ท่านเทพมาแล้ว 299-302

 บทที่ 299 เซียนที่ปลูกผัก

โดย

Ink Stone_Romance

ทั้งวันนี้ใจของเขาสงบลงแล้ว


หลังเลิกงานกลับมาถึงลานสนเขียว เขากลับไปลงกลอนประตูห้อง หยิบกุญแจจันทราออกมา


เขาเคยศึกษามาก่อนนานแล้วว่ามันใช้อย่างไร เขาต้องหาคืนเดือนมืดที่พลังหยินแก่กล้า และวันที่ว่านี้ยังต้องเป็นหลังจากสามวันนี้


สิ่งที่เขาต้องทำตอนนี้คือพานางชิวออกมาจากบ้านหลังเดิมก่อนและหาที่อยู่ให้นาง


แต่นางมาสวรรค์ไม่ได้ เข้าโลกเซียนไม่ได้ เขาควรให้นางอยู่ที่ไหนดีเล่า?


คิดไปคิดมาก็ยังคงอยู่ได้ที่โลกมนุษย์เท่านั้น


ใช่แล้ว เขาพานางออกจากบ้านหลังเดิมเพื่อหลบหูตาผู้คน เช่นนั้นนางจะอยู่ที่โลกมนุษย์ต่อก็ได้


เขายืนขึ้นทันที แล้วออกจากห้องไป


“เจี้ยนหรู?”


เพิ่งออกมากจากประตูลาน เหลียงชิวฉานก็เดินตามเข้ามา “จะกินข้าวเย็นแล้ว เจ้าจะไปไหน?”


แก้มทั้งคู่ของนางแดงราวกับเพลิงภายใต้แสงอาทิตย์อัสดง ช่วงนี้สีหน้านางดีมาก และเชื่อฟังเขาอย่างยิ่ง ถึงแม้ยามที่เอ่ยถึงหัวชิงนางยังคงโกรธเขาอยู่บ้าง แต่เทียบกับเมื่อก่อนแล้วกลายเป็นฟ้ากับเหวจริงๆ


แต่เขายังไม่เชื่อนาง เขาไม่คิดว่าตนเองมีเสน่ห์ใดควรค่าให้นางหวั่นไหว…ไม่ใช่เรื่องอื่น สำคัญคือเขารู้ว่าเมื่อก่อนแม้แต่หางตานางยังไม่เคยมองเขา


ถึงแม้ความรักเกลียดทุกข์สุขของนางล้วนจริงแท้ แม้แต่การเคลื่อนไหวของสายตายังราวกับมีชีวิต แต่เขาก็ยังไม่เชื่อ


หลายเดือนนี้ เขาอยู่กับนางอย่างไม่เดือดเนื้อร้อนใจ


ไม่ได้แตะต้องนางอีก ไม่ใช่เพราะเกิดเมตตาขึ้นกะทันหัน แต่เขาไม่ต้องทำเรื่องลำบากเช่นนั้นก็รู้ว่านางจะคงท่าทางแบบนี้ไว้


แต่ตอนนี้…


“ข้าจะไปทำธุระเล็กน้อย”


เขาไม่ได้ยิ้มเล็กน้อยให้นางเช่นปกติ และไม่ได้มีท่าทีอ่อนโยนอย่างเสแสร้งแบบนั้น แต่มองไปยังพระอาทิตย์ตกที่ขอบฟ้า


ระหว่างเขากับนางแต่เดิมก็ไม่มีความจริงใจใดต่อกัน เขาเพียงใช้ประโยชน์นางต่อกรกับพยับทมิฬ ทว่าตอนนี้เขาสัญญากับมู่จิ่วไว้แล้วว่าจะไม่ทำร้ายใครอีก เช่นนั้นก่อนอื่นเขาควรคุยเรื่องความสัมพันธ์ของนางกับเขาให้ชัดเจน


เอาแบบนี้แล้วกัน ในเมื่อเขาก็รับปากนางแล้ว


เช่นนั้นไม่ว่าคนพยับทมิฬเคยทำเรื่องใดกับเขาไว้ เห็นแก่ที่หลินเซี่ยและจีหย่งฟางต่างก็ตายแล้ว เขากับพวกพยับทมิฬก็นับว่าเสมอกัน


“เจี้ยนหรู…”


เหลียงชิวฉานขมวดคิ้วดึงแขนเสื้อเขา พูดเสียงอ่อนโยน “เจ้าเป็นอะไร?”


น้ำเสียงของนางมีความกังวลเจืออยู่ ทั้งยังมีแววอ้อนวอน แต่หลินเจี้ยนหรูกลับดึงแขนเสื้อกลับมา ก่อนถอยไปสองก้าว มองนางพลางพูด “ที่นี่มีคนผ่านไปมา ไม่ใช่ที่จะคุยกัน เจ้ากลับไปก่อนเถอะ”


พูดจบเขาก็ก้าวเท้าเดินไปข้างหน้าอย่างเหม่อลอย


ตลอดมาเขาไม่ใช่คนโลเล ขอแค่ตัดสินได้แล้ว เขาย่อมไม่อ้อมค้อม สิ่งสำคัญคือแต่เดิมเขาเพียงใช้ประโยชน์นางเท่านั้น


“เจี้ยนหรู!”


เหลียงชิวฉานรีบก้าวตามไป คิดจะอ้าปากร้องเรียก แต่เขากลับหายไปกับตะวันรอนแล้ว


ในดวงตาของนางค่อยๆ ปรากฏความสับสนหวาดกลัว มือที่จับลำต้นไม้ไว้จิกเข้าไปในเนื้อไม้


มู่จิ่วกลับมาถึงบ้านก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้ลู่ยาฟัง ลู่ยาหยักนิ้วทำนายแล้วพบว่าอีกสองวันให้หลังถึงจะสามารถลงมือได้ จากนั้นเขาก็ยุ่งเรื่องของตนเองไป


ตอนนี้การตามหาหลิวหยางเป็นเรื่องสำคัญอันดับหนึ่ง แต่เดิมหากเขาหาหลิวหยางไม่พบก็เพียงแค่ไม่อาจรายงานกับหุนคุนเท่านั้น แต่หลังจากมีเรื่องการพบหน้ากันระหว่างมู่จิ่วชายชุดเขียว ลู่ยารู้สึกว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับพวกเขาอย่างมาก ตอนนี้หลิวหยางคือคนน่าสงสัยที่ใกล้ชิดกับชายชุดเขียวมากที่สุด และหลิวหยางก็มีปริศนามากมาย เขาจำต้องค่อยๆ เริ่มดูจากตรงนี้


ดังนั้นหลายวันนี้เขาจึงยุ่งอยู่กับการวางค่ายกลไปทั่วทั้งสี่ทะเลเก้าทวีป ก่อนอื่นก็ขึงตาข่ายฟ้าดินไว้ ดูว่าสามารถจับร่องรอยของหลิวหยางได้หรือไม่


มู่จิ่วรู้ว่าช่วงนี้เขายุ่งอยู่กับเรื่องนี้ จึงไม่ได้ยุ่งกับเขามากมายนัก ยกน้ำแกงไปให้เขาเสร็จก็ออกไป


ลู่ยามองผังดวงชะตาอยู่นาน ไม่พบว่ามีที่ใดผิดปกติ ก่อนจะนึกถึงคำพูดของยูไลในวันนั้น จึงอดครุ่นคิดไม่ได้


พลังของจุ่นถียิ่งใหญ่ ยิ่งมีวิชาดูดวิญญาณทำลายล้างลัทธิ ตามที่ยูไลบอกไว้ พลังของเขาพัฒนาไปมาก บำเพ็ญมาจนถึงขั้นนี้แล้ว เขายังมีเหตุผลอะไรต้องเป็นปฏิปักษ์กับฟ้าดินอีก? เพียงแค่ตอนนั้นพ่ายแพ้แก่ยูไล เขาจึงผูกใจเจ็บหรือ?


หากพูดเช่นนี้ ทงเทียนเจี้ยวจู่ก็เคยแพ้แก่ซานชิง เช่นนั้นเป็นไปได้หรือไม่ว่าชายชุดเขียวคือทงเทียนเจี้ยวจู่?


ส่วนที่ว่าทำไมเขามีท่าทีเช่นนั้นกับมู่จิ่ว เป็นไปได้ว่าพวกเขาเคยรู้จักกันมาก่อน…


ม่อเหยียนลูกศิษย์ของทงเทียนเจี้ยวจู่ หลังจากรับช่วงต่อศิษย์ที่เหลือของลัทธิเจี๋ยก็หลายเป็นมารอย่างเป็นทางการ โลกมารทะเยอทะยานอยากควบคุมหกภพ เรื่องเช่นนี้มิใช่มีเหตุผลหรือ? โดยเฉพาะเมื่อเขาเคยยุ่มย่ามก่อเรื่องระหว่างหลีหังและอู่เต๋อมาก่อน หากอู่เต๋อสร้างความขัดแย้งให้แก่ชิงชิวและเผ่าอื่นๆ กับลัทธิฉ่านสำเร็จ จะสามารถแก้แค้นเอาคืนเรื่องที่ทงเทียนเจี้ยวจู่พ่ายแพ้แก่ซานชิงได้พอดีไม่ใช่หรือ?


เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนยืนขึ้น แล้วขึ้นเมฆออกไปด้านนอก


มุ่งตรงไปยังสวรรค์อันสูงส่ง ไม่ได้กลับวังชิงเสวียน แต่มุ่งตรงไปหาหุนคุนทันที


หุนคุนขุดดินอยู่ในสวน แปลงผักผืนหนึ่ง เทพเซียนผู้สูงส่งผู้หนึ่ง กายท่อนบนเปลือยเปล่า มือถือคราด ผ้าขนหนูพาดอยู่บนคอชุ่มเหงื่อ เซียนหญิงรับใช้ด้านข้างถือถาดหยกมีน้ำชาและพัดคอยท่ารับใช้อยู่ไม่ห่าง แต่เพราะดินโคลนแตกกระจาย เซียนรับใช้จึงพับขากางเกงขึ้นมา เท้าเปลือยเปล่า ไม่รู้ว่าใบหน้าแดงเพราะดวงอาทิตย์หรือเพราะเห็นช่วงอกกำยำของท่านเทพกันแน่


ลู่ยานั่งลงบนแตงอวบใหญ่ที่หุนคุนปลูกอยู่สามเดือน “ท่านเตรียมจะปลูกอะไร?”


หุนคุนโยนคราดมา “เจ้านั่งทับแตงของข้า!”


ลู่ยาทำได้เพียงยกก้นออกไปนั่งลงบนหิน


หุนคุนเดินเข้ามา เช็ดใบหน้าด้วยผ้าขนหนู มือทั้งสองเท้าอยู่บนเอวที่กล้ามเนื้อหน้าท้องแบ่งออกเป็นแปดส่วนชัดเจน ก่อนพูด “ลูกศิษย์ข้าล่ะ? เจ้าหากลับมาให้ข้าได้หรือยัง?”


“ยัง” ลู่ยาเด็ดยอดหญ้ามาเล่นในมือ “เพราะข้าไม่รู้ว่าเขาไปไหนจึงมาหาท่าน ท่านบอกสิว่าเขาจะไปไหนได้บ้าง?”


หุนคุนโยนคราดมาอีก


ลู่ยาวูบไหวตัว ย้ายไปอีกที่ “ข้ามีเรื่องจะพูดกับท่าน” พูดจบเขาก็สะบัดแขนเสื้อเรียกม่านแสง “ท่านมาดูคนนี้สิว่าคุ้นเคยหรือไม่”


บนม่านแสงนั้นพลันฉายภาพวันนั้นที่มู่จิ่วพูดคุยกับชายชุดเขียว ภาพใบหน้าของชายชุดเขียวยังคงไม่ชัดเจน และร่างของเขาในตอนนี้ยิ่งเลือนรางมากขึ้น ในความเป็นจริง หลายวันนี้เงาร่างและเสียงของเขานับวันยิ่งพร่ามัวลง แต่นอกจากตัวเขาแล้วสิ่งอื่นยังคงชัดเจนเหมือนเดิม


“ไม่คุ้น” หุนคุนพูดอย่างชัดเจน อย่างไรก็เป็นศิษย์พี่น้องที่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันมาหลายปี เขาพูดทันที “หรือเจ้าคิดว่าเขาคือจุ่นถี?”


ลู่ยาสูดหายใจเข้าลึกพลางมองไปที่ไกลๆ “เขาสนิทสนมกับอาจิ่วมาก”


“ถึงแม้สนิทสนมก็ไม่จำเป็นต้องเป็นจุ่นถีนี่?” หุนคุนก็นั่งลงเช่นกัน ท่าชันขาข้างหนึ่งขึ้นยิ่งทำให้หน้าท้องนูนเด่น ใบหน้าของเซียนหญิงรับใช้รอบด้านยิ่งแดงก่ำ เขากล่าว “ถึงแม้มีเพียงเงาร่าง ข้าก็แน่ใจว่าเขาไม่ใช่จุ่นถี” ลูกศิษย์ของเขาเองเขาย่อมรู้ดี เกรงว่าเพียงแค่ให้เส้นผมจุ่นถีมาเส้นเดียวก็ดูออก แน่นอนว่าเงื่อนไขแรกจะต้องเป็นตัวเขาเอง


……………………………………………..


บทที่ 300 เขตแดนมารปีศาจ

โดย

Ink Stone_Romance

ลู่ยานิ่งเฉย แต่หลังจากยิ้มน้อยๆ เขาก็เงียบลง อันที่จริงการบอกว่าชายชุดเขียวคือจุ่นถีเป็นการคาดเดาที่เห็นชัดที่สุด แต่เมื่อวิเคราะห์อย่างละเอียดก็ยากจะยืนยัน แต่เขาก็หวังว่าจะไม่ใช่จุ่นถีเช่นกัน ทว่าหากไม่ใช่จุ่นถี เช่นนั้นแล้วเขาคือใคร? ทงเทียนเจี้ยวจู่หรือ? อีกทั้งจุ่นถีไปไหน? ทำไมต้องเร้นกาย?


“เอ๋?”


ยามกำลังครุ่นคิด หุนคุนพลันมองชายชุดเขียวที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ในภาพ จากนั้นมองลู่ยาผู้นั่งอยู่บนหิน อดพูดออกมาไม่ได้ “ทำไม่ข้ารู้สึกว่า…” แต่เมื่อพูดถึงตรงนี้เขากลับกลืนคำพูดที่เหลืออยู่ลงไป


“รู้สึกอะไร?”


“ไม่มีอะไร” หุนคุนส่ายหน้า สายตามองเขาซ้ำไปซ้ำมาราวกับกระสวยทอผ้า “ความสามรถของคนผู้นี้ไม่น้อย แม้แต่วิชาบิดเบือนภาพมายายังทำได้ รูปร่างหน้าตาก็ดูไม่เลวนัก ดูไปแล้วหนทางความรักของเจ้าจะไม่ราบรื่นเสียแล้ว”


วิชาบิดเบือนภาพมายาคือวิชาที่ชายชุดเขียวลบภาพของตนเองในภาพไป ถ้าคนปกติต้องการลบร่องรอยตนเอง ส่วนมากต้องลบออกไปทั้งหมด แต่ลบภาพเพียงส่วนเดียวออกและยังแสดงความสามารถภายใต้การควบคุมของลู่ยาได้ นับว่าความสามารถไม่น้อยเลย


ลู่ยาส่งสายตาทิ่มแทงเขา อารมณ์ไม่ดีนัก


ในเมื่ออีกฝ่ายบอกแล้วว่าไม่ใช่หลิวหยาง เช่นนั้นเขาตัดสินใจไปหาม่อเหยียนก่อนดีกว่า


ปีนั้นหลังจากทงเทียนเจี้ยวจู่พ่ายแพ้ไปยังเผิงไหล ภายหลังศิษย์ของเขาม่อเหยียนสถาปนาตนเองพร้อมสร้างภพมารที่สวรรค์ชั้นหกซิวหมี (เขาพระสุเมรุ)


ในความเป็นจริง ยามแรกภพมารมีกฎเกณฑ์ชัดเจน ตอนนั้นยังเป็นพระราชวังต้องห้ามหลัวเฟิงและขุมนรกทั้งสิบขุม ภายหลังผ่านการเปลี่ยนแปลงหลายปี หรืออาจเพราะว่าลูกศิษย์ของทงเทียนเจี้ยวจู่เข้าสู่ภพมาร ภพมารจึงเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ สุดท้ายม่อเหยียนกลายเป็นราชาปกครองภพมาร สงครามปีนั้นภพมารก็ถูกล้างบางใหม่อีกครั้ง


รายละเอียดการเปลี่ยนแปลงขอไม่เอ่ยถึง สรุปคือตอนนี้ภพมารปกครองเพียงมารและปีศาจ ส่วนวิญญาณถูกควบคุมโดยสวรรค์ ตั้งแต่นั้นมาเขตแดนทั้งหกภพก็ถูกแบ่งแยกชัดเจน แน่นอนว่าในเก้าทวีปสี่ทะแลแต่ละสถานที่อาจมีเผ่าเทพและเผ่ามารอยู่ด้วยกัน แต่นั่นเพราะปีนั้นม่อเหยียนและอวี้ตี้ทำสัญญาปรองดองกัน ถึงแม้อยู่ด้วยกันก็ไม่เคยมีปัญหาใหญ่อะไร


และเพราะแบบนี้ ภพมารจึงสงบมานานหลายปี


แต่พวกเขาสงบมานานหลายปีเช่นนี้ ไม่แน่ว่ากำลังวางแผนอะไรอยู่หรือไม่?


ลู่ยายืนขึ้นปัดๆ เสื้อก่อนออกจากสวรรค์อันสูงส่งไป


มู่จิ่วเพิ่งเลิกจากงานกลับมา กำลังมองหาลู่ยา เพิ่งไปถึงประตูลานบ้านก็เห็นเขาเดินอาดๆ เอามือไพล่หลังเข้ามา


ลู่ยาไม่ได้พูดอะไรมาก เขาบอกเรื่องที่ตั้งใจจะไปสวรรค์ชั้นหกซิวหมี จากนั้นเอ่ยถาม “เจ้าอยากไปหรือไม่?”


ความจริงเขาลังเลที่จะถามเรื่องนี้ ตามเหตุผลเขาควรพานางไปด้วย แต่ครั้งนี้ไปเพื่อยืนยันว่าม่อเหยียนใช่ชายชุดเขียวหรือไม่ หากเขาใช่ชายชุดเขียวจริง เช่นนั้นนางไปด้วยก็ยากจะหลีกเลี่ยงความกระอักกระอ่วน


“ไปแน่นอน!” มู่จิ่วตอบ พูดจบก็ลุกขึ้นมาจากเก้าอี้โดยที่ยังไม่ทันนั่งดี


นางอยากไปเปิดหูเปิดตายังสถานที่ลึกลับนี่ไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ เรื่องแบบนี้จะขาดนางไปได้อย่างไร?


ลู่ยาก็รับปากแล้ว


หลังจากนางเปลี่ยนชุดปฏิบัติงานแล้วก็ไปทางตะวันตกเฉียงใต้พร้อมกัน


สวรรค์ชั้นหกซิวหมีอยู่ระหว่างปรโลกและโลกมนุษย์ อยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของสี่ทะเลเก้าทวีป


ใช้เวลาไม่นานพวกเขาก็มาถึงที่หมาย


ครั้นเงยหน้าขึ้นมา ในเขตแดนทุกที่ล้วนเป็นยอดเขาสูง ถึงแม้ภูมิประเทศไม่ได้ต่างจากที่อื่นมากไหร่นัก แต่พื้นผิวกลับแตกต่างยิ่งนัก หุบเขาริมน้ำไม่ปกคลุมด้วยหิมะก็เต็มไปด้วยใบไม้เหี่ยวแห้ง หรือดอกไม้บานเต็มเส้นทาง บางทีก็มีแสงแดดแผดเผา สถานที่นี้ห่างกันไม่กี่ลี้ก็ต่างฤดูกัน ระหว่างทางที่ผ่านมาอุดมสมบูรณ์สดใส หากละทิ้งความหวาดกลัวต่อภพมารไปจะเป็นสถานที่งดงามทีเดียว


แต่นี่กลับไม่ใช่ศูนย์รวมอำนาจของภพมาร


หลังจากเดินไปได้หลายพันลี้ ทิวทัศน์สี่ฤดูค่อยๆ หายไป ปรากฏทิวเขาขนาดใหญ่ ทิวเขาล้วนเป็นยอดเขาหิน ด้านบนปกคลุมไปด้วยป่าหนาทึบ ต้นไม้สูงอย่างน้อยสี่ห้าจั้ง ทั้งยังมีเถาวัลย์ทอดยาวต่อเนื่อง สัตว์หายาก ใบไม้ร่วงสูงไม่เกินเข่า เมื่อเงยหน้าขึ้นไป มีงูตัวใหญ่ดวงตากว้างราวกับโคมมองอยู่ห่างออกไปครึ่งฉื่อ


ลู่ยาไม่ได้แอบซ่อนพลังวิญญาณ เพียงปลอมมู่จิ่วเป็นผู้ชาย เพราะตอนเข้ามาในภพซิวหมีได้ใช้พลังวิญญาณทำลายเขตพลัง และเพราะไม่ได้มาที่นี่หลายปี หากแปลงกายเข้ามาอาจทำให้เกิดข้อเข้าใจผิดทั้งยังเสียเวลา ดังนั้นเขาจึงเก็บไอมงคลและพลังวิญญาณไป


มู่จิ่วเคลื่อนไหวอย่างระมัดระวังและเชื่องช้า กลัวว่าหากไม่ระวังเข้าอาจถูกมารโจมตี


ไหหเลยจะรู้ว่าเหล่าปีศาจไม่ได้พบเจอคนภายนอกมาหลายปี เมื่อรู้ว่ามีเทพเซียนเข้ามาจึงบอกต่อกันไปทั่ว แย่งกันออกมามุงดู


ปีศาจงูตัวนั้นเห็นมู่จิ่วที่ทั้งขาวผ่องและอ่อนนุ่ม น้ำลายก็ไหลนองเต็มพื้นในพริบตา ไม่แยกว่าเป็นหญิงชาย โยกย้ายเอวเข้ามาวอแว แต่เมื่อเข้ามาดูใกล้อีก ด้านข้างกลับผู้มีที่งดงามยิ่งกว่า ไม่เพียงมีรูปร่างดีกว่ามู่จิ่ว แต่ใบหน้ายังงดงามไม่มีผู้ใดเปรียบ ศีรษะก็อ่อนแรง หมอบลงไปตรงเท้าลู่ยาทันที


ปีศาจหมาป่าก็เช่นเดียวกัน ถึงแม้ในภพมารจะไม่ขาดแคลนชายงาม แต่ความงามเช่นนั้นเห็นกันจนเบื่อแล้ว เมื่อพลันเห็นคนสองคนเจิดจรัสถึงเพียงนี้ ดวงตาทั้งสองก็ปรากฏความกระหายอยาก ต้องการฉีกกระชากเสื้อผ้าของเขาทั้งสองด้วยสายตา ด้านหนึ่งลากพวกเขาด้านหนึ่งเข้าถ้ำร่วมสุขสม แต่เมื่อถึงไปตรงหน้า อยากจะสัมผัสแต่ก็ไม่กล้า ขมขื่นจนทำให้มู่จิ่วสับสนแทนพวกเขา


ยังมีปีศาจแมงมุมมากันฝูงใหญ่เหมือนแมลงวันได้กลิ่นเนื้อ แมวได้กลิ่นคาวปลา ผึ้งฝูงหนึ่งบินเข้ามาล้อมพวกเขาทั้งสองไว้ เคลื่อนสายตามองพวกเขาจนพอใจ กระทั่งเห็นส่วนที่ชอบยังจับมือกันเต้นรำ!


ยังมีบางส่วนเข้ามาดมเสื้อมู่จิ่ว ดึงปิ่นที่ปกผมนางอยู่ออก ก่อนปักลงไปบนหัวกลมๆ ของตนเอง จากนั้นยื่นหน้าไปมองลู่ยา แรงกดดันบนร่างลู่ยาเข้มข้นนัก พวกเขาไม่กล้าเข้าใกล้ แต่ไม่เข้าใกล้ก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อการจดจ้องของพวกเขา ดังนั้นจึงได้เห็นเหล่าแมงมุมไม่ว่าตัวผู้หรือตัวเมีย ตัวเล็กหรือตัวใหญ่ส่งสายตาให้ลู่ยา


เรียกได้ว่ามู่จิ่วได้รับบททดสอบที่รุนแรงที่สุด แต่เดิมเข้าใจว่าซิวหมีเป็นสถานที่อันตราย คิดไม่ถึงว่ากลับเต็มไปด้วยโรคจิต! ครั้งก่อนไปหอโคมเขียวกับอ๋าวเจียง เห็นเหล่าหญิงคณิกาก็นับว่าได้เปิดเผยมากแล้ว แต่มารเหล่านี้กลับเหมือนแสดงความกระหายอยากต่อพวกนางไว้บนหน้าเลยทีเดียว!


“พวกเขาวอแวกับเจ้าก็แล้วไปเถอะ ทำไมถึงต้องจับตามองข้าด้วย?”


มู่จิ่วซ่อนอยู่ใต้แขนลู่ยา รู้สึกจนปัญญากับความจริงนี้


ลู่ยาโอบนางเดินไปข้างหน้าราวกับไม่มีผู้อื่นอยู่พลางเอ่ย “แต่ก่อนคำสอนที่ทงเทียนเจี้ยวจู่สร้างขึ้นให้อิสระในการบำเพ็ญ บวกกับสองภพมารปีศาจทำตามอำเภอใจ หลังจากที่ม่อเหยียนรับช่วงต่อ ในสายตาของพวกมารปีศาจ การเลือกคู่ครองไม่จำเป็นต้องแบ่งชายหญิง เพียงอาศัยความสมดุลของหยินหยางเท่านั้น พวกเขาไม่สนว่าเป็นชายหญิงเด็กหรือแก่ เพียงถูกตาต้องใจก็สมสู่กันได้”


“นั่นมันช่าง..”


“จากคำบอกเล่า มีมารประเภทหนึ่งต้องทำเรื่องพรรค์นั้นเป็นระยะเวลานานเพื่อเพิ่มพลังบำเพ็ญ” ลู่ยาไม่รอให้นางพูดจบก็เสริมอีกประโยคอย่างเย็นชา


………………………………………


บทที่ 301 ชายที่บินมา

โดย

Ink Stone_Romance

มู่จิ่วไม่รู้ว่าจะอธิบายความรู้สึกนี้อย่างไรดี


นี่เป็นโลกแบบไหนกันแน่…สมสู่กันตลอดปี? หมายถึงต่อเนื่องไม่หยุดเช่นนั้นหรือ?


มู่จิ่วรู้สึกว่าขนที่นิ้วเท้าลุกชัน


เป็นเช่นนี้ตลอดแม้จะผ่านมาครึ่งเนินเขาแล้ว สัตว์ที่พบเจอล้วนเป็นอย่างนี้กันหมด เหมือนพวกถ้ำที่มองพอได้ข่าวก็ดาหน้ากันออกมา ทำให้มู่จิ่วรู้สึกว่าตนเองเป็นมนุษย์ต่างดาวที่หลงเข้ามาในโลกมนุษย์


แน่นอนว่าส่วนที่สะดุดตาเป็นพิเศษก็มีไม่น้อย เช่นคนปีศาจที่ผ่านทางมา…หรือก็คือคนที่ฝึกบำเพ็ญทางสายมารประเภทหนึ่ง ปกติพวกเขาฉลาดกว่าเหล่าสัตว์ปีกมากนัก สามารถมองฐานะสูงต่ำของอีกฝ่ายออก ครั้นเห็นรูปร่างหน้าตาพวกเขาเหนือสามัญก็เดินเข้ามาถามทันที “ขอบังอาจถาม พวกท่านมาจากที่ไหน? มาทำอะไรที่นี่?”


ถึงแม้มู่จิ่วจะตกใจและเห็นสิ่งพิสดารอยู่ตลอดทาง แต่เมื่อคิดดีๆ กลับไม่มีปีศาจมารตนใดผลีผลามเข้ามาทำร้าย พวกมันทุกตนล้วนไม่ผิดบังความป่าเถื่อนในใจ แต่กลับปฏิบัติตามกฎอย่างเคร่งครัด ปีศาจมารเหล่านี้แม้จะป่าเถื่อนทว่าควบคุมตนเองได้ ทำให้นางต้องมองพวกมันใหม่


เมื่อเห็นดังนี้แล้ว นับว่าม่อเหยียนปกครองสวรรค์ชั้นหกซิวหมีได้ไม่เลวเลยจริงๆ


ลู่ยาตอบ “มาหาม่อเหยียน”


คนปีศาจตนนั้นมีสีหน้าประหลาดใจ “ท่านมาหาราชามารของพวกเรา?”


“ใช่แล้ว” ลู่ยาเลิกคิ้ว “หรือเขาไม่อยู่?”


นี่ไม่น่าเป็นไปได้ ก่อนเขามาเขาตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว แน่ใจว่าม่อเหยียนอยู่ที่ซิวหมี


“อยู่ เขาอยู่” คนปีศาจพยักหน้าทันที จากนั้นมองลู่ยาก่อนมองมู่จิ่วอีก แล้วนำทางไปทันที


มู่จิ่วไม่เข้าใจเจตนาของคนปีศาจ นางรู้สึกเพียงว่าสายตาของอีกฝ่ายเหมือนมีดปอกแตง เมื่อมองไปแล้วเหมือนต้องการปอกนางกับลู่ยา


นางมองลู่ยาด้วยความฉงน ลู่ยากลับสงบนัก ก้าวตามหลังคนปีศาจนั้นไป


เดินไปตามเนินเขาไม่นานก็มาถึงบันไดหินที่กว้างราวสองจั้ง เดินขึ้นไปอีกหลายลี้ ยอดเขาสูงด้านหน้าก็ปรากฏให้เห็นแสงโคม เมื่อมองดีๆ จะเห็นเป็นวังที่เรียงรายเต็มบนเขา วังสร้างไว้ที่ริมผา ครอบคุมพื้นที่ทั้งภูเขา ไม่รู้ว่ากว้างขวางเท่าไหร่ภายใต้เมฆหมอกนี้ เพียงรู้สึกว่าขอบผาชันยิ่ง ระหว่างทางมีสิ่งปลูกสร้างมากมาย


บนผาเต็มไปด้วยดอกพลับพลึงแมงมุม (ฮิกันบานะ หรือ สไปเดอร์ลิลี่) ที่บานเต็มที่ สีแดงเลือดของดอกไม้ตัดกับก้านสีเขียว โดดเด่นสะดุดตายิ่งเมื่ออยู่บนผาสีเทาดำ


ที่จริงไม่จำเป็นต้องให้คนปีศาจนำทาง ลู่ยาก็สามารถมาถึงที่นี่ได้อย่างรวดเร็ว แต่เดินไปตามทางนี้ก็ไม่มีอะไรเช่นกัน


เมื่อมาถึงผา ฝั่งริมผาเป็นแท่นสำหรับชมวิว ประตูวังเปิดอยู่อีกฝั่ง ป้ายชื่อหินขนาดใหญ่สีดำมะเมื่อม ด้านบนสลักห้วงจักรวาล ทุกหกจั้งจะมีเขตพลังที่ประตูชั้นหนึ่ง คนปีศาจพาพวกเขามาถึงชั้นที่สามก็เข้าไปต่อไม่ได้แล้ว ต้องใช้พลังวิญญาณส่งข่าวบอกคนด้านในแทน จากนั้นค้อมตัวทำความเคารพพวกเขาทั้งสอง เหลือบมองเล็กน้อยก่อนเดินจากไป


มู่จิ่วอดลูบหน้าไม่ได้ เมื่อมองลู่ยาก็เห็นชัดว่าไม่มีดอกไม้งอกออกมา


ไม่นานมีคนเดินออกมาจากด้านในเขตพลัง บุคคลนี้ไม่รู้จักลู่ยาเช่นเดียวกัน จ้องมองพวกเขาอยู่นานค่อยนำทางเข้าไปอย่างเงียบเชียบ


มู่จิ่วยิ่งสงสัยมากขึ้น


การกระทำของภพมารเหมือนไม่ได้ทำตามแบบแผน ดีร้ายอย่างไรก็เป็นวังมารที่มีชื่อเสียง กลับไม่ถามถึงที่มาที่ไปก่อนให้คนเข้ามาเสียนี่


พวกเขาไม่กลัวว่าพวกมู่จิ่วจะมาก่อกวนหรือ?


ลู่ยายังคงไม่พูด ใบหน้าสงบราวกับกลับมาบ้านตนเองก็ไม่ปาน


ในความเป็นจริง นอกจากเรื่องสีหน้าของคนที่เดินนำพวกเขาออกจะประหลาดไปบ้าง ส่วนอื่นของวังมารนี้ก็ไม่มีอะไรผิดปกติ ฝีเท้าของคนในวังมั่นคง สีหน้าราบเรียบ ไม่เหมือนว่ามีเรื่องใดเกิดขึ้น


ในเมื่อไม่มีเรื่องใดเกิดขึ้น เช่นนั้นพวกเขามองพวกมู่จิ่วด้วยสีหน้าเช่นนั้นทำไม?


“ราชามารกำลังพักผ่อน พวกท่านเข้าไปก็พอแล้ว”


ระหว่างที่พูดก็เข้ามาด้านในประตูวังแล้ว ชาววังที่นำทางมาชี้ทางอยู่ตรงปากประตู ก่อนจะถอยไปยืนนิ่งหลายก้าว


เขาก็ไม่พาพวกนางเข้าไปเหมือนกัน?


มู่จิ่วยิ่งสับสนขึ้นทุกที ลู่ยากลับพูดขึ้นช้าๆ “ในเมื่อมาแล้วก็ไปเถิด” จากนั้นเดินเข้าประตูไปก่อน


เพียงแต่ตอนเข้าประตูไปนั้นกลับจับมือมู่จิ่วโดยไม่รู้ตัว ฝีเท้าก็ช้าลง


นี่ก็อยู่นอกเหนือความคาดหมายของมู่จิ่วเช่นเดียวกัน วังมารไม่ได้มืดทึบอย่างที่จินตนาการไว้ แต่ทุกที่กลับสว่างด้วยโคมไฟ ม่านปลิวไสว วัสดุที่ใช้ล้วนเป็นหยกขาว นอกจากสัญลักษณ์หลากสีแผ่กลิ่นอายโบราณที่สลักไว้บนหยก สัตว์ปีศาจที่ไม่รู้เรียกว่าอะไรซึ่งเฝ้ายามอยู่ตรงระเบียงทางเดิน และดอกพลับพลึงแมงมุมที่เห็นได้ทั่วทุกพื้นที่ อย่างอื่นที่เหลือล้วนไม่ต่างอะไรจากสวรรค์


ในความทรงจำนาง สถานที่ที่ปีศาจมารอยู่น่ากลัวยิ่งนัก แต่สถานที่นี้กลับดูเป็นมงคล ช่างทำให้คนแปลกใจจริงๆ


ลู่ยามองความสงสัยของนางออกจึงเอ่ย “ทงเทียนเจี้ยวจู่เป็นอาจารย์ม่อเหยียน แม่ทัพส่วนมากล้วนเป็นศิษย์ของลัทธิเจี๋ยในยามนั้น เส้นทางบำเพ็ญของพวกเขาเป็นสายธรรม เพียงแค่ความเห็นไม่ตรงกันเท่านั้น ถึงแม้แนวทางการประพฤติตนของพวกเขากับภพเซียนจะต่างกันมาก แต่นอกจากเรื่องทำตามอำเภอใจ เรื่องอื่นก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อการเป็นเผ่าพันธุ์ที่มีแบบแผนและมั่นคงเผ่าหนึ่ง”


มู่จิ่วเข้าใจดี จากนั้นจึงคิดถึงปิศาจและมารที่พบเจอระหว่างทาง ไม่มีปีศาจมารตนไหนไม่อยู่ในขอบเขตแล้วทำตามอำเภอใจ แม้แต่ปีศาจในป่ายังรู้สึกเช่นนี้ มิน่าล่ะ หลายปีมานี้ภพมารจึงสงบสุขไร้คลื่นลม


เช่นนี้ดูไปแล้วม่อเหยียนก็มีความสามารถอยู่บ้าง ไม่รู้ว่าเหมือนกับชายชุดเขียวผู้นั้นกี่ส่วน?


หากชายชุดเขียวไร้ความสามารถ จะยิ้มบางๆ อย่างเป็นธรรมชาติต่อหน้านาง และจะกล้าลักพาตัวนางภายใต้จมูกลู่ยาได้อย่างไร?


ไม่ต้องพูดถึงวิชา เอ่ยถึงเพียงท่าทางสงบราบเรียบนั้นก็มีน้อยคนนักจะเปรียบเทียบได้


เมื่อลู่ยาไม่พูด นางก็ไม่พูด


เดินไปเช่นนี้บนถนนสายเล็กๆ ก็พบกับตำหนักขนาดใหญ่สูงราวห้าหกจั้งที่ปลายถนน รั้วหยกที่หน้าตำหนักเต็มไปด้วยดอกสีขาวราวหิมะขนาดใหญ่ที่ไร้นาม ก้านดอกยื่นเข้าไปในระเบียงทางเดิน ตัดกับระเบียงหยกเขียวและม่านมุกสีแดงในประตูวัง ภาพนั้นพลันดูสวยงามลึกล้ำ


นี่ทำให้มู่จิ่วอดหวนนึกถึงห้องมืดสนิทที่นางอยู่กับชายชุดเขียววันนั้นไม่ได้ ความงดงามขอองห้องมืดนั้นคล้ายกับวังมารอยู่หลายส่วน ใจนางยิ่งตื่นเต้น อีกทั้งบรรยากาศในวังมารก็ไม่ปกติเท่าไหร่นัก ไม่เช่นนั้นแล้วทำไมเหล่าปีศาจน้อยที่นำทางมาก่อนหน้านี้จึงมีท่าทางเช่นนั้น?


นางมองลู่ยา เขาหันมาลูบท้ายทอยนาง จากนั้นเดินข้ามธรณีประตูไป


แต่ยังไม่ทันให้นางได้มองทิวทัศน์ของวังชัดเจน ก็พลันมีคนผู้หนึ่งบินเข้ามาหานางด้วยท่าทางประหลาด…


ลู่ยาดึงนางมาแต่ไม่ได้ย้ายที่ คนที่บินเข้ามางอร่างอยู่กลางอากาศก่อนร่วงลงไปบนพื้น มู่จิ่วเบิกตากว้าง ใจที่กำลังเต้นรัวอยู่เมื่อครู่เกือบหยุดไปแล้ว!


ที่แท้เป็นบุรุษร่างเปลือยเปล่าขาวผ่องผู้หนึ่ง! เขานอนหมอบอยู่ที่พื้น ทั้งยังร้องโอดครวญ…


นี่มันเรื่องอะไรกัน!


มู่จิ่วตะลึง แต่ลู่ยาไม่เป็นเช่นนั้น เมื่อเห็นชัดว่าสิ่งที่นอนคว่ำอยู่บนพื้นคืออะไร เขาพลันจับหน้านางหันไปทิศตรงกันข้ามด้วยความเร็วแสง!


…………………………………………………


บทที่ 302 มารขี้อาย

โดย

Ink Stone_Romance

“คนที่เพิ่งมาใหม่ล่ะ?”


ตอนนี้เอง เสียงยานคางทว่าแฝงไปด้วยความใจร้อนอย่างยิ่งดังมาจากหลังม่านมุก


มู่จิ่วยังไม่ทันคิดว่าจะตอบกลับไปอย่างไรดี ทันใดนั้นก็มีเงาร่างหนึ่งโผล่ออกมาวูบวาบ มีคนผู้หนึ่งปรากฏบนชั้นบันไดหินหยก เขาสูงราวแปดฉื่อ สวมเสื้อยาวลากพื้น ผมดำขลับปล่อยลงมาระบ่า มีดวงตาหงส์กระจ่างใสคู่หนึ่งบนกรอบหน้าอันหมดจด ใต้สันจมูกคมสัน ริมฝีปากล่างเม้มแน่น รัศมีสูงส่ง สั่นสะเทือนเก้าทวีป ดูออกว่าเขากำลังโกรธอยู่


แต่โกรธแล้วลอกคราบผู้อื่นโยนออกมาข้างนอกนี่มันคือเรื่องอันใดกัน…


อีกทั้งเขายังเผยช่วงอก เปิดกล้ามเนื้ออันหนั่นแน่นเหนือช่วงเอวอย่างไม่เกรงฟ้าดิน และช่วงล่าง…


นางไม่มีโอกาสได้เห็นช่วงล่าง เพราะเพิ่งเบนสายตาไป เสื้อคลุมที่หลุดรุ่ยของเขาพลันปิดกลับขึ้นมา! และลู่ยาที่อยู่ด้านข้างนางก็มีไอเย็นชาแผ่ออกมา หนาวเย็นจนนางตัวสั่น!


นางเบิกตากว้างมองไปอย่างละเอียด ใบหน้าดุดันอย่างยิ่งของชายผู้นั้นพลันเปลี่ยนไปแข็งค้าง ตอนนี้เองมีเสียงชายอีกคนดังจากด้านหลังม่านมุก “องค์ราชา ข้าน้อยเตรียมน้ำร้อนเรียบร้อยแล้ว รอเพียงเข้าไปอาบ…” คล้อยหลังเสียงนี้ คนที่แต่งหน้าจนดูไม่ออกว่าเป็นหญิงหรือชาย แต้มลายดอกไม้กลางหน้าผาก โผล่หน้าออกมาจากหลังม่านนั้น


เมื่อเห็นลู่ยากับมู่จิ่วยืนอยู่ตรงกลางตำหนัก เขาพลันปรบมือ “ที่แท้ก็มาแล้ว!” มองพวกเขาหัวจรดเท้า จากนั้นพยักหน้า “หน้าตาโดดเด่นยิ่งนัก!” ชายผู้นั้นพูดพลางดึงพวกมู่จิ่ว “ยังยืนนิ่งทำอะไร? ไม่รู้หรือว่าราชาทนรอไม่ไหวแล้ว? รีบตามข้าไปชำระล้างร่างกายเร็ว!”


มู่จิ่วตัวสั่น ตอนนี้ถึงเพิ่งรู้ว่าพวกเขาถูกมองเป็นอะไร!


มิน่าเล่า คนเหล่านั้นถึงได้มองพวกนางด้วยสายตาประหลาดมาตลอดทาง ที่แท้พวกเขาคิดว่าพวกนางเป็นนายบำเรอของบุรุษตรงหน้านี่? เช่นนั้นชายเปลือยกายเมื่อครู่ต้องถูกโยนออกมาหลังจากถูกชายป่าเถื่อนนั่นเชยชมแล้ว!


มู่จิ่วไม่คิดเลยว่าเมื่อมาถึงจะได้พบฉากคาวราคะเช่นนี้ ขณะเดียวกันก็ไม่รู้ว่าควรวางสายตาไว้ตรงไหนดี


“ว้าย!”


นางเพิ่งตกตะลึง ชายที่มาดึงพวกนางก็กระเด็นออกไปราวกับลมพัดทั้งที่ยังไม่ถึงตัวด้วยซ้ำ


ม่อเหยียนก้มหน้า ถลกเสื้อคลุมขึ้น ราชามารที่เมื่อครู่ยังดูน่าเกรงขามกลับคุกเข่าลงอย่างนอบน้อม “ข้าน้อยม่อเหยียนศิษย์วังหยกคล้อย คารวะอาจารย์อาใหญ่”


มู่จิ่วจดจ้องมองเขา เพียงเห็นเขาในตอนนี้ถึงแม้ไม่ได้สูญเสียกลิ่นอายราชาไป แต่กลับไม่มีท่าทางสุขสำราญเช่นชายชุดเขียว…ความรู้สึกที่ชายชุดเขียวมอบให้แก่นางคือถึงพายุคลั่งพัดผ่าน ผมเขาก็ไม่กระดิกสักเส้น และถึงแม้หกภพถล่มลง เขาก็คงไม่ขมวดคิ้วทำลายความสุขุมแม้แต่น้อย


แต่ม่อเหยียนดูปกติกว่าเขามากนัก อย่างน้อยยามนี้ก็ยังมีอารมณ์ความรู้สึก


หากเขาเป็นชายชุดเขียว เกรงว่าหากเผชิญหน้ากับลู่ยา นางก็มั่นใจว่าเขาจะไม่ดูหวาดกลัวเช่นนี้


เขาไม่ใช่ชายชุดเขียว


บางทีลู่ยาอาจดูออกเช่นเดียวกัน เขานั่งลงบนเก้าอี้ที่ไม่รู้โผล่มาเมื่อไหร่ เหลือบมองด้านล่างธรณีประตูพลางก้มหน้ามองม่อเหยียนอย่างโกรธเคือง พร้อมยิ้มเยาะให้นายบำเรอที่ลุกขึ้นมาอย่างยากลำบาก “สบายอกสบายใจยิ่งนักล่ะสิ”


“ศิษย์ไม่กล้า” ม่อเหยียนสะบัดแขนเสื้อ นายบำเรอผู้นั้นก็หายไป ก่อนเงยหน้าขึ้นมา “ศิษย์ไม่รู้ว่าอาจารย์อาใหญ่มาเยือน จึงไม่ได้ออกไปต้อนรับ อีกทั้งไม่คิดว่าพวกเขามีตาหามีแววไม่ ล่วงเกินท่านเข้า เป็นศิษย์ที่ผิดเอง ขออาจารย์อาใหญ่ให้อภัยด้วย”


เหล่าเซียนรับใช้ที่ไม่รู้ได้ข่าวจากไหนเรียงแถวกันยกชาและขนมเข้ามา ลู่ยาประคองถ้วยชา สีหน้าดูดีกว่าตอนเข้ามามากนัก กระทั่งไม่ถือสาที่เขาไม่สวมเสื้อผ้าชิ้นล่างทั้งยังเกือบให้มู่จิ่วเห็นเต็มตา


ม่อเหยียนยืนขึ้นมา มองมู่จิ่วอย่างไม่นอกเหนือความคาดหมายนัก


ไม่ทันได้มองจากคิ้วถึงสันจมูก ลู่ยาพลันเอ่ยคำที่ทำให้ความสนใจของเขาหายไปทันที “คารวะอาจารย์อาหญิง!”


มู่จิ่วเกือบสำลัก! จู่ๆ ลำดับรุ่นพลันอาวุโสขึ้น นางช่างยากจะปรับตัวจริงๆ


แต่นางยังประสานมือพลางพยักหน้ายิ้มให้ม่อเหยียน งดงามและเคร่งขรึม


ได้ยินมานานแล้วว่าตอนที่ม่อเหยียนลงสัญญากับอวี้ตี้ เขาเป็นคนที่รู้จักสถานการณ์ เขาตกใจอยู่ครึ่งวินาทีดังคาด แต่ก็คุกเข่าทำความเคารพอย่างนอบน้อมทันที


ถึงแม้ทั่วทั้งเก้าทวีปสี่ทะเลจะไม่มีใครเคยได้ยินว่าลู่ยาแต่งงานแล้ว แต่ในเมื่อเขายืนยันเองจากปาก การทำความเคารพนี้ไม่ว่าอย่างไรต้องทำ ภพมารของพวกเขาสามารถไม่สนใจฐานันดรเทียบเคียงกับใครก็ตามในหกภพ ยกเว้นก็เพียงแต่คนเหล่านั้นบนสวรรค์อันสู่งส่งที่ไม่อาจเทียบได้ พวกเขาปลีกตัวไม่เข้ากับฝั่งไหน ให้เขาทำตามกฎก็เป็นเรื่องง่ายๆ


ลู่ยารอจนม่อเหยียนทำความเคารพครบถ้วนแล้ว ถึงได้ให้เขานำกับแกล้มเหล้าขึ้นมาบนโต๊ะแปดเซียน พูดกับเขาที่นั่งขัดสมาธิอยู่ฝั่งตรงข้ามว่า “ช่วงนี้เกิดเรื่องเล็กน้อย เจ้ารู้หรือไม่?”


ม่อเหยียนจับเสื้อคลุมมาปิดต้นขา นั่งหลังตรง “ไม่ทราบว่าอาจารย์อาใหญ่หมายถึงเรื่องใด?”


“ไม่ต้องพูดเรื่องอื่น ปีก่อนเรื่องพลังวิญญาณเคลื่อนไหวที่คุนหลุนตะวันออก เจ้ารู้หรือไม่?”


ม่อเหยียนชะงัก “ความเคลื่อนไหวที่คุนหลุนตะวันออกเมื่อปีก่อน ข้าเพียงได้ยินมาว่าเป็นตระกูลอ๋าวตระกูลอวิ๋นก่อเรื่องขึ้น นอกจากนี้ข้ายังได้ยินมาว่าเบื้องหลังเรื่องนี้คือจื่อเยวี่ยผู้นำตระกูลอวิ๋นที่กลับมาเกิดใหม่ จากนั้นถูกทำร้ายตอนอยู่บนเขาในช่วงฟื้นฟูวิญญาณ ภายหลังจึงได้ยุ่มย่ามกับอ๋าวเชินเพื่อกุญแจจันทรา”


“ไม่ผิด” ลู่ยากินตับหงส์บนโต๊ะ “แต่ก่อนหน้านี้มีคนวางแผนจนเกือบทำให้ชิงชิวกับลัทธิฉ่านขัดแย้งกัน คดีนี้ถึงแม้สุดท้ายสืบได้ว่าเป็นแผนของอู่เต๋อเจินจวิน แต่หลังจากคลี่คลายคดีนี้เสร็จ ของวิเศษเหล่านั้นรวมทั้งเฟยอีเซียนหญิงที่อู่เต๋อและหลีหังแย่งชิงกันหายไปอย่างไร้ร่องรอย”


“ได้ยินว่าถึงแม้ปริมาณของของวิเศษเหล่านั้นจะไม่น้อย แต่ไม่ได้ร้ายกาจอันใดมากนัก” ม่อเหยียนพูด


“แต่พลังวิญญาณของของวิเศษเหล่านั้นล้วนเป็นของเซียนสายธรรม” ลู่ยาจดจ้องมองเขา “เจ้าดูแลภพมาร ต้องรู้ว่าหากรวบรวมพลังจากของวิเศษพันกว่าชิ้นแล้วจะทำอะไรได้บ้าง และยังมีจิตต้นกำเนิดของเซียนหญิงหายไปพร้อมกับของวิเศษเหล่านี้อีก”


ม่อเหยียนยกจอกเหล้าขึ้นมา ยังไม่ทันได้จรดริมฝีปาก สีหน้าพลันทะมึน “ของวิเศษ? หลอมวิญญาณ?”


ลู่ยาขมวดคิ้ว “แม้จะพบเห็นยากแต่ก็ยังมีอีก ก่อนหน้านี้ก็เกิดเรื่องที่ถิ่นทุรกันดารทางเหนือ เสือลายเหลืองพาหนะของสกุลเซียนหยวนสถาปนาตนเองเป็นราชา สร้างอาณาจักรหนานเซียงขึ้นมา ราชาของรุ่นนี้ชื่อเซวียนหยวนฮุ่ย เขาร่วมมือกับคนผู้หนึ่งหลอมวิญญาณร้าย”


สีหน้าม่อเหยียนทะมึนอยู่ครู่หนึ่ง คิ้วที่ขมวดอยู่พลันคลายออกก่อนเงียบลง


“วิญญาณในหกภพมีเพียงหนึ่งเดียว และถูกปฐมวิญญาณวางไว้ที่คลื่นจิตพสุธานานแล้ว ทำไมถึงยังมีคนต้องการหลอมวิญญาณอีก?” เขามองลู่ยาอย่างล้ำลึก


“นี่เป็นสาเหตุที่ข้ามาหาเจ้า”


ลู่ยาเขย่าเหล้าองุ่นในแก้ว “ถึงแม้วิญญาณในหกภพอยู่ที่คลื่นจิตพสุธา แต่ในหกภพยังมีพลังวิญญาณอยู่ หลอมออกมาอีกพลานุภาพก็ยังคงไม่น้อย หากรวบรวมวิญญาณทั้งหกอีกครั้ง และคนผู้นี้มีความสามารถ เช่นนั้นจะก่อเรื่องขึ้นก็ไม่ใช่เป็นไปไม่ได้เลย อย่างน้อย…ถ้าเขาควบคุมภพวิญญาณ แบ่งหกภพกับสวรรค์ ก็เป็นไปได้มากทีเดียว”


…………………………………………………………..

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)