ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง 291-300
ตอนที่ 291 เราปกป้องเจ้าได้
“อ้ายโย่ว!” วิญญาณทมิฬตกใจจนตาถลน มันรู้สึกขนลุกไปทั้งร่างจนต้องใช้มือสั้นๆ ของมันตะครุบปากเอาไว้
ตู๋กูซิงหลันเองก็ยังไม่ทันได้มีปฏิกริยาใดๆ สำหรับจีเฉวียนแล้ว ตัวนางยังมีค่ามากกว่าสมบัติที่ถูกซุกซ่อนเอาไว้เหล่านั้นอีกหรือ?
“ตู๋กูซิงหลัน เจ้ารับปากเราเอาไว้แล้ว ว่าจะไม่ไปจากเราแม้แต่ครึ่งก้าว” จีเฉวียนยึดนางเอาไว้อย่างแน่นหนา ดวงพักตร์ที่หมดจดงดงามนั้นก็มิได้เย็นชาเป็นภูเขาน้ำแข็งอีกต่อไป
เขาดูเหมือนจะตื่นตระหนกเข้าแล้ว
เนื่องเพราะใช้พละกำลังมากเกินไป ปากแผลตรงหัวไหล่จึงยิ่งฉีกมากกว่าเดิม เลือดไหลออกมาไม่ยอมหยุด
ตู๋กูซิงหลันเห็นดวงเนตรทั้งสองของเขามีแต่เส้นเลือดแดงเต็มไปหมด ก็ถึงขนาดพูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ
“เดิมทีนางก็ไม่ใช่คนของที่นี่ ไยเจ้าจะต้องรั้งเอาไว้?” ในตอนนั้นเอง เสินฟางที่อยู่ด้านข้างก็เอ่ยขึ้นมา
พอเขาส่งเสียงก็พุ่งมาถึงข้างกายตู๋กูซิงหลัน เมื่อสะบัดชายแขนเสื้อครั้งหนึ่งก็เชื่อมช่องแตกบนฝาโลงทองแดงกลับเข้ามา
หมอกสีดำรอบกายของเขาพากันเคลื่อนไหว ดอกพลับพลึงแดงล่องลอยอยู่กลางสายหมอกดำ คล้ายจะต้องการดึงตู๋กูซิงหลันเข้าไปกักขังเอาไว้
เขาคิดไม่ถึงว่าในโลกใบนี้จะมีผู้ที่สามารถบุกเข้ามาถึงด้านในได้
ทะเลสาบแห่งนี้เดิมทีก็เป็นแดนต้องห้าม บนร่างของบุรุษผู้นี้ไม่มีลูกแก้ววารี ทั้งยังได้รับบาดเจ็บมาก่อน ที่สามารถทนมาได้จนถึงตอนนี้ก็ต้องนับว่าเกินกว่าคนปกติไปมากแล้ว
ดวงตาสีขาวของเสินฟางมองดูจีเฉวียนอย่างพิจารณา เขายื่นมือออกไป คิดจะดึงตัวตู๋กูซิงหลันกลับมา
เขารอคอยอยู่ในโลงทองแดงใต้ทะเลสาบแห่งนี้มาตั้งนาน ก็เพื่อจะได้กลับไปยังโลกปัจจุบัน
ย่อมไม่มีทางปล่อยให้ใครก็ตามมาทำลายโอกาสทิ้ง
ทันทีที่เสินฟางเอ่ยวาจา จีเฉวียนก็หันไปมองเขาครั้งหนึ่ง สายพระเนตรที่กวาดออกไปนี้เย็นยะเยือกสุดขีด
แทบจะผนึกอากาศโดยรอบของเขาให้แข็งค้างไปด้วย ราวกับว่าพระองค์เองก็คือขุมนรกที่เหน็บหนาวที่สุดแห่งหนึ่งตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
เสินฟางหรี่ดวงตาลง ยามที่มองดูใบหน้าของพระองค์ ก็ตกตะลึงไปเล็กน้อย ในสมองของเขาคล้ายจะมีภาพบางอย่างผ่านเข้ามา
แต่เพียงแค่แวบเดียว ภาพนั้นก็สลายตัวไป
“เจ้าคือตัวอะไร?” จีเฉวียนยังคงคว้ามือของตู๋กูซิงหลันเอาไว้ไม่ยอมปล่อย
เพียงแต่สายตาที่มองไปยังเสินฟางเปี่ยมไปด้วยแววอันตราย
พระองค์มิได้ประหลาดใจที่ก้นในทะเลสาบปรากฏบุรุษผิวขาวโฉมงามศีรษะโล้นและยังมีดอกพลับพลึงผลิบานอยู่บนร่าง
เพียงว่าหากเจ้านั่นคิดจะแตะต้องตู๋กูซิงหลัน ก็อย่าได้คิดฝัน
“ข้ามีนามว่าเสินฟาง เป็นหนึ่งในสิบยมราช” เสินฟางแนะนำตนเอง “ตอนนี้เจ้าได้รู้จักฐานะของข้าแล้ว ยังไม่รีบซุกหัวหลบหนีไปอีก”
ไม่ต้องถามให้มากความก็สามารถทราบได้ว่าบุรุษผู้นี้เป็นคนสำคัญของตู๋กูซิงหลัน
ตอนนี้เขาไม่ต้องการให้เกิดประเด็นอะไรมากกว่าเดิม ขอเพียงตู๋กูซิงหลันใช้พลังของหยกสรรพชีวิตเปิดเส้นทางกลับไปยังโลกปัจจุบันได้ก็เป็นพอ
ดังนั้นกับคนที่นางไปรู้จักมักคุ้นในโลกใบนี้ เขาก็ใจกว้างพอที่จะมีเมตตาปลดปล่อยไปสักครั้ง
หากว่าคนผู้นั้นมีปฏิกริยารวดเร็วพอ รู้จักหลบหนีให้ไว ก็คงจะรักษาชีวิตเอาไว้ได้
พอได้ฟังประโยคนั้น ร่างของฮ่องเต้ก็สาดรังสีสังหารออกมา
พระองค์เอาตัวเข้าขวางอยู่ระหว่างตู๋กูซิงหลันกับเสินฟาง ใช้ร่างของพระองค์เองบดบังตู๋กูซิงหลันเอาไว้ทั้งหมด แทนที่จะตรัสอะไรออกมา กลับขยับปลายพระหัตถ์วูบหนึ่ง ได้ยินเสียงเคลื่อนไหว ‘วูบวาบ’ ครั้งหนึ่ง
ดาบน้ำแข็งเหินเข้ามาจากรอยแตกบนฝาโลง หล่นลงบนพระหัตถ์
ปลายดาบของจีเฉวียนชี้ไปที่ลำคอของเสินฟาง เมื่อดาบอยู่ในพระหัตถ์ก็สร้างละอองหิมะออกมา ละอองหิมะเหล่านั้นขวางหมอกดำจากเสินฟางเอาไว้ ทันใดนั้นหมอกสีดำก็เริ่มจับตัวกลายเป็นน้ำแข็ง
หิมะที่หนาวเย็นกำจายออกไป ทำให้ดอกพลับพลึงแดงของเสินฟางเริ่มจับตัวแข็ง เพียงแค่ขยับพระหัตถ์เบาๆ ก็ทำให้ดอกไม้ที่กลายเป็นน้ำแข็งเหล่านั้นหักสะบั้นกลายเป็นเศษน้ำแข็งไป
“เราคือโอรสสวรรค์แห่งต้าโจว ผู้ที่จะปกครองแผ่นดินทั้งหมดนี้ในอนาคต ไม่ว่าเจ้าจะเป็นเทพเซียนจากสวรรค์ชั้นเก้า หรือจอมมารจากนรก สำหรับเราแล้ว ก็ต้องรับใช้เราดั่งขุนนางอยู่ดี!”
ตรัสแล้วดาบของพระองค์ก็แทงลึกเข้าไปอีกส่วนหนึ่ง เจาะเข้าไปในลำคอของเสินฟางเล็กน้อย
เสินฟางเป็นถึงจอมมารผู้หนึ่ง เขาอยู่ในโลงทองแดงมาเกือบหนึ่งปี ถึงแม้ว่ายังไม่อาจฟื้นฟูจนมีพลังเหมือนดั่งในโลกก่อน แต่ก็สามารถฟื้นคืนมาได้ห้าหกส่วนแล้ว
แต่ไหนแต่ไรเขาก็ไม่เคยหวาดกลัวความเย็น โดยเฉพาะความเย็นที่มากับไอหยิน
แต่ว่าครั้งนี้ เขาถึงกับรู้สึกได้ถึงความเย็นยะเยือกที่แทรกซึมเข้าไปถึงแก่นกระดูก
เสินฟางชักจะประหลาดใจแล้ว สายตาที่มองไปยังจีเฉวียนยิ่งทวีความลึกล้ำกว่าเดิม ต้องมีความมั่นอกมั่นใจถึงเพียงไร ถึงได้ทำให้เขาสามารถกล่าววาจาจองหองเช่นนี้ออกมาได้?
จะให้จอมมารมาเป็นขุนนางของตน? ฮ่องเต้ที่เป็นเพียงคนธรรมดากลับกล้าพูดแบบนี้ก็เป็นเพียงแค่คนโง่ที่ฝันกลางวันเท่านั้น
“หึ หึ คำพูดสวยหรู ไม่ว่าใครก็สามารถกล่าวออกมาได้” เสินฟางพูดพลางยื่นมือออกมาคว้าดาบน้ำแข็งของจีเฉวียนเอาไว้
นิ้วของเขาขาวราวหิมะ เสมือนกับว่ามีหิมะเกาะอยู่ ทันทีที่สัมผัสถูกดาบน้ำแข็งของจีเฉวียนก็เกิดเสียงบาดแก้วหูออกมา
เสียงนั้นเหมือนกับโลหะกระทบกันอย่างไรอย่างนั้น
พอปลายนิ้วสัมผัสลงไป มือของเสินฟางก็ยิ่งปรากฏหมอกสีดำที่มืดครึ้มออกมา จากปลายดาบก็ค่อยๆ กลืนกินดาบของจีเฉวียนเข้าไปทีละนิ้วๆ
ในเมื่อคนผู้นี้มาหาเรื่องตายเอง เขาก็ไม่จำเป็นต้องเกรงใจอีกต่อไป
เขาคือจอมมาร ไม่ใช่ผู้ใจบุญ ให้โอกาสไปครั้งหนึ่งก็ต้องถือว่าเป็นเมตตาอันยิ่งใหญ่แล้ว ในเมื่อให้โอกาสแล้วยังไม่ต้องการ เขาก็จะไม่มีทางมอบให้เป็นครั้งที่สองอีก
สีพระพักตร์ของจีเฉวียนยังคงไม่เปลี่ยนแปลง บาดแผลบริเวณหัวไหล่ยิ่งฉีกกว้างกว่าเดิม เลือดสดมากมายไหลออกมาไม่ยอมหยุด แทบจะย้อมหัวไหล่ของเขาไปทั้งหมด
ไอ้หนุ่มหน้าขาวในโลงศพใต้ทะเลสาบ นับว่ามีฝีมือร้ายกาจทีเดียว
อย่างน้อยๆ ….ก็ต้องนับว่าติดอันดับในบรรดาผู้ที่เขาเคยประมือด้วยแล้ว
เขากำดาบเอาไว้แน่น กลางฝ่ามือปรากฏหมอกดำออกมาเช่นกัน ในขณะที่หมอกดำของเสินฟางกำลังคืบคลานเข้ามา หมอกดำของจีเฉวียนก็พุ่งเข้าปะทะกับเขาเช่นกัน
“ตูม!”
ภายในโลงศพเกิดเสียงก้องกังวาน ยามที่หมอกดำทั้งสองปะทะกัน ทั่วทั้งโลงทองแดงก็ระเบิดเสียงกึกก้องบาดหูออกมา
ในขณะที่ด้านนอกของโลงศพ น้ำในทะเลสาบที่พึ่งจะสงบลงไป ก็เกิดคลื่นอีกครั้ง เกิดเป็นน้ำหมุนวนรอบแล้วรอบเล่าผุดขึ้นจากใจกลางทะเลสาบ ฉีกทึ้งทุกสิ่งที่มันดูดกลืนเข้าไป
เหล่านักพรตที่ลงไปในน้ำ ตอนนี้ต่างก็ไม่กล้าเคลื่อนไหววู่วาม
สถานการณ์ใต้น้ำสับสนวุ่นวายอย่างมาก ….ฮ่องเต้ต้าโจวและนางกำนัลน้อยผู้นั้นคงจะจบสิ้นไปแล้วล่ะมั้ง?
ผู้คนต่างก็คิดกันไป
มีแต่เหล่าทหารและนักพรตจากต้าโจวเท่านั้นที่ยังคงไม่ยอมเลิกลา
อิ๋งฉีและนักพรตจากต้าฉินยังคงติดตามกลุ่มของแคว้นต้าโจว ไม่กล้าคลายความระมัดระวัง
………………
ภายในโลงทองแดง หลังจากที่ขุมพลังของทั้งสองปะทะกันแล้ว กลีบดอกพลับพลึงบนใบหน้าของเสินฟางก็ถูกเขย่าจนกลีบร่วงลงมาส่วนหนึ่ง
ทางด้านจีเฉวียน นอกจากปากแผลที่มีเลือดไหลมากกว่าเดิมแล้ว ทั้งเสื้อผ้าหน้าผมก็ไม่มีสิ่งใดผิดปกติ
พลังของเขา….นี่มัน….พลังไอหยินที่แข็งแกร่งอย่างที่สุดผสานเข้ากับพลังของหยกสรรพชีวิต
ในโลกนี้ นอกจากตู๋กูซิงหลันแล้ว ยังมีคนที่สามารถควบคุมพลังของหยกสรรพชีวิตได้อย่างชำนิชำชาญอยู่อีกด้วย?
เสินฟางอดไม่ได้ที่จะมองดูจีเฉวียนอย่างพิจารณาอีกครั้ง
ฮ่องเต้ของเผ่ามนุษย์ผู้หนึ่ง กลับสามารถใช้คาถาอาคม พลังตบะที่ฝึกฝนนั้นถึงระดับที่ผู้คนไม่อาจจะมองออกได้
คราวนี้สีหน้าของเสินฟางถึงกับเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ
คนผู้นี้ …..เป็นผู้ใดกันแน่?
จีเฉวียนยืนอยู่ข้างหน้าตู๋กูซิงหลัน แผ่นหลังของพระองค์เหยียดตรง ตรัสทั้งๆ ที่หันหลังให้กับตู๋กูซิงหลันว่า “เจ้าเห็นหรือยัง เราสามารถปกป้องเจ้าได้”
ตู๋กูซิงหลันมองดูแผ่นหลังของเขา เห็นในพระหัตถ์มีหมอกสีดำพวยพุ่งขึ้นมาอีกครั้ง เลือดสดๆ ของเขาเปียกโชกไปทั้งแขนเสื้อ ไหลลงมาจากชายเสื้อเป็นหยดๆ อยู่ตลอดเวลา
ในใจของนางเกิดความเจ็บปวด หมอกสีดำที่มีละอองทองในมือหยุดลงในที่สุด
ตอนที่ 292 บุรุษล้วนเป็นตัวเฮงซวย
นางผละมือมาจับหัตถ์ของจีเฉวียนเอาไว้ จับหัตถ์ที่โชกชุ่มไปด้วยเลือดนั่น
จากนั้นก็เดินไปที่เบื้องหน้าของเขา เงยหน้าขึ้นมองดูดวงพักตร์ที่งดงามนั้น กล่าวอย่างจริงจังว่า “ฝ่าบาท พอได้แล้วเพคะ”
ไออุ่นจากมือของนางทำให้หมอกดำทั้งหมดในพระหัตถ์ไหลคืนกลับไป พระองค์กระพริบพระเนตร มองดูใบหน้าซาลาเปาที่กลมดั่งดวงหน้าของทารก
พระทัยของจีเฉวียนเต้นระทึก บังเกิดลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้นมาในทันที
เสินฟางเองก็รั้งอยู่ด้านข้างโดยมิได้ทำการรบกวน
บุรุษผู้นี้แข็งแกร่งอย่างยิ่ง แข็งแกร่งจนสามารถบอกได้ว่าเป็นตัวอันตราย….เมื่อครู่นี้ ท่อนแขนของเขาถึงกับชาไปทั้งแขนแล้ว
แม้แต่ในกระดูกก็เจ็บจนร้าว
พลังเช่นนี้ ย่อมไม่ใช่สิ่งที่ฮ่องเต้ที่เป็นคนธรรมดาจะมีได้
นับตั้งแต่แวบแรกที่ได้เห็นบุรุษผู้นี้ เขาก็รู้สึกว่าทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับเขา ตนเองไม่อาจมองได้อย่างชัดเจนว่าเป็นเช่นไรกันแน่
บุรุษผู้นี้…..ที่จริงแล้วเป็นใครกันแน่?
ทั้งๆ ที่มีร่างเป็นมนุษย์ แต่กลับมีพลังดุจปีศาจ แถมยังสามารถควบคุมพลังของหยกสรรพชีวิตได้
เสินฟางไม่กล้าคิดให้มากความ เพียงแค่พยายามคิดถึงภาพเมื่อครู่สมองของเขาก็เหมือนจะถูกฉีกกระชากออก เจ็บปวดทรมานจนทุกอณูสั่นสะท้าน
ผ่านไปอีกครู่ใหญ่เขาถึงจะสามารถกดอาการนั้นลงไปได้ ค่อยๆ สงบลงทีละน้อย
เขารู้ว่าเพื่อซื่อมั่วแล้ว ตู๋กูซิงหลันจะต้องกลับไปยังโลกปัจจุบันอย่างแน่นอน ดังนั้นเขาจึงไม่จำเป็นจะต้องทำสิ่งใดเพิ่มเติมอีก
ตู๋กูซิงหลันยังคงกุมมือจีเฉวียนเอาไว้ดังเดิม นางขยับปากจะกล่าววาจาอยู่หลายครั้ง ในที่สุดค่อยพูดว่า “ท่านแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ ก็คงจะดูออกตั้งแต่แรกแล้ว ว่าข้าไม่ใช่ตู๋กูซิงหลัน”
“เจ้าก็คือนาง” จีเฉวียนพลิกพระหัตถ์มาเกาะกุมนางเอาไว้ เขาเคยได้ฟังคำโกหกของนางมาจนคุ้นชินแล้ว พอตอนนี้อยู่ๆ ได้ฟังนางพูดความจริงออกมา ในพระทัยบังเกิดความหวาดกลัวขึ้นมาในทันที
พระองค์ทรงทราบดี…..ว่าร่างเนื้อหนังนี้ถูกเปลี่ยนแปลงจิตภายในไปตั้งนานแล้ว พระองค์ทรงรออยู่ รอคอยให้นางเป็นฝ่ายพูดออกมาในวันหนึ่ง
หรือไม่ก็…..หากนางไม่บอก พระองค์ก็จะทรงทำเป็นไม่เคยรู้ไปชั่วชีวิต
แต่เมื่อถึงเวลาที่นางกำลังจะพูดออกมาด้วยตนเอง พระองค์กลับทรงกลัวที่จะได้ยินคำที่จะกล่าวออกมา
ตู๋กูซิงหลันส่ายศีรษะ “ข้าคือเย่วซิงหลัน เป็นวิญญาณร้ายจาก…..อีกโลกหนึ่ง”
จีเฉวียน “ไม่ว่าเจ้าจะเป็นคนหรือเป็นผี เราก็รับได้”
ตู๋กูซิงหลัน “ข้าไม่ได้ชอบท่าน คิดต่อต้านก่อกบฏอยู่ตลอดเวลา”
จีเฉวียนเงียบงันไปชั่วครู่หนึ่ง “เรารู้”
ทุกถ้อยคำที่นางปรึกษากับตู๋กูจุน องครักษ์ลับได้รายงานให้เขาฟังอย่างชัดเจนแล้ว
ปากบอกว่าจะก่อกบฏ แต่ว่าทุกสิ่งที่นางทำกลับเป็นการช่วยเหลือให้เขาปกครองแผ่นดินได้อย่างมั่นคง
ตู๋กูซิงหลัน ได้แต่นิ่งเงียบ
ที่แท้ฮ่องเต้สุนัขคอยจับตาดูนางอยู่ตลอดเวลา รู้แม้กระทั่งว่านางคิดจะกบฏ แต่ก็ยังปล่อยให้นางกระโดดโลดเต้นอยู่ใต้หนังตา?
ไม่เพียงแค่นั้น ยังมาสารภาพรักกับนาง? คือคิดจะให้ความรักมาผูกพันนางเอาไว้ หลอมละลายความคิดต่อต้านของนาง?
นางกลืนน้ำลายลงไป ค่อยกล่าวว่า “ข้าคิดแต่จะตัดศีรษะของท่านอยู่ตลอดเวลา”
จีเฉวียนส่ายพระเศียร “เรายังตายไม่ได้ หากเราตายแล้วก็รักเจ้าไม่ได้อีกแล้ว”
ตู๋กูซิงหลัน “……” สามารถหาเหตุผลใหม่ๆ มาใช้กับเรื่องที่ไม่อยากตายได้ ก็ต้องนับว่าเขาเก่งกาจมากจริงๆ
“หากว่าเจ้าอยากได้ศีรษะของเราจริงๆ เราสาบานว่าจะตายก่อนเจ้า ตายแล้วก็ยกศีรษะนี้ให้เจ้า อยากจะเอาไปเป็นเก้าอี้ก็ตามใจ”
ข้าไม่อยากได้ศีรษะของท่านมาเป็นเก้าอี้นั่งหรอกนะ ขอบคุณ
เสินฟางที่อยู่ด้านข้างถึงกับพูดไม่ออก คนที่เป็นถึงฮ่องเต้ ฝีปากไม่ธรรมดาจริงๆ
หากว่าซื่อมั่วรู้จักกล่าวคำหวานเช่นนี้ได้สักคำหนึ่ง ไหนเลยจะต้องอยู่อย่างลำพังมาหลายปี?
ตู๋กูซิงหลันเกือบจะถูกจีเฉวียนทำเอาไขว้เขวหลงประเด็นไปแล้ว ผ่านไปอีกพักใหญ่นางจึงได้ตอบว่า “ฝ่าบาท มิว่าอย่างไร ข้าก็ต้องกลับไปยังที่ที่จากมา ช่วงที่ผ่านมา……..ขอบพระทัยที่ทรงดูแล”
ถึงแม้ว่าเขาจะเจ้าเล่ห์เอาแต่ใจและบ้าอำนาจ แต่ว่าอย่างไรก็มิใช่คนเลวร้าย
“พระองค์ทรงเป็นฮ่องเต้ที่ดี ข้าขออวยพรให้แผ่นดินของท่านมีแต่ความสงบสุขร่มเย็นตลอดไป”
ตู๋กูซิงหลันไม่รู้ว่าการชอบใครสักคนหนึ่ง หรือรักใครสักคนหนึ่งเป็นความรู้สึกเช่นไร เพียงแต่รู้สึกว่าขณะที่นางพูดคำเหล่านี้ออกไป หัวใจรู้สึกปวดแปลบอยู่บ้าง ราวกับว่าหัวใจถูกนำบางสิ่งออกไป
พอเห็นอยู่ว่านางกำลังจะปล่อยมือ จีเฉวียนก็พลิกมือกลับมากอดนางเอาไว้ ตะโกนเรียกนางครั้งหนึ่ง “ตู๋กูซิงหลัน” !”
น้ำเสียงนี้ ร้อนลนอย่างที่สุดแล้ว
ทันใดนั้น ก็สอดพระหัตถ์เข้าไปในเส้นผมของนาง โอบศีรษะของนางเข้ามาชิดพระอุระ ให้นางได้ยินเสียงพระทัยที่เต้นอยู่ ตรัสทีละคำว่า “วันนี้เป็นวันเกิดครบรอบยี่สิบปีของเรา……เรามีความปรารถนาเพียงอย่างเดียว ขอให้เจ้ารั้งอยู่ ได้ไหม?”
พระองค์กอดนางเอาไว้อย่างแนบแน่น ด้วยความหวาดกลัวว่านางจะมลายหายไป
แค่คิดว่านางอาจจะสาบสูญไปจากโลกของตนเอง พระทัยของจีเฉวียนก็ถึงกับสั่นสะท้าน
“อย่าไปเลย ได้ไหม” พระองค์ทรงถ่อมองค์ลง แทบจะกลายเป็นโคลนเหลวและฝุ่นผงไปอยู่แล้ว
หัวใจของนางรู้สึกเจ็บแปลบราวกับถูกคนฉีกเป็นแผล นางยังไม่ทันได้ไปก็รู้สึกขมขื่นและเจ็บปวดราวกับมีแผลจริงๆ เสียแล้ว
วันคล้ายวันเกิดของเขา……หากว่าเขาไม่ได้พูดออกมา ตู๋กูซิงหลันก็คงจะลืมไปแล้ว
ช่วงก่อนในวังตระเตรียมงานฉลองกันอย่างวุ่นวาย พอมาถึงแคว้นเซอปี่ซือ นางกลับลืมเรื่องนี้ไปเสียแล้ว
นี่เป็นครั้งแรกที่จีเฉวียนร้องขอของขวัญวันเกิดจากผู้อื่น พระองค์กอดตู๋กูซิงหลันเอาไว้ ด้วยความกลัวว่านางจะไม่รับปาก
“รั้งอยู่ วังหลังของเราจะมีเพียงเจ้าคนเดียว”
“คำพูดก่อนหน้านี้ของเราล้วนเป็นวาจาผายลม เจ้าปรารถนาหนึ่งชาติหนึ่งภพหนึ่งคู่ครอง เราก็จะทำให้!”
จีเฉวียนไม่กล้าสนใจปัญหาให้มากความแล้ว ก่อนที่ตู๋กูซิงหลันจะปรากฏตัวขึ้นมา เป้าหมายของพระองค์ก็มีแต่การครอบครองแผ่นดิน พระองค์เคยคิดว่าชาตินี้ทั้งชาติตนไม่มีทางยอมละทิ้งอำนาจเพื่อสตรีคนใดอย่างเด็ดขาด
แต่นางกลับปรากฏตัวขึ้นมา ขโมยเอาหัวใจและจิตวิญญาณของเขาไปจนหมดแล้ว
เพื่อนางแล้ว เขายอมละทิ้งเหล่าคนที่ต้องลากมาเป็นพวกและฐานอำนาจไป วังหลังมีนางเพียงคนเดียวก็พอ
“หากว่านี่ยังไม่พอละก็ เงิน ทรัพย์สินเงินทองทั้งหมดของเราจะยกให้เจ้าหมดเลย” จีเฉวียนตรัสต่อไป “เรามีเงินเยอะที่สุดอยู่แล้ว จริงๆ นะ ไม่หลอกเจ้าหรอก”
ตู๋กูซิงหลันถูกเขาทำเอาตกตะลึงไปแล้วจริงๆ
คืนที่เขามาสารภาพรักกับนาง นางบอกกับเขาว่าต้องการหนึ่งชาติหนึ่งภพหนึ่งคู่ครอง แต่เขาไม่ยินยอม
ตอนนี้นางจะไปแล้ว เขากลับยอมทุกอย่าง
พ่อไก่ขนเหล็กที่เงินเหมาเดียวก็ยังไม่กระเด็น กลับบอกจะยกทรัพย์สินเงินทองทั้งหมดให้นางแล้ว
วิญญาณทมิฬแคะจมูกของมัน ก็พ่นออกมาประโยคหนึ่ง “บุรุษล้วนเป็นตัวเฮงซวย”
จริงด้วย ในเมื่อรักชอบ ทำไมไม่ให้แต่ทีแรก?
เป็นหนึ่งชาติหนึ่งภพหนึ่งคู่ครองตั้งแต่แรก ให้เงินให้ทองให้บ้านตั้งแต่แรกๆ ซิ ไม่แน่ว่าป่านี้คงอยู่บ้านเข้าหอสำเร็จไปเรียบร้อยไปแล้วก็เป็นได้
ฝ่าบาททรงหันมาถลึงพระเนตรใส่มันครั้งหนึ่ง ทำเอาวิญญาณทมิฬตกใจจนสูดขี้มูกกลับเข้าไป
มันรีบถอยห่างจากพระองค์อย่างเงียบๆ ไปหาที่นั่งให้กับตนเองบนโคมทองแดงโบราณอันหนึ่ง
มันรู้สึกว่า ให้ตู๋กูซิงหลันกลับไปโลกปัจจุบันดีกว่า ซื่อมั่วจะต้องเป็นมิตรที่ดีกับมันมากกว่าจีเฉวียนอย่างแน่นอน
ถึงแม้ว่าปากของคนอย่างซื่อมั่วจะไม่พูดอะไร แต่ทุกเรื่องกลับจัดการอย่างเรียบร้อย
ถึงแม้ว่าเขาเป็นผู้ก่อตั้งหุบเขาภูติที่ผู้คนพากันครั่นคร้าม แต่กับหลันๆ แล้ว ต้องเรียกว่าประคองเอาไว้ในมือก็กลัวหล่น อมเอาไว้ในปากก็กลัวจะละลายเลยรู้ไหม?
อย่าได้เห็นว่าวันๆ มันเรียกเขาเป็นตาเฒ่าซื่อมั่ว ปากเรียกเป็นผู้เฒ่า แต่ที่จริงแล้วซื่อมั่วผู้นั้น…..ยังหนุ่มแน่นอยู่มาก
ตอนที่ 293 เสี่ยวซิงซิง เราผิดไปแล้ว
พอคิดถึงตรงนี้ วิญญาณทมิฬก็แคะขี้มูกออกมาอีกครั้ง ความกล้าก็ชักจะกลับคืนมาด้วย
“หลันหลัน พวกเราจะต้องกลับไป! ซื่อมั่วต่างหากที่ดีที่สุด! จัดการตัดเจ้าฮ่องเต้สุนัขนี้ทิ้งไปซะ! เขามันพึ่งพาไม่ได้!”
มันขยับปากพร่ำเพ้อต่อไป ดูสิว่าเขาจะงัดอะไรออกมาสู้อีก?
อ้อ….ดีที่ตอนอยู่บนทะเลสาบเมื่อครู่ ยังช่วยรับดาบแทนตู๋กูซิงหลันไปครั้งหนึ่ง
แต่ว่า….หลันหลันของพวกเราหลบเองก็ได้ รู้ไหม? แต่เพราะถูกเขากักตัวเอาไว้ถึงได้ไร้ทางหลบหนี!
สายพระเนตรของจีเฉวียนในยามนี้เย็นวาบลงไปอีก
ไอสังหารพลุ่งพล่านท่วมท้น แทบจะส่งเจ้าวิญญาณทมิฬขึ้นสวรรค์ไปเสียเดี๋ยวนี้แล้ว
เอาละเว้ย อารมณ์ของเจ้าฮ่องเต้สุนัขผู้นี้ชักจะควบคุมไม่อยู่เสียแล้ว? นี่เขาจะฆ่ามันหรือไม่? ไม่แน่เว้ยเฮ้ย!
ในตอนนี้ สมองของวิญญาณทมิฬมีแต่คำว่า ‘ที่นี่อยู่นานไม่ได้แล้ว’
“ซื่อมั่ว?” จีเฉวียนกอดตู๋กูซิงหลันเอาไว้ไม่ยอมปล่อย ยามที่ตรัสสองคำนั้นออกมา ความเย็นยะเยือกในน้ำเสียงแทบจะทำให้ให้คนต้องแข็งตายแล้ว
พระองค์นึกว่านางไม่ชอบการใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ นึกว่านางไม่ได้ชอบพระองค์ ถึงได้จะกลับไปยังโลกเดิมของนาง
ที่แท้ก็เพื่อคนผู้นั้น?
แค่ได้ยินชื่อก็รู้แล้วว่าเป็นไอ้หนุ่มหน้าขาวคนหนึ่ง ทั้งยังเป็นไอ้หนุ่มหน้าขาวที่มีดียิ่งกว่าจีเย่และซูเม่ย
ในตอนนั้นเอง จีเฉวียนก็ทรงเข้าพระทัยขึ้นมาในทันที ที่แท้แล้วทุกสิ่งที่พระองค์ทรงทำหรือพูดออกไป นางไม่เคยใส่ใจเลยสักนิด เพราะว่าในใจของนางมีผู้อื่นอยู่แล้วแต่แรก?
ตู๋กูซิงหลันอยากจะเย็บปากของวิญญาณทมิฬให้รู้แล้วรู้รอดไปจริงๆ มันช่างเป็นหมูตายไม่กลัวน้ำร้อนของแท้ รู้อยู่แล้วว่านางจะต้องไป แต่ก่อนจะไปยังไม่วายก่อความแค้นเอาไว้อีก
กับท่านอาจารย์ นางมีแต่ความเคารพนบนอบอย่างบริสุทธิ์ใจ
ยิ่งไปกว่านั้น อย่างท่านอาจารย์ต้องถือเป็นราชาจอมมาร ขยับนิดขยับหน่อยเป็นต้องโยนนางลงไปในสุสานพันปีที่มีแต่ภูติผีปีศาจอยู่เต็มสุสาน หรือไม่ก็โยนพวกปีศาจมาเล่นงานนาง
“ใช่แล้ว ซื่อมั่วนั้นเหนือกว่าอย่างเทียบไม่ติด” เสินฟางที่อยู่ด้านข้างก็มิวายว่าตามอีกประโยค “หากว่าข้าเป็นสตรีล่ะก็ จะต้องเลือกเขาแน่นอน”
ตู๋กูซิงหลันอยากจะร้องไห้ แม่ขอเถอะพวกเจ้าช่วยเงีบยๆ กันหน่อยจะได้ไหม!
นางมีลางสังหรณ์ว่า ฮ่องเต้สุนัขจะตัวระเบิดแล้ว
เดิมทีนางคิดจะ ‘เลิกกัน’ แบบจบด้วยดี แต่ถูกเจ้าสองตัวนี้ทำเอาวุ่นวายเสียจนกระทั่งจะลาไปแบบเงียบๆ ก็ยังทำไม่ได้เลย
ระหว่างนางและท่านอาจารย์มีแต่ความบริสุทธิ์ใจ ทำไมพอออกจากปากของพวกมันถึงได้ทำให้คนเข้าใจผิดไปง่ายๆ
“เราไม่ดีตรงไหนหรือ?” ฮ่องเต้ทรงร้อนพระทัยจนซวนเซไปหมดแล้ว หากว่าซื่อมั่วอยู่ตรงหน้า พระองค์ก็จะท้าให้ออกมาประลองความเป็นความตายกันไปตั้งนานแล้ว
สีพระพักตร์มืดครึ้ม น้ำเสียงสั่นเทา หงุดหงิดพลุ่งพล่านอย่างที่สุด ราวกับว่าจะออกไปต่อยตีให้ได้เสียเดี๋ยวนี้
ตู๋กูซิงหลันยังคงถูกพระองค์กอดเอาไว้ หัวใจดวงน้อยเต้นดังตึกตักตึกตัก หากว่าคนผู้นี้ใช้กำลังอีกสักหน่อย ต่อให้นางไม่ตายก็ต้องถูกบีบจนแหลกแล้ว
จีเฉวียนมองดูสตรีในอ้อมแขน ด้วยท่าทีหนักแน่นดังเดิม “เราไม่ดีตรงไหน เราจะแก้ไข!”
พระองค์ใช้น้ำเสียงดุดันอย่างที่สุด ตรัสด้วยคำที่น่ากลัวที่สุดออกมา
ฮ่องเต้มิทรงกลัวจะเสียพระพักตร์บ้างเลยหรือ
ภรรยาของซุนต้มยากล่าวเอาไว้แล้ว เรื่องของการจีบสตรี หากว่าไปถึงจุดที่ไม่มีหนทางอื่น เช่นนั้นให้หน้าด้านเข้าไว้ ขอเพียงหน้าหนาพอ กระทำโดยไม่ห่วงหน้าตาใดๆ ทั้งสิ้น ก็ไม่มีหญิงใดที่จีบไม่สำเร็จ
ถึงพระพักตร์ของฝ่าบาทนี้จะสูงส่งเพียงไร แต่เพื่อนางแล้ว ไม่เอาก็ได้
เดิมทีตู๋กูซิงหลันตระเตรียมไว้ว่าจะต้องโดนเขาอาละวาดเข้าใส่ แต่เขากลับกล่าวประโยคนั้นออกมา ทำเอานางถึงกับไปไม่เป็น
วิญญาณทมิฬและเสินฟางต่างก็ตกตะลึงไป
วิญญาณทมิฬนั้นรู้ว่าฮ่องเต้สุนัขนั้นไร้ยางอาย แต่ก็คิดไม่ถึงว่าเขาจะหน้าไม่อายจนถึงขั้นนี้
ความรัก ที่แท้แล้วก็เหมือนกับสุราพิษ ดื่มลงไปถ้วยหนึ่งก็ออกฤทธิ์แล้ว โอ้ ~
ดูเอาสิฮ่องเต้พระองค์หนึ่งถึงกลับกลายเป็นคนที่ไม่รักหน้าตาไปได้
“หลันหลัน อย่าได้ใจอ่อน ลองคิดดูสิ ก่อนหน้านี้เขาทำกับเจ้าอย่างไร!” วิญญาณทมิฬถึงกับทุบหม้อข้าวทิ้งแล้ว
จะอย่าไรเสียก็ผิดใจกับฮ่องเต้สุนัขไปแล้ว ก็ผิดไปให้ถึงที่สุดเลยแล้วกัน “เขาขังเจ้าเอาไว้ในตำหนักเย็น ให้เจ้าไปอยู่ในบ้านสุนัข แล้วยังหาผู้หญิงอีกกลุ่มใหญ่มารังควาญเจ้า”
“นับๆ ดูนะ เริ่มตั้งแต่เหลียนไฉเหริน ต่อด้วยฉีผิน เต๋อเฟย ยังมีอันหว่านจรือ สุดท้ายนั่นใครนะ….. เหยียนเฉียวหลัว แม่เจ้าโว้ย แต่ละคนยิ่งมายิ่งแสบสัน”
“ฮ่องเต้สุนัขผู้นี้มีรูปโฉมเป็นบุรุษเสเพล กวักเรียกดอกท้อเน่าเข้ามาไม่หยุดไม่หย่อน พวกเราไม่อาจเชื่อใจเขา”
“ที่สำคัญที่สุด ก็คือซูหวงกุ้ยเฟยผู้นั้น ก่อนหน้านี้พึ่งจะถูกเขาจัดการจนท้องโตขึ้นมา ไอ้เด็กน้อยนั่นยังไม่ทันได้ออกมา เจ้าฮ่องเต้สุนัขนี่ก็มาสารภาพรักกับเจ้าแล้ว นี่หรือคือรักจะเป็นจะตาย?”
“เฮอะ เฮอะ!”
วิญญาณทมิฬกรอกตาขาวหัวเราะเสียงเย็น “ซูหวงกุ้ยเฟยในวันนี้ ก็คือตัวเจ้าในวันหน้า เชื้อพระวงศ์ล้วนไร้น้ำใจห่วงใยแต่ตนเอง เจ้าอย่าได้ไปฝากความหวังเอาไว้กับเขาเลย”
“ซื่อมั่ว…. เป็นบุรุษแท้อายุปานนี้แล้วก็ยังรักษาตัวบริสุทธิ์ผุดผ่องดุจดั่งหยกงาม ข้างกายไม่มีห่วงผูกมัด ที่สำคัญคือดีต่อเจ้ามากมายก่ายกอง! มีแต่หญิงตาบอดถึงได้ไปเลือกเจ้าฮ่องเต้สุนัขนั่น!”
วิญญาณทมิฬคำก็ฮ่องเต้สุนัขสองคำก็ฮ่องเต้สุนัข เรียกเสียสนุกปาก
ก่อนหน้านี้ได้แต่แอบนินทาเขาลับหลัง ตอนนี้ด่าเสร็จก็เตรียมจะลุกหนี จึงมีความกล้าขึ้นมาแล้ว วิญญาณทมิฬอยากจะไปขุดบรรพบุรุษทั้งสิบแปดรุ่นของเขาขึ้นมาเอาแส้ฟาดเสียด้วยซ้ำ
ก่อนหน้านี้ที่บอกให้ตู๋กูซิงหลันไปล่อลวงเขา ……ก็เป็นเพราะว่าตกอยู่ในสถานการณ์บังคับมิใช่หรือ?
ตอนนี้ได้ระบายอารมณ์โกรธออกมาช่างสะใจดีแท้
แต่ไหนแต่ไรจีเฉวียนทรงเป็นผู้ที่ภายนอกเย็นชาแต่ภายในจดจำความแค้นได้อย่างดี ตอนนี้พอถูกวิญญาณทมิฬก้มหน้าก้มตาด่ากราดออกมา จึงได้ย้อนกลับไปคิดถึงสิ่งที่เคยทำกับตู๋กูซิงหลันเอาไว้ พระองค์ย่อมคิดจะย้อนกลับไปตบพระโอษฐ์ตนเองสักหลายครั้ง
ด้วยเหตุทั้งหลายทั้งมวลนี่เองส่งผลให้ เสี่ยวซิงซิงถึงได้รังเกียจเขา ที่ไม่อาจยอมรับเขานั่นก็นับว่ามีเหตุผลอยู่บ้าง
ที่ผ่านมาเขา…..ทำไม่ดีกับนางเอาไว้
ทำไม่ดีเอาไว้มากๆ
“หากว่าเป็นเพราะเรื่องในอดีต เราต้องขอโทษเจ้าแล้ว เสี่ยวซิงซิง เราผิดไปแล้ว” จีเฉวียนกอดตู๋กูซิงหลันเอาไว้ วางคางลงบนบ่าของนาง “เราสัญญา ต่อไปจะไม่ทำให้เจ้าต้องขัดใจหรือทุกข์ใจอีกแล้ว”
ตู๋กูซิงหลัน “…..” ไม่ใช่ ทั้งหมดนี้มันไม่ใช่ประเด็นสำคัญ
“ขอเพียงแค่เจ้ารั้งอยู่ ต่อให้ครึ่งชีวิตหลังของเราต้องอยู่ในรังสุนัขก็ไม่เป็นไร”
ตู๋กูซิงหลัน “???” เรื่องรังสุนัขเนี่ย ให้มันผ่านๆ ไปจะได้ไหม?
“หากว่าเจ้าชอบบุรุษหนุ่ม……ที่ยังบริสุทธิ์ เป็นเราก็นับว่าใช่พอดี”
ตู๋กูซิงหลัน “???” ให้ตายเถอะ! แล้วที่ซูคนงามท้องโตนั้นเป็นฝีมือของใครกัน?
แตงกวาเน่าคิดจะป่าวประกาศว่าตนเองเป็นแตงกว่าอ่อน?
อายบ้างไหม?
“พูดไปแล้วเจ้าอาจจะไม่เชื่อ ซูเม่ยผู้นั้นเป็นบุรุษ”
ตู๋กูซิงหลัน “อ่อ….” นางเชื่อกับผีนะสิ!
วิญญาณทมิฬ “หลันหลัน อย่าไปเชื่อเขา!”
ฮ่องเต้สุนัขผู้นี้มีปากที่อยากจะพูดจาเหลวไหลอะไรก็ได้ทั้งนั้น
“ลมปากของบุรุษ หลอกลวงยิ่งกว่าผีสาง! หากว่าตอนนี้เจ้าเลือกจะรั้งอยู่ รับรองว่าวันเวลาที่เหลือต้องถูกรังแกจนอเนจอนาถเป็นแน่”
ใช่แล้ว….หากว่าหลันหลันอยู่ต่อล่ะก็ วิญญาณทมิฬก็รู้เลยว่าวันเวลาที่เหลือของมัน มีหวังต้องถูกฮ่องเต้สุนัขเฆี่ยนตีทุกวันเป็นแน่
ทอดในกระทะ ห้าม้าแยกร่าง จิตแตกสลาย …..จุ๊ จุ๊ จุ๊ มันไม่อยากจะคิดถึงเลย
ยิ่งคิดก็ยิ่งน่ากลัว จากนั้นมันก็ยิ่งคิดจะไปจากฮ่องเต้สุนัขให้ไกลกว่าเดิม ไปหลบอยู่ในร่มอันปลอดภัยของซื่อมั่ว
ส่วนท่านยมราชที่ฟังทั้งหมดอยู่ด้านข้างนั้น “……”
เขากำลังคิดว่า หากว่าซื่อมั่วได้รู้ว่าลูกศิษย์สุดรักสุดหวงของตนเองถูกพัวพันถึงขนาดนี้ เขาจะทำเช่นไร?
อย่าได้เห็นว่าไอ้เฒ่านั้นภายนอกหน้านิ่งๆ รักษามาด ….ในกระดูกก็ดำมืดเหมือนกันแหละ
——
คุยกันนิดนึง:
ไรท์ : เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าถวนจื่อสมควรโดนเอาไปเก็บไว้ก่อน โทษฐานขวางพี่เต้
ถวนจื่อ: เค้าทำตามหน้าที่นะ
ตอนที่ 294 นางมีหัวใจเป็นหินผา
เจ้าหมาจิ้งจอกน้อยที่ถูกเขาเลี้ยงเอาไว้ในสวนกุหลาบของหุบเขาภูติ …..ก็ถูกเขาโยนลงไปในกงล้อวัฏสงสารด้วยตนเองมิใช่รึ
เสินฟางยิ้มเย็น พวกมนุษย์ที่ทำตนเป็นนักพรตผู้ยิ่งใหญ่ อย่าได้เห็นว่าภายนอกดูสุภาพรักษาท่าที แต่ยามเมื่อจะทำเรื่องชั่วขึ้นมา ก็สามารถกระทำได้อย่างไม่กระโตกกระตากเสียด้วยซ้ำ
ยามที่เขาเป็นหนึ่งในสิบยมราชนั้น ก็นับว่าเคยมีการไปมาหาสู่กับซื่อมั่วอยู่บ้าง จึงรู้ว่าเขาประคบประหงมลูกศิษย์คนโปรดนี้ถึงเพียงไร
รักใคร่โปรดปรานอยู่เพียงคนเดียว ยิ่งเท่ากับหวงเอาไว้แต่เพียงผู้เดียว
ทั้งๆ ที่หวงแหนสุดหัวจิตหัวใจ แต่ภายนอกกลับนิ่งเฉยจนดูไม่ออก
เจ้าจิ้งจอกน้อยตัวนั้น วันทั้งวันร่วมกินร่วมดื่มอยู่ข้างกายตู๋กูซิงหลันตลอดเวลา ทำตัวติดกับนางทั้งวัน ดังนั้นในกลางดึกของคืนหนึ่งที่ไร้แสงจันทร์และสายลมพัดแรง เจ้าจิ้งจอกตัวนั้นก็ถูกเขาหิ้วไปที่ยมโลก โยนลงไปผ่านกงล้อวัฏสงสารให้ไปเกิดใหม่เสียทั้งอย่างนั้น
ตอนนั้นตัวเขายังเป็นหนึ่งในยมราช จึงผ่านไปเห็นเข้าพอดี
เรื่องที่ไปเจ้ากี้เจ้าการจัดแจงชะตาชีวิตของผู้อื่นเช่นนี้ หากเปลี่ยนเป็นผู้อื่น ยมราชอย่างพวกเขาคงต้องเข้าไปจัดการแล้ว
เพียงแต่เมื่อคนผู้นั้นคือซื่อมั่วผู้ก่อตั้งหุบเขาภูติ เรื่องนี้เขาจึงได้แต่ทำเป็นว่าไม่รู้ไม่เห็น
เกรงว่านังหนูนี่จนถึงตอนนี้ก็คงจะยังไม่รู้หรอกว่าจิ้งจอกตัวนั้นไปไหนเสียแล้ว?
ยามนี้ ในสมองของเสินฟางชักจะปูดขึ้นมาแล้ว หากว่าซื่อมั่วและจีเฉวียนได้พบกัน เกรงว่าไม่ใช่เจ้าตายก็เป็นข้าม้วย
ฮ่องเต้ที่เป็นเพียงมนุษย์ปถุชนของโลกนี้ นับว่าไม่ธรรมดาเลย
ตอนนี้พอจีเฉวียนกล่าวประโยคหนึ่ง วิญญาณทมิฬก็ต้องเถียงประโยคหนึ่ง
เห็นแก่หน้าของตู๋กูซิงหลัน ในยามนี้ฮ่องเต้จึงยังมิได้ทรงถือสาหาความกับมัน ดวงเนตรของพระองค์อ่อนโยน พระหัตถ์ข้างหนึ่งโอบตู๋กูซิงหลัน พระหัตถ์อีกข้างชูสองดรรชนีขึ้นมา “ข้าจีเฉวียนขอสาบานต่อฟ้า คำสัญญาที่ให้กับเจ้าไปในวันนี้ หากว่าโป้ปดแม้สักครึ่งคำ ขอให้ข้าโดนฟ้าผ่า มิได้ตายดี!”
“ฟ้าถูกโลงทองแดงใบนี้ขวางเอาไว้แล้ว แถมด้านบนยังมีน้ำดำๆ ในทะเลสาบกั้นอยู่อีกชั้นหนึ่ง มาสาบานตอนนี้มีประโยชน์อะไร”
จัดมาได้ตามสบายเลย ไม่ว่าจะพูดอะไรออกมา อั๊วก็เตรียมจะเลื่อยขาเวทีให้หมด
รอให้กลับไปถึงโลกปัจจุบันโน้น มันจะต้องไปขอรับรางวัลดีๆ จากซื่อมั่วสักหน่อย หากมิใช่ว่ามันลงทุนลงแรงอย่างเหน็ดเหนื่อย หลันหลันก็อาจจะถูกเจ้าฮ่องเต้สุนัขหลอกอยู่นี่ก็เป็นได้
ความอดทนของฝ่าบาทถือว่ามาถึงสุดขอบข้อจำกัดแล้ว ทันทีที่วิญญาณทมิฬกล่าวจบลง ก็เห็นหมอกสีดำกลุ่มหนึ่งซัดออกมาจากพระหัตถ์
หมอกดำนี้ล้อมตัววิญญาณทมิฬเอาไว้จนกลมกลิ้งอยู่ภายใน กักขังมันอย่าแน่นหนา
วิญญาณทมิฬ “ข้าจะด่าบรรพชนทั้งหมดของเจ้า!”
น่าเสียดายที่เมื่ออยู่ในหมอกสีดำนั้นเสียงของมันก็ไม่อาจจะเล็ดลอดออกมาได้
พอไม่มีเจ้าถวนจื่อตัวดำคอยพูดขัดคอ ฝ่าบาทก็ทรงรู้สึกสบายพระกรรณขึ้น
สองดรรชนีที่พระองค์ใช้สาบานต่อฟ้าเบื้องบนยังไม่ทันจะลดลงมา ก็หันไปทอดพระเนตรตู๋กูซิงหลัน อยากให้นางได้เห็นถึงน้ำพระทัยที่แท้จริง “ทุกถ้อยคำที่เรากล่าวออกไปล้วนแต่เป็นจริง เจ้าพอจะให้โอกาสข้าสักครั้งได้หรือไม่? แค่ครั้งเดียวก็พอ”
หัวใจของตู๋กูซิงหลันสั่นสะท้าน
แต่ก็เป็นแค่การสั่นสะท้านน้อยๆ เท่านั้น นางไม่เคยคิดมาก่อนว่าจีเฉวียนจะดื้อรั้นเพื่อนางถึงเพียงนี้
หรือบางทีอาจเป็นเพราะนางมีพรสวรรค์เรื่องความใจแข็งแต่กำเนิด จึงได้ไม่ค่อยรู้สึกรู้สาถึงเรื่องความรักสักเท่าไร
ในสายตาของนาง จีเฉวียนนั้นคล้ายกับคนที่ …….หากไม่ได้ในสิ่งที่ปรารถนา ก็จะคิดหาหนทางเป็นพันเป็นร้อยวิธีเพื่อให้ได้มาครอบครอง
เพียงแต่ว่านางไม่ได้ดีเลิศอะไรขนาดนั้นเสียหน่อย?
นางคิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าจีเฉวียนชอบนางที่ตรงไหนกัน? ข้อดีของการชอบนางคืออะไร?
ทำไมจึงจะต้องเป็นนางให้ได้?
นี่คือความรักจริงๆ หรือ?
นางได้เห็นสามีภรรยาที่เกลียดชังกันมามาก อยากจะฆ่าแกงกันมามากมาย เรื่องของความรักสำหรับนางแล้ว คงถูกนางละทิ้งไปตั้งแต่แรกแล้ว
ดังนั้นไม่ว่าจีเฉวียนจะทำเช่นไร…..ก็ไม่อาจทำให้นางหวั่นไหวได้เลย
หัวใจคล้ายกับถูกลงกลอนเอาไว้ กุญแจนั้นปิดกั้นความรักเอาไว้จนหมดสิ้น
และเพราะร่องรอยของความหวั่นไหวเมื่อครู่ ตู๋กูซิงหลันถึงได้รู้สึกว่าหัวใจมีรอยแผลคล้ายกับถูกฉีกออกมา เจ็บปวดอย่างยิ่ง
แต่ว่าสีหน้าภายนอกของนางยังคงมีแต่ความสงบ ชนิดที่ว่าแม้แต่ในดวงตาดอกท้อทั้งสองข้างก็ยังไม่มีความเคลื่อนไหวเลยสักนิด
ในชั่วขณะนั้น ร่างกายของจีเฉวียนถึงกับเหน็บหนาวไปทั่วทั้งร่าง
ทั้งๆ ที่พระองค์ไม่เคยได้ครอบครองนาง แต่เมื่อได้เห็นปฏิกริยาของนางที่ไม่มีความหวั่นไหวเลยสักนิด พระองค์ก็รู้สึกเหมื่อกับว่าได้สูญเสียนางไปนับพันนับหมื่นครั้งแล้ว
ครั้งหนึ่งเคยมีคนถามคำถามพระองค์ “ทำไมบนโลกถึงได้มีคนที่หัวใจแข็งทื่อไร้ความรู้สึกเหมือนดั่งพระองค์อยู่?”
ในตอนนั้น พระองค์ทรงถอนพระทัยทางพระนาสิกเบาๆ ทรงรู้สึกว่าอีกฝ่ายช่างน่ารำคาญเหลือเกิน
จะมามัวพิรี้พิไรกับความรู้สึกไปเพื่ออะไร?
มิว่าพระองค์จะทำสิ่งใดล้วนแล้วแต่มีจุดประสงค์และวิธีการที่ชัดเจน พระองค์ไม่เคยทรงใช้ความรู้สึกมาก่อน
แต่พอมาถึงตอนนี้…..ยามเมื่อพระองค์ถูกตู๋กูซิงหลันปฏิบัติตอบอย่างเย็นชา พระองค์ถึงได้ทรงรู้สึกเข้าพระทัยอย่างแจ่มชัดว่า การหลงรักคนที่ ‘หัวใจเฉยชาดั่งหินผา’ ผู้หนึ่ง เป็นเรื่องที่ทุกข์ทรมานเพียงไร
ความรู้สึกนี้เหมือนกับว่าหัวใจที่เร่าร้อนดวงหนึ่งถูกส่งออกไป แต่แล้วกลับถูกมีดสั้นที่เย็นเป็นน้ำแข็งเล่มหนึ่งทิ่มแทงกลับมานับร้อยแผล
“เป็นเพราะคนที่ชื่อว่าซื่อมั่วผู้นั้น เจ้าจึงไม่ยอมให้โอกาสข้าแม้แต่สักครั้งหรือ?” จีเฉวียนคว้ามือของนางเอาไว้อย่างแนบแน่น
ในที่สุด ดวงเนตรหงส์ทั้งคู่ก็สาดประกายเย็นยะเยือกออกมา
ครั้งหนึ่ง พระองค์ทรงทราบดีว่า ในสายตาและหัวใจของตู๋กูซิงหลันนั้นมีแต่จีเย่…..ในตอนนั้น พระองค์เอาแต่ดูถูกนาง
ตอนนี้ เพราะบุรุษที่ไม่เคยแม้แต่จะเห็นหน้า พระทัยของพระองค์เหมือนดั่งถูกนำไปประหาร
ตู๋กูซิงหลันอยากจะบอกเหลือเกินว่าไม่ใช่
ระหว่างนางกับอาจารย์มีแต่ความบริสุทธิ์ใจดั่งอาจารย์และลูกศิษย์เท่านั้น
แต่ว่าเมื่อคำพูดมาถึงริมฝีปาก กลับกลายเป็น “ใช่แล้ว”
หมัดของจีเฉวียนกำเข้าหากันจนแนบแน่น
ในพระเนตรของพระองค์มีแต่ความเจ็บปวดอย่างลึกซื้ง และความเจ็บปวดนี้ได้เปลี่ยนเป็นพายุหิมะอย่างรวดเร็ว
“เราไม่มีทางด้อยไปกว่าเขา” พระองค์ทรงคว้าตู๋กูซิงหลันไว้ มิว่าอย่างไรก็ไม่ยอมปล่อย
ทั้งยังขอร้องนางเป็นครั้งสุดท้าย “ให้โอกาสเราสักครั้ง ครั้งเดียวก็พอ เราจะใช้ทั้งชีวิตมาพิสูจน์ให้เจ้าดู”
ตอนนี้ ในพระเนตรของพระองค์ยังคงมีแสงแห่งความหวังอยู่จางๆ
ต่อให้จิตใจของนางเหมือนดั่งหินผา ต่อให้นางไม่ได้รักพระองค์ พระองค์ก็ยังทรงคิดว่า หัวใจของคนเรามีเลือดเนื้ออยู่ สักวันหนึ่ง นางย่อมต้องอบอุ่นขึ้นมา
ซื่อมั่วดีกับนางหนึ่งส่วน พระองค์ก็จะดีกับนางสิบส่วน ร้อยส่วน พันส่วน
“ฝ่าบาท เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับความรัก” ตู๋กูซิงหลันจับพระหัตถ์ที่โอบเอวของนางเอาไว้อย่างแนบแน่นมากุมไว้และตบเบาๆ
“พระองค์ยังทรงจดจำ ความตั้งพระทัยแต่แรกเริ่มได้หรือไม่?”
จีเฉวียนตื่นตะลึงไป
ความตั้งพระทัยเดิม…..
พระองค์ทรงเป็นฮ่องเต้ที่คิดการใหญ่ แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นฮ่องเต้ที่ในพระทัยก็คำนึงถึง
อาณาประชาราษฏร
“พระองค์ทรงเป็นผู้ที่จะปกครองแผ่นดินทั้งหมด” ตู๋กูซิงหลันมองดูเขาพลางคลี่ยิ้มน้อยๆ “ผู้ที่กระทำการอันยิ่งใหญ่ ย่อมไม่อาจห่วงกังวลในเรื่องของชายหญิง หนึ่งปีที่ได้รู้จักกัน ข้าล้วนเห็นมาหมดแล้วด้วยตาของตนเอง พระองค์ทรงเป็นฮ่องเต้ที่ดี”
“แผ่นดินที่สับสนวุ่นวาย ความอดอยากกระจายไปทุกหย่อมหญ้า ผู้ยากไร้ร่อนเร่ไปทุกหัวระแหง พระองค์ทรงเป็นผู้ที่สวรรค์เลือกสรร ผู้ที่จะมาช่วยเหลือทุกชีวิตบนแผ่นดินนี้ ย่อมไม่สมควรลืมเลือนความตั้งพระทัยเดิมเพียงเพื่อคนผู้หนึ่ง”
“หากใต้หล้านี้ไม่ต้องมีครอบครัวที่แตกแยก พี่น้องที่เข่นฆ่ากัน เช่นนั้นในแผ่นดินก็จะไม่ต้องมีเด็กที่ถูกทอดทิ้งเช่นพระองค์ในวัยเยาว์ ปรารถนาให้แผ่นดินมีแต่ความสงบสุข ลมฝนอุดมสมบูรณ์นั่นจึงเป็นความตั้งพระทัยเดิมของพระองค์”
ตู๋กูซิงหลันยังคงกล่าวต่อไปทีละคำๆ “พระองค์ทรงเป็นผู้นำที่ชาญฉลาด เป็นฮ่องเต้ที่ผู้คนจะจดจำไปอีกนับพันปี ส่วนไทเฮาที่ล่มบ้านล้างเมืองมีแต่จะขัดขวางความตั้งพระทัยเดิม กลายเป็นก้อนหินที่ขวางทาง”
ตู๋กูซิงหลันคลี่ยิ้มน้อยๆ “รักใครสักคนเป็นเพียงความรักเล็กๆ รักใต้หล้าจึงจะเป็นรักที่ยิ่งใหญ่ ฝ่าบาททรงเป็นผู้ที่มีความรักอันยิ่งใหญ่ สละสิ่งเล็กน้อยเพื่อความสำเร็จของสิ่งที่ยิ่งใหญ่เป็นเรื่องที่สมควรที่สุดแล้ว”
ตอนที่ 295 มีลูกให้กับเขา
คนอย่างจีเฉวียน มีความลึกลับมากมาย ย่อมต้องถูกกำหนดให้เป็นผู้แข็งแกร่งที่ยิ่งใหญ่
โลกนี้ย่อมต้องมีผู้ที่มาหยุดยั้งความวุ่นวายทั้งหลาย ตู๋กูซิงหลันเชื่อว่าเขาก็คือคนๆ นั้น
จีเฉวียนรับฟังนาง ท่าทางของนางเหมือนดั่งครั้งแรกที่นางบอกกับเขาอย่างจริงจังว่าให้เขาเป็นฮ่องเต้ที่ดี
ใต้หล้านี้ เขาย่อมไม่อาจปล่อยไป
พสกนิกรแคว้นต้าโจวแต่ละคน คือคนที่เขาต้องการจะปกป้อง
จะความรักเล็กๆ หรือความรักที่ยิ่งใหญ่ ก็ล้วนเป็นความรักไม่มีอะไรที่ขัดแย้งกัน
“ไม่ว่าอย่างไร เราก็จะไม่ยอมปล่อยเจ้าไป” พระหัตถ์ของพระองค์พลิกมาคว้ามือของตู๋กูซิงหลันเอาไว้ “เราจะต้องกลายเป็นผู้ครองใต้หล้า และมีเจ้าอยู่เคียงข้าง ทั้งสองอย่างนี้เราสามารถทำได้ ไยจะต้องให้เราละทิ้งเจ้าด้วย?”
“จะปกครองใต้หล้า ทั้งจะครอบครองหญิงงาม ไหนเลยจะมีเรื่องดีๆ เช่นนี้?” เสินฟางที่อยู่ด้านข้างยิ้มอย่างเย็นชาออกมา
เขายังนึกว่าในโลกนี้เย่วซิงหลันได้พบกับบุรุษที่มีรักลึกล้ำเข้าแล้ว ที่แท้ก็แค่มีแต่คำพูดสวยหรูเท่านั้น
สตรีอย่างเย่วซิงหลัน ย่อมไม่มีทางเป็นคนที่อยู่นิ่ง นอกจากซื่อมั่วแล้ว ในโลกนี้ก็คงจะไม่มีบุรุษใดที่สามารถควบคุมนางได้อีก
ตู๋กูซิงหลันถลึงตาโตใส่ เป็นถึงยมราชผู้หนึ่ง ทำไมถึงได้ปากมากเช่นนี้?
พูดเสียอย่างกับว่านางกำลังจะบังคับให้จีเฉวียนต้องเลือกระหว่างแผ่นดินกับตัวนางอย่างไรอย่างนั้น
ทำเอานางกลายเป็นคนเอาแต่ใจและไร้เหตุผล
จีเฉวียนทอดพระเนตรมองดูนาง ในสมองก็พลันเกิดความคิดจุดประกายขึ้นอย่างรวดเร็ว “เช่นนั้นเรากับเจ้ามีลูกกันสักคน รอให้เรารวบรวมแผ่นดินได้สำเร็จ บ้านเมืองสงบสุข ก็ส่งมอบบัลลังก์ต่อให้ลูก แล้วเจ้าอยากไปที่ไหน สุดขอบฟ้าเขาเขียวเราก็จะไปกับเจ้า”
ตู๋กูซิงหลันตกตะลึงจนชะงักไปแล้ว วิธีการในสมองของจีเฉวียนมีอะไรที่ธรรมดาบ้างหรือไม่?
กระโดดมาไกลไปหรือเปล่า ทำไมอยู่ๆ ถึงได้ข้ามไปถึงมีลูกได้กัน?
พอสบตากับดวงตาที่ตื่นตะลึงคู่นั้น ฮ่องเต้ก็ทรงเสริมอีกว่า “ดินแดนแห่งนี้กว้างใหญ่เกินไปแล้ว ลูกชายคนเดียวคงจะไม่เพียงพอ ต้องคลอดหลายๆ คนสักหน่อย พี่น้องช่วยเหลือกันจึงจะมั่นคง”
ตู๋กูซิงหลัน “…….” พี่ชาย นี่ไม่ใช่ประเด็นหลัก ประเด็นสำคัญคือทำไมนางจะต้องไปมีลูกกับเขาด้วย? แถมยังต้องมีหลายๆ คน?
ตอนนี้วิญญาณทมิฬยิ่งมีสีหน้าตกตะลึงกว่าเดิม มิว่าอย่างไรคงจะต้องยอมรับว่า……ฮ่องเต้ผู้นี้รู้จักเจรจามากไปแล้ว
มาจนถึงจุดนี้แล้ว ก็ยังไม่คิดจะปล่อยมือ ทั้งยังคิดหาลู่ทางถอยเอาไว้หมดแล้ว
สายตาของเสินฟางมืดครึ้มลง เขากวาดตาไปมองดูรอยแตกบนฝาโลงทองแดงนั่นแวบหนึ่ง น้ำในทะเลสาบไหลเข้ามาอยู่ตลอดเวลา นำพากลิ่นอายของผู้คนจากภายนอกเข้ามาด้วย
เขาขมวดคิ้วเบาๆ ไม่อยากจะเสียเวลาอีกต่อไป
“ตกลงเจ้าละทิ้งไม่ได้ จะรั้งอยู่ที่ี่นี่แล้ว?” เขามองดูตู๋กูซิงหลัน ดวงตาสีขาวนั่นมีแต่ความเย็นยะเยือก
แค่ประโยคเดียวของเสินฟาง ก็ทำเอาตู๋กูซิงหลันได้สติขึ้นมาในทันที
เกือบไปแล้ว นางเกือบจะถูกจีเฉวียนล่อลวงไปเสียแล้ว
นางหันศีรษะกลับไป มองผ่านช่องแตกบนโลงทองแดง ก็เห็นพวกหลงเซียว
ฝ่ามือของตู๋กูซิงหลันปรากฏหมอกสีดำทองขึ้นมาในทันที ฝ่ามือนี้ยังไม่ทันได้ซัดออกไปก็ถูกจีเฉวียนรั้งเอาไว้
อุ้งพระหัตถ์ที่ใหญ่กว่าของพระองค์กดประกายแสงสีทองจากหมอกของนางเอาไว้
“เรารู้ว่าเจ้าเก่งกาจ แต่ตราบใดที่ไม่ได้รับอนุญาตจากเรา เจ้าไม่อาจจากไปได้”
จีเฉวียนคว้านางเอาไว้ ปล่อยให้หมอกสีทองเหล่านั้นคั้นเลือดของพระองค์ออกมาจากพระหัตถ์ “ตู๋กูซิงหลัน เราไม่อนุญาตให้เจ้าไป!”
พระองค์เหมือนดั่งเด็กน้อยที่เอาแต่ใจ กระทั่งความสั่นสะท้านในน้ำเสียงยังถูกกดเอาไว้ให้กลายเป็นเย็นชาเช่นยามปกติ
พระองค์จะไปยอมให้นางไป ……ต่อให้ต้องมัด ต้องกักขังเอาไว้ก็จะต้องรั้งนางเอาไว้ให้ได้
เลือดที่เย็นยะเยือกเปียกชื้นไปทั่วมือของตู๋กูซิงหลัน จีเฉวียนมีพละกำลังมาก แทบจะทำให้มือของนางหักอยู่แล้ว
ดวงเนตรหงส์ที่เคยงดงามยามนี้มีเส้นเลือดขึ้นมา พระองค์กำลังร้อนพระทัยอย่างที่สุด
ทั้งๆ ที่พระองค์แข็งแกร่งอย่างยิ่ง ทั้งๆ ที่พระองค์สามารถใช้พลังของหยกสรรพชีวิตได้ แต่เพราะกลัวว่าจะทำให้นางต้องพลอยบาดเจ็บ จึงมิได้ทรงใช้ออกมาเลยสักนิด
อาศัยเพียงกำลังของร่างกายฝืนรับเอาไว้
อีกด้านหนึ่ง เสินฟางถึงกับทนดูต่อไปไม่ได้แล้ว หากปล่อยให้จีเฉวียนถ่วงรั้งต่อไป อาจทำให้เขาเสียการใหญ่ได้
หมอกดำบนร่างของเขาก่อตัวขึ้นมา กลายเป็นดาบสีดำที่เหมือบกับดาบของเหยียนเฉียวหลัวทั้งสิบเล่ม
เสียงเฟี้ยวพุ่งเข้ามา ดาบสีดำทั้งหมดพุ่งเข้าหาจีเฉวียน
ภายใต้แสงสะท้อนจากสมบัติล้ำค่าที่อยู่ภายในโลง ดาบดำแต่ละเล่มฉาบไล้ด้วยแสงที่เย็นยะเยือก ดาบยังมาไม่ถึงจีเฉวียน แรงกดดันก็พัดเสื้อผ้าของเขาจนปลิวขึ้นมาแล้ว
จีเฉวียนหันพระขนองให้กับเสินฟาง ยามที่ดาบสีดำทั้งหมดพุ่งเขามา พระองค์ก็มิได้หลบหลีก
ดวงตาหงส์คู่นั้นยังคงจับจ้องอยู่ที่ตู๋กูซิงหลัน ด้วยความพยายามครั้งสุดท้าย
“ซิงซิง อย่าไปเลย….”
ขณะที่ตรัสนั้น ดาบสีดำเล่มหนึ่งพุ่งเข้าหาช่องท้องของพระองค์ เพียงชั่ววินาทีก็แทงทะลุพระองค์ออกไป
เลือดสาดกระเซ็นใส่ตู๋กูซิงหลันไปทั้งตัว
ดาบสีดำเล่มอื่นๆ ก็พุ่งเข้ามาพร้อมๆ กัน
จีเฉวียนก็ยังคงไม่ยอมหลบ แต่ปักหลักยืนอยู่เบื้องหน้าตู๋กูซิงหลัน
เมื่อเห็นว่าดาบเหล่านั้นกำลังจะพุ่งเข้ามาแล้ว มืออีกข้างของตู๋กูซิงหลันก็สะบัดออกไป พร้อมกับแผ่หมอกสีทำที่มีละอองทองครอบคลุมด้านหลังทั้งหมดของจีเฉวียน
“ป้ง!” ดาบสีดำทั้งหมดปะทะเข้ากับหมอกสีดำ เกิดเป็นเสียงกระแทกที่ดังกึกก้อง
โลงทองแดงถึงกับสั่นสะเทือนไปทั้งหลัง แม้แต่โซ่เหล็กที่รัดเอาไว้ภายนอกก็ยังส่งเสียงสะเทือนออกมา
ผู้คนทั้งหลายที่ทุ่มเทพละกำลังตามหามาถึงที่นี่ พากันเพิ่มความระมัดระวังขึ้นไปอีก
ก่อนหน้านี้เพียงแค่วังน้ำวนในทะเลสาบ ก็ต้องสูญเสียชีวิตผู้คนไปนับร้อยแล้ว เหล่าศพแห้งที่อยู่ตรงก้นทะเลสาบยิ่งโหดเ**้ยมดุร้าย พอพบเจอโลงทองแดงหลังนี้พวกเขาจึงไม่กล้าผลีผลาม
ความสนใจของคนทั้งหมดพุ่งไปยังโลงทองแดง จึงไม่ได้มีผู้ใดทันสังเกตบุรุษสวมหน้ากากชุดม่วงที่อยู่ด้านหลัง
โลงทองแดงแตกเป็นช่องหนึ่ง จึงมิได้แข็งแกร่งจนไม่อาจทำลายได้อีกต่อไป
ภายใต้หน้ากาก ดวงตาคู่นั้นสาดประกายเย็นยะเยือก กลางฝ่ามือของเขาปรากฏหมอกสีดำพวยพุ่งออกมา หมอกสีดำเหล่านี้กลายเป็นผีเสื้อสีดำแต่ละตัว ทะยอยบินเข้าไปในช่องแต่ของโลงทองแดงอย่างรวดเร็ว
โลงทองแดงยังสั่นสะเทือนไปหยุด แต่เสินฟางในยามนี้มีโทสะแล้ว
“เจ้าปกป้องเขา?” น้ำเสียงของเขาเปลี่ยนเป็นข่มขู่ เย็นยะเยือกเหมือนพายุพัด “ทำไม ไม่ต้องการซื่อมั่วอีกแล้ว?”
ตู๋กูซิงหลันมองดูดาบสีดำที่แทงทะลุท้องของจีเฉวียน ไม่รู้เพราะอะไร จิตใจรู้สึกสับจนไปหมดแล้ว
นางไม่ได้สนอกสนใจเสินฟาง รีบเงยหน้าขึ้นมองดวงพักตร์ที่ซีดขาวของจีเฉวียน “ทำไมท่านถึงไม่หลบ? ท่านเก่งกาจออกมิใช่หรือ? ทำแบบนี้ท่านจะตายเอานะ!”
“ไม่ตายหรอก” นำเสียงของจีเฉวียนแผ่วเบา “สุดท้ายแล้วเจ้าก็ปกป้องเรา ในใจของเจ้ามีเราอยู่ใช่ไหม?”
บุรุษผู้นี้….เกินไปแล้วจริงๆ
ตู๋กูซิงหลันพูดอะไรไม่ออก
เวลาแบบนี้ยังจะมาพูดเรื่องรักๆ ใคร่อะไรกันอีก
วิญญาณจะหลุดออกจากร่างไปอยู่แล้ว?
“อย่าได้พูดอะไรอีก เก็บแรงเอาไว้” ยามนี้ตู๋กูซิงหลันถูกสถานการณ์บีบคั้นจนต้องตัดสินใจเลือกแล้วจริงๆ
อยู่ต่อ ก็ไม่รู้ว่าอีกเมื่อไหร่ถึงจะได้มีโอกาสกลับไปยังโลกปัจจุบัน ด้านอาจารย์ก็ทอดทิ้งไม่ได้
หากกลับไป จีเฉวียนที่ได้รับบาดเจ็บหนัก หากเขายังพยายามรั้งนางเอาไว้อีก แค่เสินฟางลงมือเล็กน้อยก็คงสามารถปลิดชีวิตของเขาได้แล้ว
ต่อให้เขาแข็งแกร่งเพียงไร ก็ยังมีร่างเป็นเลือดเนื้อ จะไปต่อสู้กับจอมมารได้อย่างไร?
“มีคำพูดบางคำ เรากลับรู้สึกว่าหากตอนนี้ไม่พูดออกไป ต่อไปคงจะไม่มีโอกาสแล้ว” จีเฉวียนคว้ามือของตู๋กูซิงหลันเอาไว้ “เราจะเป็นฮ่องเต้ที่ดี เป็นสามีที่ดี ท่ามกลางผู้คนมากมายนับหมื่น เราปรารถนามีเจ้าเคียงข้างแต่ผู้เดียว”
“ให้เวลาเราหนึ่งปี หลังจากหนึ่งปีแล้ว เราจะไปโลกของเจ้ากับเจ้าดีไหม?”
——
คุยกันนิดนึง:
ไรท์: ฮือ แง พี่เต้ เจ็บมากไหมลูก?
พี่เต้: (ยังจะถามอีก)
ตอนที่ 296 ฮ่องเต้ผู้ทรงถูกทอดทิ้ง
“เราเป็นโอรสสวรรค์ ตรัสแล้วไม่คืนคำ [1] ไม่มีทางหลอกลวงเจ้า”
มุมปากของเขามีเลือดเย็นชื้นไหลออกมา หยาดหยดลงไปบนหน้าผากของตู๋กูซิงหลัน
นางถูกเลือดที่เย็นชื้นนั่นชโลมจนแข็งข้างไปทั้งร่าง
ในหัวใจคล้ายกับมีเสียงของบางสิ่งปริแตก ทำลายพันธนาการออกมา แต่ขณะเดียวกันก็ยังถูกบางอย่างบีบรัด กักขังเอาไว้อย่างแน่นหนา จนอึดอัดไปหมด
“เย่วซิงหลัน!” อีกด้านหนึ่ง เสินฟางโทสะพวยพุ่งขึ้นฟ้า เขาคิดไม่ถึงเลยว่า สตรีที่ไร้หัวจิตหัวใจผู้นี้จะหวั่นไหวขึ้นมาแล้ว
เขาคำรามออกมาครั้งหนึ่ง ดอกพลับพลึงบนร่างฟุ้งกระจายออกไปดุจโลหิตพวยพุ่ง คิดจะพันธนาการคนทั้งสองเอาไว้
แต่ยังไม่ทันจะได้สัมผัสถูกจีเฉวียนและนาง ก็เห็นรอบกายของตู๋กูซิงหลันเกิดเป็นหมอกสีทองเปล่งประกายออกมา
แสงจากหมอกนั้นขวางกั้นพลังของเสินฟางเอาไว้ จากนั้นก็ถ่ายเทเข้าไปในโลงทองแดง
ทันใดนั้นดวงดาวแต่ละดวงบนแผนที่ดวงดาวก็สว่างเป็นประกายขึ้นมา
เกิดเป็นเส้นทางสีทองจากดวงดาวสีน้ำเงินราวกับหยดน้ำที่อยู่ใกล้กับพวกเขาที่สุดพุ่งตรงไปยังดวงดาวสีน้ำเงินแสนสวยงามที่อยู่ไกลออกไป
“ครื่น!” พอได้ยินเสียงระเบิด ก็เห็นว่าใต้ร่างของเสินฟางเกิดเป็นหมอกแสงสีทองจำนวนมากพวยพุ่งขึ้นมา
ภาพรอบกายของเขาเปลี่ยนเป็นพร่าเลือนไป
เห็นเพียงแต่ตู๋กูซิงหลันและจีเฉวียนที่ยืนอยู่เคียงข้างกัน ในมือของนางมียันต์สีแดงใบหนึ่ง บนยันต์สีแดงนั้นมีแสงสีแดงเปล่งประกายออกมาราวกับมีเส้นโลหิตไหลเวียน
ทันทีที่ยันต์สีชาดเคลื่อนไหว ก็ถูกนางผนึกลงไปบนปากแผลของจีเฉวียนอย่างรวดเร็ว
ตู๋กูซิงหลันไม่เคยใช้ยันต์สีชาดง่ายๆ และยันต์สีชาดแผ่นนี้ คือยันต์แลกอาการบาดเจ็บ ที่ใช้พลังชีวิตของนางเป็นข้อแลกเปลี่ยน มันจะรักษาและฟื้นฟูอาการบาดเจ็บทั้งหมดของจีเฉวียนด้วยความเร็วสูงสุด
และอาการบาดเจ็บทั้งหมดนั้นจะย้ายมาอยู่บนร่างของนางแทน
ทันทีที่ยันต์สีชาดสำแดงฤทธิ์ ไม่ว่าจีเฉวียนจะแข็งแกร่งเพียงไร มันก็จะกักตัวเขาเอาไว้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง
ตู๋กูซิงหลันตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะกลับไปโลกปัจจุบัน ยันต์รักษาจิตคืนชีพ นางรู้แล้วว่าเมื่อมียันต์นี้อยู่ในร่างจะก่อให้เกิดผลเช่นไร
ยิ่งนางอยู่ในโลกนี้นานเพียงไร ก็จะยิ่งมีผลกระทบต่ออายุขัยของอาจารย์มากขึ้นเรื่อยๆ
นางเป็นเพียงทารกกำพร้า ที่เกือบจะแข็งตายอยู่บนท้องถนน ท่านอาจารย์เก็บนางกลับมายังหุบเขาภูติ ช่วยเช็ดอึเช็ดฉี่เลี้ยงดูมาจนโต
เขาเป็นอาจารย์ยิ่งเป็นเสมือนบิดา เป็นญาติสนิทของนาง
ถึงแม้ว่าในโลกใบนี้นางจะมีคนมากมายที่ไม่อาจทอดทิ้ง…..แต่ว่าตอนนี้ก็ได้แต่ต้องปล่อยวางแล้ว
สิ่งที่นางสามารถทำได้ในตอนนี้ ก็คือจากไปโดยไม่ติดค้างจีเฉวียน
หากนางนำพาร่างกายที่บาดเจ็บกลับไปยังโลกปัจจุบัน ที่นั่นย่อมต้องมีหมอที่เก่งกาจที่สามารถรักษานางได้
แต่หากจีเฉวียนได้รับบาดเจ็บหนัก นั่นก็ไม่แน่แล้ว
ชั่วขณะนั้น จีเฉวียนถูกกักขังอยู่กับที่ไม่อาจเคลื่อนไหว
พระองค์ทรงขมวดพระขนงแนบแน่น เห็นมือของตู๋กูซิงหลันหลุดออกไปจากอุ้งพระหัตถ์
นางก้าวถอยหลังไปก้าวหนึ่ง มองดูพระองค์ด้วยสายตาที่ลึกล้ำ จากนั้นทั่วทั้งร่างก็ไหววูบ กลายเป็นยืนอยู่ข้างกายเสินฟาง
ในตอนนั้นเอง ไอสังหารจากร่างของเสินฟางถึงได้ลดทอนลงไป
“เป็นเช่นนี้แต่แรกไม่ดีกว่าหรือ?” เขาหัวเราะเสียงเย็น “ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ เจ้าก็จงถือเสียว่าเป็นความฝันตื่นหนึ่ง เมื่อกลับไปโลกปัจจุบัน เจ้าก็คือสุดยอดปรมจารย์นักพรต เป็นสุดยอดนักแสดงระดับชาติที่ผู้คนชื่นชม ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายกว่าที่นี่มากนัก”
ตู๋กูซิงหลันไม่ได้ตอบคำ นางหันหน้าหนี ปิดตาลง
และพระทัยของจีเฉวียนก็เหมือนกับถูกแผ่นน้ำแข็งในฤดูหนาวเกาะกุมจนสิ้น
ความอบอุ่นที่เคยมี ถูกความหนาวเย็นเป็นน้ำแข็งเข้าแทนที่ในทันที
เพราะฉะนั้น….ไม่ว่าพระองค์จะตรัสอะไร ทำอะไร นางก็ยังจะไปจากพระองค์ เพื่อบุรุษที่ชื่อซื่อมั่วผู้นั้น นางถึงกับไม่ยอมให้โอกาสพระองค์เลยสักนิด
คนบนโลกต่างก็กล่าวว่าพระองค์ทรงเป็นคนใจดำที่ไร้ความรู้สึก แต่เมื่อเปรียบเทียบกับนางแล้ว คนใจดำเช่นพระองค์นับเป็นอะไรไปได้?
ดวงเนตรของฮ่องเต้เปียกชื้น น้ำตาไหลออกมาจากดวงเนตร
ทุกสิ่งภายในโลงทองแดงกลายเป็นน้ำแข็ง น้ำตาหยดหนึ่งหล่นลงไปบนรองพระบาทกระจายกลายเป็นละออง น้ำตาอีกหยดค้างอยู่บนพระพักตร์ของผู้ที่กลายเป็นมนุษย์น้ำแข็งไปแล้ว
ในช่วงเวลานั้น จีเฉวียนเหมือนกับสัตว์ตัวน้อยๆ ที่ถูกทอดทิ้ง ไม่มีบ้านให้กลับอีกต่อไป
โลงทองแดงสั่นไหวอย่างรุนแรง กระทั่งฝ่าโลงก็ปิดไม่อยู่อีกต่อไป โซ่เหล็กที่ถูกล่ามเอาไว้แทบจะขาดสะบั้น
ในขณะที่หัวใจของทุกผู้คนกำลังตกอยู่ในความตื่นตระหนกนั้น ก็เห็นโลงทองแดงทอประกายแสงสีทองสวยงามสว่างไสวออกมา
ยามนี้เป็นเวลากลางคืนแล้ว อยู่ๆ แสงจันทร์บนทองฟ้าก็ส่องแสงเข้มข้นลงไปที่น้ำในทะเลสาบ สาดลงไปจนถึงโลงทองแดงใบนั้น
จากนั้นครู่เดียวก็เกิดเป็นแสงสีเงินยวงสุกสว่างที่งดงามบาดตา
ผู้คนทั้งหมดได้แต่ปิดตาลง
ภายในโลงทองแดง ตู๋กูซิงหลันและเสินฟางยืนอยู่เคียงข้างกัน เงาของคนทั้งสองกำลังเลือนหายไปท่ามกลางแสงสว่าง
ขณะที่เห็นอยู่ว่าเงาร่างของตู๋กูซิงหลันกำลังจะเลือนหายไปนั้น
ก็มีผีเสื้อสีดำมากมายปรากฏตัวขึ้นภายในโลง ผีเสื้อสีดำเหล่านั้นพุ่งเข้าไปในกลุ่มแสง และกลายเป็นมือขนาดใหญ่มือหนึ่ง ซัดฝ่ามือลงไปบนร่างของตู๋กูซิงหลันอย่างรุนแรง
ตู๋กูซิงหลันนับว่ามีปฏิกริยาว่องไวปานเทพเซียน ขยับตัววูบหนึ่งก็หลบพ้นตำแหน่งปลิดชีพไปได้ ฝ่ามือนั้นกระแทกลงมาบนเอวของนาง ทำลายกระดูกสะโพกของนางแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
นางพึ่งจะใช้ยันต์แลกอาการบาดเจ็บไป อาการบาดเจ็บทั้งมวลของจีเฉวียนเปลี่ยนมาอยู่บนร่างของตนเอง ตอนนี้อยู่ๆ ก็รับเข้าอีกหนึ่งฝ่ามือ แทบจะถูกเด็ดชีวิตไปครึ่งหนึ่ง
มือสีดำนั้นยังไม่ยอมหยุด มันคว้าลำคอของนางเอาไว้ กำลังจะบีบนางทิ้งให้แหลกลาญ
วิญญาณทมิฬส่งเสียงคำรามออกมาครั้งหนึ่ง เปลี่ยนร่างกายเป็นสุขันป่า พุ่งเข้ากัดในทันที
ทันทีที่มันกัดลงไป มือสีดำข้างนั้นก็สลายกลายเป็นผีเสื้อสีดำบินหนีไปทุกทิศทาง หลังจากนั้นก็รวมตัวกันที่มุมหนึ่งกลายเป็นมือสีดำอีกครั้ง เตรียมจะจัดการตู๋กูซิงหลันให้ดับดิ้นคาที่
เงาร่างของเสินฟางเลือนหายไปจนหมดแล้ว
ผีเสื้อสีดำเหล่านั้นรอคอยจนเสินฟางเลือนหายไปแล้วถึงได้ลงมือ
มิติทางกาลเวลานี้ทั้งลึกลับและเปราะบาง หากว่าระหว่างขั้นตอนเดินทางไม่ทันระมัดระวังเกิดข้อผิดพลาดแม้เพียงเล็กน้อย ก็อาจจะถูกช่องว่างของมิติดึงดูดเข้าไป จากนั้นก็สูญหายไปยังที่ที่ไม่อาจหวนคืน
ดังนั้นยามที่ตู๋กูซิงหลันปะทะกับมือสีดำนั่นจึงไม่ได้ใช้พลังทั้งหมด ประกอบกับตัวนางเองก็ได้รับบาดเจ็บ
หลังจากประมือกันหลายรอบ บนร่างของตู๋กูซิงหลันก็มีบาดแผลใหม่ๆ เพิ่มเติม
อีกทั้งมิติกาลเวลาก็ยุบตัวลงอย่างรวดเร็ว
น่าตายนัก! นางคาดไม่ถึงว่าจะมีคนแอบลงมือลับหลัง คนผู้นี้ช่างรู้จักอดกลั้นรอคอย
มิติกาลเวลายุบตัวลงอย่างรุนแรง เกิดเป็นแรงกดดันที่บดขยี้จนกระดูกทั่วร่างของนางส่งเสียงรวดร้าวออกมา
ผิวหนังของนางใกล้จะฉีกขาด กระดูกกระเดี้ยวก็ถูกบิดจนโค้ง
ผีเสื้อสีดำเหล่านั้นก็รับแรงกดดันจากมิติแห่งกาลเวลาไม่ไหว ถูกบดขยี้ไปเช่นกัน
ถึงตอนนี้ องค์ชายน้อยที่อยู่ด้านหลังฝูงชนในมุมมืดมุมหนึ่งค่อยพึงพอใจขึ้นมาบ้าง
ไม่ว่าตู๋กูซิงหลันคือใครก็ตาม นับจากวันนี้ไป โลกใบนี้ก็จะไม่มีนางอีกแล้ว
โลกของจีเฉวียน ยิ่งไม่มีคนผู้นี้อยู่อีก
เขามองดูโลงทองแดงอีกครั้ง หมอกสีดำบนร่างก็กระจายตัวออกมาอีก และกลายเป็นผีเสื้อนับไม่ถ้วนอีกครั้ง จากนั้นก็พากันบินเข้าไป
ภายใต้สิ่งของร่วมกลบฝังมากมายก่ายกอง พวกมันเจอกล่องไม้ที่ดูไม่ค่อยเตะตาใบหนึ่ง จึงนำออกมา
ภายในโลง ทันทีที่จีเฉวียนหลุดออกมาจากการควบคุมของยันต์สีชาดได้ หมอกสีทองทั้งหมดนั้นก็ได้มลายหายไปจนสิ้นเสียแล้ว
พระองค์ยื่นพระหัตถ์ออกไป คว้าแสงสีทองกลุ่มหนึ่งเอาไว้
แต่ในพระหัตถ์กลับว่างเปล่า ดวงพระทัยเหมือนถูกคว้านออกไปจนมีแต่เลือดหยาดหยด
นางหายตัวไปในชั่วพริบตา
ไวจนพระองค์คว้านางเอาไว้ไม่ทัน
ทั่วทั้งโลงมีแต่ความว่างเปล่า เหลือเพียงแค่พระศพของฮ่องเต้แคว้นเซอปี่ซือและข้าวของร่วมกลบฝัง
แม้แต่ภาพแผนที่ดวงดาวก็ยังหมองลงไป
ทุกอย่างมีแต่ความสงบเงียบ
ครู่ต่อมา พระศพของฮ่องเต้แคว้นเซอปี่ซือก็กลายเป็นผุยผงกองหนึ่ง
ในกองผุยผงนั้นปรากฏไข่มุกสีดำลูกหนึ่ง ไข่มุกเม็ดนั้นกลิ้งออกมาอยู่ที่ข้างกายจีเฉวียน
——
[1] 一言九鼎 [yī yán jiǔ dǐng] : คำพูดหนักแน่นเสมือนติ่ง (ภาชนะบรรจุน้ำ) ทั้งเก้าใบรวมกัน
ตอนที่ 297 น้องสาวของข้าละ?
“ฝ่าบาท!”
ครู่ต่อมาพวกหลงเซียวและคนอื่นๆ ถึงได้รีบรุดเข้ามา
“น้องสาวข้าล่ะ?” ตู๋กูเจวี๋ยอยู่ด้านหลังของหลงเซียว มองไปทั้งซ้ายและขวา ก็เจอแต่สิ่งของร่วมกลบฝังมากมาย
ได้ยินว่าตอนนี้น้องเล็กชื่นชอบสมบัติล้ำค่ามากที่สุด ทำไมถึงไม่เห็นนางกัน?
เมื่อครู่สถานการณ์รอบๆ โลงทองแดงน่ากลัวมาก พวกเขาไม่สามารถเข้าใกล้ได้เลย
พอตอนนี้เข้ามาแล้ว ก็พบแต่ฝ่าบาทเพียงพระองค์เดียว ท่าทางเหมือนกับสูญเสียจิตวิญญาณไป คล้ายถูกมารเข้าสิงอย่างไรอย่างนั้น’
ประเด็นสำคัญคือ…….น้องเล็กเล่า?
“ฝ่าบาทพะยะค่ะ เมื่อครู่เกิดอะไรขึ้นหรือพะยะค่ะ?” ขณะเดียวกันพวกอิ๋งฉีและคนอื่นๆ ก็ทยอยกันตามเข้ามา
พอได้เห็นสมบัติมากมายในโลง สายตาของเขาก็พร่าเลือนขึ้นมา
สิ่งของในนี้ ไม่ได้เป็นเพียงสมบัติที่ใช้ร่วมกลบฝัง
แต่ยังมีบางส่วนที่เป็นอาวุธเวทย์ที่เคยถูกบันทึกเอาไว้ในหนังสือโบราณ
ใช่แล้ว อย่างเช่นตะเกียงโบราณดวงนั้น มองดูแล้วช่างเหมือนกับตะเกียงสะสมพลังวิญญาณ
ตะเกียงนี้จะสะสมพลังวิญญาณด้วยตนเอง ผู้ฝึกตนหากมีตะเกียงดวงนี้ ระดับการฝึกฝนจะยิ่งรวดเร็วกว่าผู้อื่นหลายสิบเท่า
ยังมีคันธนูทองคำ จุ๊ จุ๊……..นี่ก็ยิ่งไม่ธรรมดาแล้ว
ฟังว่าเมื่อครั้งโบราณกาล บนท้องฟ้าปรากฏดวงอาทิตย์ทั้งเก้าดวง แต่จอมยุทธ์ผู้แข็งแกร่งท่านหนึ่งได้ใช้คันธนูลักษณะนี้ ยิงดวงอาทิตย์แปดดวงลงมา
เรื่องเล่าเช่นนี้ ออกจะเกินจริงเกินไป
แต่ว่าคันธนูทองคำตรงหน้านี้เป็นของจริง ต่อให้ไม่สามารถยิงพระอาทิตย์ได้ แต่หากใช้จัดการกับวิญญาณร้ายหรือว่าสัตว์อสูร หรือกระทั่งพวกนักพรตชั้นสูงที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามกับตนเองก็คงไม่อาจรอดไปได้
อิ๋งฉีมองดูอย่างละเอียดลออ ในบรรดาสมบัติเหล่านั้นยังมีสิ่งของอื่นๆ อย่างแผนที่ดินแดนมายา และหอสมบัติหลิงหลง
แคว้นเซอปี่ซือ…..ดูท่าแล้วคงจะมีอะไรที่ซับซ้อนยิ่งกว่าที่พวกเขาเคยคิดมากมายนัก
กระทั่งสายตาของเขาตกลงบนไข่มุกสีดำที่หล่นอยู่แทบเท้าของจีเฉวียน ดวงตาของอิ๋งฉีถึงได้เป็นประกายขึ้นมา
นี่คือ……
เขาอยากจะเอ่ยปากร้องขอ แต่พอเห็นพระพักตร์ที่ถมึงทึงของจีเฉวียน คำพูดที่มาถึงริมฝีปากก็ได้แต่ต้องกล้ำกลืนลงไป
ยามปกติ จีเฉวียนก็เป็นเหมือนดังฤดูหนาวสุดขั้วอยู่แล้ว
แต่ตอนนี้เขาเหมือนกับกลายเป็นภูเขาน้ำแข็งไปทั้งร่าง
ไม่เพียงแต่เย็นยะเยือก แต่ยังแผ่รังสีสังหารออกมา
เขาหลุบตาลงต่ำ เสื้อผ้าและเส้นผมปลิวสยาย ตั้งแต่แรกจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ยอมกล่าวอะไรสักประโยคเดียว
ด้านนอกยังมีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่ไม่กล้าเข้ามาในโลงทองแดง
แต่เมื่อพวกเขามองเห็นกองสมบัติที่มีอยู่เต็มโลง ใครบ้างเล่าจะไม่หวั่นไหวขึ้นมา?
เพียงแต่ฮ่องเต้แคว้นต้าโจวยังประทับอยู่ด้านใน พวกเขาไม่กล้าเคลื่อนไหววู่วาม
แต่ละคนใจเต้นโครมคราม พวกเขาเดินทางไกลฝ่าฝันอุปสรรคมามากมายจนมาถึงตรงนี้ คงไม่อาจจะกลับไปอย่างมือเปล่าได้กระมัง
ตอนนี้ แต่ละคนต่างก็ตาแดงก่ำขึ้นมา
ผ่านไปอีกพักใหญ่ ค่อยเห็นหลงเซียวหยิบเอาไข่มุกสีดำทองนั้นขึ้นมา ทูลถวายต่อจีเฉวียน
“ฝ่าบาท แล้วไทเฮาเล่าพะยะค่ะ?”
“นำโลงทองแดงหลังนี้กลับไปแคว้นต้าโจว ทุกสิ่งที่อยู่ภายในนี้ ไม่อนุญาตให้ใครแตะต้องทั้งสิ้น”
พอเอ่ยถึงตู๋กูซิงหลัน จีเฉวียนถึงได้ยอมตรัสออกมา
แค่รับสั่งประโยคเดียวก็สร้างความไม่พอใจแก่คนทั้งหมด
พวกเขาลำบากมากมายถึงเพียงนี้ สุดท้ายแล้วกลับเป็นการตัดชุดวิวาห์ให้กับผู้อื่น?
จีเฉวียนถือดีเช่นไรจึงกล้ายโสขนาดนี้?
“ฝ่าบาท ทรงรับปากกระหม่อม ว่าจะ….” อิ๋งฉีเองก็นิ่งเฉยไม่ไหวแล้ว
จีเฉวียนมิใช่คนที่พูดอย่างกระทำอย่าง ทำไมอยู่ๆ เขาถึงได้เปลี่ยนความคิดไปได้กัน?
เขายังพูดไม่ทันจบ สายพระเนตรราวกับคมดาบของจีเฉวียนก็กวาดมาถึง
“หากว่าเจ้าไม่พอใจ ก็มาแย่งชิงไปจากมือของเรา แย่งได้ ก็เป็นของเจ้า”
พระองค์ตรัสเสียงเย็น ขยับพระบาทออกไปก้าวหนึ่ง โลงทองแดงทั้งหลังก็สั่นสะเทือนขึ้นมา
ไอหยินท่วมท้นไหลทะลักออกจากพระวรกาย ผู้คนทั้งหลายได้แต่มองดู ที่เบื้องพระขนองของฮ่องเต้แห่งต้าโจว ปรากฏเงาดำขนาดมหึมาสายหนึ่ง
นั้นเป็น……เงาร่างของคนผู้หนึ่ง
หัวใจของผู้คนทั้งหลายต่างก็ตกอยู่ในความตื่นตระหนก แม้กระทั่งเหล่านักพรตจากแคว้นต้าฉินก็ยังต้องรู้สึกเหน็บหนาวไปทั่วทั้งร่าง
โอรสสวรรค์แคว้นโจวผู้นั้น……
“ผู้อื่นก็เช่นกัน หากไม่กลัวตายก็มาชิงไปจากมือของเรา ถ้าชิงได้สิ่งของก็เป็นของพวกเจ้า”
จีเฉวียนกวาดพระเนตรมองไปในฝูงชน ในดวงเนตรของพระองค์มีแต่เส้นเลือดแดงก่ำ เพียงขยับพระหัตถ์ก็ชักกระบี่ออกมาจากข้างเอวของหลงเซียว
หนึ่งกระบวนท่าที่ฟาดออกไป ปรากฏเป็นจิตกระบี่ที่เย็นยะเยือกตัดผ่านอากาศที่ว่างเปล่า
ตู๋กูซิงหลันหายสาบสูญไปจากในโลงทองแดง ดังนั้นสิ่งของที่อยู่ในนี้ทุกชิ้น เขาจะไม่ยอมให้ผู้ใดมาแตะต้องแม้แต่น้อย
ผู้คนต่างพากันไม่พอใจมากกว่าเดิม คนบางส่วนยิ่งไม่ยินยอม พากันบุกเข้าไปแย่งชิงสมบัติ
มือของพวกเขายังไม่ทันสัมผัสถูกสมบัติเหล่านั้น กระบี่ของจีเฉวียนก็พุ่งออกไปก่อนแล้ว
เฉือนมือ ตัดเท้าทิ้งไป ยามนี้ภายในโลงทองแดงจึงมีแต่เลือดสดสาดกระเซ็นไปทั่วทั้งสี่ทิศ ชิ้นส่วนกระจัดกระจาย
พระองค์ทรงใช้กระบี่ของหลงเซียว มิใช่กระบี่ของพระองค์เอง จึงทำให้คนพวกนี้รักษาชีวิตเอาไว้ได้
หลังจากหลายกระบี่ผ่านพ้นไป เหล่าคนที่เคลื่อนไหวอย่างโง่เขลาถึงได้ทำใจให้สงบลงในที่สุด
พวกเขาถึงคราวเคราะห์ร้ายจริงๆ ….ถึงได้ต้องมาเผชิญกับฮ่องเต้แห่งต้าโจวที่โหดเ**้ยม
อีกด้านหนึ่ง อิ๋งฉีไม่กล้ากล่าวอะไรออกมาทั้งนั้น
จีเฉวียนในยามนี้ดูผิดปกติไปมาก ….ท่าทางของเขาเหมือนกับคนที่ได้รับบาดเจ็บหนักอยู่แท้ๆ ….แต่กลับสามารถใช้กระบี่ได้อย่างแข็งแกร่งและเปี่ยมพลัง
เฉือนคนเหมือนดังหั่นผัก
อิ๋งฉีลองคิดดู….ดูท่าแล้วจะต้องเกี่ยวข้องอะไรกับคนรักที่เขาไม่อาจแม้แต่จะร้องขอเป็นแน่?
…………………..
ขณะที่ตู๋กูซิงหลันถูกมิติแห่งกาลเวลาบดขยี้จนใกล้จะกระอักเลือดออกมานั้น
เบื้องหน้าของนางก็ปรากฏสีเขียวขึ้นมาวูบหนึ่ง
หลังจากนั้นก็ได้กลิ่นหอมเข้มข้นของดอกฮว๋ายฮวาลอยมา ในความงุนงงสับสน นางรู้สึกเหมือนกับว่าตนเองได้เห็นชือหลี
ขณะที่ปลายหางงูขนาดใหญ่กำลังโอบรัดนางเอาไว้นั้น นางก็กระอักเลือดออกมาครั้งหนึ่ง
“เบาหน่อย เจ็บจัง”
การรัดมนุษย์ หรือรัดเหยื่อมันก็เหมือนๆ กันนั่นแหละ แต่เพราะว่านางกระดูกหักหลายท่อนมาตั้งแต่แรก แถมตลอดทั้งเนื้อตัวก็มีแต่บาดแผล
“รู็จักเจ็บจักปวดด้วย เช่นนี้ไม่ตายหรอก” ชือหลีหัวเราะอย่างเย็นชา แต่ก็ยังยอมคลายส่วนหางออก
“กล่าวขอบใจเราเสียสิ หากมิใช่ว่าเราผู้เป็นเทพใช้พลังรองรับช่องทางกาลเวลาที่ถล่มทลายเอาไว้ แล้วลากเจ้าออกมา ตอนนี้เจ้าก็คงจะดับดิ้นไปแล้ว”
ในสมองของตู๋กูซิงหลันมีแต่เสียงวิ้งวิ้ง ศีรษะของนางพิงอยู่บนหางงูของชือหลี
ทั้งเย็นและนุ่มๆ
นางรู้ดีว่า ชือหลีคอยติดตามพวกนางมาตลอดทาง แต่ว่าที่นางปรากฏตัวขึ้นในตอนนี้ก็เพื่อจะช่วยเหลือตน?
ตู๋กูซิงหลันคิดว่าคงไม่ใช่เพราะเช่นนั้น
“ข้าผู้เป็นเทพก็แค่บังเอิญช่วยเจ้าเอาไว้ได้ เจ้าอย่าได้คิดมากไป” เหมือนว่าจะคาดเดาความคิดของนางออก ชือหลีจึงเอาแต่สะบัดหางไปมา
“อาฮู้ว~”
“กะกะ กะต๊าก~”
ตอนนี้ข้างกายของนางมีเสียงร้องแปลกๆ ของสัตว์อีกสองตัว
ตู๋กูซิงหลันลืมตาขึ้นมองดู ก็เห็นว่าที่ข้างกายทั้งซ้ายและขวา มีสุนัขป่าขนเงินยวงยืนอยู่ตัวหนึ่ง และเจ้าไก่ดำขนฟูที่สูงเท่าครึ่งตัวคนอีกหนึ่งตัว
“อืม ขอบคุณพวกมันทั้งสองด้วยก็แล้วกัน ที่สามารถทนแรงบดขยี้จากมิติกาลเวลาได้ ก็เป็นเพราะพวกมันมีส่วนช่วย”
ขณะที่พูดไปชือหลีก็ม้วนตู๋กูซิงหลันเอาไว้ พาเข้าไปในถ้ำบนภูเขาแห่งหนึ่ง
ที่ด้านนอกของภูเขามีต้นฮว๋ายฮวาขนาดใหญ่หลายต้น อากาศภายในถ้ำก็อบอุ่น
ชือหลีนำนางไปยังด้านในสุด วางลงบนเตียงที่มีขนนุ่มๆ แห่งหนึ่ง
บนเตียงใหญ่ปูด้วยขนกระต่าย ขาวสะอาดราวหิมะ เพียงแต่ว่าด้านบนยังมีเกล็ดงูหล่นอยู่บ้าง
“ข้าผู้เป็นเทพเห็นว่าที่นี่มีไอทิพย์อุดมสมบูรณ์ จึงทำรังอยู่ที่นี่ชั่วคราว” ชือหลีวางนางลง ค่อยกลายร่างกลับเป็นคน
เห็นท่าทางที่อเนจอนาถของนางแล้ว ก็อดที่จะส่ายศีรษะไม่ได้ “ดูตัวเจ้าสิ ไปก่อความแค้นลึกล้ำอะไรกับใครเขา ถึงได้ต้องมามีสภาพเช่นนี้?”
“อาฮู้ว~”
“กะกะ กะต๊าก~”
ราชาสุนัขจิ้งจอกตะวันตกและติ๊งต๊องเฝ้าอยู่ด้านข้าง
ใครกันที่กล้าทำร้ายเจ้านายของหมาป่าน้อยยอดดวงใจของมัน มันจะไปสู้กับคนผู้นั้น
ใครกันที่ทำร้ายพี่สาวตัวน้อย เฮียจะไปเผาบ้านมันทิ้งเลย
ตอนที่ 298 สบตากับสุนัขป่าน้อย
ตู๋กูซิงหลันนอนอยู่บนเตียงที่ปูด้วยขนกระต่าย ในสมองมีแต่เสียงวิ้งวิ้งดังไปมา กระดูกทั่วร่างคล้ายจะหักไปหลายส่วน
สองตาของนางมีแต่รอยเส้นเลือด เอาแต่จับจ้องไปปยังเถาวัลย์ที่เลื้อยเกาะอยู่บนผนังถ้ำ
ที่แย่ที่สุดก็คือ ส่วนเอวของนางตอนนี้ไม่มีความรู้สึกอีกแล้ว
หากว่ายังมีความเจ็บก็ยังดี ….ไม่เจ็บต่างหากที่น่ากลัว
คนที่ลงมือกับนางตอนที่อยู่ในช่องทางกาลเวลาผู้นั้น….อำมหิตจริงๆ
บนโลกใบนี้ นางอาศัยอยู่แต่ในวังหลัง หากจะบอกว่าผิดใจกับใครล่ะก็ เกรงว่าทั้งในที่ลับและที่แจ้งคงจะมีเป็นโขยงใหญ่ แต่คนที่มีความสามารถที่จะทำให้นางเป็นถึงขนาดนี้….ในสมองของนางปรากฏภาพคนผู้หนึ่งขึ้นมา
บุรุุษม่วงผู้นั้น คืนนั้นนางได้เจอกับเขา ไอหยินจากร่างของเขานางจดจำได้อย่างชัดเจน กลิ่นอายจากผีเสื้อดำเหล่านั้นเหมือนกับกลิ่นอายของเขาไม่มีผิด
บุรุษผู้นั้น…..
สายตาของนางเปลี่ยนเป็นมืดครึ้มกว่าเดิม พลางก้มลงมองดูรูโหว่ที่หน้าท้อง
นางใช้ยันต์แลกอาการบาดเจ็บของจีเฉวียนเปลี่ยนมาอยู่บนร่างของตนเอง ทั้งหน้าท้อง และหัวไหล่ล้วนถูกดาบสีดำแทงทะลุ
ความเจ็บปวดที่เสมือนกับเข็มนับพันนับหมื่นคอยทิ่มแทงอยู่ตลอดเวลาเช่นนี้ กำลังรุมเร้าทำร้ายนาง ทำเอาตู๋กูซิงหลันไม่กล้าเคลื่อนไหวโดยพลการแม้แต่น้อย
นางคิดไม่ออกจริงๆ ว่า จีเฉวียนได้รับบาดเจ็บหนักขนาดนี้แล้ว ทำไมถึงได้ไม่ส่งเสียงร้องสักแอะ ทั้งยังมาเที่ยวกล่าวคำหวานบอกความในใจกับนางได้ตั้งมากมาย
เขา….ตอนนี้คงจะได้รับขุมสมบัติของแคว้นเซอปี่ซือไปแล้วล่ะมั้ง คงคิดว่านางกลับไปยังที่ที่สมควรจะไปแล้วใช่ไหม?
ทันที่ช่องทางแห่งกาลเวลาเคลื่อนไหว คนที่อยู่ด้านนอกไม่อาจมองเห็นสภาวะภายในได้
นางเองก็เช่นกัน ครั้งสุดท้ายที่ได้สบตากับเขา ก็เห็นดวงพักตร์ที่งดงามไร้ที่ติของเขามีแต่ความเจ็บช้ำและหมดสิ้นความหวัง
ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น นางก็คิดว่าหัวใจของนางก็ยังมิได้หวั่นไหวเลยสักนิด เพียงแต่รู้สึกว่ามีแรงหน่วงบางๆ สายหนึ่งเกิดขึ้น ความอาวรณ์ทั้งหมดจมลงอยู่ก้นบึ้งของหัวใจ
นางได้แต่นอนอยู่อย่างนั้น ความเจ็บปวดบนร่างกายครึ่งบนและความชาตลอดร่างกายครึ่งล่างเป็นความแตกต่างอย่างชัดเจน ผ่านไปอีกพักใหญ่นางถึงได้ขยับร่างกายน้อยๆ อยู่บนผ้าปูนุ่ม มองดูขาทั้งสองข้างของตนเอง ดวงตาดอกท้อทั้งสองข้างทอประกายเย็นยะเยือกออกมา
คติในการดำรงชีวิตของนางนั้นเรียบง่าย หากไม่จัดการอีกฝ่ายถึงตาย ก็ต้องถูกเขาฆ่า
เรื่องที่จะยอมเหลือเพียงครึ่งชีวิตเช่นนี้ นางย่อมไม่มีทางกล้ำกลืนโทสะลงไปได้อย่างเด็ดขาด
“นั่นเอ่อ….หรือว่าข้าผู้เป็นเทพจะไปจับหมอมาให้เจ้าสักหลายๆ คนดีไหม? สภาพของเจ้าดูไม่ดีเท่าไหร่เลย” ชือหลีนั่งลงที่ข้างกายนาง ต่อให้ไม่ต้องใช้พลังเซียนก็สามารถบอกได้ว่ากระดูกบนร่างกายของตู๋กูซิงหลันนั้นแหลกไปหมดแล้ว
ถูกแรงบดขยี้จากมิติกาลเวลา แล้วยังจะสามารถรอดออกมาได้ ก็ต้องนับว่านางมีโชคมากแล้ว
ตู๋กูซิงหลันส่ายศีรษะ นางรู้สึกว่าตนเองยังพอจะมีทางหายได้เองอยู่บ้าง
ชือหลีเดินออกไปทางปากถ้ำ พอเดินออกไปสองก้าวก็คิดอะไรออก รีบหันกลับมามองตู๋กูซิงหลันทันที “ข้าคิดออกแล้ว ใกล้นี้ยังมีหมอผีของหนานเจียง อืม แต่ก็พึ่งไม่ค่อยได้ หรือว่าข้าจะส่งเจ้ากลับไปวังหลวงของต้าโจวดี?”
“ฟังว่าวิชาแพทย์ของหมอหลวงในวังสูงส่งมาก เจ้าอย่าพึ่งสิ้นหวัง…”
ชือหลีพูดแล้วก็ชะงักไป ยื่นมือทุบลงไปบนขาของนางครั้งหนึ่ง
ขาของนางไม่ขยับแม้แต่น้อย
ชือหลี “อ๋า อีกหน่อยคงต้องเป็นคนพิการแน่แล้ว”
ตู๋กูซิงหลัน “…..” หากไม่ใช้วาจาเฉือดเฉือนกันล่ะก็ พวกนางยังคงเป็นสหายกันได้
ชือหลีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง หลังจากไตร่ตรองอยู่หลายตลบ ก็กล่าวปลอบออกมาว่า “หากว่าไม่ไหวจริงๆ …..ก็ทิ้งร่างนี้เสีย ไปสิงอีกร่างเป็นไง?”
ตู๋กูซิงหลันเงียบไป นานพักใหญ่ถึงได้พึมพำออกมาประโยคหนึ่ง “ศิษย์สำนักหุบเขาภูติเร้นลับอย่างข้าไม่เคยทำเรื่องแย่งชิงสิงร่างของผู้อื่น”
“กะกะ กะต๊าก!”
ติ๊งต๊องสะบัดปีก ดวงตาไก่กุ๊กของมันรื้นไปด้วยหยดน้ำตา ครั้งนี้มันเห็นด้วยกับชือหลี พี่สาวตัวน้อย ได้รับบาดเจ็บขนาดนี้ จะต้องเจ็บปวดอย่างมาก นอกเสียจากว่าได้พบเจอกับหมอเทวดา มิเช่นนั้นคงไม่มีหวังที่ชาตินี้จะยืนขึ้นมาได้อีก
มิสู้มองหาร่างใหม่สักร่าง แบบนี้ยังจะรวดเร็วมากกว่าไหม?
ต้องโทษตัวมัน….ที่ไปไล่ตามแม่ไก่สาวนั่นระหว่างทาง! ถึงแม่ไก่นั่นจะน่ากินแค่ไหน แต่ไหนเลยจะสำคัญเท่ากับพี่สาวตัวน้อยได้!
ที่สำคัญคือนังไก่แก่ๆ นั่น….เนื้อแข็งอย่างกับท่อนฟืน รสชาติไม่ได้เรื่องเลย
หากว่ามันอยู่ข้างกายพี่สาวตัวน้อยอยู่ตลอดเวลา พี่สาวตัวน้อยก็คงไม่ต้องรับบาดเจ็บมากขนาดนี้
ยังมี…..ไอ้หมาโง่ถวนจื่อนั่นอีก มันได้รับบาดเจ็บหนักจากแรงบดขยี้ในมิติกาลเวลา ตอนนี้ก็เอาแต่หลับหูหลับตาจำศีลอยู่ข้างๆ …..
มันไม่น่าจะกินนังแม่ไก่แก่ๆ นั่นจนหมด ควรจะเหลือเอาไว้ให้เจ้าหมาโง่นี่บ้างถึงจะถูก ถึงแม้ว่าเจ้าหมาโง่นี่จะน่ารังเกียจ ……แต่ถึงอย่างไรเสียก็เป็นสัตว์เลี้ยงตัวโปรดของพี่สาวตัวน้อย มันก็สมควรจะปกป้องเจ้าตัวนี้สักหน่อย
ที่จริงแล้ว…..ราชาสุนัขป่าตะวันตกก็คิดเช่นนี้อยู่เหมือนกัน
มันโสดมาตั้งนานหลายปี สุนัขป่าในฝูงไม่มีสักตัวที่เข้าตา ไม่ง่ายเลยที่จะได้เจอกับรักแรกพบเข้าสักตัว อีกนิดเดียวก็จะได้ร่วมกันให้กำเนิดสุนัขป่าน้อยขึ้นมาแล้วแท้ๆ ตอนนี้ต้องมาดูเจ้าสุนัขป่าน้อยนี่เกือบจะมอดม้วยแทน
ยังดีที่ไม่ตาย เช่นนี้ก็หมายความว่ายังช่วยเอาไว้ได้
ราชาสุนัขป่าตะวันตกหมอบอยู่ข้างกายตู๋กูซิงหลัน มันก้มศีรษะลง แลบลิ้นออกมาเลียเจ้าวิญญาณทมิฬ
เจ้าไก่ขนฟูขนลุกฟู่ขึ้นมาในทันที มันกระชับสองปีกข้างเอว ถลึงตามองดูราชาสุนัขป่าพลางส่งเสียงร้องกะกะกะต๊าก
เจ้าสุนัขโง่นี่ถึงจะใช้การไม่ได้ แต่อย่างไรเสียก็ยังมีเจ้าของ ไม่ใช่สิ่งที่ใครที่ไหนก็จะมาเอาไปกินเป็นอาหารได้ง่ายๆ นะ
วิญญาณทมิฬตัวสั่นน้อยๆ ใช้กำลังทั้งหมดที่มีขยับตัวเข้าไปซุกอยู่ในอ้อมกอดของตู๋กูซิงหลัน ใช้น้ำเสียงที่อ่อนแออ้อแอ้ราวกับทารกกล่าวกับตู๋กูซิงหลันว่า “อาหลัน ทำไมข้าถึงได้มีลางสังหรณ์แปลกๆ รู้สึกไม่ดีเลย”
หลังจากนั้นมันก็กระตุกชายเสื้อของนาง กล่าวอย่างน่าสงสารกับนางว่า “เจ้าจะต้องปกป้องตัวน้อยๆ ที่กำลังน่าสงสารและช่วยเหลือตนเองไม่ได้อย่างข้าด้วยนะ”
ตู๋กูซิงหลันค้อนขวับใส่มันครั้งหนึ่ง ทุบลงไปบนขาเสมือนท่อนไม้ที่ไม่ความรู้สึกเลยสักนิดของตนเอง “พูดเสียอย่างกับว่าข้าไม่ได้อ่อนแอ น่าสงสารและช่วยเหลือตนเองไม่ได้อย่างนั้นแหละ”
วิญญาณทมิฬ “…..”
“ไอ้เจ้ามือมืดที่สมควรฆ่าทิ้งสักพันดาบนั่น รอให้อั๊วฟื้นฟูได้เมื่อไหร่ จะกลืนกินมันให้หมดทั้งตระกูลไปเลย!”
หากไม่ใช่เพราะว่าถูกคนทำร้ายระหว่างทาง พวกมันก็คงจะสามารถกลับไปยังโลกปัจจุบัน ได้เจอกับซื่อมั่วที่สุดแสนจะคิดถึงไปแล้ว
ติ๊งต๊องกับราชาสุนัขป่าสบตากันรอบหนึ่ง ตัวหนึ่งก็กระพือปีกขึ้น อีกตัวก็ส่ายหางไปมา
“กะกะกะต๊าก!” เฮียจะช่วยเจ้ากินมันด้วย
“อาฮวู้~” ศัตรูของสุนัขป่าน้อยก็คือศัตรูของเราราชาสุนัขป่า
วิญญาณทมิฬตัวสั่นน้อยๆ มันได้แต้ใช้สองมือสั้นๆ ปิดหน้าเอาไว้
ชือหลีที่ดูอยู่ด้านข้างสีหน้าว้าวุ่นใจ
คนงามย่อมมีวาสนารักวุ่นวาย ขนาดสุนัขที่เลี้ยงเอาไว้ยังพลอยมีวาสนารักสับสนไปด้วย ดูเอาสิ ความรักที่ข้ามเพศข้ามเผ่าพันธุ์นี้ไม่เรียกว่าพิศดารหรือไร
ตอนที่หนึ่งไก่หนึ่งสุนัขป่านี้ไล่ตามมา นางยังนึกว่าพวกมันจะมาท้านางสู้เสียอีก จุ๊ จุ๊ คิดไม่ถึงเลยว่าพวกมันจะมาถูกใจเจ้าสุนัขป่าน้อยที่ตู๋กูซิงหลันเลี้ยงเอาไว้
ชือหลีส่ายศีรษะ ค่อยกล่าวว่า “ถ้าหากว่าเจ้าไม่คิดจะแย่งชิงชีวิตของผู้อื่น เช่นนั้นไยไม่กลับวังหลวงไป?”
นางเป็นเทพธิดาแห่งสายน้ำ มิใช่เทพโอสถ ประกอบกับร่างทิพย์ของนางเองก็ยังไม่ฟื้นคืนอย่างเต็มที่ จึงยิ่งไม่มีพลังจะมารักษาตู๋กูซิงหลัน
“อาการบาดเจ็บครั้งนี้เกิดจากพลังหยินของยมราชและพลังบดขยี้ของมิติแห่งกาลเวลา หมอหลวงในวังไหนเลยจะรักษาได้กัน” ตู๋กูซิงหลันกระพริบตาถี่ๆ ในใจของนางรู้ดี ร่างนี้ต้องถือว่าพิการไปแล้ว
นอกเสียจากว่าจะได้พบกับท่านหมอที่มีวิชาเวทย์สูงส่ง ที่สามารถรักษาภูติผีและเทพเซียนได้โดยเฉพาะ ในโลกก่อนทุกครั้งที่นางได้รับบาดเจ็บล้วนมีท่านอาจารย์เป็นผู้รักษาจนหายดี
มิว่าจะบาดเจ็บหนักหนาเพียงไร ขอเพียงได้ผ่านมือของท่านอาจารย์สักครั้ง ก็ล้วนหายดีได้
ตอนที่ 299 เทพโอสถแคว้นกู่เจียง
นอกจากตำแหน่งผู้ก่อตั้งหุบเขาภูติเร้นลับแล้ว ท่านอาจารย์ยังได้ชื่อว่าเป็นเทพแห่งการรักษาที่ได้รับความเคารพยกย่องสูงสุดในโลกวิญญาณ
มีวิชาแพทย์สูงล้ำขั้นเทพสถิต รักษาคนเป็นชุบชีวิตคนตาย เป็นระดับตำนานที่ยังมีชีวิตอยู่
น่าเสียดาย….ในโลกใบนี้คงจะไม่สามารถหาใครที่มีวิชาแพทย์สูงส่งทัดเทียมกับท่านอาจารย์ได้อีกแล้ว
พอต้องห่างจากท่านอาจารย์มานานเช่นนี้ ตู๋กูซิงหลันถึงได้พบว่า ที่แท้ยามที่นางอ่อนแอเมื่อไหร่ คนแรกที่นางคิดถึงก็คือเขา
“จอมมาร…” ชือหลีเองก็ถึงกับต้องปวดฟัน ที่จริงแล้วนางซุ่มซ่อนอยู่ใกล้โลงทองแดงตั้งแต่แรกแล้ว เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายในโลงทองแดงทั้งหมดนางได้เห็นอย่างชัดเจน
เรื่องที่ตู๋กูซิงหลันไม่ใช่คนบนโลกนี้ นางก็ไม่ได้ประหลาดใจแม้แต่น้อย
นับตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้พบกัน ก็รู้อยู่แล้วว่าภายใต้เนื้อหนังมังสาที่สวยงามนี้ เป็นดวงจิตที่แข็งแกร่งจากโลกใบอื่น ก็ตัวนางเองยังเคยคิดจะชิงร่างเนื้อร่างนี้มาอยู่เลย
เพียงแต่นางคิดไม่ถึงว่า ภายในโลงใบนั้นยังมีตัวประหลาดจากโลกอื่นอยู่อีกด้วย
ผู้ที่ได้รับฉายาว่าเป็นจอมมาร ไหนเลยจะเป็นเพียงแต่ปถุชนธรรมดาได้กัน
ต่อให้ตู๋กูซิงหลันเก่งกล้าสามารถเพียงไหน อย่างไรเสียก็ยังมีร่างกายเป็นมนุษย์ นางพูดถูกแล้ว เมื่อได้รับบาดเจ็บจากการลงมือของภูติผี เทพเซียน และการบดขยี้ของมิติกาลเวลา คนธรรมดาไหนเลยจะรักษาได้กัน?
“เช่นนั้นเจ้าก็ไม่คิดจะกลับไปยังวังหลวงแล้วใช่ไหม?” ชือหลีทางหนึ่งกล่าววาจา อีกทางหนึ่งก็หยิบเอายาลูกกลอนห้าหกเม็ดออกมา
นี่เป็นยารักษาอาการบาดเจ็บที่นางไปกวาดเอามาจากพวกมนุษย์ ไม่ต้องไปสนใจว่ามันจะได้ผลหรือไม่ กินๆ ไปก่อนเถอะ ถือเสียว่ารักษาม้าตายประหนึ่งเป็นม้าเป็น [1]
“ให้ข้าได้พักสักหน่อยแล้วค่อยว่ากันเถอะ” ตู๋กูซิงหลันไม่ได้ปฏิเสธยาของชือหลี ยาเหล่านั้นขมอย่างไม่ธรรมดา ทำเอานางแทบจะกลืนไม่ลง
ยามปกตินางไม่ชอบการกินของที่มีรสขมที่สุด แต่ตอนนี้ก็ได้แต่ก้มหน้าก้มตากลืนลงไปเท่านั้น
แค่คิดถึงท่าทางของจีเฉวียนก่อนที่จะจากกัน นางก็ไม่รู้ว่าตนเองจะกลับไปได้อย่างไรแล้ว
ยังมีพี่ใหญ่ พี่รอง และคนที่ห่วงใยนางอีกโขยงหนึ่ง หากพวกเขาต้องมาเห็นสภาพที่อยู่มิสู้ตายของนางเช่นนี้ มิสู้ให้พวกเขาเข้าใจว่าตนเองตายไปแล้วดีกว่า
“หรือว่าจะให้ข้าผู้เป็นเทพส่งข่าวไปบอกกับคนในครอบครัวของเจ้าก่อน ถึงแม้ว่าจะมีสภาพอยู่มิสู้ตาย แต่ก็ไม่ควรทำให้คนในครอบครัวเป็นห่วงใช่หรือไม่?” ชือหลีนั่งอยู่ข้างๆ ใช้มือข้างหนึ่งเท้าคางเอาไว้ ดวงตาสีแดงดั่งแสงเพลิงนั้นเป็นประกายวิบวับ
“เจ้าอยากจะไปเจอพี่รองของข้าใช่หรือไม่?” ใช้แค่ประโยค ตู๋กูซิงหลันก็สามารถเปิดโปงท่าทีของนางออกมาได้ ชือหลีถึงขนาดใช้พลังเทพช่วยเหลือนาง นับว่านอกเหนือไปจากความคาดหมายของนางมากนัก
หากคิดดูให้ดีแล้ว นางกับชือหลีก็ไม่ได้สนิทสมกันแต่อย่างใด
ตอนที่พบกันในลี่โจว เหตุการณ์ระหว่างพวกนางทั้งสองก็ไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่ด้วยซ้ำ
ในโลกนี้ไม่มีเรื่องดีที่ได้มาอย่างไม่มีต้นสายปลายเหตุ ชือหลีช่วยเหลือนาง ย่อมจะต้องเป็นเพราะว่ามีจุดประสงค์บางอย่าง
อย่างเช่น…..พี่รองของนาง?
พอพูดถึงตู๋กูเจวี๋ย สีหน้าของชือหลีก็เปลี่ยนแปลงไปในทันที
“ตลอดทางมานี้ เจ้าคอยปกป้องพี่รองที่หล่อใสไร้สมองของข้ามาโดยตลอด หากจะบอกว่าไม่มีใจให้ ข้าก็ไม่เชื่อหรอก” ตู๋กูซิงหลันพยายามฝืนอาการตนเองเอาไว้ อย่างไรก็ยังห่วงเรื่องของพี่รอง
ตู๋กูซิงหลันรู้สึกอยู่เสมอว่า บุรุษที่หล่อใสไร้สมองอย่างพี่รอง หากไม่คอยระวังเมื่อไหร่ มีหวังต้องถูกคนรวบหัวรวบหางไปแน่ๆ
ชือหลีนับถือนางจริงๆ นางกล่าวเสียงเบาว่า “เรื่องรักๆ ใคร่ๆ ของตนเองยังวุ่นวายอยู่แท้ๆ ยังว่างมีเวลาเบื่อๆ มายุ่งกับเรื่องของข้าผู้เป็นเทพอีก?”
พูดจบแล้ว ชือหลีก็ลุกขึ้นยืน เท้าข้างหนึ่งของนางเหยียบลงบนเตียงหลังใหญ่ ทิ้งรอยเท้าหนักๆ เอาไว้บนขนกระต่ายที่ขาวดุจหิมะ
“พี่รองของเจ้าเป็นคนบุญหนักศักดิ์ใหญ่ ข้าผู้เป็นเทพก็แค่ช่วยเหลือเขาสองสามครั้งตามลิขิตสวรรค์เท่านั้นเอง เจ้าอย่าได้คิดมากไป” ชือหลีพูดพลางก็ก้มตัวลงมา สองตาที่แดงดุจเลือดนั้นสบตากับตู๋กูซิงหลันอย่างจริงจัง
“ที่จริงแล้ว ร่างกายนี้เจ้าของได้ตายไปตั้งแต่แรก เจ้ากับคนตระกูลตู๋กูไม่ถือว่ามีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกันสักหน่อย ยังจะมานั่งห่วงใยอะไรพวกเขาอีก”
ตู๋กูซิงหลันหรี่ตาลง ไม่ยอมต่อปากต่อคำกับชือหลี แต่กลับพูดออกไปว่า “หากว่าพี่รองของข้าก็ชอบเจ้าล่ะก็ ข้าก็ขออวยพรให้กับรักแท้ของพวกเจ้า ให้ได้ครองคู่กันตลอดไป [2] ”
ชื่อหลีตกตะลึงไปเล็กน้อย ความรักงี่เง่าระหว่างชายหญิงอะไรกัน ตั้งแต่ที่ถูกหักหลังไปเมื่อนานมาแล้วนั้น นางก็โยนมันทิ้งไปตั้งนานมาแล้ว
ตอนนี้พออยู่ๆ ถูกตู๋กูซิงหลันทักขึ้นมา หัวใจก็อดใจร้อนวูบวาบไม่ได้
เพียงแต่คำพูดของตู๋กูซิงหลันนั้น ทำเอานางต้องประหลาดใจอยู่บ้าง ถึงแม้ว่าความจริงแล้วในร่างนั้นจะเป็นจิตวิญญาณมาจากที่อื่น แต่ตนเองก็ดูออกว่า นางได้ถือว่าตนเองเป็นตู๋กูซิงหลันไปแล้ว
นางปฏิบัติต่อคนในครอบครัวของตู๋กูซิงหลันเสมือนดั่งเป็นคนในครอบครัวของตนเอง
แถมนี่ยังเป็นครั้งแรกที่ตนได้ยินคนกล่าวอวยพรกับตนเองว่าขอให้มีรักแท้ ให้ได้อยู่เคียงคู่กันตลอดไป
โดยมิได้รังเกียจฐานะที่ไม่ใช่มนุษย์ของตนแม้แต่น้อย สิ่งนี้คงจะมีแต่ตู๋กูซิงหลันเท่านั้นที่สามารถทำได้
“วางใจเถอะ ชาตินี้ข้าผู้เป็นเทพไม่มีทางหลงรักบุรุษอีกแล้ว” ชือหลีเก็บสายตากลับไป พลางมองออกไปที่นอกถ้ำ
ผ่านไปนานอีกพักใหญ่ นางถึงได้กล่าวขึ้นมาว่า “ในเมื่อตอนนี้เจ้ายังไม่คิดจะกลับไปวังหลวง ข้าผู้เป็นเทพก็จะพาเจ้าไปพบคนผู้หนึ่ง บางทีเขาอาจจะรักษาเจ้าให้หายได้”
ชือหลีเป็นเทพแห่งสายน้ำ อย่างไรเสียก็ยังรู้ข่าวคราวของพวกภูติและเทพแบบตนเองอยู่บ้าง
ถึงแม้ว่าจะถูกกักขังเอาไว้นานหลายปี แต่สถานะความเป็นเทพของนางก็ยังคงอยู่ จะมากจะน้อยก็ยังมีหน้ามีตาอยู่บ้าง
“หืม?” ตู๋กูซิงหลันพยายามสะกดกลั้นความเจ็บปวดเอาไว้ แต่ที่จริงก็ไม่กล้าคาดหวังอะไร
ในโลกก่อนนางก็เคยร่ำเรียนเวทย์รักษากับท่านอาจารย์มาอยู่บ้าง จึงพอเป็นเล็กๆ น้อยๆ ร่างกายของตนเองเป็นเช่นไร นางรู้ชัดเจนดี
“เทพโอสถแคว้นกู่เย่ว เจียงชวี่ปิ้ง”
แค่ประโยคเดียว แต่ก็ทำให้สีหน้าของตู๋กูซิงหลันเปลี่ยนแปลงไปในทันที
แคว้นกู่เย่วของท่าย่าเจียงเย่ว
ตอนนั้นคนในแคว้นกู่เย่วล้วนถูกปฐมกษัตริย์ประหัตประหาร เหลือเพียงแต่ท่านย่าผู้เดียว….กับลูกสาวบุญธรรมของอ๋องเจียงชื่อ เจียงเหม่ยหยู่
หรือว่า นอกจากพวกนางแล้ว แคว้นกู่เย่วยังคงมีผู้รอดชีวิตหลงเหลืออยู่อีก?
แถมยังใช้แซ่เจียงอีกด้วย?
“เจียงชวี่ปิ้งถือเป็นบุคคลรุ่นบรรพชนของฮ่องเต้แคว้นกู่เย่วแล้ว เนื่องเพราะเขาร่างกายอ่อนแอป่วยไข้มาตั้งแต่เยาว์วัย ดังนั้นจึงกอดหม้อยาโตมาตั้งแต่เด็ก และเพราะเหตุนี้ จึงได้ใฝ่ใจศึกษาเรื่องการรักษามาโดยตลอด เขาสำเร็จวิชาแพทย์ปรุงยารักษา ช่วยชีวิตคนมาแล้วนับไม่ถ้วน”
“เนื่องเพราะยามมีชีวิตอยู่ช่วยเหลือผู้คนเอาไว้มากมาย จึงได้รับเมตตาจากสวรรค์ พอตายแล้วก็กลายเป็นเทพเจ้าที่องค์หนึ่ง ฮ่องเต้แคว้นกู่เย่วยังได้สร้างศาลเจ้าเทพโอสถขึ้นมา หล่อรูปทองคำของเขาเอาไว้ แต่พอแคว้นกู่เย่วถูกทำลาย ศาลเจ้าเทพโอสถนี้ก็กลายเป็นที่ที่ผุพัง”
“พอดีเลย ข้าผู้เป็นเทพกับเขานับว่าพอจะรู้จักมักจี่กันอยู่บ้าง บางทีอาจจะยอมเห็นแก่หน้าของข้า ให้การรักษาเจ้า”
มิน่าเล่า……
“เจียงชวี่ปิ้ง” ตู๋กูซิงหลันทวนชื่อของเขาอีกครั้ง
นางไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่าแคว้นกู่เย่วมีชื่อของคนผู้นี้อยู่
ในโลกก่อน นางเคยได้พบเจอภูติผีปีศาจมามากมายก่ายกอง มีแต่เทพโอสถเท่านั้นที่ไม่เคยได้พบเห็นมาก่อน
บางทีอาจจะเป็นเพราะเวทย์รักษาของท่านอาจารย์สูงส่งมากเกินไป จึงทำให้นางไม่จำเป็นต้องไปเจอเทพโอสถคนอื่นๆ?
“ดี” หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ ตู๋กูซิงหลันก็พยักหน้ารับ
แคว้นกู่เย่ว…..ทุกครั้งที่ได้ยินชื่อนี้ หัวใจของนางเป็นต้องว้าวุ่นขึ้นมา
“รอให้อาการบาดเจ็บของเจ้าฟื้นฟูขึ้นมาสักหน่อย ข้าผู้เป็นเทพจะพาเจ้าไปด้วยตนเอง” ยากนักที่ชือหลีจะใจดีมีเมตตาขึ้นมากับเขาบ้าง
ตู๋กูซิงหลันมองดูนางอย่างลึกล้ำครั้งหนึ่ง แต่มิได้ถามไถ่ออกไปว่าที่สุดแล้วทำแบบนี้เพื่ออะไร เพียงแต่ผงกศีรษะเท่านั้น
พูดกันถึงที่สุดแล้ว ชือหลีก็ทำเพื่อช่วยเหลือนาง
ไม่ว่าจุดประสงค์ของชือหลีจะคืออะไร ที่ตนมีบุญได้นางช่วยเอาไว้เช่นนี้ก็นับว่าเป็นเรื่องจริง
………………..
แคว้นต้าโจว เมืองหลวง
ฤดูร้อนสิ้นสุดลงแล้ว เริ่มเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิแทน อากาศหนาวเย็นขึ้นมา
ต้นไม้ขนาดใหญ่ในเมืองหลวงล้วนเปลี่ยนเป็นสีเหลืองทีละใบๆ
——
[1] 死马当活马医:แม้จะรู้ว่าไม่มีหนทางจะรักษาแล้ว แต่ก็ยังคงมีความหวังอยู่ ถึงจะน้อยนิดก็ตาม
[2] 有情人终成眷属
ตอนที่ 300 นึกว่าเป็นขบวนส่งพระศพเสียอีก
ที่ด้านนอกของพระตำหนักของฝ่าบาท สีหน้าของหลี่กงกงย่ำแย่อย่างที่สุด เขาเดินกลับไปกลับมาอยู่หน้าพระตำหนักบรรทมของฝ่าบาท ในใจมีแต่ความร้อนรน แต่ก็ไม่กล้ารบกวน
มีแต่สวรรค์เท่านั้นที่รู้ เขากำลังคิดถึงสีพระพักตร์ของฝ่าบาทยามที่เสด็จกลับมาในตอนนั้น ในใจของเขาก็ยังคงรู้สึกหวาดหวั่นไม่หาย
ฉลองพระองค์และพระเกศารุ่ยร่าย ตลอดพระองค์มีแต่รอยเลือด ดวงพักตร์ที่เคยงดงามมีหนวดเครารุงรัง พระเนตรลึกโหลและดำคล้ำ
ฝ่าบาททรงเสด็จเข้ามาโดยพระบาทจากนอกวัง
ที่ด้านหลังของพระองค์ คือโลงทองแดงหลังใหญ่มหึมา
บนโลงมีโซ่เหล็กร้อยรัดเอาไว้มากมาย ฝาโลงด้านบนฉีกขาดออก เหล่าองครักษ์ นักพรต และทหาร ล้วนแต่งกายด้วยชุดสีดำตลอดร่าง ติดตามมาด้านหลัง
ภาพที่เห็น หากใครไม่รู้คงจะนึกว่ามีฮ่องเต้พระองค์ใดสิ้นพระชนม์ จึงมีการจัดขบวนส่งพระศพ
วันนั้น…..ท้องฟ้ามืดครึ้ม แถมยังมีฝนตกลงมา
ทั้งรองพระบาทและพระสนับเพลาของฝ่าบาทมีแต่โคลน ดูราวกับคนที่ถูกคุมขังรับทรมานอยู่ในคุกมานานนับเดือน
ใครจะไปคิดว่า ฮ่องเต้ที่ยามเสด็จไปนั้นดูองอาจสง่างาม แต่ตอนกลับมาจะดูราวกับเป็นผู้พ่ายแพ้ ที่สูญเสียญาติมิตรไปจนหมด
วันนั้นถนนตะวันออกในเมืองหลวงทั้งเส้นถูกปิด ฮ่องเต้ทรงเสด็จนำโลงทองแดงหลังนั้นมาตั้งแต่ประตูเมือง ผ่านถนนตะวันออกไปจนถึงเข้าวัง
ตามแต่โบราณมามีแต่ขบวนส่งพระศพออกไป แต่การขนโลงศพเข้าเมืองมาเขาก็พึ่งจะเคยได้เห็นเป็นครั้งแรก
หลังจากนั้นค่อยได้ยินคนเล่าลือกันว่า…..โลงพระศพหลังนั้นเป็นขุมสมบัติของแคว้นเซอปี่ซือ เป็นสมบัติล้ำค่ามากมายมหาศาล
คราวนี้ชาวต้าโจวถึงค่อยสามารถถอนหายใจออกมาได้ พวกเขาได้ยินมาตั้งแต่แรกแล้วว่าแคว้นต่างๆ พากันส่งขุมกำลังเข้าไปแย่งชิงสมบัติของแคว้นเซอปี่ซือ แต่คิดไม่ถึงว่า สุดท้ายแล้วจะถูกฝ่าบาทของตนเองยกกลับมาทั้งโลงศพเสียอย่างนั้น
ราชวงศ์โจวทั้งสามรัชสมัยมีแต่ความรุ่งเรืองขึ้นเรื่อยๆ
ฮ่องเต้พระองค์ใหม่ถึงแม้จะท่าทางเย็นชาไปบ้าง แต่ก็ปกครองประเทศได้เป็นอย่างดี นับตั้งแต่ที่พระองค์ทรงขึ้นครองราชย์ ก็ลดการจัดเก็บภาษี สนับสนุนให้เกิดการค้าขาย ประชาชนมีกินมีใช้ไม่ขาดมือ
ตอนนี้ก็ยังนำสมบัติของแคว้นเซอปี่ซือกลับมาอีก เห็นได้ชัดเลยว่าแคว้นต้าโจวภายใต้พระหัตถ์ของพระองค์จะต้องเจริญรุ่งเรืองยิ่งขึ้นไปเรื่อยๆ
ประกอบกับเรื่องการแก้ไขอุทกภัยในลี่โจว ยิ่งทำให้เห็นชัดเจนเลยว่าโอรสสวรรค์ได้รับการคุ้มครองจากทวยเทพ
ถึงตอนนี้ ผู้คนต่างก็กล่าวขานไปตามๆ กันว่าจีเฉวียนทรงเป็นผู้ที่สวรรค์เลือกสรรเอาไว้แล้ว
เพีงแต่ว่าทั้งหมดนี้ ฝ่าบาทหาได้ทรงใส่พระทัยจะฟังแม้แต่น้อย
หลังจากกลับมาถึงวัง ฝ่าบาททรงงดว่าราชการถึงเจ็ดวันเต็มๆ
นับตั้งแต่ที่ฝ่าบาททรงครองราชย์เป็นต้นมา พระองค์ก็ไม่เคยงดเว้นการว่าราชการเลยสักครั้ง พอตอนนี้จะงด ก็งดถึงเจ็ดวัน ผู้คนต่างก็พากันประหลาดใจ
แต่พอคิดถึงท่าทีของฝ่าบาทยามเสด็จกลับมา หรือจะเป็นเพราะว่าได้รับบาดเจ็บจากการไปชิงสมบัติของแคว้นเซอปี่ซือ ถึงจะเป็นโอรสสวรรค์ แต่ก็ยังเป็นมนุษย์ เป็นมนุษย์ย่อมสามารถได้รับบาดเจ็บ จำเป็นต้องพักผ่อนบ้าง
งดว่าราชการสักหลายวันล้วนเป็นที่เข้าใจได้
เหตุการณ์เฉพาะหน้าช่วงสั้นๆ นี้ ในเมืองหลวงแคว้นโจวค่อนข้างสงบเงียบ ไม่มีผู้ใดกล้าไถ่ถามถึงฝ่าบาทให้มากความ
ผ่านไปหนึ่งเดือน ได้ยินว่าขนาดเหล่าพระสนมในวังหลังยังไม่มีผู้ใดได้เห็นฝ่าบาทแม้แต่เงาเลย ดังนั้นแต่ละคนก็ชักจะร้อนรนขึ้นมาแล้ว ร้อนรนไปก็เฝ้ามองหากันไป แต่ว่าไม่มีผู้ใดเห็นพระองค์ของฝ่าบาทเลย
แม้แต่ซูหวงกุ้ยเฟยที่ทรงพระครรภ์ได้หกเดือนกว่า ก็ยังไม่ได้เห็นพระพักตร์ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสนมคนอื่นๆ แล้ว
ในสถานการณ์เช่นนี้ สายตาของสนมทั้งหลายจึงพากันจับจ้องไปที่พระตำหนักเฟิ่งหมิงกง
ฝ่าบาททรงให้ความ ‘เคารพรัก’ ไทเฮามาโดยตลอด ในเวลาเช่นนี้ ผู้ที่เป็นถึง ‘พระมารดา’ นางไม่สมควรจะเสด็จไปเยี่ยมเยียนสักหน่อยหรือ?
เสียทีที่ยามปกติฝ่าบาททรงปกป้องนางอยู่เสมอ
เหล่าพระสนมต่างก็ไม่สบายใจ พากันไปขอคำชี้แนะที่ตำหนักเฟิ่งหมิงทีละคนสองคน ตอนไม่ไปยังพอว่า พอไปถึงกลับได้เห็น…..
ในพระตำหนักเฟิ่งหมิง ทั้งๆ ที่เป็นต้นฤดูใบไม้ผลิแท้ๆ แต่ต้นไห่ถางที่เคยมีอยู่ทั่วทั้งตำหนักกลับเปลี่ยนเป็นเ**่ยวเฉาไปทั้งแถบ?
ฟังว่าต้นไห่ถางเหล่านี้ปฐมฮ่องเต้ทรงนำกลับมาจากป่าลึกลับแห่งหนึ่ง ทุกต้นฤดูใบไม้ผลิจะผลิบานครั้งหนึ่ง
เดิมทีเมื่อถึงต้นฤดูใบไม้ผลิ ต้นไห่ถางในตำหนักเฟิ่งหมิงจะพากันผลิบานอย่างขันแข็ง ตอนนี้ทำไมถึงได้เปลี่ยนเป็นเ**่ยวเฉาเสียแล้ว?
ราวกับว่าทั้งหมดพากันเ**่ยวเฉาไปภายในคืนเดียว
เหล่าพระสนมเห็นคุณชายตู๋กูสองพี่น้องยืนอยู่ใต้ต้นไห่ถ่างที่เ**่ยวเฉา สีหน้าประหนึ่งจะกินคน ก็พากันค่อยๆ ถอยออกไป
………………………..
ด้านนอกของพระตำหนักตี้หัวกง หลี่กงกงต้องพยายามรวบรวมความกล้าเข้าไว้เพื่อจะเข้าไปกราบทูลรายงาน
“ต้นไห่ถางที่เฟิ่งหมิงกง เ**่ยวเฉาหมดแล้วหรือ?”
ภายในพระตำหนักตี้หัวกง จีเฉวียนทรงประทับยืนอยู่หน้าโลงทองแดงแต่เพียงลำพัง ทอดพระเนตรมองดูพระองค์เองในกระจกทองแดง
เพียงแค่ช่วงเวลาสั้นๆ เขาผ่ายผอมลงไปมาก
พระวรกายท่อนบนเดิมที่ถูกแทงทะลุทั้งช่วงหัวไหล่และหน้าท้อง แต่ตอนนี้กลับไม่มีร่องรอยบาดแผลใดๆ ทั้งสิ้น ผิวพรรณบริเวณนั้นเรียบเนียนเหมือนปกติ ไม่มีร่องรอยว่าเคยได้รับบาดเจ็บมาแม้แต่น้อย
ตอนนี้ ผู้ที่เข้ามายืนอยู่ข้างพระวรกายคือท่านราชครู
เปรียบเทียบกับร่างอวบอ้วนที่ก่อนหน้านี้ไม่มีผู้ใดคิดจะมอง เขาผ่ายผอมไปมาก
สีหน้าของเขาซีดขาว ดวงตาราวสายน้ำฤดูใบไม้ร่วงนั้นมีแต่ความเจ็บปวด
“ฝ่าบาท โปรดถนอมพระวรกายด้วย” เห็นจีเฉวียนมีท่าทางทุกข์ตรมเช่นนี้ สีหน้าของฉางซุนซิ่วก็ไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่
เขาประคองสองมือขึ้นมา ถวายบังคมให้กับจีเฉวียน “แคว้นต้าโจวยังต้องการพระองค์ ประชาชนชาวต้าโจวต่างก็รอพึ่งพระองค์”
ทูลแล้ว ฉางซุนซิ่วก็ไอออกมาสองครั้งติดๆ กัน พอเขาไอครั้งหนึ่งก็มีรอยเลือดสดใหม่ติดที่มุมปาก
จีเฉวียนกวาดพระเนตรมองมาทางเขาแวบหนึ่ง เห็นบริเวณช่วงท้องของเขายังมีรอยเลือด ค่อยยอมกล่าวออกมาอีกประโยค “อาการบาดเจ็บของเจ้ายังไม่หายดี กลับไปพักผ่อนเถอะ”
แค่ประโยคเดียว ฉางซุนซิ่วก็รีบคุกเข่าลงไปที่เบื้องหน้าพระองค์
“ฝ่าบาท วันนั้นตอนที่อยู่ที่สระสวรรค์ กระหม่อมกระทำความผิดใหญ่หลวง ฝ่าบาททรงยอมอภัยให้กระหม่อมแล้วหรือพะยะค่ะ?”
“เจ้ารับเอาอาการบาดเจ็บทั้งหมดของเราไปไว้ที่ตนเอง เราติดค้างเจ้าอีกแล้ว” จีเฉวียนตรัสอย่างเรียบๆ น้ำเสียงของพระองค์กดต่ำ จึงฟังไม่ออกว่าตรัสอย่างจริงใจหรือว่ากำลังเสแสร้งกัน
“ฝ่าบาท พระองค์ก็ทรงทราบดี กระหม่อมทำได้ทุกอย่างเพื่อพระองค์”
ฉางซุนซิ่วยังคงกราบทูลต่อไป อย่าว่าแต่เพียงแต่แลกเปลี่ยนอาการบาดเจ็บกับพระองค์ ต่อให้ต้องการชีวิตของกระหม่อม กระหม่อมก็พร้อมจะส่งมอบออกไป”
เขากราบทูลพลาง ในใจก็หัวเราะเสียงเย็นไปพลางๆ
ตู๋กูซิงหลันได้ส่งของขวัญชิ้นใหญ่มาให้เขาแล้วจริงๆ
ไม่เพียงแต่สามารถเด็ดหนามตำตาชิ้นนี้ออกไปได้ตลอดกาล แต่ว่ายังสามารถดึงเอาความดีความชอบจากการ ‘แลกเปลี่ยนอาการบาดเจ็บของนาง มาไว้ที่ตัวเขาได้อีกด้วย
ตอนนั้นพระทัยของฮ่องเต้กำลังเย็นยะเยือก จึงไม่ทันได้สังเกตว่าอาการบาดเจ็บของพระองค์ถูกแลกเปลี่ยนกันไปก่อนแล้ว
เขาฉวยโอกาสนี้ ชิงเปิดเผยตัวตนออกมา ทั้งยังใช้ ‘ยันต์แลกเปลี่ยนอาการ’ แบบเดียวกัน ‘สับเปลี่ยน’ อาการบาดเจ็บทั้งหมดของพระองค์มาไว้ที่ตัวเขา ต่อหน้าต่อตาของจีเฉวียน
จีเฉวียนถูกตู๋กูซิงหลันละทิ้งไปอย่างไม่เหลือเยี่อใย และในขณะเดียวกันนี้เอง มีแต่เขาที่ก้าวออกมายืนอยู่เคียงข้างพระองค์ และพร้อมที่จะทำทุกอย่างเพื่อพระองค์
ต่อให้ฐานะ ‘บุรุษชุดม่วงในหน้ากาก’ ของเขาได้ทำลายความใกล้ชิดสนิทสนมของพวกเขาลงไป
แต่ว่าเจอกับลูกเล่นเช่นนี้ จีเฉวียนมีหรือจะไม่รู้สึกซาบซึ้งได้กัน?
ลองถามดูสิ ใต้หล้านี้ยังจะมีใครที่จะยินยอมรับความเจ็บปวดทรมานจนถึงกระดูกเพื่อผู้อื่นโดยปราศจากเงื่อนไขใดๆ ได้อีก?
ในยามนั้นเอง ฉางซุนซิ่วก็กราบทูลอีกว่า “ฝ่าบาททรงสังเกตออกแต่แรกว่าคนใต้หน้ากากก็คือกระหม่อม แต่กลับมิได้ทรงเปิดโปงกระหม่อมต่อหน้าผู้คน กระหม่อมทราบดีว่าฝ่าบาททรงปรารถนาในสมบัติของแคว้นเซอปี่ซือ จึงคิดจะหาทางเข้าไปชิงมาแทนพระองค์ จึงไม่อาจเปิดเผยฐานะออกไป กระตุ้นให้พระองค์ทรงไม่พอพระทัย แต่ทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่การแสดงเท่านั้นพะยะค่ะ”
ทูลแล้ว เขาก็ไอติดๆ กันออกมาอีกครั้ง มุมปากมีเลือดซึมออกมาอีก
ฉางซุนซิ่วหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดเลือดที่มุมปาก จึงเปิดเผยแหวนวงใหญ่บนนิ้วมือออกมาพอดี
——
คุยกินนิดนึง:
ไรท์ : ไม่นะ! จะมาขโมยผลงานอาหลันกันง่ายๆ แบบนี้ได้ยังไง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น