กระบี่จงมา 292.2-298.1

 บทที่ 292.2 บนภูเขาล่างภูเขา

โดย

ProjectZyphon

เฉินผิงอันจำได้ว่าตลอดหลายร้อยปีที่ผ่านมา อาวุธวิเศษและสมบัติอาคมไม่กี่ชิ้นที่ขายด้วยราคาสูงสุดบนเรือคุนของภูเขาต่าเจี้ยวจากอุตรกุรุทวีปนั้นก็แค่ประมาณหนึ่งถึงสองหมื่นเหรียญเงินเกล็ดหิมะ


สำหรับคู่พี่น้องสองคนนั้นแล้ว ก็เหมือนกับตอนที่เฉินผิงอันยังเป็นลูกศิษย์ในเตาเผามังกร แล้วได้ยินหลิวเสี้ยนหยางพูดอย่างลับๆ ล่อๆ ว่าราคาของบ้านหลังใหญ่บนถนนฝูลวี่นั้นมีราคาหลายพันตำลึง


ตอนนั้นขนาดเศษเงินเม็ด เฉินผิงอันยังเคยเห็นแค่ไม่กี่ครั้งเท่านั้น


เพียงแต่ไม่รู้ว่าหลังจากครั้งนั้น จำนวนครั้งที่ชุนสุ่ยกับชิวสือได้เห็นเงินฝนธัญพืชมีมากน้อยแค่ไหน


ลู่ไถง่วนกับการอาศัยปราณวิญญาณที่มีอยู่ในจินหลี่มารักษาอาการบาดเจ็บ จึงไม่ทันสังเกตเห็นสีหน้าหม่นหมองของเฉินผิงอัน เขาแค่นเสียงเย็นพูดว่า “ทุ่มชีวิตเข่นฆ่ากับหม่าว่านฝ่า เชือกห้าสีเส้นนั้นของข้าได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง สมบัติคุ้มกันกายอีกชิ้นหนึ่งก็ถูกทำลายจนย่อยยับไปแล้ว ไม่พูดถึงราคาซ่อมเชือกห้าสี เจ้ารู้หรือไม่ว่าสมบัติคุ้มกันกายชิ้นที่ข้าพูดถึงนั้นมีมูลค่าเท่าไหร่?”


ลู่ไถกะพริบตาปริบๆ “หากเอาสมบัติทั้งหมดที่มีอยู่ในวัตถุฟางชุ่นมอบให้ข้า บวกกับธงค่ายกลที่กระจัดกระจายพวกนั้นก็ถือว่าข้าไม่ขาดทุนอย่างถูไถ พอจะได้กำไรมาบ้าง”


เฉินผิงอันพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “เจ้าลืมนับ ‘ยันต์ปลาผ้า’ ที่สามารถเอาไปเก็บไว้ในชั้นหนังสือของตระกูลเล่มนั้น”


ลู่ไถทำท่า ‘กระจ่างแจ้งในฉับพลัน’ “ฮ่าๆ ข้าลืมไปเลย”


เฉินผิงอันชี้ไปยังวัตถุฟางชุ่นที่อยู่ในมือเขา “ยังมีหยกแผ่นนี้อีก ถอยไปพูดหนึ่งก้าว หากเจ้ากับข้าแบ่งกันคนละครึ่งจริงๆ หยกชิ้นนี้มีมูลค่าเท่าไหร่? วัตถุฟางชุ่นชิ้นหนึ่ง ถึงอย่างไรก็คงไม่ใช่ถูกๆ หรอกกระมัง?”


ลู่ไถพูดอย่างขุ่นเคือง “เฉินผิงอัน! ข้าบาดเจ็บหนักขนาดนี้ เจ้าจะไม่เห็นใจกันบ้างเลยรึ?”


เฉินผิงอันพูดอย่างไม่ยอมอ่อนข้อให้ “ข้าก็บอกแล้วว่านอกจากกระบี่เล่มนี้ ของทุกชิ้นล้วนเป็นของเจ้า เจ้ายังจะพูดวกไปวนมาไม่หยุด ต้องการอะไรกันแน่?”


ลู่ไถถอนหายใจ “ก็เพราะข้ารู้สึกว่าตัวเองเอาเปรียบเจ้าเกินไป ดูไม่มีคุณธรรมไงล่ะ ถึงได้พยายามคิดหาวิธีที่ทั้งทำให้ตัวเองได้กำไรก้อนใหญ่ แล้วก็ทั้งสบายใจด้วย”


เฉินผิงอันไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “เจ้าไม่เบื่อบ้างหรือไง?”


เฉินผิงอันดึงกระบี่ยาวที่อยู่ข้างกายออกมายื่นส่งให้ลู่ไถ บอกให้เขารู้ถึงความผิดปกติหลังจากกระบี่เล่มนี้แทงทะลุหัวใจอย่างคร่าวๆ ลู่ไถโบกมือไม่รับกระบี่ ‘ชือซิน’ ของโต้วจื่อจือเล่มนี้มา พูดเข้าประเด็นโดยตรงว่า “ไม่จำเป็นต้องให้ข้าใช้มือชั่งน้ำหนักด้วยตัวเองก็รู้แล้วว่านี่เป็นวิธีของพวกนอกรีตนอกรอย”


เฉินผิงอันอึ้งตะลึงไปครู่หนึ่ง ก่อนถามว่า “ใช่แล้ว ก่อนหน้านี้ที่ชายฉกรรจ์คนนั้นพูดว่า ‘เคยแล้ว’ หมายความว่ายังไง?”


ลู่ไถยิ้มตาหยี “วันหน้าเจ้าก็หัดเข้าหอโคมเขียวบ่อยๆ ดื่มเหล้าเคล้านารีเยอะๆ เดี๋ยวก็ได้รู้เอง”


 เฉินผิงอันไม่สนใจคำสัพยอกของเขา วางกระบี่พาดขวางไว้ด้านหน้า ชักกระบี่ออกจากฝักช้าๆ ประกายน้ำฤดูใบไม้ร่วงที่ทำให้คนหนาวเย็นคล้ายมารวมกันบนตัวกระบี่เล่มนี้


ลู่ไถอธิบาย “รู้แค่ว่ามันขายได้ราคาไม่ต่ำแน่นอน”


เฉินผิงอันพยักหน้ารับ ไม่ได้กังขาในเรื่องนี้


หลานชายของซ่งอวี่เซาอริยะกระบี่แคว้นซูสุ่ยเคยตั้งใจไปเยือนท่าเรือตระกูลเซียนที่ตั้งอยู่ตรงเขตเชื่อมต่อระหว่างสองแคว้นเพื่อจ่ายเก้าร้อยเหรียญเงินเกล็ดหิมะซื้อกระบี่สั้นเล่มหนึ่งที่หลอมมาจากบนภูเขา ผลาญสมบัติของหมู่บ้านบนภูเขาไปไม่น้อย


ขอบเขตวิถีวรยุทธ์ของผู้อาวุโสซ่งพอๆ กับของโต้วจื่อจือ


แต่คนทั้งสองที่เป็นมือกระบี่ชั้นสูงในยุทธภพกลับมีรากฐานในการยืนหยัดและสัจธรรมแห่งเวทกระบี่ที่แตกต่างกันมาก


ซ่งอวี่เซาที่เป็นปรมาจารย์วิถีกระบี่ซึ่งชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วยุทธภพไร้ที่พึ่ง มีแค่กระบี่เล่มเดียว


สำหรับในข้อนี้ โต้วจื่อจือก็เป็นแบบเดียวกัน เพียงแต่ในด้านของกระบี่พกติดกาย เขากลับให้ความสำคัญอย่างเต็มที่


เมื่อเทียบกับผู้ฝึกลมปราณที่มีสมบัติอาคมมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดีแล้ว เรียกได้ว่าแตกต่างราวฟ้ากับเหวจริงๆ


ส่วนผู้ฝึกกระบี่ที่ไม่อยู่ในยุทธภพ แต่อยู่บนฟ้าก็ยิ่งตรงไปตรงมา แสวงหาในข้อที่ว่าหนึ่งกระบี่ฝ่าทลายหมื่นอาคม


เฉินผิงอันถามถึงอาคมสับเปลี่ยนหลังจากที่อาจารย์คุมทัพผู้นั้นตบยันต์ให้แตก ลู่ไถเองก็เพิ่งเคยเห็นกับตาเป็นครั้งแรก แต่ไม่ได้เพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก ลูกหลานสกุลลู่ที่มีความรู้กว้างขวางผู้นี้พูดจ้อไม่หยุด และถือโอกาสพูดให้เฉินผิงอันฟังถึงการร่วมมือกันระหว่างยันต์และค่ายกล เฉินผิงอันถึงได้รู้ว่าที่แท้การใช้ยันต์ย่อพื้นที่สองแผ่น ‘ทับซ้อนกัน’ สามารถสำแดงประสิทธิผลอย่างที่คาดไม่ถึงได้


เวทอภินิหารบนภูเขาเต็มไปด้วยความมหัศจรรย์นับร้อยนับพันรูปแบบอย่างแท้จริง


“พอสมควรแล้ว สยบอาการบาดเจ็บเอาไว้ได้แล้ว หลังจากนี้แค่สงบใจพักฟื้นก็พอ”


ลู่ไถลุกขึ้นยืน ใช้ปลายนิ้ว ‘จับ’ ชุดคลุมอาคมสีทองออกมา โยนไปให้เฉินผิงอัน เฉินผิงอันแค่กางสองแขนออกกว้างจินหลี่ก็สวมลงบนร่างเขาด้วยตัวเองเหมือนมีสาวใช้ปรนนิบัติสวมใส่ให้


ลู่ไถเก็บหยกสีเขียวเข้มแผ่นนั้นเข้าไปไว้ในชายแขนเสื้อ พูดยิ้มๆ ว่า “นั่งลงแบ่งของโจร กลัวเรื่องอะไรมากที่สุด”


ลู่ไถถามเองตอบเอง “แบ่งของได้ไม่เท่ากันแล้วขัดแย้งกันเอง ดังนั้นข้าลองคำนวณดูแล้ว ตอนนี้ข้าติดค้างเจ้าเฉินผิงอันเป็นราคาครึ่งหนึ่งของแผ่นหยก หากคิดเป็นเงินเกล็ดหิมะล่ะก็…”


ลู่ไถร้องโอ้ยหนึ่งที ยกมือกุมหัวใจ ขมวดคิ้วมุ่น “พอพูดถึงเรื่องนี้ ข้าก็เจ็บหัวใจขึ้นมาทันทีเลย”


เฉินผิงอันตบหัวลู่ไถหนึ่งป้าบ ด่ายิ้มๆ “เกเร”


ตอนอยู่บนภูเขาลั่วพั่ว เว่ยป้อมักจะทำแบบนี้กับเด็กชายชุดเขียวบ่อยๆ


ลู่ไถอึ้งตะลึง แต่แล้วก็ไม่ได้ถือสาเฉินผิงอัน


“ข้าจะไปดูความเคลื่อนไหวรอบด้านสักหน่อย ยังไม่ต้องรีบร้อนไปไหน”


เฉินผิงอันพูดจบก็กระโดดขึ้นไปบนกิ่งไม้สูง ทอดสายตามองไปรอบด้าน


ลู่ไถเงยหน้ามองตาม ลังเลอยู่ชั่วครู่ ในที่สุดก็ปลุกความกล้าให้ตัวเองขึ้นไปยืนบนกิ่งไม้ เพียงแต่ยังไม่ลืมใช้ฝ่ามือข้างหนึ่งยันกับลำต้น ถึงจะพอวางใจลงได้บ้าง


เฉินผิงอันมือหนึ่งถือกระบี่ชือซิน อีกมือหนึ่งปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลงมาดื่มเหล้าอย่างที่หาได้ยาก “ลู่ไถ อันที่จริงข้ารู้ว่า หากไม่สังหารหม่าว่านฝ่า ย่อมทิ้งภัยร้ายไว้เบื้องหลังไม่มีที่สิ้นสุด หลังจากนี้จะต้องเจอกับปัญหาความวุ่นวายไปตลอดทาง ผู้ฝึกลมปราณคนหนึ่งที่ตัดสินใจแล้วว่าจะกัดไม่ปล่อย ข้าเองก็เคยเจอมาก่อนที่แคว้นซูสุ่ย ดังนั้นข้ามีแค่กระบี่เล่มนี้ก็พอแล้ว เจ้าไม่ต้องให้เงินเกล็ดหิมะข้าเพิ่มหรอก”


ลู่ไถกำลังจะอ้าปากพูด


แต่เฉินผิงอันกลับหันหน้ามาส่งยิ้มบางๆ ให้เสียก่อน “แต่พอได้รู้จักกับเจ้า ข้าก็ยิ่งรู้สึกว่าไม่ควรใช้เหตุผลของตัวเองฝ่ายเดียว ทุกเรื่องล้วนกลัวความสุดโต่งมากที่สุด หากเจ้าไม่สบายใจจริงๆ ข้าจะรับเงินไว้ด้วยก็ได้”


ลู่ไถไม่ได้พูดอะไร เขาถือโอกาสเอนตัวพิงลำต้น คลี่ยิ้มหยิบกระจกออกมาส่องซ้ายส่องขวา เริ่มจัดผมข้างจอนหูของตัวเองอย่างประณีตพลางคลอเพลงในลำคอไปด้วย


ม้าไม่กินหญ้าตอนค่ำไม่อ้วน คนไม่มีโชคลาภก็ไม่รวย


เฉินผิงอันทนเห็นภาพนี้ไม่ไหวจึงไม่มองเขาอีก แต่แล้วจู่ๆ ก็พลันขมวดคิ้ว “มีคนกำลังมาทางนี้”


ลู่ไถมองตามสายตาของเฉินผิงอันไป แต่แล้วก็ส่องกระจกหวีผมของตัวเองต่ออีกครั้ง “ก็แค่พวกคนบ้าบิ่นในยุทธภพเท่านั้น น่าจะเป็นคนของปราสาทแห่งนั้น เจ้าสวมชุดจินหลี่ ยืนให้พวกเขาฟันสักหลายสิบมีดก็ยังไม่เป็นไร”


เฉินผิงอันกล่าว “มีเรื่องเพิ่มขึ้นไม่สู้มีเรื่องน้อยลง หากเจ้าเคลื่อนไหวได้แล้วพวกเราก็ออกเดินทางขึ้นเหนือกันต่อเถอะ”


ลู่ไถสองจิตสองใจ ถามหยั่งเชิงว่า “พวกเราหยุดพักผ่อนกันสักสองสามวันได้ไหม?”


เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ได้สิ”


……


คนกลุ่มหนึ่งออกจากปราสาทเข้ามาในป่า เรือนกายของพวกเขาแต่ละคนแข็งแรงปราดเปรียว ดูก็รู้ว่าเป็นพวกผู้ฝึกยุทธ์ที่มีรากฐานแข็งแกร่งแน่นหนา


เพียงแต่ว่าความแข็งแกร่งแน่นหนาที่ว่านี้แค่เทียบกับผู้ฝึกยุทธ์ทั่วไปในยุทธภพเท่านั้น


ผู้ที่เป็นหัวหน้าคือผู้เฒ่าเครายาวสวมชุดเขียวที่มีบุคลิกสุภาพสง่างาม ลมหายใจของเขาทอดยาว ฝีเท้าแผ่วเบา น่าจะเป็นยอดฝีมือวิชาหมัดมวยภายใน


หนึ่งหนุ่มหนึ่งสาวสองคนที่อยู่ด้านหลังอายุประมาณยี่สิบปี สวมใส่อาภรณ์งดงามหรูหรา บุรุษหล่อเหลาสง่างาม หญิงสาวงดงามอ่อนหวาน คนทั้งสองหน้าตาคล้ายกันอยู่สี่ส่วน น่าจะเป็นพี่น้องกัน


ด้านหลังบุรุษสะพายคันธนู หญิงสาวสวมรองเท้าหุ้มแข้งปักลาย ข้อมือสวมกำไลทองรูปงูที่ทำขึ้นอย่างประณีต เป็นคู่กุมารทองกุมารีหยกที่ยอดเยี่ยมคู่หนึ่ง


ถัดจากพวกเขาก็คือข้ารับใช้วัยฉกรรจ์สิบกว่าคน ทุกคนต่างก็สวมชุดรัดรูปที่เรียบง่ายคล่องตัว


จากนั้นพวกเขาก็เห็นคุณชายอายุน้อยสองคนเดินสวนทางมาในป่า ทุกคนล้วนหยุดเดิน เอื้อมมือไปกุมอาวุธไว้แน่น เต็มไปด้วยความระแวดระวังและกริ่งเกรง


ผู้เฒ่าที่เป็นผู้นำยิ้มพลางยกมือขึ้นกุมคารวะ “ข้าน้อยเหอหยาผู้ดูแลป้อมอินทรีบิน ไม่ทราบคุณชายทั้งสองท่านเห็นว่าบริเวณใกล้เคียงนี้มีเซียนซือหรือปีศาจผ่านมาบ้างหรือไม่?”


ลู่ไถยิ้มตาหยี “บนโลกนี้มีเทพเซียนและปีศาจซะที่ไหน? ท่านผู้เฒ่ากำลังเล่าเรื่องตลกอยู่หรือ?”


ผู้เฒ่าพูดต่อไม่ออก


สตรียังสาวผู้นั้นเห็นลู่ไถที่ลักษณะเหมือนเซียนในตำรา ดวงตาก็พลันเป็นประกาย สีหน้ามีชีวิตชีวาขึ้นมาโดยพลัน


แต่พี่ชายของนางกลับเยือกเย็นสุขุม สายตามองประเมินแขกที่ไม่ได้รับเชิญทั้งสองคนนั้นไม่หยุด


ในรัศมีร้อยลี้ใกล้เคียงป้อมอินทรีบินไม่มีทิวทัศน์งดงามให้มาเที่ยวชม มีแค่ภูเขาและแม่น้ำที่ธรรมดาที่สุด อีกทั้งเส้นทางบนภูเขาสองเส้นที่ทอดยาวไปยังป้อมอินทรีบิน ทางเส้นหนึ่งกว้างขวาง อีกเส้นหนึ่งแคบเหมือนไส้แกะ เมื่อออกห่างจากป้อมอินทรีบินไประยะหนึ่ง ฝ่ายแรกกลายเป็นทางตัน ก็เพื่อป้องกันไม่ให้คนนอกเดินตามเส้นทางสายใหญ่มาเจอเข้ากับป้อมอินทรีบินที่เร้นกายจากโลกภายนอก


เมื่อสามสิบสี่สิบปีก่อนป้อมอินทรีบินยังเป็นผู้พิชิตแห่งยุทธภพของแคว้นเฉินเซียง แต่หลังจากผ่านหายนะมาครั้งหนึ่งก็เริ่มเก็บตัวอย่างสันโดษ เป็นฝ่ายทำลายเส้นทางใหญ่สายนั้น น้อยครั้งที่ลูกศิษย์จะออกไปหาประสบการณ์ภายนอก แต่ก็ไม่ถึงขั้นตัดขาดจากโลกภายนอกเสียทีเดียว ยังคงไปมาหาสู่กับพ่อค้าบางส่วน บางครั้งคนในยุทธภพที่มีความสัมพันธ์กันก็มาพักผ่อนเป็นแขกในปราสาท บ้างก็มาประลองฝีมือขอความรู้ด้านวรยุทธ์


การที่คนสองคนตรงหน้าปรากฏตัวที่นี่ เดิมทีก็เป็นเรื่องประหลาดมากพอแล้ว ก่อนหน้านี้ทางป้อมสังเกตเห็นว่ามีเทพเซียนต่อสู้กันอย่างน่าครั่นคร้าม หากไม่ใช่ควันดำก็เป็นประกายแสงพร่างพราว สุดท้ายยังมีกายธรรมร่างทองที่เปี่ยมไปด้วยพลานุภาพลอยตัวอยู่กลางอากาศ โดดเด่นเหนือพงไพร


คนส่วนใหญ่ในป้อมอินทรีบินล้วนไม่เคยเห็นภาพปรากฎการณ์เช่นนี้มาก่อน ผู้คนจึงพากันหวาดหวั่นพรั่นพรึง เสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังเซ็งแซ่


ดังนั้นหลังจากปรึกษากันไปรอบหนึ่ง เจ้าประมุขของปราสาทจึงสั่งให้ผู้ดูแลเหอหยามาตรวจสอบที่นี่ ส่วนชายหนุ่มกับหญิงสาวกลับแอบทุกคนออกมา พวกเขามาเจอกันกลางทาง นี่จึงทำให้ผู้ดูแลเหอหยารู้สึกระอาใจ ได้แต่ชะลอฝีเท้าให้ช้าลง จงใจอ้อมทางไปไกลกว่าเดิม ถึงได้มาถึงที่นี่อย่างเชื่องช้า สุดท้ายได้ก็มาเจอกับคนทั้งสองที่อยู่ตรงหน้าซึ่งกำลังเดินกินลมชมทิวทัศน์


สีหน้าของเหอหยาเหมือนจะผ่อนคลาย แต่ในความเป็นจริงแล้วหัวใจของเขากลับบีบรัดตัว เพราะกลัวว่าคุณชายสองคนที่มองดูเหมือนเทพเซียนจะลงมือทำร้ายผู้คน


ในป้อมอินทรีบินนอกจากเหอหยาที่เป็นคนเก่าแก่ในยุทธภพซึ่งมีอายุมากแล้ว ต่อให้เป็นเจ้าปราสาทคนปัจจุบัน สำหรับเรื่องลับแปลกประหลาดที่อยู่ในยุทธภพแต่ไม่อยู่ในโลกเหล่านั้น ต่อให้เขาเคยได้ยินมาก่อน ทว่าขอแค่ไม่เคยได้เห็นกับตาตัวเอง ย่อมไม่ได้มีความรู้สึกที่ลึกซึ้งนัก ทว่าเหอหยานั้นไม่เหมือนกัน ผู้ดูแลเฒ่าเคยท่องยุทธภพมาก่อน เคยไปเยือน ‘กึ่งกลางภูเขา’ อยู่หลายครั้ง


ดังนั้นภายใต้การยืนหยัดของผู้ดูแลเฒ่าจึงมีกฎเกณฑ์มากมายที่ทำให้คนหนุ่มสาวรู้สึกประหลาดใจอย่างยิ่ง ยกตัวอย่างเช่นวันปีใหม่ เทศกาลฉงหยาง ฯลฯ ของทุกปี ประตูบานใหญ่หนาหนักหลายบานของป้อมอินทรีบินจะต้องแปะยันต์อักษรสีแดงที่ไปขอมาจากอารามเต๋าด้านนอก เวลาที่พวกเด็กๆ ตกใจจะมีพิธีเรียกขวัญ ซึ่งผู้เฒ่าก็มักจะไปปักธูปตรงทางแยก พร้อมทั้งวางถาดผลไม้และขนมเอาไว้เพียงลำพัง คนนอกไม่รู้เลยสักนิดว่าทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร


และทุกครั้งที่ในป้อมอินทรีบินมีคนตาย หากไม่ใช่การตายปกติอย่างการจมน้ำหรือป่วยแบบเฉียบพลัน กฎเกณฑ์ของผู้เฒ่าก็จะยิ่งมีมาก ต้องให้ชายฉกรรจ์คนไหนยกโลงไปฝัง ฝังที่ไหน คนที่เกิดวันเวลาเท่าไหร่ต้องทำหน้าที่เฝ้าโถงวิญญาณกี่วัน ธูปที่ต้องจุดในเจ็ดวันแรก เป็นต้น นี่ทำให้พวกคนหนุ่มสาวรำคาญใจอย่างยิ่ง


ลู่ไถถามผู้เฒ่าก่อนว่าได้มาจากปราสาทหลังนั้นหรือไม่ หลังจากได้รับคำตอบที่แน่ชัดแล้วก็พูดยิ้มๆ ว่าจะขอไปพักค้างคืน นอนกลางดินกินกลางทรายอยู่ท่ามกลางป่าเขาในช่วงที่ผ่านมานี้ เขาลำบากมากจริงๆ


ผู้ดูแลเฒ่าลังเลตัดสินใจไม่ได้ แต่สตรีที่ตรงข้อมือสวมกำไลสีทองกลับพยักหน้าก่อนแล้ว


เฉินผิงอันส่ายหน้าน้อยๆ


สตรีผู้นี้ประมาทเกินไปแล้ว ไม่กลัวว่าจะชักศึกเข้าบ้านบ้างเลยหรือไร


ผู้ดูแลวัยชรามองคุณชายชุดเขียวที่ยิ้มตาหยีมองตน แล้วก็พลันคลี่ยิ้มสง่างาม “ผู้ที่มาเยือนล้วนเป็นแขก คุณชายทั้งสองเดินทางไกลมาถึงที่นี่ ในเมื่อได้มาเจอกันแล้ว ป้อมอินทรีบินก็ควรจะให้การต้อนรับขับสู้เป็นอย่างดี”


ลู่ไถกับเฉินผิงอันเดินตามคนทั้งกลุ่มไปยังป้อมอินทรีบินที่ห่างออกไปประมาณสิบกว่าลี้


เส้นทางบนภูเขาคดเคี้ยว เส้นทางจริงๆ จึงไม่ใช่แค่สิบกว่าลี้เท่านั้น


ตลอดทางล้วนเป็นหญิงสาวคนนั้นที่ชวนลู่ไถคุย เหอหยาผู้ดูแลเฒ่าที่อยู่ข้างหน้าคอยเงี่ยหูฟังตลอดเวลา ไม่ปล่อยผ่านไปแม้แต่คำเดียว


เจ้าของป้อมอินทรีบินแซ่หวน


หญิงสาวชื่อหวนซู พี่ชายของนางชื่อหวนฉาง


ตามลำดับเทียบวงศ์ตระกูลของสกุลหวน เมื่อหกร้อยปีก่อนพวกเขาหลบเลี่ยงไฟสงครามโดยการย้ายจากแคว้นฉางอี๋ที่อยู่ทางทิศเหนือมายังแคว้นเฉินเซียง ชื่อของศาลบรรพชนคือศาลฉงอิง (กลับคืนมาเป็นวีรุบุษอีกครั้ง)


เฉินผิงอันฟังเรื่องพวกนี้ไม่เข้าใจ ส่วนลู่ไถกลับพูดคุยได้ทุกเรื่อง เขาบอกกับหญิงสาวว่าแซ่ ‘หลวน’ นี้คือแซ่ที่ดี จากนั้นก็สรรหาคำอ้างอิงมากมายมาเสริมคำพูดของตัวเอง เฉินผิงอันก็ยังฟังไม่เข้าใจอยู่ดี


พอขยับเข้าไปใกล้ป้อมอินทรีบิน ใต้ฝ่าเท้าก็มีเส้นทางราบเรียบสายหนึ่งโผล่ขึ้นมา ลู่ไถเงยหน้าขึ้นมองแล้วคลี่ยิ้ม


ตรงรั้วระเบียงของหอเรือนแห่งหนึ่งที่สูงที่สุดของปราสาท มีสตรีแต่งงานแล้วที่ห่มเสื้อคลุมหนังเตียวเหมือนคนขี้หนาวกำลังสอดส่ายสายตามองมายังเส้นทางนอกปราสาทอย่างร้อนใจ พอมองเห็นเงาร่างของบุตรชายหญิงได้เลือนๆ ถึงจะวางใจลงได้


เพียงแต่สตรีแต่งงานแล้วไม่รู้เลยว่า ในป้อมอินทรีบินไม่เคยมีใครที่ได้เห็นสภาพอเนจอนาถที่เลือดสดหลั่งไหลลงมาจากทวารทั้งเจ็ดของนาง


นอกรั้วระเบียง แสงแดดสาดส่องให้ความอบอุ่น ด้านในราวระเบียงกลับหนาวเย็น หากขยับเข้าใกล้สตรีแต่งงานแล้ว ยืนอยู่ข้างกายนางนานหน่อยก็จะทำให้คนรู้สึกว่าผิวหนังเย็นชื้นคล้ายแช่ร่างลงไปในแม่น้ำ


ดังนั้นตลอดหลายปีมานี้สาวใช้ข้างกายสตรีแต่งงานแล้วจึงเปลี่ยนแล้วเปลี่ยนอีก และทุกคนต่างก็กลายมาเป็นคนขี้โรคโดยไม่มีข้อยกเว้น เพียงแต่พอออกห่างจากสตรีแต่งงานแล้ว คนส่วนใหญ่ล้วนหายดีได้


นานวันเข้า เรื่องประหลาดจึงไม่ประหลาดอีกต่อไป กลับกลายเป็นเรื่องธรรมดา


บทที่ 293 คืนฝนพรำในตรอกเล็ก

โดย

ProjectZyphon

ปราสาทตั้งสูงตระหง่านอยู่เหนือภูเขาเขียวและสายน้ำใส หากไม่มองอย่างละเอียดก็จะไม่มีทางสังเกตเห็นว่าตรงมุมซ้ายขวาสูงขึ้นไปของประตูบานใหญ่ต่างก็แปะยันต์โบราณกระดาษเหลืองตัวอักษรสีชาดเอาไว้ เดิมทีสายตาของเฉินผิงอันก็ดีอยู่แล้ว อีกทั้งยังมีนิสัยรอบคอบช่างสังเกต มองปราดเดียวก็เห็นยันต์ที่ไม่สะดุดตาสองแผ่นนี้ทันที เขาหันหน้าไปมองลู่ไถ แต่ฝ่ายหลังกำลังตั้งหน้าตั้งตาคุยเรื่องราวในอดีตของแคว้นเฉินเซียงอยู่กับหญิงสาวหวนซู เฉินผิงอันจึงได้แต่จดจำภาพบนยันต์ไว้เงียบๆ


บนโลกมียันต์นับพันนับหมื่นชนิด พรรคและสาขาปะปนกันหลากหลาย แต่มีเพียงสามฝ่ายเท่านั้นที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นสำนักดั้งเดิมของสายยันต์ จวนเทียนซือภูเขามังกรพยัคฆ์ของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางคือหนึ่งในนั้น ส่วนอีกสองสายที่เหลือแบ่งเป็นพรรคหลิงเป่า (สมบัติวิเศษ) ของทักษินาตยทวีป กับสำนักใบถงของใบถงทวีป ผืนแผ่นดินที่เฉินผิงอันยืนเหยียบอยู่ในเวลานี้


เฉินผิงอันกับลู่ไถแขกที่ไม่ได้รับเชิญสองคนถูกผู้ดูแลเฒ่าเหอหยาจัดให้ไปอยู่ในเรือนหลังเล็กแยกเฉพาะซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของป้อมอินทรีบิน และเหอหยาก็เดินนำคนทั้งสองไปส่งยังที่พักด้วยตัวเอง


สองพี่น้องหวนฉางและหวนซูบอกลากับพวกเขา นัดหมายกันเรียบร้อยว่าวันนี้ให้พวกเขาพักผ่อนอย่างสบายใจ คืนพรุ่งนี้ทางเจ้าประมุขปราสาทจะจัดงานเลี้ยงต้อนรับ หวังว่าเฉินผิงอันกับลู่ไถจะไปทันเวลา


เส้นทางหลักที่ปูด้วยหินสีเขียวของป้อมอินทรีบินตรงดิ่งไปยังหอเรือนหลัก ส่วนถนนและตรอกเส้นอื่นๆ ก็ตัดกันสลับซับซ้อน ตรอกถนนดินเหลืองทำให้เฉินผิงอันรู้สึกเหมือนได้หวนกลับไปยังตรอกหนีผิงและตรอกซิ่งฮวาของบ้านเกิด ลูกหลานของป้อมอินทรีบินต่างก็อยู่อาศัยในตรอกเหล่านี้มาหลายรุ่นหลายสมัย แต่เมื่อเทียบกับตรอกหนีผิงที่เต็มไปด้วยขี้หมาขี้ไก่แล้ว ตรอกของที่แห่งนี้กลับสะอาดและเป็นระเบียบกว่ามาก เกือบทุกบ้านต่างก็ปลูกต้นท้อ ต้นหลี่ ดอกซิ่ง เด็กเล็กวิ่งไล่จับกันอย่างซุกซน บ้างก็ถือกระบี่ไม้ไผ่ดาบไม้มาเล่นตีฟันกันเอง บางคนก็ขี่ไม้ก้านไม้ไผ่ ปากร้อง ‘ย๊าๆๆ’ เหมือนกำลังควบม้า พวกเขาเห็นผู้ดูแลเฒ่าเหอหยาก็ไม่มีใครเกรงกลัว เพียงหยุดเท้า เรียกคำหนึ่งว่าท่านเหอ คารวะอย่างนอบน้อมเหมือนผู้ใหญ่ แล้วก็วิ่งแผล็วจากไป เสียงหัวเราะสนุกสนานของเด็กๆ ก้องกังวานอยู่ในตรอกเล็ก


หลังจากพาเฉินผิงอันและลู่ไถไปถึงที่พักแล้ว ผู้ดูแลเฒ่าที่ทั่วร่างเต็มไปด้วยกลิ่นอายของตำราก็รีบรุดไปยังชั้นบนสุดของหอหลักเพื่อพบกับหลวนหยางเจ้าประมุขแห่งป้อมอินทรีบิน


หลวนหยางคือชายหนุ่มคนหนึ่งที่หน้าตางดงามดุจหยกสลัก แม้ว่าจะไม่หนุ่มแล้ว เพราะจอนผมสองข้างต่างก็เป็นสีดอกเลา แต่กลับเพิ่มความมีเสน่ห์ให้กับเขา จะว่าไปแล้วคนที่หน้าตาดี ไม่ว่าจะชายหรือหญิง มองอย่างไรก็ดูสบายตาไปหมด แต่หากหน้าตาไม่ดี ไม่ว่าจะทำอะไรก็เหมือนจะผิดไปซะทุกเรื่อง


หลวนหยางนั่งอยู่บนเตียงหลัวฮั่นลักษณะเก่าแก่เรียบง่ายหลังหนึ่ง เขายื่นมือออกมาบอกเป็นนัยให้เหอหยานั่งลงข้างกัน ผู้ดูแลเฒ่าก้มหน้าลงมองรองเท้าหุ้มแข้งที่เปรอะไปด้วยดินโคลนแล้วก็ส่ายหน้า ไปยกเก้าอี้อีกตัวมานั่งแทน


หลวนหยางขมวดคิ้ว “ท่านลุงเหอ เหตุใดถึงพาคนนอกสองคนนั้นเข้ามาในป้อมอินทรีบินเล่า? พวกเขาเกี่ยวข้องกับเซียนซือบนภูเขาทางทิศตะวันตกงั้นหรือ?”


เหอหยากล่าวอย่างจนใจ “จะเกี่ยวข้องหรือไม่ ตอนนี้ยังบอกได้ยาก รอจนพวกเราตามไปถึง ที่นั่นก็ไม่มีความเคลื่อนไหวแล้ว คาดว่าศึกใหญ่คงปิดฉากลงแล้ว เซียนและปีศาจพวกนั้นถึงได้แยกย้ายกันไป ข้าแอบทิ้งคนสองคนไว้ให้คอยสืบเบาะแสของที่นั่น แต่กลับไม่มีการค้นพบใดๆ นี่น่าจะเป็นเพราะฝ่ายที่ชนะใช้วิชาลับตระกูลเซียนปิดบังความลับของสวรรค์เอาไว้”


หลวนหยางยิ้มเจื่อน “หากเด็กหนุ่มสองคนนั้นเป็นเซียนซือในตำนานจริงๆ ก็ดีน่ะสิ ข้าไหว้วานให้คนไปเชื้อเชิญยอดฝีมือนอกโลก ลองคำนวณดูก็ล่าช้าไปเกือบหนึ่งเดือนแล้ว ตอนนั้นข้าเลยให้คนเอาจดหมายลับไปส่ง สอบถามว่าทำไมยอดฝีมือถึงไม่มาสักที เมื่อครู่นี้เองที่เพิ่งได้รับจดหมายตอบกลับจากเพื่อนสนิทที่อยู่ในเมืองหลวง ในจดหมายเขาตำหนิข้าเสียยกใหญ่ บอกว่าเซียนบนภูเขาที่สูงส่งเหนือผู้ใดเป็นเหมือนมังกรเทพที่เห็นแต่หัวไม่เห็นหาง ต่อให้เป็นแม่ทัพหรืออัครเสนาบดีในเมืองหลวงก็ยังยากที่จะได้พบหน้าสักครั้ง การที่เขาสามารถส่งข้อความเสียงไป จนสุดท้ายเซียนซือคนนั้นรับปากว่าจะช่วยเหลือก็ถือว่าเป็นความโชคดีที่ยิ่งใหญ่เทียมฟ้าแล้ว หากยังได้คืบจะเอาศอก ทำให้เซียนไม่พอใจ ระวังจากเรื่องดีจะกลายเป็นหายนะ”


ใบหน้าของหลวนหยางเต็มไปด้วยความกังวล ถามเสียงเบาว่า “ท่านลุงเหอ ท่านเป็นคนเก่าแก่ในยุทธภพ รู้เรื่องบางอย่างบนภูเขาเป็นอย่างดี ท่านคิดว่าเรื่องนี้ควรจะจัดการอย่างไร? หรือจะต้องรอคอยต่อไปเรื่อยๆ แบบนี้? ตลอดหลายปีมานี้ในปราสาทเกิดเรื่องประหลาดติดต่อกันมากมาย หากยังเกิดเรื่องอีกสักเรื่องสองเรื่อง เกรงว่ากระดาษคงห่อไฟไม่อยู่ ถึงเวลานั้นผู้คนคงอกสั่นขวัญแขวน แล้วจะทำยังไงกันดี?”


เหอหยากล่าวอย่างเฉียบขาด “สหายของท่านประมุขมิได้โกหก ตระกูลเซียนบนภูเขาแสวงหามรรคาอยู่ตลอดเวลา จิตใจของพวกเขายากจะคาดเดาได้ คนธรรมดาอย่างพวกเราไม่อาจหยั่งถึงได้เลย ได้แต่รอคอยอย่างว่าง่ายเท่านั้น”


หลวนหยางถอนหายใจ หยิบกาเหล้าใบหนึ่งขึ้นมาแล้วจิบเหล้าเกาเหลียงต้มที่ป้อมอินทรีบินหมักด้วยตัวเองคำเล็กๆ “ถ้าอย่างนั้นก็รอแล้วกัน แต่ถ้าไม่เป็นเพราะป้อมอินทรีบินเสียเวลาอีกไม่ได้แล้วจริงๆ ข้าหรือจะต้องให้ท่านไปเสี่ยงกลางภูเขา เป็นฝ่ายไปขอพบผู้ฝึกลมปราณพวกนั้น เดิมทีนึกว่าจะโชคดีได้เจอกับยอดฝีมือที่มีเวทเซียน รักษาม้าตายดั่งม้าเป็น ช่วยแก้ปัญหาให้กับป้อมอินทรีบินของเรา ต่อให้ต้องทุ่มทรัพย์สินของครอบครัวจนหมดสิ้นก็ยังคุ้มค่า”


เหอหยาลังเลอยู่ชั่วขณะ ตั้งใจใคร่ครวญคำพูด ก่อนจะเอ่ยอย่างระมัดระวังว่า “การที่ข้าเชิญคนทั้งสองเข้ามาในป้อมอินทรีบินก็เพราะข้ารู้สึกว่าถึงแม้พวกเขาจะอายุไม่มาก แต่มีความเป็นไปได้มากว่าจะเป็นลูกหลานของตระกูลเซียนบนภูเขาบางแห่งจริงๆ และครั้งนี้พวกเขาก็ออกมาท่องยุทธภพเพื่อหาประสบการณ์ ระหว่างที่เดินกลับมา ข้าลองสังเกตลมหายใจ ฝีเท้าและใบหน้าของพวกเขาอย่างละเอียดแล้ว เด็กหนุ่มชุดขาวที่สะพายกระบี่ไว้ข้างหลังน่าจะเป็นข้ารับใช้ ส่วนคุณชายหนุ่มอีกคน แค่ดูก็รู้แล้วว่าไม่ใช่คนธรรมดา บุคลิกท่าทางดีมาก ดีมากจริงๆ”


หลวนหยางลูบเคราพูดยิ้มๆ ว่า “มิน่าเล่าแม่หนูซูถึงได้ทำตัวติดกับเขานัก ดูท่าคงจะถูกใจอีกฝ่ายเข้าให้แล้ว ไม่เลว สายตาไม่เลว ไม่เสียแรงที่เป็นบุตรสาวของข้าหลวนหยาง”


เพราะการปรากฏตัวของคุณชายชุดเขียวคนนั้นทำให้ผู้เฒ่าหวนนึกถึงเรื่องราวในอดีตมากมาย เขาจึงพูดยิ้มๆ ว่า “ตอนนั้นข้าติดตามอดีตเจ้าประมุขท่องไปในยุทธภพ เคยเห็นคนแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่มีบุคลิกลักษณะที่คล้ายคลึงกับเขา คนหนึ่งคือองคมนตรีหลิวคนปัจจุบันในราชสำนัก ในปีนั้นเขายังเป็นแค่ลูกหลานคนรวยที่เสเพล เหมาหมดทั้งสุราและนารี แต่เห็นได้ชัดว่าเก็บซ่อนแก่นแท้ไว้ข้างใน ภาพลักษณ์ภายนอกและชื่อเสียงด่างพร้อยก็เป็นแค่วิธีการที่ใช้อำพรางตาคนบนโลกเท่านั้น”


“แล้วก็ยังมีโต้วจื่อจือที่เพิ่งก้าวสู่สังคมก็ฉายประกายคมกริบ อันที่จริงคนที่เห็นดีในตัวของโต้วจื่อจือเวลานั้นมีไม่มาก คิดว่าเขาเป็นแค่คนมีพรสวรรค์ทั่วไปคนหนึ่งเท่านั้น ไม่ถือเป็นนกกระเรียนในฝูงไก่ แต่ตอนนั้นอดีตเจ้าประมุขก็แน่ใจแล้วว่าวันหน้าในยุทธภพของแคว้นเฉินเซีย โต้วจื่อจือจะต้องได้เป็นผู้มีชื่อเสียงอย่างน้อยสามสิบปี สายตาของอดีตเจ้าประมุขยอดเยี่ยมไม่เหมือนใครจริงๆ”


“คนสุดท้าย ข้าไม่รู้ชื่อแซ่หรือภูมิหลังของเขา ตอนนั้นข้าขึ้นเขาไปชมพระอาทิตย์ขึ้นกับอดีตเจ้าประมุข ผลคือพอขึ้นไปบนยอดเขากลับพบว่ามีบุรุษชุดขาวคนหนึ่งนั่งทำสมาธิอยู่ตรงนั้น รอจนเขาสังเกตเห็นพวกเรา ก็หันมาผงกศีรษะให้ข้าพร้อมคลี่ยิ้ม พอลุกขึ้นได้ก็สะบัดกายหายวับไป ไม่เหลือร่องรอยทิ้งไว้อีก ต้องรู้ว่ายอดเขาแห่งนั้นสูงเป็นพันจั้ง นอกจากเทพทะยานลมหรือเซียนขี่กระบี่แล้ว จะลงจากภูเขาได้อย่างไร?”


ผู้เฒ่าทอดถอนใจไม่หยุด แต่สีหน้ากลับเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา


เพียงแต่กล่าวมาถึงท้ายที่สุด แววตากลับหม่นหมองเล็กน้อย


ยุทธภพที่พวกเขาอยู่ใหญ่ถึงเพียงนั้น พรรคและสำนักมากมายดุจต้นไม้ในผืนป่า ธรรมะและอธรรมแก่งแย่งกัน ความเป็นความตาย เกียรติยศและความอัปยศ ชายหญิงในยุทธภพยึดถือในคุณธรรม ทุกอย่างล้วนอยู่ในยุทธภพแห่งนี้


แต่ถึงท้ายที่สุดยุทธภพที่ว่าใหญ่กลับกลายเป็นแค่แอ่งน้ำเล็กๆ (เจียงหูยุทธภพแปลได้อีกอย่างหนึ่งว่าแม่น้ำและทะเลสาบ) ในสายตาของคนบางคนเท่านั้นหรือ?


คิดจะข้ามผ่านไป พวกเขาก็แค่ยกเท้าก้าวหนึ่งก้าว ขี้เกียจจะยกเท้า แค่เหยียบลงไปก็อาจจะทำให้น้ำในแอ่งสาดกระเด็น ทำให้แม่น้ำและทะเลสาบเกิดลูกคลื่นถาโถม?


หลวนหยางฟังอย่างสนใจ โดยไม่ทันรู้ตัวจากอารมณ์กลัดกลุ้มก็ผ่อนคลายขึ้นมาหลายส่วน เขาถามยิ้มๆ ว่า “ท่านลุงเหอ ทำไมเมื่อก่อนไม่เห็นเล่าเรื่องพวกนี้เลย?”


ผู้เฒ่าเอ่ยเย้ยหยันตัวเอง “จะเล่าเรื่องพวกนี้ไปทำไมกัน บุรุษที่ดีไม่เล่าถึงวีรกรรมในอดีต อีกอย่างชั่วชีวิตนี้ลุงเหออย่างข้าก็ไม่เคยมีวันใดที่ได้ดิบได้ดีกับเขา อดีตเจ้าประมุขที่ฟันรูปปั้นเทพหลิงกวานให้แตกสลายด้วยกระบี่เดียวต่างหากถึงจะเรียกว่าเป็นวีรบุรุษที่แท้จริง ข้าเองก็แค่เคยแบกห่อสัมภาระให้อดีตเจ้าประมุข คอยจูงม้าให้เขา หลังจากนั้นก็พยายามมีชีวิตอยู่ให้ได้นานอีกหน่อย อยู่เพื่อจัดงานแต่งงานของเจ้าประมุขน้อย ชีวิตนี้ข้าก็พอใจแล้ว”


หลวนหยางกล่าวอย่างสะท้อนใจ “เซียนสามารถพิสูจน์มรรคามีชีวิตเป็นอมตะได้จริงๆ หรือ?”


ผู้เฒ่าพูดยิ้มๆ “เดี๋ยวถ้าเซียนท่านนั้นที่สหายของเจ้าประมุขแนะนำให้มาถึงที่นี่ ไม่สู้ท่านลองถามเขาดูสิ”


ลู่ไถค่อนข้างจะพอใจกับที่พักแห่งนี้ มันตั้งอยู่สุดปลายตรอกเล็ก สภาพแวดล้อมเงียบสงบ ต้นตีนตุ๊กแกเลื้อยเต็มกำแพงรอบลานบ้าน


จากนั้นลู่ไถก็เงยหน้าส่งยิ้มโบกมือไปทางหลังคาบ้านที่อยู่ห่างไปไกล บนสันของหลังคา ลูกศิษย์คนหนึ่งของป้อมอินทรีบินหอบฮักๆ ค้อมตัววิ่งลงมาจากหลังคาเพื่อไปรายงานข่าวแก่ผู้ดูแลเฒ่าเหอ ร่องรอยของตนถูกคนจับได้ หากยังอยู่ต่อไป เกรงว่าจะถูกเข้าใจผิดคิดว่ามีเจตนาร้าย อาจทำให้เกิดปัญหาวุ่นวายได้


 เฉินผิงอันที่นั่งอยู่บนม้านั่งหินถามเบาๆ “ข้ารู้สึกว่าที่นี่ค่อนข้างจะประหลาด”


ลู่ไถไม่เห็นเป็นสำคัญ ตอบอย่างไม่ใส่ใจว่า “วางใจเถอะ ข้าแค่หาสถานที่สบายๆ ให้พักผ่อนเท่านั้น จะไม่มีทางหาเรื่องใส่ตัวเด็ดขาด ขอแค่ไม่มาหาเรื่องข้าก่อน  ไม่ว่านอกเรือนแห่งนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้น ข้าก็คร้านจะสนใจ”


เฉินผิงอันนึกถึงยันต์โบราณสองแผ่นที่แปะไว้บนประตูใหญ่ของป้อมอินทรีบิน เขายื่นนิ้วข้างหนึ่งออกมาวาดภาพที่เห็นบนยันต์นั้นกลางอากาศ ถามว่า “รู้ไหมว่านี่คือยันต์อะไร?”


ลู่ไถเดินเข้าไปหาอุปกรณ์ชงชาในห้อง ในเมื่อมาอาศัยอยู่ใต้ชายคาของคนอื่น เข้าเมืองตาหลิ่วก็ควรจะหลิ่วตาตาม คนทั้งสองต่างก็ไม่ได้พกห่อสัมภาระ อยู่ดีๆ จะให้เสกของมาจากความว่างเปล่าก็คงไม่ใช่เรื่อง ค้นหาตามตู้ไม่นานเท่าไหร่ ลู่ไถก็ยกอุปกรณ์ชุดหนึ่งออกมา จากนั้นหิ้วถังน้ำใบเล็กเตรียมจะออกนอกบ้าน เขาบอกกับเฉินผิงอันว่าจะไปตักน้ำ เมื่อครู่นี้เดินผ่านบ่อน้ำแห่งหนึ่ง รู้สึกว่าค่อนข้างน่าสนใจ เดิมทีน้ำในบ่อคือน้ำต้มชาระดับล่างสุด แต่น้ำในบ่อของที่นั่นมีคุณภาพน้ำยอดเยี่ยม ไม่แน่ว่าอาจมีเรื่องประหลาดใจที่น่ายินดีก็ได้


ส่วนเรื่องยันต์ ลู่ไถก็ตอบอย่างตรงไปตรงมา เขามีความสามารถถึงขนาดรู้จักยันต์ทุกชนิดบนโลกซะเมื่อไหร่ ยันต์สองแผ่นบนประตูใหญ่นั้น เส้นสายไม่ชัดเจน อาจจะเป็นฝีมือสำนักนอกรีตของพรรคมหายันต์ใบถงทวีป ถึงอย่างไรระดับขั้นของยันต์ก็ไม่ได้สูงเท่าใดนัก ปราณวิญญาณสลายสิ้นไปนานแล้ว ก็มีแต่พวกคนบ้าบิ่นแยกแยะของจริงของปลอมไม่ออกอย่างป้อมอินทรีบินแห่งนี้เท่านั้นแหละที่เอามาบูชาราวกับเป็นสมบัติอย่างโง่งม คาดว่าคงทำเพื่อความสบายใจเสียมากกว่า


เฉินผิงอันมักจะรู้สึกว่าป้อมอินทรีบินแห่งนี้มีปราณหยินบางๆ ปกคลุมอยู่ เพียงแต่ว่าเมื่อเทียบกับควันดำกลิ้งตลบ ปราณดุร้ายท่วมเทียมฟ้าที่ออกมาจากหม้อดินเผาของผู้ฝึกตนลัทธิมารคนนั้นแล้ว กลับไม่มีค่ามากพอให้พูดถึง


ลู่ไถหิ้วถังน้ำเปล่ากลับมา


เฉินผิงอันถาม “ทำไม น้ำในบ่อไม่เหมาะให้เอามาต้มชางั้นหรือ?”


ลู่ไถเบ้ปาก “เห็นได้ชัดว่าน้ำและลมของป้อมอินทรีบินถูกคนเล่นตุกติกบางอย่าง น้ำในบ่อจึงหนักและเย็นผิดปกติ อย่าว่าแต่เอามาต้มชาเลย แค่เอามาต้มน้ำทำกับข้าว คนธรรมดาที่ปราณหยางไม่มากพอ สะสมไว้นานวันเข้าก็ย่อมกลายเป็นปัญหา เพียงแต่ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ ข้าเดาเอาว่าสิบยี่สิบปีที่ผ่านมานี้ ต้องมีเด็กหญิงถือกำเนิดมากกว่าเด็กชายเยอะมากแน่นอน นานวันเข้าธาตุหยินจะเฟื่องฟู ธาตุหยางจะเสื่อมถอย”


เฉินผิงอันขมวดคิ้วไม่พูดไม่จา


ลู่ไถถามยิ้มๆ “ไม่คิดจะสนใจหน่อยหรือ?”


เฉินผิงอันชำเลืองตามองเขา “ไม่พูดถึงเรื่องบุญคุณความแค้นในยุทธภพ เอาแค่ว่าตอนนี้พวกเราไม่รู้เรื่องอะไรสักอย่าง สุดท้ายจะช่วยหรือจะทำร้ายพวกเขากันแน่?”


ลู่ไถเอ่ยยิ้มๆ “ถ้าอย่างนั้นข้าก็สบายใจแล้ว ข้ายังกลัวว่าพอเลือดร้อนตีขึ้นหน้า เมื่อพบความอยุติธรรมแล้วเจ้าจะชักดาบช่วยเหลือไปซะหมด”


เฉินผิงอันพูดเสียงขุ่น “ข้าไม่มีดาบ”


ลู่ไถโยนถังน้ำไว้ด้านข้าง เอาสองมือไพล่หลัง มองประเมินเฉินผิงอันอย่างมีเลศนัย จุ๊ปากพูดว่า “โอ้โห เฉินผิงอัน ใช้ได้เลยนี่นา เดี๋ยวนี้รู้จักพูดเล่นแล้ว”


เฉินผิงอันยิ้มเป็นการตอบรับ


จากนั้นเขาก็เริ่มฝึกเดินนิ่งหกก้าวอยู่ในลานบ้าน


ลู่ไถนั่งอยู่บนขั้นบันได เงยหน้ามองสีท้องฟ้า โบกพัดไม้ไผ่เบาๆ “ฝนจะตกแล้ว”


ท่ามกลางแสงสนธยา เพียงไม่นานฝนเม็ดใหญ่ก็เทกระหน่ำราวกับมาตามนัดหมาย


เสียงเปาะแปะดังตามโต๊ะหินในลานบ้าน ในตรอกเล็ก ในฟ้าดิน


เฉินผิงอันสวมชุดคลุมอาคมจินหลี่จึงไม่จำเป็นต้องกังวลว่าจะได้รับไอหนาว ถึงขั้นไม่ต้องกังวลว่าชุดจะเปียก จึงฝึกหมัดต่อไปไม่หยุด อีกทั้งทุกครั้งที่ออกหมัดยังให้ความรู้สึกเหมือนได้ต่อยน้ำฝนกลุ่มหนึ่งให้แตกกระจาย เฉินผิงอันจึงจมจ่อมอยู่กับมันอย่างหลงใหล


เพื่อหลบฝน ลู่ไถจึงไปนั่งอยู่ตรงหน้าประตู แม้ว่าจะเป็นลมฝนของช่วงฤดูใบไม้ร่วง บรรยากาศอึมครึมเยียบเย็น แต่เขาก็ยังนั่งโบกพัดอยู่ตรงนั้น เดี๋ยวก็เหม่อลอย เดี๋ยวก็ชำเลืองตามามองวิชาหมัดของเฉินผิงอัน


ลู่ไถเห็นว่าเฉินผิงอันเปลี่ยนจากฝึกหมัดเป็นฝึกกระบี่ และยังคงใช้วิธีประหลาดด้วยการจับกระบี่มายา


ลู่ไถพูดด้วยรอยยิ้ม “คนโบราณมักจะมองว่าฝนตกคือการร่วมมือกันระหว่างฟ้าดิน การเชื่อมโยงกันระหว่างหยินและหยาง ความคิดของคนโบราณน่าสนใจจริงๆ ไม่รู้ว่าคนรุ่นหลังจะมองพวกเราอย่างไร”


เฉินผิงอันไม่ได้ตอบ เพราะลู่ไถก็ชอบพูดไปเรื่อยเปื่อยแบบนี้เป็นประจำ ไม่จำเป็นต้องสนใจ


ตอนกลางคืน ห้องที่ลู่ไถนอนพักดับไฟลงแล้ว


แต่เฉินผิงอันกลับยังจุดตะเกียงอ่าน ‘จารึกภูเขาและทะเล’ เล่มนั้นเหมือนอย่างที่เคยทำ


ด้านนอกฝนยังคงเทกระหน่ำ ฝนที่ตกหนักขนาดนี้ มีให้เห็นน้อยครั้งนัก


ใบหูของเฉินผิงอันขยับเล็กน้อย เขาพอจะได้ยินแว่วๆ ว่าในตรอกนอกลานบ้านมีเสียงหัวเราะของเด็กๆ ที่ไล่ตีกันลอยผ่านไป


ครู่หนึ่งต่อมา เฉินผิงอันเพิ่งจะเปิดหนังสือไปหนึ่งหน้าก็ได้ยินเสียงสตรีดังแผ่วๆ ขึ้นมาที่ด้านนอกอีกครั้ง คราวนี้เป็นเสียงสะอื้นไห้


เฉินผิงอันไม่สะทกสะท้าน จากนั้นก็มีเสียงกระแอมของคนแก่ดังอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะค่อยๆ ลอยห่างไปไกล


ต้องรู้ว่าบ้านหลังนี้ตั้งอยู่ด้านในสุดของตรอก เป็นทางตันเส้นหนึ่ง


เฉินผิงอันปิดหนังสือที่อยู่ในมือ หยิบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่บนโต๊ะขึ้นมา ยกเหล้าดื่มพลางเดินออกไปนอกห้อง พอเปิดประตูออก ทันใดนั้นราวกับว่าฝนที่ตกอยู่ท่ามกลางฟ้าดินล้วนกลายเป็นเลือด


แต่ชั่วพริบตาทุกอย่างก็กลับคืนมาเป็นปกติ นอกจากอากาศเย็นและไอน้ำที่ลอยอวลอยู่รอบเรือนเล็กแล้วก็ไม่มีความผิดปกติอย่างอื่นอีก


เฉินผิงอันยกเก้าอี้ตัวหนึ่งออกมานั่งนอกธรณีประตู ปล่อยพลังอำนาจออกไปอย่างเงียบเชียบ ปณิธานหมัดบริสุทธิ์ที่ถูกกักเก็บไว้ภายในค่อยๆ ไหลรินไปทั่วร่าง สกัดกั้นให้เม็ดฝนที่กระเซ็นมาปะทะใบหน้าอยู่ห่างออกไปหลายฉื่อ


หน้าประตูบ้านมีเสียงเคาะดังก๊อกๆๆ


เฉินผิงอันเตรียมจะลุกขึ้นไปเปิดประตู


เสียงเคาะกลับหยุดลง


เป็นอย่างนี้อยู่อีกสองสามครั้ง เฉินผิงอันเลยเลิกสนใจ เริ่มฝึกท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลู


ประมาณหนึ่งก้านธูปต่อมา ฝนเม็ดใหญ่ก็ค่อยๆ ซาลง เปลี่ยนมาเป็นฝนเม็ดเล็กพร่างพรม


ตรงประตูบ้านมีเสียงน่าขนลุกเหมือนคนใช้นิ้วครูดประตูดังขึ้น


เฉินผิงอันลืมตา ถอนหายใจ คีบยันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจที่เขียนด้วยกระดาษสีเหลืองแผ่นหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ ลุกขึ้นยืน เดินไปทางประตูช้าๆ


ยันต์กระดาษเหลืองที่อยู่ตรงปลายนิ้วส่องแสงสีทองอร่ามพร่างตา ประหนึ่งดวงตะวันที่ฉีกม่านราตรีมาทอแสงเจิดจ้า


ลู่ไถพลันเปิดประตู หาวหวอดพลางพูดไปด้วยว่า “รีบเก็บมาเถอะ เดี๋ยวไม่ทันระวังพวกผีเห็นแล้วจะตกใจตายเอาได้”


เฉินผิงอันไม่ได้สนใจคำเย้ยหยันของอีกฝ่าย


เขาเตรียมจะเปิดประตู กะว่าจะไม่สนใจอะไรทั้งนั้น โยนยันต์แผ่นนี้ออกไปในตรอกก่อนแล้วค่อยว่ากัน


ลู่ไถเอ่ยเตือน “อย่าแหวกหญ้าให้งูตื่นสิ”


เฉินผิงอันคิดแล้วก็ยังเดินดิ่งไปที่ประตูบ้าน พอถอดสลักเปิดประตูออกแล้ว ไอเย็นเยียบก็ลอยโชยมา เห็นชัดๆ ว่าตรอกเล็กเส้นทางดินนอกประตูไม่มีคนสักคนเดียว แต่กลับมีเสียงคนซิบซุบล่องลอยไปทั่วด้าน และบนพื้นยังมีรอยเท้าที่ลึกและตื้นไม่เท่ากันตามจุดที่มีเสียงดัง


เฉินผิงอันหมุนตัวเอายันต์แปะไว้บนหน้าประตูบ้าน


ก่อนจะเดินเข้าบ้าน เขาหันหน้ากลับไปมองก็สังเกตเห็นว่าห่างไปไกลในตรอกเล็กมีหนึ่งเด็กหนึ่งผู้ใหญ่กำลังเดินฝ่าสายฝน พวกเขาล้วนสวมชุดผ้าป่านสีขาว เด็กคนนั้นไม่ได้หันตัวกลับมา แต่กลับ ‘หมุนบิด’ ทั้งศีรษะหันกลับมาประสานสายตากับเฉินผิงอัน แสยะปากออกกว้าง หัวเราะไร้เสียง


บทที่ 294.1 อินทรีไม่บิน

โดย

ProjectZyphon

เด็กที่สวมชุดไว้ทุกข์ใบหน้าเป็นสีขาวออกเขียวผู้นั้นหมุนศีรษะกลับอีกรอบหนึ่งเต็มๆ ถึงได้ติดตามผู้ใหญ่เดินหน้าต่อไปอีกครั้ง จนกระทั่งเงาร่างหายเข้าไปในจุดลึกของตรอกเล็ก


เฉินผิงอันสีหน้าเป็นปกติ แล้วก็ไม่มองภาพเหตุการณ์ประหลาดของที่แห่งนั้นอีกต่อไป ชำเลืองตามองยันต์สยบปีศาจที่แปะไว้บนประตูใหญ่ เป็นเพียงยันต์กระดาษเหลืองธรรมดา เอามาใช้ก็ไม่เสียดายสักเท่าไหร่ ก่อนหน้านี้ฝนตกใหญ่ขนาดนั้น บานประตูจึงถูกน้ำฝนเปียกซึมไปหมดแล้ว แต่พอเฉินผิงอันเอายันต์มาแปะไว้บนประตู มันกลับติดแน่นมากผิดปกติ


บนประตูแปะภาพเทพทวารบาลสีสันสดใสสององค์ซึ่งพบเห็นได้บ่อยที่สุดในหมู่ชาวบ้านร้านตลาด ไม่รู้ว่าเป็นอริยะของศาลบู๊ที่ได้เสวยสุขควันธูปอยู่ในใบถงทวีป หรือแม่ทัพใหญ่ผู้มีคุณูปการในประวัติศาสตร์ของแคว้นเฉินเซียงกันแน่


ปีนี้ผ่านไปเกินครึ่งปี เทพทวารบาลที่แปะอยู่บนประตูผ่านลมพัด ผ่านแดดส่อง ผ่านฝนชะ สีจึงซีดจางเต็มที อีกทั้งยังหม่นแสงไร้ประกาย แผ่กลิ่นอายของความเสื่อมสภาพร่วงโรยออกมาเสี้ยวหนึ่ง


หลังจากที่เฉินผิงอันเลื่อนสู่ขอบเขตสี่ของวิถีวรยุทธ์ เลือดลมก็เปี่ยมล้น จิตวิญญาณกร้าวแกร่ง วิธีที่เขามองและปฏิบัติต่อฟ้าดินมีการเปลี่ยนแปลงตามไปด้วยเล็กน้อย เขาสามารถคว้าจับการหมุนเวียนของปราณวิญญาณซึ่งคล้ายคลึงกับการมองปราณของผู้ฝึกลมปราณ โดยเฉพาะเมื่อสวมชุดจินหลี่ บวกกับระดับการดึงดูดปราณวิญญาณของชุดคลุมอาคมชุดนี้ ต่างฝ่ายต่างช่วยพิสูจน์ยืนยันกันและกัน ผลเก็บเกี่ยวที่ได้รับจึงมากมหาศาล


เงยหน้ามองเทพทวารบาลสององค์ที่สวมเสื้อเกราะวาววับ แต่งกายน่าเกรงขาม แต่ในความเป็นจริงแล้วความศักดิ์สิทธิ์เสี้ยวหนึ่งที่เคยมีได้สูญหายไปท่ามกลางกาลเวลาอันยาวนานแล้ว เนื่องจากถูกปราณหยินที่ดุร้ายในตรอกประหลาดแห่งนี้ค่อยๆ กัดกิน เผาผลาญไปทีละนิดจนสิ้นซาก


นี่เรียกว่าวีรบุรุษปราณสั้นได้หรือไม่? (เปรียบเปรยถึงคนมีความสามารถที่หมดอาลัยตายอยากเพราะได้พบเจอกับอุปสรรค)


เฉินผิงอันถอนหายใจหนึ่งที เขย่งปลายเท้า ใช้ปลายนิ้วลูบรอยยับย่นบนแผ่นยันต์ให้เรียบ ยันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจแผ่นหนึ่ง หากคิดตามราคาตลาดแล้ว จะสามารถซื้อภาพเทพทวารบาลที่มีสีสันได้กี่คู่? พอคิดถึงตรงนี้ เฉินผิงอันก็หงุดหงิดเล็กน้อย เขารู้ดีถึงจุดประสงค์ของผีร้ายพวกนั้น นี่คือการสำแดงอำนาจบารมี คงเพราะอยากจะให้คนนอกสองคนที่มีปราณหยางเปี่ยมล้นอย่างเขาและลู่ไถรู้กาลควรไม่ควร รีบออกไปจากที่นี่ สองฝ่ายเป็นเหมือนน้ำบ่อที่ไม่ยุ่งกับน้ำคลอง


เฉินผิงอันเดินกลับเข้าไปในลานบ้าน ปิดประตูลั่นดาล ส่วนลู่ไถที่ตื่นแล้วก็ไม่มีอารมณ์จะนอนอีก เขาเองก็ยกเก้าอี้ตัวหนึ่งมาวางไว้หน้าประตูห้องเหมือนกับเฉินผิงอัน ไม่รอให้เฉินผิงอันเปิดปาก ลู่ไถก็ชิงอธิบายก่อนว่า “แค่พวกวัตถุหยินที่ตบะตื้นเขิน ได้แค่ข่มขู่ให้กลัวเท่านั้น อย่างมากสุดคือทำร้ายพวกชาวบ้านที่เกิดมาก็มีปราณหยางเบาบาง หากไม่โผล่ออกมาให้พวกชาวบ้านตกใจเวลาเดินทางตอนกลางคืน ฉวยโอกาสขโมยจิตวิญญาณไปเล็กน้อยตอนที่พวกเขาใจสั่น ก็เลือกช่วงเวลาที่ชาวบ้านซึ่งบรรพบุรุษไม่เคยสะสมบุญ แกล้งทำเป็นผีอำตอนพวกเขาฝันร้าย อืม ส่วนคนบางส่วนที่ไม่เข้าใจกฎเกณฑ์ ไปฉี่รดตรงทางสามแพร่งที่เป็นทางผ่านของพวกผีและวิญญาณ นั่นเรียกว่าหาเรื่องใส่ตัวเอง”


ลู่ไถเอาพัดไม้ไผ่เล่มนั้นออกมาพัดดังพึ่บพั่บ อากาศเย็นเยียบในลานบ้านพลันจางหาย ความอบอุ่นเพิ่มเข้ามาอย่างไร้สาเหตุ ท่ามกลางน้ำฝนมีไอสีเทาเป็นเส้นๆ ลอยขึ้นมา หมุนเป็นเกลียวแล้วหายไป


ลู่ไถเอ่ยยิ้มๆ “ผีกลุ่มนี้ไม่ได้มีความรู้อะไรเลย พอๆ กับพวกคนที่มีชีวิตอยู่ในป้อมอินทรีบินนี่แหละ มองความตื้นลึกหนาบางของพวกเราไม่ออกเลยแม้แต่น้อย น่าเสียดายยันต์สยบปีศาจแผ่นนั้น หากเปลี่ยนให้เทียนซือตระกูลจาง หรือนักเวทย์ที่มีวิชาสูงส่งของพรรคหลิงเป่าเป็นคนวาด ด้วยวัสดุชนิดนี้ของเจ้า…”


ลู่ไถหยุดชะงักไปชั่วครู่ ก่อนจะจงใจสาดเกลือลงบนบาดแผลของเฉินผิงอัน “แค่แปะยันต์แผ่นเดียวลงบนประตูใหญ่ของป้อมอินทรีบินก็สามารถปกป้องคนหลายร้อยคนของที่แห่งนี้ให้ไม่ต้องถูกพวกวัตถุหยินรุกราน อย่างน้อยก็สามปีห้าปี ไหนเลยจะเหมือนคนนอกที่ไม่เชี่ยวชาญอย่างเจ้า ได้แต่อาศัยลมปราณบริสุทธิ์เฮือกหนึ่งวาดลงไปบนยันต์ ซึ่งถูกกำหนดมาแล้วว่าไม่สามารถเชื่อมโยงกับปราณวิญญาณฟ้าดินได้ ยันต์แผ่นนี้ก็คือน้ำที่ไร้ต้นกำเนิด จะอยู่ได้สักกี่วันกันเชียว?”


เฉินผิงอันนั่งบนเก้าอี้ที่อยู่ฝั่งตรงข้าม “ทำไมเจ้าไม่ปรากฎตัวให้เร็วกว่านี้?”


ลู่ไถยิ้มบางๆ “จะให้ข้าปรากฏตัวทำไม ให้ออกมาพูดคุยถึงเรื่องขนบธรรมเนียมประเพณีของที่นี่งั้นหรือ? ถามพวกมันว่าเพื่อออกมาข่มขู่เจ้า ควรจะจัดลำดับการแสดงตัวกันอย่างไร? ทำอย่างไรน้ำฝนถึงกลายเป็นเลือด? ข้ามีแต่จะบอกพวกมันด้วยความหวังดีว่า วิธีผีหลอกคนของพวกมันไม่ได้เรื่องเอาซะเลย ถึงเวลานั้นข้าอาจจะอดไม่ไหวสอนพวกมันไปอีกหลายกระบวนท่า…”


ลู่ไถยิ่งพูดก็ยิ่งเลื่อนเปื้อน มือที่ถือน้ำเต้าบรรจุเหล้าของเฉินผิงอันชี้นิ้วไปนอกประตู บอกเป็นนัยแก่ลู่ไถว่าถ้าจะออกไปตีสนิทกับพวกมันก็เชิญ


ลู่ไถนั่งอยู่ที่เดิม ไม่ขยับดุจขุนเขา เขาหุบพัดดังพั่บ “ข้าชอบคบค้าสมาคมกับภูติปีศาจที่ถูกเลี้ยงอยู่ในตระกูลมาตั้งแต่เด็กแล้ว ถึงขั้นพูดได้ว่าอยู่ด้วยกันมานานจนเกิดความเคยชิน หากไม่เป็นเพราะเจ้าเฉินผิงอันรำคาญพวกมัน มีพวกมันลอยไปลอยมาอยู่ข้างนอกทำให้ข้าหลับสนิทฝันดีกว่าเดิมด้วยซ้ำ”


เฉินผิงอันกล่าวอย่างกังขา “ลูกศิษย์สำนักหยินหยางอย่างพวกเจ้าไม่ใช่ว่ามีข้อห้ามในเรื่องนี้หรอกหรือ?”


ลู่ไถแหงนหน้ามองม่านน้ำฝน พูดเบาๆ ว่า “ไม่ใกล้ชิดความชั่วร้ายก็ไม่รู้จักความดีงาม”


เฉินผิงอันถามอย่างใคร่รู้ “ป้อมอินทรีบินแห่งนี้มีผีร้ายตัวจริงซ่อนอยู่ใช่ไหม?”


ลู่ไถพยักหน้ารับ “ถ้าอย่างนั้นตอนก่อนจะต่อสู้กัน ข้าจะพูดว่า ‘เป็นพื้นที่ฮวงจุ้ยดีเยี่ยมให้ใส่ความคนอื่น’ ทำไม?”


เฉินผิงอันพยักหน้ารับ เขายังจำเรื่องนี้ได้อย่างชัดเจน


ลู่ไถวางมือสองข้างไว้บนที่พักแขนของเก้าอี้อย่างเกียจคร้าน ชายแขนเสื้อกว้างใหญ่ห้อยลู่ลงมาด้านล่าง “หากพวกเราสองคนตายไป กลายเป็นยวนยางสิ้นชีพอยู่ในป่าลึกแห่งนั้น เจ้าคิดว่าโยนความผิดให้กับคนบ้าบิ่นในยุทธภพอย่างป้อมอินทรีบินแห่งนี้ จะมีคนเชื่อไหม? ย่อมต้องโทษว่าเป็นฝีมือของพวกผีร้ายเหล่านั้นอยู่แล้ว”


ใจของเฉินผิงอันกระตุก พลันลุกขึ้นเดินไปที่ประตูใหญ่


ตรอกเล็กด้านนอกมีเสียงความเคลื่อนไหวเกิดขึ้นระลอกหนึ่ง แสงสีทองของยันต์สยบปีศาจสว่างเจิดจ้า ครั้นจึงหายวับไป


ลู่ไถหันหน้ามาพูดยิ้มๆ “ไม่ต้องไปแล้ว ผีพวกนั้นยังไม่ยอมแพ้ ต้องให้เสียเปรียบซะก่อนถึงจะจดจำ ตอนนี้ได้รับบทเรียนไปแล้ว ช่วงนี้ก็น่าจะเคารพพวกเราอยู่ไกลๆ หลังจากนี้ข้าคิดอยากจะได้ยินเสียงสวรรค์ที่ทำให้คนประทับใจ อยากจะนอนหลับฝันดีก็ยากแล้ว”


เฉินผิงอันเปิดประตูใหญ่ เดินข้ามธรณีประตูออกไป เงยหน้ามองประเมินยันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจก็เห็นว่านอกจากรอยสกปรกจางๆ หนึ่งจุดแล้ว ก็ไม่มีวี่แววว่าแก่นแท้ของยันต์จะแตกสลาย หรือแสงศักดิ์สิทธิ์จะสั่นคลอน พวกภูติผีที่มาลองดีหยั่งเชิงกับยันต์ตบะไม่สูงอย่างที่ลู่ไถว่าไว้จริงๆ


เฉินผิงอันเดินกลับเข้าไปในลานบ้าน ตัดสินใจแล้วว่า หากอีกฝ่ายยังมาท้าทายราวีไม่เลิก ถ้าอย่างนั้นก็อย่าโทษว่าเขาเป็นเพื่อนบ้านที่ชั่วร้ายแล้วกัน


ลู่ไถสอดมือสองข้างรองไว้ใต้ท้ายทอย “ใบถงทวีปแห่งนี้เป็นสถานที่ที่ผู้คนหัวโบราณอย่างมาก ไม่ค่อยชอบคนต่างถิ่นที่มาจากทวีปอื่นสักเท่าไหร่ หากคนที่อยู่ตรงนี้เปลี่ยนมาเป็นเซี่ยสือเทียนจวินแห่งอุตรกุรุทวีป ป่านนี้คงถูกคนล้อมโจมตีจนร่อแร่ใกล้ตายแล้ว ไหนเลยจะเหมือนแจกันสมบัติทวีปของพวกเจ้าที่ยังสามารถนั่งลงดื่มชา พูดคุยด้วยเหตุผล ต่อรองราคากันอย่างปรองดอง”


เฉินผิงอันขูดดินโคลนที่ติดใต้รองเท้ากับขั้นบันได คิดแล้วก็พูดช้าๆ ว่า “แจกันสมบัติทวีปอยู่ใกล้กับกุรุทวีปมากเกินไป ความสัมพันธ์ระหว่างต้าหลีกับเซี่ยสือก็ค่อนข้างจะลึกลับ ทุกอย่างล้วนมีความเกี่ยวข้องกัน ไม่ใช่แค่เรื่องของขนบธรรมเนียมท้องถิ่นในทวีปหนึ่งเท่านั้น ลู่ไถ เจ้าคิดว่าไงล่ะ?”


ลู่ไถจุ๊ปากพูด “ใช้ได้ๆ เฉินผิงอัน เดี๋ยวนี้ยิ่งนานเจ้าก็ยิ่งสามารถมองปัญหาในมุมของคนที่ยืนอยู่บนภูเขาแล้ว ไม่เสียแรงที่เป็นบุคคลที่เคยผ่านภูเขาห้อยหัวและกำแพงเมืองปราณกระบี่มาแล้ว”


เฉินผิงอันเตรียมจะยกเก้าอี้กลับเข้าไปในห้อง ลู่ไถก็พลันพูดขึ้นว่า “เฉินผิงอัน ถ้าหากรวมหม่าว่านฝ่าเข้าไปด้วย อันที่จริงพวกเขารับมือกับผู้ฝึกลมปราณกึ่งโอสถทองคนหนึ่งก็ไม่ยากเลย การที่พวกเราเอาชนะได้ในครั้งนี้ แท้จริงแล้วไม่ใช่เรื่องง่าย”


เฉินผิงอันยืนอยู่ข้างเก้าอี้เอ่ยถามว่า “หากพวกเราสองคนต้องรับมือกับผู้ฝึกลมปราณขอบเขตโอสถทองคนหนึ่ง จะมีโอกาสชนะไหม?”


“มี แต่โอกาสชนะมีไม่มาก”


ลู่ไถเอ่ยยิ้มๆ “ผู้ฝึกตนขอบเขตโอสถทองแทบทุกคนล้วนเป็นพวกที่มีจิตใจแข็งแกร่ง อีกทั้งยังมีเวทอภินิหารให้ใช้นับไม่ถ้วน ดังนั้นพวกเราต้องทุ่มสุดชีวิตเพื่อสู้กับพวกเขา ไม่อย่างนั้นก็มีแต่จะถูกพวกเขาผลาญพลังจนตายทั้งเป็น เจ้าน่าจะรู้กระมังว่า ขอบเขตเก้าโอสถทองของผู้ฝึกลมปราณกับขอบเขตเจ็ดของผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัว หากรวมกับขอบเขตทั้งหลายก่อนหน้านี้ของแต่ละฝ่าย จะถูกเรียกขานว่า ‘พลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน’”


เฉินผิงอันนั่งกลับลงไปบนเก้าอี้ ส่ายหน้าพูดว่า “อันที่จริงข้าไม่ค่อยรู้หรอก เจ้าลองเล่าให้ข้าฟังหน่อยได้ไหม?”


ลู่ไถดวงตาเป็นประกาย “เล่าเรื่องพวกนี้ให้เจ้าฟังแล้ว คราวหน้าที่แบ่งสมบัติกันอย่างเป็นทางการ สามารถลดเงินเกล็ดหิมะที่ต้องมอบให้เจ้าหนึ่งร้อยเหรียญได้ไหม?”


เฉินผิงอันไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “แค่เงินเกล็ดหิมะหนึ่งร้อยเหรียญ เจ้าก็ยังติดใจด้วยหรือ?”


ลู่ไถหัวเราะฮ่าๆ “ข้าย่อมไม่ติดใจเงินเกล็ดหิมะแค่นี้อยู่แล้ว ข้าแค่ชอบความรู้สึกที่ได้เอาเปรียบคนอื่นเท่านั้น”


เฉินผิงอันยื่นมือออกมาข้างหนึ่งบอกเป็นนัยแก่ลู่ไถว่าเขาได้เงินแล้ว


ลู่ไถอารมณ์ดีอย่างยิ่ง สลัดรองเท้าหุ้มแข้งออก ยกเท้าขึ้นนั่งขัดสมาธิบนเก้าอี้ ยิ้มบางๆ พูดว่า “การเลื่อนจากขอบเขตหกสู่เจ็ดของผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัว ถูกเรียกว่า ‘พลิกแผ่นดิน’ นอกจากจะบอกว่าขอบเขตเจ็ดทะยานลมสามารถช่วยให้ผู้ฝึกยุทธ์ทะยานลมเดินทางไกลได้เหมือนเซียนแล้ว ยังพูดถึงเรื่องที่จิตวิญญาณและความกล้ารวมเป็นหนึ่ง ฟ้าดินที่ปรากฎอยู่ตรงหน้าก็จะเป็นทัศนียภาพอีกรูปแบบหนึ่ง”


“ส่วนผู้ฝึกยุทธ์ที่เลื่อนสู่ขอบเขตโอสถทอง ‘ผู้ที่สร้างโอสถทอง คือคนรุ่นเดียวกับข้า’ ประโยคที่เป็นกฎเหล็กนี้ถูกคนนำมาพูดกันจนเละเทะ ความลี้ลับที่แท้จริงของมันก็คือ ก่อนที่จะสร้างโอสถทองขึ้นมาได้นั้น การใช้เวทคาถาของผู้ฝึกลมปราณจะเต็มไปด้วยอุปสรรค บุกเบิกเปิดถางช่องโพรงลมปราณไว้ได้กี่แห่ง ก็พอจะกะประมาณจำนวนรวมของปราณวิญญาณที่เก็บสะสมไว้ได้คร่าวๆ เวลาที่ต่อสู้กับคนอื่นก็เหมือนเวลาที่เจ้าเฉินผิงอันคิดจะใช้เงิน แต่จำเป็นต้องจ่ายอย่างประหยัด”


“แต่หลังจากสร้างโอสถทองได้แล้ว การสะสมลมปราณของผู้ฝึกตนจะไม่ถูกจำกัดไว้แค่ในช่องโพรงลมปราณไม่กี่แห่งเท่านั้น แต่จะเหมือนคนรวยที่สร้างห้องน้ำแข็งไว้แห่งหนึ่ง หน้าร้อนก็ยังมีน้ำแข็งให้กิน ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือยังสามารถยืมปราณวิญญาณจากฟ้าดินมาใช้ได้ชั่วคราว สะพานแห่งความเป็นอมตะ คนพูดถึงกันมากมาย แท้จริงแล้วมันคืออะไรกันแน่? นอกจากเหยียบไปบนเส้นทางแห่งการฝึกตนแล้ว ยังต้องสามารถเชื่อมโยงเข้ากับฟ้าดิน ร่างกายตัวเองก็คือถ้ำสวรรค์ขนาดเล็ก ฟ้าดินก็คือพื้นที่มงคลขนาดใหญ่”


เฉินผิงอันตั้งใจฟังอย่างมาก


ลู่ไถถามยิ้มๆ “ดังนั้นการที่พวกเราสังหารพวกหม่าว่านฝ่าไปได้ตั้งหลายคน แต่อาจจะเอาชนะขอบเขตโอสถทองคนหนึ่งไม่ได้ ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกแล้วว่าไหม?”


เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง”


ลู่ไถทำหน้าเหมือนเห็นผี ถามด้วยความสงสัย “คนที่สอนวิชาหมัด เวทกระบี่และการเขียนยันต์ให้กับเจ้า ไม่เคยพูดเรื่องพวกนี้ให้ฟังเลยหรือ?”


เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่ได้สอนเรื่องพวกนี้ ผู้เฒ่าที่สอนวิชาหมัดให้ข้า สอนแค่ว่า…”


เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน ปล่อยหมัดไปที่ม่านฝนเบาๆ “แค่ปล่อยหมัดออกไปก็สามารถต่อยให้ม่านฝนถอยออกไปได้สิบจั้งร้อยจั้ง”


เฉินผิงอันเก็บหมัด หมุนข้อมือเบาๆ ทำท่าเหมือนกำลังถือพู่กันวาดยันต์ “ต้องปล่อยสัจธรรมแห่งการเขียนยันต์ออกมาจากปลายพู่กัน เพียงมีจิตใจที่ซื่อตรงยิ่งใหญ่ อยู่แห่งหนใดก็เยือกเย็นไม่สะทกสะท้าน”


เฉินผิงอันเปลี่ยนมาทำท่าจับกระบี่มายาแล้วแกว่งตวัดไปข้างหน้าเบาๆ “สหัสสีโลกธาตุ  เต็มไปด้วยความมหัศจรรย์ ข้ามีเพียงหนึ่งกระบี่”


ลู่ไถเหม่อมมองเด็กหนุ่มชุดขาวใต้ชายคาฝั่งตรงข้ามที่คล้ายจะแตกต่างไปจากเวลาปกติ


ลู่ไถขดตัวอยู่บนเก้าอี้ สอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ เงียบงันไปนาน


เฉินผิงอันยิ้มกว้าง หยิบเก้าอี้มาแล้วทำท่าจะเดินกลับเข้าห้อง “เจ้าเองก็รีบนอนเถอะ”


ลู่ไถถามอย่างจริงจัง “เฉินผิงอัน ระหว่างสามอย่างนี้ หากเจ้าต้องเลือก เจ้าจะเลือกอะไร?”


เฉินผิงอันยืนอึ้งอยู่ที่เดิม เขาไม่เคยคิดถึงคำถามข้อนี้มาก่อนเลยจริงๆ ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก็ตอบว่า “ตอนนั้นที่ฝึกวิชาหมัดก็เพื่อต่อชีวิต ถือเป็นรากฐานในการหยัดยืนของข้า หลังจากนั้นมาก็ฝึกหมัดมาโดยตลอด หากมีชีวิตอยู่ได้นานพอ ข้าหวังว่าจะสามารถต่อยหมัดได้สิบล้านหมัด แน่นอนว่าช่วงเวลาระหว่างนี้จะต้องเลื่อนสู่ขอบเขตเจ็ดของวิถีวรยุทธ์ให้ได้ ส่วนเรื่องการวาดยันต์ นั่นเป็นแค่วิธีการหนึ่งที่ใช้รักษาชีวิตเท่านั้น ข้าไม่มีทางศึกษาอย่างลึกซึ้ง ปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ แต่สิ่งที่อยากเดินไปให้ได้ไกลจริงๆ ยังคงเป็น…”


เฉินผิงอันชูนิ้วโป้งยื่นไปทางกระบี่ที่อยู่ด้านหลัง “การฝึกกระบี่”


เฉินผิงอันสีหน้านิ่งสงบ สายตาเด็ดเดี่ยว “ข้าจะต้องเป็นผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่ง ผู้ฝึกกระบี่ใหญ่!”


ลู่ไถเอียงศีรษะ “เพื่ออะไร?”


เฉินผิงอันหัวเราะหึหึ ไม่ตอบคำถาม ยกเก้าอี้ตัวเล็กวิ่งกลับเข้าไปในห้อง ปิดประตูนอน


ลู่ไถตวัดค้อนตามหลัง ในเมื่อไม่รู้สึกง่วง เขาเลยคลอเพลงพื้นบ้านอยู่ในลำคอเบาๆ อย่างเบื่อหน่าย สุดท้ายก็ลุกขึ้นยืนแล้วร่ายรำอย่างเชื่องช้าอยู่บนเก้าอี้ ขายแขนเสื้อกว้างใหญ่โบกสะบัดดุจสายน้ำไหล จากนั้นก็นั่งกลับลงไปบนเก้าอี้ โบกพัดอ้าปากหาว หากไม่นับนิ้วทำมุทราทำนายโชคชะตา ก็เอนศีรษะวางลงบนที่เท้าแขนของเก้าอี้ แลบลิ้นปลิ้นตาเหลือกถลนแกล้งทำเป็นผี…


ทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งฟ้าสาง


เฉินผิงอันตื่นนอนตามเวลา เดินไปเปิดประตูเก็บยันต์สยบปีศาจมาก่อน จากนั้นค่อยฝึกหมัดเดินนิ่งกลับไปกลับมาอยู่ใต้ชายคา


ลู่ไถชำเลืองตามองรองเท้าหุ้มแข้งของเฉินผิงอัน “วันหน้าจะหารองเท้าที่ตระกูลเซียนของพวกเราสวมใส่ให้เจ้าสักคู่ จะได้ไม่ต้องกังวลเวลาฝนหรือหิมะตก แพงสักหน่อย แต่ก็อาจถึงขั้นกันน้ำกันไฟได้ด้วย”


เฉินผิงอันพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “จะต้องเอาของเล่นแบบนั้นมาทำไม ต่อสู้กับคนอื่นยังต้องมาคอยกังวลว่ารองเท้าจะพังหรือไม่ เกะกะจะตาย กลายเป็นว่ามีเรื่องให้กังวลเพิ่มขึ้นมาอีก”


ลู่ไถถอนหายใจ “เจ้าน่ะไม่มีชะตาให้เสพสุข”


เฉินผิงอันถาม “ครึ่งคืนหลังของเมื่อคืนไม่มีเรื่องประหลาดอะไรเกิดขึ้นใช่ไหม?”


ลู่ไถพยักหน้ารับ “มีอยู่นะ ดูเหมือนว่าคนของป้อมอินทรีบินจะเจอผีเข้าให้แล้ว ห่างจากที่นี่ไปไม่ไกลนัก ทั้งสองฝ่ายลงไม้ลงมือกัน ถึงขั้นเลือดตกยางออก แต่ไม่มีคนตาย”


เฉินผิงอันครุ่นคิด “ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็น่าจะออกไปเดินเล่นสักหน่อย ดูสิว่าจะค้นพบความจริงไหม เมื่อพอจะมั่นใจแล้ว ค่อยตัดสินใจว่าจะลงมือหรือไม่”


ลู่ไถยังไงก็ได้กับเรื่องนี้


เรื่องฮวงจุ้ยชัยภูมิ ค้นหาช่องโพรงและเส้นทางมังกร ศาสตร์ฉีเหมินตุ้นเจี่ย วิชาแพทย์โหราศาสตร์ เขาล้วนเชี่ยวชาญทั้งหมด ช่วยไม่ได้ พรสวรรค์ที่บรรพบุรุษประทานมาให้ ต่อให้ไม่ตั้งใจเรียน พยายามคิดหาวิธีแอบอู้ก็แล้ว แต่กระนั้นก็ยังนำโด่งทิ้งคนรุ่นเดียวกันไปไกลไม่เห็นฝุ่น นี่ทำให้เขารำคาญใจมากจริงๆ


……


ลู่ไถใช้คำพูดง่ายๆ อย่างผ่อนคลายไม่กี่คำจำกัดความการเข่นฆ่านองเลือดของเมื่อคืน


แต่อันที่จริงสำหรับคนที่อยู่ในเหตุการณ์ตอนนั้นแล้วช่างอยู่ไกลเกินกว่าคำว่าผ่อนคลายไปมากนัก


ท่ามกลางม่านน้ำฝนของเมื่อวาน มีคนหนุ่มชุดดำห้อยดาบโบราณไว้ตรงเอวคนหนึ่งเดินทางยามค่ำคืนมากับนักพรตที่หาประสบการณ์มาถึงที่แห่งนี้ สีหน้าของพวกเขาใต้งอบไม้ไผ่ คนหนึ่งพร้อมกระโจนเข้าสู่ความตาย อีกคนหนึ่งเต็มไปด้วยความกังวลใจ


หลังจากที่ฝนเทกระหน่ำเปลี่ยนเป็นฝนพรำๆ คนทั้งสองเดินเข้ามาในตรอกแห่งหนึ่ง มาหยุดอยู่ตรงหน้าบ้านเก่าโทรมหลังหนึ่งที่ถูกทิ้งร้างมานานปี


นักพรตหนุ่มที่สวมเสื้อกันฝนสีหน้าซีดขาวเล็กน้อย “ปราณชั่วร้ายของคืนนี้เข้มข้นผิดปกติ!”


ชายอีกคนที่ถือดาบโบราณมีผิวออกดำ เขากดเสียงลงต่ำ เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันพูดว่า “หากยังรอต่อไป ไม่รู้ว่าคนบริสุทธิ์ต้องตายไปอีกกี่คน รอต่อไปไม่ได้แล้ว!”


บทที่ 294.2 อินทรีไม่บิน

โดย

ProjectZyphon

ตรอกเส้นนี้มีคนอยู่อาศัยน้อยมาก แค่สามสี่ครอบครัวที่บางตาเท่านั้น ส่วนใหญ่ล้วนเป็นผู้เฒ่าอายุเยอะที่ไร้คนดูแล แล้วก็ไม่ค่อยออกไปมีปฏิสัมพันธ์กับคนภายนอก ลูกศิษย์ของป้อมอินทรีบินที่เรียนวรยุทธ์ ตอนที่ยังหนุ่มสาว เวลาพวกเขาประลองความกล้าหาญกัน มักจะเลือกกลางดึกของคืนหนึ่งเพื่อดูว่าใครจะกล้ามาเดินในตรอกแคบเล็กมืดสลัวแห่งนี้เพียงลำพัง


ต่างก็บอกกันว่าตรอกแห่งนี้เคยมีสงครามนองเลือดเกิดขึ้นมาก่อน ก่อนหน้าที่ป้อมอินทรีบินจะจมหายไปจากยุทธภพ ในขณะที่อดีตเจ้าประมุขเพิ่งจะลาลับไปจากโลกนี้ มีศัตรูกลุ่มหนึ่งที่ตั้งก๊กตั้งเหล่าฉวยโอกาสแอบเข้ามาในป้อมอินทรีบิน แต่ละคนล้วนมือเปื้อนเลือด หากไม่ใช่ยอดฝีมือลัทธิมารก็ต้องเป็นปรมาจารย์ฝ่ายอธรรม ล้วนเป็นเหล่าผู้นำในแต่ละฝ่ายของยุทธภพที่อดีตเจ้าประมุขเคยทำร้ายจนบาดเจ็บและพิการมาก่อน


พวกเขาเผยเบาะแสของตัวเองโดยไม่ทันระวัง จึงถูกป้อมอินทรีบินที่เตรียมพร้อมมานานแล้วกักตัวอยู่ในตรอกแห่งหนี้เหมือนจับตะพาบในไห การเข่นฆ่าครั้งนั้นเลือดนองแผ่นดิน ทั้งสองฝ่ายฆ่าฟันกันจนศีรษะกลิ้งหลุนๆ มีทั้งศีรษะของฝ่ายผู้ร้าย แล้วก็มีทั้งศีรษะของรุ่นผู้อาวุโสแห่งป้อมอินทรีบิน เศษแขนขากองให้เกลื่อน แทบจะไม่มีศพไหนที่ครบสมบูรณ์แบบ ว่ากันว่าตอนสุดท้ายคนของป้อมอินทรีบินที่มาเก็บศพ ไม่มีใครสักคนที่ไม่อ้วกเอาน้ำดีขมๆ ออกมา


ป้อมอินทรีบินคือพรรคในยุทธภพที่รุ่นบรรพบุรุษเคยร่ำรวยอู้ฟู่มาก่อน เคยมีช่วงเวลาอันรุ่งโรจน์ที่ยาวนาน แต่ภายหลังตกต่ำ ในบรรดาคนรุ่นเก่าของยุทธภพแคว้นเฉินเซียง ต่อให้ทุกวันนี้สกุลหลวนจะเงียบหายไปหลายปี แต่ก็ยังมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในระดับหนึ่ง โดยเฉพาะนายท่านผู้เฒ่าหลวนที่เสียชีวิตไปแล้วที่มีคุณธรรมสูงส่ง ตอนยังหนุ่มก็เลื่องระบือไปทั้งยุทธภพ เป็นผู้กล้าที่คนทั้งราชสำนักต่างก็รู้จัก


น่าเสียดายก็แต่พรสวรรค์ในการฝึกยุทธ์ของหลวนหยางเจ้าประมุขคนปัจจุบันธรรมดาไม่โดดเด่น ไม่สามารถประคับประคองชื่อเสียงและบารมีของป้อมอินทรีบินให้กลับคืนมาได้อีกครั้ง อีกทั้งหลวนฉางก็ยังเด็ก จึงกลายเป็นว่าเกิดสถานการณ์น่ากลัดกลุ้มใจที่ตรงกลางขาดคนสืบทอดความรุ่งโรจน์


แต่หากพลิกเปิดปฏิทินเหลืองเก่าแก่ นับจากรุ่นของนายท่านผู้เฒ่าหลวนขึ้นไปสองรุ่น สิ่งที่สามารถนำขึ้นเวทีออกหน้าออกตาของป้อมอินทรีบินมีมากมายจริงๆ


ดังนั้นป้อมอินทรีบินที่ยิ่งใหญ่ คนสี่ร้อยกว่าคนที่อยู่ที่นี่ล้วนเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจในตัวเอง


แม้ว่าด้วยสถานการณ์ที่บีบบังคับจะทำให้ต้องมาเร้นตัวอยู่ห่างไกล แต่ป้อมอินทรีบินกลับไม่ถือว่าเป็นกบใต้กะลา


นับตั้งแต่เด็ก แทบทุกคนล้วนต้องได้ยินเรื่องราวที่มหัศจรรย์ของป้อมอินทรีบินมามากมาย และนายท่านผู้เฒ่าหลวนก็เป็นหนึ่งสี่ปรมาจารย์ใหญ่ของแคว้นเฉินเซียง


เพื่อนสนิทที่เคยท่องยุทธภพร่วมกับนายท่านผู้เฒ่าหลวนตอนยังหนุ่ม ในบรรดายอดฝีมือใหญ่สิบท่าน ทุกวันนี้ยังเหลืออยู่อีกสามท่าน


ส่วนเหล่าไท่จวิน (บรรดาศักดิ์ของมารดาขุนนางในสมัยศักดินา) ว่ากันว่าคือองค์หญิงของแคว้นล่มสลายซึ่งเป็นแคว้นเพื่อนบ้านในราชวงศ์ก่อน ถูกนายท่านผู้เฒ่าหลวนช่วยชีวิตเอาไว้ พวกเขาตกหลุมรักกันตั้งแต่แรกเห็น ระหว่างนั้นก็มีอุปสรรคนานัปการเข้ามาทดสอบ แต่สุดท้ายก็ยังได้ครองคู่อยู่ด้วยกัน เรื่องราวของพวกเขากลายเป็นเรื่องเล่าอันงดงามเรื่องหนึ่งในยุทธภพ


หลวนฉางเจ้าปราสาทน้อยแสดงออกถึงพรสวรรค์ด้านการฝึกวรยุทธ์ที่โดดเด่นมาตั้งแต่เด็ก เกิดมาก็มีพละกำลังที่น่าครั่นคร้าม ระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมา เขาไปขอความรู้จากจอมยุทธ์ใหญ่ภายนอก บ้างก็ประลองฝีมือกับจอมยุทธ์น้อยที่มีชื่อเสียงในยุทธภพ เรียกได้ว่าวางตัวดีน่าชมเชย ส่วนหลวนซูบุตรสาวของเจ้าปราสาท ว่ากันว่าเป็นคู่หมั้นตั้งแต่ยังแบเบาะกับลูกหลานสายตรงของหนึ่งในสิบยอดฝีมือแห่งแคว้นเฉินเซียง แค่รอให้ชายหนุ่มคนนั้นมาสู่ขอเท่านั้น


ทว่าผู้นำคนรุ่นหนุ่มสาวของป้อมอินทรีบินกลับไม่ใช่หลวนฉาง แต่เป็นคนต่างแซ่คนหนึ่ง เถาเสียหยาง คือลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเจ้าปราสาทหลวนหยาง เรียนรู้ตำราลัทธิขงจื๊อและกังฟูที่ลึกล้ำจากอาจารย์เหอผู้ดูแลใหญ่มาตั้งแต่เด็ก พูดถึงความนิยมแล้ว เขาได้รับความนิยมยิ่งกว่านายน้อยหลวนฉางเสียอีก


เถาเสียหยางมีน้ำใจและความจริงใจ เป็นที่กล่าวขานไปทั่วป้อมอินทรีบิน นิสัยเปิดกว้างร่าเริง ราวกับว่าต่อให้ฟ้าถล่มลงมาก็ไม่กลัว


คนกลุ่มก่อนที่เข้ามาในปราสาท ปรมาจารย์ที่เป็นผู้นำคือจอมยุทธ์ผู้กล้าในยุทธภพที่มีชื่อเสียงโด่งดัง ส่วนสาวงามคนหนึ่งที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นเทพธิดาก็มีความสัมพันธ์ดีเยี่ยมกับเถาเสียหยาง พวกเขามักจะเดินทางเข้านอกออกในป้อมอินทรีบินด้วยกันเป็นประจำ แค่นางได้ดื่มเหล้าข้างทางที่ถูกที่ที่สุดกับเถาเสียหยางก็สามารถยิ้มแย้มดุจบุปผาผลิบาน


ช่วงหลายปีที่ผ่านมาเถาเสียหยางก็เริ่มช่วยเจ้าประมุขและผู้ดูแลเหอหยาทดลองจัดการกิจธุระในป้อมอินทรีบินแล้ว ได้รู้เรื่องวงในมากมาย ชีวิตจึงไม่สุขสบายนัก


ต้อนรับขับสู้ให้การรับรองแขกจากแปดทิศต้องรอบคอบรัดกุมจนแม้แต่น้ำสักหยดก็หลุดรอดไปไม่ได้ ควันธูปของธูปแต่ละก้านที่เหล่าบรรพบุรุษป้อมอินทรีบินทิ้งเอาไว้ จะปล่อยให้พวกมันดับลงอย่างเงียบเชียบไม่ได้ ต้องคอยเชื่อมสัมพันธ์ควันธูปอย่างลับๆ อยู่ตลอดเวลา ไปเมืองหลวง ไปเยือนสำนักที่มีชื่อเสียงบนภูเขา ไปเยือนพรรคที่แข็งแกร่งในเมืองใหญ่ มอบเงินให้แก่เหล่าขุนนางและตระกูลสูงศักดิ์ คอยกระชับเชื่อมความสัมพันธ์กับเจ้าถิ่นในสถานที่ต่างๆ ล้วนจำเป็นต้องให้คนต่างแซ่อย่างเถาเสียหยางผู้นี้ไปทำ ดังนั้นเถาเสียหยางจึงมีประสบการณ์และความรู้ในยุทธภพอย่างเฟื่องฟู โดดเด่นกว่าคนอื่น


มือดาบที่มาเยือนตรอกเล็กในคืนนี้ก็คือเถาเสียหยาง


นักพรตหนุ่มที่เดินทางมาพร้อมกับเถาเสียหยางคือเพื่อนสนิทที่เขารู้จักในยุทธภพ เพียงแค่พบหน้ากันก็เหมือนรู้จักกันมานาน เถาเสียหยางรู้ความลับบางอย่างของนักพรตหนุ่ม รู้ว่าเขาสามารถมองเห็นวัตถุหยินและสิ่งสกปรกทั้งหลาย อีกทั้งยังมีวิธีสยบความชั่วร้ายคว้าชัยชนะบางอย่างที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนในยุทธภพ หลังจากนักพรตได้รับจดหมายลับขอความช่วยเหลือจากเถาเสียหยาง ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็เดินทางมายังป้อมอินทรีบินทันที หลังจากทำการตรวจสอบอย่างระมัดระวัง อารมณ์ของนักพรตหนุ่มก็ยิ่งหนักอึ้ง เป็นอย่างที่เถาเสียหยางกล่าวไว้ในจดหมาย ที่ป้อมอินทรีบินมีภูติผีคอยรังควานก่อความวุ่นวายอยู่จริงๆ อีกทั้งตบะยังลึกล้ำมาก มันถึงกับทำลายรากฐานฮวงจุ้ยของป้อมอินทรีบินโดยตรง


นักพรตหนุ่มรู้ความสามารถของตัวเองดี เขาไม่ใช่คนบนภูเขาที่แท้จริงอะไร เพิ่งจะเล่าเรียนมรรคกถากับอาจารย์ที่ชอบท่องเที่ยวไปทั่วทิศแค่ห้าปี เรียนรู้แค่วิชาผิวเผินอย่างการมองลมปราณและการวาดยันต์ อีกทั้งยันต์ที่เขาวาดออกมา บางครั้งก็ศักดิ์สิทธิ์ บางครั้งก็ไม่ กระบี่เหรียญทองแดงที่เกิดจากการร้อยเรียงกันของเหรียญทองแดงเจ็ดเจ็ดสี่สิบเก้าเหรียญที่สะพายไว้บนหลัง จนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่มีโอกาสให้เอาออกมาใช้ จะสยบความชั่วร้ายปราบอธรรมได้หรือไม่นั้น ในใจเขาไม่มีความมั่นใจเลยจริงๆ


นักพรตหนุ่มชื่อว่าหวงซ่าง คือลูกหลานตระกูลปัญญาชนที่ไม่มีหวังว่าจะสอบติดเคอจวี่ ฝึกมรรคกถามาเกือบห้าปี วาดยันต์ยังไม่เชี่ยวชาญมากพอ อาจารย์ที่ถ่ายทอดมรรคกถาให้แก่เขามักจะไม่อยู่ข้างกาย หวงซ่างต้องใช้เงินเก็บแทบทั้งหมดถึงจะสามารถรวบรวมออกมาเป็นกระบี่เหรียญทองแดง ‘สามทงเป่า’ (ทงเป่าคือชื่อเรียกเหรียญทองแดงชนิดหนึ่งในสมัยโบราณ) อย่างเหรียญเสินเช่อ เหรีญหยวนกวางและเหรียญเจิ้งเต๋อของราชวงศ์ก่อนมาได้ อาจารย์เคยบอกว่าเหรียญทองแดงทงเป่าสามชนิดนี้ประทับตราจิ่วเตี๋ยจ้วน มีปราณหยางซุกซ่อนอยู่ด้านในเต็มเปี่ยมเพียงพอมากที่สุด


ส่วนยันต์ที่หวงซ่างวาดนั้น ระดับขั้นยังไม่ดีพอ จึงได้แต่อาศัยปริมาณมาชดเชยเท่านั้น


ให้นักพรตเต๋าครึ่งตัวอย่างเขามารับมือกับวิญญาณดุร้ายของป้อมอินทรีบินเช่นนี้ นับว่าฝืนใจเขามากจริงๆ เพียงแต่ว่าเขาเป็นเพื่อนรักกับเถาเสียหยาง น้ำใจและคุณธรรมเป็นเหตุ เมื่อเห็นว่าเถาเสียหยางตัดสินใจเด็ดเดี่ยวว่าจะมาปราบความชั่วร้ายแทนปวงประชาที่นี่ จะให้เขาทนมองพี่น้องต้องมาตายอยู่ตรงนี้คาตาก็คงไม่ถูกต้อง


คนทั้งสองเรียกกันเป็นพี่น้อง หาใช่เพราะการเวียนจอกเหล้าดื่มบนโต๊ะสุราอย่างพวกจอมยุทธ์ในยุทธภพ แต่เป็นเพราะพวกเขาเคยแลกชีวิตช่วยเหลือกันมาก่อน


เมื่อก่อนเจ้าของเดิมบ้านที่ถูกทิ้งร้างหลังนี้น่าจะมีฐานะพอสมควร ธรณีประตูจึงค่อนข้างสูง และประตูใหญ่ก็ทำมาจากไม้ชั้นดี แถมยังประดับวงกลมที่จับประตูเป็นรูปใบหน้าสัตว์ ทั้งเก่าแก่และหนักอึ้ง


นักพรตหวงซ่างคลำเอายันต์กระดาษเหลืองแผ่นหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ ก่อนหน้านี้ฝนตกหนัก เวลานี้พอนักพรตเห็นว่าประตูใหญ่และกำแพงสูงเปียกแฉะไปด้วยน้ำก็ยิ้มเจื่อนพูดว่า “ฟ้าอำนวยดินอวยพรไม่ได้อยู่ข้างพวกเราเลยจริงๆ”


เถาเสียหยางมือดาบอืมรับหนึ่งที จ้องประตูบานนั้นเขม็ง มือหนึ่งกดด้ามกระบี่ แล้วพลันหันตัวกลับ มืออีกข้างที่เหลือตบไหล่ของนักพรตแรงๆ “ข้าจะนำไปก่อน หากสถานการณ์เลวร้าย ช่วยข้าไม่ได้ เจ้าก็ไม่ต้องสนใจข้า แค่ช่วยหาเรือนหยินที่ฮวงจุ้ยดีให้ข้าสักหลังก็พอ!”


หวงซ่างกำลังจะอ้าปากพูด


เถาเสียหยางกลับยิ้มกว้างสดใสเสียก่อน “นี่ไม่ใช่คำพูดที่เอ่ยตามมารยาท! หากตายอยู่ที่นี่กันทั้งสองคน จะต้องไปแย่งกันดื่มเหล้าอยู่ข้างล่างอีกหรือไง?!”


เถาเสียหยางหดมือกลับมา ลมปราณร่วงดิ่งสู่จุดตันเถียน ยกดาบฟันเข้าไปที่ประตูใหญ่ “จงเปิดออกให้ข้า!”


ดาบพุ่งมาอย่างดุดัน ถึงกับผ่าให้ประตูใหญ่แยกออกเป็นสองท่อน เถาเสียหยางก้าวยาวๆ เข้าไปข้างในอย่างเด็ดเดี่ยว


ทันใดนั้นทุกย่างก้าวของเขาก็หนักอึ้งเหมือนจมลงไปในบ่อโคลน เถาเสียหยางไร้ความเกรงกลัว ตวาดเบาๆ หนึ่งครั้งแล้วโบกดาบไปเบื้องหน้า แต่ละดาบผ่าลงกลางความว่างเปล่า ประกายแสงดาบที่ทอรัศมีจางๆ น่าสะพรึงกลัว เห็นได้ชัดว่าเขาพบเจอเส้นทางที่ถูกต้องบนวิถีวรยุทธ์ของตัวเองแล้ว


เถาเสียหยางใช้ดาบบุกเบิกทาง ตรงดิ่งไปด้านหน้าเป็นเส้นตรง


ยันต์ ‘วิญญูชนพกยันต์’ สองแผ่นที่ซ่อนไว้ตรงสาบเสื้อหน้าอกกับตรงเอวของเขาพลันกลายเป็นสีดำเหมือนถูกอาบย้อมด้วยหมึก ปราณวิญญาณที่เดิมทีก็มีไม่มากสลายหายไปสิ้น


หวงซ่างกำลังจะก้าวเร็วๆ ตามไป เพียงแต่รู้สึกว่ามีลมเย็นยะเยือกพัดวูบๆ มาจากด้านในของประตู จึงต้องหาจุดที่ค่อนข้างแห้งสองจุดแถวผนังด้านในกำแพงใหญ่ติดยันต์พิทักษ์เรือนสองแผ่นลงไปเสียก่อน ถึงจะพอวางใจได้ ไม่ถึงขั้นหายใจหายคอไม่คล่อง จากนั้นมือสองข้างก็คีบยันต์มือละแผ่น แบ่งออกเป็น ‘ยันต์กวงหัวเจินจวินถือกระบี่’ และ ‘ยันต์ตราประทับเยว่จางของหวงเสิน’ ล้วนเป็นยันต์คุ้มกันกายที่มีชื่อเสียงตั้งแต่สมัยบรรพกาล ค่อนข้างเป็นที่นิยมในวงกว้าง


เพียงแต่ว่าหวงซ่างเพิ่งจะเดินต้านลมเย็นไปได้แค่สามก้าวก็ค้นพบว่ายันต์ถือกระบี่และยันต์ตราประทับกลายเป็นสีดำไปแล้วเกินครึ่ง ราวกับว่ายันต์สองแผ่นนี้เพิ่งถูกดึงออกมาจากแท่นฝนหมึก ในใจของนักพรตหนุ่มตะลึงพรึงเพริดอย่างหนัก อดไม่ไหวต้องรีบตะโกนไปเสียงดัง “ปราณชั่วร้ายเข้มข้นหนักอึ้งราวกับน้ำ ภูตผีของที่นี่ต้องไม่ใช่วิญญาณที่ตายอยู่ในตรอกเล็กด้วยความไม่เป็นธรรมในปีนั้นอย่างแน่นอน! ต้องเป็นผีร้ายที่เร่ร่อนมาแล้วเกินร้อยปีขึ้นไป! เสียหยาง รีบถอยออกจากจวนเร็วเข้า…”


เพียงแต่ว่าประตูของห้องหลักที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกลับเปิดออกด้วยตัวเอง เถาเสียหยางโบกดาบก้าวเข้าไป แล้วประตูก็ปิดลงดังปัง


ใบหน้าของหวงซ่างเต็มไปด้วยความเจ็บปวด พยายามกรอกเทปราณวิญญาณบางเบาเข้าไปยังยันต์สองแผ่นในมือที่โดนเล่นงาน ตวาดกร้าวอย่างแค้นเคือง “เปลี่ยนย้ายหายนะ!”


ยันต์ถือกระบี่ไม่มีความเคลื่อนไหว ปราณชั่วร้ายรวมตัวกันกลายมาเป็นน้ำหมึกที่แทรกซอน สองนิ้วที่คีบยันต์เหมือนถูกไฟลวก หวงซ่างรีบโยนยันต์แผ่นนั้นทิ้งไปทันที


ยังดีที่ยันต์ตราประทับมีแสงวิเศษกระเพื่อมไหวแล้วพลันส่องเจิดจ้า สาดสะท้อนภาพประหลาดรอบด้านให้เห็นเด่นชัด


ยันต์ติดไฟลุกไหม้อย่างรวดเร็ว กระดาษสีเหลืองถูกเผาผลาญจนเกิดควันเขียวกลิ่นแสบจมูก


รอบกายของหวงซ่างมีเสียงหัวเราะคิกคักน่าขนลุกดังขึ้นๆ ลงๆ แต่กลับมองไม่เห็นตัวคน


ตรงลำคอของเขาเหมือนถูกลิ้นยาวเยียบเย็นเลียผ่าน ทำให้นักพรตหนุ่มขนลุกพรึ่บไปทั้งร่าง


หวงซ่างโยนยันต์ตราประทับที่เผาไหม้จนหมดทิ้งไป เตรียมจะหยิบยันต์อีกชิ้นหนึ่งซึ่งเป็นสมบัติก้นกรุออกมาจากชายแขนเสื้อ


ทว่าหลังมือของมือซ้ายที่ยื่นเข้าไปในชายแขนเสื้อกลับเหมือนถูกคนใช้เข็มแหลมแทง หวงซ่างสั่นเยือกไปทั้งตัว แล้วอยู่ดีไม่ว่าดีฝนก็เทลงมาเหนือศีรษะ หวงซ่างเหลียวมองไปรอบด้านก็เห็นว่ามีแค่ฝนเม็ดบางปรอยๆ เท่านั้น นักพรตหนุ่มยกมือปาดหน้าอย่างเหม่อลอย พอแบมือออกกลับเห็นเลือดสดเต็มฝ่ามือ


นาทีถัดมาหวงซ่างก็เงยหน้าขึ้นตามจิตใต้สำนึก


ใบหน้าซีดขาวไม่มีดวงตาอยู่ใกล้ในระยะประชิด แทบจะแนบติดกับจมูกของหวงซ่าง


หวงซ่างอึ้งงันเป็นไก่ไม้


พริบตานั้นบ่าก็ถูกคนกดอย่างแรงแล้วกระชากไปด้านหลัง ร่างทั้งร่างของหวงซ่างปลิวออกไปจากบ้าน กระแทกลงบนตรอกดินโคลนที่อยู่ด้านนอก หัวสมองมึนงงไปหมด


แล้วเขาก็ได้เห็นแผ่นหลังสูงผอมที่คุ้นเคย เขาก็คือเหอหยาผู้ดูแลเฒ่าของป้อมอินทรีบิน อาจารย์ของเถาเสียหยาง


มือทั้งคู่ของผู้เฒ่าถือยันต์ กระดาษยันต์น่าจะไม่ใช่กระดาษเหลืองที่เป็นยันต์ธรรมดาเพราะส่องประกายแสงอัญมณีแวววาว แม้ว่าเมื่ออยู่ท่ามกลางสายฝนแสงนั้นจะแกว่งส่ายประหนึ่งเปลวเทียนสองเล่มที่อยู่กลางลมพายุ แต่แสงศักดิ์สิทธิ์ของยันต์ก็ยังคงอยู่ไม่สลายหายไป


ใต้ฝ่าเท้าของผู้ดูแลเฒ่าเกิดพายุลมกรด ปากก็ท่องพึมพำไม่หยุด


หวงซ่างเพิ่งจะคลายใจลงได้ ลำคอกลับถูกมือซีดขาวคู่หนึ่งที่มีเล็บแหลมยาวบีบแน่น แล้วกระชากลากถูไปด้านหลัง นักพรตหนุ่มฟาดมือสองข้างตีเปะปะลงบนถนนดินโคลน แต่ก็ไม่มีประโยชน์ใดๆ ท้ายทอยกับแผ่นหลังกระแทกลงบนผนังที่แข็งกระด้าง ราวกับว่าสิ่งที่ลากตัวหวงซ่างได้ผลุบหายเข้าไปในกำแพงแห่งนี้จึงหวังว่าคนตัวเป็นๆ อย่างหวงซ่างจะเข้าไปในกำแพงตามไปด้วย


หวงซ่างตาเหลือกแล้วหมดสติไปอย่างสิ้นเชิง


รอจนนักพรตหนุ่มคืนสติกลับมา เขาก็กลับมาอยู่ในห้องพักแขกของหอหลักป้อมอินทรีบินแล้ว ข้างกันก็คือที่พักของเถาเสียหยาง


หวงซ่างลุกขึ้นนั่งโงนเงน แล้วก็เห็นว่าอาจารย์เหอที่หน้าตาเคร่งเครียดกำลังเดินออกมาจากในห้องพอดี


เหอหยาถอนหายใจ “ร่างกายของเสียหยางไม่ได้บาดเจ็บร้ายแรง เพียงแต่ว่า…”


ผู้เฒ่าไม่ได้พูดต่อ


เดิมทีเหอหยาอยากตำหนิหวงซ่างว่าไม่ควรจะบุ่มบ่ามบุกเข้าไปในตรอกแห่งนั้นโดยพลการกับเถาเสียหยาง


เพียงแต่พอเห็นสีหน้าตื่นตกใจจนทำอะไรไม่ถูกของนักพรตหนุ่ม โดยเฉพาะตรงลำคอยังมีรอยนิ้วเป็นเส้นๆ สีดำเหมือนหมึก ผ่านไปคืนหนึ่งแล้วก็ยังไม่หายดี ผู้เฒ่าจึงรู้สึกสงสาร เพียงแค่ถอนหายใจหนึ่งครั้งแล้วก้าวเร็วๆ จากไป เพื่อไปต้มยามาช่วยบำรุงพลังต้นกำเนิดให้กับลูกศิษย์


หลายครั้งที่หวงซ่างอยากผลักประตูเดินเข้าไป แต่ก็ต้องหดมือกลับมาอย่างห่อเหี่ยว


……


คืนนี้เฉินผิงอันกับลู่ไถจะไปร่วมงานเลี้ยงที่จวนตระกูลหลวน


ยังเหลืออีกครึ่งชั่วยามกว่างานเลี้ยงจะเริ่ม วันนี้ตอนกลางวันคนทั้งสองเดินเล่นไปทั่ว ถนนใหญ่ตรอกเล็ก บ่อน้ำแห่งต่างๆ ศาลบรรพชนสกุลหลวน สนามฝึกยุทธ์ ลานประหารของป้อมอินทรีบิน ฯลฯ พวกเขาล้วนไปเยือนมารอบหนึ่ง


ลู่ไถมองสังเกตเทพทวารบาลแต่ละรูปแบบที่แปะอยู่บนประตูใหญ่ของบ้านแต่ละหลัง ส่วนเฉินผิงอันจะนั่งยองลงเป็นพักๆ หยิบดินกำเล็กขึ้นมาใส่ปากเคี้ยวเงียบๆ


พอกลับมาถึงบ้านพัก เฉินผิงอันก็พลันนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ “ผู้ดูแลเหอพาพวกเราเข้ามาในป้อมอินทรีบิน แถมยังจัดให้พวกเราพักอยู่ที่นี่ เป็นเพราะเขามีใจที่เห็นแก่ตัวหรือไม่?”


ลู่ไถพยักหน้ารับ “แผนไล่หมาป่าไปกินเสือ น่าจะเป็นเพราะป้อมอินทรีบินอับจนหนทางแล้ว จึงรักษามาตายดั่งม้าเป็น ไม่แน่ว่างานเลี้ยงคืนนี้ หากพวกเราฉีกหน้าซักไซ้เอาความเรื่องนี้ ป้อมอินทรีบินก็น่าจะป่าวประกาศอย่างเป็นทางการ ก็คงไม่พ้นเอ่ยขอโทษ แล้วทุ่มเงินให้พวกเรา ขอให้พวกเราช่วยให้ป้อมอินทรีบินผ่านด่านเคราะห์ครั้งนี้ไปให้ได้”


เฉินผิงอันถอนหายใจ หากตบะของพวกเขาตื้นเขิน เอาชนะผีเร่ร่อนพวกนั้นไม่ได้ เมื่อคืนวานถ้าต้องตายอยู่ในจวนแห่งนี้ก็คือตายไปใช่หรือไม่? ถึงเวลาก็แค่เอาเสื่อเก่าๆ มาห่อศพ แล้วให้คนโยนทิ้งไปนอกป้อมอินทรีบินเท่านั้นน่ะหรือ?


ดูเหมือนลู่ไถจะมองความคิดในใจของเฉินผิงอันออก จึงเอ่ยยิ้มๆ ว่า “กำลังปลงอนิจจังกับความอันตรายชั่วร้ายในยุทธภพงั้นรึ? เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่า บางทีป้อมอินทรีบินกับเหอหยาผู้นั้นอาจจะมีความลำบากใจที่มิอาจเอื้อนเอ่ย พอได้ยินพวกเขาระบายทุกข์ให้ฟังแล้ว ไม่แน่ว่าเจ้าอาจเป็นเดือดเป็นแค้น หยัดยืนให้ความช่วยเหลือพวกเขาอย่างฮึกเหิมก็เป็นได้”


เฉินผิงอันส่ายหน้า พูดเบาๆ ว่า “เรื่องราวมีก่อนมีหลัง ถูกผิดก็มีแบ่งเล็กใหญ่ ลำดับจะวุ่นวายไม่ได้ หลังจากนั้นค่อยชั่งน้ำหนักว่าหนักหรือเบา จำกัดความว่าดีหรือเลว สุดท้ายค่อยตัดสินใจว่าจะทำอย่างไร”


ลู่ไถเอ่ยยิ้มๆ “ฟังแล้วเหมือนง่าย แต่ทำจริงๆ กลับไม่ง่ายหรอกนะ”


เฉินผิงอันอืมรับหนึ่งที “ยากมากเลยล่ะ”


ผ่านไปไม่นานเท่าไหร่ สองพี่น้องหลวนฉางหลวนซูก็จับมือกันมาเยือน วันนี้หลวนซูเปลี่ยนมาสวมชุดสีเหลืองอบอุ่น เรือนกายอรชรสะโอดสะอง หลวนฉางยังคงแต่งตัวเหมือนเดิม แค่ปลดธนูเขาวัวที่สะพายไว้ด้านหลังออก


ก่อนหน้านี้ลู่ไถสอบถามเฉินผิงอันว่าจะมอบเรื่องน่าตะลึงให้หลวนซูแห่งป้อมอินทรีบินดีหรือไม่ ไม่รอให้ลู่ไถพูดจบ เฉินผิงอันก็ทำหน้าดำ ตบไปที่น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่หนึ่งที ลู่ไถจึงหุบปากเงียบทันที ยกสองมือประกบกันทำท่าอ้อนวอน


บนราวระเบียงของหอเรือนสูงที่อยู่ห่างออกไป สตรีแต่งงานแล้วที่อารมณ์ไม่เลวมีสีหน้าแจ่มใส คลี่ยิ้มอ่อนโยน เมื่อคืนวานฟังบุตรสาวเล่าความในใจ บอกว่ามีคุณชายต่างถิ่นที่สง่างามคนหนึ่ง วันนี้จะมาเยือนพร้อมกับสหายหนึ่งคน จึงต้องการให้มารดาอย่างนางช่วยดูให้หน่อย


สตรีแต่งงานแล้วรู้สึกว่าน่าสนใจจึงรับปาก


ส่วนสัญญาหมั้นหมายแต่แบเบาะนั้น อย่าว่าแต่ป้อมอินทรีบินที่ไม่เอาจริงเลย อีกฝ่ายก็ยิ่งคาดหวังว่าอย่าให้มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น จะได้ไม่ต้องถูกป้อมอินทรีบินที่ตกต่ำอับจนมาคอยเป็นตัวถ่วง


พอสตรีแต่งงานแล้วผู้อ่อนโยนเพียบพร้อมคิดว่าสักวันหนึ่งบุตรสาวจะได้สวมชุดเจ้าสาวสีแดงสดที่งดงามที่สุดในช่วงเวลาที่ดีที่สุด ได้แต่งงานกับคนที่ตัวเองรักที่สุดเหมือนตนที่เป็นมารดา สตรีแต่งงานแล้วก็ทั้งปลาบปลื้มใจ แต่ก็อดผิดหวังอย่างเลี่ยงไม่ได้


กรอบตาของสตรีแต่งงานแล้วแดงก่ำ ก้มหน้าลงต่ำน้อยๆ หยิบผ้าเช็ดหน้าปักลายดอกไม้ผืนหนึ่งออกมาซับหัวตาเบาๆ


สตรีแต่งงานแล้วไม่รู้เลยว่า ในป้อมอินทรีบินไม่มีใครมองเห็นได้ว่า บนใบหน้าที่เลือดออกจากทวารทั้งเจ็ดของนางเกิดรอยปริร้าวนับไม่ถ้วนตัดสลับกันคล้ายเครื่องกระเบื้องใบหนึ่งที่จะแตกมิแตกแหล่


บทที่ 295 บังคับกระบี่

โดย

ProjectZyphon

หลวนซูคุณหนูของป้อมอินทรีบินมีใจให้กับลู่ไถ เฉินผิงอันไม่ใช่คนตาบอด ย่อมมองออกอยู่แล้ว


ส่วนเรื่องที่ว่านอกเหนือจากความกระตือรือร้นมีมารยาทของสองพี่น้องแล้ว ตรงหว่างคิ้วของพวกเขายังมีพยับเมฆลอยอวลอยู่ เฉินผิงอันก็มองเห็นเช่นกัน


ดูท่าผีร้ายที่ก่อกวนโจมตีชาวบ้านอย่างกำเริบเสิบสานคงจะสร้างความกลัดกลุ้มและเป็นกังวลอย่างใหญ่หลวงให้กับป้อมอินทรีบิน


ยุทธภพด้านล่างภูเขา ไม่ว่าเจ้าจะมาจากพรรคใหญ่หรือตระกูลสูงศักดิ์แค่ไหน แต่การรับมือกับเรื่องแบบนี้ก็ยังเป็นเรื่องที่เหนือบ่ากว่าแรงอยู่ดี


คนทั้งกลุ่มมุ่งหน้าไปยังหอหลักของป้อมอินทรีบิน ตัวหอสร้างขึ้นมาอย่างยิ่งใหญ่และทรงพลัง กรอบป้ายลายมือของคนมีชื่อเสียง กลอนคู่ ภาพเทพทวารบาลหลากสีสันที่สูงเท่าตัวคน สิงโตหมอบหยกขาวสองฝั่งซ้ายขวา สิ่งเหล่านี้ล้วนแสดงให้เห็นถึงความมีเกียรติและรากฐานของสกุลหลวนแห่งป้อมอินทรีบินในอดีต


แสงไฟในห้องโถงใหญ่ที่เลี้ยงรับรองแขกถูกจุดสว่างไสว มีเทียนสีแดงเล่มหนาเท่าแขนเด็กทารกส่องแสงอยู่หลายเล่ม และยังมีของเก่าวางประดับไว้หลายชิ้น ภาพอักษรแม่น้ำและภูเขาขนาดใหญ่ ฉากบังลมที่วาดเป็นภาพทิวทัศน์ของตระกูลเซียน เจ้าประมุขหลวนหยางและฮูหยิน ผู้ดูแลเฒ่าเหอหยา รวมไปถึงผู้อาวุโสแซ่หลวนหลายคนต่างก็มายืนรอต้อนรับเด็กหนุ่มสองคนที่มาเยือนป้อมอินทรีบินเป็นครั้งแรกอย่างนอบน้อม


ด้านหลังคือลูกหลานสายหลักและสายรองที่หน้าตาและความสามารถโดดเด่นจำนวนมาก คนเหล่านี้ต่างก็รู้สึกสงสัยใคร่รู้ในตัวของเฉินผิงอันและลู่ไถ เพราะถึงอย่างไรการที่ทุกคนออกมาให้การต้อนรับอย่างเอิกเกริกเช่นนี้ก็หาได้ยากมาก


ลู่ไถใช้เสียงในใจสื่อสารกับเฉินผิงอัน “ไม่ยื่นมือตบหน้าคนที่ส่งยิ้มให้ เจ้าเชื่อหรือไม่ว่า หากสกุลหลวนของป้อมอินทรีบินฉลาดพอ หลังจากที่ดื่มคารวะครบสามรอบแล้วจะต้องเป็นฝ่ายขออภัยพวกเราด้วยตัวเอง”


ลู่ไถมีสาระได้ไม่นาน เขากวาดตามองไปรอบด้าน เสียงพูดดังขึ้นในทะเลสาบหัวใจของเฉินผิงอัน “มีของโบราณไม่น้อยเลยทีเดียว บรรพบุรุษตระกูลหลวนของป้อมอินทรีบินอู้ฟู่ร่ำรวยมากเลยนะเนี่ย อยู่ล่างภูเขาของใบถงทวีปก็ถือว่าไม่เลวแล้ว หากไม่เพราะเจอกับเหตุไม่คาดฝัน ก็คงไม่ต้องทำตัวเป็นเต่าหดหัวอยู่ในกระดองแบบนี้ เกรงว่าไม่จำเป็นต้องให้พวกเราเผยโฉมก็คงไปเชิญเซียนซือของแคว้นเฉินเซียงหรือไม่ก็แคว้นใกล้เคียงมาปราบปรามวัตถุหยินเหล่านั้นได้นานแล้ว”


ก่อนหน้านั้นลู่ไถเคยเล่าให้ฟังว่าลูกศิษย์ของสำนักการค้าของใต้หล้าไพศาลได้เสนอคำเรียกว่า ‘เงินเก่า’ และ ‘เงินใหม่’


โรงฝากเงินมีการแบ่งเก่าและใหม่ มีทั้งร้านเก่าแก่ที่ก่อตั้งมาหลายร้อยปีหรือถึงขั้นพันปีโดยที่ไม่เคยล้มลง แล้วก็มีร้านใหม่ที่เพิ่มขึ้นมาเพราะสถานการณ์บางอย่าง ตั๋วเงินที่ทั้งสองฝ่ายปล่อยไปและใช้หมุนเวียนย่อมมีความใหม่เก่าต่างกันไปตามปี


ก่อนจะนั่งลง เฉินผิงอันสัมผัสได้ถึงความผิดปกติของฮูหยินเจ้าประมุขท่านนั้นอย่างเฉียบไว ลมปราณตลอดทั้งร่างของนางถูกเมฆหมอกปกคลุมไว้ อีกทั้งยังเป็นเมฆหมอกประเภทที่มืดดำอึมครึมด้วย เห็นได้ชัดว่าถูกปราณสกปรกรุกราน ภายนอกแม้หน้าตาของฮูหยินท่านนี้จะงดงาม บำรุงตัวเองได้อย่างดีเยี่ยม แต่ในความเป็นจริงแล้วพลังต้นกำเนิดกลับเสื่อมถอย ใกล้จะเป็นดั่งตะเกียงที่น้ำมันแห้งขอด


ลู่ไถไม่ได้มองนางแม้แต่ครั้งเดียว


อาหารในงานเลี้ยงไม่ถึงขั้นเป็นอาหารเลิศรสหายาก แต่เป็นอาหารป่าและสัตว์จากในแม่น้ำ บวกกับผลไม้ตามฤดูกาล ตั้งแต่ต้นจนจบหลวนหยางไม่ได้วางท่าใหญ่โต เขาสำรวมเจียมตนอย่างยิ่ง แม้แต่เฉินผิงอันก็ยังสัมผัสได้ถึงความไม่เป็นตัวของตัวเองจากลูกหลานสกุลหลวนอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะยกจอกเหล้าหรือจับตะเกียบคีบอาหารก็ล้วนทำอย่างขอไปที ส่วนใหญ่มักจะรอให้เจ้าประมุขเสนอให้ดื่มคารวะก่อน พวกเขาค่อยทำตาม


เพียงแต่ลู่ไถเดาผิดไป ต่อให้งานเลี้ยงใกล้จะเลิก หลวนหยางเจ้าประมุขก็ไม่มีท่าทีว่าจะพูดถึงเรื่องประหลาดที่เกิดขึ้นในตรอกที่คนทั้งสองไปพักแรม พูดแค่ว่าป้อมอินทรีบินมีสภาพแวดล้อมกันดาร รับรองได้ไม่ทั่วถึง หวังว่าคุณชายทั้งสองท่านจะให้อภัย แต่รอจนดื่มเหล้าจอกสุดท้ายหมด ทุกคนพากันลุกขึ้นลาจากไป หลวนหยางและฮูหยินกลับพาเฉินผิงอันและลู่ไถขึ้นไปบนดาดฟ้าชมทิวทัศน์ด้วยตัวเอง พอขึ้นไปถึงด้านบน ขณะที่ทุกคนทอดสายตามองไปยังทิศไกล หลวนฉางและหลวนซูก็นำของขวัญมามอบให้คนละหนึ่งชิ้น ล้วนบรรจุไว้ในกล่องไม้ หลวนหยางบอกว่าเป็นของโบราณสืบทอดมาจากบรรพบุรุษของป้อมอินทรีบิน ไม่มีค่า แต่ก็ถือว่าหาได้ยาก ให้เป็นของขวัญพบหน้าเล็กๆ น้อยๆ หวังว่าวันหน้าคุณชายทั้งสองท่านจะมาเป็นแขกที่ป้อมอินทรีบินบ่อยๆ ทางป้อมจะต้องปัดกวาดเตียงรอต้อนรับอย่างดี


ลู่ไถตอบกลับได้อย่างดีเยี่ยมไร้ที่ติ


เขาลูบคลำราวระเบียงพลางพึมพำว่า “สถานที่ดี”


ดังนั้นทั้งเจ้าบ้านและแขกจึงแยกย้ายกันไปด้วยความยินดีทั้งสองฝ่าย หลวนซูอยากจะไปส่งคนทั้งสองถึงตรอกที่พัก แต่กลับถูกหลวนฉางหาข้ออ้างรั้งตัวเอาไว้ แม้ว่าในใจหลวนซูจะไม่พอใจ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ดึงดันจะไปจากหอหลัก นางมองแผ่นหลังของคนทั้งสองที่เดินเคียงบ่ากันไปบนถนนกว้างใหญ่ หลวนฉางเอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า “เสียหยางบาดเจ็บหนักขนาดนั้น ทำไมเจ้าถึงไม่ไปดูเขาสักหน่อย?”


หลวนซูขมวดคิ้วพูด “ท่านพ่อและท่านลุงเหอต่างก็บอกเขาแล้วว่าอย่าทำอะไรบุ่มบ่าม เขาก็ยังมุทะลุอยู่อย่างนั้น หากไม่เป็นเพราะคืนนี้จะมีเซียนซือมาเยือนป้อมอินทรีบิน เราจะเก็บกวาดเรื่องเละเทะครั้งนี้ได้ยังไง? เถาเสียหยางโตขนาดนี้แล้ว แถมยังมีหน้าที่จัดการกิจธุระครึ่งหนึ่งของป้อมอินทรีบิน แต่ทำไมถึงยังทำอะไรตามอารมณ์ของตัวเองแบบนี้? แค่ไปอยู่ในยุทธภพด้านนอกมาไม่กี่วันก็ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำซะแล้ว…”


หลวนฉางกล่าวอย่างขุ่นเคือง “ไม่ว่าอย่างไรเถาเสียหยางบาดเจ็บสาหัสก็เพื่อป้อมอินทรีบินของพวกเรา เจ้าเลิกพูดจาถากถางเขาซะที! หากเสียหยางมาได้ยินเข้าแล้วหมดกำลังใจไปจากป้อมอินทรีบิน ไม่ว่าใครก็รั้งเขาไว้ไม่อยู่! เจ้าไม่รู้จริงๆ หรือว่าตลอดหลายปีมานี้มีพรรคมีชื่อมากน้อยเท่าไหร่ที่ถูกใจพรสวรรค์ในการฝึกวรยุทธ์และความสามารถในการจัดการกิจธุระของเสียหยาง?”


หลวนซูเบ้ปาก “ถ้าอย่างนั้นวัดก็เล็กเกินกว่าจะวางพระโพธิสัตว์องค์ใหญ่น่ะสิ ป้อมอินทรีบินจะยังทำอย่างไรได้อีก? ต้องให้ร้องไห้วิงวอนขอร้องให้เสียหยางอยู่ต่องั้นรึ?”


หลวนฉางหันหน้ากลับมาเอ่ยสั่งสอนเสียงเฉียบ “หลวนซู ทำไมเจ้ายิ่งพูดก็ยิ่งเหลวไหล! มโนธรรมในใจเจ้าถูกสุนัขกินไปแล้วหรือไง?! เสียหยางคือคนกันเองที่เติบโตมาพร้อมเจ้าตั้งแต่เด็ก กับข้าก็ยิ่งเป็นเหมือนพี่น้องที่รักใคร่กัน…”


หลวนซูขอบตาแดงก่ำด้วยรู้สึกน้อยใจ นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นพี่ชายโมโหขนาดนี้ นางพูดเสียงสั่น “แต่ข้าไม่อยากแต่งงานกับเขานี่นา เขาชอบข้า แต่ข้าไม่ชอบเขา จะให้ข้าทำยังไงเล่า?”


หลวนฉางถอนหายใจ ทุกบ้านต่างก็มีคัมภีร์ที่อ่านยาก เรื่องนี้ยากที่จะคลายปมในใจได้


ก็เหมือนที่หลวนฉางไม่เข้าใจว่า เทพธิดาในยุทธภพที่โดดเด่นถึงเพียงนั้นหลงรักเถาเสียหยางตั้งแต่แรกเห็น แต่ทำไมเถาเสียหยางกลับไม่ชอบนาง


เหตุใดเถาเสียหยางชื่นชอบน้องสาวตนมาตั้งหลายปี แต่น้องสาวที่เดิมทีควรได้แต่งงานกับบุรุษที่ดีกลับชื่นชอบเขาไม่ลง


ส่วนเรื่องที่ว่าหากเถาเสียหยางได้แต่งงานกับน้องสาวของตน อีกทั้งยังมีผู้ดูแลเฒ่าเหอช่วยสนับสนุนอย่างลับๆ ตลอดหลายปีมานี้เถาเสียหยางขึ้นเหนือล่องใต้ คนทั้งนอกและในป้อมอินทรีบินต่างก็เคารพนับถือเขา ถ้าเช่นนั้นวันหนึ่งในอนาคตป้อมอินทรีบินจะเปลี่ยนแซ่หรือไม่ หลวนฉางกลับไม่คิดมาก หรือควรจะพูดว่าไม่อยากคิดให้ลึกซึ้งเสียมากกว่า


ค่ำคืนในฤดูใบร่วงอากาศค่อนข้างเย็นสบาย ดวงดาวบนทางช้างเผือกที่ทอแสงระยิบระยับราวกับเป็นอารมณ์ทุกข์โศกของคนบนโลก


ค่ำคืนนี้ เฉินผิงอันกับลู่ไถยังไม่ทันเดินไปถึงตรอกเส้นนั้น บนเส้นทางนอกประตูใหญ่ของป้อมอินทรีบินก็มีคนนอกผู้หนึ่งที่ทั่วร่างเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายแห่งเซียนมาเยือน


มีเพียงเจ้าประมุขหลวนหยางและผู้ดูแลเฒ่าเหอหยาสองคนเท่านั้นที่ออกไปต้อนรับนอกประตู พวกเขายืนเก็บมืออย่างนอบน้อม บรรยากาศไม่ครึกครื้นนัก แต่เมื่อเปรียบเทียบกับงานเลี้ยงรับรองเด็กหนุ่มสองคนแล้วกลับเป็นจริงเป็นจังกว่ามาก


คนที่เดินตรงมาคือบุรุษร่างสูงใหญ่ที่ดวงตาทั้งคู่ฉายประกายเฉียบคม เขาจูงม้าสีขาวปลอดมาด้วยตัวหนึ่ง มองดูแล้วอายุประมาณสี่สิบปี ในมือถือแส้ปัดฝุ่น ตรงเอวห้อยป้ายยันต์ไม้ท้อ เดินมาราวกับล่องลอย


สองข้างฝั่งของอานม้าห้อยกิ่งต้นสนและต้นไป่ไว้สองมัด แปลกประหลาดอย่างยิ่ง


บนด้ามแส้ปัดฝุ่นสลักสองคำว่า ‘ขจัดทุกข์’


เจ้าปราสาทหลวนหยางและผู้เฒ่าเหอหยารีบยกมือคารวะ “ขอต้อนรับไท่ผิงซานเซียนซือ”


บุรุษวัยกลางคนยิ้มบางๆ ผงกศีรษะรับ “ไม่ต้องเกรงใจ ลงจากภูเขามากำจัดปีศาจปราบมารเป็นหน้าที่ของคนบนภูเขาอย่างข้าอยู่แล้ว”


ไม่รอให้หลวนหยางเปิดปาก บุรุษจูงม้าก็เงยหน้ามองไปยังเบื้องบนของปราสาท “ปราณหยินดุร้ายเข้มข้นมากจริงๆ หากข้าเดาไม่ผิดล่ะก็ ป้อมอินทรีบินเพิ่งจะมีฝนห่าใหญ่ตกลงมา พวกเจ้าต้องรู้ว่านั่นไม่ใช่ฝนฤดูใบไม้ตามร่วงปกติ แต่เป็นภูตผีชั่วร้ายที่ยึดครองที่แห่งนี้ร่ายค่ายกล ต้องการให้ป้อมอินทรีบินของพวกเจ้าไร้ผู้สืบสกุล”


หลวนหยางและผู้ดูแลเฒ่าประสานสายตากัน ก่อนที่หลวนหยางจะกุมหมัดคารวะ “ขอแค่เซียนซือสามารถช่วยชีวิตคนห้าร้อยกว่าคนในป้อมอินทรีบินของข้าได้ ป้อมอินทรีบินยินดีสร้างศาลกราบไหว้เซียนซือ มอบดาบวิเศษ ‘หยุดหิมะ’ ที่บรรพบุรุษได้รับมาโดยบังเอิญให้ท่าน ลูกหลานสกุลหลวนจะบูชาไท่ผิงซานและเซียนซืออย่างน้อยหนึ่งร้อยปี จะพยายามตอบแทนเซียนซืออย่างสุดความสามารถ!”


บุรุษยิ้มอย่างสง่างาม ส่ายสะบัดแส้ปัดฝุ่น “ช่วยได้แล้วค่อยว่ากัน หาไม่แล้วบุญสัมพันธ์ที่ดีครั้งหนึ่งจะกลายเป็นธุรกิจไปซะ แบบนั้นทั่วร่างคงเหม็นแต่กลิ่นเงิน”


หลวนหยางซาบซึ้งใจอย่างถึงที่สุด สะอื้นจนพูดไม่เป็นเสียง “เซียนซือมีจิตใจงดงามสูงส่ง! เป็นหลวนหยางที่เสียมารยาท…”


บุรุษไม่สนใจ จูงม้าเดินต่อไปข้างหน้า บุคลิกท่วงท่าเปี่ยมไปด้วยมาดแห่งเซียน


ค่ำคืนนี้มีผู้เฒ่าเนื้อตัวสกปรกมอมแมมท่าทางเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางอีกคนหนึ่งมาเยือนป้อมอินทรีบิน ประตูใหญ่เกือบจะไม่เปิดให้เข้า ภายหลังเป็นนักพรตหนุ่มหวงซ่างสหายของเถาเสียหยางที่ได้ข่าวจึงรีบรุดไปหา รับผู้เฒ่าเข้ามาในป้อมอินทรีบิน แล้วพาเขาไปอาศัยอยู่ในตรอกแห่งหนึ่ง ใบหน้าของหวงซ่างเต็มไปด้วยความละอาย แต่ผู้เฒ่ากลับไม่ได้ถือสา เขาเดินไปเดินมา มองโน่นมองนี่อยู่ท่ามกลางม่านราตรี ระหว่างนี้ยังนอนฟุบอยู่บนปากบ่อน้ำ ดมกลิ่นน้ำในบ่ออยู่หลายที


พอผู้เฒ่าเข้าไปยังที่พักแล้วก็ร้องเอ๊ะหนึ่งที ดีดปลายเท้าทะยานจากลานบ้านขึ้นไปบนหลังคา ทอดสายตามองไปยังจุดหนึ่ง ตั้งใจมองอยู่ครู่ใหญ่ พอกลับเข้ามาในเรือนก็เอ่ยถามว่า “ป้อมอินทรีบินมียอดฝีมือมานั่งพิทักษ์ให้แล้วหรือ?”


นักพรตหนุ่มอึ้งตะลึง “จะใช่ยอดฝีมือหรือไม่ ศิษย์ก็ไม่แน่ใจ รู้แค่ว่าเมื่อสองวันก่อนมีคุณชายอายุน้อยสองคนมาเยือนป้อมอินทรีบิน คนหนึ่งท่วงท่าสง่างาม แล้วก็หน้าตาดีมากจริงๆ ส่วนอีกคนหนึ่งแบกกระบี่เล่มยาว ไม่ค่อยชอบพูดเท่าไหร่”


ผู้เฒ่าเอ่ยถาม “ก่อนหน้านี้ที่เจ้ากับเถาเสียหยางสองคนพบเจออันตราย คนทั้งสองไม่ได้ลงมือช่วยเหลือหรือ?”


หวงซ่างยิ้มเจื่อน “เป็นผู้ดูแลเฒ่าเหอที่มาช่วยพวกเรา ทั้งสองคนนั้นไม่ได้ปรากฏตัว”


ผู้เฒ่าพยักหน้ารับ “เหอหยาพอจะรู้มรรคกถาแบบงูๆ ปลาๆ อยู่บ้างจริงๆ แต่เมื่อเทียบกับยันต์ที่สองคนนั้นแปะบนประตูบ้านแล้วกลับฝีมือห่างชั้นกันมาก”


นักพรตหนุ่มอึ้งตะลึงอยู่ตรงนั้น “ทั้งสองคนนั้นอายุพอๆ กับข้า หรือพวกเขาจะเป็นเซียนซือที่มีวิชาเลิศล้ำเหมือนอาจารย์แล้ว?”


ผู้เฒ่าหลุดหัวเราะพรืด “อายุน้อยแล้วทำไม อายุน้อยๆ ก็สามารถย้ายภูเขาพลิกมหาสมุทรได้ นั่นต่างหากถึงจะเรียกว่าเซียนซือที่แท้จริง คนไม่เอาไหนอย่างอาจารย์เจ้าเช่นข้า อายุมากแล้วกว่าจะสร้างตบะน้อยนิดขึ้นมาได้ ในสายตาของตระกูลเซียนบนภูเขาที่แท้จริงไม่ถูกมองเป็นคนบนเส้นทางเดียวกันหรอกนะ”


หวงซ่างยังไม่ค่อยอยากเชื่อเท่าไหร่ มักรู้สึกว่าอาจารย์มีนิสัยสูงส่งสำรวมตน คือยอดฝีมือนอกโลกที่ไม่สนใจลาภยศและชื่อเสียงที่แท้จริง จึงไม่ชอบคุยโวโอ้อวดถึงตบะเทพเซียนของตัวเอง


ผู้เฒ่าไม่พูดอะไรให้มากความอีก เมื่อเทียบกับตระกูลเซียนที่ทะยานลมเดินทางไกลแล้ว ตนก็แค่คนแก่ที่อยู่มานานอย่างเสียเวลาเปล่าเท่านั้น จึงไม่ใช่เรื่องที่สบายอะไร


อีกฝั่งหนึ่ง เฉินผิงอันนำยันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจมาแปะที่นอกประตูบ้านอีกครั้ง


คนทั้งสองต่างก็ไม่ง่วงนอน จึงนั่งคุยกันอยู่ในลานบ้าน


เฉินผิงอันสีหน้าเคร่งเครียด ลู่ไถยังคงนั่งโบกพัดไม้ไผ่ยิ้มตาหยีอยู่บนเก้าอี้


เฉินผิงอันกำลังจะอ้าปากพูด ลู่ไถกลับยื่นมือมาห้ามเขา “พูดแล้วจะไม่ศักดิ์สิทธิ์”


ลู่ไถเปลี่ยนหัวข้อพูดคุย เอ่ยสัพยอกแทนว่า “ชุดคลุมอาคมจินหลี่หนึ่งตัว ในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่มีกระบี่บินสองเล่ม เชือกพันธนาการปีศาจที่อยู่ในระดับของสมบัติอาคมหนึ่งเส้น รอวันใดที่เจ้าเลื่อนเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเจ็ดแล้วจะยังไม่ร้ายกาจไหวหรือ?”


เฉินผิงอันยิ้มกว้าง กล่าวอย่างร่าเริง “ความยากลำบากที่ต้องเผชิญ คนนอกไม่อาจร่วมรับรู้”


ลู่ไถถอนหายใจ “เจ้าประหลาดใจมากใช่ไหมว่า ทำไมข้าถึงไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองคือผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่ง?”


เฉินผิงอันกล่าวเสียงขุ่น “มีอะไรให้ต้องประหลาดใจกัน ก็เจ้ากลัวความสูงไม่ใช่หรือไง? จากนครมังกรเฒ่าไปภูเขาห้อยหัว เจ้าก็โดยสารเกาะกุ้ยฮวา จากภูเขาห้อยหัวมาใบถงทวีป ก็โดยสารปลาวาฬกลืนสมบัติ เจ้าเคยนั่งเรือคุนไหม?”


ลู่ไถหน้าแดงก่ำ ขว้างพัดไม้ไผ่ในมือใส่เฉินผิงอัน เฉินผิงอันยื่นสองนิ้วออกมาประกบกัน หมุนเบาๆ หนึ่งรอบ พัดไม้ไผ่ก็เหมือนมีเส้นด้ายโยงใยจึงหมุนเป็นวงตามไปด้วย มันบินวนรอบเฉินผิงอันหนึ่งรอบแล้วค่อยกลับไปหาลู่ไถ ลู่ไถรับพัดไม้ไผ่ จุ๊ปากพูด “นำสิ่งที่เรียนรู้ไปใช้ได้รวดเร็วจริงๆ”


เวทบังคับกระบี่ของอาจารย์กระบี่อาจจะลึกลับมากในยุทธภพ แต่สำหรับเฉินผิงอันที่วิถีวรยุทธ์เลื่อนสู่ขอบเขตสี่แล้ว


เข้าใจหนึ่งวิชา หมื่นวิชาก็ทะลุปรุโปร่ง


บทที่ 296 มองไกลๆ

โดย

ProjectZyphon

แสงอาทิตย์ในฤดูใบไม้ร่วงอ่อนโยน วันนี้ลู่ไถเล่นหมากล้อมกับตัวเองเพียงลำพังในลานบ้านอีกครั้ง ส่วนเฉินผิงอันก็ฝึก ‘คัมภีร์เวทกระบี่ที่แท้จริง’ อยู่ด้านข้าง


นับตั้งแต่ที่คราวก่อนลู่ไถจับได้ว่าลูกศิษย์ของป้อมอินทรีบินมาแอบดู ทางฝ่ายของป้อมอินทรีบินก็ไม่ได้ส่งคนมาล่วงเกินพวกเขาอีก


ลู่ไถฉวยโอกาสจังหวะที่เฉินผิงอันหยุดกระบวนท่ากระบี่ถามขึ้นว่า “เฉินผิงอัน ให้ข้าสอนเจ้าเล่นหมากล้อมดีไหม?”


เฉินผิงอันยังบิดหมุนข้อมือหาท่วงท่าจับกระบี่ที่เหมาะสมและราบรื่นที่สุดเวลาพลิกแพลงเปลี่ยนกระบวนท่า หากคิดจะออกกระบี่ได้อย่างรวดเร็วก็ต้องให้มีการเปลี่ยนแปลงในจุดที่เล็กละเอียดที่สุดอย่างต่อเนื่อง นี่คือหลักการเดียวกับวิธียกมีดที่สูงส่งที่สุดในการเผาเครื่องปั้น มองปราดๆ เหมือน ‘ไม่ขยับ’ แต่ความจริงแล้วไม่ใช่


พอได้ยินข้อเสนอของลู่ไถก็ส่ายหน้ากล่าวว่า “อย่าดีกว่า ข้าเคยเรียนมาก่อน แต่เล่นไม่เก่ง ครั้งแรกที่ออกจากบ้านเดินทางไกล ข้าเคยเห็นยอดฝีมือเล่นหมากล้อมมาแล้ว และข้าก็ชอบดูคนอื่นเล่นมากกว่า”


หลินโส่วอี เซี่ยเซี่ย อวี๋ลู่ ราชครูเด็กหนุ่มที่เปลี่ยนชื่อเป็นชุยตงซาน แต่ละคนมีความสามารถในการเล่นหมากล้อมที่ลึกล้ำยิ่งกว่าคนอื่นๆ เฉินผิงอันมักจะมองพวกเขาเล่นหมากล้อมบ่อยๆ แต่กลับไม่สามารถมองออกถึงความดีร้าย ใกล้ไกลและตื้นลึกของหมากบนกระดาน ดังนั้นเขาจึงคิดว่าตัวเองไม่มีพรสวรรค์ในการเล่นหมากล้อม


ก็เหมือนการมองลู่ไถต้มชาที่ทำให้คนมองรู้สึกสบายตาสบายใจ การได้มองดูหลินโส่วอีเล่นหมากล้อมกับเซี่ยเซี่ยระหว่างที่เดินทางไปยังต้าสุยก็ทำให้เฉินผิงอันรู้สึกชื่นชมเลื่อมใสได้เช่นกัน


การประลองบนกระดานหมากล้อม ผู้เล่นมักจะอยู่ในสภาวะลืมจิตตน เฉินผิงอันรู้สึกว่าเป็นอะไรที่งดงามอย่างยิ่ง


ลู่ไถเองก็ไม่ตื๊อ แค่ถามยิ้มๆ ว่า “รู้หรือไม่ว่าขอบเขตที่สูงที่สุดของการเล่นหมากล้อมคืออะไร?”


เฉินผิงอันย่อมไม่รู้อยู่แล้ว


ลู่ไถคีบเม็ดหมากขึ้นมาหนึ่งเม็ด ดวงตาฉายประกายเร่าร้อน “ไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน”


เฉินผิงอันคิดแล้วก็พยักหน้ารับ “อืม”


คราวนี้เป็นลู่ไถที่ต้องแปลกใจบ้าง เงยหน้าขึ้นเหล่ตามองเฉินผิงอัน “เจ้าเข้าใจจริงๆ รึ?”


เฉินผิงอันก้าวเดินช้าๆ อยู่ในลานบ้าน ลมปราณดิ่งสู่จุดตันเถียน ปณิธานหมัดไหลพรั่งพรู มองปราดๆ ไม่สะดุดตา ที่แท้เขาก็อยู่ในขอบเขตที่เรียกว่าน้ำลึกไร้เสียงแล้ว เขาเอ่ยตอบด้วยรอยยิ้ม “มีกระบี่ของคนคนหนึ่ง และยังมีผู้เฒ่าคนหนึ่งที่ช่วยปูรากฐานวิถีวรยุทธ์ขอบเขตสามให้แก่ข้า หมัดของเขาให้ความรู้สึกเช่นนี้ นั่นคือเป็นอย่างที่เจ้าบอกว่า ‘ไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน’”


ลู่ไถอึ้งตะลึงไปเล็กน้อย


แม้ว่าเขาจะเคยได้พบเห็นคนมหัศจรรย์และภาพงดงามมามากมาย เคยเห็นคนที่ทานอาหารด้วยจอกสามขาคลอดนตรีบรรเลง ผู้สูงศักดิ์หวงจื่อ พัดขนนกโพกแพรพรรณ ดื่มน้ำค้างทานแสงอรุโณทัย


มองเฉินผิงอันฝึกวิชาหมัดก็คือการเสวยสุขอย่างหนึ่ง


แต่ลู่ไถรู้สึกว่าเฉินผิงอันยังทำได้ดียิ่งกว่านี้


เขาลุกขึ้นยืน สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง


เห็นเพียงว่าระหว่างจมูกและหูของเขามีไอสีขาวสี่กลุ่มลอยออกมา ไม่ได้ลอยห่างไปไหน แล้วก็ไม่ได้สลายหายไป แต่เป็นเหมือนงูขาวตัวเล็กบางที่พลิกคว่ำหน้า


เฉินผิงอันรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ไม่รู้ว่าทำไมลู่ไถถึงทำเช่นนี้


ลู่ไถเดินไปยังใจกลางของลานบ้าน เอ่ยเนิบช้าว่า “ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวหลอมลมปราณ ผู้ฝึกลมปราณก็ต้องเลี้ยงและหลอมลมปราณเช่นกัน การหายใจเข้าออกล้วนหนีไม่พ้นคำว่า ‘ลมปราณ’ ลมปราณเหมือนเส้นใยที่ล่องลอย หากไปอยู่บนร่างของคนธรรมดา คือใช้บรรยายว่าคนผู้นั้นมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน แต่หากปรากฎบนตัวของกระบี่จะเป็นอีกสภาพการณ์ที่แตกต่างออกไป”


ลู่ไถพ่นลมหายใจออกมาเบาๆ หนึ่งครั้ง ลมปราณรวมตัวกลายเป็นเส้นใย สุดท้ายเปลี่ยนมาเป็นกระบี่เล็กจิ๋วเล่มหนึ่งต่อหน้าเขา เขาเป่ามันเบาๆ หนึ่งที


หัวใจของเฉินผิงอันหดรัดตัว เบี่ยงหน้าอย่างรวดเร็ว แสงสีขาวเส้นหนึ่งพุ่งออกไปจากหูของเขา จากนั้นแสงสีขาวที่เล็กบางอย่างถึงที่สุดเส้นนั้นก็บินฉวัดเฉวียนไปทั่วลานบ้านอย่างว่องไว ลากเอาประกายแสงพร่างพราวเส้นแล้วเส้นเล่าที่คงอยู่นานไม่จางหาย ถักทอให้เรือนทั้งหลังคล้ายกลายเป็นกรงขังปราณกระบี่ เป็นบ่อสายฟ้าที่อัดแน่นไปด้วยปราณกระบี่เฉียบคม


ลู่ไถกระทืบเท้าหนึ่งครั้ง ภาพเหตุการณ์ประหลาดนี้ก็หายวับไป


แล้วลู่ไถก็เอ่ยด้วยรอยยิ้มบางๆ ว่า “แม้ข้าจะไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัว แต่ก็ยังพอจะเข้าใจหลักการอยู่บ้าง เจ้าเฉินผิงอันฝึกวิชาหมัดอย่างบ้าคลั่ง แค่กระบวนท่าหมัดท่าหนึ่งที่ธรรมดาอย่างถึงที่สุดก็ต้องฝึกตั้งหนึ่งล้านครั้ง ดังนั้นปณิธานหมัดจึงกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกัน แต่แท้จริงแล้วเจ้ากลับไม่เข้าใจสัจธรรมของมัน”


ลู่ไถหันหน้าเข้าหาเฉินผิงอัน มือหนึ่งไพล่หลัง อีกมือหนึ่งยื่นฝ่ามือแบมาด้านหน้า “กระบวนท่าหมัดบนโลกใบนี้ นอกจากจะเสริมสร้าง เอ็น กระดูกและเลือดลมให้แข็งแกร่ง บำรุงจิตวิญญาณด้วยความอบอุ่นแล้ว ความลี้ลับที่แท้จริงอยู่ที่ลมปราณแท้จริงที่ ‘ไม่ยืมใช้กำลังของฟ้าดิน กลับกันคือต้องออกคำสั่งแก่ฟ้าดิน’ ทุกอย่างนี้เชื่อมโยงต่อกันอย่างแนบแน่นก็เพื่อให้ออกหมัดได้เร็วอย่างไร้เหตุผล!”


ลู่ไถปล่อยหมัดออกมาโดยตรง เสียงปังดังสนั่นหวั่นไหว พายุหมัดระเบิดก่อนจะส่งเสียงเหมือนผ้าทอถูกฉีกขาด


ลู่ไถปล่อยหมัดอีกครั้ง คราวนี้เอนเอียงเล็กน้อย หนึ่งวาดหนึ่งไถล แต่จุดหมายปลายทางที่หมัดปล่อยออกไปกลับยังคงอยู่ในตำแหน่งเดิม แม้ว่าจะเงียบเชียบ แต่อากาศที่หมัดแตะไปโดน ลมปราณกลับระเบิดแตก พลังอำนาจน่าครั่นคร้ามอย่างยิ่ง


ลู่ไถเอ่ยอธิบาย “สองหมัด ข้าใช้พละกำลังและจิตวิญญาณที่เหมือนกัน หมัดหนึ่งปล่อยออกไปตรงๆ มองดูเหมือนเป็นระยะทางที่สั้นที่สุด แต่ก็คล้ายการข้ามน้ำข้ามภูเขา หนทางที่เร็วที่สุดคือหาตีนเขาให้เจอ แล้วล่องไปตามกระแสน้ำ เจ้าเดินตรงไปตามทาง กลับกลายเป็นว่าไม่ได้เร็วที่สุด เล่าลือกันว่าขอบเขตปลายทางที่แท้จริงของวิถีวรยุทธ์คือขอบเขตสิบ ขยับขึ้นไปอีกก็คือขอบเขตเทพแห่งการต่อสู้ นั่นต่างหากถึงจะเป็นทัศนียภาพบนสวรรค์ที่ขนาดผู้ฝึกลมปราณก็ยังอิจฉาและหวาดกลัว”


ลู่ไถเก็บหมัด ถอนหายใจ เงยหน้ามองไปบนท้องฟ้า สายตาฉายแววเลื่อนลอย “กลียุคของใต้หล้าเริ่มต้นขึ้นแล้ว เฉินผิงอัน เจ้าต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป หากสามารถยืนหยัดอยู่ไปได้จนถึงท้ายที่สุด ก็คือ…”


เลือดสดซึมลงมาจากมุมปากของลู่ไถ แต่เขาก็ยังพูดต่อไปว่า “เจ้าต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป ยืนหยัดเฝ้าพิทักษ์สถานที่แห่งหนึ่ง อย่าได้ถูกหอบเข้าไปในสถานการณ์ใหญ่ ต้องอยู่เพื่อเป็นเสาหลักของที่นั่น เมื่อถึงเวลาฟ้าดินจะร่วมแรงให้ความช่วยเหลือ เฉินผิงอัน อย่าคิดช่วงชิงผลได้ผลเสียเพียงแค่ชั่วครู่ชั่วยาม ข้าเชื่อว่าเจ้าจะเดินไปได้ไกลยิ่งกว่าเฉาสือผู้นั้น จะสร้างสะพานแห่งความเป็นอมตะขึ้นมาได้ใหม่ จะต้องได้เป็นเซียนกระบี่ใหญ่…”


ความลับสวรรค์มิอาจแพร่งพราย


สำหรับผู้ฝึกลมปราณทั่วไปแล้ว นี่อาจเป็นประโยคหนึ่งที่พูดติดปากไปเรื่อยเปื่อย


แต่สำหรับสำนักหยินหยางแล้ว กลับไม่เหมือนกัน


คนที่เชี่ยวชาญการดูดวง ทำนายชะตาและการดูดาวมักจะไม่ถึงแก่กรรมด้วยโรคชรา หรืออาจจะมีข้อยกเว้นเป็นบางคน แต่ก็อย่าหวังว่าจะได้สร้างบุญกุศลไว้ให้แก่ลูกหลาน ซ้ำร้ายอาจถึงขั้นต้องเบิกบุญเก่ามาใช้ล่วงหน้า เมื่อบรรพบุรุษไร้คุณธรรมย่อมเป็นภัยต่อคนรุ่นหลัง


เฉินผิงอันมองออกว่าท่าไม่ดีจึงตวาดเบาๆ  “ลู่ไถ พอได้แล้ว!”


ลู่ไถพยักหน้ารับ ยื่นมือมาเช็ดคราบเลือด นั่งกลับลงไปที่ข้างโต๊ะหิน พูดพร้อมยิ้มเจิดจ้า “ในเมื่อข้าหาที่แห่งนี้พบ เจอดาดฟ้าที่ป้อมอินทรีบินแล้ว ถ้าอย่างนั้นหลังจากนี้เจ้าก็ต้องเดินทางเพียงลำพังแล้วนะ”


เฉินผิงอันที่นั่งอยู่ข้างกายเขาพยักหน้ารับ “เมื่อเรื่องของที่แห่งนี้ยุติลง ข้าจะเดินทางขึ้นเหนือเพียงลำพัง เจ้าไม่ต้องเป็นกังวล”


ลู่ไถถาม “มีแผนการยังไง?”


“ย่อมต้องมีอยู่แล้ว”


เฉินผิงอันตอบยิ้มๆ “ระยะใกล้ ก็คือหาซากปรักของสนามรบโบราณแห่งหนึ่ง เพื่อตามหาวิญญาณวีรบุรุษที่ต่อให้ตายไปแล้ววิญญาณหยินก็ยังรวมตัวกันไม่สลายไปไหน นำมาหล่อหลามสามจิต เสริมสร้างรากฐานของวิถีวรยุทธ์ขอบเขตสี่ให้แน่นหนา ระยะไกลคือหลังจากกลับไปถึงบ้านเกิดแล้วจะเรียนวิชาหมัดกับท่านผู้เฒ่าต่อ แต่ละก้าวที่เดินไปต้องมั่นคงมากขึ้น ความเป็นไปได้ที่จะเลื่อนสู่ขอบเขตเจ็ดก็จะมากกว่าเดิม”


ลู่ไถพยักหน้ารับ “ไม่ต้องสนใจข้า ข้าไม่เป็นไร วิถีสวรรค์แว้งกลับเล็กน้อยแค่นี้ สำหรับลูกศิษย์สำนักหยินหยางแล้วก็ไม่ต่างจากข้าวที่ต้องกินทุกวัน”


หลังจากเฉินผิงอันแน่ใจแล้วว่าลู่ไถไม่ได้แค่แกล้งพูดเพื่อให้ตนสบายใจก็วางใจลงได้ สอดสองมือรองใต้ท้ายทอย พูดอย่างสบายอารมณ์ว่า “ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ก่อนหน้านี้เคยคิดไว้ แต่ไม่ทันได้ทำ นั่นคือปูทางเส้นหนึ่งให้กับบ้านเกิด เส้นทางแบบที่ทุกๆ ระยะสามลี้ห้าลี้จะมีศาลาริมทางอยู่หนึ่งหลังนั่นแหละ ต่อให้ต้องจ่ายเงินมากเท่าไหร่ ข้าก็ไม่เสียดาย”


ลู่ไถกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “ก็แค่ทางเส้นหนึ่งเท่านั้น จะต้องจ่ายเงินสักกี่แดงกันเชียว”


มิน่าเล่ากระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสองเล่มของเจ้าหมอนี่ถึงชื่อว่าเจินเจียนและม่ายกวาง ดูท่าคงชอบต่อปากต่อคำเอาชนะคนอื่นมาตั้งแต่เกิด


เฉินผิงอันไม่คิดจะโต้เถียงกับเขา แค่พูดต่อไปว่า “เมื่อไปถึงที่บ้านเกิดแล้ว จะพยายามจัดการร้านสองร้านในตรอกฉีหลงด้วยตัวเอง ขอแค่ได้เงินมา ต่อให้แต่ละวันจะมีเงินเข้าบัญชีแค่ไม่กี่เหรียญก็ถือว่ายังดี”


“อีกอย่างก็คือที่สุสานเทพเซียนและเทวรูปที่ผุพังเหล่านั้น แม้ว่าครั้งก่อนที่กลับบ้านเกิดจะลงมือทำอะไรเล็กๆ น้อยๆ ด้วยการสร้างเพิงไว้เป็นจำนวนมาก ซ่อมแซมเทวรูปบางส่วน แต่ก็ยังไม่พอ ยังต้องสร้างร่างทองให้พวกมันใหม่อีกครั้งอย่างเป็นทางการ”


“นี่ก็คือเหตุผลที่เจ้าซื้อตำราการสร้างรูปปั้นมาหลายเล่ม?”


“อืม พยายามรู้ข้อห้ามและกฎเกณฑ์ให้ได้มากที่สุด จะได้ไม่กลายเป็นว่าหวังดีแต่ดันทำพัง”


 ลู่ไถเอ่ยยิ้มๆ “ดูท่าจะยุ่งมากเลยนะเนี่ย”


เฉินผิงอันทอดสายตามองทิศไกลอยู่ตลอดเวลา “ส่วนระยะไกลยิ่งกว่านั้น เจ้ายังอยากฟังไหม?”


“พูดมาเถอะ หากพูดผิดไป ระคายหูข้า ข้าก็จะกระโดดลงไปล้างหูในบ่อน้ำเอง”


เฉินผิงอันไม่สนใจคำเหน็บแนมจากเขา “บนภูเขาลั่วพั่วของที่บ้านเกิด นอกจากเรือนไม้ไผ่แล้ว ข้ายังอยากสร้างอาคารสิ่งปลูกสร้างอื่นๆ เพิ่มอีก เริ่มจากที่ตีนเขา…อย่าดีกว่า เริ่มจากกึ่งกลางภูเขา ไล่ขึ้นไปยังยอดบนสุด มีกระเบื้องเชิงชายคา น้ำหยด ชายคาแบบตวัดงอน ฝ้าเพดานลายเหลี่ยมงดงาม รูบากและเดือยสวมอย่างที่เจ้าเล่าให้ฟัง มีครบทั้งหมด”


เฉินผิงอันพูดมาถึงตรงนี้ก็ยื่นฝ่ามือข้างหนึ่งออกมาทำไม้ทำมือประกอบ


ลู่ไถเหลือกตามองบน “ช่างเป็นปณิธานยิ่งใหญ่ที่น่ากลัวยิ่งนัก”


เฉินผิงอันทำท่าท้อแท้เล็กน้อย


ลู่ไถรีบชูสองมือขึ้น “ก็ได้ๆๆ เจ้าพูดต่อเถอะ ข้าไม่ล้อเจ้าแล้วก็ได้”


เฉินผิงอันถึงได้พูดต่อว่า “ข้าจะซื้อตำรามาเยอะๆ อริยะสามลัทธิ เมธีร้อยสำนัก ผลงานของนักปราชญ์ ล้วนต้องเก็บสะสมเอาไว้สักหน่อย ก่อนหน้าที่ถ้ำสวรรค์หลีจูจะแตกสลาย ชาวบ้านร้านตลาดอย่างตรอกหนีผิงบ้านของข้า แค่หนังสือสักเล่มยังหาได้ยาก เจ้าคงจินตนาการไม่ออกเป็นแน่ เมื่อเทียบกับได้เห็นเศษเม็ดเงินสักเม็ดหนึ่งยังยากกว่ามาก”


“ข้าต้องการให้หอเรือนเล็กใหญ่บนภูเขามีอาวุธวิเศษและสมบัติอาคมวางไว้มากมาย และยังมีของพิเศษเฉพาะถิ่นจากแคว้นต่างๆ ทั่วหล้าที่ถูกเก็บรวบรวมเอาไว้ ยกตัวอย่างเช่นพรมผ้าทอและแก้วไก่ชนของแคว้นไฉ่อี ข้าจะเลี้ยงพวกภูติร่าเริงน่ารักที่ช่วยหวีผมแต่งหน้าให้คน เจ้าตัวจิ๋วที่ยืนคารวะต้อนรับแขกที่มาเยือนอยู่บนกิ่งก้านบอนไซ พืชพรรณบุปผาประหลาดแปลกตา ภูเขาสูงน้ำไหล หอเรือนศาลา ป่าไผ่ป่าไม้เขียวขจี ทุกวันจะต้องมีทะเลเมฆหมอกลอยผ่านหน้าผาเหมือนแม่น้ำสายหนึ่ง…”


“หลี่เป่าผิง หลี่ไหวสามารถอ่านหนังสืออยู่ที่นั่นอย่างเงียบสงบ หลินโส่วอีก็สามารถตั้งใจฝึกตน อวี๋ลู่สามารถเดินขึ้นไปบนยอดเขา ขอความรู้ด้านวิชาหมัดจากผู้เฒ่าแซ่ชุย เซี่ยเซี่ยที่อยู่ที่นั่นก็…ไม่ต้องถูกชุยตงซานรังแก เด็กชายชุดเขียวและเด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูที่อยู่ที่นั่นหากอยากฝึกตนก็ฝึกตน อยากขี้เกียจก็ขี้เกียจ แม่นางคนหนึ่งที่ชื่อหร่วนซิ่วก็สามารถมาเป็นแขกที่บ้านข้าได้บ่อยๆ ข้าจะนำขนมที่ร้านของตัวเองออกมารับรองนาง…”


“ทุกวันที่หนึ่งและสิบห้าของเดือนจะต้องมีชาวบ้านมากมายไปจุดธูปกราบไหว้ศาลเทพภูเขาบนภูเขาลั่วพั่ว ข้าจะทำทางบนภูเขาให้กว้างๆ ปูด้วยหินกระเบื้องสีเขียวเหมือนที่ถนนฝูลวี่และตรอกเถาเย่ เวลาฝนตกก็ไม่ต้องกลัวว่าดินโคลนจะเปื้อนรองเท้า เตรียมงอบและเสื้อกันฝนไว้ที่ศาลเทพภูเขาเยอะๆ ต่อให้ฝนตกลงมากะทันหัน พวกชาวบ้านก็ไม่ต้องกังวล ตอนจะลงจากภูเขาสามารถยืมไปใช้ได้ คราวหน้าที่มาจุดธูปค่อยเอามาคืน”


“ไม่ว่าใต้หล้าจะเป็นอย่างไร คนด้านล่างภูเขามีวิธีใช้ชีวิตแบบไหน บนภูเขาของที่อื่นเป็นอย่างไร ข้าแค่หวังว่าเมื่ออยู่ที่บ้านของข้า ทุกคนจะอยู่ร่วมกันอย่างปรองดอง ใช้ชีวิตในแต่ละวันไปอย่างผ่อนคลายมีความสุข ข้าไม่ต้องการให้ตัวเองและคนอื่นเป็นเหมือนเมื่อครั้งของหลิวเสี้ยนหยางที่ไม่ว่าอะไรก็ทำไม่ได้ และหากตอนที่พวกเราเป็นฝ่ายมีเหตุผล แต่คนอื่นไม่ยอมฟัง ก็ต้องทำให้พวกเขาฟังให้ได้ ไม่ว่าจะอาศัยหมัดหรืออาศัยกระบี่ก็ตาม…”


ลู่ไถรับฟังอย่างสงบอยู่ตลอดเวลา


เหมือนกำลังมองเฉินผิงอันปั้นตุ๊กตาหิมะของตัวเองในฤดูร้อน


—–จบภาคสี่—–


[ภาค 5 เต๋ามองเต๋า] บทที่ 297.1 อำลา

โดย

ProjectZyphon

ตอนนั้นลู่ไถชี้ไปที่ประตู บอกว่ายันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจแผ่นนั้น นอกวงการคือวรยุทธ์ แต่ในวงการกลับเป็นบนภูเขาแล้ว


เขาพูดซะจนเฉินผิงอันนึกอยากจะดื่มเหล้า


หลังจากนั้นป้อมอินทรีบินก็ครึกครื้นขึ้นมา ความครึกครื้นทำให้มีชีวิตชีวา เมื่อเทียบกับความเงียบสงบที่ใกล้เคียงคำว่าเงียบเป็นป่าช้าก่อนหน้านี้ ป้อมอินทรีบินในเวลานี้ทำให้คนสบายใจขึ้นอย่างเห็นได้ชัด


เพราะมียอดฝีมือต่างถิ่นสองคนมาเยือนป้อมอินทรีบิน ไม่ใช่จอมยุทธ์ที่ท่องพเนจรไปทั่วทิศ หรือปรมาจารย์สำนักใหญ่ที่มีชื่อเสียงอย่างที่ป้อมอินทรีบินคุ้นเคย แต่เป็นคนประเภทที่ท่าทางลึกลับ เมื่อเทียบกับผู้เฒ่าแซ่เหอที่แปลกประหลาดมากพอแล้ว สองคนนี้กลับทำให้ผู้คนรู้สึกแปลกใหม่ได้ยิ่งกว่า


ชายวัยกลางคนที่เจ้าประมุขของป้อมอินทรีบินเชื้อเชิญมา กำลังเดินจูงม้าสีขาวไปตามตรอกเล็กใหญ่ สองข้างของอานม้าห้อยกิ่งต้นสนและกิ่งต้นไป่ไว้สองมัดใหญ่ ทุกครั้งที่คนและม้าหยุดเดิน บุรุษที่ถือแส้ปัดฝุ่นไว้ในมือจะต้องเผากิ่งไม้หนึ่งกิ่ง ก็ไม่เห็นว่าเขาจะใช้หินจุดไฟ เพียงแค่ใช้สองนิ้วถู กิ่งต้นสนและกิ่งต้นไป่ก็ติดไฟลุกไหม้ด้วยตัวเอง แผ่กลิ่นหอมสดชื่นเป็นระลอกให้ลอยอวลไปในอากาศ


คนของป้อมอินทรีบินที่มามองดูอยู่ไกลๆ หนึ่งในนั้นคือผู้เฒ่าผมขาวที่เชี่ยวชาญด้านปฏิทินเหลือง พอเห็นภาพนี้ก็เริ่มโอ้อวดความรู้ บอกว่านี่เรียกว่าเปลวไฟในศาล คือวิชาตระกูลเซียนที่ร้ายกาจมากวิชาหนึ่ง สามารถขับไล่ความชั่วร้ายและสิ่งสกปรก เพราะต้นสนคือต้นไม้แห่งความอายุยืน ถูกขนานนามว่าสือปากง ตำแหน่งเทียบเท่ากับท่านกั๋วกงในราชสำนัก ส่วนต้นไป่นั้นก็คือท่านโหวที่ตำแหน่งรองลงมาจากต้นสน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเป็นต้นสนและต้นไป่จากขุนเขาใหญ่ที่มีชื่อเสียงบางแห่งก็จะยิ่งสูงศักดิ์ ดังนั้นเมื่อเผากิ่งสนกิ่งไป่ รวมกับการท่องคาถาของตระกูลเซียนจึงสามารถช่วยให้สื่อสารกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้


เมื่อเทียบกับแส้ปัดฝุ่นและม้าขาวของบุรุษร่างสูงใหญ่แล้ว ผู้เฒ่าอีกคนที่เนื้อตัวสกปรกมอมแมมจึงดูบ้านๆ กว่ามาก รูปร่างหน้าตาสู้คนในวงการเดียวกันอีกคนไม่ได้ วิธีการที่ใช้ก็ดูเหมือนวิธีการของคนบ้านนอก ดังนั้นคนของป้อมอินทรีบินที่มามุงดูจึงมีไม่มากนัก กล่าวกันว่าตัวตนของผู้เฒ่าคืออาจารย์ของนักพรตหนุ่มหวงซ่าง คือนักพรตที่อาศัยอยู่บนภูเขาท่านหนึ่ง เป็นสหายที่รู้จักกันบนยุทธภพของอดีตเจ้าประมุข คราวนี้ผู้เฒ่าที่อยู่บนภูเขานับนิ้วทำนาย ผลคำทำนายบอกว่าป้อมอินทรีบินประสบเคราะห์กรรม ถึงได้ลงจากภูเขามาช่วยขจัดภัยให้กับที่นี่


ผู้เฒ่ามอซอไม่ได้สวมชุดคลุมของนักพรตเต๋า ทั้งไม่ได้วาดยันต์เดินเหยียบพายุลมกรด แค่บอกให้คนไปจับไก่ตัวผู้มาเจ็ดแปดตัว แล้วเอาไปแขวนไว้ตามสถานที่ต่างๆ อย่างประตูใหญ่ของป้อมอินทรีบิน หน้าประตูศาลบรรพชน บ่อน้ำ สนามฝึกวรยุทธ์ เป็นต้น จากนั้นก็คอยจับตามองไก่ตัวผู้เหล่านั้นตั้งแต่เช้าจรดเย็น ตรงเอวห้อยถุงเล็กๆ ใบหนึ่งที่บรรจุข้าวเหนียวไว้เต็มถุง แล้วยังมีน้ำสะอาดอีกหนึ่งกา เอาไว้คอยป้อนให้กับไก่ตัวผู้ทั้งหลาย แต่น้ำในกากลับไม่ได้เอามาจากในบ่อน้ำที่ป้อมอินทรีบินใช้กินดื่มกันทุกวัน แต่เป็นน้ำพุที่ให้หวงซ่างลูกศิษย์ไปเอามาจากภูเขาลึกที่ห่างออกไป


เฉินผิงอันกับลู่ไถแยกย้ายกัน ลู่ไถชอบดูเซียนซือจากไท่ผิงซานผู้นั้นแสร้งแกล้งผีหลอกเจ้า ส่วนเฉินผิงอันกลับไปสังเกตดูวิธีการของผู้เฒ่า คนวงนอกมองเห็นเป็นเรื่องสนุก คนวงในมองเห็นเคล็ดลับวิธีการ เฉินผิงอันอยู่ตรงกลางระหว่างสองฝ่ายนี้ แม้จะมองที่มาของวิธีการที่ผู้เฒ่าใช้ไม่ออก แต่ก็แน่ใจได้ว่าทุกสถานที่ที่แขวนไก่ตัวผู้เอาไว้ ลมหยินเยียบเย็นและปราณชั่วร้ายเจือจางลงไปหลายส่วน เหมือนสองกองทัพที่คุมเชิงกัน ฝ่ายหนึ่งหลบเลี่ยงประกายแหลมคมของอีกฝ่าย แต่การถอยหนีเช่นนี้กลับไม่มีใครบาดเจ็บและล้มตาย เป็นการหลบไปซ่อนในที่มืดเพื่อรอจังหวะให้ลงมือเท่านั้น


ตอนที่ผู้เฒ่าป้อนข้าวเหนียวและน้ำสะอาดให้กับไก่ตัวผู้ จากสีหน้าเป็นกังวลของเขาพอจะมองออกได้ว่านักพรตเฒ่าเองก็มองเบาะแสออก อารมณ์จึงไม่ผ่อนคลายเท่าใดนัก


ส่วนบุรุษถือแส้ที่เดินอาดๆ โอ้อวดตนไปทั่วตรอกซอกซอยนั้นกลับมีสีหน้าผ่อนคลาย ราวกับว่าแค่ดีดนิ้วครั้งเดียว เสนียดจัญไรและผีร้ายทั้งหลายก็จะแหลกลาญสิ้นซาก


สองพี่น้องหลวนฉางและหลวนซูรับผิดชอบคอยเปิดทางให้คนผู้นี้


เถาเสียหยางที่สีหน้าซีดขาว ไออยู่บ่อยๆ ได้แต่เดินตามหลังนักพรตเฒ่าไปพร้อมกับหวงซ่าง


ลู่ไถไม่ได้บอกอย่างชัดเจนว่าสองคนนี้ใครมีตบะสูงต่ำ บอกแค่ว่าบุรุษคนนี้ต้องไม่ใช่ผู้ฝึกลมปราณจากไท่ผิงซานของใบถงทวีปอะไรนั่นแน่นอน ส่วนผู้เฒ่ามอซอคือนักพรตบนภูเขาจริงสมชื่อ ชื่นชอบความสันโดษ มีจิตใจเมตตารักสงบ เห็นภูเขาและแม่น้ำเป็นดั่งเพื่อนบ้าน


ไท่ผิงซานคือสำนักใหญ่อันดับหนึ่งของภาคกลางใบถงทวีป เมื่อเทียบกับสำนักฝูจีแล้วมีแต่จะแข็งแกร่งกว่า ไม่มีด้อยกว่า เพียงแต่ว่าเก็บตัวจากโลกภายนอกจนแทบจะเรียกได้ว่ารังเกียจโลกภายนอก น้อยครั้งนักที่จะมีผู้ฝึกตนลงมาจากภูเขา เป็นสถานที่รวมตัวกันของผู้ที่ประสบความสำเร็จด้านวิชาโอสถในและโอสถนอก ขนาดลู่ไถที่อยู่ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางก็ยังเคยได้ยินชื่อมาก่อน เพียงแต่ว่าชื่อเสียงในโลกเทียบกับสองสำนักอย่างใบถงและกุยหยกไม่ติด


วันเวลาที่เงียบสงบและสันติสุขผ่านไปอีกสองวัน


ต่อให้เป็นชาวบ้านของป้อมอินทรีบินที่อาศัยอยู่ตามตรอกซอกซอยก็ยังสัมผัสได้ถึงความผิดปกติของสีท้องฟ้า


รุ่งอรุณที่เดิมทีดวงอาทิตย์ควรจะลอยขึ้นฟ้า อากาศเหนือป้อมอินทรีบินกลับเต็มไปด้วยก้อนเมฆมืดทะมึนซ้อนเรียงกันหนาชั้น ราวกับสิ่งมีชีวิตที่กำลังแสยะเขี้ยวกางกรงเล็บใส่ป้อมอินทรีบิน ความรู้สึกหนักอึ้งกดทับจิตใจของทุกคน ผู้ดูแลเฒ่าเหอหยาที่รับหน้าที่เป็นอาจารย์สอนหนังสือประกาศแล้วว่าวันนี้ไม่มีการเรียนการสอน ให้พวกนักเรียนรีบกลับบ้าน นี่ทำให้เด็กๆ ชอบใจกันยกใหญ่ ระหว่างทางที่กลับบ้านจึงจับกลุ่มกัน ชี้ไม้ชี้มือใส่เมฆดำเหล่านั้น บอกว่านั่นคือตะขาบตัวหนึ่ง บางคนก็บอกว่าคือควายตัวหนึ่ง สุดท้ายเห็นก้อนเมฆสีดำเป็นเหมือนใบหน้าของหญิงสาวที่แสยะยิ้มอย่างดุดัน ทำเอาพวกเด็กๆ ตกใจวงแตก รีบวิ่งกลับบ้านใครบ้านมันทันที


เฉินผิงอันที่ฝึกวิชาหมัดในลานบ้านสังเกตเห็นภาพเหตุการณ์ประหลาดนี้มานานแล้ว ลู่ไถนั่งอยู่ข้างโต๊ะหินขยับนิ้วทำมุทราพยากรณ์ สีหน้าผ่อนคลายเป็นปกติ


เช้าตรู่ที่ดวงอาทิตย์ควรส่องแสง ท้องฟ้ากลับมืดดำราวกับยามค่ำคืน แสงอาทิตย์ไม่อาจส่องลอดมาถึงป้อมอินทรีบินได้แม้แต่เสี้ยวเดียว


เฉินผิงอันได้ยินเสียงหัวเราะชวนขนลุกลอยแว่วผ่านไปในซอยด้านนอกอีกครั้ง


เขาจึงหยุดการฝึกหมัด วิ่งไปเปิดประตู หมุนตัวเงยหน้าขึ้นมอง ยันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจที่เขียนลงบนกระดาษยันต์ธรรมดาแผ่นนั้น เมื่อเวลาผ่านไปหลายวัน ปราณวิญญาณที่อยู่ในยันต์ก็ไหลหายไปอย่างต่อเนื่อง จึงกลายมาเป็นหม่นมัวไร้ประกายแสง กระดาษยันต์สีเหลืองที่เดิมทีใหม่เอี่ยมอ่องกลับเหมือนกลอนคู่ที่แปะอยู่หน้าประตูมานานเกินครึ่งปี สีสันซีดเซียว รอยยับย่นเต็มไปหมด และยังมีหลายจุดที่มีก้อนหมึกสีดำแทรกซึมเข้ามา มิน่าเล่าผีร้ายพวกนั้นจึงกล้าปรากฎตัวมาท้าทายอีกครั้ง


ลู่ไถที่สอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อเดินออกจากประตูบ้านมายืนเคียงไหล่กับเฉินผิงอัน มองอักษรมหัศจรรย์สีชาดที่มีแนวโน้มว่าจะเสื่อมสภาพแผ่นนั้นแล้วพูดพึมพำกับตัวเองว่า “ในยุคสมัยที่ห่างไกลจากปัจจุบันนี้ไปนานมาก ยันต์ที่คนที่มีตบะเท่ากับผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเจ็ดวาดออกมาก็แค่ถือว่ามีความรู้อย่างผิวเผินเท่านั้น ยันต์ที่คนซึ่งมีศักยภาพเท่ากับขอบเขตเก้าเป็นผู้วาดถึงจะเรียกได้ว่ามีความชำนาญอย่างแท้จริง ดังนั้นยันต์ในยุคสมัยนั้นจะมีอานุภาพมากเท่าไหร่ แค่คิดก็พอจะรู้ได้ และหนึ่งในนั้นยังมี ‘อาจารย์ซานซานจิ่วโหว’ ที่คลุมเครือยากจะเข้าใจ ซึ่งถูกขนานนามว่าเป็น ‘สำนักยันต์ดั้งเดิม’ น่าเสียดายก็แต่พอมาถึงคนรุ่นหลังอย่างพวกเรากลับไม่รู้เลยว่าคำกล่าวนี้หมายถึงคนคนหนึ่ง หรือเป็นแค่คำเรียกขานอย่างหนึ่งกันแน่”


เฉินผิงอันเขย่งปลายเท้าปลดยันต์ชิ้นนั้นลงมาเก็บไว้ในชายแขนเสื้อ


รอบด้านพลันมีเสียงตีกลองดังอึกทึกขึ้นมาทันที ไอน้ำผุดขึ้นมาจากถนนดินของตรอกเล็กแล้วแผ่อบอวลไปอย่างรวดเร็ว ทีแรกไอน้ำสูงเท้าตาตุ่ม จากนั้นก็สูงเท่าหัวเข่า แล้วเลยมาถึงเอวอย่างรวดเร็ว


ราวกับว่าเฉินผิงอันเปิดฝาหม้อออกแล้วไอน้ำลอยขึ้นมา เพียงแต่ว่าไอน้ำที่ลอยจากเตาไฟมักจะเป็นกลิ่นหอมของข้าวและอาหารร้อนกรุ่น แต่ไอน้ำในตรอกแห่งนี้กลับชื้นแฉะเหนียวเหนอะ แผ่กลิ่นคาวจางๆ


เฉินผิงอันหันหน้ามองไป ยังดีที่ไอน้ำนี้ไม่ได้กรูไปตามบ้านเรือนของชาวบ้านในรวดเดียว เพียงแต่ว่าภาพเทพทวารบาลรูปแบบต่างๆ ที่แปะไว้บนประตูบ้านแต่ละหลัง ไม่ว่าจะเป็นอริยะฝ่ายบู๊หรือเทพโชคลาภบุ๋นบู๊อะไรทั้งหลายแหล่ ล้วนส่งเสียงซี่ๆ ดังแผ่วเบา ปราณวิญญาณน้อยนิดที่เดิมทีก็สลายไปจนเหลือเพียงบางเบา เวลานี้ก็ยิ่งลอยหาย ไม่อาจปกป้องคนในบ้านได้อีก


ท่ามกลางการมองเห็นของเฉินผิงอัน คนโตและเด็กที่สวมชุดไว้ทุกข์สีขาวคู่นั้นปรากฎตัวที่สุดปลายของตรอกเล็กอีกครั้ง เด็กน้อยยังคงหันมาจับจ้องเฉินผิงอัน ดวงตาสีแดงสดมีเลือดซึมออกมาอย่างต่อเนื่อง ไหลรินเป็นสายบนใบหน้าขาวซีด เพียงแต่ว่าเลือดพวกนั้นกลับไม่หยดหายไปจากใบหน้า แต่เหมือนไส้เดือนที่เลื้อยกลับขึ้นไปผลุบเข้าผลุบออกอยู่ในดวงตาทั้งคู่ ราวกับเห็นว่าดวงตาของเด็กน้อยเป็นรังของพวกมัน


บนใบหน้าผู้ใหญ่ที่จูงเด็กน้อยกลับไม่มีเครื่องหน้า ราวกับสวมผ้าขาวผืนหนาทับลงไป ทำให้คนมองไม่เห็นหูคิ้วตาจมูกปาก


มีวัตถุหยินสกปรกน่าสะพรึงกลัวมากมายพากันเดินเข้ามาหาบ้านที่ตั้งอยู่สุดตรอกหลังนี้ มีหญิงชราคนหนึ่งที่ดวงตาเหมือนดวงตาปลาตาย มือและเท้าสัมผัสพื้นไต่อยู่บนกำแพงอย่างว่องไว ปากก็พร่ำพูดใส่เฉินผิงอันว่าจะกินเนื้อ


และยังมีเด็กหลายคนที่นั่งยองพิงกำแพง สองแขนกอดเข่า ศีรษะซบลงบนหัวเข่า ส่งเสียงสะอื้นลอดไรฟันอย่างน่าขนลุก เดี๋ยวดังเดี๋ยวหาย ล่องลอยไปตามสายลม คล้ายต้องการฟ้องถึงความทุกข์ในใจ เพียงแต่ว่าอายุน้อยเกินไปจึงพูดจาไม่เป็นคำ คนฟังจึงได้ยินไม่ชัดเจน


แม้ว่าเฉินผิงอันจะเชื่อเรื่องผีและเทพเจ้ามาตั้งแต่เด็ก แต่เขากลับไม่เคยกลัว


ลองจินตนาการดู เด็กชายคนหนึ่งอายุแค่สี่ห้าขวบก็กล้าวิ่งไปที่สุสานเทพเซียนเพียงลำพัง จะลมหรือฝนก็ไม่อาจขัดขวางเขาได้ และหลังจากฝึกวิชาหมัดมา หากนับรวบใบถงทวีปนี้ นี่ก็เป็นครั้งที่สามแล้วที่เขาได้ออกเดินทางไกล ความแปลกประหลาดแห่งภูเขาและแม่น้ำที่พบเจอมาตลอดทางมีให้เห็นนับไม่ถ้วน มีหรือจะมาตกใจกลัวการข่มขู่แบบนี้


เด็กที่ใบหน้าเต็มไปด้วยเลือดสดเหมือนใยแมงมุมจ้องมองเฉินผิงอันอยู่ตลอดเวลา ตอนที่มันเบี่ยงหน้าจ้องตากับเฉินผิงอันก็เปิดปากพูดว่า “เนื้อของเจ้าหอมมาก ขอให้ข้ากินสักสองสามคำได้หรือไม่? ข้าแค่ต้องการหัวใจของเจ้าครึ่งดวง ได้ไหม?”


เด็กคนนี้พูดช้ามาก อีกทั้งเท้ายังก้าวเดินไปข้างหน้าไม่หยุด รอจนสองคำว่า ‘หัวใจ’ หลุดออกมาจากปากก็หันหลังให้เฉินผิงอันแล้ว แต่หัวของมันกลับไม่ได้หมุนตาม ยังคง ‘จ้องตา’ อยู่กับเฉินผิงอัน มันยังแลบลิ้นสีดำสนิทมาเลียคราบเลือดตรงมุมปากด้วย


หญิงชราที่ไต่อยู่บนกำแพงลงมือโจมตีเป็นคนแรก มันกระโดดขึ้นสูงแล้วกระโจนเข้าหาเฉินผิงอัน


เฉินผิงอันเองก็ไม่คิดจะมอง เดินออกไปก้าวหนึ่ง ลงจากบันได ไม่รอให้รองเท้าหุ้มแข้งสัมผัสพื้นของตรอกก็ปล่อยหนึ่งหมัดออกไปอย่างง่ายๆ โจมตีเข้าที่ศีรษะของหญิงชราคนนั้น หญิงชราวัตถุหยินถูกต่อยจนกระเด็นไปยังกำแพงฝั่งตรงข้ามที่อยู่ข้างหลัง แล้วร่างก็ระเบิดแตกดังปัง มันไม่ทันได้ส่งเสียงร้องโหยหวนเลยด้วยซ้ำ


พอเห็นภาพเหตุการณ์นี้ วัตถุหยินที่อยู่ในตรอกก็ระเบิดความดุร้าย ควันดำพากันกรูเข้ามา วัตถุหยินที่เกิดจากการรวมตัวกันของความอาฆาตแค้นหลังจากตายไปพุ่งเข้าใส่เฉินผิงอันอย่างบ้าคลั่ง


มือข้างหนึ่งที่ไพล่หลังของเฉินผิงอันสอดไว้ในชายแขนเสื้อ ใช้มือขวารับมือศัตรูแค่มือเดียว


ปณิธานหมัดยังคงถูกกะประมาณได้อย่างพอดี ไหลรินผ่านแขนขวาเท่านั้น พายุลมปราณที่รวมตัวกันก็ไม่กระจายออกไปข้างนอก ทว่าทุกครั้งที่ปล่อยหมัดออกไปล้วนต่อยให้วัตถุหยินที่พุ่งมาอย่างดุร้ายร่างแหลกสลาย


ปณิธานหมัดเพียงเท่านี้ สำหรับเฉินผิงอันในเวลานี้แล้วก็เหมือนการดึงเอาน้ำหนึ่งถังออกมาจากในบ่อลึกหนึ่งบ่อเท่านั้น


ในสายตาของวัตถุหยินกลุ่มนั้น แขนข้างนั้นของเด็กหนุ่มชุดขาวเหมือนกับ ‘แสงแดด’ เล็กๆ ร้อนแรงแสบตาที่แหวกม่านรัตติกาลเข้ามา


เวลาเพียงแค่ไม่กี่ชั่วกะพริบตา วัตถุหยินในตรอกเล็กที่บุกโจมตีอย่างยิ่งใหญ่เกรียงไกรก็หายไปแล้วถึงเจ็ดแปดในสิบส่วน


ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ลู่ไถไปนั่งอยู่บนธรณีประตู ยิ้มตาหยีมองดูเฉยๆ โดยไม่ให้ความช่วยเหลือ


เด็กที่บอกว่าจะกินหัวใจของเฉินผิงอันสลัดมือจากผู้ใหญ่ที่จับอยู่ พุ่งตัวหายวับไป ก่อนจะมาปรากฏอยู่ด้านหลังเฉินผิงอัน ทำฝ่ามือเป็นดาบแทงเข้าหาหัวใจด้านหลังของเขา พยายามจะให้มือดาบคว้านจากแผ่นหลังทะลุไปถึงหัวใจ


มือดาบพุ่งมาว่องไว เพียงแต่ว่าชั่วขณะที่เด็กน้อยคิดว่าตัวเองจะทำสำเร็จนั้นเอง มันพลันร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด ที่แท้เมื่อนิ้วทั้งห้าของมันสัมผัสเข้ากับชุดคลุมสีขาวก็รู้สึกเหมือนหิมะพุ่งชนใส่เตาไฟแล้วหลอมละลาย ไม่ทันได้หดมือกลับมา มือเกินครึ่งก็หายไปทั้งอย่างนี้


มือซ้ายที่ไพล่หลังของเฉินผิงอันยังคงไม่มีความเคลื่อนไหว หางตาคอยจับจ้องวัตถุหยินที่ไม่มีเครื่องหน้าทั้งห้านั้นอยู่ตลอดเวลา เขาแค่ขยับมาด้านหลัง ชนเข้ากับเด็กวัตถุหยิน พอชุดคลุมอาคมจินหลี่สัมผัสโดนฝ่ายหลัง ร่างของเด็กน้อยก็เหมือนเปลวเทียนที่หลอมละลาย กลายเป็นควันดำที่บริสุทธิ์อย่างยิ่งกลุ่มหนึ่ง เตรียมจะเผ่นหนีไปไกล แต่เฉินผิงอันกลับหันตัวกลับมา บิดหมุนข้อมือ เหวี่ยงหมัดต่อยเป็นวงโค้งแนวขวาง ต่อยจนควันดำกลุ่มนั้นไม่เหลือร่องรอย


ลู่ไถเอ่ยสัพยอก “แบบนี้เรียกว่ารังแกคนอื่นแล้วนะ”


เฉินผิงอันเบ้ปาก “ใช่คนเสียที่ไหน”


เฉินผิงอันพลันหันตัวกลับ มองไปยังสุดปลายอีกฝั่งของตรอกเล็ก


ที่แท้บ่อน้ำที่อยู่ติดกับถนนบ่อนั้นมีน้ำในบ่อไต่ขึ้นมา อาศัยไอน้ำที่ปกคลุมอยู่บนถนนไหลออกจากบ่ออย่างว่องไว แล้วพุ่งเข้าหาเฉินผิงอัน ตอนที่ไหลผ่านปากตรอกเข้ามา ‘เห็น’ ภาพที่เฉินผิงอันกำราบวัตถุหยินเด็กตนนั้นพอดี หลังจากลังเลอยู่เล็กน้อย น้ำในบ่อก็ถอยกรูดกลับไปด้านหลัง


เฉินผิงอันยื่นมือขวาออกมาจากชายแขนเสื้อ เห็นเพียงว่าปลายนิ้วคีบยันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจใหม่เอี่ยมออกมาอีกแผ่นหนึ่ง ในใจเรียกหาสืออู่ กระบี่บินเล็กจิ๋วสีเขียวมรกตพุ่งออกจากน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ วาดผ่านด้านหลังของเฉินผิงอันมาแล้ว ปลายกระบี่ของสืออู่ก็ปักตรึงยันต์สีเหลืองแผ่นนั้น เพียงชั่วพริบตาก็ลากพายันต์สีเหลืองที่ส่องแสงสีทองพุ่งไปไกลด้วยกัน


ยันต์แผ่นนี้เดิมทีควรใช้รับมือกับวัตถุหยินที่จูงมือเด็กคนนั้น แต่พอประมือกันมาได้ครู่หนึ่ง เฉินผิงอันก็แน่ใจแล้วว่าแค่หมัดก็เพียงพอ


บทที่ 297.2 อำลา

ProjectZyphon

ในเมื่อสิ่งประหลาดของบ่อน้ำเป็นฝ่ายวิ่งเข้ามาหาด้วยตัวเอง เฉินผิงอันจึงให้สืออู่พายันต์สยบปีศาจไปสยบบ่อน้ำ ตัดขาดทางถอยของน้ำในบ่อ


น้ำในบ่อถอยกลับไปอย่างรวดเร็ว แต่ไหนเลยจะเร็วเท่าความเร็วของกระบี่บินสืออู่


สืออู่ไปถึงด้านข้างของบ่อน้ำที่ราวกับมีสตรีแต่งงานแล้วกำลังส่งเสียงสะอื้นร่ำไห้ ปลายกระบี่ทิ่มเข้าไปในปากบ่อ ตรึงยันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจที่ส่องสีทองอร่ามแผ่นนั้นลงไปตรงริมขอบบ่อ


จากนั้นมันก็ค่อยๆ ลอยขึ้นกลางอากาศ บินวนไปรอบบ่อ


น้ำในบ่อที่ปีนออกมาจากก้นบ่อแผ่นองไปรอบด้าน กระเพื่อมไหวเป็นระลอก เผยให้เห็นใบหน้าบิดเบี้ยวของหญิงสาวหลายคนที่แสดงความอาฆาต พยาบาทและเคียดแค้น ระหว่างนี้ยังมีน้ำสายหนึ่งแยกออกมาแล้วพุ่งไปที่ปากบ่ออย่างไม่ยอมแพ้ แต่ไม่นานก็ระเหยกลายเป็นควันทั้งหมด เป็นอย่างนี้อยู่สามครั้งห้าครั้ง ยันต์ที่แปะอยู่บนปากบ่อก็ยังไม่สะทกสะท้าน แสงศักดิ์สิทธิ์ยังคงเต็มเปี่ยม น้ำในบ่อที่พยายามพุ่งไปหาบ่ออย่างต่อเนื่องถึงได้ยอมตัดใจ พวกมันมารวมตัวกัน สุดท้ายกลายมาเป็นวัตถุหยินรูปคนที่พอจะเห็นได้ลางๆ ว่ามีสองแขนสองขา สูงหนึ่งจั้ง น้ำบ่อที่อยู่บนร่างกระเพื่อมเคลื่อนไหวไม่หยุด ทำให้คนมองโฉมหน้าที่แท้จริงไม่ออก


กระบี่บินสืออู่มองมันเป็นศัตรูโดยอัตโนมัติ พุ่งทะลุผ่านศีรษะของวัตถุหยินน้ำในบ่อตนนั้นแล้วพลันชะงักนิ่ง ก่อนจะบินทะลุมาจากหัวใจด้านหลังอีกครั้ง ทำอย่างนี้ซ้ำไปซ้ำมาอย่างสนุกสนานไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย


บางทีอาจเป็นเพราะคิดไม่ถึงว่าปณิธานกระบี่ของกระบี่บินเล่มนี้จะเปี่ยมล้น น้ำบ่อที่เพิ่งจำแลงร่างเป็นคนก็พลันสลายพรวด กลับคืนมาเป็นผืนน้ำที่นองไปทั่วผืนดินแล้วเริ่มซัดหลุนๆ เผ่นหนี


สืออู่ไม่สนใจลูกเล่นพวกนี้ เอาแต่จิ้มแทงกระบี่ลงไปในน้ำครั้งแล้วครั้งเล่า


ทางฝ่ายของตรอกเล็ก บุรุษวัตถุหยินที่เดิมทีหวังให้น้ำบ่อมา ‘รวมร่าง’ เผยความหวาดกลัวออกมาให้เห็น ไม่เพียงแต่ไม่มีความคิดจะประมือกับเฉินผิงอัน กลับยังบินไปทางกำแพงที่อยู่สุดตรอก


เฉินผิงอันก้าวออกไป ชิงเอามือฟาดลงบนกำแพงของทางตันเส้นนี้ก่อน


แปะยันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจลงไปอีกหนึ่งแผ่น


กำแพงแถบนั้นพลันเผยสภาพดั้งเดิมที่แท้จริง โครงกระดูกอัดกันแน่น ระหว่างนั้นยังมีโครงกระดูกของเด็กเล็กสอดแทรกอยู่เป็นจำนวนมาก และยังมีบางส่วนเป็นทารกที่คล้ายถูกคนคว้านออกมาจากท้อง น่าสังเวชจนแทบทนมองไม่ได้


เมื่อกำแพงแห่งนี้ปรากฏ พวกเด็กๆ ที่นั่งซุกหัวกอดเข่าอยู่ตรงกำแพงก็พากันร้องไห้คร่ำครวญทันที


ภาพนี้ทำให้เฉินผิงอันเคียดแค้นอย่างยิ่ง


บุรุษผู้นั้นเตรียมจะทะยานขึ้นกลางอากาศหนีไปจากตรอกแห่งนี้ แต่กลับถูกเฉินผิงอันที่หมุนตัวกลับด้วยความเดือดดาลสุดขีดยื่นฝ่ามือไปคว้าใบหน้าที่ไร้เครื่องหน้าทั้งห้านั้น นิ้วทั้งห้าเป็นดั่งตะขอ ชายแขนเสื้อของชุดคลุมอาคมจินหลี่โบกสะบัด แผ่ประกายแสงศักดิ์สิทธิ์ราวกับได้เสพสุขจากควันธูปมานับพันปีออกมาเป็นระลอก วัตถุหยินตนนั้นส่งเสียงร้องอ้อนวอนมาจากส่วนลึกของจิตวิญญาณ มือขวาของเฉินผิงอันขยุ้มวัตถุหยิน มือซ้ายต่อยไปที่หัวใจของมัน แขนทั้งแขนระเบิดแสงสีทองสว่างจ้า มีทั้งพายุหมัดของตัวเขาเอง และมีทั้งปราณวิญญาณจากจินหลี่


เฉินผิงอันหมุนมือขวาแหวกทะลุหัวใจของวัตถุหยินจนเกิดเป็นช่องโพรงขนาดใหญ่


แล้วก็ยังไม่เลิกราง่ายๆ เฉินผิงอันยังพยายามจะกระชากดึงจิตวิญญาณทั้งหมดของวัตถุหยินให้แหลกละเอียด อีกทั้งยังจงใจควบคุมพละกำลัง ค่อยๆ ดึงออกมาทีละเส้นทีละเส้นเหมือนการสาวไหม คล้ายการลงทัณฑ์ถลกหนังดึงเส้นเอ็น กระชากวิญญาณเข้ามาในชายแขนเสื้อของเสื้อคลุมอาคมจินหลี่ทีละนิด ด้วยต้องการให้วัตถุหยินตนนี้ทนรับความเจ็บปวดของการถูกแร่เนื้อเถือหนังอย่างที่คนเป็นๆ ได้รับ


ลู่ไถลุกขึ้นยืน เอ่ยเตือนเสียงเบา “เฉินผิงอัน พอเถอะ”


เฉินผิงอันสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง คลายนิ้วทั้งห้าของมือซ้ายออก ดึงมือขวาออกมาจากหัวใจวัตถุหยิน แล้วปล่อยหมัดต่อยให้วัตถุหยินแหลกสลาย สะบัดชายแขนเสื้อแรงๆ เก็บรวมเศษซากทั้งหมดของมันเข้ามาในชายแขนเสื้อชุดอาคมจินหลี่ เศษเสี้ยวควันสีเทายิบย่อยจึงพากันไหลกรูเข้าไป


เฉินผิงอันมองไปเบื้องหน้า วัตถุหยินเด็กที่นั่งอยู่ใต้กำแพงพวกนั้นไม่ได้หนีไปไหน เพียงแต่ตัวสั่นสะท้านรุนแรงมากขึ้น พวกมันยังคงกอดเข่าแน่น นั่งนิ่งๆ รอความตาย ทุกตนต่างก็ส่งเสียงร้องฮือๆ ไม่รู้ว่ากำลังบอกเล่าอะไรอยู่ แต่คล้ายว่าจะได้รับความเจ็บปวดและทรมานมหาศาล


เฉินผิงอันหันไปมองยันต์ที่แปะไว้บนกำแพงโครงกระดูกแผ่นนั้นแล้วรีบดึงมันลงมา


พอเก็บยันต์สยบปีศาจแล้ว เฉินผิงอันเดินหนึ่งก้าวก็ขยับไปเจ็ดแปดจั้ง ย่อตัวนั่งลงข้างกายวัตถุหยินเด็กที่นั่งซุกหัวกอดเข่าตนหนึ่งที่เป็นร่างวิญญาณอายุแค่ประมาณสองสามปี เฉินผิงอันยื่นฝ่ามือข้างหนึ่งออกไป แม้ว่าจะพยายามเก็บปณิธานหมัดและปราณวิญญาณของจินหลี่ไว้สุดกำลัง พยายามทำให้เสื้อคลุมอาคมเปลี่ยนมาเป็นไม่ต่างจากเสื้อคลุมทั่วไป แต่เด็กคนนั้นก็ยังตัวสั่นอย่างรุนแรง


เฉินผิงอันรีบม้วนชายแขนเสื้อสองข้างขึ้น ม้วนไปจนแทบจะถึงไหล่ ก่อนจะลูบศีรษะของเด็กคนนั้นเบาๆ


เฉินผิงอันไม่พูดอะไร


บนโลกนี้มีความยากลำบากหลากหลายรูปแบบ แม้ว่าผลกรรมในอดีตชาติเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ถึงอย่างไรก็น่าจะรอให้เด็กๆ โตขึ้นจนรู้ความก่อนกระมัง?


เฉินผิงอันรู้สึกว่าแบบนี้ไม่ถูก แบบนี้ไม่ดี


เพราะเขาสามารถรับรู้ความรู้สึกนี้ได้ดีที่สุดเหมือนเผชิญด้วยตัวเอง


เฉินผิงอันดึงมือกลับ ใช้หลังมือเช็ดดวงตา หันหน้าไปมองลู่ไถแล้วถามว่า “มีวิธีหรือไม่?”


ลู่ไถเดินมาหาช้าๆ ไม่ได้มีท่าทางผ่อนคลายสบายใจอย่างก่อนหน้านี้อีก พยักหน้ารับกล่าวว่า “เจ้ามียันต์ปราณหยางส่องไฟไม่ใช่หรือ ขอแค่วาดยันต์นี้ย้อนกลับก็จะกลายมาเป็นยันต์ปราณหยินนำทาง จากนั้นข้าก็จะวาดยันต์ข้ามฟากสู่ยมโลกอีกแผ่นหนึ่ง ก็จะถือว่าช่วยโปรดสัตว์เจ้าเด็กน้อยพวกนี้ ยันต์แผ่นนั้นที่เจ้าวาดก็เพื่อโน้มน้าววัตถุหยินที่ยังไม่มีสติปัญญาเหล่านี้ ให้พวกมันอาศัยสัญชาตญาณลุกขึ้นมาเดินด้วยตัวเอง ส่วนยันต์แผ่นนั้นของข้าก็เพื่อเปิดประตูบานหนึ่งให้กับพวกมัน พวกมันจะได้มีทางให้เดินหน้าไปอย่างต่อเนื่อง”


ในใจเฉินผิงอันเรียกกระบี่บินสืออู่กลับมาเบาๆ


มันจึงพุ่งกลับมาจากอีกฝั่งหนึ่งของตรอก


เฉินผิงอันเอากระดาษยันต์สีเหลืองแผ่นหนึ่งและเหล็กหมาดหิมะออกมาจากวัตถุฟางชุ่น แล้วจึงนั่งลงขัดสมาธิ มือหนึ่งถือพู่กัน อีกมือหนึ่งวางกระดาษไว้กลางฝ่ามือ เริ่มทดลองวาดยันต์ปราณหยางส่องไฟย้อนกลับตามการชี้นำของลู่ไถ แต่เป็นเพราะจิตใจไม่นิ่ง สุดท้ายจึงล้มเหลว ลู่ไถเองก็ไม่ได้พูดอะไร เฉินผิงอันสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง หยิบกระดาษยันต์ออกมาอีกครั้ง แต่ก็ยังไม่ได้ผล สำหรับเฉินผิงอันที่ได้ฝึกวิชาหมัดแล้ว นี่เป็นเรื่องที่หาได้ยากอย่างถึงที่สุด


ขนาดตัวเฉินผิงอันเองยังรู้สึกเลื่อนลอย


ลู่ไถถอนหายใจหนึ่งครั้ง


เพราะเศษเสี้ยวหนึ่งบนกระจกหัวใจของเฉินผิงกำลังสั่นไหว


ลู่ไถเอาพัดไม้ไผ่ออกมาโบกเบาๆ พลางเอ่ยด้วยรอยยิ้มบางๆ โดยไม่ได้แม้แต่จะมองเฉินผิงอัน “อย่าเอาตัวเองไปวางไว้ในทุกเรื่องและทุกคน ต้องหัดเรียนรู้ที่จะทำตัวเป็นคนนอกบ้าง”


“ไม่ต้องรีบร้อนวาดยันต์ ทนลำบากมาได้ตั้งหลายปีขนาดนี้ เจ้าตัวน้อยพวกนั้นคงไม่ถือสาหากต้องรออีกสักครู่หนึ่ง”


ลู่ไถพัดลมเย็นสดชื่น ช่วยให้ตรอกที่อบอวลไปด้วยปราณหยินและลมชั่วร้ายแห่งนี้ได้รับแสงอาทิตย์ที่มองไม่เห็นซึ่งแทรกซอนลงมาผ่านเมฆดำเหนือศีรษะ เอ่ยเนิบช้าว่า “รอให้เรื่องของทางฝั่งนี้คลี่คลาย ข้าจะไปหาฮูหยินของเจ้าประมุขที่หอหลักโดยตรง เฉินผิงอัน เจ้าไม่ต้องตามข้าไป เพราะข้าต้องการให้เจ้าช่วยสลายควันดำรวมไปถึงพวกวัตถุหยินที่แอบซ่อนอยู่ในที่มืด ตบะอาจจะไม่ต่ำนัก ทางฝ่ายของข้า เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง”


เฉินผิงอันอืมรับหนึ่งที


ลู่ไถเงยหน้ามองฟ้า “พอจะแน่ใจในความจริงได้คร่าวๆ แล้ว การที่ป้อมอินทรีบินมีธาตุหยินรุ่งโรจน์ธาตุหยางเสื่อมโทรมมาตลอดหลายสิบปีนี้ เป็นเพราะเกิดจากความตั้งใจของใครบางคน เพื่อให้ฮูหยินของเจ้าประมุขที่เกิดมาก็มีธาตุหยินเข้มข้นคนนั้นตั้งครรภ์ทารกผีที่ร้อยปีก็ยากจะพานพบสักครั้ง ซึ่งจะถือกำเนิดขึ้นมาในช่องโพรงหัวใจของหญิงสาว ไม่ใช่การตั้งท้องสิบเดือนเหมือนสตรีทั่วไป จำเป็นต้องใช้เวลาหลายปี กินเลือดลมและพลังต้นกำเนิดของหญิงสาวเป็นอาหาร คำสุภาษิตที่บอกว่าผีร้ายถือกำเนิดขึ้นในใจก็หมายถึงสถานการณ์เช่นนี้ ฮูหยินคนนั้นไม่ใช่ผู้ฝึกตน ดังนั้นพลังต้นกำเนิดจึงไม่มากพอ นี่จึงเป็นเหตุให้เกิดเหตุการณ์ประหลาดมากมายขึ้นในป้อมอินทรีบิน ก็เพื่อช่วยต่อชีวิตให้หญิงสาว เมื่อใดที่ทารกผีแหวกหัวใจนางออกมา นั่นก็คือเวลาตายของนาง และนี่ยังเป็นการสร้างบาปกรรมที่ลึกล้ำอย่างยิ่ง เมื่อสตรีผู้นั้นตายไป ก็อย่าได้หวังว่าวิญญาณของนางจะได้รับความสงบสุข ตอนมีชีวิตอยู่ อยู่ไม่สู้ตาย พอตายไปก็ตายไม่สู้อยู่ น่าเวทนายิ่งนัก”


เฉินผิงอันขมวดคิ้วแน่น


ลู่ไถเอ่ยช้าๆ “ตามคำบันทึกในตำราลัทธิเต๋าที่เก็บไว้ในหอหนังสือของบ้านข้า หากสิ่งสกปรกเช่นนี้ถือกำเนิดขึ้นมา ก็จะมีตบะขอบเขตหก รับมือได้ยากยิ่ง เพราะเดี๋ยวมันก็รวมร่างเดี๋ยวก็แยกย้าย เว้นเสียจากว่าจะฆ่าให้ตายด้วยการโจมตีเดียว หาไม่แล้วก็ยากที่จะกำจัด มันชอบกินอวัยวะภายในของมนุษย์ที่ยังมีชีวิตอยู่ หากไม่มีใครจัดการกับมัน ไม่ต้องถึงหนึ่งร้อยปี ขอแค่ให้มันกินคนหลายแสนคนในหลายๆ เมืองก็จะสามารถเลื่อนสู่ขอบเขตก่อกำเนิดได้อย่างราบรื่น เดิมทีทารกผีก็จับตัวได้ยากมากอยู่แล้ว ถ้าเป็นทารกผีขอบเขตเซียนดินตนหนึ่ง เกรงว่าหากไม่มีเซียนดินสามท่านร่วมมือกันสังหาร ก็อย่าได้หวังว่าจะถอนรากถอนโคนมันได้ ถ้าผู้ฝึกตนขอบเขตก่อกำเนิดคนหนึ่งเป็นฝ่ายเดินเข้าหามันเพียงลำพัง ก็มีแต่จะตกเป็นเหยื่อของมันเท่านั้น”


ลู่ไถหัวเราะเสียงเย็น “วิธีการเช่นนี้ไม่นับเป็นอะไรได้ในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง แต่หากมาอยู่ที่ใบถงทวีปก็ถือว่าลงทุนอย่างมากแล้ว”


จากนั้นลู่ไถก็ไม่พูดอะไรอีก มือโบกพัด ลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า


เฉินผิงอันเงียบไปครู่หนึ่งก็เอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า “ข้าสามารถวาดยันต์ต่อได้แล้ว”


ลู่ไถชำเลืองตามองเฉินผิงอันที่อยู่ข้างกายแล้วคลี่ยิ้ม


ครั้งนี้ในที่สุดก็ทำสำเร็จ! เฉินผิงอันปาดเหงื่อบนหน้าผาก แล้วเตรียมจะเก็บยันต์ปราณหยินนำทางชิ้นนั้นลง ลู่ไถมีสีหน้ามึนงง “นี่เจ้าจะทำอะไร?”


เฉินผิงอันตอบ “วัสดุที่ใช้วาดยันต์ไม่สูงมากพอ ข้าแค่เอามาฝึกเขียนเท่านั้น…”


ลู่ไถแย่งยันต์แผ่นนั้นไป พูดเสียงขุ่น “เจ้าโง่หรือไง แค่เจ้าตัวน้อยกลุ่มเดียวเท่านั้น ยันต์แผ่นนี้แผ่นเดียวก็เหลือเฟือ หากดีกว่านี้ ไม่แน่ว่าอาจชักนำให้พวกมันเกิดความละโมบ เลือกที่จะเป็นผีเร่ร่อนอยู่ระหว่างโลกมนุษย์และยมโลกต่อไป นั่นกลับจะทำให้เรื่องเลวร้าย”


เฉินผิงอันพยักหน้ารับ ส่งเหล็กหมาดหิมะด้ามเล็กให้กับลู่ไถก่อน ก่อนจะหยิบแผ่นยันต์ออกมาก็ถามว่า “ถึงอย่างไรยันต์ข้ามฟากสู่ยมโลกแผ่นนั้นของเจ้าก็ต้องแหวกเส้นแบ่งระหว่างหยินและหยาง ไม่เหมือนกับยันต์นำทางที่เรียบง่ายแผ่นนี้ของข้า ดังนั้นวัสดุที่ใช้วาดยันต์ยิ่งดีเท่าไหร่ก็ยิ่งศักดิ์สิทธิ์มากเท่านั้นใช่หรือไม่?”


ลู่ไถขยับปากจะพูด แต่สุดท้ายก็ไม่ได้เอ่ยอะไร


เฉินผิงอันรู้คำตอบแล้ว จึงหยิบกระดาษยันต์สีทองแผ่นหนึ่งออกมา


ลู่ไถไม่ได้รับมา แต่ถามว่า “คุ้มแล้วหรือ?”


เฉินผิงอันพยักหน้ารับ


ลู่ไถกลับส่ายหน้า “ข้ารู้สึกว่าไม่คุ้ม”


เฉินผิงอันหันหน้าไปมองเด็กน้อยที่นั่งเรียงกันสองแถวใต้กำแพงแล้วหันกลับมายิ้มกว้างให้ลู่ไถ สายตาเด็ดเดี่ยว “เจ้าใช้กระดาษยันต์แผ่นนี้ให้วางใจเถอะ แต่อย่าวาดผิดเด็ดขาดเชียว”


ลู่ไถถอนหายใจหนึ่งที หลับตากลั้นหายใจทำสมาธิอย่างจริงจังก่อนครู่หนึ่งแล้วถึงลืมตาขึ้น กำเหล็กหมาดหิมะไว้แน่น ครั้นจึงวาดยันต์ข้ามฟากลงบนกระดาษสีทอง นี่เป็นยันต์เฉพาะของสกุลลู่สำนักหยินหยางทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ภาพที่วาดคือเรือแจวหนึ่งลำ บนเรือมีผู้เฒ่าถือไม้พาย สองข้างของแผ่นยันต์ต่างก็มีตัวอักษรโบราณเรียงกันฝั่งละแถว


เฉินผิงอันเชื่อมั่นในยันต์ที่ลู่ไถวาด เขาหันหน้าไปมองเด็กกลุ่มนั้น


เคยมีคนผู้หนึ่งได้ยินสามคำว่า ‘ไม่คุ้มค่า’ ในร้านตระกูลหยาง


เฉินผิงอันมองเด็กเหล่านั้นก็เหมือนมองเห็นตัวเองหลายสิบคนที่กำลังรอคอยคำตอบ


ครู่หนึ่งต่อมา ลู่ไถก็เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ทำสำเร็จแล้ว!”


ลู่ไถคืนเหล็กหมาดหิมะมาให้ หลังจากนั้นคนทั้งสองก็ลุกขึ้นยืน เฉินผิงอันคีบยันต์ปราณหยินนำทางขึ้นมา พอกรอกปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์เฮือกหนึ่งเข้าไปแล้ว ประกายแสงศักดิ์สิทธิ์ก็ไหลวนไปทั่วยันต์ เส้นแสงนั้นบอบบางอ่อนโยน เมื่อเทียบกับยันต์ปราณหยางส่องไฟแล้วก็เป็นภาพเหตุการณ์สองอย่างที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แล้วก็จริงดังคาด หลังจากที่ยันต์นำทางปรากฏตัว เด็กๆ ที่นั่งอยู่ตรงกำแพงต่างก็พากันเงยหน้าขึ้นอย่างมึนงง มองยันต์ในมือของเฉินผิงอันด้วยสายตาเหม่อลอยที่เต็มไปด้วยความคิดถึงและชื่นชอบ


ลู่ไถโยนยันต์ข้ามฟากสู่ยมโลกกระดาษสีทองแผ่นนั้นไปยังกำแพงที่ก่อขึ้นจากโครงกระดูกซึ่งตั้งอยู่สุดตรอก ยันต์แนบติดไปบนกำแพง กรอบสี่ด้านของยันต์ต่างก็มีเส้นสีทองเส้นหนึ่งปรากฏขึ้น ส่วนพื้นที่ตรงใจกลางของยันต์ก็เริ่มหายไป เส้นสีทองขยายกว้างออกไปด้านนอกอย่างต่อเนื่อง สุดท้ายกลายมาเป็นกรอบประตูสีทองบานหนึ่ง


ลู่ไถบอกให้เฉินผิงอันที่ถือยันต์นำทางเดินไปทางประตูใหญ่บานนั้น และต้องเดินอย่างเชื่องช้า


เหล่าวัตถุหยินเด็กน้อยพากันลุกขึ้นยืนแล้วเดินตามเฉินผิงอันที่นำทางอยู่ด้านหน้า เดินไปยังปลายทางของตรอก


ลู่ไถนั่งอยู่บนขั้นบันไดหน้าบ้าน มือข้างหนึ่งเท้าคางมองแผ่นหลังของเฉินผิงอัน


เฉินผิงอันทำตามคำสั่งของลู่ไถโดยการนำยันต์ปราณหยินนำทางไปวางในประตูใหญ่ และเมื่ออยู่เหนือธรณีประตูพอดี ยันต์นั้นก็หยุดลอยนิ่งไม่ขยับอีก


เด็กน้อยวัตถุหยินหลายสิบตนพากันทยอยเดินเข้าไปข้างใน บ้างตนก็กระโดดโลดเต้น บางตนก็เดินโยกร่าง และยังมีเด็กที่โตบางตนจูงมือเด็กที่อายุน้อยกว่า


หลังจากพวกมันทยอยกันเดินเข้าไปในประตูใหญ่แล้ว ทันใดนั้นศีรษะทั้งหมดที่เบียดกันอยู่ด้านหลังธรณีประตูก็หันมาส่งยิ้มให้กับเด็กหนุ่มชุดขาวที่ยืนอยู่นอกประตู


แม้ว่าพวกมันจะเป็นวัตถุหยิน แต่ใบหน้าเปื้อนยิ้มในเวลานี้กลับสดใสไร้เดียงสายิ่งนัก


ลู่ไถมองไม่เห็นสีหน้าของเฉินผิงอัน


นางที่สวมชุดสีเขียวของบุรุษ แท้จริงแล้วชื่อจริงคือ “ลู่ไถ” ไถที่แปลว่ายกขึ้นสูง (ตรงข้ามกับไถเดิมที่บอกว่าหมายถึงแท่น/ดาดฟ้า) ราวกับต้องการจะตั้งตัวเป็นศัตรูกับ “ลู่เฉิน” (เฉินของชื่อลู่เฉินแปลว่าจมลง/ลึก/หนักหน่วง) ผู้เป็นบรรพบุรุษอย่างไรอย่างนั้น


นางเห็นแค่ว่าเฉินผิงอันโบกมืออำลาเด็กๆ พวกนั้น


บทที่ 298.1 ออกหมัด

ProjectZyphon

ในหอหลักของป้อมอินทรีบิน คนสกุลหลวนหลายสิบคนที่เป็นเสาหลักของป้อมล้วนมีสีหน้าเขียวคล้ำ หมดอาลัยตายอยาก


ไม่ว่าอย่างไรเจ้าประมุขหลวนหยางก็คิดไม่ถึงว่า เซียนซือจากไท่ผิงซานที่ขอให้สหายสนิททุ่มเงินก้อนใหญ่เชื้อเชิญตัวมาจะกลับกลายมาเป็นตัวการหายนะที่แท้จริง


สี่มุมของห้องโถงใหญ่วางกระถางไฟไว้สี่ใบ กิ่งต้นสนต้นไป่ที่อยู่ด้านในเผาไหม้จนสิ้นซากไปนานแล้ว ก่อนหน้านี้เซียนซือท่านนั้นบอกว่าหอหลักแห่งนี้คือสถานที่สำคัญที่ภูตผีปีศาจปรารถนาอยากครอบครองมาเนิ่นนาน จึงจำเป็นต้องเรียกทุกคนมารวมตัวกันที่นี่ จากนั้นเขาก็ใช้วิชาเผาศาลรวมกับยันต์ที่มีเฉพาะในไท่ผิงซานมาจัดวางค่ายกลขจัดสิ่งสกปรก เมื่อทำเช่นนี้พวกผีร้ายนอกรีตที่มีใจชั่วร้ายก็จะไม่สามารถฉวยโอกาสกับป้อมอินทรีบินได้อีก


แถมยังบอกด้วยว่าต้องให้แน่ใจก่อนว่าในหอหลักแห่งนี้ปลอดภัย เขาถึงจะออกไปกำจัดปีศาจปราบมาร ผดุงความเป็นธรรมแทนสวรรค์เพียงลำพัง


ป้อมอินทรีบินย่อมไม่มีความเห็นต่างอยู่แล้ว


เมฆดำด้านนอกกดทับลงมาเหนือศีรษะจนผู้คนรู้สึกคลื่นไส้อยากอาเจียน เห็นได้ชัดว่าเป็นฝีมือการก่อกวนจากภูตผีปีศาจตัวจริงเสียจริง คนบ้าบิ่นในยุทธภพอย่างพวกเขา เพื่อการคงอยู่ของตระกูล ให้ยกดาบปะทะกับศัตรู ต่อให้เจอกับเหล่าผู้กล้าซึ่งเป็นผู้นำแห่งวิถีมารในแคว้นเฉินเซียง ก็ยังเห็นเป็นภารกิจพึงปฏิบัติที่ไม่อาจปฏิเสธได้ หากต้องตายก็คือตาย


แต่จะให้พวกเขาไปรับมือกับภูตผีวัตถุหยิน แค่คิดก็รู้สึกชาไปทั้งหนังศีรษะ อดไม่ได้ที่จะอกสั่นขวัญผวา ปราณหยางบนร่างคล้ายจะลดน้อยลงไปอีกหลายส่วน


ก่อนหน้านี้หลวนหยางไม่ได้เชื่อเซียนซือจากไท่ผิงซานท่านนี้จนหมดใจ ต่อให้คนผู้นี้จะมีมาดสูงส่งคล้ายเจ๋อเซียนที่ไม่ค่อยชอบปรากฎตัวบนโลก ต่อให้มีสหายสนิทเป็นตัวกลางช่วยแนะนำ หลวนหยางก็ยังไม่กล้าประมาทง่ายๆ นี่คือสภาพจิตใจที่ตระกูลสูงศักดิ์ในยุทธภพจำเป็นต้องมี เป็นเหตุให้ตอนที่คนผู้นั้นจูงม้าขาวเดินไปตามตรอกเล็กใหญ่ หลวนหยางจึงให้ผู้ดูแลเฒ่าเหอหยาที่ใช้ข้ออ้างว่าช่วยนำทางติดตามไปด้วยระยะทางหนึ่ง กิ่งต้นสนและกิ่งต้นไป่ที่ติดไฟในเวลานั้นส่งกลิ่นหอมเย็นลอยมาปะทะจมูกซึ่งแผ่ปราณแห่งความยิ่งใหญ่เที่ยงตรงอย่างแท้จริง


แม้ว่าเหอหยาที่จะพอเข้าใจวิชาอภินิหารอย่างหยาบๆ เพราะโชควาสนานำพา ไม่ถือว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญอย่างแท้จริง แต่ในอดีตเคยติดตามนายท่านผู้เฒ่าหลวนขึ้นเหนือล่องใต้ไปทั่วทิศ ถือเป็นคนเก่าแก่ในยุทธภพที่มีความรู้กว้างขวางคนหนึ่ง แน่ใจว่าวิธีการของเซียนซือท่านนี้เป็นวิธีการที่ตระกูลเซียนใช้กันอย่างเปิดเผย ป้อมอินทรีบินที่เดิมทีก็อับจนหนทางให้ไปต่อถึงได้วางใจลงอย่างสิ้นเชิง


ดังนั้นเมื่อครึ่งชั่วยามก่อนเซียนซือชุดขาวท่านนั้นมือหนึ่งถือแส้ปัดฝุ่น อีกมือม้วนชายแขนเสื้อถือพู่กันจึงเขียนยันต์อักษรสีชาดภาพแล้วภาพเล่าลงบนเสาใหญ่ไม้หนานมู่ของห้องโถงใหญ่ได้อย่างราบรื่นดุจเมฆคล้อยน้ำไหล มองแล้วเจริญตาเจริญใจ


เหอหยาที่ทำหน้าที่เป็นอาจารย์สอนหนังสือของป้อมอินทรีบินยังถึงขั้นยืนประกบซ้ายขวา คอยช่วยถือตลับชาดสีแดงสดชุ่มราวกับจะเค้นน้ำออกมาได้ให้แก่เซียนซือท่านนั้นด้วยตัวเอง


ตอนนี้อาจารย์ผู้เฒ่าเหอหยากลับนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวหนึ่งอย่างไร้เรี่ยวแรง ถลึงตาปูดโปน ดวงตาที่เต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอยจ้องมองเซียนซือชุดขาวที่ยืนอยู่ระหว่างหลวนหยางและฮูหยินเขม็ง สีหน้าเหมือนอยากจะกินเนื้อดื่มเลือดของคนผู้นี้เต็มที


เขาแก่ปูนนี้ มองโลกอย่างเรียบง่ายมานานมากแล้ว อีกทั้งยังไม่มีลูกหลาน ทุกวันที่มีชีวิตอยู่ล้วนถือเป็นความกรุณาที่สวรรค์มอบให้เป็นพิเศษ จะต้องกลัวตายไปทำไม? แต่เหอหยาไม่อาจจินตนาการได้เลยว่าหลังจากตนตายไปแล้วจะมีหน้าไปพบเหล่าบรรพบุรุษของตระกูลหลวนได้อย่างไร


คนที่มีสิทธิ์นั่งอยู่ในห้องโถงใหญ่ ส่วนใหญ่ล้วนเป็นผู้เฒ่าแซ่หลวนของป้อมอินทรีบินที่อายุมากแล้ว บวกกับที่การเข่นฆ่าสังหารในตรอกเล็กของปีนั้นทำให้คนส่วนใหญ่สั่งสมอาการบาดเจ็บเรื้อรัง เลือดลมเสื่อมถอย พอสูดควันจากกิ่งสนกิ่งไป่จากในกระถางไฟเผาศาลนั่นเข้าไป แต่ละคนจึงหน้าดำคล้ำ แขนขาทั้งสี่กระตุกเกร็ง เกรงว่าไม่ต้องให้บุรุษชุดขาวลงมือ พวกเขาก็คงขาดใจตายไปเองก่อนแล้ว


ส่วนลูกหลานอายุน้อยที่ไม่มีที่นั่ง พวกเขาล้วนยืนอยู่ด้านหลังผู้อาวุโสในฝ่ายของตัวเอง พวกเขาล้วนมีวรยุทธ์ไม่สูง แต่ละคนนอนพังพาบอยู่บนพื้น ต้นกล้าที่มีตบะดีบางคนยังพอจะนั่งขัดสมาธิโคจรลมปราณ พยายามให้ตัวเองรักษาสติไว้ให้ได้มากที่สุด


บุรุษชุดขาวร่างสูงใหญ่ยังคงลูบแส้ปัดฝุ่นสีขาวหิมะในมือชิ้นนั้น เพียงแต่มืออีกข้างหนึ่งกดลงบนบ่าของหลวนหยางเจ้าปราสาทเบาๆ พลางยิ้มอ่อนเอ่ยว่า “เจ้าประมุขหลวนไม่จำเป็นต้องโทษตัวเอง ไม่ต้องรู้สึกว่าตัวเองชักนำหมาป่าเข้าบ้าน ข้าเล่นงานป้อมอินทรีบินเช่นนี้ก็แค่เพราะอยากจะประหยัดแรงสักหน่อย หากเปิดฉากสังหารขึ้นมาจริงๆ ชายชาตรีที่มีวรยุทธ์อย่างพวกเจ้าคงหนีพ้นความตายไปไม่ได้ ตั้งใจวางแผนมาหลายสิบปี คนมีใจเล่นงานคนไร้เจตนา หรือคนบนภูเขาเล่นงานคนล่างภูเขา พวกเจ้าไม่ตายแล้วใครจะตายล่ะ?”


ฮูหยินที่ยืนอยู่ข้างหลวนหยางตัวสั่นสะท้าน บรรดาคนทั้งหมดในห้องโถงใหญ่ มีเพียงนางที่สีหน้าเป็นปกติ คงเป็นเพราะไม่ได้รับควันพิษพวกนั้น แต่นางตกใจจนเสียขวัญมานานแล้ว ถึงอย่างไรนางก็เป็นเพียงหญิงสาวที่เติบโตขึ้นมาในป้อมอินทรีบิน อีกทั้งยังเป็นคนที่รักความสงบ ไม่ชอบความวุ่นวาย นอกจากบางครั้งที่ออกไปท่องเที่ยวช่วงฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วงแล้ว ชั่วชีวิตนี้นางไม่เคยไปไกลจากป้อมอินทรีบินเกินร้อยลี้ด้วยซ้ำ ไหนเลยจะทนรับกับมรสุมครั้งนี้ได้?


บุรุษร่างสูงใหญ่ยกมือออกจากไหล่ของหลวนหยางมาบิดใบหน้าของสตรีแต่งงานแล้ว การกระทำนุ่มนวล เต็มเปี่ยมไปด้วยความรักความเมตตา


แต่กลับไม่ใช่สายตาหื่นกามของบุรุษที่ปรารถนาในตัวสาวงาม เป็นสายตาของช่างคนหนึ่งที่มองผลงานชิ้นหนึ่งที่ภาคภูมิใจที่สุดในชีวิตเสียมากกว่า


เขาดึงมือกลับอย่างอาลัยอาวรณ์ กล่าวยิ้มๆ ว่า “โชคดีที่การต่อสู้ซึ่งเกิดขึ้นอย่างไม่ทราบสาเหตุครั้งนั้นไม่ได้เดือดร้อนมาถึงป้อมอินทรีบินของพวกเรา หากถูกคนมีใจมองแผนการครั้งนี้ออก สิ่งที่พวกเราทำลงไปก็เท่ากับขาดทุนย่อยยับ อันที่จริงตามแผนการที่วางไว้ก่อนหน้านี้ พวกเจ้ายังสามารถเสพสุขกับวันเวลาอันสงบสุขไปได้อีกครึ่งปี แต่อาจารย์ของข้ากังวลจริงๆ ว่าหากพวกผู้ฝึกตนบนเส้นทางเดียวกันที่พยายามทำทุกวิถีทางให้มีชีวิตรอดไปดึงดูดความสนใจของสำนักฝูจีขึ้นมาอีกครั้ง แบบนั้นจะทำอย่างไร? ดังนั้นพอข้าได้รับจดหมายลับจึงรีบเดินทางมาทันที”


ในห้องโถงใหญ่ไม่มีใครเปิดปากพูดได้ ดังนั้นเซียนซือท่านนี้จึงรู้สึกเบื่อหน่าย ไม่มีใครเออออคล้อยตาม จึงเหมือนมีข้อบกพร่องเล็กน้อยในความสมบูรณ์แบบ


บุรุษร่างสูงใหญ่มองไปยังทุกคนที่นั่งอยู่แล้วพูดถากถาง “พวกเจ้าแอบคิดว่าตัวเองจะโชคดี คิดว่านักพรตเฒ่าและนักพรตน้อยคู่นั้นจะช่วยพวกเจ้าได้ใช่ไหม? ขอแนะนำพวกเจ้าว่าจงตัดใจซะเถอะ ผู้ฝึกตนอิสระขอบเขตห้าคนหนึ่ง ข้าไม่ตบเขาให้ตายด้วยฝ่ามือเดียวก็ถือว่าเขาโชคดีแล้ว การที่ข้าไม่แตะต้องเขา ก็เพราะว่าปราณวิญญาณและเลือดลมอันน้อยนิดของพวกเขาสองคนยังพอจะมีประโยชน์เหมือนปักบุปผาลงบนผ้าแพรอยู่บ้าง”


เขารู้สึกเสียใจเล็กน้อย หากรู้แต่แรกว่าจะเป็นอย่างนี้คงไม่ใส่ยาลับลงไปในกระถางไฟมากมายถึงเพียงนั้น คนเป็นใบ้กันทั้งห้อง แม้แต่ด่าสักคำยังทำไม่ได้ ยิ่งอย่าหวังว่าจะเห็นภาพพวกเขาโขกหัวขอร้อง น่าเบื่อจริงๆ


ฉวยโอกาสที่อาจารย์ยังไม่ลงมือ บวกกับที่สถานการณ์โดยรวมมั่นคงขึ้นแล้ว เขาจึงอยากจะหาความบันเทิงเล็กๆ น้อยๆ ให้ตัวเอง พอกวาดตามองไปรอบด้าน สุดท้ายสายตาก็ไปหยุดนิ่งที่สตรีแต่งงานแล้วคนหนึ่งที่กำลังโคจรลมปราณกำจัดยาออกจากร่าง ก่อนหน้านี้มองไม่ออกจริงๆ ไม่นึกว่าสตรีเรือนกายเล็กบางจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสี่ที่อำพรางตัวได้อย่างมิดชิด สตรีมีตบะวรยุทธ์ในขั้นนี้ ถือว่าไม่ง่ายเลย


เขาเดินไปข้างหน้าช้าๆ แล้วทรุดตัวลงนั่งยอง บีบคางนาง สตรีแต่งงานแล้วสีหน้าเด็ดเดี่ยว สายตาคมปลาบ


เขายิ้มบางๆ หยิบขวดกระเบื้องที่ใสแวววาวจนส่องแทนกระจกได้ใบหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ ชำเลืองตาไปเห็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่มีใบหน้าคล้ายคลึงกับสตรีแต่งงานแล้วผู้นี้ อีกฝ่ายร่างกายอ่อนแอ ทรุดลงไปนอนอยู่กับพื้นนานแล้ว แขนขาทั้งสี่กระตุกเกร็ง ตาเหลือก ฟองขาวฟูมออกจากปาก ดูท่าคงมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน


ดวงตาของบุรุษเป็นประกาย น่าสนใจแหะ มีพรสวรรค์ในการฝึกตนไม่น้อย หากเอาไปโยนไว้ในพรรคลำดับสาม ไม่แน่ว่าอาจจะกลายเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดที่ได้รับความสำคัญคนหนึ่ง ในเมื่ออยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรให้ทำก็ผลักเรือตามน้ำสนับสนุนเขาสักครั้ง เจ้าเด็กนี่จะทำสำเร็จหรือไม่ จะสามารถมีชีวิตรอดไปเป็นลูกศิษย์ฝ่ายนอกของสำนักตนได้ไหม ก็ต้องดูที่วาสนาของเขาเองแล้ว


เพียงแต่ว่าก่อนจะเป็นเช่นนั้น ไม่ว่าเด็กหนุ่มจะเป็นหรือตายก็ล้วนมีโชควาสนาอันประเสริฐให้เสพสุข ส่วนคนอื่นๆ ในห้องโถงก็จะมีลาภตาให้มองกันจนอิ่ม


บุรุษที่แสร้งปลอมตัวเป็นผู้ฝึกตนจากไท่ผิงซานยื่นนิ้วไปกดตรงหว่างคิ้วของเด็กหนุ่ม จากนั้นเขาก็ยกมือขึ้น ลากเอาควันสีเขียวมรกตเหม็นคาวเส้นหนึ่งออกมา ก่อนที่มันจะรวมตัวกันเป็นลูกกลมหนึ่งลูก เขาดีดนิ้วเบาๆ หนึ่งครั้ง ควันกลุ่มนั้นก็กระจายไปทั่วห้องโถง


เด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาพลันมีสติกลับคืนมา กำลังจะอ้าปากพูดอะไรบางอย่าง บุรุษกลับยัดยาสีแดงเม็ดหนึ่งใส่ปากเขาเสียก่อน


เขาโยนเด็กหนุ่มไปไว้กลางห้องโถง แล้วโบกแส้ปัดฝุ่นหนึ่งครั้ง สลายลมปราณบริสุทธิ์แท้จริงในร่างของสตรีแต่งงานแล้วที่นางรวบรวมมาต้านควันพิษอย่างยากลำบาก จากนั้นค่อยบังคับลมผลักให้นางเข้าหาเด็กหนุ่ม


บุรุษยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “ทุกท่านโปรดรับชมให้ดี”


เด็กหนุ่มหน้าแดงก่ำ ขดตัวงอ ร่างสั่นเหมือนเป็นโรคลมชัก แต่พอเขามองเห็นสตรีแต่งงานแล้ว สายตากลับเร่าร้อนขึ้นมา ก่อนจะค่อยๆ ยืดตัวคืบคลานเข้าหานางช้าๆ


บุรุษจุ๊ปากพูด “สำนักนอกรีตนอกรอยอย่างพวกเรา เทียบกับสำนักใหญ่ที่เดินขึ้นฟ้าทีละก้าวอย่างมั่นคงไม่ได้ อุดมคติหรือความคิดบางอย่าง ไม่เพียงแต่ได้แค่เดินไปบนเส้นทางที่ไม่เหมือนคนอื่น ยังขัดต่อขนบธรรมเนียมประเพณีของโลก ที่น่ากลัวที่สุดก็คือความสำเร็จในท้ายที่สุดมีขีดจำกัด แม้แต่ธรณีประตูของขอบเขตโอสถทองก็ยังเป็นความเพ้อฝันที่เกินตัว”


กล่าวมาถึงตรงนี้บุรุษก็รู้สึกแค้นเคืองยากจะระงับอารมณ์ แต่แล้วก็หัวเราะ ยิ้มบางๆ พูดกับเด็กหนุ่มคนนั้น “แต่ก็อย่าได้ดูถูกสองขอบเขตอย่างชมมหาสมุทรและประตูมังกร เจ้าหนู เจ้ากินยาหนันเคอ (กิ่งก้านต้นไม้ที่เอนไปทางทิศใต้) ที่มีสรรพคุณดีเลิศเม็ดนั้นของข้าเข้าไป ตอนนี้จิตใจของเจ้าจะผ่อนคลาย เป็นความรู้สึกเหมือนการลอกคราบอย่างที่หาได้ยาก แต่หนึ่งในเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาของมนุษย์จะถูกขยายใหญ่อย่างไร้ขีดจำกัด นี่ก็คือวิชาลับไม่แพร่งพรายของสำนักข้า ส่วนอะไรคืออารมณ์อะไรคือปรารถนา ยาหนันเคอล้วนมีประเภทที่สอดคล้องกับพวกมัน เม็ดที่ข้ามอบให้เจ้าเป็นรางวัลมีราคาแพงที่สุด เจ้าอย่าปล่อยให้เสียเปล่าเด็ดขาดเชียว ขอแค่รักษาสติเสี้ยวหนึ่งไว้ได้ตั้งแต่ต้นจนจบ ระหว่างนี้เจ้าก็ปล่อยตัวเสพสุขให้เต็มที่ เมื่อทนไปได้ถึงท้ายที่สุด มีชีวิตรอดมาได้ ข้าจะรับเจ้าเป็นลูกศิษย์ เส้นทางการฝึกตนของเจ้าในอนาคตย่อมราบรื่น และต้องเลื่อนเป็นห้าขอบเขตกลางได้แน่นอน”


สตรีแต่งงานแล้วตื่นตกใจทำอะไรไม่ถูก แต่ร่างกลับขยับไม่ได้ ในที่สุดก็เผยความสิ้นหวังและหวาดกลัวออกมาเสี้ยวหนึ่ง


บุรุษยังคงเอ่ยยั่วยุเด็กหนุ่มต่อไป “วางใจเถอะ ทุกคนในห้องโถงใหญ่ล้วนต้องตายกันหมด ดังนั้นไม่มีอะไรที่เจ้าต้องกังวล วิถีสวรรค์ไร้น้ำใจ การฝึกตนไหนเลยจะมีแบ่งแยกดีชั่ว…”


บุรุษร่างสูงใหญ่ใจสั่นสะท้าน พลันเงยหน้าขึ้น กำด้ามแส้ปัดฝุ่นแน่น ตั้งท่าเหมือนเจอกับศัตรูตัวฉกาจ


เห็นเพียงว่าบนเสาคานมีคนผู้หนึ่งกำลังหาวอย่างเกียจคร้าน เขาก้มหน้าลงมองผู้ฝึกตนลัทธิมารผู้นั้น หยิบพัดไม้ไผ่จากชายแขนเสื้อมาพัดโบกเบาๆ “เจ้านี่มันน่าเบื่อจริงๆ ชอบพูดกับตัวเองมากขนาดนี้เลยรึ?”


เขาก็คือลู่ไถ


บุรุษหรี่ตากล่าว “สหายท่านนี้ ครั้งนี้เจ้ากับเด็กหนุ่มสะพายกระบี่แค่ผ่านทางมาดูเรื่องสนุก หรือคิดจะทำลายเรื่องดีๆ ของคนอื่น? หรือว่าศึกใหญ่กลางภูเขานอกป้อมอินทรีบิน พวกเจ้าสองคนก็คือคนในสถานการณ์?”


ลู่ไถชำเลืองตามองเด็กหนุ่มบนพื้นที่ถูกความใคร่มัวเมาจิตใจ ส่งเสียงจุ๊ๆๆ อยู่พักหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความรังเกียจ “เจ้าคิดว่าทั้งหมดนี้ล้วนมาจากผลของยาเม็ดนั้นใช่ไหม? ข้าจะบอกความจริงให้เจ้าฟังก็แล้วกัน ความใคร่ของเจ้าในเวลานี้ อย่างน้อยก็มีสามถึงสี่ส่วนที่เกิดจากความต้องการในใจของเจ้าจริงๆ ก็ไม่แปลกหรอกที่ไอ้หมอนี่จะถูกใจเจ้า เพราะเดิมทีเจ้ามันก็ไม่ใช่คนดีอยู่แล้ว”


เด็กหนุ่มที่มือข้างหนึ่งเกือบจะสัมผัสโดนหัวเข่าของสตรีแต่งงานแล้วเริ่มดิ้นรนขึ้นมาอีกครั้ง ทั้งในใจและร่างกายล้วนเป็นเช่นนี้ ดังเลือดเลือดจึงไหลออกจากทวารทั้งเจ็ด แต่กลับเป็นเลือดสีดำที่เปรอะเปื้อนเต็มใบหน้า กลิ้งตัวอยู่บนพื้นอย่างทรมาน


บุรุษร่างสูงใหญ่ไม่สะทกสะท้าน แค่รู้สึกเสียดายยาเม็ดนั้น เมื่อ ‘บุรุษบนเสาคาน’ ผู้นี้เปิดโผงความลับ จิตแห่งเต๋าที่เปราะบางของเด็กหนุ่มจึงแหลกสลายไปแล้ว


เดิมทีหากไม่มีใครช่วยฉีกกระดาษหน้าต่างชั้นนั้นออกให้เขา เด็กหนุ่มสามารถเดินไปบนทางที่มืดดำจนถึงที่สุดได้ก็ถือว่าเป็นทางออกอย่างหนึ่ง และยังสามารถกลายมาเป็นลูกศิษย์ของเขาได้จริงๆ นับแต่นี้จะได้เดินไปบนเส้นทางของการฝึกตน


ลู่ไถสีหน้าเฉยเมย ประกบสองนิ้วกรีดเบาๆ จากบนลงล่างหนึ่งครั้ง


กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตนามว่าเจินเจียนแหวกอากาศออกไป ตรงดิ่งเข้าสังหารเด็กหนุ่มที่กำลังเจ็บปวดทรมาน


สตรีแต่งงานแล้วผู้นั้นกระอักเลือดออกมาหนึ่งคำ ตะโกนเสียงดังใส่ลู่ไถ “อย่านะ!”


ปลายกระบี่ของกระบี่บินเจินเจียนที่ห่างจากลำคอของเด็กหนุ่มอีกแค่นิ้วเดียวพลันหยุดชะงัก


ลู่ไถมองสตรีแต่งงานแล้วที่ร้องไห้น้ำตาอาบหน้า “เขาตายไปจะสบายมากกว่า วันนี้หากยังมีชีวิตเดินออกไปจากที่นี่ ถ้าเขาไม่เกิดใจเคียดแค้นทำร้ายเจ้าจนตาย จากนั้นร่วงลงสู่วิถีมาร กาลเวลาในภายภาคหน้า เขาก็อาจจะทำให้ตัวเองอัดอั้นจนตายเพราะต้องทนรับคำเหยียดหยามจากผู้อื่น”


สตรีแต่งงานแล้วเอาแต่ส่ายหน้า พูดพึมพำซ้ำไปซ้ำมา “ขอร้องเซียนซืออย่าฆ่าเขา ขอร้องท่านอย่าฆ่าเขาเลย…”


บุรุษที่ถือแส้ปัดฝุ่นอยู่ในมือถามยิ้มๆ “ข้าแปลกใจนัก เจ้าบุกเข้ามาในค่ายกลแห่งนี้เงียบๆ ได้ยังไง?”


ลู่ไถมือหนึ่งถือพัด อีกมือหนึ่งวางบนเสาคาน ยิ้มตอบ “หากพูดกันถึงค่ายกล ดูเหมือนว่าจะไม่มีค่ายกลไหนที่ร้ายกาจกว่าค่ายกลที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษตระกูลข้า เจ้าว่ามันน่าโมโหหรือไม่?”


บุรุษหัวเราะฮ่าๆ แต่แล้วเสียงหัวเราะก็ขาดหายไปกลางคัน ทันใดนั้นร่างของเขาก็เริ่มสลับสับเปลี่ยนตำแหน่ง แส้ปัดฝุ่นสีขาวหิมะในมือที่สลักสองคำว่า ‘ขจัดทุกข์’ ส่งเสียงหวีดหวิวเหมือนเสียงลมหิมะดังเป็นระลอก ทุกครั้งที่เขาสะบัดแส้ก็จะต้องมีเส้นใยเส้นหนึ่งที่ทำมาจากหนวดหรือหางของสัตว์วิเศษในภูเขาแม่น้ำบางชนิดหลุดออกจากแส้ สาดยิงเข้าหาลู่ไถที่ยืนอยู่บนคาน


เส้นใยจากแส้ปัดฝุ่นจำแลงร่างกลายมาเป็นงูขาวที่หนาใหญ่เท่าแขนคน อีกทั้งยังมีปีกหนึ่งคู่ ทั่วร่างแผ่ไปเยียบเย็น เคลื่อนไหวว่องไวราวกับสายฟ้าแลบ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)