ยอดหญิงสกุลเสิ่น 291.2-221.1
ตอนที่ 219-2 สร้างความรำคาญใจต่อเนื่อง
ออกจากเรือนของพระชายาจิ้นอ๋องแล้ว สวีโย่วก็มองเสิ่นเวยปราดหนึ่ง กล่าวหนึ่งประโยค “ทำได้ไม่เลว”
“ขอบคุณสำหรับคำชม” เสิ่นเวยกะพริบตาดวงโตที่ใสวาว “วางใจได้ ข้ายังทำได้ดีกว่านี้อีก ต่อไปนี้ข้าจะปกป้องท่านเอง” นางรับปากด้วยความสบายใจอย่างถึงที่สุด
ดวงตาของสวีโย่วก็โค้งเป็นจันทร์เสี้ยว ทั้งสองสบตากันปราดหนึ่ง ต่างก็รู้สึกพอใจยิ่งนัก
สวีโย่วคิด เด็กน้อยของเขาไม่ใช่นายที่สามารถอยู่นิ่งๆ ในเรือนหลังได้ ต้องหาอะไรสนุกๆ มาให้นางเล่นเสมอ มิเช่นนั้นจะอึดอัดแย่
เสิ่นเวยเองก็คิด แต่งงานไม่สนุกเลยแม้แต่นิดเดียว น่าเบื่อจะตายอยู่แล้ว ซ้ำยังออกจากจวนไปเที่ยวไม่ได้ โชคดีที่ยังมีพระชายาจิ้นอ๋อง แกล้งนางหาความสนุกฆ่าเวลา มิเช่นนั้นชีวิตนี้ก็เงียบเหงาเกินไปจริงๆ!
อืม ไม่ใช่บอกไว้หรือว่าจวนจวิ้นอ๋องของพวกเขาสร้างเสร็จแล้ว เช่นนั้นเมื่อไรจะย้ายไปอยู่ได้เล่า พรุ่งนี้หรือ พรุ่งนี้ไม่ได้ พรุ่งนี้ต้องกลับบ้าน เช่นนั้นวันมะรืนหรือ คาดว่าก็คงไม่ได้เหมือนกัน พวกเขาเพิ่งจะแต่งงาน เพื่อให้ตนมีเกียรติ ท่านจิ้นอ๋องสองสามีภรรยาไม่มีทางปล่อยคนแน่นอน
เมื่อกลับมาถึงเรือน แม่นมมั่วก็มาขอคำสั่ง “ฮูหยิน สินเดิมของท่านจะให้เก็บอย่างไรเจ้าคะ”
เสิ่นเวยกะพริบตา มองสวีโย่วแล้วกล่าว “พวกเราคงไม่ได้อยู่ที่นี่ไปตลอดใช่หรือไม่”
สวีโย่วมองท่าทางของเสิ่นเวยที่บอกว่าขอเพียงแค่เจ้ากล้าพยักหน้าข้าก็ข่วนเจ้าได้ทันที จากนั้นก็ยิ้มพลางส่านหน้า “ไม่หรอก ผ่านเดือนแต่งงานไปพวกเราก็จะหาเหตุผลย้ายออกไป”
เสิ่นเวยถอนหายใจหนึ่งคราอย่างโล่งอกในชั่วขณะ กล่าวกับแม่นมมั่ว “ไม่ต้องเก็บ วางในไว้ห้องลงกลอนไว้เถอะ รอไปจวนจวิ้นอ๋องแล้วค่อยเก็บ” อย่างไรเสียถึงตอนนั้นก็ต้องยกไปอยู่ดี
แม่นมมั่วออกไปแล้ว สวีโย่วก็กล่าว “บ่าวในเรือนเจ้าพบหมดแล้วใช่หรือไม่”
เสิ่นเวยงงงัน ถามอย่างไม่เข้าใจ “ข้าจะไปพบบ่าวทำไม”
สวีโย่วทั้งขบขันทั้งโมโห จิตใจเด็กคนนี้ใหญ่จริงๆ เจ้าสาวคนอื่นแต่งเข้ามาก็ต้องกุมอำนาจก่อนมิใช่หรือ ไม่ใช่ว่าปรารถนาให้สามีเอ่ยประโยคนี้ขึ้นมาเองหรอกหรือ มีแต่เด็กสาวคนนี้ที่ยังถามด้วยสีหน้างุนงงทั้งใบหน้าว่าทำไม คิดถึงนิสัยของนาง สวีโย่วก็อดทนอธิบายให้นางฟัง “เพราะข้าไม่ได้อยู่ในจวนบ่อยๆ บ่าวในเรือนของพวกเราก็มีเยอะ หลายปีมานี้มีเจี่ยงปั๋วดูแล ถือเป็นพ่อบ้านใหญ่ของข้า เจียงเฮยเจียงไป๋ข้างกายข้าเจ้าก็รู้จักแล้ว คนที่เหลือ อืม ช่างเถอะ กลับไปข้าจะให้เจี่ยงปั๋วมาเคารพเจ้า คนที่เหลือไม่สำคัญ เจ้าก็ไม่ต้องไปพบ มีอะไรเรียกเจี่ยงปั๋วก็ได้แล้ว”
เสิ่นเวยพยักหน้า ไม่เก็บมาใส่ใจเลยแม้แต่นิดเดียว แม้แต่เรื่องในเรือนของตนนางก็โยนให้หลีฮวาและคนอื่นๆ จัดการ ตนไม่เคยทุกข์ใจเลยแม้แต่น้อย ฝั่งสวีโย่วนางก็ยิ่งไม่มีทางสอดมือเข้าไปยุ่ง
“หลีฮวา ไปเรียกเถาจือ เหอฮวา เถาฮวาพวกนางมาหาข้าทั้งหมด” จู่ๆ เสิ่นเวยก็ออกคำสั่ง แต่งเข้ามาสองวันนี้วุ่นวายโกลาหล นางเองก็ไม่ทันได้ถามว่าสาวใช้ที่ตามนางมาเหล่านี้เป็นอย่างไรบ้าง โดยเฉพาะเถาฮวากับฉาฮวา สองคนนี้อายุยังน้อย อีกทั้งเถาฮวายังโง่เขลา อย่าได้ถูกใครกลั่นแกล้งจึงจะดีที่สุด
“ท่านยังไม่ออกไปอีกหรือ” เสิ่นเวยชายตามองคนบางคนที่ยังคงนั่งบื้อเฉยเมยอยู่ในห้องไม่มีความคิดจะออกไปเลยแม้แต่นิดเดียว
สวีโย่วกล่าวด้วยความไร้เดียงสาอย่างยิ่ง “ไปไหนหรือ เจ้าไม่ใช่ว่าไม่รู้ ข้าเป็นคนว่างงาน ตอนนี้งานที่สำคัญที่สุดก็คือการอยู่กับฮูหยิน”
เสิ่นเวยถลึงตาใส่เขาปราดหนึ่ง “ข้าจะไปจัดการธุระแล้ว ท่านคิดว่าท่านอยู่ที่นี่จะดีหรือ”
สวีโย่วยื่นหน้ากล่าว “พวกเราไม่ใช่สามีภรรยาร่างเดียวหรอกหรือ ไม่เป็นไร เจ้าจัดการเรื่องเจ้าไป ข้าจะไม่รบกวนเจ้า”
“ตามใจท่าน” เสิ่นเวยกลอกตาขาว หยิบบันทึกท่องเที่ยวเล่มนั้นบนโต๊ะยัดใส่มือเขา “ไป ไปอยู่ตรงนั้น”
สวีโย่วถือบันทึกการท่องเที่ยวเดินไปอยู่ตรงมุมที่เสิ่นเวยชี้อย่างเชื่อฟัง ภาพๆ นั้นทำให้เจียงเฮยเจียงไป๋ที่อยู่นอกประตูแทบจะตาถลน สามีกลัวภรรยา คุณชายของพวกเขาเป็นสามีกลัวภรรยาไปแล้ว!
“คารวะฮูหยิน” ไม่นานนักเหล่าสาวใช้ก็เข้ามาแล้ว
หางตาของเสิ่นเวยกระตุก ทุกครั้งที่ได้ยินคำว่าฮูหยินสองคำนี้นางก็ไม่สบอารมณ์ทุกครั้ง! นางยังอายุไม่ถึงสิบหกปีเต็มเลย สาวใช้เรียกเช่นนี้ นางรู้สึกว่าตัวเองแก่แล้ว
“เป็นอย่างไร คุ้นชินแล้วหรือยัง” เสิ่นเวยเอ่ยปากถาม คนที่นางนำมามีไม่เยอะ เพราะรู้ว่าจะไม่ได้อยู่ที่จวนอ๋องนาน นางจึงให้คนส่วนใหญ่อยู่ที่เรือนเฟิงหวา คิดว่าอีกไม่กี่วันค่อยให้พวกเขาไปอยู่ที่จวนจวิ้นอ๋องโดยตรง
คนหลายคนมองหน้ากันปราดหนึ่ง เถาจือก้าวออกมาก่อน มองใครบางคนที่มุมห้องปราดหนึ่งแล้วจึงกล่าว “ทูลฮูหยิน พวกบ่าวสบายดียิ่งนัก คนฝั่งนี้ของคุณชายใหญ่ต่างก็เป็นมิตรมาก บ่าวรู้สึกไม่ต่างอะไรกับการอยู่ที่เรือนเฟิงหวาของพวกเรา”
เหอฮวาเย่ว์กุ้ยเองก็คล้อยตาม “ดีอย่างยิ่ง คนในเรือนคุณชายใหญ่ค่อนข้างเคารพพวกบ่าว อีกทั้งยังช่วยเหลือพวกบ่าวด้วยความกระตือรือร้น”
เสิ่นเวยย่อมสังเกตเห็นการเคลื่อนไหวของเถาจือแล้ว ถลึงตามองไปที่มุมห้องด้วยความไม่พอใจปราดหนึ่ง “พูดความจริง พวกเจ้าต่างก็เป็นคนที่ข้าพามา ในเมื่อติดตามนายเช่นข้า ข้าก็สามารถปกป้องพวกเจ้าได้ หากได้รับความไม่เป็นธรรมก็อย่าเก็บไว้กับตัวเอง คนที่ออกจากเรือนเฟิงหวาของพวกเราไม่มีกฎข้อนี้”
สาวใช้ไม่กี่คนมองหน้ากันและกัน ไม่รู้ว่าคุณหนูหมายความว่าอย่างไร ทว่าสวีโย่วที่มุมห้องกลับใช้หนังสือปิดใบหน้า ในดวงตาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
“ฮูหยิน พวกบ่าวสบายดีจริงๆ เจ้าค่ะ ไม่ถูกกลั่นแกล้งใดๆ” คราวนี้เย่ว์กุ้ยก้าวออกมาแล้ว
คิ้วของเสิ่นเวยขมวดมุ่น ยังคงไม่เชื่ออย่างยิ่ง นางคิดว่าจะต้องเป็นเพราะสวีโย่วอยู่พวกนางจึงไม่กล้าพูดความจริง ในละครต่างก็มีเหล่าสาวใช้ที่ตามเจ้าสาวออกเรือนทะเลาะเบาะแว้งกับเหล่าสาวใช้ในเรือนนายผู้ชายไม่ใช่หรือ แม้ว่าจะเป็นพี่รองที่แต่งเข้าบ้านฝั่งมารดาก็ยังเตือนนางว่าต้องระวังจุดนี้
ยังคงเป็นเถาฮวาที่เบ้ปาก กล่าวด้วยสีหน้าไม่พอใจทั้งใบ “คุณหนู เหตุใดท่านถึงเปลี่ยนเป็นฮูหยินแล้วเล่า ใช่หลังจากนี้ท่านจะไม่ใช่คุณหนูของข้าแล้วหรือไม่”
เสิ่นเวยหน้าเหยเก นางเองก็ไม่อยากเป็นฮูหยินบ้าอะไรนี่เหมือนกัน! ทว่าแต่ละคนต่างก็เรียกนางฮูหยิน นางจะไม่รับได้อย่างไร เห็นท่าทีสับสนและเป็นกังวลทั้งใบหน้าของเถาฮวา ในใจเสิ่นเวยก็อบอุ่น เฮ้อ ยังคงเป็นเด็กโง่คนนี้ที่ดี
“คุณหนูแต่งงานแล้วก็ต้องเป็นฮูหยินสิ! ถ้าเถาฮวาไม่ชินก็เรียกคุณหนูก็ได้ เถาฮวาของพวกเรายอดเยี่ยมขนาดนั้น คุณหนูไปไหนก็ต้องพาเจ้าไปด้วยแน่นอน” เสิ่นเวยกล่าวปลอบนาง
“จริงหรือ ดีจริงๆ” ใบหน้าเล็กๆ ที่ยับยู่ของเถาฮวาเบิกบานทันที ตบมือร้องดีใจ ทำให้เสิ่นเวยอิจฉาอย่างถึงที่สุด มีความสุขก็ยิ้ม ไม่มีความสุขก็ร้องไห้ นี่ไม่ใช่วาสนาอย่างหนึ่งหรอกหรือ
“แต่ว่าพี่เถาจือไม่ให้ข้าออกจากเรือน แล้วยังไม่ให้ข้ามาหาคุณหนูอีกด้วย” เถาฮวายิ้มเสร็จแล้วก็ฟ้องขึ้นมา
เสิ่นเวยมองเถาฮวาปราดหนึ่ง เห็นความจนใจบนใบหน้าของนาง ย่อมต้องเข้าใจว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น นางบีบแก้มเล็กๆ ของเถาฮวา กล่าว “พี่เถาจือของเจ้าหวังดีต่อเจ้า นี่ไม่ใช่เรือนเฟิงหวาของพวกเรา หากเจ้าวิ่งออกไปก่อเรื่องจะถูกโบยเอาได้” เสิ่นเวยขู่นางหนึ่งประโยคก่อน แล้วจึงกล่าว “แต่ว่าพวกเราก็อยู่ที่นี่อีกไม่นาน รอไปจวนจวิ้นอ๋องแล้วเจ้าอยากเล่นซนอะไรก็ย่อมได้ ตอนนี้ก็ทนไปก่อน”
เห็นเถาฮวายังคงไม่มีความสุขเล็กน้อย เสิ่นเวยก็เกลี้ยกล่อมนางอีก “เอาล่ะ เลิกเบะปากได้แล้ว พรุ่งนี้กลับบ้าน เถาฮวาก็ตามคุณหนูกลับจวนโหวด้วยกันดีหรือไม่ พวกเราไม่พาพี่เถาจือของเจ้าไป ลงโทษให้นางอยู่ดูแลเรือนที่จวนอ๋องแทน”
เถาฮวาดีใจขึ้นมาอีกครั้ง จากนั้นเสิ่นเวยก็ถามฉาฮวาครู่หนึ่ง จากนั้นจึงไล่พวกนางออกไป
เสิ่นเวยเดินไปตรงหน้าสวีโย่วด้วยความโมโห ดึงบันทึกท่องเที่ยวในมือเขาออกแล้วโยนไปบนโต๊ะ “ดูสิ ดูสิ เพราะท่านคนเดียวเลย ท่านอยู่ในห้องสาวใช้ของข้าเลยไม่กล้าพูดความจริง ข้าจะบอกท่านให้ หากสาวใช้ใหญ่ในเรือนท่านรังแกพวกเขา ข้าไม่ยอมแน่”
“เด็กโง่!” สวีโย่วบีบแก้มเล็กๆ ที่ดีดเด้งของเสิ่นเวยหนึ่งครา กล่าว “ในเรือนข้าไหนเลยจะมีสาวใช้ใหญ่ นอกจากหญิงชราใช้แรงงานไม่กี่คน ที่เหลือล้วนแต่เป็นบ่าวรับใช้ผู้ชาย จะเอาที่ไหนมารังแกสาวใช้ของเจ้าได้ เจ้าวางใจได้เลย พวกเขายังไม่แต่งภรรยาทั้งสิ้น ยังไม่ทันได้เอาใจพวกนางด้วยซ้ำ จะเอาที่ไหนมารังแกได้”
เสิ่นเวยไม่เชื่ออย่างยิ่ง กล่าวอย่างระแวง “ท่านไม่ได้โกหกข้าหรือ ข้างกายคุณชายตระกูลใดบ้างไม่มีสาวใช้ปรนนิบัติติดตัว แล้วดูจากแม่เลี้ยงของท่าน จะปล่อยโอกาสอันดีนี้ไปได้อย่างไร”
มุมปากสวีโย่วปรากฎความเหยียดหยาม “นางไม่ยอม หลายปีก่อน หญิงสาวมากมายในเรือนข้าวุ่นวายยิ่งนัก ต่อมาถูกข้าหาโอกาสลงโทษหนึ่งครั้ง พวกนางก็เชื่อฟังแล้ว เพราะว่าข้าอยู่บนเขาตลอดทั้งปี สาวใช้ที่มีปณิธานเหล่านั้นจึงหาหนทางเดินออกไปเกือบหมดแล้ว หลังข้ากลับมาก็ถือโอกาสขับไล่ออกไปทั้งหมด เปลี่ยนเป็นหญิงชราและเด็กรับใช้แทน”
แม้ว่าสวีโย่วจะพูดอย่างเรียบง่าย แต่เสิ่นเวยก็ยังคงได้ยินความลำบากจากในนั้นได้ สวีโย่วมองแววตาเล็กๆ ที่เห็นอกเห็นใจของเสิ่นเวย รู้ว่านางคิดมากอีกแล้ว
เฮ้อ ความสงสารของภรรยาที่ชอบคิดว่าตนได้รับความไม่เป็นธรรมต้องแก้อย่างไรกันนะ
ตอนที่ 220-1 ก่อนกลับบ้าน
เสิ่นเวยเห็นใจสวีโย่วครู่หนึ่ง จู่ๆ ก็นึกเรื่องบางเรื่องขึ้นได้ “ข้าต้องไปหาเสด็จแม่หรือไม่ เอ่อ ที่ข้าหมายถึงคือต้องไปจุดธูปกราบไหว้เสด็จแม่แท้ๆ ของพวกเราหรือไม่” แม้ว่าจะเสียชีวิตแล้ว แต่นั่นก็คือแม่สามีที่แท้จริงของนาง
สวีโย่วยังคิดไม่ถึงเรื่องนี้จริงๆ ตั้งแต่เล็กเขาก็ไม่เคยเห็นแม่แท้ๆ มาก่อน มารดาสำหรับเขาแล้วเป็นเพียงสัญลักษณ์ที่แปลกหน้าเท่านั้น ย่อมไม่ต้องเอ่ยถึงความผูกพันใดๆ ตอนเด็กๆ ยังคิดว่า หากแม่ยังอยู่ เสด็จพ่อก็คงจะไม่เฉยชาต่อเขาเพียงนั้นกระมัง เมื่อโตขึ้นจึงได้รู้ว่าตนไร้เดียงสา ต่อให้แม่เขาจะยังมีชีวิตอยู่ คาดว่าก็คงจะถูกเสด็จพ่อของเขากับพระชายาคนปัจจุบันที่ชั่วช้าคู่นั้นทำให้โกรธจนอกแตกตาย
“เช่นนั้นก็ไปเถอะ” สวีโย่วคิด รู้สึกเหมือนกันว่าควรไปจุดธูปให้แม่ของเขาบ้าง อย่างไรเสียนั่นก็คือผู้ให้กำเนิดเขา เขาแต่งงานแล้วจะไม่บอกนางสักคำได้อย่างไร
สวีโย่วพาเสิ่นเวยไปยังศาลบรรพบุรุษในจวน เมื่อเดินเข้าไปกลิ่นอายที่ดำมืดสลัวก็โผเข้ามา เสิ่นเวยยังคิดว่าจะเหมือนกับศาลบรรพบุรุษในจวนโหวที่วางเบียดเสียดแน่นขนัดไปด้วยแท่นบูชา ใครจะรู้มองเห็นแท่นบูชาหนึ่งแท่นของแม่สามีวางอยู่ตรงนั้นอย่างโดดเดี่ยว เมื่อคิดๆ ดูก็เข้าใจแล้ว ตระกูลพวกเขาคือราชวงศ์ มีบรรพบุรุษเดียวกันกับฝ่าบาท บรรพบุรุษรุ่นก่อนรวมถึงฮ่องเต้องค์ก่อนและไทเฮาจะต้องมีที่บูชาโดยเฉพาะเป็นแน่
“ยายหรู ข้าพาเสิ่นซื่อมากราบไหว้เสด็จแม่” สวีโย่วกล่าวกับหญิงชราผู้ดูแลศาลบรรพบุรุษเพียงหนึ่งเดียว หลังจากนั้นก็หันหน้าอธิบายให้เสิ่นเวยฟัง “ยายหรูคือคนรับใช้ข้างกายเสด็จแม่ ตอนที่ข้าเด็กๆ ก็ยังเคยดูแลข้า ต่อมาก็มาดูแลแท่นบูชาของเสด็จแม่ที่นี่”
เสิ่นเวยพยักหน้า คำนับหญิงชราที่มีรอยย่นทั่วใบหน้า ผมขาวทั่วศีรษะผู้นั้นด้วยความจริงใจหนึ่งครา นางรู้ว่าคนที่สามารถทำให้สวีโย่วแนะนำอย่างจริงจังเช่นนี้ได้จะต้องเป็นคนที่เขาเคารพ
หญิงชราผู้นั้นรีบหลบไปอยู่ข้างๆ “มิบังอาจรับการคำนับของฮูหยินใหญ่หรอกเจ้าค่ะ”
ทว่าเสิ่นเวยกลับยืนกรานคำนับจนเสร็จ หญิงชราผู้นั้นขมุบขมิบริมฝีปาก ครู่ใหญ่จึงเอ่ยคำดีๆ สามคำ ในดวงตาชราภาพที่ขุ่นมั่วคู่นั้นมีประกายความเมตตาปรากฎขึ้น
โต๊ะที่บูชาพระชายาจิ้นอ๋องคนก่อนถูกปัดกวาดจนสะอาดอย่างยิ่ง ข้างบนวางของไหว้ไว้จำนวนหนึ่ง ธูปหนึ่งดอกในกระถางธูปกำลังจุดไฟลุกโชน ท่ามกลางควันธูปที่วนเป็นเกลียวเสิ่นเวยมองเห็นบนแท่นบูชาเขียนไว้ว่าสุสานของต้วนซื่อเฉินสุ่ย เสิ่นเวยคุกเข่าหน้าแท่นบูชากราบด้วยความเคารพสามครา กล่าวเสียงเบา “เสด็จแม่ ข้าคือลูกสะใภ้ของท่าน หากท่านอยู่บนฟ้าก็ของให้ท่านกลับให้สบาย หลังจากนี้ลูกจะดูแลคุณชายใหญ่ให้เป็นอย่างดี”
สวีโย่วจ้องมองแท่นบูชา นิ่งเงียบไม่พูด ยายหรูมองฮูหยินใหญ่วัยเยาว์ที่คุกเข่าอยู่บนเบาะกลมด้วยเคารพ หันหลังกลับไปเช็ดน้ำตาเงียบๆ
จุดธูปให้แม่สามีเสร็จแล้วเสิ่นเวยก็ออกไปพร้อมกับสวีโย่ว ยายหรูยืนอยู่หน้าประตูศาลบรรพบุรุษ รู้ว่ามองไม่เห็นเงาร่างของพวกเขาอีกแล้วจึงหันหลังกลับมา นางเดินเข้าไปในศาลบรรพบุรุษที่มืดทึบ จ้องมองแท่นบูชาด้วยสายตาอ่อนโยน “คุณหนู ท่านเห็นแล้วหรือยัง คุณชายใหญ่แต่งงานแล้ว ฮูหยินใหญ่ดูเป็นเด็กดีรู้ประสา ท่านวางใจเถิด! ข้าเคยรับปากท่านว่าจะดูแลคุณชายใหญ่ให้ดี ตอนนี้มีฮูหยินใหญ่แล้ว ท่านก็ยิ่งวางใจได้แล้วมิใช่หรือ บุญคุณย่อมต้องตอบแทน ข้ารู้ว่าท่านไม่ยินยอม ข้าจะคอยสอดส่องแทนท่าน ท่านวางใจเถิด”
ควันดำในกระถางธูปลอยวนขึ้นมา แท่นบูชาของต้วนซื่อคล้ายผลุบคล้ายโผล่
พระชายาจิ้นอ๋องกุมอกนั่งพิงอยู่บนตั่งนุ่ม รู้สึกเพียงเส้นเลือดดำบนศีรษะกำลังเต้น แววตาแม่นมซือที่อยู่ข้างๆ มีความกังวลแวบผ่าน กล่าวโน้มน้าว “พระชายา เรียกหมอเถอะเจ้าค่ะ ท่านไม่อาจเมินเฉยร่างกายของตัวเองได้นะเจ้าค่ะ!”
“ไม่ต้อง” พระชายาโบกมือ เหตุใดนางถึงเจ็บหน้าอกในใจนางรู้ดี แต่กลับพูดออกมาไม่ได้ก็เท่านั้นเอง
นายดื้อรั้น คนเป็นบ่าวย่อมต้องเกลี้ยกล่อม แม่นมซือกล่าวต่อ “บ่าวทราบว่าท่านคิดแทนคุณชายใหญ่สองสามีภรรยา แต่ร่างกายของท่านไม่สบายก็ไม่อาจทนเช่นนี้ได้”
จู่ๆ พระชายาจิ้นอ๋องก็ใจเต้น ถอนหายใจหนึ่งครากล่าว “ช่างเถอะ ไปเชิญหมอมา จำไว้ว่าทำเงียบๆ” คุณชายใหญ่เพิ่งจะพาฮูหยินคนใหม่มาเคารพ เรือนของพระชายาก็เชิญหมอมา อย่าว่าแต่ความจริงเป็นเช่นไร ตัวเรื่องนี้ก็เพียงพอที่จะดึงดูดความสนใจจากผู้อื่นแล้ว
เร็วอย่างยิ่งหมอก็มาถึงแล้ว จับชีพจรให้พระชายาจิ้นอ๋อง พูดทำนองว่าจุกอยู่ในอก เกิดภาวะร้อนขึ้นปอดไม่กี่ประโยค จากนั้นก็เขียนใบสั่งยา
หมอเพิ่งจะไปหวาอวิ๋นก็เข้ามาแล้ว ท่าทางอยากพูดแต่ไม่กล้าพูด พระชายาจิ้นอ๋องก็เข้าใจว่านางมีเรื่องจะบอก “ว่ามาเถอะ เกิดเรื่องอะไรขึ้น”
หวาอวิ๋นลังเลครู่หนึ่ง จากนั้นจึงกล่าวเสียงเบา “สาวใช้เบื้องล่างรายงานว่าคุณชายใหญ่พาฮูหยินใหญ่ไปศาลบรรพบุรุษเจ้าค่ะ” พูดประโยคนี้จบศีรษะของนางก็ก้มต่ำลงไป ไม่กล้ามองสีหน้าของพระชายา
“เขากลับกตัญญู” ดวงตาพระชายาจิ้นอ๋องมีความน่าสะพรึงกลัวแวบผ่าน ฟันในปากกัดดังกึกๆ คนชั่ว คนอกตัญญูเลี้ยงไม่เชื่อง ต้วนซื่อเน่าเปื่อยจนไม่เหลือแม้แต่เถ้ากระดูกไปนานแล้ว เขากลับยังจำได้ว่านั่นคือแม่ของเขา! หากรู้อย่างนี้ หากรู้อย่างนี้ตอนนั้นนางหยิกเขาให้ตายก็จบแล้ว
นางยังมีชีวิตอยู่ดีๆ แม้แต่เคารพเขายังขี้เกียจมา แต่กลับพาฮูหยินคนใหม่ไปกราบไหว้คนตาย นี่ไม่ใช่เป็นการตบหน้านางหรือ เสิ่นซื่อผู้นั้นก็ไร้คุณธรรม ไม่โน้มน้าว ซ้ำยังตามไปอีกด้วย ดวงซวยจริงๆ! ยิ่งนึกถึงเรื่องเมื่อเช้า พระชายาจิ้นอ๋องก็รู้สึกว่าเสิ่นซื่อผู้นั้นหน้าตาน่าเกลียดขึ้นมาแล้ว
นางโมโหจนกระทั่งดึงปิ่นระย้าบนศีรษะโยนทิ้งไป ของผุพังอะไรยังกล้าเอามาเสียบบนผมนาง คนไม่มีความรู้ตาไม่มีแววเช่นนี้ ต่อให้ยกนางก็ยังประคองขึ้นกำแพงไม่ได้ คนโง่ คนไร้ประโยชน์!
สาวใช้ที่ปรนนิบัติภายในห้องต่างก็ตกใจจนไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง แม้พวกนางจะอายุน้อย แต่ตั้งแต่เข้าเรือนของพระชายามาก็ได้รับคำเตือนจากผู้อื่น รู้ว่าพระชายาคนก่อนหน้านั้นเป็นบุคคลต้องห้ามในใจของพระชายา ไม่มีใครกล้าเอ่ยขึ้นมา
แม่นมซือมองใบหน้าที่ดุร้ายน่ากลัวของพระชายาปราดหนึ่งด้วยความระมัดระวัง โบกมือไล่คนในห้องทั้งหมดออกไป “พระชายาโปรดระงับโทสะ ท่านจะคิดเล็กคิดน้อยกับคนตายไปไย เหมือนอย่างที่ท่านว่า นางเน่าเปื่อยจนไม่เหลือแม้แต่เถ้ากระดูกไปนานแล้ว แต่ท่านกลับนั่งเสพสุขสำราญ ข้างกายยังมีคุณชายทั้งสามอยู่ข้างๆ ท่านชนะตั้งนานแล้ว”
“ข้าแค่กล้ำกลืนความโกรธนี้ไม่ลง นางตายแล้ว แต่กลับทิ้งหนี้ไว้สร้างความรำคาญใจให้ข้า” จิ้น
พระชายาท่าทางเคียดแค้นยากจะบรรเทา ครั้งนี้นางเจ็บใจจริงๆ เส้นเลือดดำบนหน้าผากเต้นตุบๆ ทำให้นางว้าวุ่นใจ อยากขว้างปาของตรงหน้าทั้งหมด
แม่นมซือรีบก้าวขึ้นไป นวดศีรษะของให้พระชายาด้วยความช่ำชอง “หากท่านเห็นพวกเขาขวางหูขวางตาก็ไล่ออกไปสิเจ้าค่ะ อย่างไรเสียคุณชายใหญ่ก็ได้รับพระราชทานจวนจวิ้นอ๋องแล้ว ท่านไม่อยากเห็นพวกเขาก็ให้พวกเขาย้ายออกไป”
“หยุดคิดเลย!” พระชายาจิ้นอ๋องลุกขึ้นนั่งทันที ดวงตาประหนึ่งเคลือบยาพิษ “เขาอยากย้ายออกไปมีชีวิตของตัวเองงั้นหรือ ฝันไปเถอะ! ข้าไม่ปล่อยเขาก็อย่าได้คิดจะย้ายออกจากจวนอ๋องเลย”
ย้ายออกจากจวนอ๋องนางก็เหนือบ่ากว่าแรงแล้ว มีเพียงอยู่ในสายตานางจึงวางใจได้ จึงจะสามารถเห็นคนชั่วผู้นั้นไร้ผู้สืบทอด ต้วนซื่อ เจ้าคอยดู เจ้าคอยดูข้าเถอะ
แม่นมซือเห็นท่าทีก็ถอนหายใจเบาๆ ในใจ พระชายาคนก่อนกลายเป็นหนามยอกอกของพระชายาแล้ว พระชายากระวนกระวายจิกไว้ไม่ปล่อยเช่นนี้ ไม่ใช่เพราะตนไม่ปล่อยวางเองหรอกหรือ นางว่า ในเมื่อเห็นคุณชายใหญ่ขวางหูขวางตา ก็แยกออกไปเสีย ไม่เห็นก็ทำอะไรไม่ได้ ไยจะต้องให้อยู่ในสายตาเพื่อสร้างความรำคาญใจให้ตนเพิ่มด้วยเล่า
แต่อย่างไรเสียนางก็เป็นเพียงคนใช้ แม้ว่าจะมีสัมพันธไมตรีกับพระชายาหลายส่วน แต่กลับไม่กล้าล่วงเกินพระชายาอยู่ดี!
เสิ่นเวยฝั่งนั้นก็รู้เรื่องของต้วนซื่อแม่สามีนางแล้ว
ต้วนซื่อพระชายาจิ้นอ๋องคนก่อนนามว่าเฉินสุ่ย เป็นคนที่ฮ่องเต้องค์ก่อนทรงพากลับมาจากการเสด็จเยี่ยมเยียนประชาชนในปีหนึ่ง ว่ากันว่าเป็นบุตรสาวของสหายเก่า สหายเก่าฝากฝังไว้ก่อนตาย ปีนั้นต้วนซื่อเพิ่งจะอายุได้แปดปี
แม้ฮ่องเต้องค์ก่อนจะบอกว่าเป็นบุตรสาวของสหายเก่า แต่แทบจะไม่มีใครเชื่อข้ออ้างนี้ ต่างก็คิดว่าเป็นไข่มุกล้ำค่าในหมู่ประชาชนของฮ่องเต้องค์ก่อน ฮ่องเต้องค์ก่อนปฏิบัติต่อต้วนซื่อดีอย่างถึงที่สุด เงินเดือนสวัสดิการล้วนเหมือนกับองค์หญิง อีกทั้งยังมักจะเจียดเวลามาเสวยพระกระยาหารเป็นเพื่อน นี่ก็ยิ่งทำให้ทุกคนมั่นใจว่าต้วนซื่อเป็นบุตรสาวลับๆ ของฮ่องเต้องค์ก่อน
ชั่วพริบตาก็ผ่านไปอีกแปดปี ต้วนซื่ออายุสิบหกปีแล้ว ควรจะเลือกเขยออกเรือนได้แล้ว ฮ่องเต้องค์ก่อนตัดใจให้นางแต่งออกจากวังไม่ได้ จึงอยากให้เลือกหนึ่งคนจากลูกชายทั้งหลายของพระองค์ ถามความคิดเห็นของต้วนซื่อ ด้วยเหตุนี้พระราชโองการหนึ่งฉบับจึงประกาศว่าต้วนซื่อเลือกจิ้นอ๋องสวีจิ่ง คิดว่ามีการดูแลของตนแล้วต้วนซื่อจะสามารถมีความสุขได้ ไหนเลยจะรู้ว่านี่จะกลายเป็นจุดเริ่มต้นชะตาที่เศร้าโศกของต้วนซื่อ
พระราชโองการสมรสประกาศออกมา ทุกคนจึงเชื่อจริงๆ ว่าต้วนซื่อไม่ใช่บุตรสาวฮ่องเต้ อิจฉา
จิ้นอ๋องที่โชคดีอย่างอดไม่ได้ มีภรรยาที่ได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาทผู้นี้ ก็เท่ากับได้รับความช่วยเหลือที่ใหญ่อย่างยิ่ง!
ทว่าจิ้นอ๋องสวีจิ่งที่ถูกคนอิจฉาริษยาโกรธเกลียดกลับตกใจราวกับถูกฟ้าผ่า เพราะเขามีนางในใจอยู่ก่อนแล้ว กำลังรอโอกาสที่เหมาะสมจะเอ่ยต่อพระบิดา พระราชโองการสมรสฉบับนี้ประกาศออกมาก็โจมตีเขาจนมึนงง
นางในใจของจิ้นอ๋องก็คือซ่งหลินหลาง บิดานางคืออธิการบดีประจำสำนักราชบัณฑิตหลวง ว่ากันตามเหตุผลในด้านฐานะก็คู่ควรกับจิ้นอ๋องแล้ว เหตุใดจิ้นอ๋องถึงไม่กล้าเอ่ยต่อฮ่องเต้องค์ก่อนเสียที นั่นก็เพราะว่าสองปีก่อนอธิการบดีซ่งป่วยตาย หนึ่งคือซ่งหลินหลางยังอยู่ในช่วงไว้ทุกข์ สองคือหลังจากอธิการบดีซ่งป่วยตายฐานะของซ่งหลินหลางก็ไม่ค่อยคู่ควรกับจิ้นอ๋องแล้ว
และเพราะว่าจิ้นอ๋องรู้อยู่แก่ใจว่าพ่อเขาไม่อาจตอบรับง่ายๆ จึงไม่กล้าเอ่ยปาก ดังนั้นจึงมีพระราชโองการสมรสฉบับนี้ขึ้นมา
พูดได้ว่าจิ้นอ๋องสวีจิ่งผู้นี้ไม่ใช่คนที่มีความรับผิดชอบ แม้จะคิดถึงซ่งหลินหลาง แต่กลับไม่มีความกล้าพอจะคัดค้านพระราชโองการ แม้แต่จะอธิบายกับพ่อเขาเรื่องนางในใจยังไม่กล้า ทุกวันเอาแต่ถอนอกถอนใจดื่มสุราคลายทุกข์
เป็นเช่นนี้ ต้วนซื่อยกขบวนสินสอดสิบลี้แต่งเป็นพระชายาจิ้นอ๋อง จิ้นอ๋องปฏิบัติต่อนางไม่ค่อยดีนัก แต่ก็ไม่นับว่าแย่มาก ครึ่งปีผ่านไป ต้วนซื่อตั้งครรภ์ ฮ่องเต้องค์ก่อนดีใจยิ่งนัก ของขวัญส่งไปที่พระชายาจิ้นอ๋องราวกับสายน้ำ ทั้งยังทรงมีพระเมตตาให้จิ้นอ๋องเข้าไปฝึกงานในกรมพระคลังเป็นพิเศษ นี่แทบจะทำให้พี่น้องทั้งหมดของจิ้นอ๋องอิจฉาตาร้อน แม้ว่าจะเป็นจักรพรรดิยงเซวียนในปัจจุบันพี่ชายแม่เดียวกันของเขาก็ยังเจ็บปวดใจ
ใครจะรู้จิ้นอ๋องผู้นี้เป็นคนไร้ประโยชน์ ช่วงที่ต้วนซื่อตั้งครรภ์ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงได้รื้อฟื้นรักในอดีตกับซ่งหลินหลางผู้นั้น ซ้ำยังมีความสัมพันธ์ลับๆ ตอนที่ต้วนซื่อตั้งครรภ์ได้หกเดือน ซ่งหลินหลางก็ใกล้จะตั้งท้องได้สามเดือนแล้ว
ตอนที่เรื่องนี้แดงขึ้นมา ทุกคนตกตะลึง ฮ่องเต้องค์ก่อนทรงพิโรธ ต้วนซื่อแพ้ท้องกะทันหัน หากไม่ใช่ว่าหมอหลวงมาทันเวลา เกรงว่าทารกในครรภ์ก็คงจะไม่รอด
ไม่รู้ว่าท่านจิ้นอ๋องลุ่มหลงอยู่ที่ใด จะเป็นจะตายก็ต้องแต่งซ่งหลินหลางเข้าจวนเป็นชายารองให้ได้ ฮ่องเต้องค์ก่อนทรงพิโรธ หากไม่ใช่ว่าเป็นลูกแท้ๆ ของเขาเขาก็คงจะให้คนลากออกไปฟันทิ้งแล้ว เขาไม่ได้คัดค้านไม่ให้ลูกชายแต่งชายารอง แต่ก็ไม่อาจใช้วิธีนี้ได้ ท้องก่อนแต่ง เห็นได้ถึงนิสัยของซ่งหลินหลางผู้นั้น เดิมเขาคิดจะประหารชีวิตซ่งหลินหลางให้สิ้นเรื่อง แต่จิ้นอ๋องยืนกรานจะปกป้อง ซ้ำยังโวยวายว่าหากซ่งหลินหลางเป็นอะไรไปเขาก็จะไม่อยู่เช่นเดียวกัน แม้ฮ่องเต้องค์ก่อนจะเป็นกษัตริย์ แต่ก็ทนเห็นลูกชายไปตายไม่ได้ ภายใต้ความโกรธจึงถือโอกาสไม่สนใจ ตรัสเพียงแค่ ‘ซ่งหลินหลางจะไม่ตายก็ได้ แต่ไม่อาจแต่งเข้าจวนจิ้นอ๋องด้วยฐานะชายารองได้เป็นอันขาด เป็นได้เพียงอนุภรรยาเท่านั้น’
ฐานะอนุภรรยาต้อยต่ำยิ่งนัก ซ่งหลินหลางย่อมไม่ยอม นางทุ่มเทความคิดไม่ใช่เพื่อที่จะไปเป็นอนุภรรยาต้อยต่ำคนหนึ่งในจวนจิ้นอ๋อง เดิมนางก็พุ่งไปยังตำแหน่งพระชายาจิ้นอ๋องแล้ว นางคิดคำนวณมาดีแล้ว ต้วนซื่อตั้งครรภ์ได้หกเดือน ครรภ์เองก็ไม่ค่อยดี มีอุบัติเหตุเล็กๆ น้อยๆ ก็สามารถคร่าได้สองชีวิต น่าเสียดายที่นางโชคดี คาดไม่ถึงว่ารอดพ้นไปได้
ซ่งหลินหลางด้านหนึ่งก็เสแสร้ง อีกด้านหนึ่งก็ถ่วงเวลาเข้าจวนอ๋อง นางรู้ดีแก่ใจ ขอเพียงแค่นางเข้าจวนอ๋องในฐานะอนุภรรยา เช่นนั้นชั่วชีวิตนี้ของนางก็จบเห่แล้ว นางจะยอมได้อย่างไร
ภายใต้น้ำตาและการโจมตีอย่างอ่อนโยนของซ่งหลินหลาง จิ้นอ๋องที่เดิมลุ่มหลงอยู่แล้วก็ยิ่งเสียสติ คาดไม่ถึงว่าบีบบังคับต้วนซื่อ บีบให้นางไปขอฮ่องเต้อง์ก่อน อนุญาตให้ซ่งหลินหลางเข้าจวนด้วยฐานะชายารอง ต้วนซื่อมีนิสัยอ่อนแอ แต่นางกลับไม่โง่ จะไปขอฮ่องเต้องค์ก่อนได้อย่างไร
จิ้นอ๋องที่อับอายจนโมโหก็ผลักต้วนซื่อหนึ่งครา ชนกำแพงพอดี ตอนนั้นทารกในท้องนางกำลังจะเก้าเดือน เมื่อกระแทกเช่นนี้ ก็ตกเลือดทันที ทรมานอยู่หนึ่งวันหนึ่งคืนคลอดคุณชายใหญ่ออกมาก่อนกำหนด เสียงร้องไห้นั้นอ่อนแอยิ่งกว่าลูกแมวด้วยซ้ำ
หมอหลวงวินิจฉัย คุณชายใหญ่ไม่เพียงแต่ร่างกายอ่อนแอเพราะคลอดก่อนกำหนด ภายในร่างกายยังมีสารพิษอีกด้วย ต้วนซื่อที่เดิมก็หมดไปครึ่งชีวิตแล้วได้ยินดังนั้นก็ยิ่งถูกโจมตีอย่างหนัก ไม่กี่วันก็ลาโลกไป
ฮ่องเต้องค์ก่อนทรงพิโรธอีกครั้ง ตรวจสอบคนที่ปรนนิบัติอยู่ข้างกายต้วนซื่อตรวจแล้วตรวจอีกก็ตรวจหาอะไรไม่ได้ ไม่ใช่ว่าไม่เคยสงสัยซ่งหลินหลาง เพียงแต่ตั้งแต่ต้นจนจบนางไม่เคยคบค้าสมาคมกับ
ต้วนซื่อเลย ไม่มีหลักฐานจะจับนางได้อย่างไร
ว่ากันตามเหตุผลต้วนซื่อเองก็นับว่าเสียชีวิตเพราะซ่งหลินหลาง ฮ่องเต้องค์ก่อนก็ยิ่งไม่อนุญาตให้นางเข้ามาในราชวงศ์แล้ว แต่ไม่ใช่ว่ายังมีคนปัญญาอ่อนที่ลุ่มหลงในความรักผู้นั้นอย่างจิ้นอ๋องอยู่หรือ จะเป็นจะตายก็โวยวายจะแต่งนางในฐานะชายาเอกให้ได้ บวกกับในท้องซ่งหลินหลางก็มีทายาทของราชวงศ์อยู่ ทุกคนก็ช่วยกันร้องขอ ฮ่องเต้องค์ก่อนก็ประนีประนอม
ได้ เจ้าอยากแต่งมิใช่หรือ เช่นนั้นก็แต่งสิ! เพียงแต่ชั่วชีวิตนี้ซ่งหลินหลางอย่าได้คิดจะเข้าพระราชวัง หมายความว่าซ่งหลินหลางมีเพียงชื่อพระชายาจิ้นอ๋องเท่านั้น แต่ไม่มีคุณสมบัติเข้าร่วมเทศกาลงานเลี้ยงฉลองทั้งหมดของราชวงศ์
เจ้าจิ้นอ๋องรู้จักซ่งหลินหลางดีไม่ใช่หรือ ได้ ทำให้เจ้าสมปรารถนา งานในกรมพระคลังก็ไม่ต้องทำแล้ว กลับจวนจิ้นอ๋องของเจ้าไปอยู่กับดวงใจของเจ้าเถอะ แม้ว่าข้าจะทำให้เจ้าตายไม่ได้ แต่เจ้าก็อย่าได้ออกมาขวางหูขวางตาข้า ข้ามีลูกเยอะ ขาดเจ้าคนเดียวก็ไม่เป็นไร
ตอนที่ 220-2 ก่อนกลับบ้าน
เสิ่นเวยฟังอย่างออกรสออกชาติ ไอหยาให้ตายเถอะ แต่ละเรื่องๆ นี้เป็นแผนการหญิงงามฉบับแท้จริงๆ จวนจิ้นอ๋องเป็นตัวร้าย อายุสิบหกสิบเจ็ดปีก็วางแผนคร่าชีวิตคนแล้ว เก่งกว่านางมาก ยังมีพ่อสามีผู้นี้ ควรว่าที่เขาลุ่มหลงในความรักหรือเหยียดหยามที่เขาเป็นชายชาติชั่วดี
“เหตุใดพระชายาจิ้นอ๋องเข้าจวนอ๋องแล้วถึงไม่อุ้มท่านไปเลี้ยงเล่า” ในนิยายล้วนแต่เขียนแบบนี้ไม่ใช่หรือ ภรรยาใหม่อุ้มลูกเลี้ยงของคนก่อนมาเลี้ยงดูข้างกาย ไม่เลี้ยงให้พิการก็เลี้ยงให้ปัญญาอ่อน บ้างก็เลี้ยงให้ตายเสียเลย
“นางกลับเคยคิดแล้ว ฮ่องเต้องค์ก่อนไม่อนุญาต” ดวงตาสวีโย่วมีความเหยียดหยาม แม้ว่าข้างกายเขาจะมีคนของฮ่องเต้องค์ก่อน สถานการณ์ตอนเด็กก็ไม่ค่อยดีนัก
“เรื่องพิษในครรภ์ของท่านไม่เคยสืบได้เลยใช่หรือไม่” จู่ๆ เสิ่นเวยก็นึกถึงเรื่องนี้อีกครั้ง นางไม่เชื่อว่าจะสืบหาออกมาไม่ได้ ห่านป่าเดินผ่านยังมีเสียง ขอเพียงแค่เคยทำก็จะต้องทิ้งร่องรอยเอาไว้ จะตรวจสอบไม่เจอได้อย่างไร เกรงว่าความจริงจะพูดออกไปข้างนอกไม่ได้กระมัง
เป็นดังคาดเห็นบนใบหน้าสวีโย่วมีความเย็นเยียบแวบผ่าน ครู่ใหญ่จึงกล่าว “ฮ่องเต้องค์ก่อนน่าจะรู้อยู่บ้าง แต่กระทั่งก่อนเขาจากไปก็ยังไม่บอกข้า ข้าเดาว่าน่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับสองคนนั้น” เมื่อเขาโตขึ้นมีความสามารถแล้ว ปีนั้นคนรับใช้ข้างกายเสด็จแม่ของเขานอกจากยายหรูก็หาไม่เจอเลยแม้แต่คนเดียว
ท่านจิ้นอ๋องร่วมกันวางแผนฆ่าชายาเอกคนก่อนกับชู้หรือ ไอหยา นี่เกินไปแล้วจริงๆ ความประทับใจที่เสิ่นเวยมีต่อท่านจิ้นอ๋องต่ำลงไปในฝุ่นละอองทันที นางตบบ่าของสวีโย่วแล้วกล่าวปลอบ “ไม่เป็นไร มีโอกาสพวกเราค่อยสืบต่อ คนเป็นลูกจะต้องทวงความยุติธรรมให้ผู้ใหญ่ ท่านวางใจก็ดีแล้ว ข้าจะช่วยท่านแน่นอน”
สวีโย่วกอดเสิ่นเวยเข้ามาในอ้อมอก กอดนางอยู่นานไม่เอ่ยปาก ความแค้นฆ่ามารดา เขาต้องใจกว้างเพียงใดจึงจะลืมได้
วันที่สามเป็นวันที่เสิ่นเวยกลับบ้าน ตอนที่เคารพพระชายาจิ้นอ๋องก็บอกนางว่าของขวัญกลับบ้านเตรียมใส่รถไว้ดีแล้ว ให้นางกลับไปอย่างสบายใจ ไม่ต้องรีบกลับมา
เสิ่นเวยจมดิ่งอยู่ท่ามกลางความดีใจ ตอนที่อยู่ในจวนโหวไม่รู้สึก ตอนนี้ออกมาเพียงแค่สามสี่วันก็คิดถึงแทบแย่แล้ว ไม่รู้เหมือนกันว่าท่านปู่กับน้องเจวี๋ยจะคิดถึงนางบ้างหรือไม่ ใช่แล้ว ทั่วทั้งจวนจงอู่โหวคนที่เสิ่นเวยคิดถึงที่สุดก็คือปู่กับน้องชายนาง หากจะพูดว่ายังมีใครอีก เช่นนั้นก็คงจะเป็นท่านอากับลูกผู้น้อง คนที่เหลือเล่า ไม่ทันได้เกิดความผูกพันใดๆ อย่างสิ้นเชิง
ของขวัญกลับบ้านโดยทั่วไปแล้วล้วนเป็นผู้อาวุโสของฝ่ายชายที่จัดเตรียม เสิ่นเวยเองก็ไม่ได้สนใจ ส่วนสำคัญเป็นเพราะนางคิดว่าด้วยสติปัญญาของพระชายาจิ้นอ๋องไม่น่าจะเล่นลูกไม้เรื่องนี้ ไม่คิดว่าความเป็นจริงจะตบหน้า นางยังคงประเมิณพระชายาจิ้นอ๋องสูงไปจริงๆ
แม้ของขวัญกลับบ้านจะขนขึ้นรถเรียบร้อยแล้ว แต่แม่นมมั่วเป็นคนรอบคอบ จึงพาหลีฮวาและคนอื่นๆ ไปตรวจดูรอบหนึ่ง ตรวจดูรอบนี้ก็พบปัญหาแล้ว ของขวัญที่เตรียมกลับบ้านโดยทั่วไปล้วนเป็นจำนวนคู่ ความหมายแฝงก็คือเป็นคู่ครอง เหมือนเช่นไก่เป็น โดยทั่วไปล้วนมีสองตัว แทนความหมายสิริมงคลสมปรารถนา แต่เหตุใดของทุกอย่างที่เจ้าเตรียมถึงมีชิ้นเดียว หมายความว่าอย่างไร
ตอนที่เรื่องนี้รายงานไปถึงหูเสิ่นเวยนางก็โมโหแล้ว นี่ไม่ใช่การกลั่นแกล้งหรือไร นี่ไม่ใช่การดูถูกจวนจงอู่โหวหรือไร จวนจิ้นอ๋องแห่งนี้ของเจ้าอาศัยพี่ชายแท้ๆ ที่เป็นฮ่องเต้ถึงได้มีทรัพย์สินเกียรติยศมิใช่หรือ พอฝ่าบาทเสด็จสวรรคตฮ่องเต้องค์ใหม่ขึ้นครองบัลลังก์จะยังมีใครสนใจท่านอ๋องว่างงานเช่นท่านอยู่อีก แต่จวนจงอู่โหวของข้ากลับสามารถอาศัยคุณูปการสงครามตั้งตระหง่านหลายสิบปีก็ไม่ล้ม
แววตาชั่วร้ายของเสิ่นเวยจ้องมองสวีโย่ว ความหมายนั้นชัดเจนอย่างยิ่ง ‘วันนี้หากเจ้าไม่อธิบายให้ข้าฟัง พวกเราไม่จบแน่’
ริมฝีปากที่เม้มแน่นของสวีโย่วเห็นความโกรธของเขาชัดเจน เขายกขาเดินออกไปข้างนอก “ของขวัญกลับจวนอยู่ไหน เอากลับไปที่เรือนท่านอ๋องเดี๋ยวนี้” เขาจะไปคิดบัญชีกับพ่อเขา
หลังสวีโย่วไปไปแล้ว เสิ่นเวยก็คิดครู่หนึ่ง ร้องไห้ตามทางไปยังเรือนของของจวนจิ้นอ๋อง ร้องไห้ไปพลางตะโกนไปพลาง “เสด็จแม่ ท่านโปรดไว้หน้าลูกสักหน่อยเถิด ท่านไม่พอใจลูกตรงไหน ลูกจะแก้”
เย่ว์กุ้ยกับเหอฮวาโน้มน้าวตามอยู่ข้างหลัง “ฮูหยินท่านอย่าได้เสียใจไปเลย ท่านปล่อยวางหน่อย พระชายาจะต้องไม่ได้ตั้งใจแน่นอน” เสียงสูงจนแม้แต่ครึ่งจวนอ๋องก็ยังได้ยิน
คนรับใช้ตามทางชี้ไม้ชี้มือ เสิ่นเวยไม่กลัวเสียหน้า อย่างไรเสียนางก็เป็นชนรุ่นหลัง หากคนอื่นจะวิจารณ์ก็ต้องวิจารณ์ผู้อาวุโสก่อน พ่อแม่รักลูกลูกกตัญญูต่อพ่อแม่ ใครอยู่หน้าใครอยู่หลัง มองดูก็รู้แล้ว!
พระชายาจิ้นอ๋องได้ยินเสียงร้องไห้ของเสิ่นเวยมาแต่ไกล ก่ายหน้าผากโดยไม่รู้ตัว “รีบไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น”
สาวใช้ยังไม่ทันเดินออกจากห้อง เสิ่นเวยก็มาถึงแล้ว นางโผเข้ามากอดขาของพระชายาจิ้นอ๋องทันที บนใบหน้าเล็กๆ ที่เงยขึ้นมีหยาดน้ำตา “เสด็จแม่ ท่านต้องช่วยลูก ลูกไม่มีหน้าจะอยู่แล้ว”
“เป็นอะไร เป็นอะไร เหตุใดถึงร้องไห้เช่นนี้ วันนี้เป็นวันกลับบ้านมิใช่หรือ ทะเลาะกับโย่วเอ๋อร์หรือ เด็กดีหยุดร้อง ดูสิน่าสงสารนัก ตาบวมหมดแล้ว ไม่ร้องๆ แม่จะทำโทษโย่วเอ๋อร์แทนเจ้าเอง” พระชายาจิ้นอ๋องอดทนไม่ดึงขาออก
“ไม่ใช่คุณชายใหญ่ เป็นเรื่องของขวัญกลับบ้าน” เสิ่นเวยก้มหน้าเช็ดน้ำตากับชุดของพระชายาจิ้นอ๋อง “เสด็จแม่เหตุใดท่านถึงทำกับลูกเช่นนี้เล่า ลูกโง่หน่อย แต่ลูกก็เชื่อฟัง ลูกเคารพท่านเป็นแม่ด้วยความจริงจังและจริงใจ ท่านทำเช่นนี้ลูกเสียใจยิ่งนัก”
หางตาพระชายาจิ้นอ๋องกระตุก ถามด้วยสีหน้าสงสัย “ภรรยาโย่วเอ๋อร์เจ้าพูดให้ชัดเจน ของขวัญกลับบ้านมีอะไรหรือ ของที่แม่ให้คนเตรียมล้วนแต่เป็นของดีทั้งนั้น!”
เสิ่นเวยร้องไปพลางพูดไปพลาง “ของเป็นของดี แต่จำนวนผิด ของขวัญกลับบ้านล้วนแต่เป็นคู่ แต่ของขวัญกลับบ้านที่เสด็จแม่ให้กลับมีอย่างละชิ้น นี่ไม่ใช่เป็นการสาปแช่งลูกหรือ นี่หมายความว่าลูกแช่งคุณชายใหญ่ หรือว่าคุณชายใหญ่แช่งลูก ลูกยังอายุน้อย วันเวลาดีๆ ยังใช้ไม่พอ ยังไม่อยากตายและยังไม่อยากเป็นแม่หม้าย! เมื่อนำของขวัญกลับบ้านนี้กลับไป จวนโหวจะไม่ไล่ลูกออกมาพร้อมคุณชายใหญ่หรือ เสด็จแม่ท่านมีเจตนาเช่นไร” ร้องไห้ไปพลางก็เช็ดน้ำตาลงบนตัวนางเงียบๆ อีกครั้ง
“อะไรนะ มีเรื่องนี้ด้วยหรือ” พระชายาจิ้นอ๋องท่าทางตกใจไม่เชื่อ “แม่นมซือ ของขวัญกลับบ้านของคุณชายใครเป็นคนเตรียม เหตุใดถึงเกิดเรื่องสะเพร่าที่ใหญ่ถึงเพียงนี้ได้ รีบตรวจสอบเดี๋ยวนี้ คิดว่าข้าไม่กล้าถลกหนังนางหรือ”
“เสด็จแม่ท่านอย่าโกหกลูกเลย จะต้องเป็นท่านที่สั่งแน่นอน ไม่มีคำสั่งของท่าน คนรับใช้ทั่วทั้งจวนไหนเลยจะกล้าหาเรื่องคุณชายใหญ่” เสิ่นเวยร้องไห้ต่อ
“เสด็จแม่ ท่านไม่ชอบลูกตรงไหนกันแน่ ท่านพูดมาตรงๆ เถอะ! แต่ท่านก็ไม่อาจตบหน้าลูกเช่นนี้ได้ อย่างไรเสียลูกก็เป็นจวิ้นจู่ที่ฝ่าบาทพระราชทานบรรดาศักดิ์ อีกทั้งยังเป็นฝ่าบาทที่พระราชทานสมรส ลูกเสียหน้าก็เท่ากับฝ่าบาทเสียหน้า ฝ่าบาทเสียหน้า ท่านกับเสด็จพ่อก็เสียหน้า ท่านกำลังตบหน้าตนเองและเสด็จพ่ออยู่!”
พระชายาจิ้นอ๋องพยายามจะพูด เสิ่นเวยไม่ให้โอกาสนางอย่างสิ้นเชิง นางตะโกนเสียงดัง ทั่วทั้งเรือนต่างก็ได้ยินชัดเจน “ตั้งแต่ที่ลูกเข้าเรือนมาก็เคารพท่าน ท่านใช่เพราะว่าคุณชายใหญ่ไม่ใช่บุตรแท้ๆ ของท่านจึงดูถูกลูกด้วยหรือไม่ แต่ลูกกับคุณชายใหญ่ก็เคารพท่านอย่างยิ่ง! คุณชายใหญ่ยังมาเคารพท่านอยู่เลย ไม่เห็นคุณชายสามคนของท่านจะมาบ้างเลย คนเขาพูดถูกจริงๆ ไม่ใช่ลูกแท้ๆ จึงแตกต่างกัน สวรรค์ เหตุใดชะตาของลูกถึงขื่นขมเพียงนี้ ฝ่าบาท เหตุใดท่านถึงพระราชทานคู่หมั้นตระกูลนี้ให้หม่อมฉัน”
ท่านจิ้นอ๋องที่รีบตามมาเมื่อเข้ามาก็ได้ยินคำร้องประโยคนี้ เท้าเขาลื่น แทบจะล้มลงกับพื้น สวีโย่ว
ที่อยู่ข้างหลังมองเขาอย่างเย็นชา คล้ายกำลังพูดว่า ‘ดูสิ ข้าพูดไม่ผิดใช่หรือไม่’
ตอนที่ 221-1 กลับบ้าน
จิ้นอ๋องปวดใจจริงๆ ตั้งแต่ที่บุตรคนโตผู้นี้กลับมาในจวนจากเขาเมื่อปีที่แล้วก็ไม่เคยมีชีวิตที่สงบสุขเลย วันนี้ก็ยิ่งเกินคาด ลูกชั่วผู้นี้กระทั่งให้คนเอารถมาปิดทางเข้าห้องหนังสือของเขา กล่าวด้วยเสียงน่าสะพรึงกลัว “ดูสิว่าพระชายาคนดีของท่านทำอะไรไว้” สายตาที่ดุร้ายนั้นราวกับสามารถกลืนกินเขาได้
จิ้นอ๋องโมโหอย่างถึงที่สุด ก่นด่าด้วยความโกรธ “เจ้าลูกชั่วมีเรื่องอะไรอีกแล้ว เพื่อพระชายาคนใหม่ของเจ้าก็ยุ่งทั้งข้างนอกข้างใน ข้างหน้าข้างหลังก็ลำบากอยู่หลายเดือน เจ้ายังมีอะไรไม่พอใจอีก”
สีหน้าสวีโย่วเหยียดหยามทั้งใบ “ลูกไม่มีอะไรไม่พอใจ ท่านลองดูของขวัญกลับบ้านที่พระชายาเตรียมให้ลูก แล้วค่อยมาถามว่าลูกมีอะไรไม่พอใจ”
จิ้นอ๋องลังเลไม่แน่ใจ ก้าวขึ้นไปรื้อดูของขวัญบนรถ ยิ่งดูก็ยิ่งโกรธ ชี้จมูกสวีโย่วแล้วก่นด่า “นี่ล้วนแต่เป็นของดีทั้งนั้นมิใช่หรือ พระชายาไม่ได้ไร้ความเป็นธรรมต่อเจ้าแม้แต่นิดเดียว ยังจะเอาอะไรอีก”
“ของกลับเป็นของดี แต่ของขวัญกลับบ้านเตรียมไว้เช่นนี้หรือ เสด็จพ่อไม่ทราบ จะลองถามคนรับใช้ข้างกายดูก็ได้ พวกเขาจะต้องทราบแน่นอน” สายตาที่อึมครึมของสวีโย่วมองบ่าวรับใช้ที่ยืนอยู่ข้างหลังพ่อเขา
ภายใต้การจ้องมองของสองพ่อลูกคู่นี้ บ่าวรับใช้จำใจต้องก้าวออกมา “ทูลท่านอ๋อง ของขวัญกลับบ้านล้วนแต่เป็นจำนวนคู่ แฝงความหมายถึงคู่ครอง…” ประโยคที่เหลือเขาก็พูดไม่ออกแล้ว แอบพูดในใจ ไม่แปลกที่คุณชายใหญ่จะโกรธเพียงนี้ ของขวัญกลับบ้านจำนวนคี่ส่งไปถึงจวนจงอู่โหวจะเป็นการผูกพยาบาทมิใช่หรือ
“คราวนี้เสด็จพ่อเข้าใจแล้วใช่หรือไม่ พระชายาคนดีของท่านหวังให้ลูกผูกพยาบาทกับตระกูลพ่อตาแม่ยาย นางบีบบังคับให้นายท่านผู้เฒ่าเสิ่นโหวไปร้องทุกข์ต่อฝ่าบาทว่าจวนจิ้นอ๋องรังแกคน ถึงตอนนั้นเกียรติของท่านก็คงไม่เหลือ” น้ำเสียงสวีโย่วมีความเสียดสี
สีหน้าจิ้นอ๋องแข็งทื่อ คิ้วขมวดมุ่น “พระชายาเป็นคนรอบคอบเพียงนั้นจะผิดพลาดเช่นนี้ได้อย่างไร จะต้องเป็นบ่าวชั้นล่างที่แอบเล่นลูกไม้ประมาทสะเพร่าเป็นแน่”
ฮ่าๆ สวีโย่วอยากจะหันหลังเดินออกไปจริงๆ พระชายาไม่ผิด ที่ผิดล้วนเป็นบ่าวชั้นล่าง แม้แต่ของขวัญกลับบ้านเรื่องใหญ่เช่นนี้ยังเกิดข้อผิดพลาดได้ ตระกูลไหนจะกล้าใช้บ่าวที่ไม่มีความรอบคอบเช่นนี้
“พระชายาดูแลจวนอ๋องมายี่สิบปีแล้ว น้อยนักที่จะเกิดข้อผิดพลาดได้ นางเองก็ผิดพลาดเพียงแต่เรื่องของลูก เสด็จพ่อที่ท่านพูดน่าสนใจยิ่งนัก!” สายตาของสวีโย่วเย็นเยียบยิ่งขึ้น “หากเสด็จพ่อไม่ชอบหน้าลูก เช่นนั้นพรุ่งนี้ลูกก็จะย้ายไปจวนจวิ้นอ๋อง เลี่ยงไม่ให้ต้องเป็นหนามยอกอกของท่านอีก”
“เจ้า เจ้าลูกอกตัญญู!” จิ้นอ๋องด่าลูกชายขึ้นมาต่อหน้าคนรับใช้ทั้งเรือน “ไป ไปที่เรือนพระชายา” ในเมื่อลูกชั่วคนนี้เอาแต่พูดว่าเป็นความผิดของพระชายา เช่นนั้นเขาก็จะไปถามสักหน่อย เหอะ อีกประเดี๋ยวตบหน้าจะได้เห็นดีกัน!
เพิ่งจะเข้าไปในเรือนของพระชายา ก็ได้ยินเสียงร้องไห้ที่สูงเปรียวนั่นของเสิ่นซื่อแล้ว ใบหน้าของเขากดลงมาในชั่วพริบตา เหตุใดภรรยาผู้นี้ของโย่วเอ๋อร์ถึงได้เหมือนกับสตรีปากคอเราะร้าย หันหน้ากลับมองบุตรคนโตปราดหนึ่งอย่างอดไม่ได้
สวีโย่วมองกลับไปด้วยแววตาที่เย็นเยียบ “ได้รับความไม่เป็นธรรมแล้วยังไม่ให้พูดอีกหรือ เสด็จพ่อจิตใจท่านลำเอียงเกินไปแล้วหรือไม่” เอียงไปจนถึงใต้รักแร้แล้ว
จิ้นอ๋องถูกเขาทำให้โมโหอีกครั้ง แค่นเสียงหึหนึ่งคราเดินเข้าไปข้างใน
พระชายาจิ้นอ๋องกับเสิ่นเวยได้ยินเสียงเคารพของบ่าวข้างนอก ต่างก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก พระชายาจิ้นอ๋องเพราะว่ามีที่พึ่งแล้ว ส่วนเสิ่นเวยก็เพราะว่านางเหนื่อยจนอยากพักแล้ว
“ท่านอ๋อง!” ดวงตาคู่งามของพระชายาจิ้นอ๋องละออกไป ในดวงตามีความน้อยใจหลายส่วน จิ้นอ๋องเห็นแล้วหัวใจก็บีบแน่นเร่งฝีเท้าเดินเข้าไปสองก้าวอย่างอดไม่ได้
“เสด็จพ่อ ท่านต้องช่วยลูกนะเพคะ!” เสิ่นเวยไหนเลยจะยอมให้พระชายาจิ้นอ๋องทำแผนชั่วสำเร็จ แผดเสียงโวยวายเข้าไป ขวางอยู่ข้างหน้าจิ้นอ๋อง กล่าวอย่างเศร้าโศก “เสด็จพ่อ ท่านช่วยลูกขอความเมตตาจากเสด็จแม่ได้หรือไม่ ไว้หน้าลูกสักนิดเถอะ หากเสด็จแม่ไม่พอใจลูกจริงๆ ลูกก็จะขอให้สามีขับลูกเอง อย่างไรเสียจวนโหวก็เลี้ยงลูกมา ลูกไม่อาจตบหน้าบ้านฝั่งมารดาได้”
“นี่ นี่ ภรรยาโย่วเอ่อร์เจ้าลุกขึ้นก่อน” จิ้นอ๋องอึดอัดแล้ว เขาเป็นพ่อสามี ด่าทอทุบตีลูกชายได้ แต่กับลูกสะใภ้เขากลับไม่มีหนทางเลยแม้แต่นิดเดียว
เสิ่นเวยไม่ยอมลุกขึ้น เอาแต่พูดว่า ‘เสด็จพ่อช่วยด้วย’ ทำให้จิ้นอ๋องว้าวุ่นจนร้อนขึ้นปอด สายตาที่มองพระชายาก็หงุดหงิดขึ้นมา เป็นพระชายาที่ดูแลคนใช้ไม่ดี จึงนำภาระมาให้ตนต้องเหนื่อยสอดมือเข้ามายุ่งเรื่องจุกจิกเช่นนี้ในเรือนหลัง
เมื่อพระชายาจิ้นอ๋องเห็นสีหน้าของจิ้นอ๋องก็รู้แล้วว่าต้องแย่ ไม่สนใจกิริยาอะไรทั้งสิ้นแล้ว เข้าไปพยุงเสิ่นเวยขึ้นด้วยตัวเอง “ภรรยาโย่วเอ๋อร์รีบลุกขึ้นเถิด เรื่องนี้แม่จะต้องมีคำอธิบายให้เจ้า” เดิมนางคิดว่าของขวัญกลับบ้านต่างก็ขนขึ้นรถแล้ว เสิ่นซื่อน่าจะไม่ดูอย่างละเอียด ต่อให้ดูออกแล้วอย่างไร ด้วยนิสัยขี้ขลาดนั่นของเสิ่นซื่ออย่างมากก็ไปเตรียมเองต่างหาก ใครจะรู้เสิ่นซื่อคนโง่ผู้นี้คาดไม่ถึงว่าจะโวยวายทำให้เป็นเรื่องใหญ่ ซ้ำคนชั่วผู้นั้นยังเรียกท่านอ๋องมาอีก
“จริงหรือ เช่นนั้นลูกขอขอบคุณเสด็จแม่ก่อนเลย” เสิ่นเวยเห็นว่าได้ทีแล้วก็หยุด นางยังต้องกลับบ้าน จะให้โวยวายไปทั้งวันก็ไม่ได้ สร้างความรำคาญก็ต้องทำให้พวกเขารำคาญจนตาย
เสิ่นเวยสะอึกสะอื้นนั่งลงข้างๆ ดวงตาแดงก่ำราวกับกระต่าย น่าสงสารยิ่งนัก จิ้นอ๋องเห็นแล้ว ความไม่พอใจในตอนแรกก็หายไปสามส่วน อย่างไรเสียอายุยังน้อย ได้รับความไม่เป็นธรรมที่มากเช่นนี้ก็ทำได้เพียงร้องไห้ ช่างเถอะ เขาเป็นถึงท่านอ๋องยิ่งใหญ่จะคิดเล็กคิดน้อยกับชนรุ่นหลังไปทำไม
“พระชายา ของขวัญกลับบ้านของโย่วเอ๋อร์ใครเป็นคนเตรียม” จิ้นอ๋องถามด้วยสีหน้าจริงจัง
สีหน้าของพระชายาจิ้นอ๋องดูไม่ดีอย่างยิ่ง แต่ก็ยังคงใช้สายตาที่อ่อนโยนและไร้กังวลมองจิ้นอ๋องกลับไป “ท่านอ๋อง เรื่องนี้ข้าเป็นคนจัดการเอง ข้าคิดว่าโย่วเอ๋อร์เป็นบุตรชายคนโตในจวนอ๋องของเรา ยังตั้งใจสั่งให้เตรียมของขวัญกลับบ้านเยอะๆ ไหนเลยจะรู้ว่า…” พระชายาจิ้นอ๋องพูดไปพลางเสียงก็กดต่ำลง ซับผ้าเช็ดหน้าที่หางตา ถอนหายใจครู่หนึ่งจึงกล่าวต่อ “ท่านอ๋อง เรื่องนี้อย่าโทษภรรยาโย่วเอ๋อร์ เป็นข้าที่ดูแลไม่ดีเอง”
ยอมรับว่าตนดูแลไม่ดี สำหรับพระชายาจิ้นอ๋องที่แข็งแกร่งแล้วถือเป็นเรื่องที่ลำบากใจมากเพียงใด สีหน้าของนางก็ดูไม่ดีเล็กน้อย
จิ้นอ๋องมองนางปราดหนึ่ง แม้ในใจจะไม่พอใจ แต่สีหน้ากลับไม่แสดงออกมา ถามต่อ “เรื่องนี้บ่าวคนไหนจัดการ”
“ทูลท่านอ๋อง เป็นจางอี้จัดการเพคะ” แม่นมซือรีบตอบ
คิ้วของจิ้นอ๋องก็ยิ่งขมวดมุ่น “เขาสะเพร่าเช่นนี้ได้อย่างไร” จางอี้เป็นคนเก่าคนแก่ของจวนอ๋อง ความสามารถในการจัดการเชื่อถือได้อย่างยิ่งมาโดยตลอด คราวนี้เกิดอะไรขึ้น
ใบหน้าของพระชายาจิ้นอ๋องก็ยิ่งดูไม่ดี แม้ว่าจางอี้จะจัดการเรื่องข้างนอกในจวน แต่ความจริงแล้วก็เป็นคนของนาง!
ดวงตาที่หลุบลงของเสิ่นเวยกะพริบวาบ นี่จะผลักโทษไปให้แพะรับบาปตัวไหน เสิ่นเวยไม่ได้ส่งเสียง นางเคยเห็นข้อมูลคนรับใช้ในจวนอ๋องที่สวีโย่วให้นางแล้ว รู้ว่าจางอี้ผู้นี้ถือได้ว่าเป็นปลาตัวใหญ่ข้างกายพระชายาจิ้นอ๋อง
“จางอี้เล่า เรียกเขาเข้ามา” จิ้นอ๋องย่อมไม่สนใจบ่าวรับใช้คนหนึ่งแน่นอน
“บ่าวเคารพท่านอ๋องพระชายา คุณชายใหญ่ ฮูหยินใหญ่ขอรับ เรียนถามนายทั้งหลายเรียกบ่าวมามีเรื่องอันใดหรือขอรับ” จางอี้เป็นชายวัยกลางคนที่มีใบหน้าซื่อตรง แต่ในแววตาที่กะพริบวาบเป็นครั้งคราวของเขายังคงมองเห็นความเฉลียวฉลาดของคนผู้นี้ได้
เรื่องของขวัญกลับบ้านต่างก็วุ่นวายจนทราบกันทั่วทั้งจวนแล้ว คนจัดการเช่นเขายังแสร้งไร้เดียงสาอยู่ตรงนี้ เหอๆ เป็นผู้มีความสามารถคนหนึ่งเหมือนกัน
“ของขวัญกลับบ้านของคุณชายใหญ่กับฮูหยินใหญ่เจ้าจัดการใช่หรือไม่ เหตุใดถึงมีแต่จำนวนคี่ เจ้าเองก็ทำงานมานานแล้ว เหตุใดถึงเกิดความสะเพร่าเช่นนี้ได้ นี่ไม่ใช่เป็นการสร้างความไม่เป็นธรรมให้พระชายาหรอกหรือ” จิ้นอ๋องตำหนิ
จางอี้ใจเต้น มองพระชายาด้วยความรวดเร็วปราดหนึ่ง เห็นนางมีสีหน้านิ่งเฉยไร้การแสดงออก ก็รู้แล้วว่าจำใจต้องโยนความผิดให้เขา “นึกไม่ถึงว่ามีเรื่องเช่นนี้ด้วย” จางอี้มีท่าทีตกใจอย่างยิ่ง ตบศีรษะกล่าวอย่างเสียใจ “บ่าวสมควรตาย หลายวันมานี้ลูกคนเล็กในครอบครัวบ่าวป่วยหนัก บ่าวจึงทำงานประมาทไปเล็กน้อย ท่านอ๋องพระชายาโปรดเมตตา คุณชายใหญ่ฮูหยินใหญ่โปรดเมตตา บ่าวไม่ได้ตั้งใจจริงๆ” เขาคุกเข่าลงบนพื้นโขกศีรษะไม่หยุด
“เจ้า เหอะ! จะให้ข้าพูดอะไรดี” จิ้นอ๋องโมโหจนสะบัดแขนเสื้อ นึกถึงเรื่องเรื่องวุ่นวายกระเจิดกระเจิงแต่เช้านี้ก็ปวดศีรษะทันที โบกมือกล่าว “ในเมื่อทำผิดก็ต้องได้รับโทษ พระชายาคิดว่าจะลงโทษอย่างไร” เหตุผลที่ให้พระชายาลงโทษ เพียงเพราะคิดจะคลี่คลายความสัมพันธ์ระหว่างพระชายากับลูกชายคนโตและภรรยาก็เท่านั้น
พระชายาจิ้นอ๋องเห็นท่านอ๋องยังคงยอมนาง ในใจก็โล่งอก เม้มปากกล่าว “บ่าวเช่นเจ้าก็แย่จริงๆ ทำงานล้มเหลว ทำให้ข้าถูกฮูหยินใหญ่เข้าใจผิด หากไม่ลงโทษเจ้าให้เด็ดขาด ข้าก็ยากจะระบายความโกรธแค้น แต่เห็นแก่ที่เจ้ามีลูกที่ป่วยอยู่ในบ้าน น่าเห็นอกเห็นใจ ปลดหน้าที่ดูแลของเจ้าออก ไปทำงานที่หน้าประตูใหญ่แทนแล้วกัน”
จางอี้ถอนหายใจใหญ่ด้วยความโล่งอก โขกศีรษะขอบคุณไม่หยุด “ขอบคุณท่านอ๋องพระชายาที่เมตตา หลังจากวันนี้บ่าวจะทำงานอย่างดี ไม่ทรยศต่อบุญคุณของท่านอ๋องพระชายา”
จิ้นอ๋องพยักหน้า รู้สึกเหมือนกันว่าจัดการเช่นนี้สมเหตุสมผลอย่างยิ่ง
ทว่าเสิ่นเวยกลับไม่ยินดี ผ้าเช็ดหน้าปิดหน้าร้องไห้ฮือๆ ขึ้นมา “เสด็จแม่ดีต่อบ่าวยิ่งกว่าลูกเสียอีก เกิดข้อผิดพลาดที่ชัดเจนเช่นนี้เพียงแค่ปลดหน้าที่ไปยังประตูใหญ่แทน ใครไม่รู้บ้างว่างานที่หน้าประตูใหญ่ได้ผลประโยชน์มากมาย เสด็จแม่ ท่านไม่เห็นแก่ลูกเพียงนี้เลยหรือ”
สวีโย่วเองก็ใบหน้าเคร่งขรึมลุกขึ้นยืน “ร้องไห้อะไร ในเมื่อเขาไม่เห็นก็อยู่ขวางหูขวางตาที่นี่ให้น้อยหน่อย กลับเรือนไปเก็บของ วันนี้กลับบ้านไปแล้วก็ย้ายไปจวนจวิ้นอ๋องเลย” ยกเท้าเดินออกไปข้างนอกทันที เสิ่นเวยกุมหน้ารีบตามออกไป
จิ้นอ๋องลนลานแล้ว “หยุด! เจ้าลูกอกตัญญูหยุดเดี๋ยวนี้!” เขากลับอยากไล่ลูกชายคนโตที่สร้างความรำคาญผู้นี้ออกจากจวนยิ่งนัก แต่เสด็จพี่ในวังยังจับตามองอยู่ ลูกชั่วผู้นี้ย้ายออกไปเมื่อไร เสด็จพี่ก็จะตำหนิเขาทันที
พระชายาจิ้นอ๋องเองก็กระวนกระวายใจ นางอยากสร้างความลำบากใจให้คนชั่วผู้นี้อีกสักหน่อย กลับยังไม่คิดจะให้พวกเขาออกจากจวนตอนนี้ หากออกจากจวนก็ต้องรอวันที่พวกเขาไม่เหลืออะไรทั้งสิ้นชื่อเสียงย่อยยับถูกขับไล่ออกไปเสมือนหมาขี้เรื้อน
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น