กระบี่จงมา 298.2-300.2
บทที่ 298.2 ออกหมัด
ProjectZyphon
สำหรับงูขาวสิบกว่าตัวนั้น ลู่ไถไม่สนใจแม้แต่น้อย เขาตบพัดไม้ไผ่ปิดดังเพี๊ยะ แล้วเริ่มเอามันมาทำเป็นพู่กัน วาดยันต์ลงไปบนเสาคาน ภายใต้ ‘ปลายพู่กัน’ ที่ก็คือปลายพัดไม้ไผ่มีตัวอักษรและภาพวาดสีเงินเก่าแก่โบราณไหลพรั่งพรูออกมาอย่างต่อเนื่อง จากนั้นตัวอักษรที่เป็นเหมือนสิ่งมีชีวิตก็เริ่มเดินไปทั่วทิศตามคาน เสาใหญ่ บนพื้น แทรกซอนกลบทับเข้าไปในยันต์สีชาดทุกตัวที่มีอยู่แต่เดิมก่อนหน้านี้
ถือสิทธิแสดงบทบาทเจ้าบ้านแทนเสียเอง
ส่วนเส้นใยงูขาวที่ออกมาจากแส้ปัดฝุ่น ขอแค่ขยับเข้าใกล้ลู่ไถในระยะสองจั้งก็จะแตกสลายกลายเป็นฝุ่นผงไปเอง
บุรุษมองไม่ออกสักนิดว่านี่คือวิชาอะไรกันแน่ และนี่ต่างหากที่เป็นจุดที่น่ากลัวมากที่สุด
แต่เรื่องที่น่ากลัวกว่านี้เพิ่งจะปรากฏ คุณชายชุดเขียวที่หน้าตางดงามยิ่งกว่าอิสตรีเปิดเผยความลับสวรรค์ด้วยการยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ค่ายกลขนาดเล็กที่ข้าจัดวางเมื่อครู่นี้มักจะมีอยู่ในถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคล สามารถสกัดกั้นเวทคาถาทั้งหมดของคนนอกได้ ส่วนตัวเองที่อยู่ภายในก็เป็นดั่งอริยะ ฟังดูแล้วร้ายกาจมากเลยใช่ไหมล่ะ?”
ในใจของบุรุษสั่นสะเทือนไม่หยุด ลังเลอยู่ครู่ใหญ่ สุดท้ายก็หยุดส่ายแส้ปัดฝุ่นในมือ เอามันวางทาบลงบนแขนหนักๆ “เซียนซือท่านนี้ เจ้าไม่เพียงแต่ได้รับการสั่งสอนจากตระกูลอย่างลึกซึ้งกว้างไกล ตัวเองยังเปี่ยมไปด้วยวิชาอภินิหาร ข้านับถือ! ขอแค่เซียนซือยินดีเข้าใจและให้การสนับสนุน ข้ากับอาจารย์ยินดีมอบความจริงใจที่มากพอให้ ยกตัวอย่างเช่นความลับทั้งหมดในป้อมอินทรีบินล้วนจะตกเป็นของเซียนซือทั้งสองท่าน และข้ายังสามารถตัดสินใจโดยพลการ มอบค่าตอบแทนเป็นการส่วนตัวให้เจ้าอีกก้อนหนึ่ง เมื่อกลับไปจะขออาวุธวิเศษระดับสูงชิ้นหนึ่งจากอาจารย์มาให้เจ้า เซียนซือเห็นว่าอย่างไร?”
ลู่ไถตอบไม่ตรงคำถาม “อาจารย์ของเจ้าคือขอบเขตโอสถทอง?”
บุรุษพยักหน้ารับเบาๆ “เพื่อแสดงความจริงใจ ข้ายินดีบอกนามของอาจารย์ให้เจ้าทราบ เขาก็คือคนที่สังหารผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกรสองคนของไท่ผิงซาน…”
ลู่ไถรีบโบกมือ “หยุดเลยๆ เจ้านี่มันมีเจตนาอุบาทว์จริงๆ!”
บุรุษทำหน้ามึนงงไม่เข้าใจ “เหตุใดเซียนซือถึงกล่าวเช่นนี้?”
ลู่ไถถอนหายใจ “ผู้ฝึกตนอิสระขอบเขตโอสถทองน้อยๆ คนหนึ่งของใบถงทวีป ถูกขอบเขตชมมหาสมุทรอย่างเจ้าเอามาทำเป็นจิ้งจอกที่แอบอ้างบารมีเสือ ขู่ให้ข้าตกใจกลัวตายไม่ได้หรอก แต่ถ้าจะให้ข้าหัวเราะขำตายน่ะพอได้ เจ้าเกือบจะทำสำเร็จอยู่แล้วเชียว”
จากนั้นลู่ไถก็กุมท้องหัวเราะก๊าก
แน่นอนว่าผู้บงการที่อยู่เบื้องหลังจะมีตบะขอบเขตโอสถทองจริงหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
สีหน้าบุรุษหนักอึ้ง
มารดามันเถอะ ดันมาเจอกับพวกสมองมีรูเสียได้
ประเด็นสำคัญก็คือเจ้าคนที่จะเป็นบุรุษก็ไม่ใช่ เป็นสตรีก็ไม่เชิงผู้นี้ยังมีตบะลึกล้ำมาก ลึกล้ำจนถึงขั้นที่มองไม่เห็นก้นบึ้ง
ลู่ไถหุบยิ้ม เช็ดน้ำตาที่หางตา ดูท่าแล้วจะตลกขบขันมากจริงๆ “นอกจากพวกเจ้าสองอาจารย์และศิษย์ที่กำลังเลี้ยงทารกผีแล้ว ยังมีพันธมิตรเป็นยอดฝีมือคนอื่นอีกไหม?”
ในใจของบุรุษตกตะลึงสุดขีด ยิ้มเจื่อนกล่าวว่า “การกระทำที่ผิดทำนองคลองธรรมแบบนี้ คนล่างภูเขารู้สึกว่าสำนักฝูจีอยู่ห่างไปไกลเป็นพันลี้ ไกลมากๆ แต่ในสายตาของข้า ไม่ได้ถือว่าไกลขนาดนั้น เจ้าคิดว่าแค่คนสองคนก็กล้าวางแผนใหญ่ขนาดนี้เชียวหรือ? จะสามารถควบคุมแผนการครั้งนี้ได้ไหวหรือไง?”
ลู่ไถร้องอ้อหนึ่งที “ดูท่าพวกเจ้าสองอาจารย์และศิษย์คงอยากฮุบผลประโยชน์ไว้เพียงลำพังสินะ?”
บุรุษแสร้งทำสีหน้าสุขุมไม่สะทกสะท้าน แต่ในใจกลับด่ามารดาอีกฝ่ายไม่หยุด
ลู่ไถเอ่ยสัพยอก “รู้สึกกระอักกระอ่วนมากเลยใช่ไหมล่ะ ค่าตอบแทนที่ข้าต้องการ พวกเจ้าไม่มีทางนำมามอบให้ได้ แต่พวกเราที่เป็นคนนอกสองคนตีกันเอาเป็นเอาตาย จะทำลายแผนการที่ถูกวางไว้อย่างยากลำบากมาหลายสิบปีได้งั้นหรือ?”
ถูกพูดแทงใจดำ สีหน้าของบุรุษก็แผ่ปราณสังหารออกมาทันที “เจ้าตัดสินใจแล้วจริงๆ หรือว่าจะสอดมือเข้ามายุ่งเรื่องนี้ ไม่กลัวว่าจะพินาศวอดวายกันไปทั้งสองฝ่ายงั้นรึ?”
โทสะอัดแน่นอยู่ในอกของบุรุษ “เป็นอย่างที่เจ้าพูดจริง ข้ากับอาจารย์มิอาจมอบผลประโยชน์ที่มากพอให้พวกเจ้าสองคนได้ แต่จะว่าไปแล้ว การที่พวกเจ้ายื่นมือเข้าแทรกเรื่องนี้จะได้รับประโยชน์อะไร? ทารกผีถูกฟูมฟักหล่อเลี้ยงขึ้นมาจากวิชาลับเฉพาะของอาจารย์ข้าจริง ใต้หล้านี้มีอยู่ตนเดียว แล้วนับประสาอะไรกับที่ทารกผียอมรับนายตั้งนานแล้ว ถอยไปพูดหมื่นก้าว เจ้าโชคดีช่วงชิงมันไปได้ แต่จะเลี้ยงได้รอดอย่างนั้นรึ?!”
ลู่ไถหมุนพัดไม้ไผ่ ใช้ปลายด้านล่างเคาะคานเบาๆ ท่วงท่าผ่อนคลายสบายอารมณ์สุดขีด “จะไม่อนุญาตให้ข้ากระทำความดีแสดงคุณธรรมน้ำมิตรบ้างเลยรึ”
บุรุษโกรธจนแทบระเบิด ริมฝีปากสั่นระริก หากไม่เป็นเพราะสตรีแต่งงานแล้วที่ในหัวใจมีทารกผีอยู่ตรงนี้ด้วย หากเกิดความเสียหายเล็กๆ น้อยๆ จะส่งผลกระทบต่อการเติบโตหลังถือกำเนิดของทารกผี จะทำลายแผนใหญ่ร้อยปีในอนาคตของอาจารย์ หากไม่เป็นเพราะมีความกังวลในหลายๆ เรื่อง เขาก็อยากจะทุ่มสุดความสามารถที่มี ต่อสู้ตัดสินให้รู้เป็นรู้ตายกับเจ้าหมอนี่สักครั้ง
ลู่ไถพูดเหมือนราดน้ำมันลงบนกองไฟ “ตอนนี้ไม่รู้สึกว่าเบื่อหน่ายอีกแล้วใช่ไหม? จะขอบคุณข้ายังไงดีล่ะ?”
คราวนี้กลายเป็นว่าบุรุษหน้าเขียวคล้ำ ไม่ได้ดีไปกว่าคนสกุลหลวนของป้อมอินทรีบินที่ถูกเวทลับควันพิษสักเท่าไหร่
ลู่ไถพลันหมดสนุก หุบพัด เทยาสีขาวหิมะหลายเม็ดจากชายแขนเสื้อมาไว้กลางฝ่ามือ จากนั้นก็โยนเข้าไปตามกระถางไฟที่ใช้เผากิ่งสนกิ่งไป่ ใช่ว่าบุรุษถือแส้ปัดฝุ่นจะไม่อยากขัดขวาง แต่หลังจากกระบี่บินที่ใหญ่จนน่าเหลือเชื่อเล่มนั้นปรากฎตัวขึ้นอีกครั้งแล้วร่วงดิ่งลงมาจากอากาศเบื้องบนครั้งแล้วครั้งเล่า ยังไม่ทันสัมผัสพื้นก็ลอยขึ้นใหม่ ทำเอาเขาที่วุ่นอยู่กับการหลบเลี่ยงรู้สึกเปลืองแรงอย่างมาก
จากนั้นปราณสังหารที่แท้จริงก็พุ่งพรวดเข้ามา
บุรุษถือแส้เกือบจะโดนเล่นงานจึงร้องคำรามอย่างเดือดดาล แส้ปัดฝุ่นเหลือแค่ด้ามยาวที่สลักคำว่า ‘ขจัดทุกข์’ เท่านั้น เส้นใยสีขาวหิมะทั้งหมดล้วนหลุดออกจากด้าม กลายเป็นงูขาวมีปีกจำนวนนับไม่ถ้วนที่บินว่ายวนอย่างรวดเร็ว ส่งเสียงดังอื้ออึงบาดแหลมแสบแก้วหู โอบล้อมปกป้องเขาไว้ตรงกลางอย่างแน่นหนา
บุรุษลูบคลำข้างแก้มของตัวเองที่ถูกบาดลึกจนเป็นร่องเลือดเห็นถึงกระดูก หากไม่เป็นเพราะเบี่ยงหน้าหลบได้เร็วพอ เกรงว่าคงถูกกระบี่นั้นแทงทะลุศีรษะไปแล้ว
กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสองเล่ม!
อีกทั้งยังเชี่ยวชาญด้านค่ายกล!
คำพูดคำจาวางโตไม่มีละอาย กล่าวว่าค่ายกลของตระกูลตัวเองเป็นหนึ่งไม่มีสองในใต้หล้า!
ลู่ไถหลุดหัวเราะพรืด “พาตัวมาติดร่างแหเอง โทษคนอื่นไม่ได้นะ”
บนเสาใหญ่ ตัวอักษรสีเงินเหล่านั้นส่องประกายแสงระยิบระยับ จากนั้นก็ร้อยเรียงเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน ถักทอให้ห้องโถงใหญ่กลายเป็นตาข่าย
ส่วนเส้นด้ายที่ถักทอแหดักปลานี้ก็คือตัวอักษรและภาพวาดทั้งหลายที่ลอยอยู่กลางอากาศ
ในแหจับปลา นอกจากบุรุษที่ไม่ทันระวังถูกกักตัวอยู่ภายในแล้ว ยังมีกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสองเล่มของลู่ไถอย่างเจินเจียนและม่ายกวาง
ลู่ไถพลิ้วกายลงมาจากคานด้านบน ไม่สนใจกรงขังแห่งนั้น เขาเดินเข้าหาฮูหยินเจ้าปราสาทที่ใบหน้าไร้สีเลือด ดวงตาทั้งคู่ของสตรีแต่งงานแล้วไร้ชีวิตชีวา เหงื่อแตกท่วมร่าง ตรงเก้าอี้ที่นางนั่งยังมีกลิ่นคาวจางๆ ลอยออกมา
เดินผ่านข้างกายสตรีผู้หนึ่งที่นั่งอยู่กลางห้องโถง สตรีแต่งงานแล้วที่วิถีวรยุทธ์แอบเลื่อนสู่ขอบเขตสี่อย่างลับๆ ผู้นี้สามารถขยับร่างกายได้เป็นปกติแล้ว นางกำลังโอบเด็กหนุ่มที่ใบหน้าแห้งตอบ สีหน้าทึ่มทื่อเลื่อนลอยเข้ามาไว้ในอ้อมกอด
ก่อนหน้านี้หลังจากที่ลู่ไถโยนไข่มุกเหล่านั้นลงไปในกระถางไฟ ควันสีขาวหิมะจึงคลุ้งกระจายไปรอบด้านเป็นระลอก พอทั้งเด็กและผู้ใหญ่แห่งป้อมอินทรีบินสูดดมเข้าไป สีหน้าก็ค่อยๆ กลับมาแดงปลั่ง ทว่าถึงแม้ร่างกายของทุกคนจะไม่เป็นอะไร แต่พลังจิตกลับถูกเผาผลาญไปอย่างหนัก อายุขัยเกิดความเสียหายอย่างเลี่ยงไม่ได้
สตรีแต่งงานแล้วพลันหันหน้ามาถามเอาผิดกับแผ่นหลังของลู่ไถ “ทำไมก่อนหน้านี้เจ้าต้องพูดเรื่องพวกนั้น เจ้าเองก็เป็นตัวการชั่วร้ายเหมือนกัน!”
ลู่ไถหันหน้ากลับมามองนางแล้วยิ้มบางๆ ถามว่า “ถ้าไม่อย่างนั้นให้ข้าสังหารพวกเจ้าสองคนเสียตั้งแต่ตอนนี้ไปเลยดีไหม ให้หมดเรื่องกันไป จะได้ไม่ต้องทุกข์ไม่ต้องกังวลอีก?”
สตรีแต่งงานแล้วที่กอดเด็กหนุ่มรีบก้มหน้าลง ไม่กล้ามองลู่ไถอีก
ลู่ไถเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าฮูหยินเจ้าปราสาท เอามือสองข้างไพล่หลัง ก้มตัวลงมองนาง “ตอนนี้พลังต้นกำเนิดแห่งชีวิตของเจ้าแทบไม่เหลืออยู่เลย ถึงอย่างไรก็ต้องตายสถานเดียวเท่านั้น ตอนนี้ก็อยู่ที่ว่าเจ้าจะเลือกตายอย่างมีคุณค่า หรือเลือกที่จะตายเพราะถูกคนอื่นกำจัดแล้ว”
ในการมองเห็นของลู่ไถ ใบหน้างามพิสุทธิ์ของสตรีแต่งงานแล้วปริร้าวแตกระแหงเป็นร่องลึก แผ่กลิ่นอายแห่งความตายสีดำออกมาเป็นเส้นๆ ดวงตาคลอประกายน้ำชุ่มฉ่ำในสายตาของคนปกติก็ยิ่งกลายมาเป็นสีดำสนิททั้งดวง
สตรีแต่งงานแล้วที่มีชีวิตสูงศักดิ์อยู่ดีกินดีผู้นี้ไร้ปฏิกิริยาตอบโต้ ทำสีหน้าเลื่อนลอยไม่เข้าใจอะไรทั้งสิ้น
ลู่ไถเอ่ยยิ้มๆ “เลิกเสแสร้งได้แล้ว ข้ารู้ว่าวิญญาณของเจ้ากลับเข้าร่างแล้ว ฉวยโอกาสตอนนี้ที่เจ้ามีสติก่อนตาย และยังมีพละกำลังเหลือพอให้ตัวเองได้เลือก ข้าจะเคารพการตัดสินใจของเจ้า ผ่านไปอีกครึ่งก้านธูป ร่างเจ้าจะไม่ใช่ของเจ้าอีกต่อไป ถึงเวลานั้นข้าจะไม่เกรงใจเจ้าอีก”
หลวนหยางกำลังจะลุกขึ้นพูด แต่ลู่ไถกลับโบกชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง เขาจึงถูกผนึกความรู้สึกทั้งห้า นั่งนิ่งอยู่ที่เดิม กลายมาเป็นเหมือนหุ่นเชิดตนหนึ่งในเสี้ยววินาที เพียงแต่ดวงตาเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและการอ้อนวอน
สตรีแต่งงานแล้วเงยหน้าขึ้นช้าๆ พึมพำว่า “ไม่ต้องตายได้ไหม?”
ลู่ไถถอนหายใจ จู่ๆ ก็หาคำพูดมาโต้ตอบอีกฝ่ายไม่ออก
เงียบงันไปนาน ลู่ไถหันกลับไปทางประตูใหญ่ เอนกายพิงเก้าอี้ที่สตรีแต่งงานแล้วนั่งอยู่ พูดเสียงอ่อนโยนว่า “ถ้าอย่างนั้นก็มีชีวิตอยู่ต่ออีกสักครู่หนึ่งแล้วกัน”
……
นอกหอหลักของป้อมอินทรีบิน
ผู้เฒ่าแต่งกายมอซอมองไก่ตัวผู้ที่กินข้าวเหนียวและน้ำพุสะอาดตายคาที่ไปกับตาของตัวเอง
วันนี้หลวนฉางกับหลวนซูก็ติดตามมาอยู่ข้างกายของนักพรตหวงซ่างและเถาเสียหยางโดยบังเอิญพอดี เพราะสองพี่น้องไม่ต้องการหลบอยู่ใน ‘รังที่สุขสงบ’ อย่างหอหลัก ไม่อยากจะหลบอยู่ภายใต้ปีกปกป้องของ ‘เซียนซือไท่ผิงซาน’ ผู้นั้น ในเมื่อผู้เฒ่ายังเดินอยู่ภายนอก พวกเขาสองพี่น้องก็อยากจะให้ความช่วยเหลือด้วยอีกแรง
ผู้เฒ่าเงยหน้ามองทะเลเมฆสีดำที่กดทับลงมาอย่างต่อเนื่องแล้วกัดฟัน คราวนี้คงต้องเรียกสมบัติก้นกรุออกมาใช้แล้ว เขาจึงนำถ้วยสีขาวใบใหญ่สองใบออกมาถือไว้ในมือข้างละใบ แล้วหันไปพูดกับคู่พี่น้องว่า “ข้าต้องยืมเลือดจากพวกเจ้าสองคนสักสองสามหยด ถึงจะสามารถเชื้อเชิญสิงโตหินสองตนหน้าประตูศาลบรรพชนสกุลหลวนของพวกเจ้าได้ นี่คือวัตถุพิทักษ์เรือนที่ในปีนั้นท่านปู่ของพวกเจ้าขอมาจากยอดฝีมือคนหนึ่ง คือท่าไม้ตายที่แท้จริงของป้อมอินทรีบิน”
ผู้เฒ่าชูมือสองข้างขึ้นสูง กล่าวเสียงหนัก “เร็วเข้า! จากนั้นพวกเราต้องรีบไปที่ศาลบรรพชน! ช้ากว่านี้จะไม่ทันกาลแล้ว!”
หลวนฉางหลวนซูหันมามองหน้ากัน จากนั้นก็ใช้มีดกรีดฝ่ามืออย่างไม่ลังเล แล้วแยกกันบีบเลือดใส่ถ้วยขาวกลางฝ่ามือของนักพรตเฒ่า
ผู้เฒ่าพลิกข้อมือ ถ้วยขาวสองไปก็หายวับไป “ตลอดทางนี้อาจจะเจอกับภูตผีเข้ามาขัดขวาง ข้าอาจจะไม่มีเวลาได้ดูแลพวกเจ้า พวกเจ้าสี่คนต้องดูแลตัวเองให้ดี หรืออาจยังต้องช่วยเปิดทางให้ข้า ตายไปแล้วอาจไม่มีคนช่วยเก็บศพให้พวกเจ้า ดังนั้นจะไปหรือไม่ไป ตอนนี้พวกเจ้าจงตัดสินใจให้ดี”
สองพี่น้องและสองเพื่อนรักพยักหน้ารับพร้อมกัน
ผู้เฒ่าจึงตวาดเบาๆ “ไป!”
เป็นอย่างที่ผู้เฒ่าคาดการณ์ไว้ วัตถุหยินที่หลบซ่อนตามตำแหน่งต่างๆ ของป้อมอินทรีบินเหมือนจะรู้จุดประสงค์ของผู้เฒ่า จึงพากันกรูออกมา ไม่แอบอำพรางตนอีกต่อไป
เด็กหนุ่มชุดขาวคนหนึ่งพลันปรากฏตัวบนหลังคาบ้านหลังหนึ่ง เขายืนอยู่บนชายคาที่ตวัดงอน กำลังทอดสายตามองไปยังทิศไกล ตำแหน่งที่มองไปก็คือจุดที่กลุ่มของผู้เฒ่ากระโดดขึ้นบนหลังคาแล้ววิ่งตะบึงไปทางศาลบรรพชน
ปลายนิ้วของสองมือเฉินผิงอันต่างก็คีบยันต์ไว้แผ่นหนึ่ง ก่อนที่เขาจะปล่อยออกเบาๆ พลางเอ่ยว่า “ชูอี สืออู่!”
แสงกระบี่สองเส้นพายันต์สองแผ่นพุ่งไปยังศาลบรรพชนตระกูลหลวนอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็พากันนำยันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจไปปักตรึงบนเสาสองต้น
ประกายแสงสีทองเจิดจ้าสองกลุ่มระเบิดขึ้นบนเสาคานทันที หลังจากนั้นแสงสองเส้นก็กลับมาอยู่ข้างกายเฉินผิงอันก่อนที่ยันต์กระดาษเหลืองอีกสองแผ่นจะถูกพวกมันพาไปบนหลังคาสองแห่งที่อยู่ห่างจากเบื้องหน้าของกลุ่มผู้เฒ่าไปไม่ไกล
การไปกลับครั้งสุดท้าย ชูอีกับสืออู่ได้พายันต์สยบปีศาจอีกสองแผ่นไปเปิดทางให้ผู้เฒ่าเนื้อตัวสกปรก
เฉินผิงอันใช้ยันต์สยบปีศาจหมดแล้ว จึงไม่ได้ไปจับตามองความเคลื่อนไหวที่ศาลบรรพชนอีก
เดินทางอยู่ในยุทธภพ กำจัดปีศาจปราบมาร ความเป็นความตายล้วนต้องรับผิดชอบด้วยตัวเอง
ทำชั่วเป็นเช่นนี้ ทำความดีก็ยิ่งเป็นเช่นนี้
เมฆดำเหนือศีรษะกำลังจะกดทับลงบนนคร
ราวกับว่าม่านฟ้าลดตัวลงต่ำจนคนรู้สึกว่าแค่เอื้อมมือไปก็คว้าถึง แค่พวกชาวบ้านพูดเสียงดังหน่อยก็อาจได้ยินไปถึงหูของเซียนที่อยู่บนสวรรค์
เฉินผิงอันเงยหน้ามองไป
คนในยุทธภพของป้อมอินทรีบินมองไม่เห็นภาพเหตุการณ์เหนือเมฆดำ แต่เขามองเห็น
ผู้เฒ่าสวมกวานสูงที่ไม่รู้ว่าตบะลึกล้ำหรือตื้นเขินท่านหนึ่งกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนเบาะสีแดง ปากท่องคาถาบังคับให้ทะเลเมฆสีดำที่ปกคลุมทับขอบเขตของป้อมอินทรีบินค่อยๆ กดทับลงมา เวลาสำคัญมาถึงแล้ว ผู้เฒ่าจะใช้เลือดชำระล้างป้อมอินทรีบิน ดึงเอาแก่นเลือดเนื้อทั้งหมดมาหล่อเลี้ยงทารกผีที่จะแหวกหัวใจถือกำเนิดตนนั้น
เฉินผิงอันเริ่มกระโดดไปตามหลังคาแห่งต่างๆ ร่างของเขาพุ่งไปด้วยความเร็วสุดขีด เนื่องจากสวมชุดคลุมสีขาวจึงเหมือนลากเอารุ้งสีขาวหิมะตามหลังไปด้วย
สุดท้ายเขาพลิ้วกายลงบนสนามประลองยุทธ์ของป้อมอินทรีบิน นอกจากเฉินผิงอันแล้วก็ไม่มีใครอีก
เฉินผิงอันกระทืบเท้าเบาๆ สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง
เข่าสองข้างงอลงเล็กน้อย ตั้งท่าหมัดโบราณที่เปี่ยมไปด้วยพลังอำนาจอันไพศาล
กระบวนท่าไอเมฆเหนือบึงใหญ่
จินหลี่ชุดคลุมอาคมบนร่างของเฉินผิงอันที่ถูกร่ายเวทอำพรางตาไว้ บัดนี้ก็เผยโฉมหน้าที่แท้จริงแล้วเช่นกัน
ชุดคลุมยาวสีทองที่มีเจียวหลงว่ายวน
เฉินผิงอันหลับตาลง ปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์ในร่างเฮือกนั้นไหลเวียนอย่างรวดเร็วตามการโคจรของปราณกระบี่สิบแปดหยุด ประหนึ่งน้ำของแม่น้ำสายใหญ่ที่ไหลลงสู่มหาสมุทร
เฉินผิงอันพลันลืมตาโพลง ยกเท้าข้างหนึ่งกระทืบลงไปแรงๆ
ไม่เพียงแต่สนามประลองยุทธ์ทั้งแห่งที่สั่นสะเทือน อาวุธจำนวนนับไม่ถ้วนที่อยู่บนชั้นวางไม้ก็ร่วงกราวลงมาด้วย ถนนหลายเส้นในบริเวณใกล้เคียงล้วนเกิดฝุ่นคลุ้งตลบอบอวลไปทั่ว
หนึ่งหมัดถูกปล่อยขึ้นฟ้าไปก่อน
หลังจากนั้นก็ปล่อยหมัดออกไปอีกรัวๆ
เป็นกระบวนท่าของไอเมฆเหนือบึงใหญ่ แต่ปณิธานหมัดกลับเป็นของกระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้า!
ผู้เฒ่าแซ่ชุยบนเรือนไม้ไผ่ไม่เคยสอนวิชาหมัดแบบนี้ให้เฉินผิงอัน
ทุกครั้งที่เฉินผิงอันปล่อยหมัดออกไปจะต้องอาศัยแรงส่งจากการกระทืบเท้าด้วย
พื้นดินสั่นสะเทือนส่งเสียงดังครืนครั่น แทบไม่ต่างจากวัวดินพลิกตัว
ผู้เฒ่าเคยบอกว่าเมื่อปล่อยกระบวนท่าไอเมฆเหนือบึงใหญ่ออกไป ครั้งแรกที่หมัดนี้ปรากฏขึ้นบนโลกก็สามารถต่อยให้ม่านฝนบนท้องฟ้าถอยกลับขึ้นไปหนึ่งร้อยจั้ง ไม่กล้าแตะต้องโลกมนุษย์อีก
เฉินผิงอันไม่ได้คิดอะไรมาก แค่อยากให้เมื่ออยู่ต่อหน้าหมัดของข้า ทะเลเมฆอึมครึมในเวลานี้ล้วนต้องกลิ้งกลับขึ้นไปบนฟ้า เหมือนม่านน้ำฝนที่กดทับลงมาเหนือศีรษะของผู้เฒ่าในเวลานั้น!
โดยที่ไม่ทันรู้ตัวการกระทำของเขากลายเป็นสิ่งที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน
บทที่ 299 ปล่อยหมัดไม่หยุด
ProjectZyphon
ก่อนหน้าที่เฉินผิงอันจะปล่อยหมัดแรกออกไป
บนศีรษะของผู้เฒ่าที่อยู่บนก้อนเมฆสวมกวานห้าขุนเขา เป็นภาพวาดจริงของขุนเขาทั้งห้า ตัวกวานส่องประกายแสงแวววาว มีเสียงต้นสนโบกสะบัด เสียงนกกระเรียนร้อง เสียงน้ำพุไหลรินตามขุนเขาดังลอยมาให้ได้ยินแว่วๆ
ผู้เฒ่าบังคับให้ทะเลเมฆเลื่อนลงไปด้านล่างอย่างมาดมั่นราวกับว่าในมือกุมกองกำลังทหารม้านับพันนับหมื่น และกำลังบุกพิชิตสถานที่เล็กๆ แห่งหนึ่ง ผู้เฒ่าหรี่ตามองไปทางสนามฝึกยุทธ์ของป้อมอินทรีบินแล้วหลุดหัวเราะพรืด เด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมคนหนึ่งก็กล้าเป็นมดที่ริเขย่าคลอนต้นไม้ใหญ่ ไม่รู้จักกลัวตายจริงๆ ทารกผีที่ถือกำเนิดในหัวใจของฮูหยินเจ้าปราสาทผู้นั้น พวกเขาสองคนอาจารย์และศิษย์วางแผนมาเกือบสี่สิบปี ต้องทำสำเร็จให้จงได้ ความยากลำบากและเงินทองมหาศาลที่ทุ่มเทไประหว่างนี้ รวมไปถึงโอกาสประจวบเหมาะที่ลี้ลับ คนนอกไม่อาจมารับรู้ด้วยได้
จุดประสงค์แรกในการสร้างป้อมอินทรีบินแห่งนี้ไว้ในผืนป่าเกรงว่าคงถูกฝังลงหลุมตามเจ้าปราสาทรุ่นแรกไปนานแล้ว ทว่าผู้เฒ่ากลับรู้จุดประสงค์ที่ว่านั้น ตอนนั้นเซียนดินสองคนจากสำนักฝูจีและไท่ผิงซานซึ่งเป็นตระกูลเซียนสองแห่งที่ใหญ่ที่สุดของภาคกลางใบถงทวีปเกิดความขัดแย้งกัน ถึงขั้นลงไม้ลงมืออย่างรุนแรง ผู้ฝึกตนขอบเขตโอสถทองของสำนักฝูจีคิดไม่ถึงเลยว่าผู้ฝึกตนของไท่ผิงซานที่ตนไปมีเรื่องด้วยจะเป็นถึงยักษ์ใหญ่ขอบเขตก่อกำเนิดที่อำพรางตัวอย่างมิดชิดคนหนึ่ง!
ฝ่ายหลังรู้ว่าช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตกำลังจะมาถึง ตัวเองไม่มีหวังที่จะฝ่าทะลุขอบเขต หลังจากสั่งเสียเรื่องทุกอย่างเสร็จก็ออกจากภูเขา เริ่มเดินทางไปทั่วทิศ แม้ว่าจะเป็นคนที่ทั้งร่างกายและจิตวิญญาณต่างก็แห้งเหี่ยวโรยรา ทว่าถึงอย่างไรอูฐที่ผอมตายก็ยังตัวใหญ่กว่าม้า เขาเล่นงานจนผู้ฝึกตนโอสถทองสำนักฝูจีเกือบตายคาที่ ฝ่ายหลังเผ่นหนีไปตลอดทาง แต่ก็ยังถูกก่อกำเนิดของไท่ผิงซานตามมาทันที่แถบของป้อมอินทรีบินในปัจจุบัน ก่อกำเนิดของไท่ผิงซานยืนกรานว่าจะไม่ปล่อยอีกฝ่ายไป ไม่เห็นสำนักฝูจีอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย ตัดสินใจเด็ดขาดแล้วว่าจะฆ่าผู้ฝึกตนโอสถทองของสำนักฝูจีคนนั้นให้ได้
ผู้ฝึกตนโอสถทองเห็นว่าไม่มีหวังที่จะรอด จึงเกิดความคิดสุดโต่งที่จะให้พินาศวอดวายกันไปทั้งสองฝ่าย ดังนั้นจึงใช้เวทต้องห้ามอย่างหนึ่งของสำนักฝูจี เพราะตอนนั้นผู้ฝึกตนโอสถทองเป็นเหมือนม้าตีนปลายแล้ว ความหวังที่จะเชื้อเชิญเทพที่มีวิชาอภินิหารลึกล้ำซึ่งเป็นวิชาสืบทอดดั้งเดิมของสำนักจึงมีหวังไม่มากแล้ว ดังนั้นเขาจึงใช้แก่นเลือดทั้งหมดเรียกมารยุคบรรพกาลตนหนึ่งที่มีบันทึกไว้ในตำราลับของสำนักฝูจีออกมา มารตนนั้นสูงกว่าหนึ่งจั้ง เกิดจากการรวมตัวกันของปราณชั่วร้าย ร่างกายเหมือนห่มเกราะหนักสีดำสนิทตัวหนึ่ง อันที่จริงหลังจากผู้ฝึกตนขอบเขตโอสถทองเรียกมารตนนี้ออกมา ตัวเองก็ขาดใจตายไปแล้ว เนื้อหนังมังสาแหลกสลายกลายเป็นฝุ่นผงอยู่กลางอากาศไปนานแล้ว
ใช่ว่าก่อกำเนิดแห่งไท่ผิงซานจะหนีไปจากตรงนั้นไม่ทัน แต่สุดท้ายเขาก็ยังเลือกที่จะต่อสู้กับมารจนถึงที่สุด ปล่อยสมบัติอาคมและวิชาอาคมเข้าใส่มารร้ายประหนึ่งสายฝนซัดสาด เนื้อหนังของผู้ฝึกตนเฒ่าปริแตก จิตวิญญาณแกว่งไกว จนกระทั่งโอสถทองระเบิดแตก เทพหยินที่ปล่อยออกจากช่องโพรงลมปราณมาต่อสู้ได้ตายไปก่อน ส่วนตัวผู้ฝึกตนก่อกำเนิดกลับยังต่อสู้อย่างเต็มคราบสาแก่ใจ สุดท้ายตายไปพร้อมกับร่างแยกของมารที่เยื้องกรายมายังโลกมนุษย์ตนนั้น
ศึกใหญ่อันน่าครั่นคร้ามนี้ทำให้ปราณหยินรอบรัศมีร้อยลี้ใต้ฝ่าเท้าคนทั้งสองมารวมตัวกัน จนแทบไม่เป็นรองสนามรบโบราณแห่งหนึ่งที่ฝังร่างและโครงกระดูกของทหารไว้หลายแสนคน
ผู้ฝึกตนก่อกำเนิดของไท่ผิงซานยังคงเป็นห่วงใต้หล้า กลัวว่าปราณหยินที่กระจายออกไปจะส่งผลกระทบต่อโชคชะตาภูเขาและแม่น้ำในรัศมีพันลี้ใกล้เคียง จิตวิญญาณที่เหลืออยู่จึงฝืนประคับประคองตัวเองเอาไว้ จนได้ไปเจอกับนายพรานเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ขึ้นเขามาตัดไม้ จึงถ่ายทอดวิชาลับสยบความชั่วร้ายคว้าชัยชนะอย่างหนึ่งและวิชาการโจมตีอีกอย่างหนึ่งให้แก่เด็กหนุ่ม คือวิชาดาบที่แกร่งกร้าวและเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายของปราณหยาง ผู้ฝึกตนก่อกำเนิดยังบอกให้นายพรานหนุ่มคนนั้นสร้างปราสาทหลังหนึ่งไว้ที่นี่ แตกกิ่งก้านสาขาออกไป อาศัยลูกหลานของผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวให้กำเนิดคนรุ่นหลัง ใช้ปราณหยางกดทับปราณหยินกลุ่มนั้น ขณะเดียวกันลูกหลานสกุลหลวนที่ฝึกวิชาดาบอยู่ที่นี่ เนื่องจากมีปราณหยินที่มองไม่เห็นช่วยขัดเกลา จึงเป็นเหมือนหินลับมีดที่ดีที่สุดก้อนหนึ่ง การพัฒนาวิถีวรยุทธ์ของลูกหลานสกุลหลวนจึงมักจะได้ผลลัพธ์สองเท่าโดยใช้ความพยายามเพียงครึ่งเดียว และนี่ก็เป็นสาเหตุให้คนรุ่นหลังของป้อมอินทรีบินมีผู้มีพรสวรรค์มากมายถือกำเนิด จนกระทั่งป้อมอินทรีบินขึ้นสู่ฐานะผู้นำของยุทธภพ
หลังจากฝึกวรยุทธ์จนประสบความสำเร็จแล้ว ภายนอกเจ้าประมุขของป้อมหลายรุ่นซึ่งรวมถึงนายท่านผู้เฒ่าหลวนมักจะออกท่องยุทธภพโดยใช้ข้ออ้างว่าหวังสร้างชื่อเสียงให้แก่ป้อมอินทรีบิน แต่แท้จริงแล้วกลับแอบตามหาเซียนตามภูเขาและแม่น้ำอย่างลับๆ เพราะทุกคนต่างก็มีความคิดอยากกำจัดปราณหยินที่เข้มข้นเกินไปของป้อมอินทรีบินให้สิ้นซาก แต่ปีนั้นนายท่านผู้เฒ่าหลวนตายอย่างประหลาด หลวนหยางบุตรชายคนโตที่พรสวรรค์ด้านการฝึกวรยุทธ์ไม่โดดเด่นรับช่วงต่อตำแหน่งเจ้าประมุขอย่างฉุกละหุก เพียงไม่นานก็มีคนลัทธิมารของแคว้นเฉินเซียงร่วมมือกันมาโจมตีป้อมอินทรีบิน ดังนั้นสายสัมพันธ์ระหว่างเทพเซียนก่อกำเนิดและนายพรานบรรพบุรุษจึงขาดไปแล้ว ความสัมพันธ์มากมายที่บรรพบุรุษหลายคนสร้างขึ้นอย่างยากลำบากก็ไม่ได้รับการสืบทอด ยกตัวอย่างเช่นความสัมพันธ์ควันธูประหว่างนายท่านผู้เฒ่าหลวนกับอาจารย์ของนักพรตหนุ่มหวงซ่าง หลวนหยางก็ไม่รู้ ถึงได้วิ่งไปขอความช่วยเหลือจากสหายในเมืองหลวง แม้แต่การดำรงอยู่ของสิงโตหินสองตัวหน้าศาลบรรพชน ทุกคนในป้อมอินทรีบินล้วนไม่มีใครรู้ความลับที่ซุกซ่อนอยู่ ถึงได้มีหายนะใหญ่เทียมฟ้าในครั้งนี้เกิดขึ้น
ผู้เฒ่าสวมกวานสูงคือผู้ฝึกตนลัทธิมารที่มีชื่อเสียงด้านความโหดเหี้ยมในภาคกลางของใบถงทวีป เคยเป็นผู้อาวุโสขอบเขตโอสถทองอันดับหนึ่ง พลังการต่อสู้เลิศล้ำ ในฐานะผู้ฝึกตนอิสระ แม้จะเจอกับผู้ฝึกตนขอบเขตโอสถทองของสำนักฝูจีหรือไท่ผิงซาน ผู้เฒ่าก็ไม่คิดว่าตัวเองจะด้อยกว่า แต่หลังจากวีรกรรมอันยิ่งใหญ่ที่เขาสังหารผู้ฝึกตนประตูมังกรสองคนของไท่ผิงซานครั้งนั้น เพียงไม่นานเขาก็เจอกับการไล่ฆ่าอย่างดุเดือดจากไท่ผิงซาน โอสถทองหนุ่มคนหนึ่งของไท่ผิงซานลงจากภูเขามาเพียงลำพัง ไล่สังหารเขาไกลเป็นหมื่นลี้ ทำเอาผู้เฒ่าสิ้นเหนือประดาตัว แม้แต่วัตถุฟางชุ่นที่เหลืออยู่ก็แตกสลาย สุดท้ายจำต้องสละตบะครึ่งหนึ่งและร่างกายแท้จริงถึงจะปิดฟ้าข้ามทะเล โชคดีหนีพ้นมาจากน้ำมือของผู้ฝึกตนหนุ่มที่เป็นดั่งองค์เทพแห่งสรวงสวรรค์คนนั้นมาได้
ผู้เฒ่าที่ความเคียดแค้นสุมใจคิดอยู่ตลอดเวลาว่าจะแก้แค้นไท่ผิงซาน ด้วยเหตุนี้จึงมีแผนการเล่นงานป้อมอินทรีบินที่ยืดยาวมานานหลายสิบปีครั้งนี้ อันดับแรกผู้เฒ่าที่ขอบเขตถดถอยสู่ประตูมังกรได้ลงมือทำลายสะพานอมตะของฮูหยินเจ้าปราสาทที่มีพรสวรรค์ในการฝึกตนให้ปริแตกมาตั้งแต่ตอนที่นางยังเด็ก การปริแตกนี้ลามไปอย่างต่อเนื่อง เกิดร่องลึกนับร้อยนับพัน มีเพียง ‘ช่วงสะพาน’ ตรงหัวใจเท่านั้นที่ยังคงสมบูรณ์แบบไร้ความเสียหาย ทำให้นางเป็นเหมือนเครื่องกระเบื้องใบหนึ่งที่รับเอาปราณหยินใต้ดินมาอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งปราณหยินพวกนั้นยังตรงเข้าไปรวมตัวกันยัง ‘ตาน้ำพุ’ ในหัวใจของนาง สุดท้ายภายใต้การชักนำจากเวทลับของผู้เฒ่า ทารกผีที่หิวโหยตนนั้นจึงถือกำเนิดขึ้นมา
หากทำสำเร็จ ทารกผีแหวกหัวใจออกมาได้ เขาก็จะหาแคว้นเล็กๆ ห่างไกลจากสายตาของคนบนภูเขาสักสองสามแห่ง ผู้เฒ่าที่จะดีจะชั่วก็เป็นถึงผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกรย่อมสามารถขึ้นเป็นราชครู หรือไม่ก็หาหุ่นเชิดสองสามคนในราชสำนัก หรืออาจถึงขั้นควบคุมกษัตริย์ของแคว้นเล็กอย่างลับๆ ให้พวกเขาเปิดฉากทำสงครามใหญ่หลายๆ ครั้งเพื่อเลี้ยงทารกผีให้อิ่ม หนึ่งร้อยปีให้หลัง ทารกผีเลื่อนเป็นเซียนดิน ต่อให้เป็นไท่ผิงซานที่มีรากฐานลึกล้ำ แม้จะไม่ถึงขั้นล่มสลายเพราะการโจมตีของมัน แต่ก็ต้องสามารถทำให้ไท่ผิงซานบาดเจ็บเสียหาย สูญเสียพลังต้นกำเนิดไปมากได้แน่นอน
บุญคุณความแค้นของผู้ฝึกตนบนภูเขา เวลาหนึ่งร้อยปีไม่ถือว่านานเลยจริงๆ
ส่วนข้อที่ว่าช่วงเวลาระหว่างบุญคุณความแค้นนี้จะมีคนธรรมดาล่างภูเขาตายไปมากน้อยเท่าไหร่ บางคนกลับไม่ใส่ใจเลยสักนิด ยกตัวอย่างเช่นผู้เฒ่าบนก้อนเมฆผู้นี้ แล้วก็มีคนที่ใส่ใจเหมือนกัน ยกตัวอย่างเช่นผู้ฝึกตนก่อกำเนิดของไท่ผิงซานท่านนั้น
ทว่าเทพเซียนพสุธาที่มีความเห็นอกเห็นใจต่อมนุษย์โลกเช่นเขาก็ยังไม่อาจเลื่อนขั้นสู่ห้าขอบเขตบนได้ ถึงเวลาก็ได้แต่รอคอยความตาย เห็นได้ชัดว่ามหามรรคาไร้น้ำใจ ไม่แบ่งแยกว่าใครดีใครเลว
ส่วนผู้เฒ่ากวานสูง หลังจากเด็กหนุ่มผู้ฝึกยุทธ์ปล่อยหมัดออกมาสามครั้ง เขาก็ยังรู้สึกว่าน่าขำมากอยู่ดี ต่อให้พลังอำนาจจะโชติช่วงมากแค่ไหน แต่หากไม่มีขอบเขตที่สูงพอช่วยประคับประคอง ก็เป็นเหมือนหอเรือนกลางอากาศที่มองดูเหมือนงดงามเท่านั้น ทว่าผู้เฒ่ารู้สึกน้ำลายสออยากได้ชุดคลุมอาคมที่ส่องแสงทองอร่ามบนร่างของเด็กหนุ่มมากจริงๆ นี่เรียกว่าเป็นเรื่องน่าตกตะลึงระคนยินดีที่ใหญ่เทียมฟ้าอย่างแท้จริง ไม่นึกเลยว่าจะได้มาเจอกับลูกนกหัดบินในยุทธภพที่มีอาวุธล้ำค่าติดกาย อีกทั้งยังไม่รู้จักทะนุถนอมชีวิตเช่นนี้
ของดี เป็นของดีจริงๆ ไม่แน่ว่าอาจเป็นสมบัติอาคมตระกูลเซียนของแท้ชิ้นหนึ่ง
หรือว่าฮวงจุ้ยพลิกหมุนย้อนกลับ จึงได้เวลาที่ตนจะเจริญรุ่งเรืองบ้างแล้ว? ไม่ต้องเป็นหนูที่ขุดรูอยู่ตามดิน อีกทั้งยังจะได้คืนวันแห่งเกียรติยศอย่างในอดีตกลับคืนมาเร็วกว่ากำหนดด้วย?
ส่วนข้อที่ว่าเด็กหนุ่มชุดทองจะใช่ลูกหลานตระกูลเซียนหรือไม่ ผู้เฒ่าหรือจะสนใจเรื่องพวกนี้ ขนาดไท่ผิงซานเขายังกล้าฉีกหน้า หนี้สินมากก็ไม่กลัวทับตัวตาย!
เมื่อเมฆดำลดต่ำลงมา คนของป้อมอินทรีบินก็เริ่มมึนหัวตาลาย คนแก่ เด็กและสตรีบางคนที่ร่างกายอ่อนแอ ปราณหยางไม่มากพอเริ่มอาเจียนกันแล้ว ตรอกเล็กตรอกใหญ่ บ้านหลังสูงบ้านหลังเตี้ยมีเสียงร้องไห้ดังระงมไม่ขาดสาย ชายฉกรรจ์หลายคนที่ฝึกวรยุทธ์ของป้อมอินทรีบินแหงนหน้าเหม่อมองทะเลเมฆสีดำทะมึนที่กดทับลงมาเหนือศีรษะด้วยสายตาเหม่อลอย รู้สึกเพียงว่าแขนขาทั้งสี่คล้ายถูกบดขยี้เป็นผุยผง ผู้ฝึกยุทธ์หนุ่มบางคนที่จิตใจไม่มั่นคงก็ยิ่งไร้ความคิดจะต้านทาน ร่างทั้งร่างสั่นสะท้าน ต่อให้วันนี้มีโอกาสผ่านพ้นหายนะครั้งนี้ไปได้ อนาคตวิถีวรยุทธ์ก็ย่อมขาดลงกลางคันเพราะสาเหตุนี้
และเมื่อความเคลื่อนไหวที่รุนแรงเหมือนแผ่นดินไหวเกิดขึ้นก็มีคนค้นพบว่าตรงสนามฝึกยุทธ์มีฝุ่นฟุ้งตลบ เกิดเป็นภาพงดงามจับตาที่แสงสีทองพร่างพราวอร่ามจ้า พายุหมัดแต่ละลูกประหนึ่งสายรุ้งที่เพิ่มพละกำลังความแข็งแกร่งมากขึ้นทุกขณะ ตอนแรกมีขนาดใหญ่เท่าแขนคน ใหญ่เท่าปากถ้วย แล้วก็ใหญ่เท่าปากบ่อน้ำ ยังคงทบทวีขึ้นเรื่อยๆ พลังอำนาจดุจผ่าลำไม้ไผ่พุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าครั้งแล้วครั้งเล่า ราวกับว่ามีคนกำลังออกหมัดต่อยทะเลเมฆผืนนั้น
แล้วก็มีคนอดคิดแบบนี้ไม่ได้ว่า ‘คนผู้นั้นต้องอาศัยว่ามีวรยุทธ์สูงส่งแน่นอน ถึงได้กล้าออกหมัดเช่นนี้’
บนสนามฝึกยุทธ์
เฉินผิงอันไม่ได้ยืนอยู่เดิมทุกครั้งที่ปล่อยหมัดขึ้นฟ้า ทุกครั้งหลังจากออกหมัดเขาจะขยับเปลี่ยนตำแหน่งอย่างรวดเร็ว เดินนิ่งหกเก้าของหมัดเขย่าขุนเขาบวกกับปราณกระบี่สิบแปดหยุด แล้วก็ใช้กระบวนท่าไอเมฆเหนือบึงใหญ่รวมกับกระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้า
หลังจากออกหมัดครั้งที่สิบ พลังอำนาจของหนึ่งหมัดก็สามารถข่มทับความเคลื่อนไหวของพื้นดินที่ถูกเท้ากระทืบไปได้อย่างสิ้นเชิง
พายุหมัดแล่นฉิวขึ้นไปบนฟ้าพร้อมหอบเอาเสียงลมและเสียงฟ้าผ่าไปด้วย กระเบื้องหลังคาบ้านทุกหลังรอบสนามฝึกยุทธ์ลั่นเปรี๊ยะๆๆ จากในสู่นอก ระเบิดแตกไล่มาทีละชั้น
ผนังรอบด้านที่มีเฉินผิงอันเป็นจุดศูนย์กลางปรากฎรอยปริร้าวยุ่งเหยิงเหมือนใยแมงมุมจำนวนมาก
บนพื้นหินสีเขียวของสนามประลองยุทธ์กลายเป็นหลุมเป็นบ่ออยู่นานแล้ว ถูกเขาเหยียบให้เกิดหลุมตื้นลึกไม่เท่ากันสิบหลุม
เก้าหมัดแรกที่แม้ว่าพลังอำนาจของแต่ละหมัดจะทบทวีขึ้นเรื่อยๆ แต่ทุกครั้งก็ได้แค่ทะลวงทะเลเมฆให้เป็นรูโหว่ได้เท่านั้น ทว่าหมัดที่สิบกลับพุ่งชนเบาะที่ผู้เฒ่ากวานสูงนั่งโดยตรง แม้ว่าผู้เฒ่าจะตกใจเล็กน้อย และมองเด็กหนุ่มคนนี้เป็นบุคคลที่ต้องสังหารให้ได้ อีกทั้งยังต้องฆ่าเป็นคนแรกด้วย แต่เผชิญหน้ากับพลังหมัดอันน่าครั่นคร้ามนี้ เขาก็ยังไม่รู้สึกว่ารับมือได้ยาก กลับกันยังเกิดใจอยากเอาชนะ ผู้เฒ่าหัวเราะเสียงเย็นหนึ่งครั้งแล้วยื่นฝ่ามือข้างหนึ่งออกมา แสงสีเขียวมรกตลูกใหญ่ผุดขึ้นกลางฝ่ามือส่องแสงสว่างไสว ครั้นจึงพลิกฝ่ามือตบลงไปข้างล่าง ปล่อยแสงสีเขียวปะทะเข้ากับพายุหมัดที่แหวกทะลวงทะเลเมฆเข้ามาพอดี
เสียงกัมปนาทดังสนั่นหวั่นไหว เบาะรองนั่งสั่นคลอนน้อยๆ ทว่าทะเลเมฆที่อยู่ด้านใต้ผู้เฒ่ากวานสูงกลับสั่นไหวอย่างรุนแรง
พายุหมัดจากสนามฝึกยุทธ์กับแสงสีเขียวสว่างจ้าที่ล้อมวนฝ่ามือผู้เฒ่าระเบิดแตกพร้อมกัน กลายมาเป็นสะเก็ดดาวนับพันนับหมื่น พายุหมัดสลายหายเข้าไปในทะเลเมฆที่อยู่ใกล้เคียง เป็นเหตุให้ทะเลเมฆสีดำสนิทที่เดิมทีหนักอึ้งไปด้วยกลิ่นอายแห่งความตายคล้ายแท่นฝนหมึกที่ด้านในมีน้ำหมึกถูกฝนลงไปชั้นหนึ่งแล้วมีสะเก็ดผงสีทองปลิวตกเข้าไป เกิดเป็นเสียงลั่นเปรี๊ยะๆ เหมือนเสียงเผาไหม้
ผู้เฒ่าสะบัดข้อมือ มองผ่านช่องโพรงทะเลเมฆที่ถูกหมัดต่อยทะลุเป็นรู ไล่สายตาไปตามลำแสงที่พุ่งทะลุจากทะเลเมฆเบื้องใต้ขึ้นสูงเหนือศีรษะ หลุบตาต่ำมองไปยังสนามฝึกยุทธ์ที่ห่างไปแค่สามสิบจั้งแล้วหัวเราะด้วยเสียงน่าสะพรึงกลัว “เจ้าตัวดี อายุน้อยๆ เพียงเท่านี้ หากอยู่ล่างภูเขาก็ถือว่าเป็นปรมาจารย์วิถีวรยุทธ์ที่ครอบครองพื้นที่แห่งหนึ่งได้แล้ว แต่ดันไม่อยู่ในวรยุทธ์ของเจ้าให้ดี ดึงดันตั้งตัวเป็นศัตรูกับข้าผู้อาวุโส ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ!”
ระหว่างที่พูดผู้เฒ่าสวมกวานสูงก็ยกฝ่ามือข้างหนึ่งขึ้น ประกบสองนิ้วเข้าด้วยกันแล้วกรีดเบาๆ ไปยังบริเวณใกล้เคียงกับกวานสูงที่วาดภาพขุนเขาทั้งห้าเอาไว้ ดึงสัจธรรมจากขุนเขาบูรพาลูกหนึ่งในยุคบรรพกาลออกมาหนึ่งเสี้ยว มันพุ่งไปอย่างรวดเร็ว ตอนแรกที่ออกห่างจากห้าขุนเขายังเป็นยอดเขาจิ๋วขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือ รอจนร่วงไปถึงปลายเท้าของผู้เฒ่า ขนาดกลับไม่เป็นรองเบาะใบนั้นแล้ว หลังจากลอดผ่านช่องโพรงทะเลเมฆไปได้ก็ขยายหญ่เท่าโต๊ะตัวหนึ่ง ผู้เฒ่าหัวเราะเสียงดังอย่างสาสมใจถึงขีดสุด “ทำตัวเป็นเต่าหดหัว อดทนมาตั้งหลายปี สวรรค์ไม่ละเลยคนมีความตั้งใจจริงๆ ในที่สุดโชคก็เข้าข้างข้าผู้อาวุโส ขอแค่บดขยี้เลือดเนื้อและลมปราณของเจ้าได้อย่างสิ้นซาก ไม่เพียงแต่ทารกผีจะแหวกด่านหัวใจเผยกายบนโลกได้ในเสี้ยววินาที ยังสามารถเลื่อนขั้นสู่ขอบเขตชมมหาสมุทรได้โดยตรงด้วย!”
บนสนามฝึกยุทธ์ เฉินผิงอันมองเห็นขุนเขาดิ่งลงมาจากท้องฟ้าก็ไม่มีความหวาดกลัวแม้แต่น้อย ตอนที่เจียวหลงทะเลเมฆตรงบ้านบรรพบุรุษตระกูลซุนนครมังกรเฒ่ากระโจนเข้าใส่ อานุภาพไม่ด้อยกว่าวิชาอภินิหารตระกูลเซียนนี้เลยสักนิด เขาก็ยังปล่อยหมัดต่อยพวกมันกลับไปไม่ใช่หรือ?
ลมปราณผุดพุ่งแผ่ไพศาล
ปณิธานหมัดหนาข้นเปี่ยมล้น ยืนหยัดในหนึ่งหมัดทำลายหมื่นอาคม
ชุดคลุมอาคมสีทองโบกสะบัดพัดไปตามสายลม ยิ่งขับดันให้เด็กหนุ่มจากตรอกหนีผิงดูเหมือนเทพเซียนบนภูเขาเป็นครั้งแรกในชีวิต
บทที่ 300.1 โลกมนุษย์น่าเบื่อหน่าย สู้ไม่มาเยือนดีกว่า
ProjectZyphon
หมัดที่สิบเอ็ด เร็วอย่างถึงที่สุด
ความแข็งแกร่งที่แท้จริงของปณิธานหมัดกระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าอยู่ที่ว่า ขอแค่คนที่ออกหมัดสามารถทนรับการไหลเวียนของลมปราณในร่างที่มาพร้อมกับเจ็บปวดแสนสาหัสจนกระทั่งปล่อยหมัดครั้งใหม่ออกไปได้สำเร็จ ถ้าเช่นนั้นก็สามารถทับซ้อนพลังของแต่ละหมัด เขย่าขุนเขาทำลายนครจะไม่ใช่แค่คำพูดเพ้อฝันของคนปัญญาอ่อนอีกแน่นอน!
หมัดนั้นของเฉินผิงอันต่อยให้ขุนเขา ‘จิ๋ว’ ที่ใหญ่เท่าบ้านหนึ่งหลังถอยกลับไปหลายจั้ง
ไม่พูดไม่จาก็กระทืบเท้าอีกครั้ง แล้วปล่อยหมัดขึ้นไปเบื้องบน
ผู้เฒ่าสวมกวานสูงสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นหลายส่วน ไม่คิดจะเล่นสนุกอีกต่อไป ท่องคาถาเงียบๆ พลางประกบสองนิ้วกรีดลงไปบริเวณใกล้เคียงกับกวานห้าขุนเขาอีกสี่ครั้ง
ต่อให้ต้องเผาผลาญปราณวิญญาณไปไม่น้อย และกวานห้าขุนเขาบนศีรษะต้องสูญเสียความศักดิ์สิทธิ์ไปชั่วคราว เขาก็ยังดึงดันที่จะสังหารเด็กหนุ่มที่เข้ามาเกะกะแผนการของเขาให้สำเร็จในรวดเดียว
ในฐานะผู้ฝึกตนอิสระที่ไม่อาจขอร้องใครและไม่มีใครให้พึ่งพา นี่คือสมบัติอาคมเพียงชิ้นเดียวของผู้เฒ่ากวานสูง เขาได้มันมาจากพื้นที่ลับแห่งหนึ่ง เพื่อให้ได้ยึดครองของชิ้นนี้เพียงลำพัง ตอนที่แบ่งของกัน เขาถึงกับลงมือฆ่าคน สังหารพี่น้องคนหนึ่งที่ร่วมเป็นร่วมตายมาด้วยกัน ตอนที่ฝ่ายหลังกำลังจะตายได้ขอร้องให้เขาช่วยดูแลลูกหลานของตัวเองให้ดี รับรองว่าพวกเขาจะได้รับเกียรติยศความรุ่งโรจน์ไปร้อยปี ผู้เฒ่าพยักหน้าตอบรับ เพียงแต่ว่าหลังจากนั้นเขาก็ใช้วิธีการเล็กๆ น้อยๆ ถอนรากถอนโคนคนร้อยกว่าคนในจวนของอีกฝ่ายอย่างเงียบเชียบ
ตอนนั้นถูกคนหนุ่มขอบเขตโอสถทองของไท่ผิงซานไล่ฆ่าไปหมื่นลี้ กวานห้าขุนเขาที่มีมูลค่าควรเมืองชิ้นนี้ก็ยังถูกเก็บรักษาไว้ได้อย่างดี ความเสียหายไม่มากนัก อีกทั้งเมื่อผ่านการซ่อมแซมด้วยระยะเวลาร้อยปีก็กลับคืนสู่ระดับสูงสุดได้อีกครั้ง น่าเสียดายก็แต่ผู้เฒ่าพลิกเปิดตำรามานับไม่ถ้วนก็ยังตามหารากฐานของภาพวาดห้าขุนเขาบนกวานสูงไม่เจอ เป็นเหตุให้อย่างมากผู้เฒ่าก็ได้แค่สำแดงอานุภาพของสมบัติอาคมเพียงครึ่งเดียว ช่างเป็นเรื่องที่น่าเสียดายยิ่งนัก ไม่อย่างนั้นตอนที่เขาได้เจอกับเจ้าตะพาบน้อยของไท่ผิงซานคนนั้น ก็ยังไม่แน่ว่าใครจะไล่ฆ่าใคร
ภูเขาสองลูกทับซ้อนกันบนและล่าง ร่วงดิ่งลงมาอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ
เฉินผิงอันปล่อยหมัดที่สิบสามออกไปอย่างไว แต่ก็ต่อยได้แค่ขุนเขาบูรพาด้านล่างที่ลอยสูงจากพื้นไปจั้งกว่าเท่านั้น
เพียงไม่นานก็มีภูเขาอีกลูกกดทับลงมา
เป็นขุนเขาหนักอึ้งที่ยึดครองความได้เปรียบ หรือวิชาหมัดสูงส่งที่ไร้เทียมทานยิ่งกว่า?
กวานห้าขุนเขาบนศีรษะของผู้เฒ่าหม่นหมองไร้ประกายแสง ไม่มีเสียงต้นสนถูกใบไม้พัดและเสียงนกกระเรียนร้องดังลอยมาให้ได้ยินแว่วๆ อีกแล้ว
เลือดลมของเฉินผิงอันพลุ่งพล่าน ยังไม่มีวี่แววว่าพลังจะถดถอย แต่เฉินผิงอันไม่อยากถูกกักตัวด้วยขุนเขาสามลูกนี้ สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าผู้เฒ่ากวานสูงยังมีเวทคาถาบนภูเขาอะไรอีกหรือไม่ ฉวยโอกาสที่ปณิธานหมัดของกระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าถูกชักนำ ยังเหลือเส้นใยไว้เชื่อมโยงกันได้ต่อ จึงเตรียมจะย้ายออกจากสนามฝึกยุทธ์ เปลี่ยนสนามต่อสู้ใหม่ จากนั้นก็รีบปล่อยหมัดที่สิบสี่ออกไป
แต่เฉินผิงอันที่เตรียมยันต์ย่อพื้นที่ไว้นานแล้วกลับต้องค้นพบด้วยความตกตะลึงว่า เมื่ออยู่ใต้เงาของภูเขาที่กดทับลงมาก็เหมือนอยู่ใน ‘สถานที่ไร้อาคม’ ที่ลู่ไถเคยพูดถึง ยันต์ย่อพื้นที่ที่เคยสร้างคุณูปการน่าตื่นตกใจในการต่อสู้หลายครั้ง เวลานี้กลับไม่มีความเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย
ความจำเป็นบีบบังคับ กระบี่บินสองเล่มอย่างชูอีกับสืออู่ที่อยู่ในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่จึงแยกกันไปหนึ่งซ้ายหนึ่งขวา พุ่งสูงขึ้นไปยังทะเลเมฆ
ส่วนเฉินผิงอันก็ได้แต่ออกหมัดใหม่อีกครั้ง ต่อยให้ขุนเขาที่ร่วงลงมาหยุดชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็พุ่งตัวไปข้างหน้า พยายามจะออกไปจากพื้นที่ที่ถูกเงามืดของภูเขาปกคลุมให้ได้
ผู้เฒ่ากวานสูงหัวเราะฮ่าๆ “คิดจะหนีรึ?!”
กดฝ่ามือหนึ่งลงไป ภูเขาลูกที่สี่ก็กระแทกตามไปติดๆ
ภูเขาสี่ลูกทับซ้อนกันกระแทกลงเหนือศีรษะของเฉินผิงอัน อีกทั้งสนามประลองยุทธ์ที่เป็น ‘ตีนเขา’ ยังถูกปราณวิญญาณมหาศาลกดทับ เป็นเหตุให้ร่างที่ขยับเคลื่อนไปด้านหน้าของเฉินผิงอันช้าลงกว่าเดิมหลายส่วน
ในที่สุดเด็กหนุ่มชุดทองที่มีวิชาหมัดน่าตะลึงก็ถูกขุนเขากดกำราบสำเร็จ
หลังจากสมใจปรารถนา ผู้เฒ่ากวาดสูงกลับตกตะลึงเล็กน้อย “ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวสามารถบังคับกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตได้ด้วย?”
ภูเขาสูงมักจะมาพร้อมสายน้ำไหลรินเสมอ
ผู้เฒ่าสัมผัสได้ถึงกระบี่บินสองเล่มที่ทะยานมาถึงจึง ‘ปลด’ แม่น้ำสองสายลงมาจากห้าขุนเขา หลังจากที่ปรากฎตัวก็กลายร่างเป็นสายน้ำที่เล็กบางเหมือนเอวคอดของหญิงสาว เส้นหนึ่งเป็นสีเหลืองขุ่นมัว อีกเส้นหนึ่งเป็นสีเขียวใสกระจ่าง ไหลระริกล้อมวนอยู่รอบเบาะที่นั่งของผู้เฒ่า คอยต้านทานการโจมตีที่ดุดันครั้งแล้วครั้งเล่าจากกระบี่บินสองเล่ม สะเก็ดน้ำแตกกระจาย ทำให้ปริมาณน้ำในสายน้ำลดลงไปไม่น้อย
ความสนใจส่วนใหญ่ของผู้เฒ่ายังอยู่ที่สนามฝึกยุทธ์ด้านล่าง
เวลานี้ทะเลเมฆอยู่ห่างจากพื้นไม่ถึงยี่สิบจั้งแล้ว
เบาะที่ผู้เฒ่านั่งอยู่แทบจะติดกับยอดเขาของภูเขาลูกที่สี่แล้ว การมองเห็นจึงถูกบดบัง ผู้เฒ่ากวานสูงยื่นนิ้วข้างหนึ่งเคาะลงตรงหว่างคิ้วของตัวเองพร้อมท่องคาถา เมื่อลืมตาขึ้น ในดวงตาเขากลายเป็นสีดำสนิทก่อน จากนั้นถึงเหมือนม่านรัตติกาลที่ก้อนเมฆสลายหายไปแล้วเผยให้เห็นดวงจันทร์กระจ่าง ฟ้าดินสว่างแจ่มชัด สายตาของผู้เฒ่ามองทะลุภูเขาสี่ลูกที่ทับซ้อนกัน มองไปเห็นเงาร่างของเด็กหนุ่มชุดคลุมสีทองคนนั้น
เจ้าตัวดี ลื่นไหลอย่างกับปลาหนีชิว คิดจะหนีงั้นรึ!
เด็กหนุ่มคนนั้นก้มหน้าลง ใช้ไหล่แบกภูเขาแล้ววิ่งตะบึงไปด้านหน้าก่อน เมื่อภูเขาใหญ่สี่ลูกกดทับลงมา เด็กหนุ่มก็เปลี่ยนมาค้อมเอว ใช้หลังแบกภูเขาเอาไว้แทน ชุดคลุมอาคมสีทองบนร่างของเขาสำแดงประสิทธิภาพแบบที่ทำให้ผู้เฒ่าต้องตกตะลึง มันช่วยให้เด็กหนุ่มช่วงชิงระยะเวลาสำคัญในชั่วเส้นยาแดงผ่าแปด เป็นเหตุให้ในขณะที่ภูเขาอยู่ห่างจากพื้นของสนามฝึกยุทธ์อีกแค่สี่ฉื่อ เด็กหนุ่มก็สามารถม้วนตัวหลบพ้นจุดจบที่จะถูกภูเขาใหญ่บดขยี้ไปได้อย่างหวุดหวิด
ผู้เฒ่ากวานสูงแค่นหัวเราะหยันในใจไม่หยุด เต๋าสูงหนึ่งฉื่อ อธรรมสูงหนึ่งจั้ง ข้าก็กำลังรอนาทีที่เจ้าเข้าใจผิดคิดว่าตัวเองหนีรอดนี่แหละ
ภูเขาลูกที่ห้าที่เตรียมพร้อมรอลงมืออยู่ตลอดเวลานี้ก็คือขุนเขาแดนกลางที่มีสถานะสูงส่งมากที่สุด พอจะมองเห็นรูปลักษณ์ที่แท้จริงได้ว่าเป็นภูเขาสูงชันที่อันตรายมากแห่งหนึ่ง
เด็กหนุ่มสามารถต้านทานภูเขาใหญ่สี่ลูกได้ก็ถือว่าอยู่เหนือการคาดการณ์ของผู้เฒ่ากวานสูงแล้ว เดิมทีนึกว่าแค่ภูเขาสามลูกทับซ้อนกันก็สามารถกดทับเจ้าเด็กนี่ให้ตายได้แล้ว
วิชาหมัดที่อานุภาพเพิ่มพูนราวกับไม่มีที่สิ้นสุดนั้น แปลกประหลาดมากจริงๆ!
หากเด็กหนุ่มตายไปแล้วทิ้งตำราลับของวิชาหมัดนี้ไว้ ก็อาจจะไม่เป็นรองชุดคลุมอาคมสีทองชุดนั้นเลย
ผู้เฒ่าตวาดเบาๆ หนึ่งครั้ง “ไป!”
ขุนเขาแดนกลางกระแทกลงโดนเฉินผิงอันที่กลิ้งตัวอยู่บนพื้นพอดี
ขณะเดียวกันขุนเขาทั้งสี่ก่อนหน้านี้ก็แยกย้ายกันออกไปบินรอบขุนเขากลาง ก่อนจะพากัน ‘ลงหลักปักฐาน’ บ้างก็บดขยี้บ้านเรือนของสนามประลองยุทธ์ บ้างก็หล่นทับกำแพงสูง บ้างหล่นลงบนถนนนอกสนามฝึก หรือไม่ก็กระแทกลงบนเรือนพักส่วนตัวหลังหนึ่งที่อยู่ติดกับสนามประลอง
หากภูเขาทั้งสี่สัมผัสกับพื้น บวกกับมีขุนเขาแดนกลางคอยบัญชาการณ์อยู่ตรงกลาง ก็จะกลายมาเป็นค่ายกลใหญ่ตามธรรมชาติอย่างหนึ่ง
กระบี่บินสองเล่มเหนือทะเลเมฆเหมือนว่าจะมีจิตเชื่อมโยงกับเด็กหนุ่มที่ตกอยู่ในทางตันจึงยิ่งจู่โจมสัจธรรมแห่งสายน้ำสองเส้นนั้นดุดันมากขึ้น
ผู้เฒ่ากวานสูงหัวเราะเสียงดังอย่างสาแก่ใจ “กลัวเจ้าตัวน้อยอย่างพวกเจ้าทั้งสองแล้ว ได้ๆๆ ข้าผู้อาวุโสจะเล่นแมวจับหนูกับพวกเจ้าก็แล้วกัน หลังจากนี้หากเจ้านายของพวกเจ้าตายไป ดูสิว่าพวกเจ้าจะทำยังไง”
ผู้เฒ่ายื่นมือสองข้างออกไปสองฝั่งซ้ายขวา คว้าเอากลุ่มเมฆสีดำมาสองกลุ่ม จากนั้นก็ตบมือสองข้างเข้าด้วยกันแรงๆ เมฆหมอกบินล้อมวน ร่างของผู้เฒ่าหายวับไป
เฉินผิงอันที่ถูกภูเขาทั้งห้ากักตัวไว้อยู่ระหว่างเส้นความเป็นและความตาย
แม้ว่าชูอีกับสืออู่จะมีปราณกระบี่ที่เฉียบคม แต่กลับทำอะไรผู้เฒ่าที่หลบซ่อนตัวไปแล้วไม่ได้ จึงได้แต่พยายามลดทอนกำลังของทะเลเมฆสีดำ
แม้ว่าเฉินผิงอันจะเรียกเชือกพันธนาการปีศาจที่ทำมาจากหนวดสองเส้นของเจียวหลงออกมาจนแสงสีทองส่องสว่าง เชือกพลันขยายใหญ่เหมือนเจียวหลงสีทองตัวหนึ่งที่ขดตัวรอบขุนเขากลาง ดันให้มันสูงขึ้นจากพื้นไปหลายจั้ง ไม่อาจร่วงลงมาเชื่อมติดกับพื้นดินได้ในรวดเดียว เป็นเหตุให้ค่ายกลใหญ่ห้าขุนเขายังไม่เป็นรูปเป็นร่าง ทว่าต่อให้เชือกพันธนาการปีศาจจะหดรัดตัวบีบให้เศษหินของขุนเขากลางปริแตกร่วงกราวลงมาอย่างต่อเนื่อง แต่ขุนเขากลางนี้กลับยังคงลดตัวลงต่ำเรื่อยๆ
ส่วนทะเลเมฆที่อยู่เหนือป้อมอินทรีบินก็อยู่ห่างจากพื้นไม่ถึงสิบจั้ง
หากมีคนยืนอยู่บนดาดฟ้าของหอหลักแล้วกวาดสายตามองไปรอบด้าน จะรู้สึกเหมือนตัวเองอยู่บนยอดเขาใหญ่ที่สูงจากพื้นมานับพันนับร้อยจั้ง ยิ่งใหญ่ตระการตา กระแสลมพัดกระพือฮือโหม คลื่นยักษ์ซัดกระทบชายฝั่ง
บทที่ 300.2 โลกมนุษย์น่าเบื่อหน่าย สู้ไม่มาเยือนดีกว่า
ProjectZyphon
ในหอหลักของป้อมอินทรีบิน บุรุษพกแส้ปัดฝุ่นที่โดนกักขังถูกกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสองเล่มไล่กวดจนเหนื่อยล้าหมดแรง
คนสกุลหลวนของป้อมอินทรีบินต่างก็ได้เห็นวิธีการที่ตระการตาของเทพเซียนบนภูเขากับตาตัวเอง
นอกจากที่ทุกคนจะรู้สึกดีใจที่รอดชีวิตมาได้แล้ว ยังอดสิ้นหวังกับชีวิตไม่ได้ ผู้ฝึกยุทธ์ในยุทธภพอย่างเราๆ เมื่อเผชิญหน้ากับเซียนซือบนภูเขาที่มีเวทอภินิหารยิ่งใหญ่เช่นนี้ ก็ช่างต่ำต้อยจนไม่มีค่าพอให้พูดถึง
ลู่ไถไม่ได้สังเกตการณ์อยู่เฉยๆ แล้วก็ไม่ได้ให้กระบี่บินอย่างเจินเจียนและม่ายกวางที่มีระดับขั้นสูงอย่างถึงที่สุดค่อยๆ เผาผลาญพลังของผู้ฝึกลมปราณขอบเขตชมมหาสมุทรให้ตาย แต่ดึงเอาสมบัติอาคมหลายชิ้นออกมาจากเข็มขัดหลากสีเส้นนั้น ขว้างพวกมันเข้าไปตามรอยแยกที่กระบี่บินฟันเอาไว้ แล้วลอบโจมตีพวกงูขาวที่จำแลงมาจากเส้นใยของแส้ปัดฝุ่น สำหรับผู้ฝึกตนคนนั้นแล้ว นี่ไม่ต่างจากการเพิ่มน้ำค้างแข็งลงบนหิมะ ลำเค็ญจนแทบพูดไม่ออก
ทีแรกชายร่างสูงใหญ่ก็พูดอ้อนวอน ขอร้องลู่ไถว่ามีอะไรก็คุยกันดีๆ ก่อน ขอแค่ลู่ไถยอมหยุดมือ เขาก็ยินดีจะมอบทรัพย์สมบัติทั้งหมดให้ อีกทั้งยังยอมให้ลู่ไถจัดการกับจิตวิญญาณของเขา
เห็นว่าลู่ไถไม่สะทกสะท้าน บุรุษที่ในมือเหลือแค่ด้ามของแส้ปัดฝุ่นก็เริ่มข่มขู่อย่างอำมหิต บอกว่าจะทำให้กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสองเล่มของลู่ไถต้องพินาศไปพร้อมกัน จะต้องให้จิตวิญญาณของลู่ไถได้รับบาดเจ็บ ชาตินี้ไม่มีหวังว่าตบะจะพัฒนาได้อีก
ลู่ไถเอนกายพิงเก้าอี้ของฮูหยินเจ้าปราสาท มือโบกพัดพับ ไม่สนใจผู้ฝึกตนขอบเขตชมมหาสมุทรที่เข้าตาจนแม้แต่น้อย ประตูใหญ่ของห้องโถงถูกเขาบังคับเปิดไว้แล้ว ดังนั้นภาพเหตุการณ์ทั้งหมดด้านนอกล้วนปรากฏอยู่ในสายตา
ฟ้าดินมืดสลัว
เชื่อว่าคนหลายร้อยคนของป้อมอินทรีบินคงไม่อาจลืมภาพเหตุการณ์ในวันนี้ไปได้ชั่วชีวิต ความรู้สึกไร้เรี่ยวแรงให้ต่อต้านเช่นนั้นจะต้องสลักลึกลงไปถึงกระดูกของพวกเขา
และผลกระทบเช่นนี้จะดำรงอยู่ไปอย่างยาวนาน ขอแค่คนเหล่านี้รอดชีวิตไปได้ เรื่องราวที่เทพเซียนตีกันมนุษย์ธรรมดาต้องรับเคราะห์อย่างในวันนี้ก็จะต้องถูกบอกเล่าสืบต่อไปชั่วลูกชั่วหลาน
หากเก้าทวีปใหญ่ของใต้หล้าไพศาลไร้ข้อห้ามไร้กฎเกณฑ์เช่นนี้ เกรงว่าคงโกลาหลวุ่นวายจนวุ่นวายไปมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว
ดังนั้นถึงได้มีการปรากฏตัวของสถานศึกษาใหญ่สามแห่งและสำนักศึกษาเจ็ดสิบสองแห่งของลัทธิขงจื๊อ
ก็เพื่อป้องกันไม่ให้เทพเซียนบนภูเขาใช้หมัดเดียวต่อยภูเขาและแม่น้ำพังพินาศ แค่สมบัติอาคมชิ้นเดียวก็ทุบทำลายโลกมนุษย์เละเทะได้ตามใจชอบ
ถึงอย่างไรคนบนภูเขาก็มาจากโลกมนุษย์
โลกมนุษย์ไม่มีแล้ว จะยังมีบนภูเขาอีกได้อย่างไร?
ดังนั้นจึงใช้สิ่งนี้เป็นเส้นแบ่งเขต มีความต่างระหว่างธรรมะและอธรรม มีความต่างระหว่างความดีและความชั่ว
มีผู้ฝึกลมปราณบางคนที่แสวงหาอิสระเสรีบนมหามรรคาแห่งความเป็นอมตะของข้า ในเมื่อยืนอยู่บนภูเขาแล้ว ยังจะสนใจอีกหรือว่าโลกมนุษย์ของเจ้าจะเป็นหรือตาย
ผู้ฝึกลมปราณบางคน หากไม่จิตใจสงบไร้ความปรารถนา ไม่สนใจเรื่องบนโลกมนุษย์ ก็รักษากฎเกณฑ์ ยินดีทำเพื่อความสงบสุขของใต้หล้า ไม่แสวงหาไขว่คว้าอิสระเสรีที่แท้จริง ตัวเองจึงไม่ได้มีชีวิตที่สุขสบายนัก
บนโลกมนุษย์มีผู้คนสารพัดรูปแบบ ต่างคนต่างก็มีความต้องการเป็นของตัวเอง ใช่ไม่ใช่ ผิดหรือถูก ผสมรวมกันเหมือนก้อนแป้งเปียก
เพราะมีคนมากมายเหลือเกินที่พูดเหตุผลให้คนอื่นฟังอย่างเดียว โดยที่ไม่ได้ใช้มันมาพันธนาการจิตใจดั้งเดิมของตน
ทั้งบนและล่างภูเขาล้วนเป็นเช่นนี้
ลู่ไถคือลูกหลานสกุลลู่สำนักหยินหยาง จึงเข้าใจสันดานมนุษย์เป็นอย่างดี
อีกอย่างไม่ว่าจะเป็นชาติกำเนิดหรือตัวเขาเองต่างก็พิเศษมาก เขาไม่เพียงแต่ไม่ได้เป็นผู้ฝึกกระบี่ แต่กลับสามารถฟูมฟักกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสองเล่มออกมาได้ง่ายๆ ถึงขั้นที่ว่าตอนยังเด็กไปเล่นสนุกอยู่ในศาลบรรพชนตระกูล แต่กลับได้เข็มขัดหลากสีที่ประหลาดเส้นนั้นมา
การดำรงอยู่ของลู่ไถในสกุลลู่ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางมีความหมายในทำนองของสิ่งต้องห้าม สำหรับบรรพบุรุษสกุลลู่ที่พูดน้อยและแก่ชรามากแล้วท่านนั้น เด็กรุ่นหลังคนนี้ทำให้คน ‘อึดอัดใจ’ เกินไป แต่ขณะเดียวกันก็ทำให้คนตกตะลึงได้มากกว่าเป็นเท่าตัว ราวกับว่าเกิดมาสอดคล้องกับมรรคา แทบไม่เคยมีปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์ ดังนั้นท่าทีที่คนสกุลลู่ตระกูลใหญ่โตมีต่อลู่ไถจึงคลุมเครือไม่ชัดเจนมาโดยตลอด
อริยะปราชญ์เคยกล่าวไว้ว่า ‘ผู้นำรู้จักพลิกแพลงตามสถานการณ์ราวกับมีสัญชาติญาณของพยัคฆ์ ชนชั้นสามัญปรับเปลี่ยนเพียงพฤติกรรมอันผิวเผิน ปราชญ์รู้จักเปลี่ยนแปลงอย่างมีลำดับขั้นตอนเช่นเดียวกับพัฒนาการของเสือดาว’
เรือนกายที่เป็นเนื้อหนังมังสานี้ของลู่ไถ เดิมทีก็เป็นเหมือนสมบัติอาคมชิ้นหนึ่ง ถึงขั้นที่ว่าเมื่อเทียบกับเปลือกนอกที่ถูกลอกคราบทิ้งไว้ซึ่งเด็กหนุ่มชุยฉาน ‘ลูกศิษย์’ ของเฉินผิงอันคนนั้นไปช่วงชิงมา ก็มีแต่จะมหัศจรรย์จนไม่อาจบรรยายได้ยิ่งกว่า
ลู่ไถสังเกตมองทะเลเมฆที่อยู่นอกหอหลักเพราะกำลังมองหาโอกาสที่ดีที่สุดในการลงมือ
ภาพเหตุการณ์ในหอหลักแห่งนี้ถูกอำพรางไว้นานแล้ว บุรุษถือแส้ปัดฝุ่นคิดจะส่งข้อความออกไปก็ยากยิ่งกว่าเดินขึ้นสวรรค์
ฮูหยินเจ้าปราสาทเอ่ยขึ้นว่า “เซียนซือ ข้าคิดได้แล้ว”
ลู่ไถก้มหน้าลงมองด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย “คิดได้ว่าไง?”
ใบหน้าของสตรีแต่งงานแล้วเศร้าอาดูร แต่กลับเต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยว นางยื่นมือไปกุมหัวใจ ถามว่า “เขาจะมีชีวิตรอดไหม?”
แม้ว่าหญิงสาวจะไม่ใช่ผู้ฝึกตน แต่ความผิดปกติในหัวใจเกิดขึ้นมานานหลายปีแล้ว นางไม่ใช่คนปัญญาอ่อน เมื่อนำมาเชื่อมโยงเข้ากับหายนะที่มาเยือนป้อมอินทรีบิน รวมไปถึงบทสนทนาระหว่างบุรุษถือแส้และลู่ไถ ย่อมพอจะเดาออกเจ็ดแปดส่วน
ลู่ไถส่ายหน้า “เจ้าเด็กนี่เกิดมาก็ผิดต่อหลักมหามรรคา นิสัยโหดเหี้ยมอำมหิต กระหายเลือด ต่อให้เจ้าตาย มันมีชีวิตอยู่ วันหน้าก็ยังเป็นภัยร้ายต่อผู้คนอยู่ดี ถึงเวลานั้นป้อมอินทรีบินเล็กๆ แห่งนี้จะไม่มีแม้แต่คุณสมบัติให้ตายไปพร้อมกับมันด้วยซ้ำ แต่คนที่ตายอาจเป็นทั้งแคว้นเฉินเซียง…”
สตรีแต่งงานแล้วหลั่งน้ำตาอย่างน่าสงสาร “แต่ข้าอยากให้เขามีชีวิตอยู่ต่อ ข้าสามารถสัมผัสได้ถึงการดำรงอยู่ของเขา ถึงอย่างไรเขาก็เป็นเหมือนบุตรของข้า…”
ลู่ไถทั้งไม่ได้รู้สึกซาบซึ้ง แล้วก็ไม่ได้รู้สึกดูแคลน เขาเพียงคลี่ยิ้มอย่างเฉยชา ช่วยอธิบายความจริงให้กับสตรีที่น่าสงสารผู้นี้ฟังว่า “ถ้าอย่างนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้าตัวน้อยมีสติปัญญาเป็นของตัวเองแล้ว มันถึงได้จงใจถ่ายทอดความรู้สึกจอมปลอมมาให้เจ้า มันยังถึงขั้นอาศัยสัญชาตญาณแอบสร้างอิทธิพลต่อความคิดและจิตใจของเจ้าของร่างอย่างเจ้า ไม่อย่างนั้นเหตุใดทั้งๆ ที่เจ้ารู้ดีถึงความผิดปกติของร่างกายตัวเอง แต่ไม่ยอมเล่าเรื่องนี้ให้สามีของตัวเองฟัง?”
สตรีแต่งงานแล้วใช้มือข้างหนึ่งขยุ้มหัวใจตัวเองอย่างแรง มือหนึ่งรีบยกขึ้นปิดปาก ใบหน้าเต็มไปด้วยความเจ็บปวด นางไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี ได้แต่ส่ายหน้าให้ลู่ไถ
สตรีแต่งงานแล้วทนรับความรู้สึกเจ็บปวดราวหัวใจถูกเค้นเอาไว้ ใช้สายตาที่เปี่ยมไปด้วยแวววิงวอนมองลู่ไถ
ลู่ไถถอนหายใจหนึ่งที “เจ้าจะทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร? หรือเจ้ายอมสละหลายร้อยชีวิตในป้อมอินทรีบินได้จริงๆ? เจ้าลองนึกถึงสามีหลวนหยาง บุตรชายบุตรสาวอย่างหลวนฉางหลวนซู แล้วก็ป้อมอินทรีบินแห่งนี้ที่ให้กำเนิดเจ้าเลี้ยงดูเจ้า เจ้าจะไม่สนใจจริงๆ รึ? เพียงแค่เพื่อสิ่งสกปรกที่ยังไม่ทันถือกำเนิดก็ยืนอยู่ฝ่ายลัทธิมารนอกรีตแล้วน่ะหรือ?”
สตรีแต่งงานแล้วเอาแต่ส่ายหน้าน้ำตาคลอ พอวางมือลง เลือดที่อั้นอยู่เต็มปากก็ทะลักออกมาทันที ล้วนเป็นสีดำสนิท มองดูแล้วน่ากลัวอย่างถึงที่สุด สตรีแต่งงานแล้วไม่สนหน้าตาของเจ้าบ้านฝ่ายหญิงอะไรทั้งนั้น สติของนางเลือนหาย สายตาเลื่อนลอย เปิดปากขอร้องลู่ไถว่า “ให้เขามีชีวิตอยู่ต่อเถอะ ขอร้องเซียนซือล่ะ เขาทำผิดอะไร? ตอนนี้เขาก็แค่ฆ่ามารดาแท้ๆ ตายไปคนเดียวเท่านั้น ข้าไม่โทษเขา ไม่โทษเขาเลยสักนิดเดียว หลังจากนี้เซียนซือสามารถสั่งสอนเขาได้ ชี้นำเขาไปในทางที่ดี อย่าให้เขาเดินทางผิด เซียนซือมีวิชาอภินิหารค้ำฟ้า ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้ ต้องทำได้แน่นอน ลูกของข้าคนนี้ต้องเป็นคนดีได้แน่…”
สตรีแต่งงานแล้วเหมือนแผ่นกระเบื้องที่เต็มไปด้วยรูโหว่นับร้อยนับพัน เมื่อหัวใจสั่นสะท้านอย่างรุนแรง ในที่สุดทานทนไม่ไหวก็แหลกสลาย
แต่นางกลับจับจ้องดวงหน้าของลู่ไถอยู่ตลอดเวลา
ลู่ไถยิ้มบางๆ พยักหน้ารับ “ก็ได้ มันสามารถมีชีวิตอยู่ต่อ”
เมื่อได้ฟังคำตอบนี้ มุมปากของสตรีแต่งงานแล้วก็กระตุก หลับตาลงช้าๆ เลือดสดสีดำน่าสยดสยองยังคงหลั่งใหลลงมาจากกรอบดวงตาของนาง ที่แท้ดวงตาของนางก็ปริแตกไปแล้ว ลูกตาสองลูกกลิ้งตกลงมาเบื้องหน้า จากนั้นก็กลิ้งจากเสื้อผ้าลงมาบนพื้น กลิ้งหลุนๆ ไปอยู่ด้านหลังของเก้าอี้
ในห้องโถงใหญ่เงียบสนิท ไม่มีใครกล้าส่งเสียง มีเพียงหลวนหยางเจ้าปราสาทที่ถูกผนึกความรู้สึกทั้งห้า ถูกพันธนาการอยู่บนเก้าอี้ที่ดวงตาแดงก่ำ แค้นเคืองคนที่นอนเคียงหมอนอย่างถึงที่สุด
เหตุใดนางถึงได้เห็นแก่ตัวขนาดนี้!
นางต้องถูกผีลวงใจ ถูกมารเข้าสิงอย่างแน่นอน!
นางสมควรตายแล้ว สมควรตายไปพร้อมกับเจ้าเศษสวะ ตัวประหลาดที่ถือกำเนิดในหัวใจนางตัวนั้นนั่นแหละ!
ลู่ไถเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าสตรีที่ตายไปแล้ว ก้มตัวลงจ้องมองตรงหัวใจที่มีเลือดสดหลั่งทะลักออกมาแล้วพึมพำว่า “มารดาของเจ้าทุ่มเทเพื่อเจ้ามากขนาดนี้ ไม่ว่าอะไรก็ล้วนมอบให้เจ้าได้หมด แม้แต่มโนธรรมในความเป็นคนก็ยังไม่ต้องการ แล้วเจ้าล่ะ? เหตุใดถึงยังดูดดึงเอาปราณวิญญาณและจิตวิญญาณในร่างของนางไปอย่างบ้าคลั่ง ตอนที่นางยังมีชีวิตอยู่ เจ้าก็ทรมานนางมามากพอแล้ว ตอนนี้นางตายไปแล้ว เจ้าจะให้นางจากไปอย่างสงบสักชั่วครู่ไม่ได้เลยหรือ?”
หัวใจที่ขยับขึ้นลงไม่หยุดนิ่งของสตรีแต่งงานแล้วพลันหยุดชะงัก จากนั้นก็เหมือนมีเสียงร้องไห้คร่ำครวญที่แผ่วเบาอย่างถึงที่สุดส่งมายังโลกมนุษย์ ดั่งเสียงของทารกทุกคนที่ดังขึ้นเมื่อมาเยือนโลกใบนี้
“สายไปแล้ว”
พัดไม้ไผ่ในมือของลู่ไถพลันแทงทะลุหัวใจของสตรีที่แต่งงานแล้วไปปักตรึงอยู่กับพนักเก้าอี้ เขาพูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ว่า “โลกมนุษย์น่าเบื่อ สู้ไม่มาเยือนเสียยังดีกว่า”
เสียงหวีดแหลมบาดแก้วหูพลันดังก้องไปทั้งห้องโถง แสงเทียนทั้งหมดดับลง เสาใหญ่หลายต้นส่งเสียงปริแตกไปในเวลาเดียวกัน
จิตใจของทุกคนก็แทบจะปริร้าวตามไปด้วย
มีเพียงหลวนหยางที่รู้สึกโล่งอก แต่หลังจากนั้นก็ใจหาย สายตาว่างเปล่าเหม่อมองไปยังเก้าอี้ที่อยู่ข้างกัน
สตรีผู้อ่อนหวานที่เติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็กตายได้อัปลักษณ์ยิ่ง
บุรุษผู้นี้ไม่รู้ตัวเลยว่า เขาที่ในใจแค้นเคืองยากสงบ แท้จริงแล้วน้ำตากลับอาบหน้าอยู่นานแล้ว
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น