ท่านเทพมาแล้ว 295-298
บทที่ 295 เจ้าคนระยำ!
โดย
Ink Stone_Romance
มู่จิ่วออกจากประตูสวรรค์แดนใต้ ตรงไปยังอมรโคยานทวีป ทุ่มเทกำลังทั้งหมดขี่เมฆไป เพียงครึ่งชั่วยามก็เห็นหงชางอยู่ไกลๆ แล้ว จึงเร่งความเร็วมุ่งไปข้างหน้าอีกหลายลี้ ความว่างเปล่าบนภูเขาหงชางทำให้นางตกตะลึงอีกครั้ง…เรือนที่ก่อสร้างอย่างสวยงามตรงไหล่ภูเขาไหนเลยจะยังอยู่? ห้องสนครวญของหลิวหยางหายไปแล้ว ถ้ำเมฆาคล้อยของนางก็เช่นกัน ถ้ำของพวกมู่หัวมู่อวิ๋นก็ไม่อยู่!
ศิษย์พี่ศิษย์หลานล้วนหายไปหมด!
ทั้งภูเขาหงชางราวกับป่าเขาเขียวชอุ่มที่ไม่มีคนอยู่เลย แม้กระทั่งขั้นบันไดที่พวกเขาใช้เดินขึ้นภูเขามาหลายร้อยพันปีก็หายไปแล้ว!
มู่จิ่ววิ่งไปยังตำแหน่งที่ตั้งของถ้ำเมฆาคล้อยของนาง พบเพียงปากถ้ำที่ปกคลุมไปด้วยตะไคร่น้ำหนาเตอะ บนลำต้นหลิวใหญ่ที่หน้าปากถ้ำยังมีตะไคร่น้ำเช่นกัน ด้านในถ้ำมีหัวเล็กๆ ที่ปกคลุมไปด้วยขนฟูฟ่องโผล่ออกมาแถวหนึ่ง เป็นฝูงกระต่ายเทามาทำรังอยู่ พวกมันยื่นหน้าออกมาดู ไม่มีร่องรอยมนุษย์เคยใช้ชีวิตอยู่แม้แต่น้อย!
กลับไปที่ตำแหน่งของห้องสนควรญอีกครั้ง ตรงนั้นกลับไม่มีต้นไม้อะไร แต่เต็มไปด้วยพุ่มไม้
“อาจารย์…”
นอกจากเสียงสะท้อนของนางในภูเขาก็มีเพียงเสียงลมพัดต้นไม้ พวกหลิวหยางหายไปแล้วจริงๆ!
“พี่สาว!”
อาฝูไม่คิดว่าจะเป็นเช่นนี้จึงตามนางมาอย่างกังวล
มู่จิ่วตามหาในรอบรัศมีแปดร้อยลี้ก็ยังไม่พบ
ประหลาดนัก พวกเขาไปไหนกัน?
ทำไมลู่ยาถึงมาที่นี่? เขามาทำอะไร!
“อาจิ่ว!”
พูดถึงโจโฉโจโฉก็มา มู่จิ่วกัดฟันเบิกตากว้าง หมุนกายไปเจอลู่ยาลงมายังพื้นตรงหน้านางพอดี
“ที่จริงข้าคิดจะสารภาพกับเจ้าอยู่พอดี…”
ลู่ยาฝืนพูดออกมา เขารีบตามมาทันทีเมื่อรุ่ยเจี๋ยมารายงานกับเขา ครั้นเห็นท่าทางเช่นนี้ของนาง เขาก็รู้สึกขนลุกชันบ้างแล้ว!
“ข้าเชื่อเจ้าก็บ้าแล้ว!” มู่จิ่วพูดกับเขาด้วยความโกรธ “เจ้าทำอะไรกับอาจารย์ข้ากันแน่!”
“ข้าไม่ได้ทำอะไรจริงๆ!” ลู่ยาพยายามอธิบาย “ข้าเพียงรู้สึกว่าเขาไม่ใช่แค่จินเซียนธรรมดา จึงมาดูว่าแท้จริงเขาเป็นใคร และพบว่าเขาอาจจะเป็นจุ่นถีศิษย์คนโตของศิษย์พี่รองข้า จากนั้นเขาก็หายตัวไป!”
เขาเล่าเรื่องทั้งหมดออกมา “ข้าไม่ได้ทำอะไรเขาจริงๆ แต่ข้าก็ไม่รู้ว่าทำไมเขาต้องหนีไป และไม่รู้ว่าทำไมต้องซ่อนตัวจากพวกเรามานานหลายปีขนาดนี้ ตอนนี้ข้ากำลังตามหาเขาอยู่ จื่อจิ้งมาหาข้าเพราะเรื่องนี้ แต่เดิมข้าคิดจะตามหาเขาให้เจออย่างเงียบๆ ก่อนแล้วค่อยบอกเจ้า คิดไม่ถึงว่าเจ้ากระดิ่งสารเลวนั่น…”
มู่จิ่วไม่ได้ไล่ต้อนเขา กลับพูดอย่างตกใจ “เจ้าหมายความว่าเขาคือจุ่นถีเต้าเหรินจริง? คือศิษย์พี่ที่ร่วมกันสร้างลัทธิประจิมในตอนนั้น? และยังแปลงเป็นผูถีจู่ซือผู้ซึ่งถ่ายทอดวิชาให้ซุนหงอคง?”
เช่นนี้หมายความว่าคำพูดของซุนหงอคงไม่ใช่เรื่องเหลวไหล?
หลิวหยางคือจุ่นถี ซุนหงอคงไม่ได้เข้าใจผิด?
เช่นนั้นทำไมเขาต้องอำพรางฐานะที่แท้จริง? ทำไมต้องผนึกตนเองให้เป็นเพียงจินเซียนด้วย?
หลิวหยางอาจารย์ของนางกลับเป็นจุ่นถีที่มีชื่อเสียงโด่งดังผู้นั้น…
ที่แท้นางก็เป็นหลานศิษย์ของหุนคุน!
ลู่ยากุมขมับอย่างจนปัญญา “ตอนนี้ข้อสันนิษฐานเรื่องจุ่นถีเชื่อถือได้ เพราะของวิเศษทั้งสามชิ้นของจุ่นถีล้วนอยู่ในมือหลิวหยาง และพวกเจ้าก็ฝึกฝนพลังสายเสวียนหลิง”
“ใช่ก็ใช่ ไม่ใช่ก็ไม่ใช่! สิ่งใดเรียกว่าเชื่อถือได้เชื่อถือไม่ได้!” มู่จิ่วไม่สบอารมณ์ ตอนนี้ดีนัก แม้แต่สำนักของนางก็หายไป วันหน้าออกจากทัพทหารสวรรค์แล้วจะให้นางไปที่ไหน? คิดถึงจุดนี้นางก็อดถลึงตาใส่เขาไม่ได้ ฟันกรามเกือบบดกลายเป็นผง ไม่ว่านางจะเป็นศิษย์ของใคร ก็ไม่มีเหตุผลถึงขนาดสำนักก็หายไปหมดกระมัง?
“ประเด็นคือข้ายังไม่ได้ยืนยันกับเขาด้วยตนเอง ข้าก็กลัวว่าหากเข้าใจผิดจะทำให้เจ้าโกรธ” ลู่ยารีบอธิบาย “หลังจากเขารู้ว่าข้ามาหา เขาก็ซ่อนตัวไปทันที สิ่งที่ข้าคิดไม่ตกคือทำไมเขาต้องหลบหลีกจากข้า? ข้าเจอตัวเขาแล้วอย่างชัดเจน เขามีความจำเป็นอะไรต้องแอบซ่อนจากข้า?”
พูดถึงตรงนี้เขาพลันชะงัก สายตาเปลี่ยนไปประหลาด
“ไม่แน่ว่าเขาอาจไม่อยากเจอเจ้า!” มู่จิ่วต่อว่าเขา “เจ้าคิดว่าเจ้าหน้าตาดีแล้วทุกคนจะอยากเจอเจ้าหรือ?!”
“ไม่ใช่…” ลู่ยามองนาง อยากจะพูดอะไรแต่กลับอึกอัก
มู่จิ่วยังโกรธต่อไป
ลู่ยาชะงัก พูดดีๆ กับนาง “เขาเป็นศิษย์รักของศิษย์พี่ข้า ข้าไม่เคยรังแกเขามาก่อน อายุของพวกเราห่างกันไม่มาก ข้าไม่อาจทำเช่นนี้ได้ อีกทั้งเขาไม่ได้หลบซ่อนจากข้าเพียงคนเดียว ตอนนี้ไม่ใช่ซ่อนตัวแม้แต่กับเจ้าหรือ?”
มู่จิ่วไม่ได้ยินคำนี้ยังดี พอถูกคำพูดนี้ของลู่ยาทิ่มแทง ลมหายใจก็จุกอยู่ที่คอ พูดอะไรไม่ออก!
เขากลับทำเหมือนไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ พูดว่าหลิวหยางซ่อนตัวจากนางด้วย?
นางพุ่งเข้าไปทุบอกเขาหลายครั้งด้วยความโกรธเคือง ก่อนมองไปยังผืนป่านี้ รู้สึกเหมือนหัวใจถูกเฉือนออกไป!
ถึงแม้เขาจะระยำแต่ก็พูดได้ไม่ผิด หลิวหยางและพวกมู่หัวที่เอ็นดูนางยิ่งนักรวมถึงเหล่าหลานศิษย์ที่มองนางเป็นผู้นำ จากไปหลายวันขนาดนี้กลับไม่ส่งข่าวมาหานางแม้แต่น้อย ไม่มีคนมาหานาง แต่ไม่กลัวว่านางจะร้อนใจเพราะหาพวกเขาไม่เจอ! พวกเขาไม่ต้องการนางแล้วหรือ…
“อาจารย์…”
นางเช็ดน้ำตาที่ไหลรินลงมา เสียงร้องไห้ค่อยๆ ดังขึ้นอย่างไม่รู้ตัว จนกลายเป็นคร่ำครวญเสียงดัง
สองพันปีที่ผ่านมานางไม่เคยขาดการติดต่อกับหลิวหยางมาก่อน เขาและเหล่าศิษย์พี่บนเขากลายเป็นครอบครัวของนางนานแล้ว ตอนนี้พวกเขาทิ้งนางไปกะทันหัน ทำให้นางพลันรู้สึกราวกับกลายเป็นเด็กกำพร้า นางไม่รู้ว่าหลิวหยางซ่อนตัวจากผู้คนเพราะมีเรื่องซับซ้อนใดหรือไม่ แต่เขากลับทิ้งนางไปอย่างเลือดเย็นเพื่อเร้นกาย
ลู่ยาเห็นนางร้องไห้ ถึงได้รู้ว่าตนเองพูดผิดไปแล้ว รู้สึกสำนึกเสียใจจนอยากจะเย็บปากตัวเองนัก!
เขารีบปลอบนาง “เจ้าอย่าร้องไห้ ข้าจะช่วยเจ้าตามพวกเขากลับมา”
มู่จิ่วยืนขึ้นมาผลักเขา มองอย่างโกรธแค้น จากนั้นขึ้นเมฆไปทันที
เสี่ยวซิงยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เห็นมู่จิ่วตาแดงเดินเข้ามาเลยอดไม่ได้ถาม “เป็นอะไรหรือ?”
มู่จิ่วชะงักฝีเท้า ไม่รู้ว่าควรพูดเช่นไรดี กัดปากเดินกลับห้องไป
เสี่ยวซิงยังไม่ทันรู้ตัว ลู่ยาก็พลันปรากฏตัวขึ้นในลานบ้าน เขาพุ่งเข้าไปหาจื่อจิ้งที่หลับสนิทอยู่ในห้องที่ปิดแน่นราวกับสายลม จากนั้นก่อกองเพลิงขนาดสามฉื่อ ผลักอีกฝ่ายไปบนนั้น ก่อนแปะยันต์สกัดจุดไว้บนหน้าผาก!
จื่อจิ้งตะโกนด่าอยู่ในกองเพลิงที่ร้อนแรง “ปู่เจ้าเถอะ…”
มู่จิ่วที่นอนอยู่บนเตียงราวกับมีไฟแผดเผาในใจ เมื่อไฟมอดดับก็เสียใจยิ่งนัก
ไม่ว่าหลิวหยางเป็นใคร เป็นจุ่นถีหรือเป็นคนอื่น เขาก็เป็นอาจารย์ของนาง เป็นคนที่จับจูงนางใช้ชีวิตมาสองพันปี ทั้งยังเป็นญาติที่คอยปกป้องและพานางมาสู่หนทางเซียน ลู่ยาทำเกินไปแล้ว! เขามีสิทธิ์อะไรไปสืบเรื่องหลิวหยาง? เขาอาศัยอะไรไปสืบเรื่องหลิวหยางโดยไม่บอกนางสักคำ?
ประตูเปิดออก ไม่ต้องดูก็รู้ว่าใคร นางโยนหมอนไปทางเขา
ลู่ยารับมันได้พอดี
……………………………
บทที่ 296 น่ารังเกียจเสียจริง
โดย
Ink Stone_Romance
มู่จิ่วจึงโยนอีกใบเข้าไปอีก จากนั้นหันหลังให้ทันที
มือทั้งสองของลู่ยาถือหมอนเข้ามาถึงหน้าเตียง หยิบใบที่ปิดหัวนางขึ้นมา ก่อนนั่งลงริมขอบเตียงอย่างว่าง่าย
มู่จิ่วไม่ขยับ
ห้องจึงเงียบลงไปเช่นนี้
ลู่ยาครุ่นคิดอยู่นาน มองมู่จิ่วที่อยู่บนเตียง ก่อนยื่นมือไปนวดคลึงไหล่นาง แต่นางสะบัดไหล่หลบ
เขาทุบขาให้อีก นางก็ยืดขาเตะโดนท้องน้อยเขาพอดี
ลู่ยาร้องอย่างอึดอัดแล้วตัวงอล้มลงไปบนเตียง นางผลุงตัวนั่งขึ้นมาทันที หันมามองเขา อยากจะดูว่าอีกฝ่ายเป็นอะไรหรือไม่ก็ดันไม่สบายใจนัก ใจส่วนหนึ่งก็โกรธ อีกส่วนหนึ่งก็อดห่วงเขาไม่ได้ จนกระทั่งเห็นเขาค่อยๆ ฟื้นตัวกลับมา นางจึงกัดฟันนั่งกอดเข่าไม่สนใจเขา
ลู่ยาเอนตัวดึงนางอยู่บนเตียง นางก็ไม่ขยับเขยื้อน เขาออกแรงเล็กน้อย ครั้นมู่จิ่วเซล้มลงมา เขาพลิกตัวกักนางไว้ใต้ร่างพอดิบพอดี จากนั้นกดแขนทั้งสองข้างของนางไว้ มองใบหน้าโกรธขึ้งที่ห่างออกไปครึ่งฉื่อ ไม่มีอารมณ์โมโหแม้แต่น้อย ความอ่อนโยนที่กักเก็บไว้พันหมื่นปีเอ่อล้นออกมาทั้งหมด ก้มหน้าลงไปจุมพิตดวงตาบวมแดงของนาง
มู่จิ่วไม่อยากให้การใช้กำลังเกิดขึ้น จึงสะบัดหัวอย่างเอาเป็นเอาตาย ลู่ยาทำได้เพียงใช้มือทั้งสองประคองหน้านางไว้ มู่จิ่วที่มือทั้งสองข้างเป็นอิสระจึงระดมทุบลงบนหลังเขาราวกับห่าฝน ทั้งยังกัดริมฝีปากล่างจนซีดขาว
ลู่ยาแยกริมฝีปากมู่จิ่วออก ศอกข้างหนึ่งค้ำอยู่ทางซ้ายของนาง มือขวากดนางเข้ามาหาอก “มา เจ้ากัดตรงนี้”
มู่จิ่วกัดลงไปจริงๆ แต่เขาก็ไม่ขยับ ไม่ถอยหลบไป ดวงตาทั้งสองมองไปข้างหน้าอย่างนิ่งเฉย
มู่จิ่วกัดไปสองครั้งก่อนหยุดลงในที่สุด ก่อนพลิกตัวเข้าไปนอนเอนด้านใน
เขาก็เอนตัวลงกอดเอวนางไว้จากด้านหลัง
ทันใดนั้นเขาพลิกตัวกดนางลงไปใต้ร่างอีก ดวงตาทั้งสองมืดดำราวกับน้ำหมึก “พวกเราแต่งงานกันเถอะ”
มู่จิ่วยังไม่หายโกรธ กำลังจะยกมือขึ้นทุบเขา พอได้ยินคำพูดนี้กลับชะงักไป
แต่งงาน?!
คิดได้ประเสริฐนัก เพิ่งพูดเรื่องหลิวหยางกันอยู่ กลับเปลี่ยนมาเป็นเรื่องแต่งงานเสียนี่…
“แต่งงานกับข้าเถิด” เขาพูดอีก
ลมหายใจของเขารินรดจนมู่จิ่วใจเต้นราวกับรัวกลอง ก่อนยื่นมือออกไปผลักเขา “คืนหลิวหยางมาให้ข้าก่อนค่อยว่ากัน!”
“มีข้าไม่พอหรือ?” ลู่ยาเอ่ยเอาใจนางไม่ไหวแล้ว
นี่คือคำพูดอันใด!
มันเทียบกันได้หรือ?!
นางโกรธจนผลักเขาอีก เขากลับกักนางไว้ใต้ร่าง “หากหลิวหยางคือชายชุดเขียว? เจ้าจะทิ้งข้าแล้วตามเขาไปหรือไม่?”
เจ้าคนระ…อะไรนะ?
หลิวหยางคือชายชุดเขียว?
นางพลันชะงักแน่นิ่ง เขาหมายความว่าอย่างไร?
ลู่ยาที่อยู่ห่างออกไปสามนิ้วมือด้านบนมีแววตาลุ่มลึก ไม่เหมือนกับล้อเล่น
เขาสงสัยว่าหลิวหยางคือชายชุดเขียว?
“เป็นไปไม่ได้!”
ในหัวมู่จิ่วพลันผุดตัวอักษรเหล่านี้ขึ้นมา นางผลักเขาอย่างแรงอีกครา แต่เขากลับเหมือนขุนเขาที่กดทับร่างนาง ไม่ขยับแม้แต่น้อย และสายตาของเขาก็เหมือนกับบึงน้ำที่ลึกไม่เห็นก้น
ลมหายใจของเขาราบเรียบนัก ราบเรียบเสียจนผิดปกติเล็กน้อย
นางพลันพูดไม่ออก…ถึงแม้นางมั่นใจจากจิตใต้สำนึกว่าหลิวหยางต้องไม่ใช่คนสองหน้าแบบนั้น แต่หากคิดตามที่ลู่ยาพูด ชายชุดเขียวไม่เคยพบนางมาก่อน นางก็ไม่มีความทรงจำใดเกี่ยวกับเขาเลย ทำไมเขาถึงได้คุ้นเคยกับนางเช่นนั้นและยังไม่ทำร้ายนางอีก?
คนที่นางสนิทสนมที่สุดทั้งยังมีพลังแข็งแกร่งก็มีเพียงหลิวหยาง!
นางอยู่กับหลิวหยางมานานกว่าที่อยู่กับลู่ยาเสียอีก!
ราวกับมีแสงสว่างส่องลงมาในความมืดมิด ความสงสัยมากมายพลันปรากฏออกมาทั้งหมด
ในเมื่อชายชุดเขียวผู้นั้นเป็นฝั่งอธรรม ย่อมต้องไม่มีเหตุผลในการทำดีกับนาง ลู่ยาพูดไม่ผิด เขาต้องรู้จักนางแน่ หลิวหยางเป็นอาจารย์นาง ต้องเข้าใจนางอย่างมาก ดังนั้นเขาจึงรู้ว่านางชอบกินส้มของหลิงหนาน ทั้งยังปอกส้มให้นางอย่างใส่ใจ…ซึ่งหลิวหยางก็เป็นคนที่เอาใจใส่อยู่แล้วด้วย!
ขณะเดียวกัน การหลบซ่อนตัวของหลิวหยางก็น่าสงสัยยิ่งนัก!
…แต่ถึงแม้หาข้อสงสัยมากมายเช่นนี้ออกมาได้อย่างง่ายดาย นางก็ยังคงไม่เชื่อว่าหลิวหยางคือคนแบบนั้น
ในสองพันปีนี้ นางยังไม่ชัดเจนเรื่องนิสัยของเขาอีกเช่นนั้นหรือ? เขาสอนนางและเหล่าศิษย์พี่ให้ทำความดีตลอดมา ถึงแม้เขาซ่อนตัวอยู่ในหงชางก็ไม่เคยกล่าวโทษสังคม ยามนางเจ็บปวดและปวดหัวเพราะเรื่องระหว่างตนกับลู่ยา เขาก็ให้กำลังใจนางตลอด นางไม่เชื่อว่าเขาจะเป็นคนสองหน้า!
หากนางไม่ได้เห็นชายชุดเขียวด้วยตาของตนเอง และไม่เคยใกล้ชิดกับเขามาก่อนก็ช่างเถิด บางทีนางอาจจะเห็นด้วยกับลู่ยา แต่ไม่ว่านางย้อนนึกกลับไปอย่างไร ก็ไม่อาจเห็นร่องรอยของหลิวหยางจากตัวชายชุดเขียวเลยสักนิด คนผู้นั้นสุขุมมั่นใจในตนเอง ถึงแม้หลิวหยางก็เป็นเช่นนั้น แต่รัศมีของเขาสง่างามและสงบนิ่งมากกว่า
แต่หลิวหยางทำอะไรมีขอบเขต ไม่เคยใกล้ชิดกับนางมากเกินไป ไม่เคยทำเรื่องเช่นปอกส้มให้ด้วยตนเองหรือจับจูงมือนาง…ในเมื่อไม่เคยทำมาก่อน จะสามารถทำเรื่องเหล่านี้กับนางอย่างเป็นธรรมชาติในทันทีทันใดได้อย่างไร?
หากไม่ใช่คุ้นชินมากพอ ย่อมไม่อาจทำอย่างเป็นธรรมชาติได้ถึงขนาดนั้น…ดังนั้นต้องไม่ใช่หลิวหยางแน่!
“ชายชุดเขียวไม่ใช่หลิวหยางแน่นอน!” หน้าอกนางกระเพื่อมขึ้นลง บอกเขาอย่างมั่นใจ
“แน่ใจหรือ?” ปลายจมูกลู่ยาชิดปลายจมูกนาง ไล้เบาๆ จากปีกจมูกไปยังใบหู “ข้าก็หวังว่าจะไม่ใช่”
เขาก็ไม่อยากคิดเช่นนั้น แต่หลิวหยางหายไปได้แปลกประหลาดนัก และสำคัญคือ…มู่จิ่วมองหลิวหยางไว้สูงส่งมาก นางยังเคยพูดว่าแม้แต่อาจารย์ของตนเองนางยังไม่เคยหวั่นไหวด้วย…นี่หมายถึงอะไร? แสดงว่าในใจนางหลิวหยางมีเสน่ห์อย่างยิ่ง เช่นเดียวกับนางที่มีเสน่ห์เหนือสามัญต่อลู่ยา เมื่ออยู่ด้วยกันตลอดเวลา หลิวหยางจะไม่หวั่นไหวกับนางเลยหรือ?
เมื่อครู่ตอนอยู่ภูเขาหงชาง ลู่ยาพลันคิดถึงความเป็นไปได้นี้
ถึงแม้ไม่แน่ใจ แต่เมื่อคิดเช่นนี้กลับทำให้เขาไม่อาจสงบใจได้ ชายชุดเขียวปฏิบัติต่อนางแบบนั้น เขารู้สึกราวกับถูกริดรอนสิทธิไป เขารับไม่ได้ที่ยังมีคนอื่นไม่สนใจตัวตนของเขาอย่างโอหังเช่นนี้ นอกจากเขาแล้ว ผู้อื่นไม่มีสิทธิ์แสดงท่าทีสนิทสนมใกล้ชิดนาง
หากคนผู้นั้นเป็นหลิวหยางจริง อีกฝ่ายมีฐานะและคุณสมบัติมากพอจะทำให้เขาสับสน ทั้งยังทำให้เขาต้องอิจฉา…พวกเขารู้จักกันมาก่อน และยังอยู่ด้วยกันตลอดมานานถึงสองพันปี ส่วนลู่ยากับมู่จิ่วนับเวลาที่อยู่ด้วยกันแล้วยังไม่ถึงสองปี..เวลาสองพันปีสามารถเกิดเรื่องราวได้มากมาย!
เขารู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจอยู่บ้าง ตั้งแต่วันที่เห็นมู่จิ่วกับชายชุดเขียวพบกัน เขาก็ไม่สามารถกลบความว่างเปล่าในใจได้
สตรีของเขาถูกคนอื่นหมายตา?
เขาขบใบหูนาง ลมหายใจกระชั้นราวสัตว์ป่า
มู่จิ่วเม้มริมฝีปากเล็กน้อยก่อนเม้มแน่น
นางถูกเขากระตุ้นจนค่อยๆ ไม่เป็นตัวของตัวเอง
นางก็รู้สึกถึงความตื่นตัวและร้อนแรงของเขาเช่นกัน เขากำลังหึงนางกับหลิวหยาง? หรือ…ชายชุดเขียว?
เจ้าคนขี้หึง…
ยังไม่ทันได้ด่าว่า กลับถูกเชยคางขึ้น ลู่ยาก้มลงมาขบกัดริมฝีปากนางแล้ว
……………………………………………………….
บทที่ 297 ฉวยโอกาส
โดย
Ink Stone_Romance
มู่จิ่วยังโกรธอยู่ อยากผลักเขาออกไป แต่สุดท้ายก็ทำไม่ลง
ช่างเถิด เห็นแก่นางที่ไม่มีทางอธิบาย
เมื่อวานเห็นเขาทำตัวราวกับไม่เกี่ยวข้องด้วย นางยังนึกว่าเขาไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องนี้ คิดไม่ถึงว่าผ่านมาวันเดียวกลับอดทนไม่ไหวแล้ว!
เขาจูบไล่จากริมฝีปากมายังคาง จากสันกรามมายังลำคอ กระดูกไหปลาร้าอันแบบบางเจือไปด้วยกลิ่นหอมของกายนาง เขาทนไม่ไหว ปลดสายคาดเอวมู่จิ่ว แหวกสาบเสื้อออก ก่อนตรงไปยังลาดไหล่ขาวผ่อง
…ไม่ได้นะ!
มู่จิ่วใจเต้นราวกับจะกระโดดออกมา ลมหายใจก็กระชั้นขึ้น นางจับคอเสื้อไว้โดยไม่รู้ตัว มืออีกข้างยันแผงอกเขาไว้…พวกเขายังไม่ได้แต่งงานกัน! ทำไมไม่รอตอนนางเป็นเซียนเต็มตัวจนยืนเคียงข้างเขาได้แล้วค่อยทำเรื่องนั้น? และตอนนี้นางกับเขายังทะเลาะกันอยู่ ทำเช่นนี้เหมาะสมหรือ?
เขาก็อย่าได้คิดว่าจะใช้แผนชายงามล่อลวงให้นางปล่อยเขาไป!
“เจ้า เจ้าออกไป…” นางพยายามรวบรวมกำลังเอ่ยออกมา
แต่ไหนเลยจะเหมือนการข่มขู่? เสียงกระซิบแหบพร่าเช่นนี้ ฟังไปแล้วเหมือนกับเสียงยั่วยวนริมหู เขายิ่งจุมพิตลงไปบนคอนางตามแต่ใจ รวมทั้งบนไหล่และผิวขาวราวหิมะที่โผล่พ้นเอี๊ยมออกมา ทั้งยังดูดดึงนิ้วมือของนาง กระทั่งขบกัดนางเหมือนกับสัตว์ป่าดุร้ายตัวหนึ่ง
นางถึงกับรู้สึกว่าเขาสามารถกลืนนางลงไปได้ทุกเมื่อ!
นี่เขากินยาปลุกกำหนัดมาหรือ?
นางยันอกเขาพลางตัวสั่นไปตามใจที่เต้นรัว…จะมากเกินไปแล้ว! เขาช่างฉวยโอกาส!
“ออกไป…”
เสียงลอดไรฟันนางออกมา แต่เดิมเตรียมออกแรงสุดกำลัง แต่สมาธิถูกรบกวน สุดท้ายออกมาเพียงเสียงเบาๆ
ลู่ยายิ่งไม่ควบคุมตนเอง ทำตามใจปรารถนา ไล่จูบไปทุกที่
เขารู้ถึงความหอมหวานของนางนานแล้ว มักใจฟุ้งซ่านเมื่ออยู่กับนางสองคน แต่ก็ไม่เคยล่วงเกินนางเช่นนี้มาก่อน
แต่ตอนนี้เขากลับคลุ้มคลั่ง เหมือนกับหนุ่มรุ่นผู้เหลาะแหละ เขารักผู้หญิงคนหนึ่ง เขาต้องการเป็นเจ้าของนาง
เขาหยุดเมื่อเกือบทำนางช้ำไปทั้งตัว ฝังหน้าลงกับไหล่ สูดกลิ่นหอมของนางเข้าไป
มู่จิ่วถูกสัมผัสจนร้อนไปหมด ตื่นตระหนกยิ่งนัก เมื่อเห็นลู่ยาหยุดจึงผลักเขาออกไป ก่อนหยิบหมอนขึ้นมาทุบ!
ลู่ยายื่นมือออกไปหยุดหมอนนั้น ผมหลุดลุ่ยจากการเคลื่อนไหวเมื่อครู่นี้ ผมปอยหนึ่งตกลงมาปรกด้านหน้า ทำให้เขาดูชั่วร้ายเหมือนปีศาจ
มู่จิ่วยิ่งโกรธขึ้ง จับหมอนพุ่งเข้าหาเขา เขายื่นมือออกไปรัดนางไว้ ใช้คาถาสะกัดจุดให้หยุดนิ่ง ก่อนจัดการเสื้อผ้าหน้าผมให้
ตอนที่นิ้วมือเขาไล้ผ่านช่วงล่างของกระดูกไหปลาร้า มู่จิ่วรู้สึกว่าตนเองร้อนผ่าว!
เจ้าคนระยำสมควรตาย…
นางอยากกัดเขาให้ตาย…
“อย่าใจร้อน ช้าเร็วข้าก็เป็นของเจ้า” เขาเอื้อมมือมาผูกสายรัดเอวให้จากด้านหลัง แผ่นอกแนบกับแผ่นหลังนาง ใบหน้าแนบกับใบหน้าเห่อร้อนของนาง เสียงก็เบาจนมีเพียงนางคนเดียวที่ได้ยิน “เมื่อถึงเวลาเจ้าอยากกัดข้าขบข้า ถอดเสื้อผ้าข้าอย่างไร กระทั่งจะรังแกกันอย่างไรข้าก็ยอม แต่เจ้าไม่อาจลืมข้าหรือละทิ้งข้า”
มู่จิ่วหันกลับไปทันที ถึงได้รู้ว่าตนเองขยับตัวได้แล้ว นางปล่อยปากที่กัดอยู่บนคอเขาก่อนผลุงตัวขึ้นมา ชี้หน้าอย่างโกรธเคืองพลางพูด “เจ้าหมายความว่าอย่างไร!”
“หมายความว่าเจ้าไม่ทำเรื่องนั้นก็คือไม่ทำ แต่นอกจากเรื่องนั้นแล้วเจ้าห้ามสนใจข้า” เขาขบลงไปบนคอนางอีกรอบ จากนั้นถอยออกไปนั่งบนเตียง มองแววตาคู่นั้นของนางอย่างล้ำลึก แต่ฟันที่เผยออกมากลับเป็นระเบียบและสวยงาม เขาเจอเรื่องพลิกผันเช่นนี้อารมณ์ก็ดีขึ้นมาก หรือแต่ก่อนเขาจะสงบเสงี่ยมเกินไป?
มู่จิ่วอยากกระอักเลือด…
แต่รอยยิ้มของเขาทำให้สายตานางพร่าเลือน รอยยิ้มเช่นนี้ เร็วๆ นี้เหมือนนางเคยเห็นที่ไหนมาก่อน…
เดิมทีอยากคิดบัญชีกับเขา แต่ถูกเขาทำแบบนี้ด้วยก็ไม่รู้จะไปต่ออย่างไร
ชายชุดเขียวนั้นก็ประหลาดนัก แต่นางดันไม่อาจไม่ให้ลู่ยาเห็นภาพนั้น เขาจะหึงและโกรธก็สมเหตุสมผลอยู่กระมัง?
แต่นี่เป็นคนละเรื่องกับที่เขาทำให้หลิวหยางตกใจหนีไป!
เรื่องนี้นางไม่อาจอภัยได้
สรุปคือ หากยังไม่เจอหลิวหยางนางไม่ปล่อยเขาไปแน่!
ลู่ยาจำต้องเชื่อฟัง ตอนนี้ต้องทำตามกฏอย่างว่าง่าย และตามหาร่องรอยของหลิวหยาง
แน่นอนว่าเขาไม่ปล่อยจื่อจิ้งไป เสียงร้องโหยหวนก่นด่าดังออกมาจากห้องไม่หยุดตลอดทั้งวัน อีกทั้งลู่ยายังสร้างเขตพลังป้องกันไม่ให้ผู้อื่นเข้าได้ รุ่ยเจี๋ยและอาฝูก็ทำได้เพียงมองดูจากที่ไกลๆ เรื่องนี้ทำให้ทุกคนรู้สึกว่าหากไม่ใช่เพราะพวกเขาสองคนอยู่ในห้องด้วยกันนาน และเมื่อออกมาคอมู่จิ่วก็เต็มไปด้วยรอยแดงเล็กๆ มากมาย เกรงว่าเป็นไปได้ว่าลู่ยาจะใช้ฝ่ามือเดียวกำจัดกระดิ่งนั่น
ตกดึกเสี่ยวซิงมาหาถึงที่ห้อง มายืนยันเรื่องที่หงชางกับมู่จิ่ว หลังจากฟังนางพูดจบเสี่ยวซิงก็ถอนหายใจ
ถึงแม้ไม่ว่ามู่จิ่วอยู่ที่ไหนที่นั่นก็คือบ้านของนาง แต่อย่างไรก็อยู่ที่หงชางมานานห้าร้อยปี หงชางพลันหายไปเช่นนี้ จะให้ไม่เสียใจได้อย่างไร
มู่จิ่วก็ถอนหายใจเช่นกัน
แต่เมื่อผ่านไประยะหนึ่งนางก็สงบใจลงได้ ถึงแม้หลิวหยางหายไปกะทันหันจนรับมือไม่ทัน แต่คิดแล้วเขาก็ไม่ได้ตกอยู่ในอันตราย เพียงแค่หลบหนีไปเท่านั้น นางจึงสบายใจขึ้นมาก นางเชื่อว่าอาจารย์ไม่อาจละทิ้งนางได้จริงๆ ภายหลังต้องปรากฏตัวหรือติดต่อนางมาแน่
ส่วนเรื่องที่เขาเป็นจุ่นถีผู้มีชื่อเสียงจริงหรือไม่ นางไม่สนใจขนาดนั้น
นางหวังเพียงพวกเขาอยู่อย่างสงบสุขก็พอแล้ว
แต่เสี่ยวซิงกลับพูดว่า “หากเขาเป็นลูกศิษย์ของหุนคุนจริง เช่นนั้นก็เป็นหลานศิษย์ของลู่ยา เจ้าจะมิต้องเรียกลู่ยาว่าอาจารย์อาใหญ่หรือ?”
มูจิ่วตกตะลึงกับคำอนุมานนี้ แต่ครุ่นคิดเรื่องนั้นในตอนนี้มันเร็วไปมิใช่หรือ? หลังจากนางเป็นเซียนแล้วถึงจะแต่งงานกับลู่ยาได้…พูดถึงเรื่องแต่งงาน นางอดคิดถึงเรื่องที่ทำให้ใจเต้นหน้าแดงเมื่อตอนกลางวันไม่ได้ เดิมทีนางมองตนเองเป็นท่อนไม้ที่ไม่เข้าใจเรื่องความสัมพันธ์หญิงชาย แต่วันนี้ถูกเขากระทำเช่นนั้น ในใจก็ราวกับมีความอบอุ่นเอ่อล้นขึ้นมา…
ถึงแม้เขาไม่พูด นางก็สัมผัสถึงความร้อนรุ่มในใจเขาได้
เห็นนางติดต่อกับชายอื่นเป็นการส่วนตัวเช่นนั้น เขาย่อมรู้สึกไม่พอใจอยู่แล้ว?
อย่างไรตอนนั้นนางเห็นเขากับ ‘อ๋าวเยวี่ย’ อยู่ด้วยกัน ใจก็รู้สึกราวกับถูกเฉือน รู้สึกว่างเปล่า
ตลอดชีวิตนี้มู่จิ่วยินยอมให้เขาล่วงเกินนางเช่นนี้เพียงคนเดียว นางจนปัญญากับเขาแล้ว
แต่…ชายชุดเขียวนั่นเป็นใครกันแน่?
หลายวันนี้ในหน่วย ยามที่หลิวจวิ้นทักทายนางมักจะสงบเสงี่ยมลงบ้าง
มู่จิ่วรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น นางจึงไม่เปิดโปง ทำตัวไปตามปกติ ถึงแม้นางคบหากับลู่ยา แต่ขณะเดียวกันก็เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของหลิวจวิ้น แยกแยะเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวชัดเจน ผ่านไปแบบนี้หลายวัน หลิวจวิ้นถึงได้เป็นธรรมชาติมากขึ้น ทว่ายังระมัดดระวังคำพูด เขาไม่ได้เป็นผู้บัญชาการทัพทหารสวรรค์โดยเปล่า ไม่ได้แพร่งพรายเรื่องลู่ยาออกไปแม้แต่น้อย
ในความเป็นจริง หากมู่จิ่วไม่หาเรื่องใส่ตัว กิจธุระในหน่วยก็เล็กน้อยอย่างมาก ปกติธรรมดายิ่งนัก
……………………………………………………………
บทที่ 298 มีเงื่อนไข
โดย
Ink Stone_Romance
วันนี้ขณะกำลังเตรียมตัวออกจากหน่วย เสียงฝีเท้าดังมาจากนอกประตู จากนั้นหลินเจี้ยนหรูก็พลันเดินเข้ามา “มู่จิ่ว ช่วงหลายวันนี้เจ้ามีเวลาว่างหรือไม่?”
มู่จิ่วนิ่งอึ้งไปสามวินาที ถึงนึกขึ้นได้ว่าเคยรับปากเขาจะไปนำกุญแจจันทราหยางมาจากอ๋าวเชิน! เมื่อนับเวลาก็เกือบสามเดือนแล้ว!
มู่จิ่วรีบพูด “ขอโทษด้วย ก่อนหน้านี้ยุ่งนัก เกือบลืมไปเสียแล้ว ข้าจะไปช่วยเจ้าถาม!”
หลินเจี้ยนหรูรีบเรียกนางไว้ “ดึกแล้ว ไม่ต้องรีบไปตอนนี้หรอก พรุ่งนี้ค่อยไปเถิด”
มู่จิ่วมองไปข้างนอก เห็นว่าดึกแล้วจริงๆ จึงพยักหน้า “เช่นนั้นข้าจะไปพรุ่งนี้เช้า”
หลินเจี้ยนหรูพยักหน้า
เขารู้ว่าช่วงนี้นางยุ่งนัก ดังนั้นถึงแม้ใจร้อนรนก็ไม่ได้มาหานาง
ทางเหลียงชิวฉานไม่มีอะไร เพียงแต่สถานการณ์ทางด้านพยับทมิฬดูไม่ค่อยมั่นคงนัก หัวชิงกำลังจะเลื่อนขั้น ตอนนี้สำนักกำลังเผชิญหน้ากับการคัดเลือกเจ้าสำนัก จีหมิ่นจวินผลักดันลูกชายคนเดียวของนางขึ้นมาอยู่แถวหน้า ต้องการให้เขาได้รับตำแหน่งเจ้าสำนักนี้ ตามหลักเหตุผลเขาไม่มีคุณสมบัติ แต่คนเช่นจีหมิ่นจวินมีเรื่องอะไรทำไม่ได้ด้วยหรือ?
ความขัดแย้งในสำนักยิ่งมาก เขายิ่งยากจะหลีกเลี่ยงการถูกเรียกตัวกลับ ไม่ว่าเขากลับไปหรือไม่ อย่างไรก็ต้องทำเรื่องนี้ให้เสร็จก่อนค่อยว่ากัน
ดังนั้นการร้อนใจของเขาไม่ใช่ไม่มีสาเหตุ
มู่จิ่วจดจำเรื่องนี้ไว้แล้ว เช้าวันถัดมานางจึงขี่อาฝูมุ่งหน้าไปยังทะเลสาบน้ำแข็ง
อ๋าวเชินรอนางอยู่นานแล้ว เมื่อเห็นหน้านางก็พูดว่า “แม่นางทำไมจึงเพิ่งมา? ข้ายังคิดว่าเจ้าไม่ใช้มันแล้ว หลายวันนี้พลังหยินกำลังดี เหมาะกับการซ่อมแซมจิตต้นกำเนิด หากเจ้าไม่มาเกรงว่าจะไม่ทันช่วงเวลาที่ดีนี้แล้ว”
มู่จิ่วหลีกเลี่ยงไม่อธิบาย รอจนเขานำกุญแจจันทราออกมาให้ดูและนัดหมายเวลาส่งคืนกับเขาอีกครั้ง ก่อนจะเดินทางกลับบสวรรค์
เดินทางไปกลับครั้งนี้ใช้เวลาเพียงครึ่งช่วงเช้า กลับมาถึงทัพทหารสวรรค์ก็มุ่งตรงไปยังหน่วยลาดตระเวนเพื่อพบหลินเจี้ยนหยูที่เพิ่งกลับจากการออกตรวจตรา
อันที่จริงหลินเจี้ยนหรูก็กำลังรอนางอยู่ ครั้นเห็นนางนำกุญแจจันทรากลับมา เขาก็รีบยืนขึ้น แก้วน้ำในมือพลิกคว่ำ เก้าอี้ที่นั่งอยู่ก็ล้มลงยามลุกขึ้นยืน
เมื่อเข้าไปดูใกล้ๆ แสงสว่างของกุญแจจันทราพลันส่องสะท้อนใบหน้าไปทั่วทิศ
“เจ้าช่างรวดเร็วนัก!”
เขายื่นมือจะไปหยิบมา มู่จิ่วกลับกำมือแล้วชักกลับไปทันที
“เจ้าต้องรับปากข้าก่อนเรื่องหนึ่ง ข้าถึงจะเอามันให้เจ้าได้” มู่จิ่วมองเขาพลางพูดอย่างชัดเจนตรงไปตรงมา
“เรื่องใด?” เสียงของหลินเจี้ยนหรูก็ไม่รีบร้อน แต่ไหนแต่ไรนางไม่เคยเอ่ยเงื่อนไขกับเขา นางต้องการทำอะไร?
“เจ้าต้องรับปากข้า หลังจากช่วยแม่เจ้าได้แล้ว เจ้าห้ามทำเรื่องชั่วร้ายอีกตลอดไป”
มู่จิ่วพูดออกมา หลินเจี้ยนหรูก็อึ้งไป
แต่นางไม่ถอยให้ มือกำกุญแจจันทราไว้แน่นยิ่งกว่าเหล็กไหล
นี่เป็นคำพูดที่นางคิดไว้ก่อนนานแล้ว ถึงแม้ลู่ยาเคยบอกว่าชะตาชีวิตของเขาไม่ว่าดีร้ายอย่างไรก็มีประโยชน์ต่อนาง แต่นางไม่อยากให้เขาเดินทางผิด ไม่ใช่ว่าเขาทำร้ายนางไม่ได้ แล้วนางจะมองเขาทำเรื่องเลวร้ายต่อไปได้ ในเมื่อเขาช่วยนางและนางก็ช่วยเขา เช่นนั้นนางเอ่ยเงื่อนไขเช่นนี้กับเขาก็ไม่นับว่าเกินไป
“ทำเรื่องเลวร้ายย่อมไม่มีผลดี ในเมื่อเจ้าเดินอยู่บนหนทางเซียน ก็ต้องตั้งใจมุ่งบำเพ็ญเพียรทำความดี เรื่องเมื่อก่อนข้ารู้ว่าเจ้าขมขื่นนัก แต่นับแต่วันนี้ นับแต่ตอนนี้ เจ้าหยุดได้หรือไม่? ในเมื่อการช่วยซ่อมแซมจิตต้นกำเนิดของแม่เจ้าคือความหวังอันสูงสุดของเจ้า ตอนนี้ข้านำกุญแจจันทรามาให้เจ้าแล้ว เจ้าก็ไม่มีเหตุผลให้ยืนหยัดโดยไม่สนใจอีก”
นางมองเขาอยู่นาน หลินเจี้ยนหรูก็กลั้นหายใจอยู่นาน
ในช่วงหนึ่งปีนี้ พูดอย่างชัดเจนคือตั้งแต่นางรู้ว่าจีหย่งฟางตายด้วยเงื้อมมือเขา ระหว่างพวกเขากล่าวได้ว่าไม่มีความเกี่ยวข้องกันอีก เขารู้ว่าเขาที่เป็นเช่นนี้ทำให้นางผิดหวัง และรู้ว่าหนทางที่พวกเขาเดินไม่บรรจบกัน เขายอมรับชะตาชีวิตนานแล้ว คนเช่นเขาไม่เหมาะจะมีเพื่อนแท้
หากเรื่องนี้ไม่สำคัญต่อเขา เขาย่อมไม่ไปขอร้องนางแน่ แต่เขาก็ยังแบกหน้าไป และใช้กำลังทั้งหมดขอร้องให้นางช่วย ตอนนั้นเขาไม่ได้ขอร้องนางในฐานะเพื่อน แต่อาศัยฐานะคนธรรมดาทั่วไปที่ต้องการความช่วยเหลือเร่งด่วน
ดังนั้นตอนที่มู่จิ่วรับปาก เขาจึงไม่คิดว่านางจะใช้ความเป็นเพื่อนออกหน้า…เขาไม่คิดว่านางยังมองเขาเป็นเพื่อนอยู่อีก ความรู้สึกซาบซึ้งที่เขามีต่อนางนั้นบริสุทธิ์ บริสุทธิ์จนไม่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ก่อนหน้า
แต่ตอนนี้เขาเห็นความจริงใจและความกังวลจากแววตาของนางได้ นี่นางกลับยังสนใจเขาอีก?
กังวลว่าเขาจะมีจุดจบเช่นไร เดินไปบนเส้นทางไหน?
เขาอยากหัวเราะอยู่เล็กน้อย เป็นการหัวเราะแบบขมขื่น
แต่ไหนแต่ไรเขาไม่เคยคิดว่านางเป็นคนคบคนแค่ผิวเผิน แต่เขาไม่คิดเลยว่านางยังเป็นห่วงว่าเขาจะกลายเป็นคนอย่างไร
นี่คือเพื่อนคนเดียวที่เขามี
เขาพลันตื้นตันในส่วนลึกของหัวใจเล็กน้อย
แต่ไหนแต่ไรเขาไม่เคยทำอะไรเพื่อนาง แต่นางกลับช่วยเขาอย่างจริงใจทุกครั้ง
และแม้แต่ตอนนี้นางเอ่ยคำขอร้องที่จริงจังออกมา ก็ยังเพราะหวังดีต่อเขา
เขามองนางแน่นิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนพูด “ข้ารับปาก” จากนั้นยกมือขึ้นมา “ข้าสาบานต่อเจ้า สาบานต่อฟ้าดิน ภายหลังข้าจะไม่ทำเรื่องเลวร้ายอีก หากทำ ขอให้ข้าสลายกลายเป็นเถ้าธุลี ไม่ได้ผุดได้เกิดตลอดไป”
มู่จิ่วเม้มปาก สุดท้ายจึงยกมุมปากขึ้น
นางไม่ได้ต้องการให้เขาสาบาน แต่ในเมื่อเขาตัดสินใจเช่นนี้ก็แล้วไปเถิด
แต่ต่อให้สาบานรุนแรงกว่านี้ก็ไม่เป็นไร ขอเพียงเขากลับตัวกลับใจ เช่นนั้นย่อมไม่มีทางเป็นไปตามคำสาบาน
“เช่นนั้นข้าไปล่ะ หากมีเรื่องอะไรก็ค่อยมาหาข้า”
ช่วยคนต้องช่วยให้ถึงที่สุด พลังบำเพ็ญของเขายังสู้ไม่ได้กระทั่งนาง ไม่แน่ว่าจะสามารถเข้าใจกระจ่างได้ทั้งหมด นางพูดอีกตอนที่ส่งกุญแจจันทราให้เขา “เจ้าจำไว้ มีเวลาเพียงเจ็ดวัน หากผ่านไปแล้ว ไม่ว่าเจ้าทำสำเร็จหรือไม่ ข้าก็ต้องเอากลับไปคืน”
หลินเจี้ยนหรูพยักหน้า ส่งนางด้วยสายตา
กุญแจจันทราในมือเขายังหลงเหลือไออุ่นของนาง นางส่งมันให้เขาโดยตรง และไม่ได้เอ่ยว่าจะไปลงมือพร้อมกับเขา ถึงแม้ตอนนี้นางก็ยังคงเชื่อใจเขา ยังรู้สึกว่าเขาคู่ควรแก่การเชื่อถือ
เขากลั้นหายใจเล็กน้อย เก็บกุญแจจันทราเข้าไปในอกอย่างดี
สิ่งที่ดีที่สุดหลังเขาขึ้นมาสวรรค์คงเป็นการพบเจอนาง
หากไม่มีนาง ไม่แน่ว่าเขาอาจตายภายใต้กระบี่ของจีหย่งฟาง หากไม่มีนาง เขาคงไม่ได้ดอกบัวกลีบม่วง และคงไม่ได้รับการช่วยเหลือให้ผ่านด่านเคราะห์จากลู่ยา หากไม่มีนาง เขาคงไม่มีความคืบหน้าในแผนการช่วยมารดา
ไม่ว่าใครก็ไม่ได้เกิดมาอยากทำความชั่ว คนที่ความสามารถน้อยเช่นเขาคิดอยากต่อกรกับพยับทมิฬ ก็เหมือนกับเอาไข่ไปทุบหิน เมื่อเผชิญหน้ากับอำนาจ ไม่ว่าความคิดเจ้าหมุนเร็วเท่าไหร่ หมัดเดียวก็หยุดทุกสิ่งได้
เพียงแค่สิ้นหวัง ไยเขาต้องผลักตัวเองเข้าสู่ทางตันด้วย?
……………………………………………………………
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น