอาคารริมแม่น้ำตั้งหน้าตั้งตารอคอยอย่างเต็มที่ อวิ๋นเยี่ยยิ้มและเดินผ่านฝูงชน ขณะที่กำลังจะเข้าไป กลับได้ยินเสียงคนตะโกนขึ้น “อวิ๋นซื่อซยง!”
เมื่อหันกลับไปมองกลับเป็นซินเย่ว์ นางถือกล่องอาหารด้วยอาการขวยเขิน บิดไปมาอยู่เป็นเวลานานจึงส่งกล่องอาหารใส่มืออวิ๋นเยี่ยได้ นางพูดเสียงหวานว่า “ท่านยังไม่ได้ทานข้าวเย็น ข้าตั้งใจปรุงอาหารสองสามอย่างให้โดยเฉพาะ ท่านลองชิมดู” เมื่อพูดจบก็ยกมือปิดหน้าวิ่งกลับไป
นักเรียนในสถานศึกษาเอ็ดตะโรโห่ร้องกันอยู่ครู่หนึ่ง บรรดาอาจารย์ก็พากับลูบเคราพยักหน้า หวงสู่สองสามีภรรยาสีหน้าแสดงความยินดี
“ไม่ดี!” อวิ๋นเยี่ยร้องตะโกนอยู่ในใจ ฉันลืมคุณหนูที่เลื่องชื่อเรื่องความใจกล้าในแดนกวนจงไปได้อย่างไร ทำเช่นนี้แล้วฉันยังจะสามารถสู่ขอคนอื่นได้หรือ
50 วัฏจักรของสัตว์ป่า
อวิ๋นเยี่ยนั่งอยู่ด้านหน้าโต๊ะเล็กๆ หยิบกล่องข้าวออกมาซึ่งก็เป็นอาหารเล็กๆ น้อยๆ จริงๆ จานเล็กๆ สี่ใบแบ่งใส่เนื้อไก่ กุนเชียง สลัดผักป่า ผัดเห็ดป่าและยังมีข้าวป่าชามเล็กๆ อีกหนึ่งชาม ดูท่าทางน่ากินแต่ไม่รู้ว่ารสชาติเป็นอย่างไร
เนื้อไก่ต้มหั่นชิ้น ดูก็รู้ว่าเป็นการปรุงอาหารของพ่อครัวที่บ้านตัวเอง การหั่นเนื้อไก่หน้าตัดเฉียงๆ ที่เรียนรู้จากเขา คนทั่วไปไม่สามารถเรียนรู้ได้ กุนเชียงท่าทางดูน่ากิน เมื่อนึ่งสุกแล้วมีความมันและดูโปร่งใสชวนน้ำลายไหลนัก ท่านย่ายกให้เป็นอาหารชั้นเลิศที่สุดของตระกูลอวิ๋นไปแล้ว ปกติจะไม่ให้ทาน มีเพียงช่วงเทศกาลวันปีใหม่จึงได้ทานกันเล็กน้อย ทุกครั้งอวิ๋นเยี่ยก็จะแบ่งให้กับบรรดาน้องสาวจอมตะกละ ซึ่งเรื่องนี้มักจะทำให้ท่านย่าไม่พอใจ บอกว่าไม่มีกฎ ของของใครก็เป็นของคนนั้น ห้ามแย่ง
ครั้นหยิบใบขู่ไช่ในสลัดใส่ปากเคี้ยว อวิ๋นเยี่ยก็ถอนหายใจและคายผักป่าออกมา บ้วนปากด้วยน้ำชาอยู่หลายครั้งจึงสามารถกำจัดรสขมฝาดในปากได้ ไม่รู้ว่าอวี้ซันเสพสุขกับความกตัญญูของหลานสาวอย่างไร ยังไม่พูดถึงเรื่องที่ว่าใบขู่ไช่หากต้มสุกแล้วไม่ใช้น้ำล้างรสขมออกมาก็จะกินลำบาก มันยังจะสร้างความเสียหายให้แก่ไตอย่างมากเลย เพียงแต่อาจารย์สูงวัยแล้ว ภรรยาเก่าก็เสียชีวิตเร็ว เรื่องที่ต้องใช้กำลังของไตนั้นมีไม่มาก หากจะโดนทำร้ายที่ไตบ้างก็ไม่เป็นไร แต่ฉันที่มาถึงราชวงศ์ถังยังถือเป็นวัยแรกรุ่นที่เพิ่งแตกหน่อออกมาใหม่ เป็นช่วงที่เหมาะกับการใช้ไตเป็นอย่างยิ่ง อย่าโหดร้ายใส่กันเช่นนี้จะได้ไหม
เห็ดป่าคงไม่กินแล้ว เมื่อมองจากผักป่าก่อนหน้านี้ อวิ๋นเยี่ยก็รู้ว่าฝีมือการปรุงอาหารของคุณหนูซินนั้นช่างน่าวิตกนัก เพื่อไม่ให้ถูกวางยาพิษอย่าได้กินเห็ดจะดีกว่า ถ้าหากมีเห็ดที่ดูสวยงามสักสองสามดอกแต่แท้จริงแล้วเป็นเห็ดพิษ ผลที่ตามมานั้นไม่รู้จะเป็นเช่นไร คุณหนูซินก็ช่างเป็นคนที่ใจกล้าและยังเป็นหญิงที่ชอบของสวยงามที่มีสีสันสดใส เห็ดพิษที่งอกโดดเด่นสวยงามนางก็คงต้องชอบแน่นอน สำหรับเห็ดที่ดูน่าเกลียดเหล่านั้นนางคงมองข้ามไป
เขาคีบข้าวป่าขึ้นมาหนึ่งคำอย่างระมัดระวัง ไม่เลวนี่ หอมมันและนุ่มเหนียว สามารถนำธัญพืชป่าในกอต้นอ้อเล็กมาปรุงได้รสชาติเช่นนี้ ปาฏิหาริย์จริงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับซินเย่ว์ด้วยแล้ว
หลังจากรับประทานอาหารเสร็จและบ้วนปากแล้ว กำลังเตรียมบทเรียนเพราะพรุ่งนี้ต้องสอนวิชาฟิสิกส์สองคาบเรียน “อันตรกิริยาพื้นฐาน” หัวข้อนี้ก็แล้วกัน เขานั่งอยู่หน้าโต๊ะหนังสือและหมกมุ่นอยู่กับเนื้อหานี้อย่างรวดเร็ว ความทรงจำในสมองเริ่มชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ แม้กระทั่งภาพนิสัยชอบสูดน้ำมูกของอาจารย์สอนฟิสิกส์ของเขาเมื่อสมัยก่อนก็ดูเหมือนจะปรากฏขึ้นมาอยู่ตรงหน้า อวิ๋นเยี่ยไม่รู้ว่าตอนนี้เขาเป็นมนุษย์หรือเป็นกล้องถ่ายรูปวิดีโอ ถ้าหากก่อนหน้านี้มีมันสมองเช่นนี้ก็คงไม่ต้องเสียเวลาไปอย่างเปล่าประโยชน์ถึงสี่ปีในมหาวิทยาลัยเกรดต่ำแห่งนั้น ให้ตายสิ คงสอบเข้ามหาวิทยาลัยชิงหวาหรือไม่ก็มหาวิทยาลัยปักกิ่งได้ไปนานแล้ว
ด้านหลังมีเสียงสะอึกสะอื้นอยู่ ที่แท้เป็นซินเย่ว์ มองดูอวิ๋นเยี่ยด้วยความขมขื่นใจสะอื้นเป็นระยะๆ มันเจ็บปวดมาก อวิ๋นเยี่ยรู้ว่าเป็นเพราะเขาไม่ได้กินอาหารที่เป็นอันตรายถึงชีวิตสองจานนั้น
“ข้าวป่าอร่อยมาก มันเป็นอาหารที่อร่อยที่สุดที่เท่าที่ข้าเคยกิน”
“ข้าวอร่อย แล้วกับข้าวเล่า”
“กับข้าวก็ไม่เลว เจ้าก็รู้ว่าอาจารย์ตามใจข้าจนเสียนิสัย ค่อนข้างปากสูง หากอาหารไม่ถูกปากก็ไม่กิน อย่าได้ใส่ใจเลย ขอบคุณเจ้าที่ทำอาหารให้ข้า”
“ในนี้มีแค่สองจานที่ข้าทำ ส่วนที่เหลือมาจากบ้านของเจ้า ข้าวป่าท่านแม่ข้าเป็นคนทำ เจ้ากลับไม่ได้กินของที่ข้าทำ มันไม่อร่อยนักหรือ”
“ไม่ใช่ไม่อร่อย เพียงแต่เป็นนิสัยเสียเล็กน้อย อย่าใส่ใจเลย คราวหน้าก็ดีขึ้นเอง”
“ซื่อซยง วันนี้ข้าทำให้เจ้าลำบากใจใช่หรือไม่” ซินเย่ว์รู้สึกผิดเล็กน้อย ค่อนข้างอึดอัดใจจนกำผ้าเช็ดหน้า แต่ดวงตากลับจ้องมองอวิ๋นเยี่ย เป็นคนเปิดเผยมาก
“พูดอะไรอย่างนั้น จะได้ความเมตตาจากสาวงามช่างยากยิ่ง มีหญิงงามอย่างเจ้าทำอาหารให้กิน ใช่ว่าจะหากันได้ง่ายๆ”
คำพูดไร้สาระที่เรียบง่ายเหมือนน้ำเปล่า ถึงกับทำให้ซินเย่ว์หน้าแดงไปถึงใบหู อายจนม้วนต้วน หรือว่าผู้หญิงในยุคนี้ยังไม่ได้เรียนรู้ที่จะรับมือกับคำหวาน เพียงแค่คำพูดเหล่านี้ก็รับไม่ไหวเสียแล้ว ถ้าหากพูดคำโกหกยอดนิยมสักหน่อยจะไม่ถึงกับเป็นลมล้มพับไปทันทีเลยหรือ
ซินเย่ว์สองมือสั่นเท่าระหว่างเก็บอาหารที่กินเหลืออยู่บนโต๊ะ นางมีความสุขมาก อวิ๋นเยี่ยไม่เข้าใจว่าทำไมนางถึงมีความสุขมากเพียงนี้ เพิ่งจะรู้จักกันเพียงหนึ่งเดือนเอง ใช่แล้วหรือ
เมื่อส่งซินเย่ว์ออกไป สาวใช้ที่ชื่อเสี่ยวชิวก็รอนางอยู่ตรงหน้าประตูแล้ว จ้องมองอวิ๋นเยี่ยด้วยแววตาเจ้าเล่ห์ดั่งโจร ราวกับกำลังมองหมาป่าที่แกล้งทำเป็นเซื่องๆ ระมัดระวังตัวอย่างเต็มที่
เมื่อซินเย่ว์จากไป หลี่ไท่ซึ่งอยู่ห้องถัดไปก็มุดเข้ามา ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเจ้าบ้านี่เงี่ยหูฟังอยู่ตลอด
“พี่เยี่ย เจ้าชอบพี่สาวของข้าไม่ใช่หรือ ทำไมจึงได้ว่ายุ่งวุ่นวายกับผู้หญิงคนนี้” ให้ตายสิ ใช้ลักษณะคำพูดเหมือนน้องเขยกำลังต่อว่าพี่เขยชัดเจนเลย
“ตาข้างไหนของเจ้าเห็นว่าพวกข้าพัวพันกัน พี่สาวเจ้าก็ไม่ชอบข้าเสียหน่อย ทำไมข้าต้องไปรนหาที่ให้โดนตอกหน้าด้วย”
“ข้าวาดภาพไว้หลายภาพเพื่อเป็นหลักฐานแล้ว เจ้าดูนี่เป็นผู้หญิงคนนั้นที่เข้าประตูอย่างลับๆ ล่อๆ นี่คือภาพเงาของพวกเจ้าที่สะท้อนอยู่บนหน้าต่าง นี่เป็นภาพที่พวกเจ้าอาลัยอาวรณ์ต่อกัน ก็เพียงแค่ผู้หญิงคนเดียวไม่ใช่หรือ ทั้งยังให้สาวใช้ยืนเฝ้าหน้าประตู ทำให้ข้าไม่สามารถเข้าไปใกล้ประตูได้” อวิ๋นเยี่ยเชื่อว่าหากตอนนี้มีกล้องอ ยู่หลี่ไท่จะต้องปีนขึ้นไปบนหลังคาและแอบถ่ายภาพลับของคนอื่นอย่างแน่นอน เช่นนี้เรียกว่าองค์ชายที่ไหนกัน เป็นปาปารัซซี่ที่ไร้คุณธรรมชัดๆ
อวิ๋นเยี่ยเดินไปเข้านอนพร้อมรอยยิ้ม ก่อนเข้านอนเขาได้เข้าใจทุกเรื่องอย่างปรุโปร่งแล้ว วันนี้ทุกคนกำลังเปิดทางให้กับซินเย่ว์ ที่บ้าน ในสำนักศึกษา แม้แต่ซุนซือเหมี่ยวก็ทำเช่นนี้ พวกเขากำลังหวังว่าอวิ๋นเยี่ยและซินเย่ว์จะได้เป็นสามีภรรยากัน ไม่ว่าจะมองจากผลประโยชน์ส่วนตัวหรือมองจากอนาคตของสำนักศึกษา สิ่งนี้ล้วนแล้วแต่เป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ซินเย่ว์เป็นผู้หญิงที่น่ารักและใจกล้า พฤติกรรมต่างๆ ในวันนี้ล้วนอยู่เหนือขัดจำกัดสูงสุดของพฤติกรรมของหญิงสาวโดยทั่วไป ซึ่งต้องการความกล้าหาญอย่างมากที่จะแสดงออกอย่างใจกล้าเมื่อเจอคนที่ตัวเองชอบ ทำให้อวิ๋นเยี่ยมีความรู้สึกว่าได้กลับไปยังยุคปัจจุบันที่คุ้นเคย ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เดินก้าวคิดก้าวก็แล้วกัน
ซุนซือเหมี่ยวกำลังยุ่งอยู่กับกลุ่มผู้ประสบภัย นักเรียนสิบกว่าคนที่ติดตามมาจากสำนักศึกษา แต่ละคนแบกหาบกันคนละหาบ โดยในหาบมียาฆ่าเชื้อที่เหล่าซุนเพิ่งจะคิดค้นขึ้นใหม่ซึ่งห่อด้วยกระดาษเป็นยาสำเร็จรูป หากมีโรคก็ใช้รักษา หากไม่มีโรคก็เก็บไว้ป้องกันตัวเอง ดูไปแล้วเหมือนโฆษณายาลูกกลอน แต่สมุนไพรในส่วนผสม เช่น สะระแหน่และต้นจินอิ๋นฮวา เป็นสิ่งที่อวิ๋นเยี่ยเสียเงินซื้อซื้อมาจริงๆ อย่าว่าแต่ให้ผู้ประสบภัยกิน นักเรียนที่สำนักศึกษาก็ต้องดื่มวันละชาม บรรดาอาจารย์ก็ไม่ละเว้น
นายอำเภอเมืองหลานเถียนที่มาตรวจตราพร้อมกับอวิ๋นเยี่ยปากก็พูดยกยอปอปั้นไม่มีหยุด
“ตรงไหนที่ว่าเป็นผลงานของข้า ข้าเพียงแค่ต้องการแรงงานเพื่อสร้างสำนักศึกษาเท่านั้น ฝ่าบาทและขุนนางในราชสำนักก็ได้ให้การสนับสนุนแก่ข้ามากถึงเพียงนี้ รู้สึกซาบซึ้งใจเป็นอย่างยิ่ง นายอำเภอเหอต้องเหน็ดเหนื่อยตลอดทั้งวันทุกคนก็เป็นประจักษ์พยานได้ ความขยันขันแข็งของเจ้าหน้าที่ก็เป็นสาเหตุของความสำเร็จของสำนักศึกษาด้วย ผู้ประสบภัยควรจะขอบพระทัยฝ่าบาทเป็นพระองค์แรก ได้ยินว่าเหล่าพระสนมก็พระราชทานทรัพย์ที่ซื้อเครื่องพระสำอางด้วย นี่เป็นพระเมตตาเพียงใดกัน สามารถได้เกิดมาในแผ่นดินนี้ เราควรจะปลาบปลื้มจึงจะถูก”
อวิ๋นเยี่ยหันไปยังทิศที่ตั้งของเมืองฉางอันและทำการคารวะอย่างนอบน้อม สร้างภาพเสร็จแล้ว นายอำเภอเหอเองก็เห็นด้วยกับคำพูดของอวิ๋นโหว รู้สึกชื่นชมนับถืออวิ๋นโหวที่ไม่สนใจชื่อเสียงและลาภยศสรรเสริญมากขึ้นไปอีก รู้สึกมีความสุขที่ตัวเองได้เก็บเกี่ยวผลงานที่ยิ่งใหญ่ให้ทางราชสำนักได้อย่างน่าประหลาดใจ แน่นอนว่าคำประจบสอพลอระลอกใหม่ก็เกิดขึ้น
ในเขตปกครองของตน หากมีขุนนางที่มีชื่อเสียงและตำแหน่งสูงเช่นตระกูลอวิ๋น แต่เดิมนับเป็นความทุกข์เศร้าของนายอำเภอ แต่แล้วตระกูลอวิ๋นกลับไม่สนใจชื่อเสียงและลาภยศ ทั้งยังไม่เคยแทรกแซงการปกครองเมืองหลานเถียน สนใจแต่เพียงการพัฒนาสำนักศึกษาของตนเอง คราวก่อนที่อวิ๋นเยี่ยขี่ม้าบุกหมู่บ้านตระกูลหู นั่นเป็นเพียงแค่การทะเลาะกันของบุคคลด้านบนซึ่งไม่เกี่ยวอะไรกับขุนนางตัวเล็กๆ อย่างตัวเขา ยังไม่ถึงขั้นที่ว่าต้องไว้หน้าหรือไม่ไว้หน้า
เดิมคิดว่าภัยพิบัติคราวนี้ตัวเองก็คงหนีไม่พ้นแล้ว คิดไม่ถึงว่าตระกูลอวิ๋นจะจับตั๊กแตนฝูงมหึมาได้จนหมดสิ้นอย่างไม่เป็นปัญหา ทุกวันนี้ได้ทำการบดเป็นผงและเก็บไว้ในโกดัง ได้ยินว่ามันเป็นสมุนไพรที่มีค่ามาก แม้ว่าทุ่งนาในอำเภอก็ประสบกับความสูญเสียอย่างหนัก แต่ก็ไม่ถึงกับไร้ซึ่งผลผลิต สำนักศึกษาเริ่มโครงการสร้างบ้านขนาดใหญ่ ผู้ประสบภัยส่วนใหญ่ก็พึ่งพาตระกูลอวิ๋นในการเลี้ยงชีพ ทำให้เขาสบายขึ้นมาก เพียงแค่เอาเสบียงที่ขนมาเมื่อปีที่แล้วขายให้กับตระกูลอวิ๋นในราคาเดิมก็พอ ตระกูลใหญ่เช่นนี้นายอำเภอเหอรู้สึกว่ายิ่งมีมากเท่าไหร่ยิ่งดี
เมิ่งโหย่วถงกำลังแจกจ่ายยาฆ่าเชื้อ ทุกครั้งแจกก็จะบอกวิธีต้มเป็นยาน้ำให้แก่ผู้ประสบภัย ด้วยท่าทีที่จริงจังทำให้ยากที่จะจินตนาการได้ว่า บุคคลนี้เมื่อปีที่แล้วยังคงเป็นคุณชายเจ้าสำราญจอมซื่อบื้ออยู่เลย
เมื่อมีคนจำนวนมาก สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการป้องกันการแพร่ระบาด ตระกูลอวิ๋นกำหนดข้อบังคับว่า ทุกคนที่ทำงานทุกอย่างให้ตระกูลอวิ๋นจะต้องขยันอาบน้ำ ห้ามดื่มน้ำดิบอย่างเด็ดขาด หากมีใครฝ่าฝืนกฎข้อนี้ จะให้เขาและครอบครัวของเขาย้ายออกจากเขาอวี้ซันและไม่มีคำว่าผ่อนปรนอย่างเด็ดขาด นี่เป็นเรื่องสำคัญที่ผู้ดูแลกำชับนักหนา พวกเขาเองก็ไม่ต้องการให้เกิดโรคระบาดขึ้นที่นี่ ตอนนี้วิธีจัดการกับพื้นที่ที่ติดเชื้อนั้นไม่มีใครกล้าคิด หากใครคิดคนนั้นก็คงได้ขวัญหนีดีฝ่อ
ปูนขาวปริมาณมากได้ถูกโรยไว้อยู่ทั่วทุกพื้นที่ ในตอนนี้แม้แต่เด็กเล็กก็รู้ว่าหากจะปัสสาวะหรืออุจจาระจะต้องไปที่ห้องน้ำ หากปัสสาวะหรืออุจจาระตามใจชอบจะถูกขับออกไปทั้งครอบครัวและจะไม่มีอาหารกินอีกต่อไป เด็กๆ ของราชวงศ์ถังโดยเฉพาะเด็กๆ ในครอบครัวของเกษตรกรเชื่อฟังแต่โดยดี ชวนให้เอ็นดูจริงๆ เด็กอายุห้าหกขวบแบกน้องชายและน้องสาวไปเดินเล่นที่เชิงเขา เมื่อพวกเขาเห็นไม้แห้งก็จะลากกลับมาเพื่อใช้เป็นฟืนในการทำอาหาร เมื่ออวิ๋นเยี่ยเห็นเด็กเล็กคนหนึ่งแบกน้องๆ ที่อายุน้อยกว่าตัวเองหอบกองไม้แห้งหนึ่งมัดไว้ในอ้อมแขนนั้น ในใจของเขาก็ยิ่งเกลียดชังพวกต่ำช้าที่อยู่ในเมืองฉางอันมากขึ้นเรื่อยๆ ทุกครั้งที่เขาเห็นเด็กตัวเล็กๆ กำลังยกจอบขึ้นพยายามจะทุบหินก้อนโตนั้น ในใจก็ยิ่งรู้สึกเจ็บปวดจนแทบจะควบคุมอารมณ์เอาไว้ไม่ได้
เขาไม่เคยเห็นฉากเช่นนี้มาก่อน ลูกชายจอมอ้วนของฉันรู้แค่ว่ากินอิ่มท้องไม่ต้องหิว ทุกวันไปโรงเรียนและเลิกเรียน รู้เพียงแค่ว่าอาหารของที่บ้านไม่อร่อยเท่าร้านอาหารฟาสฟู้ดตะวันตก รู้เพียงแค่ว่าพ่อเขาไม่อนุญาตให้เล่นเกมก็อารมณ์เสีย
ความหิวโหยเป็นครูที่ดีที่สุดและเป็นครูที่โหดเ**้ยมที่สุด ตอนนี้เขาสอนเด็กเหล่านี้ให้ขยันหมั่นเพียรแต่เนิ่นๆ และสอนให้รู้จักประหยัด
“เสี่ยวเยี่ย เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่” หลี่เค่อกระโดดลงจากหลังม้า เห็นอวิ๋นเยี่ยยืนเหม่อจึงถามขึ้น
“กำลังคิดว่า จะต้องทำเช่นไรข้าจึงจะไม่ต้องเห็นเด็กที่โชคร้ายเหล่านี้”
“ก็ไล่ออกไปสิ จะมีอะไรยาก”
“เจ้าคิดเช่นนี้จริงๆ หรือ” อวิ๋นเยี่ยจ้องที่ตาของหลี่เค่อโดยไม่กระพริบตา
หลี่เค่อโดนอวิ๋นเยี่ยจ้องจนเริ่มรู้สึกประหม่าเล็กน้อย เขาอ้าปากแต่ไม่ได้พูดอะไร อาจเป็นเพราะรู้สึกได้ว่าก่อนหน้าอาจพูดผิดไป เพียงแต่ไม่รู้ผิดที่ตรงไหน จึงไม่รู้ว่าจะทำเช่นไรดี
“ถ้าหากเจ้าพูดประโยคนั้นซ้ำอีกครั้ง แม้ว่าจะต้องเสี่ยงกับผลที่ตามมาว่าจะต้องถูกฝ่าบาทลงอาญา ข้าก็จะขับเจ้าออกไปจากเขาอวี้ซัน ถ้าหากสำนักศึกษาของเขาอวี้ซันจะอบรมศิษย์ที่ความคิดเช่นเจ้าออกมา ข้าจะเผาสำนักศึกษาด้วยมือข้าเอง ก็จะไม่ยอมเหลือภัยร้ายมาทำลายใต้หล้านี้”
“ขออาจารย์โปรดชี้แนะ” หลี่เค่อสีหน้าจริงจังค้อมกายคารวะ
“พวกเราสามารถเป็นคนต่ำช้าและไร้ยางอายได้ ข้อนี้ไม่เป็นไร เพราะนี่คือสัญชาตญาณตามธรรมชาติของมนุษย์ เหตุผลที่เราอยู่เหนือสัตว์ป่าเหล่านั้นนั่นก็เป็นเพราะพวกเรารู้จักใช้ความคิดที่สลับซับซ้อนเพื่อให้บรรลุเป้าหมายของตนเองได้ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิดไปเสียทั้งหมด ปลาใหญ่กินปลาเล็กนี่เป็นวัฏจักรของสัตว์ป่า แต่ไม่ใช่กับมนุษย์เรา ความเมตตาจะต้องคงอยู่ มันเป็นตัวชี้วัดว่าบุคคลคนนั้นได้รับการอบรมเลี้ยงดูหรือไม่และเป็นองค์ประกอบแรกว่าคู่ควรจะคงอยู่หรือไม่ ข้ารู้ว่าเจ้าได้รับการปลูกฝังอย่างราชนิกูลมาตั้งแต่เด็กว่าสรรพสิ่งในใต้หล้านี้ล้วนแล้วแต่มีไว้เพื่อข้า เป็นผู้สูงส่งอยู่เหนือผู้คน ประชาราษฎร์ต้องยำเกรง ผู้ที่แข็งแกร่งได้ครอบครองทุกสิ่ง ผู้ที่อ่อนแอจะไม่มีอะไรเลย ข้าไม่มีกำลังพอที่จะเปลี่ยนความเป็นจริงนี้ได้ เพียงหวังว่าเจ้าจะมีความเมตตาสงสารให้มากขึ้นอีกสักนิด ลดความโหดเ**้ยมให้น้อยลง การเห็นเด็กๆ เหล่านี้ไม่ใช่ทำง่ายๆ ด้วยการขับไล่ไป แต่ต้องช่วยนำทางและช่วยเหลือพวกเขา ทำให้พวกเขาไม่ต้องโชคร้ายอีก เมื่อเป็นเช่นนี้เจ้าก็สามารถยืนอยู่บนจุดสูงสุดเรียกลมเรียกฝนได้โดยไม่ต้องกังวลว่าเรือของเจ้าจะอับปาง เพราะมีพวกเขาช่วยเจ้า อุปสรรคทั้งหมดในโลกนี้ก็จะเป็นเพียงเรื่องตลก”
51 กำจัดสามเภทภัย
สุดท้ายปูนซีเมนต์ก็เกิดปัญหาขึ้น นี่เป็นเรื่องที่อวิ๋นเยี่ยเป็นกังวลที่สุด ไม่มีอุปกรณ์ตรวจสอบ ได้แต่ประเมินจากประสบการณ์เท่านั้น ซึ่งเป็นการมอบอำนาจการตัดสินใจให้กับคนงานเผาหินอย่างเต็มที่ แต่ทว่าสำหรับมาตรฐานการผลิตแล้วก็อย่าได้ทำตามอำเภอใจ
ผู้ดูแลเตาเผาปูนซีเมนต์มารายงานตั้งแต่เช้าตรู่ว่า ปูนซีเมนต์ที่ออกมาจากเตาเผาเมื่อคืนนั้นไม่มีความเหนียว ได้ทำบล็อกทดสอบซีเมนต์แล้ว ตอนนี้ผ่านไปหกชั่วยามแล้ว เพียงแค่ใช้มือบีบก็แตกเป็นผง ซึ่งมันไม่สามารถนำไปใช้ได้เลย
เมื่อถามถึงสาเหตุผู้ดูแลก็อ้ำๆ อึ้งๆ ตอบไม่ชัดเจน อวิ๋นเยี่ยจึงไม่ถามอีก เพียงแค่สวมชุดผ้าป่านแล้วตรงมันยังโรงงานเตาเผา คนงานเตาเผาต่างก็นั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นโดยไม่พูดอะไร ชายคนหนึ่งที่คล้ายคนของทางการกำลังยืนบ่นจู้จี้จุกจิก เนื่องจากค่อนข้างไกลจึงได้ยินไม่ชัดว่าเขาพูดอะไร เมื่อเข้ามาใกล้จึงได้ยินอย่างชัดเจน
“พวกทาสตาบอดอย่างพวกเจ้าช่างไร้ประโยชน์เสียจริง เพียงแค่ปูนซีเมนต์เตาเดียวก็เผาไม่ได้ จะเก็บพวกเจ้าเอาไว้ทำไม”
“เซี่ยจั่งกู้[1] แต่เดิมพวกเราเพียงแค่เพิ่มวัตถุดิบสามพันจินต่อเตา เมื่อวันก่อนท่านยืนกรานจะเพิ่มห้าพันจิน เมื่อไฟเผาไหม้ได้ไม่ทั่วก้อนหินย่อมต้องเสียเป็นธรรมดา ตอนนี้ท่านมาต่อว่าพวกเรามันไม่มีเหตุผล ผู้ดูแลไปเชิญโหวเหยียแล้ว อยากจะรู้ว่าท่านจะอธิบายอย่างไร”
เมื่อได้ฟังก็รู้ว่านี่เป็นคนเก่าคนแก่ของหมู่บ้านตระกูลอวิ๋น นับตั้งแต่ที่โหวเหยียฟาดขาของเจ้าของหมู่บ้านตระกูลหูจนหัก พวกเขาก็ไม่ค่อยหวาดกลัวต่อเจ้าหน้าที่ทางการเสียเท่าไร แต่ละคนเดินกร่างอยู่ในหมู่บ้าน เมื่อเห็นคนต่างหมู่บ้านกวักมือเรียกตัวเองจึงถอนหายใจ ฮึ แล้วจึงเดินจากไป แต่ละคนเป็นพวกดื้อด้าน พวกที่กล้าต่อปากต่อคำนอกจากพวกเขาแล้วก็ไม่มีใครอีก เซี่ยจั่งกู้เริ่มหน้าถอดสีขณะที่กำลังจะโวยวายก็เห็นว่าคนงานเตาเผาต่างพากันลุกขึ้นยืน เมื่อหันกลับไปมองจึงเพิ่งรู้ว่าอวิ๋นเยี่ยยืนอยู่ข้างหลังเขา
“เจ้ากลับไปที่กรมโยธาได้แล้วและไม่ต้องมาอีก ถ้าหากเจ้ากรมจางต้องการรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเรื่องปูนซีเมนต์ ก็ให้เขาส่งคนที่ไม่สั่งการอย่างไม่แยกแยะมาและนำค่าชดเชยค่าเสียหายของเตาเผานี้มาคืนด้วย ที่นี่คือตระกูลอวิ๋นไม่ใช่กรมโยธา หากอยากวางอำนาจขุนนางก็กลับไปวางอำนาจที่นั่น”
เมื่อพูดจบก็ไม่สนใจจั่งกู้อีกและพูดกับคนงานเตาเผาว่า “พวกเจ้าโตมาด้วยอะไร ถูกคนอื่นสั่งให้ทำแบบมั่วๆ ก็ยังทำตาม เสียปูนซีเมนต์ไปหนึ่งเตาไม่ได้เป็นปัญหาใหญ่อะไรเพื่อให้พวกเจ้ารู้จักจำ ว่าอย่าฟังคนอื่นสั่งอะไรอย่างเหลวไหล คนงานของตระกูลอวิ๋นหักค่าแรงสองส่วนของค่าจ้าง คนที่ไม่ใช่คนตระกูลอวิ๋นหักหนึ่งส่วน หากคราวหน้ายังเกิดเรื่องเช่นนี้อีก จะไล่กลับบ้านทันที เข้าใจไหม ตอนนี้ทุกคนไปทำงานต่อได้ เตรียมวัสดุเริ่มเผาใหม่”
คนงานเตาเผาไม่มีใครเกลียดอวิ๋นเยี่ย แต่กลับมองเซี่ยจั่งกู้ที่ทำให้พวกเขาได้เงินเดือนน้อยลงด้วยสายตาโกรธแค้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนในตระกูลอวิ๋นไม่มีใครรู้สึกว่าตัวเองถูกหักเงินมากกว่าคนนอก พวกเขารู้สึกเพียงแต่ว่าทำให้หมู่บ้านตระกูลอวิ๋นต้องเสียหน้า
การล้างเตาเผาและเตรียมวัตถุดิบเพื่อเผาใหม่เป็นงานที่เหนื่อยมาก อุณหภูมิในเตาเผาปูนซีเมนต์ตอนนี้ยังคงสูงอยู่มาก แต่ละคนเหงื่อออกเต็มหน้า และยังมีพวกที่ยังไม่รู้ถึงความร้ายกาจอยู่ถึงกับกล้าเอาออก ใส่หน้ากาก ถูกอวิ๋นเยี่ยด่าอย่างแรง ไม่ต้องการให้พวกเขาเป็นโรคปอดฝุ่นหินทรายในอนาคตเพราะนี่เป็นโรคที่อันตรายถึงชีวิต
เมื่อถึงเวลาที่จะได้จุดไฟก็ถึงยามอู่[2]แล้ว อวิ๋นเยี่ยรีบกลับบ้านพร้อมด้วยฝุ่นที่ติดเต็มตัว เขาที่สวมชุดผ้าป่านไม่ได้มีความสง่าของโหวเหยียเลยแม้แต่น้อย ใบหน้าสกปรกเลอะเทอะไม่ต่างอะไรกับคนงานเตาเผาที่อยู่ข้างๆ สักเท่าไร
คนงานเตาเผาเลิกงานแล้ว นี่ก็เป็นบรรยากาศที่โดดเด่นของหมู่บ้านตระกูลอวิ๋น ชายสกปรกมอมแมมหลายร้อยคนเปิดอกเสื้อเดินจ้ำอ้าวด้วยเท้าเปล่า พูดคุยหยาบโลนและหัวเราะอย่างไร้กังวลเสียงโหวกเหวกตลอดทาง
“พี่ชายท่านนี้ ข้าขอรบกวนถาม” ชายร่างใหญ่ที่มีหนวดเครารุงรังเต็มใบหน้าได้เข้ามาขวางและพูดกับอวิ๋นเยี่ย
“ไม่ทราบว่าพี่ชายท่านนี้มีกิจสำคัญอันใด” ขณะที่กำลังคุยสัพเพเหระอย่างสนุกสนานกับเหล่าคนงานเตาเผา จึงได้เอ่ยถามขึ้น
“ที่นี่คือหมู่บ้านของอวิ๋นเยี่ย หัวโจกของเภทภัยทั้งสามของฉางอันใช่หรือไม่” ชายฉกรรจ์ถามด้วยเสียงแหบและทุ้มต่ำ ในตอนนี้อวิ๋นเยี่ยจึงตั้งใจสังเกตผู้ชายที่แต่งกายเป็นชาวยุทธ์ที่อยู่ตรงหน้าเขาอย่างละเอียด บนศีรษะใช้ผ้าสีน้ำเงินรัดผมไว้และจงใจไว้จอนผมให้ปลิวไปตามลม ที่เอวขาดสายหนังคาดเอวขนาดใหญ่ ด้านหลังสะพายดาบเล่มใหญ่ไว้ ลักษณะท่าทางน่าเกรงขาม
ผู้คนในหมู่บ้านได้ยินเขาพูดเช่นนี้ต่างก็พากันอึ้งไปเล็กน้อย ไม่รู้ว่าตาโง่คนนี้จะมาทำอะไร คนงานเตาเผาหลายคนที่เป็นองครักษ์ได้แยกอวิ๋นเยี่ยให้ห่างออกจากชายคนนี้อย่างแยบยล
“ไม่ต้องกลัว ข้ามาที่นี่เพื่อกำจัดเภทภัย สี่วันก่อนข้าได้ขอพักอยู่ที่วัดกลางป่าแห่งหนึ่ง ได้ยินเสียงผู้หญิงร้องไห้ในตอนกลางคืนจึงเข้าไปดู เป็นผู้หญิงและเด็กกว่าสิบคนร้องไห้อย่างน่าสงสาร รอบด้านมีทหารองครักษ์เฝ้าอยู่ ข้าได้ยินพวกนางพูดถึงชื่อของคนเลวอวิ๋นเยี่ยอยู่เป็นระยะๆ จึงขี่ม้ารีบเดินทางหลายพันลี้ตั้งใจจะมาเจอคนเลวคนนี้โดยเฉพาะ คิดไม่ถึงว่าเมื่อไปถึงเมืองหลวงสืบข่าวแล้วทำให้ข้าเกือบจะอกแตกตาย คนเลวคนนี้ยังเป็นหัวโจกของเภทภัยสามสิ่งแห่งฉางอันด้วย วันนี้ข้าจะไม่ยอมปล่อยให้คนเลวนั่นลอยนวลอย่างเด็ดขาด ขอเพียงแค่บอกข้าว่าคนเลวตอนนี้อยู่ที่ใด ข้าซีถงจะต้องกำจัดเภทภัยให้พวกนางให้จงได้” พูดกล่าวดูดีมีคุณธรรม ช่างดูสง่างามน่าเกรงขาม
อวิ๋นเยี่ยถึงกับหายใจไม่ออก โกรธจนเป็นลมสลบไป
ชายฉกรรจ์ร้อยกว่าคนพร้อมใจกันจับชายที่ชื่อซีถงกดหมอบลงกับพื้นและใช้สายคาดเอวผูกไว้อย่างแน่น จากนั้นลงมือต่อยและเตะ กระหน่ำฟาดท่อนไม้ใส่ แม้แต่ท่านป่าที่เดินผ่านมาก็เข้ามาเตะด้วย
อวิ๋นเยี่ยดื่มน้ำคำโตจึงค่อยอาการดีขึ้น มองไปที่ชายร่างใหญ่ที่ถูกมัดอย่างแน่นหนาซึ่งกำลังดิ้นรน จึงเดินเข้าไปถามว่า “เจ้าไปรู้มาจากไหนว่าอวิ๋นเยี่ยเป็นคนเลว ผู้หญิงและเด็กเหล่านั้นพูดเองกับปากหรือ”
“คนเลว คนเลวที่ช่วยคนเลวด้วยกันทำเรื่องชั่วช้าเช่นพวกเจ้า แม้ข้าตายเป็นผีก็จะไม่ละเว้นพวกเจ้า” ผลที่ตามมาก็คือโดนต่อยอีกหลายหมัด ไม่ร้องแล้วแต่พูดอย่างเคียดแค้นว่า “หากพบความอยุติธรรมทุกคนย่อมทวงความเป็นธรรม ข้าคำนวณพลาดไป ไม่คิดว่าทั้งหมู่บ้านล้วนแล้วแต่เป็นคนชั่วทั้งนั้น ถ้าแน่จริงก็แก้มัดให้ข้าแล้วมาสู้กันหนึ่งต่อหนึ่ง ดูสิว่าข้าจะเด็ดหัวสุนัขของพวกเจ้าได้ไหม”
คำพูดที่เลวทรามแน่นอนว่าก็ต้องโดนต่อยอีกรอบ หากอยู่บนถนนนั้นดูไม่ดีอวิ๋นเยี่ยจึงให้คนแบกชายคนนี้เข้าไปในห้องห้องหนึ่งและผูกติดอยู่กับเก้าอี้อย่างแน่นหนา
“ข้าก็คืออวิ๋นเยี่ยที่เจ้ากำลังตามหา ข้าก็คืออวิ๋นเยี่ยหัวโจกของเภทภัยทั้งสามของฉางอันอันลือชื่อ เพียงแต่ไม่เข้าใจเราไม่เคยมีความแค้นต่อกันทั้งก่อนหน้านี้และในปัจจุบัน เหตุใดเจ้าจึงต้องตามหาข้าและฆ่าข้าด้วย”
ดวงตาของซีถงแทบจะทะลักออกนอกเบ้าตา ร่างกายพุ่งมาข้างหน้าอย่างดุดัน ใช้ศีรษะกระแทกใส่อวิ๋นเยี่ย อวิ๋นเยี่ยเพียงแค่ขยับตัวหลบเขาก็หน้าคะมำอยู่บนพื้น มีฟันสองซี่เพิ่มขึ้นมาบนพื้น เขาพยายามที่จะหงายหน้าขึ้น อ้าปากที่เต็มไปด้วยเลือดสด เศษเลือดคำโตก็ถูกถุยออกมาเลอะชายเสื้อของอวิ๋นเยี่ยกระเด็นเป็นจุดเล็กๆ ใหญ่ๆ สีแดงเต็มไปหมด
อวิ๋นเยี่ยจู่ๆ ก็ไม่โกรธและไม่ให้คนทุบตีเขาอีก ให้เหล่าจวงที่รีบมาช่วยพยุงเขาขึ้นและใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดเลือดบนปากของเขา
“หากข้าเดาไม่ผิดละก็ เจ้าคงได้พบกับเด็กกำพร้าของตระกูลหลูเข้า พวกเขาถูกประหารทั้งครอบครัว ผู้ชายหนึ่งร้อยหกสิบกว่าคนถูกฆ่าตายทั้งหมด พวกนางถูกส่งไปยังโรงละคร เจ้ารู้ไหมว่าใครเป็นคนช่วยพวกนางออกมา”
ซีถงยังคงมีแววตาเช่นเดิม นั่งลงบนเก้าอี้อย่างองอาจผึ่งผาย ดูค่อนข้างน่าเกรงขาม ปิดปากสนิทโดยไม่มีคำพูดใดๆ
อวิ๋นเยี่ยพูดต่อไปว่า “ข้าเอง ข้าเสี่ยงกับการโดนฝ่าบาทลงอาญาพาพวกนางออกไป ตอนนี้ เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้าตามหาผิดคนแล้ว”
“แค่คำแก้ตัวข้างๆ คูๆ เจ้าคือหัวโจกของเภทภัยทั้งสามแห่งฉางอัน มีหรือจะใจดีเช่นนี้” ให้ตายสิ คนประเภทซีถงนี้เป็นพวกหัวดื้อหัวรั้น เหตุผลแรกที่เขาปักใจเชื่อไปแล้วก็จะยึดติดไปตลอดชีวิต เป็นพวกนักอุดมคติที่ยึดมั่น โลกของเขาค่อนข้างเรียบง่าย ดังนั้นมุมมองที่มีต่อโลกก็เรียบง่ายเช่นกัน คนไม่ดีก็จะต้องเป็นคนเลว
“ฉายาสามเภทภัยของฉางอันของข้าได้มาอย่างไร เจ้าต้องสืบข่าวในฉางอันให้ละเอียดชัดเจน เรื่องไม่ได้เป็นอย่างที่เจ้าคิด” อวิ๋นเยี่ยชื่นชมบุคคลประเภทนี้ ชื่นชมมาโดยตลอด คุณอาจจะสามารถพูดได้ว่าเขาไม่มีสมอง อาจกล่าวได้ว่าเขาโง่เขลา แต่อย่าได้สงสัยในความมุ่งมั่นของเขา การไม่ยอมประนีประนอมเป็นคุณสมบัติเด่นของคนเช่นนี้
อวิ๋นเยี่ยโบกมือส่งสัญญาณให้เหล่าจวงปล่อยเขาไป
“โหวเหยีย บุคคลคนนี้ไม่ประสงค์ดี หากส่งไปให้ทางการก็ต้องโดนตัดศีรษะอย่างแน่นอน ท่านอย่าได้ใจอ่อนเด็ดขาด” เหล่าจวงรีบเกลี้ยกล่อมอวิ๋นเยี่ยไม่ให้ปล่อยเสือเข้าป่า
“คนประเภทนี้เริ่มมีน้อยลงเรื่อยๆ ยอมขี่ม้าเป็นระยะทางนับพันลี้เพื่อแก้แค้นให้กลุ่มผู้หญิงและเด็กที่ไม่รู้จัก มีน้ำใสใจคอของชาวยุทธ์โบราณ ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไรที่จะปล่อยเขาสักครั้ง หรือเจ้าก็เชื่อว่าโหวเหยียของเจ้าเป็นคนที่ชอบก่อกรรมทำเข็ญด้วย” อวิ๋นเยี่ยสะบัดมือและพูดกับซีถงว่า “ถ้าหากเจ้าสืบจนรู้แน่ชัดแล้วว่าข้ามีความผิดสมควรตาย ข้าก็จะรอให้เจ้ามาฆ่าข้า”
เมื่อพูดจบก็ก้าวเท้าเดินจากไป ไม่รู้ว่าที่บ้านจะชุลมุนวุ่นวายเพียงไหนแล้ว อวิ๋นเยี่ยกลัวว่าหากท่านย่ารู้เข้าจะร้อนใจจนเกิดโรคขึ้น
เหล่าจวงไม่รู้จะทำเช่นไรจึงได้แต่ต้องแก้เชือกให้ซีถง ยิ้มเจื่อนๆ และพูดกับเขาว่า “ให้ตายสิ เจ้ามันโชคดี ที่ได้มาเจอโหวเหยียของข้า ถ้าเป็นคนอื่นคิดว่าเจ้าคงได้ถูกถลกหนังลงมาทำเป็นหนังกลองแล้ว เจ้าไปสอบถามผู้คนโดยรอบดูว่ามีใครบอกว่าโหวเหยียของข้าไม่ดีบ้าง ปีนี้เกิดภัยพิบัติ หากไม่ใช่เพราะโหวเหยีย เจ้าคิดว่าคนเหล่านี้ยังคงมีแรงพอที่จะเดินอีกหรือ ไม่กล้ากล่าวว่าเป็นพระโพธิสัตว์ แต่ถ้าจะบอกว่าชี้ทางรอดให้คนนับพันก็ไม่ถือว่าเป็นคำคุยโวอย่างแน่นอน ใต้หล้านี้มีคนโง่เช่นเจ้าก็ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องที่ดีหรือเลวร้าย”
เมื่อพูดจบเพียงยกเท้าขึ้นเตะดาบของซีถงก็ลอยกลับมาที่มือของเขา ส่งมันให้ซีถงและกล่าวว่า “หากจะฆ่าโหวเหยียข้าก็ต้องข้ามศพข้าไปก่อน ครั้งนี้เป็นเพราะโหวเหยียใจกว้าง คราวหน้าข้าจะต้องให้เจ้าเสียใจที่เกิดมาบนโลกใบนี้”
ซีตงไม่ได้พูดอะไร เดินขากะเผลกทีละก้าวๆ จากออกไป ทั้งสองข้างถนนเต็มไปด้วยชาวบ้านที่โกรธแค้น เขาก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ โหวเหยียที่สวมชุดผ้าป่านจะเลวได้ถึงขั้นไหนกัน เขาต้องพิสูจน์
เกิดคลื่นยักษ์ขึ้นที่บ้านแล้ว เสียงร้องไห้ของท่านย่าดังจากลานด้านหลังดังมาถึงลานด้านหน้า หลานชายคือแก้วตาดวงใจของนาง แม้ว่าจะเป็นแผลเพียงเล็กน้อยก็แทบจะเอาชีวิตของนางแล้ว คราวนี้ได้ยินว่ามีคนลอบฆ่าจึงเป็นลมไปสองครั้ง เมื่อตื่นขึ้นมาก็ตามหาหลานชายไปทั่ว แลดูเลอะเลือนไปแล้ว
อวิ๋นเยี่ยรีบวิ่งไปกอดท่านย่าและบอกว่าไม่เป็นอะไร บอกว่าเป็นเพียงแค่การหยอกล้อกันเท่านั้น แล้วจ้องหน้าตาเขม็งมองพ่อบ้านที่พูดมาก
ท่านย่าคลำหาแผลบนตัวอวิ๋นเยี่ยไปทั่วร่าง ถามนั่นนี่โน่นอยู่เป็นนานจึงค่อยได้สติกลับมา จากนั้นก็ร้องไห้อีก หากมีผู้หญิงที่บ้านยิ่งมากยิ่งวุ่นวาย คนนี้เพิ่งปลอบเสร็จ คนนั้นก็เอาอีกแล้ว ไม่จบไม่สิ้น โชคดีที่อวิ๋นเยี่ยเองก็เคยชินแล้ว ไปอาบน้ำด้วยตัวเองปล่อยให้พวกนางร้องไห้ให้พอ
เมื่ออาบน้ำเสร็จก็พบว่าเหล่าจวงและหลิวจิ้นเป่าคุกเข่าอยู่ในห้องโถงด้านหน้า ท่านย่าใช้ไม้ไผ่ฟาดพวกเขา ฟาดอย่างไม่คิดชีวิต จอมโง่สองคนนี้ก็ไม่รู้จักหลบ ยืนกรานจะรับการโบยให้ได้ “ท่านย่าท่านระบายอารมณ์เถอะ แต่อย่าได้ให้กระทบกระเทือนถึงสุขภาพ ต่อลงไปหากหลานจะไปข้างนอกจะต้องพาพวกเขาไปด้วย”
ได้ยินหลานชายรับปากแล้วแม่เฒ่าจึงยอมเก็บไม้ไผ่ขึ้น เพิ่งคิดขึ้นได้และถามอวิ๋นเยี่ยถึงต้นสายปลายเหตุ หลังจากที่รู้สาเหตุแล้วก็คิดอะไรไม่ออกนั่งอึ้งอ้าปากค้าง หลานชายตัวเองเป็นเด็กที่ดีที่สุดแท้ๆ เหตุใดจึงกลายเป็นสามเภทภัยแห่งฉางอันไปได้ อีกทั้งยังเป็นหัวโจกของสามเภทภัยแห่งอีกด้วย
ในเวลานี้ซีถงที่ยืนอยู่บนเนินเขาด้านนอกหมู่บ้านสาบานว่า หากเขาใส่ร้ายอวิ๋นเยี่ย เขาจะใช้ชีวิตมาชดใช้ แต่ถ้าหากอวิ๋นเยี่ยทำร้ายผู้บริสุทธิ์จริงๆ เช่นนั้นจะฆ่าเขาแล้วฆ่าตัวตายเพื่อทดแทนบุญคุณที่เขาปล่อยตัวเองในครั้งนี้
สายลมบนเขาพัดผ่าน ดูเหมือนจะพัดพาความรู้สึกอันสูงส่งที่โง่เขลาที่สุดอันเข้มข้นจนแยกแยะไม่ออกไปกับสายลมด้วย
52 เรื่องร้ายมาเยือน
หลี่กังหน้าดำคร่ำเครียด โกรธจนเก็บอาการไว้ไม่อยู่ เขาพูดเสียงดังว่า “พวกชาวยุทธ์ใช้กำลังเพื่อแหกกฎ พวกบัณฑิตใช้ความรู้หาช่องโหว่กับกฎหมาย ตั้งแต่สมัยราชวงศ์ฮั่นที่ได้กวาดล้างพวกจวี้เหมิ่งและกัวเจี่ย นักดาบพเนจรในใต้หล้าไม่เพียงแต่ไม่สูญหายไป แต่กลับยิ่งทียิ่งมากขึ้น การต่อกรกันแบบตาต่อตาฟันต่อฟันใช่สิ่งที่พวกข้าเลือกเสียที่ไหน ตอนนี้เหล่านักดาบพเนจรยิ่งเพิ่มทะลักจำนวนมากขึ้น แต่ไม่ทันไรก็ตายเพื่อลาภยศ การเข่นฆ่ากันบนถนนหนทางจึงกลายเป็นเรื่องปกติไป หากปล่อยให้ลอยนวลย่อมเป็นภัยร้ายต่อใต้หล้าในอนาคต
อวิ๋นเยี่ยขดอยู่ที่มุมกำแพง เพิ่งจะโดนด่าเสร็จ ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะยั่วโมโหตาเฒ่า
“จิตใจของวัยรุ่น เจ้าปล่อยให้นักดาบพเนจรทำอะไรตามอำเภอใจ เห็นกฎหมายราชสำนักเป็นเหมือนของเด็กเล่น เหลวไหล เหลวไหลสิ้นดี” อาจารย์อวี้ซันก็โกรธไม่น้อยเช่นกัน ซินเย่ว์อยู่ข้างหลังลูบหลังให้ชายชราถือโอกาสส่งยิ้มให้อวิ๋นเยี่ย
หลี่ไท่นั่งเล่นหินหลิวหลีในมืออยู่บนเก้าอี้ด้วยท่าทีที่มีความสุขที่เห็นอวิ๋นเยี่ยเป็นทุกข์ หลี่เค่อนั้นวิญญาณแทบจะออกจากร่างมองค้อนไปบนหลังคา เว่ยฉือต้าส่ากลับมีสีหน้า ‘ตื่น’ เต้นดีใจ แบมือกำหมัดด้วยท่าทีอยากจะลองของ เสียดายที่ตอนนี้ไม่สามารถประลองฝีมือกับจอมยุทธ์พเนจรได้
ในโรงอาหารของสำนักศึกษามีผู้คนรายล้อมเต็มไปหมด ต่างก็ฟังคนอื่นเล่าเรื่องที่น่าสนใจของอวิ๋นเยี่ยเมื่อวานนี้ด้วยอาการอยากรู้อยากเห็น
หลิวเซี่ยนพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “เพียงแค่หัวขโมยเท่านั้น เหตุใดต้องกลัวด้วย รอให้ข้ากลับไปฉางอัน ต้องจับเขากลับมาให้อย่างง่ายดาย เมื่อถึงเวลานั้นอวิ๋นโหวจะฆ่าจะแกงก็สุดแท้แต่ท่าน”
เขาเข้าใจผิดไปแล้ว คิดว่าอวิ๋นเยี่ยกังวลเกี่ยวกับการถูกลอบสังหาร แต่เขากลับไม่รู้ว่าอวิ๋นเยี่ยนั้นเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นในตัวจอมยุทธ์พเนจรเป็นอย่างมาก ลองคิดดูหลังจากผ่านไปอีกหนึ่งร้อยปี คงค่งเอ๋อร์ จิงจิงเอ๋อร์ เนี่ยอิ่นเหนียง หงเซี่ยน มีท่านไหนบ้างที่ไม่ทำให้คนเกิดจินตนาการออกมาอย่างต่อเนื่อง เขาหวังว่าหลังจากที่ซีถงรู้ความจริงของเหตุการณ์ทั้งหมดแล้วจะแวะมาที่บ้านเขาเพื่อพูดคุยเรื่องการท่องยุทธ์ภพ แม้ความรู้สึกที่เขาเห็นซีถงเป็นจอมยุทธ์ฝีมือสูงส่งจะถูกทำลายลง รู้สึกผิดหวังเมื่อเห็นว่าเขาถูกกลุ่มคนร่วมกันลงมือต่อยเขาจนใบหน้าฟกช้ำดำเขียวก็ตามที แต่ความผิดหวังนี้ก็ไม่สามารถดับเปลวไฟที่ลุกโชติช่วงในหัวใจของเขาที่มีใจรักในเรื่องของจอมยุทธ์ลงได้
ซีถงไม่มาแต่ที่มาคือหยวนไว่หลาง[1]ห่งกรมโยธา ท่านนี้เป็นคนอารมณ์ดีมาก ตำแหน่งสูงกว่าเซี่ยจั่งกู้คนนั้นไม่รู้ตั้งกี่เท่า ความองอาจผึ่งผายย่อมต้องสูงส่งกว่ามากมายนัก เขาส่งช่างฝีมือสองคนให้ทำงาน ร่วมกินและร่วมนอนกับเหล่าคนงานเตาเผา เขาเปลี่ยนชุดเป็นชุดลำลองและนั่งรถเทียมวัวที่โคลงเคลงมาที่สำนักศึกษา เขาพูดคุยกับทุกคนในสำนักศึกษาได้เป็นอย่างดี แม้แต่หวงสู่ที่กำลังกวาดพื้นเขาก็ยังซักถามด้วย ทำให้หวงสู่ซาบซึ้งในอยู่เป็นนาน
พูดคุยกับอวิ๋นเยี่ยโดยคนหนึ่งเดินหน้าคนหนึ่งตามหลังและรักษาระยะห่างไว้ครึ่งก้าว สนทนาด้วยความสุภาพเป็นกันเอง การจัดการงานต่างๆ ก็ทำได้ดีมาก เขาส่งช่างฝีมือดีมาสองคนดีกว่าส่งเจ้าหน้าที่มาหนึ่งร้อยคนเป็นอย่างมาก
เขาชื่นชมระบบการจัดการของสำนักศึกษาและจดบันทึกไว้อีกด้วย ทั้งยังชื่นชมความมีชีวิตชีวาของนักเรียนในสำนักศึกษา จากนั้นไปดูการแข่งขันฟุตบอลอย่างสนุกสนานเพลิดเพลิน ระหว่างนั้นยังได้ทานอาหารในสำนักศึกษาอีกหนึ่งมื้อ ตักอาหารใส่กล่องอาหารตามอวิ๋นเยี่ยด้วยความสนอกสนใจ และไปนั่งทานที่โรงอาหาร ถือโอกาสประเมินโรงครัวที่มีประสิทธิภาพเป็นอย่างยิ่งโดยประเมินให้ในระดับสูง เหล้านั้นห้ามดื่มอย่างเด็ดขาด แต่กลับยิ้มตาหยีเก็บเหล้าขวดเล็กๆ ไว้ที่อกเสื้อ โดยบอกว่าหลังเลิกงานเมื่ออยู่ลำพังจะต้องค่อยๆ ลิ้มลองรสชาติเหล้าชั้นดีของจวนอวิ๋น
เขามาที่สำนักศึกษาเพียงสองวันก็สนิทสนมกับทุกคนแล้ว บางครั้งก็ไปฟังการบรรยายของอาจารย์เฒ่าสองสามคาบเรียน บางครั้งก็พูดคุยแลกเปลี่ยนกับอวิ๋นเยี่ยเกี่ยวกับปัญหาในการกำหนดปฏิทิน เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นคนที่ใฝ่รู้เป็นอย่างมาก ในด้านดาราศาสตร์ก็มีมุมมองที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง เรื่องบางอย่างแม้แต่อวิ๋นเยี่ยเองก็ไม่เข้าใจ เขากลับอ้างอิงจากบันทึกในหนังสือโบราณพูดอธิบายอย่างมีแบบแผนได้โดยละเอียด
ยอดเยี่ยมจริงๆ อวิ๋นเยี่ยไม่กล้าที่จะผ่อนปรนแม้เพียงเล็กน้อย ต้องดูแลประกบติดทุกวันกลัวว่าจะพลั้งเผลอทำอะไรผิดพลาดไปจนไม่เหลือหนทางให้เยียวยา
ดูถูกเจ้าหน้าที่ของฉางอัน แต่ท่านนี้เป็นข้อยกเว้นอย่างแน่นอน เพราะเขามีชื่อที่ดังกึกก้องนับพันปีว่าสวี่จิ้งจง!
จั่งซุนอู๋จี้จอมราคะแห่งยุคก็ต้องพ่ายแพ้ด้วยน้ำมือของเขา ตอนนี้อายุยังไม่ถึงสามสิบปี แต่กลับสามารถใช้ความรู้ที่มีสร้างชื่อในฉางอาน ยอดหัวกะทิผู้ที่ออกจากกั๋วจื่อเจี้ยนที่มีความสนใจมากเป็นพิเศษเกี่ยวกับบันทึกประวัติศาสตร์ต่างๆ สามารถค้นหา “เหตุผลร้อยแปดพันเก้าโดยไม่มีผู้ใดเสียหาย” ออกจากกองกระดาษ เพื่ออ้างอิงข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อตนเองและผู้อื่นออกมาได้ รวมถึงในอนาคตที่หลี่จื้อแต่งงานกับผู้หญิงของบิดาตนเองด้วย เขาก็สามารถวางแผนได้อย่างมิดชิดแยบยลเพื่อให้นักประวัติศาสตร์ไม่สามารถหาจุดบอดเรื่อง ‘คุณธรรม’ ได้เลย ทำได้เพียงโหวกเหวกทางคำพูดไม่กี่คำ
อวิ๋นเยี่ยรู้สึกว่าการเป็นขุนนางกังฉิน[2]เป็นยากกว่าขุนนางตงฉิน[3]หลายเท่านัก ตัวอย่างเช่นท่านที่อยู่เบื้องหน้านี้เขาเป็นแบบอย่างในด้านคุณธรรมส่วนตัว ด้านหน้าที่การงานถือเป็นขุนนางที่มากความสามารถ ใช้เวลาเพียงแค่สองวันก็สามารถเก็บรายละเอียดของสำนักศึกษาได้ลึกถึงแก่น
เมื่อเห็นเขาและหลี่ไท่ยืนพูดคุยพึมพำอยู่หน้าแท่นแขวน อวิ๋นเยี่ยก็รู้ว่าการติดตั้งอุปกรณ์รอกของหลี่ไท่ก็หนีไม่พ้นจากเงื้อมมือของสวี่จิ้งจง
คนเดียวที่เขาไม่สามารถยุ่งด้วยได้คือซุนซือเหมี่ยว เหล่าซุนไม่ไว้หน้าเลยแม้แต่น้อย อย่าว่าแต่จะขอเข้าไปห้องยาเขา แม้แต่ที่พักก็ไม่อนุญาตให้สวี่จิ้นจงเข้าไป ไม่มีเหตุผล เพียงแค่ไม่อนุญาตให้เข้าไป พูดอะไรก็ไม่เกิดประโยชน์
เมื่อเห็นสวี่จิ้นจงจากไปด้วยรอยยิ้มอวิ๋นเยี่ยจึงถามซุนซือเหมี่ยวว่า “ทำไมท่านจึงไม่ต้อนรับขับสู้เขาเยี่ยงนี้”
“เจ้าหนุ่ม เจ้าต้องระวังบุคคลคนนี้เอาไว้ ข้ารู้สึกว่าเขาไม่ใช่คนดี บอกไม่ถูกว่าเพราะอะไร เพียงแต่เกลียดจากก้นบึ้งของหัวใจ คราวที่แล้วคนที่ทำให้ข้ามีความรู้สึกเช่นนี้ เป็นปีศาจร้ายที่น่ากลัวมาก ข้ากลัวว่าเขาจะเป็นคนที่สอง” ซุนซือเหมี่ยวจิตใจกระสับกระส่าย
อวิ๋นเยี่ยยกนิ้วหัวแม่มือขึ้นสูงๆ ให้เหล่าซุน ไม่นับถือไม่ได้แล้ว แม้แต่หลี่กังก็ยังกล่าวว่าบุคคลนี้จะเป็นมันสมองสำคัญในอนาคตของต้าถัง อนาคตไปได้ไกลไม่มีที่สิ้นสุด ให้อวิ๋นเยี่ยสนิทสนมกับชายคนนี้ไว้ มีเพียงเหล่าซุนเท่านั้นที่เตือนให้ระวัง
การใกล้ชิดกับชายคนนี้ก็เหมือนกับการเอางูพิษใส่ไว้ในอกเสื้อแล้วเล่นเกมจุมพิตกับเขา หากเขาฆ่าสหายของเขาขึ้นมายังโหดกว่าฆ่าศัตรูมากนัก แม้ว่าละครโทรทัศน์ในยุคปัจจุบันจะเขียนเหลวไหลไร้สาระ แต่จะไม่มีใครเขียนบทให้เขาเป็นคนดี ถึงแม้ว่าพล็อตเรื่องจะแก้ไขจนเละเทะอย่างไร สุดท้ายแล้วตัวเองก็ต้องระวังเขา
การระวังบุคคลคนนี้เอาไว้จะเป็นการดีกว่า ยอดคนแห่งการตลบตะแลงทางที่ดีอย่าได้ล่วงเกิน เขาเป็นคนสนิทที่แท้จริงของหลี่ซื่อหมิน
ระยะเวลาสั้นๆ เพียงสามวันสวี่จิ้งจงรู้สึกผ่านไปเร็วมาก เขาอยากรู้อยากเห็นมากเกี่ยวกับสำนักศึกษา มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ทำให้เขาได้เปิดโลกทัศน์ใหม่ ราวกับได้เข้าใจโลกมากขึ้น แต่ก็ไม่รู้ว่าเขาเข้าใจตรงส่วนไหน ดังนั้นเขาจึงตั้งต้นช่วงประสบการณ์ในสำนักศึกษาใหม่อีกครั้ง
อวี้ฉือต้าส่าและต้วนเหมิ่งได้ประลองฝีมือกันอยู่บนเนินเขาเป็นเวลาสามวันแล้ว อวิ๋นเยี่ยที่ทำหน้าที่เป็นกรรมการก็รู้สึกละเ**่ยใจมาก คนหนึ่งเน้นป้องกันไม่ยอมบุก อีกคนอยู่วางกำลังโอบล้อมอยู่นอกคูน้ำรอบเมืองไม่ยอมบุก ธงเล็กที่ใช้แทนกองทัพถูกโยนจนเต็มพื้นไปหมดแล้ว ถ้าหากสองฝั่งบุกปะทะกันตอนนี้ก็คงมีศพกองเกลื่อนกลาดแล้ว
ในที่เดียว ถ้ากองทัพทั้งสองเริ่มสงคราม พวกเขาจะต้องถูกทำลายทั่วประเทศ
อวี้ฉือที่ยืนอยู่ในคูน้ำรอบเมืองดูตัวใหญ่เหมือนยักษ์ สั่งโยกย้ายกำลังคนของเขาอย่างต่อเนื่อง ก้อนไม้สีขาวที่เป็นตัวแทนของเสบียงเกือบจะหมดอยู่แล้ว เขาถึงขั้นกวักมือและตะโกนด่าด้วยความโกรธเคืองเพื่อหวังที่จะกระตุ้นให้ต้วนเหมิ่งบุกเมือง
ต้วนเหมิ่งก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันเท่าไร ธงสีเขียวที่ใช้แทนทหารม้าเหลือเพียงด้านเดียวเท่านั้น ธงสีแดงที่ใช้แทนทหารราบนั้นเหลือเพียงสองด้าน เขาก็ยังคงนิ่งไม่เคลื่อนไหวดุจภูผา
ท้องฟ้าเริ่มเกิดฟ้าผ่าแล้ว ลมภูเขาเริ่มพัดมา ฝุ่นและดินลอยคละคลุ้งจนมองไม่ถนัด ชั่วพริบตาห่าฝนก็กระหน่ำลงมา สองแม่ทัพที่เข่นฆ่ากันยังคงไม่ยอมแพ้ สามารถเล่นเกมทรายจำลองได้ถึงจุดนี้อวิ๋นเยี่ยอดไม่ได้ที่จะนับถือเป็นอย่างยิ่ง
เท้าใหญ่ๆ ลอยมาถีบอวี้ฉือต้าส่าล้มคะมำและอีกเท้าหนึ่งเตะต้วนเหมิ่งจนกระเด็นซึ่งเจ้าของเท้าก็คือหลิวเซี่ยน
เขาตะโกนด่าคนโง่ทั้งสองและหิ้วคออวี้ฉือขึ้นมาพูดว่า “ให้ตายสิ เจ้ามีได้ประโยชน์จากการครอบครองคูน้ำรอบเมือง ยกกองกำลังตัดกำลังหลักของเขานั้นไม่ผิด ตอนนี้เจ้าได้เปรียบเรื่องความแข็งแกร่งทำไมไม่รู้จักออกนอกเมืองตัดสินแพ้ชนะไปเลย ยังจะมายืนโหวกเหวกโวยวายอยู่แถวนี้ เจ้าโง่!” จากนั้นก็ลากเท้าต้วนเหมิ่งจับเหวี่ยงเข้าไปใต้เพิงไม้และสั่งสอนว่า “เจ้าเองก็เป็นหมูโง่เหมือนกัน รู้อยู่แก่ใจว่าไม่สามารถโจมตีเมืองได้ ได้แต่ตัดกำลังทหาร ไม่รู้จักอ้อมรอบเมืองหรืออย่างไร ให้ตายสิ เจ้ากำลังทำศึกอยู่หรือมาเพื่อระบายความโกรธ ถ้าอยู่ในกองทัพข้าจะจับเจ้าโง่สองคนเช่นพวกเจ้าหั่นเป็นสิบเจ็ดสิบแปดส่วนแล้ว ยังจะให้เลี้ยงไว้ให้เปลืองเสบียงอีกหรือ”
ครั้งแรกที่ได้เห็นหลิวเซี่ยนอารมณ์เสีย เคยคิดว่าเขาเป็นสุนัขเฝ้าบ้านที่โอนอ่อนผ่อนตามมาโดยตลอด คิดไม่ถึงว่าเมื่อครู่จะถึงกับดูมีสง่าเหมือนสิงโตได้
“ความน่าเกรงขามของแม่ทัพหลิวไม่ลดลงไปจากเมื่อก่อนเลย!” ที่แท้เป็นสวี่จิ้งจงที่กำลังพูด สองวันนี้เขาผลุบๆ โผล่ๆ ทำให้เดาไม่ถูกไม่รู้ว่าเขาต้องการจะทำอะไร “หยวนไว่หลางคุ้นเคยกับอดีตของแม่ทัพหลิว ปกติเขาไม่เคยพูดถึงเลย” อวิ๋นเยี่ยยิ้มถาม “เช่นนั้นข้าน้อยคงพูดมากเกินไปแล้ว ดูเหมือนแม่ทัพหลิวจะไม่ชอบพูดถึงอดีตที่ผ่านมา ไม่ควรกล่าวถึงเรื่องของผู้ใดลับหลัง น่าละอาย น่าละอายยิ่ง ไม่ทราบวันนี้อวิ๋นโหวพอจะมีเวลาหรือไม่ พรุ่งนี้ข้าน้อยก็จะกลับแล้ว ได้เตรียมเหล้าไว้เล็กน้อยอยากสนทนากับอวิ๋นโหวเสียหน่อย ไม่ทราบอวิ๋นโหวจะให้เกียรติหรือไม่”
“ได้รับเชิญจากหยวนไว่หลางอวิ๋นเยี่ยจะปฏิเสธได้อย่างไร เพียงแต่ท่านเป็นแขกจะให้ท่านเป็นเจ้ามือได้อย่างไร เช่นนั้นให้ข้าที่เป็นเจ้าถิ่นเป็นเจ้ามือจะดีกว่า เรามาดื่มกันให้เมาเลยดีหรือไม่” อวิ๋นเยี่ยไม่ต้องการให้เขาได้วางตัวเป็นเจ้าถิ่น คนคนนี้มีนิสัยชอบฉกฉวยโอกาสขึ้นที่สูง จึงต้องระวังตัว
“เช่นนั้นคงต้องขอรบกวนแล้ว การเดินทางมาสำนักศึกษาเป็นเวลาหกวัน ทำให้ข้าน้อยได้เปิดหูเปิดตา ไม่เพียงแต่ละสถานที่จะเต็มไปด้วยความแปลกใหม่ แม้แต่เครื่องมือต่างๆ ก็ไม่เคยได้เห็นมาก่อน วิธีการสอนแบบใหม่ทำให้ข้าน้อยอดทอดถอนใจไม่ได้ที่จะไม่มีโอกาสได้ชื่นชมแล้ว ไม่เสียทีที่อวิ๋นโหวเป็นศิษย์ของอาจารย์ชื่อดัง ช่างชวนให้น่าอิจฉายิ่งนัก” รอยยิ้มบนใบหน้าอ้วนกลมของสวี่จิ้งจงไม่ลดลงเลย แต่แววตาที่สดใสของเขาทำให้ผู้คนรู้สึกว่า รอยยิ้มของเขาเป็นเพียงกล้ามเนื้อบนใบหน้าที่กำลังขยับอยู่เท่านั้น เป็นเพียงสัญลักษณ์อย่างหนึ่ง ไม่ได้หมายถึงอย่างอื่นเลย
ขณะที่อยู่ในโรงอาหาร อาหารเรียบง่ายสองสามอย่าง อวิ๋นเยี่ยและสวี่จิ้งจงนั่งอยู่ตรงข้ามกัน ดูราวกับยอดอัจฉริยะที่สง่างามสองคนกำลังสนทนาแลกเปลี่ยนความเห็นทั่วไป
เมื่อดื่มกินกันไปได้ช่วงเวลาหนึ่ง สวี่จิ้งจงวางตะเกียบและจู่ๆ ก็ถามขึ้นในทันใด “เหตุใดอวิ๋นโหวจึงต้องคอยระแวดระวังข้าน้อยมากมายถึงเพียงนี้ หรือว่าข้าน้อยมีพฤติกรรมใดที่ไม่เหมาะสม ทำให้อวิ๋นโหวเกิดความเข้าใจผิดขึ้น หากเป็นเช่นนี้จริง ข้าน้อยต้องขออภัยท่านเป็นอย่างยิ่ง”
หมายความว่าอย่างไร จอมแผนการผู้โด่งดังเริ่มเป็นคนเปิดเผยจริงใจ น่าขำ! มีบันทึกไว้ในประวัติมานานแล้วหากสวี่จิ้งจงเป็นคนเปิดเผยจริงใจ แม่หมูต้องปีต้นไม้ได้เป็นแน่
“หามิได้ หามิได้ หยวนไว่หลางเป็นผู้มีชื่อเสียงโด่งดัง อวิ๋นเยี่ยได้ยินมานานแล้ว ครั้งนี้ให้เกียรติมาเยือนถึงสำนักศึกษา อวิ๋นเยี่ยกังวลเป็นอย่างยิ่งว่าจะตอนรับไม่ทั่วถึง จะมีเรื่องระแวดระวังอะไรได้อย่างไร หยวนไว่หลางล้อเล่นแล้ว” อวิ๋นเยี่ยตัดสินใจแล้วว่าจะไม่เปิดใจคุยกับเจ้าแน่นอน จะดูว่าเจ้าจะทำอะไรได้ แม้ว่าเจ้าจะเป็นคนที่หลี่ซื่อหมินส่งมาตรวจสอบสำนักศึกษา แต่ข้าทำอะไรเปิดเผยพอ ใครจะไปสนใจว่าเจ้าจะมาทำอะไร
“ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง ข้าคิดมากเกินไป ในเมื่อพูดผิดเช่นนั้นลงโทษตัวเองให้ดื่มสามจอก ขออวิ๋นโหวโปรดให้อภัยด้วย” ยังมีบุคลิกกล้าหาญชาญชัยอยู่ หลังจากเทเหล้าสามจอกลงท้องแล้ว ยิ่งแสดงออกถึงความกล้าหาญมากขึ้นอีก หัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “ข้าเป็นห่วงว่าตัวเองมีความรู้เพียงน้อยนิดจึงไม่อยู่ในสายตาของอวิ๋นโหว ที่แท้อวิ๋นโหวก็ยังเมตตาเอ็นดูข้า ในเมื่อเป็นเช่นนี้ข้าน้อยก็จะได้วางใจ เข้ามาสอนหนังสือในสำนักศึกษาตามพระประสงค์ของฝ่าบาท”
“เสร็จกัน หลงกลจนได้ ช่างเป็นเรื่องร้ายมาเยือนจริงๆ ไม่มีเรื่องดีเอาเสียเลย!”
อวิ๋นเยี่ยเจ็บแค้นใจเป็นที่สุด!
——
[1] หยวนไว่หลาง เป็นตำแหน่งขุนนางในสมัยโบราณโดยเทียบได้กับรองเจ้ากรมหรือรองผู้อำนวยการในปัจจุบัน
[2] ขุนนางกังฉิน คือ ขุนนางที่ไม่ภักดีต่อกษัตริย์หรือประเทศชาติ
[3] ขุนนางตงฉิน คือ ขุนนางที่ภักดีต่อกษัตริย์หรือประเทศชาติ
53 การหมั้นหมายกับการไม่รับแขก
กิจการล่องแพไม้ไผ่บนแม่น้ำตงเหอเริ่มปรากฏ ตอนนี้เมื่อถึงวันหยุดพักผ่อนก็จะมีผู้คนมากมายมาล่องแพไม้ไผ่ไปตามระลอกน้ำบนลำน้ำใสๆ ที่เห็นถึงก้นลำธาร ผ่อนคลายความเครียดไม่คิดอะไรทั้งสิ้น พิงศีรษะบนลำไม้ไผ่สีเขียว เงี่ยหูฟังเสียงของน้ำที่แพไม้ลอยผ่านที่เดิมก็เป็นเสียงดนตรีที่ไพเราะเป็นที่สุด เมฆสีขาวราวปุยฝ้ายที่อยู่เหนือศีรษะเปลี่ยนรูปร่างไปเรื่อยๆ ประเดี๋ยวเหมือนม้าหนุ่มห้อตะบึง ประเดี๋ยวเหมือนกระต่ายขาวนั่งยองๆ
ไม่ต้องการทั้งเหล้าและน้ำชา ต้องการเพียงแค่ร่างหนังห่อหุ้มที่ว่างเปล่าหนึ่งใบ ภูเขานี้ สายน้ำนี้ เมฆที่สีสันสดใสนี้สามารถเติมเต็มหัวใจที่เหนื่อยล้าและว่างเปล่าของคุณได้
ผู้คนไปมาคับคั่ง มีหญิงสาวอวดโฉมไว้แต่งแต้ม มีชายหนุ่มร้องเพลงประกอบ กลิ่นหอมลอยชวนเย้ายวนจากอาภรณ์ที่ร่ายรำ เกี่ยวอะไรกับฉันด้วย
ฉันต้องการเพียงภูเขานี้ สายน้ำนี้ เมฆขาวนี้
อวิ๋นเยี่ยผิดไปแล้ว เพราะเขายังต้องช่วยพยุงแพไว้ เสี่ยวชิวถูกแขวนติดอยู่บนไม้ถ่อแพแล้ว กอดไม้ถ่อแพมองดูแพที่กำลังจะลอยไปตามลมพลางร้องไห้ ซินเย่ว์สองมือลนลานคว้าเสื้อเสี่ยวชิวไว้ไม่ยอมปล่อยมือ นางเองก็ใกล้จะตกลงไปอยู่แล้วเช่นกัน
ผู้หญิงโง่สองคนไม่รู้จักปล่อยไม้ถ่อแพหรืออย่างไร อวิ๋นเยี่ยยกปลายไม้ถ่อแพขึ้นและถ่อกลับมา ต้องออกแรงอย่างมากจึงช่วยเสี่ยวชิวลงจากไม้ถ่อแพได้ ทำอะไรไม่ใช้ความคิดจึงได้ปักไม้ถ่อแพเข้าไปที่ซอกหิน ถูกแขวนอยู่บนนั้นก็สมควรแล้ว
ฉากบรรยายที่งดงามถูกทำจนเละเทะไปหมด ซินเย่ว์ยังมักพูดเสมอว่านางเฉลียวฉลาด ที่ว่าเฉลียวฉลาดคือเช่นนี้เองน่ะหรือ แขวนตัวเองไว้บนไม้ถ่อแพแล้วก็เหวี่ยงแขนขาเหมือนลิง
ผู้หญิงที่อยู่บนแพไม้ไผ่ฝั่งตรงข้ามจึงจะเรียกว่าฉลาดเฉลียว พับแขนเสื้อขึ้นเผยให้เห็นแขนขาวๆ ร้องเพลงและเต้นรำ ดึงดูดฝูงหมาป่าในสำนักศึกษาให้โห่ร้องอย่างลืมตัว
“ห้ามดู” ซินเย่ว์หมุนหน้าของอวิ๋นเยี่ยให้หันกลับมา ผมสีดำขลับของนางติดที่รัดผมบุษราคัมที่ด้านบนฝังประดับด้วยแก้วคริสทัลมากมาย เมื่อแสงอาทิตย์สาดส่องมันจึงเป็นประกายสุกสกาว เมื่อเห็นของสิ่งนี้อวิ๋นเยี่ยจึงนึกขึ้นได้ว่าเขาถูกหมั้นหมายแล้ว
จะว่าไปแล้วเรื่องนี้ต้องพูดถึงเมื่อสามวันก่อน หลังจากที่ซินเย่ว์มาอยู่ในห้องของอวิ๋นเยี่ยเป็นเวลานานอีกครั้ง เขาถูกบรรดาอาวุโสบังคับลากไปริมน้ำและเริ่มบทสนทนาที่เต็มไปด้วยการล่อลวงและการคุกคาม
“เจ้าหนุ่ม เจ้าได้กำไรแล้ว หลานสาวผู้งดงามของเหล่าซินสนใจเจ้า ว่าอย่างไร จะหมั้นหมายเมื่อไหร่ ” คำพูดของหลี่กังเหมือนหัวหน้าแก๊งมาเฟียที่ฟังดูราวกับบังคับให้แต่งงาน โดยไม่ได้ดูเลยว่าตาเฒ่าวัยเจ็ดสิบปีจะอยู่ได้อีกนานแค่ไหน มีการบังคับหมั้นหมายเช่นนี้ด้วยหรือ
“คนหนุ่มสาวควรจะต่างคนต่างอยู่ ชายโสดหญิงสาวอยู่ในห้องเดียวกัน เหล่าซินเจ้าก็วางใจไปได้ หากเป็นข้าใช้กฎบ้านจัดการไปตั้งนานแล้ว ยังจะมีเรื่องดีเช่นการยกหลานสาวให้แต่งงานกับเขาเช่นนี้อีกหรือ ” อาจารย์หยวนจางพูดสำทับอยู่ด้านข้าง
ซุนซือเหมี่ยวผู้ซึ่งไม่มีอะไรได้เดินมาจากข้างๆ พูดแทรกว่า “ซินเย่ว์เด็กคนนี้รูปร่างหน้าตาดี เปิดเผยจริงใจเหมือนชาย เจ้าหนุ่มได้แต่งกับนางก็ถือเป็นวาสนาแล้ว ตระกูลอวิ๋นเจ้าก็ไม่ต้องกังวลว่าจะไม่มีทายาทสืบทอดหน้าที่การงานของตระกูลแล้ว” เหล่าซุนคำนึงถึงระยะยาวแทนตระกูลอวิ๋น
“เจ้าหนุ่ม ชื่อเสียงของหลานสาวเขาถูกเจ้าทำให้มัวหมอง ตอนนี้เจ้าไม่ได้พูดอะไรเลยหรือเป็นเพราะดูถูกตาเฒ่าอย่างพวกเรา แต่ก็ช่างเถอะ พรุ่งนี้ข้าจะเก็บสัมภาระเตรียมตัวกลับบ้านเกิดที่เหอซี ใช้ชีวิตบั้นปลายที่นั่น จะไม่กลับว่าวุ่นวายกับเรื่องราวทางโลกอีกเลย” สีหน้าอาจารย์หลีสือเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า
“ช่างขายหน้ายิ่งนัก ยังโชคดีที่อยู่ต่อหน้าสหายเก่าไม่กี่คนเท่านั้น มิฉะนั้นข้าจะยังมีหน้ามีชีวิตอยู่บนโลกนี้อีกหรือ! ” ยกมือทุบอกกระทืบเท้าซึ่งเป็นท่าไม้ตายที่เด็ดที่สุดของอาจารย์อวี้ซัน
เบื้องหน้าเขาปรากฏใบหน้าที่คุ้นเคยของหลี่อันหลานขึ้นแวบหนึ่ง เพียงพริบตาเดียวก็ถูกซ่อนอยู่ในความมืดมิดอันไร้ขอบเขต แม้ว่าจะบอกว่ามีความรู้สึกเหมือนหลอกใช้ความรู้สึกของฝ่ายหญิง แต่อวิ๋นเยี่ยก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “สามารถได้แต่งงานกับซินเย่ว์ถือเป็นวาสนาของข้า หาได้มีความคิดเป็นอื่นไม่ พวกท่านกังวลมากไปแล้ว”
ในใจค่อนข้างเจ็บปวด แต่ใบหน้ากลับมีรอยยิ้ม
ซินเย่ว์เป็นผู้หญิงที่ดีมากคนหนึ่ง ได้แต่งงานกับนางถือว่ามีวาสนาจริงๆ แต่ทำไมฉันถึงไม่รู้สึกดีใจเลย อวิ๋นเยี่ยถามตัวเอง
เหล่าผู้อาวุโสทำถึงขั้นนี้ก็ถือว่าเป็นขีดสุดด้านศีลธรรมของพวกเขาแล้ว หากลังเลแม้เพียงน้อยนิดก็จะก่อให้เกิดหายนะครั้งใหญ่ ไม่ว่าจะต่อสำนักศึกษาหรือตนเอง
เมื่ออวิ๋นเยี่ยรู้สึกถึงบรรยากาศที่เบาบางลง จึงกลับสู่ความนุ่มนวลเหมือนปกติ
“ข้าก็บอกแล้ว เย่ว์เอ๋อร์เป็นเด็กดีเช่นนี้ แล้วจะมีใครอยากผลักไสไล่ส่งกัน เรื่องที่วันนี้พวกข้าเสียหน้ามากมายเช่นนี้ เจ้าหนุ่ม เจ้าห้ามพูดอะไรออกไป ไม่เช่นนั้นจะตีเจ้าให้ขาหัก” อาจารย์หยวนจางเตือนอวิ๋นเยี่ยอย่างดุดัน
ไม่มีใครสนใจเขาอีก เหล่าอาวุโสพูดคุยหัวเราะพากันกลับสำนักศึกษา ดูเหมือนอาจารย์อวี้ซันจะกำลังรับการแสดงความยินดีของพวกเขา
“ยังไม่ได้คุยอะไรเกี่ยวกับการหมั้นเลย พวกท่านรีบกลับเกินไปหรือไม่” อวิ๋นเยี่ยเกรงว่าพวกเขาจะให้ตัวเองแต่งงานในวันพรุ่งนี้ซึ่งน่าอับอายกว่าหวงสู่เสียอีก
หลี่กังแต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยมีคำพูดที่ดี “เห็นแก่ที่เจ้ายังมีหน้ามีตาอยู่บ้าง จึงได้บอกเจ้าก่อน ไม่เช่นนั้นล่ะก็ คำสั่งของบิดามารดา คำมั่นของแม่สื่อ มีหรือจะให้เจ้าได้อ้าปากแทรกแซงได้ เรื่องนี้พวกข้าจะไปหารือกับแม่เฒ่าเอง เจ้าก็สงบปากได้แล้ว ตั้งใจทำงานเจ้าให้ดี ไม่ต้องกังวลเรื่องอื่นให้มากนัก”
เข้าใจคนบ้านตัวเองเป็นอย่างดี ท่านย่า ป้าสะใภ้ อาหญิง พี่สาว ผู้หญิงกลุ่มใหญ่ ว่างมากไม่มีอะไรทำจึงได้จับกลุ่มคุยจ้อถึงเรื่องของนายหญิงของตระกูลอวิ๋นในอนาคตควรจะเป็นเช่นไร ตอนนี้มีประเด็นให้คุยแล้วที่บ้านจะไม่วุ่นวายจนถล่มทลายหรือ
แน่นอนว่าท่านย่าใช้วิธีการที่รวดเร็วที่สุดทำการหมั้นให้กับอวิ๋นเยี่ย ทั้งยังมอบที่รัดผมบุษราคัมที่เป็นมรดกตกทอดประจำตระกูลอวิ๋นให้กับซินเย่ว์ด้วย ในครานี้จึงทำให้อาจารย์อวี้ซันซึ่งเดิมยังไม่ค่อยพอใจอารมณ์ดีเป็นปลิดทิ้ง มองไปที่รัดผมที่ส่องประกายอยู่บนเส้นผมของหลานสาวแล้วถึงกับดื่มสามจอกติดๆ พอใจมากกับอวิ๋นเยี่ยที่รู้จักเลือก
ซินเย่ว์ติดที่รัดผมเดินอวดทั่วสำนักศึกษาและได้รับการชื่นชมจากบรรดาผู้หญิงทั้งหมด ตนเองเสแสร้งแกล้งทำเป็นเขินอายราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น เมื่อกลับถึงห้องก็นั่งอยู่หน้ากระจกทองเหลืองมองซ้ายมองขวา หนึ่งชั่วยามผ่านไปจึงยอมถอดออกด้วยความอาลัยอาวรณ์ ห่อด้วยผ้าไหมแล้วเก็บลงไปในกล่องเครื่องสำอางจากนั้นวางไว้ในที่ลับตาที่สุด ใบหน้ายิ้มแย้ม ยิ้มอยู่ครู่หนึ่งจู่ๆ ก็ยกมือขึ้นปิดหน้าที่แดงระเรื่อ ไม่รู้ว่าคิดถึงเรื่องอะไร
สองคนบนริมแม่น้ำตงหยางต่างก็มีความในใจ คนหนึ่งเมื่อหันมาเห็นอีกฝ่ายก็หน้าแดงก่ำขึ้นครั้งหนึ่ง อีกคนหนึ่งก็เหมือนห่านยื่นทื่อสติเลื่อนลอยไปที่อื่น มีเพียงเสี่ยวชิวผู้น่าสงสารที่พยายามก้มตัวถ่อแพควบคุมไม่ให้ไปชนเข้ากับฝั่ง
น้ำในแม่น้ำนั้นตื้นมาก สูงเพียงเอวของคนเท่านั้น สะอาดใสเห็นก้นลำธาร ไม่มีปลาใหญ่มีเพียงปลาตัวเล็กขนาดเท่านิ้วมือว่ายน้ำเล่นอยู่ ซินเย่ว์ปล่อยปอยผมยาวๆ ลงมาเล็กน้อยและหมอบลงบนแพหยอกเล่นกับปลาน้อย เสียงหัวเราะดังขึ้นเป็นครั้งคราว
หญิงสาวอายุสิบหกปีในราชวงศ์ถังมีพัฒนาการได้อย่างดีมาก เมื่อมองดูส่วนโค้งเว้าที่สมบูรณ์แบบของซินเย่ว์ อวิ๋นเยี่ยรู้สึกหิวกระหายเล็กน้อย จึงพยายามข่มความคิดอันชั่วร้ายที่อยู่ในจิตใจตน จู่ๆ ก็นึกสนุกจึงหมอบลงบนแพข้างๆ ซินเย่ว์ แบ่งปอยผมมาส่วนหนึ่งหยอกล้อปลาน้อย
ไม่รู้ว่าเริ่มตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่สำนักศึกษาอวี้ซันกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่ของเหล่าชนชั้นสูงในเมืองฉางอัน แม่น้ำตงหยางที่ยาวไม่ถึงสิบลี้เต็มไปด้วยแพไม้ไผ่ บ้างก็เป็นชายชราที่หนวดเคราเต็มหน้า บ้างก็เป็นหญิงสวมหมวกทรงกรวยปกปิดด้วยผ้าบาง แน่นอนว่ายังมีบรรดาพ่อพวงมาลัยไล่ตามจับผีเสื้อน้อยๆ เหล่านี้บางคนที่ยากจนที่เกิดมาพอมีความสามารถติดตัวอยู่บ้างก็มาปรากฏตัวอยู่ริมแม่น้ำนี้เช่นกัน ในมือถือหนังสือปากก็ไม่รู้ว่าท่องอ่านกลอนอะไรมั่วไปหมด หวังว่าจะดึงดูดความสนใจของเหล่าชนชั้นสูงที่อยู่บนฝั่งน้ำนั้นได้
อวิ๋นเยี่ยและซินอวี้นั้นสะดุดตามาก ไม่ใช่เพราะทั้งสองเป็นหนุ่มรูปงามและหญิงสาวสวย แต่เพราะทั้งสองเล่นกันอย่างสนุกสนานมาก ดูไร้เดียงสามากๆ เสียงหัวเราะดังอย่างสนุกสนาน ทำให้บัณฑิตเอ่ยปากไม่ออก ทำให้หญิงสาวปรารถนา
ซินเย่ว์บอกับอวิ๋นเยี่ยว่าที่บ้านเกิดในเจี้ยนหนานยังมีแม่น้ำสายเล็กๆ อยู่ ทุกครั้งที่ถึงฤดูร้อนนางชอบนั่งหน้าบ้านดูพวกเด็กผู้ชายว่ายน้ำเล่น มันน่าสนุกมาก
อวิ๋นเยี่ยนั่งพึมพำเบาๆ ซินเย่ว์ฟังอยู่เป็นนานจึงฟังรู้เรื่อง เขาพึมพำว่า “ขาดทุน ขาดทุน ขาดทุนจริงๆ “
“ขาดทุนอะไรกัน เจ้าเสียเงินไปหรือ ” ซินเย่ว์ประหลาดใจมาก
“เจ้าดูเด็กผู้ชายพวกนั้นว่ายน้ำ ข้าเลยรู้สึกขาดทุนมาก”
“เพราะอะไร ขาดทุนอะไร” ซินเย่ว์ไม่เข้าใจความหมายแฝง
“ตอนที่ข้ายังเป็นเด็กว่ายน้ำเล่นในแม่น้ำ ล้วนแล้วแต่ไม่ใส่กางเกง เปลือยกายล่อนจ้อน ตอนนี้คิดขึ้นมาคิดว่าน่าจะต้องมีผู้หญิงที่รู้สึกเบื่อหน่ายเหมือนเจ้าแอบดู จึงได้บอกว่าขาดทุนมากอย่างไรล่ะ” อวิ๋นเยี่ยพูดด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความโศกเศร้า
“คนบ้า เหน็บแนมข้าหรือ” ซินเย่ว์ที่เหมือนคนบ้าคลั่งหยิกที่แขนของอวิ๋นเยี่ยอย่างแรง เสียงร้องโอดครวญของอวิ๋นเยี่ยและเสียงหัวเราะด่าของซินเย่ว์ดังกระจายไปทั่วผืนน้ำ
หลีสือที่ยกเก้าอี้โยกวางบนแพไม้ไผ่ พูดกับอวี้ซันที่เอนนอนอ่านหนังสืออยู่ว่า “เหล่าซิน นั่นหลานสาวเจ้า ส่งเสียงโหวกเหวก เจ้าไม่ดูแลหน่อยหรือ”
“ทำไมต้องดูแลด้วย สามีนางยังร้องโอดครวญอยู่ข้างๆ ก็ไม่เห็นว่าเขาจะมีความเห็นอะไร ข้าจะสนใจไปทำไม ก็เพียงแค่เสียงหัวเราะของเด็กหนุ่มสาวเท่านั้นเอง อย่างไรเสียยัยหนูตอนนี้แซ่อวิ๋น ไม่ใช่แซ่ซินแล้ว สอนไว้แล้ว เป็นวาสนาของเจ้าหนุ่มนั่น หากหมอนั่นตามใจจนเสีย เขาก็รับเอง” อาจารย์อวี้ซันอยู่ในท่าทีปล่อยวางไม่ทุกข์ร้อนใดๆ
หลังจากหยอกล้อกันอยู่นานครึ่งวัน ก็เริ่มท้องร้อง เมื่อเห็นคนอื่นกำลังกินอาหารกันบนแพอย่างมีความสุข ดื่มอย่างเอร็ดอร่อย มีเพียงพวกเขาสามคนที่ไม่ได้นำอาหารมา เสี่ยวชิวเริ่มท้องร้องแล้ว ซินเย่ว์ไม่เคยมีความสุขเช่นนี้มาก่อน แม้หิวก็ไม่ยอมลงจากแพไม้ไผ่ ตั้งใจที่ว่าต่อลงไปจะอยู่บนแพไม้ไผ่แล้ว
อวิ๋นเยี่ยทำอะไร จึงได้แต่กระแอมให้คอโล่ง ตะโกนเรียกหวงสู่ที่พาภรรยาและลูกมาเล่นน้ำ
วันนี้เป็นวันหยุดของสำนักศึกษา ทุกคนกำลังพักผ่อน หวงสู่รู้สึกอิจฉาเหล่าชนชั้นสูงมาโดยตลอดที่เมื่อพวกเขามีเวลาว่างก็จะมาล่องแพ เมื่อไปหาผู้ดูแลเพื่อขอแพไม้ไผ่ ผลที่ได้คือถูกถ่มน้ำลายใส่ บอกว่าแพไม้เตรียมไว้ให้สำหรับชนชั้นสูงของสำนักศึกษาเท่านั้น โจรปล้นสุสานอย่างเจ้าจะเอาแพไม้อะไร ไม่เห็นหรือว่านักเรียนในสำนักศึกษาอีกหลายคนกำลังรอรับแพอยู่ เจ้าอยากขอแพหรือ ก็ได้ รอไปจนเที่ยงคืนเถอะ!
เมื่อเช็ดน้ำลายบนใบหน้าแล้ว หวงสู่โกรธมาก ก็เพียงแค่แพไม้ผุๆ ไม่ใช่หรือ ถึงขั้นที่ตาเฒ่าต้องถุยน้ำลายใส่เต็มหน้าด้วยหรือ ทั้งยังให้รอถึงเที่ยงคืนอีก ให้ตายสิ นั่นมันเป็นเวลาที่ปล้นสุสานต่างหาก ใครเขาล่องแพกลางดึกกันบ้าง
หวงสู่ก็เป็นคนที่มีชื่อเสียงในยุทธภพเช่นกัน จึงให้คำมั่นสัญญากับภรรยาและลูกว่าแม้ต้องตายก็จะทำให้ได้ ไม้ไผ่อยู่ที่เชิงเขามีมากมายก่ายกอง จึงเลือกตัดต้นที่ปล้องใหญ่ๆ สิบกว่าต้น ทำอยู่ข้ามคืนจึงได้แพไม้ใหญ่หนึ่งแพ วันนี้บนแม่น้ำแพของบ้านเขาจึงสะดุดตามากที่สุด
เมื่อได้ยินโหวเหยียเรียกจึงรีบถ่อเข้ามา ทั้งครอบครัวสามคนคารวะโหวเหยีย
“มีของกินไหม ข้าจะหิวตายอยู่แล้ว”
ไม่ต้องพูดถึง หวงสู่เตรียมไว้อย่างดี มีทั้งไก่และเนื้อ ทั้งยังมีปลาแห้งทอดกรอบ เหล้าข้าวหมักก็ไม่ขาด อิงเหนียงทำขนมแป้งทอดกรอบอร่อยที่สุด
“โหวเหยีย สำนักศึกษาของพวกเราทำไมถึงหยุดพักร้อนเป็นเวลาหนึ่งเดือน ” หวงสู่ถือโอกาสที่โหวเหยียเปลี่ยนอารมณ์จึงถามขึ้น
“ทุกปีจะหยุดพักร้อนสองเดือน ปิดหนึ่งครั้งในช่วงฤดูร้อนและหนึ่งครั้งในช่วงฤดูหนาว เพียงแต่ปีนี้พักร้อนก่อนล่วงหน้าหลายวัน” อวิ๋นเยี่ยพูดกับหวงสู่
“ทำไมจึงต้องหยุดก่อนกำหนด เหล้าหมักบ้านข้ายังขายไม่หมดเลย” อิงเหนียงพูดแทรกขึ้นมา
“เพราะมีดาวทำลายล้างจะมาเยือน เพื่อไม่ให้สำนักศึกษาต้องพบกับความโชคร้าย จึงได้แต่สั่งปิดเทอม เหล้าหมักบ้านเจ้าส่งไปยังโรงงานเตาเผา ต้องขายหมดอย่างรวดเร็วแน่”
ในอดีตประตูทางเข้าสำนักศึกษาที่อึกทึกคึกคัก วันนี้กลับเงียบเหงาเศร้าสร้อย สวี่จิ้งจงมองดูสำนักศึกษาที่ว่างเปล่าไม่มีคน แล้วมองไปที่สัมภาระบนรถคันใหญ่ที่อยู่ข้างหลัง จึงได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ แล้วส่ายศีรษะ…
54 ข่าวดีของเหล่าหนิว
ปิดเทอมคราวนี้อวิ๋นเยี่ยปรึกษากับบรรดาผู้อาวุโสเรียบร้อยแล้ว เดิมทีอวิ๋นเยี่ยตั้งใจที่จะฝืนอดทนสวี่จิ้งจงสักระยะ เมื่อเขารู้สึกหมดสนุกก็จะจากไปเอง ใครจะรู้ว่าเพียงแค่พูดจบก็โดนหลี่กังสั่งสอนเป็นการใหญ่ บอกว่าคนเราเมื่ออยู่ในวงการราชการ ก็เห็นการได้คืบเอาศอกเป็นเรื่องปกติ แค่เจ้าเปิดช่องโหว่เพียงเล็กน้อย พวกเขาก็จะช่วยเจ้าขยายให้เป็นวงกว้าง ขอเพียงแค่มีผลประโยชน์ต่ออนาคตของเขา ไม่รีดนาทาเร้นสำนักศึกษาจนถึงที่สุดต้องไม่ยอมรามืออย่างแน่นอน พวกเขาไม่มองเรื่องความสำคัญในระยะยาว สนใจแต่เพียงผลประโยชน์ที่อยู่ตรงหน้า ทุ่มเท ลงมือ รวดเร็ว จัดการ นี่คือเคล็ดลับสี่คำสำหรับการเลื่อนตำแหน่ง แม้จะอดทนต่อเรื่องที่ไม่สงบช่วงระยะหนึ่ง ก็ไม่ได้แปลว่าเรื่องราวจะสงบลง มีเพียงทำให้เขาไม่มีโอกาสได้อ้าปากพูดอะไร ทำให้เขาไม่สามารถแสดงความสามารถอันน่าสะพรึงกลัวออกมาได้เท่านั้นจึงจะเป็นวิธีการที่ยอดเยี่ยม
อย่างไรเสียก็เป็นขุนนางถึงสองสมัย คำพูดยังฟังดูมีเหตุผลในเมื่อมีเหตุผลก็ต้องนำไปปฏิบัติ
สวี่จิ้งจงเพิ่งจะไปที่กรมพิธีการบันทึกข้อมูลเตรียมตัวมาสอนหนังสือที่สำนักศึกษา หลิวจิ้นเป่าก็รีบควบม้ากลับมารายงาน หัวหน้าใหญ่แห่งสำนักศึกษาผู้ไม่ประสงค์ดี มีคนรู้จักที่กรมพิธีการหลายคน อยากรู้ข่าวคราวเล็กน้อยก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร
ดังนั้นเมื่อรอให้สวี่จิ้งจงออกจากฉางอันแล้ว สำนักศึกษาก็เริ่มการหยุดฤดูร้อนประจำปีของทุกๆ ปีขึ้น
ได้รู้จากคนที่รู้เรื่องของเขาว่า ที่แท้แล้วหมอนี่อยู่ที่กรมโยธาธิการต่อไปไม่ได้แล้วจึงต้องการลี้ภัยมาอยู่ที่สำนักศึกษาและฉวยโอกาสทำความรู้จักกับเหล่าผู้นำตระกูลชนชั้นสูง เพื่อป้องกันเผื่อในอนาคตเกิดเรื่องอะไรขึ้น ช่างเป็นแผนการยิงนัดเดียวได้นกสองตัวที่วิเศษอะไรเช่นนี้ เพียงแต่เขาประเมินการป้องกันที่สำนักศึกษามีต่อเขาต่ำเกินไป เมื่อที่หนึ่งอยู่ไม่ได้ เมื่อเปลี่ยนสถานที่แล้วจะอยู่ได้อย่างนั้นหรือ
เขาทระนงตนเกินไป คิดว่าตนเองมากความสามารถด้วยความหลงระเริงลืมตัวจึงได้ล่วงเกินขุนนางสำคัญจำนวนมาก ได้ยินว่ามีคนต้องการจะเก็บเขาแต่บังเอิญว่าเขาต้องมาตรวจตราที่เขาอวี้ซัน จึงพบว่าสำนักศึกษาเหมาะแก่การใช้วางแผนการเพื่อวันข้างหน้า จึงไปขอให้หลี่ซื่อหมินอนุญาตให้เขามาสอนหนังสือที่สำนักศึกษา ไม่คิดว่าจะได้รับอนุญาตจริงๆ
ก็ไม่รู้ว่าหลี่ซื่อหมินแท้จริงแล้วคิดอย่างไร บางทีคงเป้าหมายจะวางหมากแฝงไว้กระมัง
อวิ๋นเยี่ยไม่อยากคิดและห้ามคิด หากไม่ได้รับการสนับสนุนจากหลี่ซื่อหมินแล้ว สำนักศึกษาก็เป็นเพียงกำแพงเมืองบนหาดทราย และจะมลายหายสิ้นภายในชั่วพริบตา
จึงได้แต่รับมือสวี่จิ้งจง ห้ามพุ่งเป้าไปที่หลี่ซื่อหมิน นี่จึงเป็นสาเหตุว่าทำไมสำนักศึกษาจึงเลือกที่จะใช้ไม้อ่อนแต่ไม่เลือกประจันหน้ากับเขา
สำนักศึกษาที่เหมือนต้นแอปเปิลต้นใหญ่นี้ห้ามปล่อยให้หนอนอ้วนพีมากัดกินอย่างเด็ดขาด นี่คือสิ่งที่อวิ๋นเยี่ยได้แอบตัดสินใจไว้แล้ว แม้ว่าจะต้องใช้แผนการที่ชั่วร้ายที่สุดกับเขาก็ตามที
เพียงแค่หนึ่งเดือนก็มากพอที่จะให้อวิ๋นเยี่ยลงมือได้แล้ว ฎีกาหนึ่งฉบับได้ถูกหลิวเซี่ยนที่อยู่ระหว่างวันหยุดนำกลับเมืองหลวง รอให้หลี่ซื่อหมินจัดการกับสวี่จิ้งจงด้วยตนเอง
สวี่จิ้งจงหาอวิ๋นเยี่ยไม่พบ หลี่กังก็เช่นกัน จึงได้แต่จำต้องพักอยู่ในบ้านที่สำนักศึกษาเตรียมไว้ให้รอการเปิดภาคเรียนใหม่อย่างหมดทางเลือก เขาเชื่อว่าด้วยความสามารถของเขา การจะจัดการกับสำนักศึกษาให้ได้นั้นขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น พวกอวิ๋นเยี่ยไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา
เขาไม่รู้เลยสักนิดว่า เพราะความรู้สึกหวาดระแวงที่มีต่อเขานี่จึงเป็นครั้งแรกที่อวิ๋นเยี่ยรู้สึกอยากจะฆ่าคน
อวิ๋นเยี่ยก็เพียงแค่กินแมลงตัวอ้วนๆ เข้าไปหนึ่งตัว เมื่อรู้สึกขยะแขยงอาเจียนออกมาไม่กี่ครั้งก็ได้แล้ว
หลี่เคอรู้สึกว่าเขากินแมลงเข้าไปเป็นจำนวนมาก การก่อสร้างสำนักศึกษายังคงดำเนินต่อไป ในตอนแรกยังดำเนินไปอย่างราบรื่น เขามั่นใจมากว่าโครงงานทั้งหมดจะเสร็จก่อนฤดูหนาวที่จะมาถึง แต่ใครจะคิด หลังจากที่พ่อของเขาได้รู้ว่าการสร้างอาคารสำนักศึกษามีการใช้วัสดุใหม่จำนวนมากและเครื่องมือใหม่ที่ไม่เคยใช้มาก่อน ก็ได้ส่งขุนนางของกรมโยธามาจำนวนนับไม่ถ้วนและสั่งให้เขาจะต้องสอนขุนนางระดับล่างเหล่านี้ให้ใช้วัสดุใหม่ให้เป็นให้ได้
“เสี่ยวเยี่ย ข้าไม่ต้องการใช้คนโง่เหล่านี้ ขณะที่อยู่ในสถานที่ก่อสร้างทำอะไรไม่เป็นยังพอว่า ยังไม่ยอมที่จะเรียนรู้อีก ต่างก็บอกว่าตัวเองเป็นขุนนางที่มีความชอบ พูดแค่ว่าการใช้หินสร้างบ้านจะทำให้บรรพบุรุษเสียหน้า” อย่างไรเสียหลี่เค่อก็เป็นเพียงเด็กชายอายุเพียงสิบสองปี โหดไม่ถึงที่สุด ตัดสินใจให้เด็ดขาดไม่ได้ ดูเหมือนว่าเรื่องนี้คงต้องออกหน้าช่วยเขาแล้ว
“อย่างนั้นหรือ เรื่องนี้ข้าไม่สนใจ ข้าแค่ต้องการให้เหล่าอาจารย์ย้ายเข้าไปอยู่ได้ก่อนที่หิมะจะตกรอบแรก เจ้าจะสร้างออกมาเป็นอย่างไร เหล่าอาจารย์ก็ต้องอาศัยอยู่ในอาคารเช่นนั้น ถึงแม้ว่าจะไม่มีหลังคาก็เป็นเรื่องของเจ้า เรื่องของเจ้า เจ้าก็ต้องจัดการกับมันเอง” หลังจากพูดจบแม้แต่หน้าที่ยู่ยี่ของหลี่เค่อก็ยังไม่มองแล้วหันหลังเดินจากไป
เป็นจริงดังคาด วันที่สอง หลี่เค่อแสดงแสนยานุภาพแล้ว เขาสั่งย้ายเจ้าหน้าที่แต่ละสายงานจำนวนสิบเอ็ดคน สิ่งที่รอพวกเขาอยู่ก็คือการถูกปลดออกจากตำแหน่งและกลับบ้านเกิด ไม้พลองถูกยกขึ้นสูง ถลึงตาด้วยแววตาโกรธเคือง มองเจ้าหน้าที่เหล่านั้นที่กำลังสั่นเทาไปทั้งตัว หลี่เค่อจึงค่อยรู้สึกโล่งใจขึ้น
ระยะนี้ทุกอย่างไม่เป็นที่น่าพอใจ ใช้ชีวิตแต่ละด้านด้วยความอึดอัด มีเพียงการได้เห็นหมู่บ้านตระกูลอวิ๋นค่อยๆ เจริญรุ่งเรือง เริ่มอุดมสมบูรณ์และมีประชากรเพิ่มขึ้น ในใจของอวิ๋นเยี่ยจึงได้ค่อยรู้สึกดีขึ้นบ้าง เดิมตั้งใจไว้ว่าจะใช้ชีวิตคนรวยที่ร่ำรวย แต่สุดท้ายเพราะความต้องการส่วนตัวเพียงเล็กน้อยทำให้ต้องวุ่นวายไม่มีวันเป็นสุข
ต้นข้าวฟ่างในที่นาเพิ่งจะออกรวงอ่อน เมื่อมองไปที่ผืนนาที่เขียวอ่อนแต่ไกลๆ สีหน้าความทุกข์เศร้าของชาวบ้านค่อยๆ หายไป แม้แต่ผู้ลี้ภัยมาจากที่อื่นก็ไม่มีแววตาเศร้าโศกแล้ว เด็กๆ มีสุขภาพแข็งแรงเหมือนลูกวัว บรรดาหญิงที่ออกเรือนแล้วก็เก็บตัวอยู่ที่บ้านนับเหรียญทองแดงในมือของพวกนางทีละเหรียญๆ ทุกครั้งที่เพิ่มขึ้นหนึ่งเหรียญก็ดีใจขึ้นหนึ่งส่วน
นี่เป็นผลมาจากการทำงานหนักของฉันในช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมา อวิ๋นเยี่ยพูดกับตัวเองเช่นนี้
ความรู้สึกภาคภูมิใจในตัวเองจึงเกิดขึ้น คิดๆ ดูที่หลายวันก่อนโกรธอย่างไม่มีสาเหตุก็รู้สึกตลกมาก ก็เพียงแค่หยวนไว่หลางเพียงคนเดียวก็ทำให้ฉันคิดอยากจะฆ่าคนได้ ชีวิตทั้งสองภพของตัวเองไม่เคยถูกเลือดคนเลย ตอนนี้กลับอยากฆ่าคนเป็นเรื่องที่โง่เพียงใดกัน ถึงแม้ว่าจะมีวิธีการที่ทำให้คนตายอย่างเงียบๆ จำนวนนับไม่ถ้วน แต่คุณก็ไม่ควรใช้เรื่อยเปื่อย เมื่อฆ่าคนแรกก็จะฆ่าคนที่สอง สมมติว่ามีเพียงค้อน เช่นนั้นวิธีเดียวที่จะใช้ในการแก้ปัญหาก็คือการทุบลงไป วิธีการนี้ช่างน่ากลัวนัก ฉินซีฮ่องเต้ก็ทำเช่นนี้ สุดท้ายก็คือจิตใจมุ่งสู่มุมมืด ถูกสิ่งชั่วร้ายครอบงำทำให้มองตัวตนเบื้องหน้าของตัวเองไม่ชัดเจน ภาพเบลอที่สะท้อนในกระจกทองเหลืองมองเห็นเพียงโครงร่างอยู่รางๆ ปีศาจที่อยู่ก้นบึ้งของหัวใจถูกปลดปล่อยออกมาและไม่สามารถสยบมันได้แล้ว
ซีถงเจ้าหนุ่มนี่ก็ยังไม่กลับมา ไม่รู้ว่าไปสืบถามได้ความชัดเจนหรือยัง ไม่รู้หรือว่าฉันอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับนักดาบพเนจรมากเพียงไหน รอให้เจ้ากลับมาตอบอยู่นะ
แท้ที่จริงแล้วจะมีสองคนโง่ที่เฉือนเนื้อที่ต้นขาของตัวเองแกล้มเหล้าหรือไม่ นักดาบพเนจรผู้กล้าหาญในบทกวีของหลี่ไป๋มีจริงหรือไม่กันแน่ ตอนนี้คนที่คล้ายคลึงที่สุดก็คือซีถงที่ดูโง่อย่างน่ารัก เห็นชายที่แต่งตัวเป็นนักดาบพเนจรอยู่เต็มท้องถนน
ในหัวเต็มไปด้วยความสับสนวุ่นวาย แต่ร่างกายกลับรู้สึกผ่อนคลาย มีความรู้สึกประเภทกระหยิ่มยิ้มย่อง
เฉียนทงยืนอยู่ด้านหลังของโหวเหยียมาโดยตลอด เห็นโหวเหยียยืนยิ้มตาหยีอยู่ในภวังค์ โดยรู้ว่านี่เป็นวิชาเลือกบังคับประจำวันของเขาและเป็นเวลาที่มีความสุขที่สุดของเขา จึงขัดจังหวะไม่ลงได้เพียงรออยู่ด้านหลังรอให้โหวเหยียตื่นขึ้นเอง
รอจนโหวเหยียถอนหายใจยาวๆ ก็รู้ว่าเขาสามารถพูดได้แล้ว
“โหวเหยีย หนิวโหวเหยียกลับมาแล้ว”
“อะไรนะ เจ้าบอกว่าหนิวโหวเหยียกลับเมืองหลวงแล้วหรือ ทำไมข้าไม่รู้” อวิ๋นเยี่ยมีความสุขเกินกว่าจะบรรยายได้ เขามีความรักและเคารพต่อหนิวจิ้นต๋าจากก้นบึ้งของหัวใจ สำหรับพฤติกรรมของเขาก็สอดคล้องกับความคิดของตาเฒ่า
จึงรีบกลับบ้าน เมื่อก้าวเข้าประตูก็ได้ยินเสียงหัวเราะอย่างสะใจของเหล่าหนิวทันที ความมืดมนในใจก็มลายหายสิ้นไปในพริบตา เหล่าหนิวและเหล่าเฉิงไม่อยู่ที่ อวิ๋นเยี่ยมักมีความรู้สึกว่าตัวเองต้องสู้รบอย่างโดดเดี่ยว ตอนนี้เขากลับมาแล้ว ความยากลำบากทั้งหมดดูเหมือนจะไม่หลงเหลืออยู่เลย เหล่าหนิวนั้นคงไว้ซึ่งความแข็งแกร่งดังเช่นเสาเทพค้ำยันมหาสมุทร
ซินเย่ว์กำลังคารวะเหล่าหนิวอยู่ ด้วยกิริยาขี้อายทำให้เหล่าหนิวหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง หนิวฮูหยินที่อยู่ข้างๆ ได้หยิบปิ่นที่ประณีตออกมาและปักเฉียงๆ ไว้บนศีรษะของซินเย่ว์ จากนั้นดึงซินเย่ว์ที่เอาแต่ก้มศีรษะไม่พูดอะไรไปที่ลานด้านหลัง
“ข้าน้อยคารวะท่านลุงหนิว” คำพูดนั้นยังไม่ทันจบ เหล่าหนิวก็คว้าตัวอวิ๋นเยี่ยไว้ มองบนมองล่างพินิจพิเคราะห์อยู่พักหนึ่ง
“ไม่เลว สูงขึ้นอีกหน่อยแล้ว ทั้งยังหมั้นหมายแล้วด้วย ดีมาก หากเหล่าเฉิงรู้เข้าคงต้องมีความสุขมาก” แววตาของเหล่าหนิวเต็มไปด้วยความอบอุ่น
“ท่านไม่ได้ยกทัพไปที่อวิ๋นจงหรือ เหตุใดตอนนี้ได้กลับมา เดือนหน้าก็จะเป็นช่วงเวลาที่สำคัญแล้ว ท่านกลับเมืองหลวงคราวนี้ มีภารกิจสำคัญหรือ” อวิ๋นเยี่ยนึกถึงสงครามที่กำลังดำเนินอยู่ จึงรีบถามวัตถุประสงค์ที่เหล่าหนิวกลับมา
“ยังไม่เก่งขนาดนั้น สงครามใหญ่ไม่ใช่ว่าคิดจะรบก็รบได้ มีสงครามใหญ่ครั้งใดบ้างที่ทั้งสองฝ่ายไม่ต้องเตรียมตัวให้พร้อมก่อนแล้วจึงค่อยเปิดศึกกัน คราวนี้ก็ไม่มีข้อยกเว้น เจ้าคิดว่าอยู่ในยุคสมัยจั้นกั๋วหรืออย่างไร การลอบจู่โจมเพียงครั้งเดียวก็จะสามารถชี้ผลแพ้ชนะได้หรือ การลอบจู่โจมต้องทำหลังจากสามารถตัดกำลังหลักของศัตรูได้แล้ว การโจมตีครั้งแล้วครั้งเล่ารังแต่จะเป็นการสิ้นเปลืองกำลังอย่างไร้ประโยชน์เท่านั้น ศึกในตอนนี้ มีเพียงสิ่งเดียวคือดาบจริงหอกจริง ต้องใช้กำลังที่แท้จริงเท่านั้น”
สมองของเหล่าหนิวไม่เคยคิดอ้อมค้อม คราวนี้หลี่จิ้งอาศัยทหารม้าเพียงสามพันคนลอบจู่โจมกำหนดชัยชนะของการรบในครั้งนี้
“ที่กลับมาคราวนี้ จะมาตามเจ้ากลับไปแนวหน้า ชาวเผ่าทูเจวี๋ยเริ่มใช้กลยุทธ์ต่ำช้าโดยใช้โรคระบาด กฎเรื่องสุขอนามัยในกองทัพเจ้าเป็นคนกำหนด คิดว่าเจ้าน่าจะรู้วิธีว่าจะป้องกันอย่างไร หลี่จิ้ง หวังว่าเจ้าจะไปที่กองทัพเพื่อดูว่ามีวิธีที่ดีหรือไม่”
คิดไม่ถึงว่าตัวเองจะได้มีโอกาสเข้าร่วมในสงครามใหญ่แห่งมั่วเป่ย เมื่อนึกถึงว่าจะได้ขี่ม้ากรำศึกไปทั่วทุ่งหญ้า อวิ๋นเยี่ยก็ตื่นเต้นดีใจจนตัวสั่น
“จะดีใจอะไรนักหนา เจ้าไม่มีส่วนในสนามรบหรอก เจ้าต้องเก็บตัวอยู่ด้านหลังในเขตคูเมือง คิดหาวิธียับยั้งโรคระบาดนั่นจึงจะเป็นสิ่งที่เจ้าต้องทำ” เหล่าหนิวดูถูกกำลังในการรบของอวิ๋นเยี่ยเป็นอย่างมาก
“ชาวเผ่าทูเจวี๋ยก็เพียงแค่ใช้ลูกเล่นของชาวเผ่าซยงหนู ใช้ซากศพวัว ม้าและแพะที่ตายแล้วทำให้แหล่งต้นน้ำสกปรก ใช้สัตว์ที่เป็นโรคร้ายตายมาทำร้ายทหารต้าถังของพวกเราเท่านั้นเอง” อวิ๋นเยี่ยค่อนข้างดูถูกความคิดเหลวไหลไม่เอาไหนพวกนี้ ตราบใดที่มีการบังคับใช้กฎด้านสุขอนามัยอย่างเคร่งครัดในกองทัพอู่เว่ยฝ่ายซ้าย ของพวกนี้ไม่มีประโยชน์เลยแม้แต่น้อย
“ฮึ อย่าเพิ่งได้ใจไป ฮั่วชวี่ปิ้งเองก็พลาดท่าอยู่ที่นั่น บนทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา ที่ใดมีแหล่งน้ำก็ตั้งค่ายที่นั่นนี่เป็นเรื่องปกติทั่วไป เจ้าหนุ่ม หากเจ้ามีความคิดเช่นนี้แล้วแนวหน้าไม่ต้องไปก็ได้”
“แน่นอนว่าข้าก็อยากจะเห็นกองทัพอาชาเหล็กของต้ากังสยบชาวทูเจวี๋ยได้อย่างไร เพียงแต่ในสำนักศึกษามีแมลงเหม็นเน่าอยู่หนึ่งตัว ต้องฆ่ามันให้ตายก่อนจึงจะวางใจไปที่ทุ่งหญ้าด้วยได้ มิฉะนั้น สิ่งที่ข้าทุ่มเทแรงกายแรงใจไปก็จะสูญเปล่า”
“เจ้าหมายถึงสวี่จิ้งจงล่ะสิ ฎีกาที่เจ้าถวายให้ฝ่าบาท ฝ่าบาททรงไม่เห็นด้วย ดังนั้นข้าจึงขอให้ส่งสวี่จิ้งจงมาที่แนวหน้า ให้เจ้าหมอนี่อยู่ในกองทัพ ข้าจะดูว่าเขาจะเล่นลูกไม้อะไร ขอเพียงจับจุดอ่อนเขาได้ ก็จัดการในดาบเดียว ฝ่าบาทก็คงไม่รู้จะตรัสอะไรแล้ว” เหล่าหนิวพูดอย่างโหดเ**้ยม
ความดีใจในใจของอวิ๋นเยี่ยแทบจะพุ่งออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจ คนที่ทำให้ตัวเองต้องกุมขมับเมื่อเผชิญหน้ากับความแข็งแกร่งของเหล่าหนิวแล้วจะจัดการได้อย่างง่ายดายเช่นนี้ ใช่แล้ว ตราบใดที่อยู่ในกองทัพ สวี่จิ้งจงก็เป็นเพียงมดตัวหนึ่งที่สามารถบี้ให้ตายเมื่อไหร่ก็ได้
หวังว่าเขาจะไม่ทำอะไรที่เหลวไหล ทำตัวสงบเสงี่ยมอยู่ในค่ายทหารกับตัวเองคอยช่วยชีวิตผู้บาดเจ็บก็แล้วกัน หากมีความคิดเป็นอื่นตายไปก็สมควรแล้ว
เมื่อเขานึกถึงสวี่จิ้งจงคิดจะลี้ภัยจนต้องไปสนามรบ อวิ๋นเยี่ยก็รู้สึกทุกข์ใจแทนพี่ชายคนนี้ คนคนนี้โชคร้ายมากมายเพียงใด จึงต้องพบจุดจบเช่นนี้
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น