ท่านเทพมาแล้ว 291-294
บทที่ 291 เจ้าจำเขาได้หรือ?
โดย
Ink Stone_Romance
“อาจิ่ว!”
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ เสียงของลู่ยาพลันลอยมาข้างหู ร่างของนางร่วงหล่นสู่อ้อมอกเขาตอนไหนไม่อาจทราบได้ นางเงยหน้าขึ้นไป ใบหน้าที่สงบราบเรียบอยู่เป็นนิจของเขากลับมีความร้อนรนปรากฏอยู่!
นางออกมาแล้วจริงหรือ?!
มู่จิ่วพลิกตัวออกมาจากอ้อมอกเขา มองโลกอันสว่างไสวอย่างมึนงง
ที่นี่ยังคงเป็นวังหลวงของเสือลายเหลือง แต่บนพื้นเต็มไปด้วยซากศพ ทุกคนถูกสังหารสิ้น เซวียนหยวนฮุ่ยไม่รู้ไปไหน แต่งูแดงถูกหั่นออกเป็นสองซีก ซีกหนึ่งอยู่บนยอดหลังคา ทำให้ยอดหลังคาถล่มลงมา ส่วนอีกซีกหนึ่งตกอยู่บนพื้น ไม่ว่าที่ไหนก็เต็มไปด้วยเลือด ไม่มีหลุม ไม่ว่าที่ไหนก็ไม่มีหลุม!
คนผู้นั้นกลับดึงนางขึ้นมาจากใต้ดินโดยไร้ต้นสายปลายเหตุ!
“เจ้ายังไม่ตาย! ข้าคิดว่าเจ้าโดนเสือลายเหลืองเหล่านั้นกลืนลงท้องไปแล้ว!”
ตอนนี้เองที่จื่อจิ้งโผเข้ามาพูด คล้อยหลังเสียงอันดังของเขา เหลียงจีและอาฝูที่อยู่ห่างออกไปก็ตามเข้ามา
“พี่สาว!”
เสือน้อยตัวมอมแมมตัวหนึ่งยกอุ้งเท้าสัมผัสแขนนางเบาๆ ร่างที่มีขนฟูฟ่องช่างร้อนรน มู่จิ่วจ้องเขาอย่างตกตะลึงอยู่สักพัก ถึงได้เห็นหน้าที่คุ้นชินของอาฝูจากขนสกปรกนั้น “ทำไมเจ้าถึงเป็นเช่นนี้? เจ้าพูดได้แล้วหรือ? เจ้า…เจ้าผ่านด่านเคราะห์แล้ว?!”
“ใช่แล้ว!” เหลียงจีพูดด้วยความยินดีอย่างปิดไม่มิด “เจ้ากลับมาอย่างปลอดภัยได้ ช่างดีจริงๆ! เจ้ารู้หรือไม่ว่าเมื่อครู่พวกเรากังวลกันขนาดนั้น? เซิ่งจุนลงไปหาเจ้ากี่ครั้งก็หาไม่พบ!”
“ที่แท้เขารู้นานแล้วว่าอาฝูจะผ่านด่านเคราะห์วันนี้ แต่เพราะอาฝูยังมีเรื่องพัวพันไม่จบ จำต้องลงมือจัดการกับเซวียนหยวนฮุ่ยก่อนอสุนีบาตถึงจะมาได้ เมื่อครู่ขณะที่เจ้าทำให้เสือลายเหลืองบาดเจ็บแล้วร่วงลงไป เจ้าขาวน้อยก็เกิดคลั่งและสังหารเซวียนหยวนฮุ่ยไป หลังอสุนีบาตฟาดลงมาเขาก็พูดได้แล้ว”
มู่จิ่วหวนนึกกลับไป พบว่ามีเรื่องเช่นนี้อยู่จริง ตอนที่นางร่วงหล่นลงไปก็ได้ยินเสียงอสุนีบาต นั่นหมายความว่าไม่เพียงอาฝูผ่านด่านเคราะห์ แต่ยังสำเร็จอีกด้วย!
“ดียิ่ง!” นางกอดอาฝูอย่างอดไม่ได้ หอมหน้าสกปรกมอมแมมของเขา
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเจ้ากันแน่?!” ลู่ยาจับข้อมือนางแน่น บนใบหน้าไหนเลยจะยังมีความสงบนิ่งอยู่
มู่จิ่วไม่รู้จะพูดกับเขาอย่างไรดี นางรู้สึกตื่นตระหนกและสงสัย ทั้งยังดีใจและไม่เข้าใจ เอ่ยไม่ออกเหมือนตอนนางอยู่ต่อหน้าคนเสื้อเขียวที่จู่ๆ ก็ปรากฏตัวผู้นั้น ตอนนี้นางกลับมาอย่างไร้รอยขีดข่วนก็ไม่รู้จะเอ่ยสิ่งใด…นั่นช่างประหลาดนัก ทำไมแม้แต่ลู่ยาก็ยังหานางไม่เจอ?!
“เอาละ! พวกเรากลับไปโหย่วเจียงก่อนค่อยว่ากัน”
ลู่ยาเห็นนางตกตะลึงไม่พูดสิ่งใด จึงรีบพยุงนางขึ้นมาแล้วเรียกทุกคน
ทุกคนไม่กล้าชักช้า รีบมารวมตัวกัน ไม่นานก็ขึ้นเมฆขี่กลับอาณาจักรโหย่วเจียงไป
เพิ่งมาถึงประตูเมือง ก็เห็นองค์ชายรองต๋าเจานำพลทหารม้ามาถึงหนานเซียงแล้ว หลังจากเหลียงจีพูดคุยกับเขาอย่างง่ายๆ เสร็จก็ออกเดินทางต่อ
ระหว่างทางมู่จิ่วค่อยๆ สงบใจลง เมื่อถึงครึ่งทางจึงฟื้นคืนสู่สภาวะปกติ แต่ก็ยังคงครุ่นคิดอยู่ตลอด ไม่ได้เอ่ยปากพูดเลย ลู่ยาไม่รู้ว่านางพบเจอสิ่งใดมา นึกร้อนใจอยากกลับไปให้ถึงที่หมายเร็วหน่อยเพื่อสอบถาม จึงจูงมือนางโดยไม่ได้เอ่ยคำเช่นกัน
อาฝูเพิ่งพูดเป็นแต่ยังพูดไม่มากนัก หมอบอยู่บนเมฆเงียบๆ เหลียงจีรู้สึกสงบใจที่ช่วยสามีกลับมาได้ และยังยินดีที่อาฝูผ่านด่านเคราะห์สำเร็จ ทว่ามือกำน้ำเต้าหยกแน่น ไม่รู้จะอธิบายความรู้สึกนี้อย่างไรจึงเหมาะสม ส่วนจื่อจิ้งทำหน้าตึงด้วยความโกรธเคือง พวกอวี๋เหิงเห็นทุกคนไม่พูดก็ย่อมไม่กล้าพูดเช่นเดียวกัน
ตอนที่มาถึงกำแพงเมืองโหย่วเจียง ราชาและราชินีเสือขาวออกมาต้อนรับ เห็นแต่ละคนหน้าตาเคร่งเครียด เข้าใจไปว่าข่าวที่ได้รับมาผิดพลาด จึงรีบถามไถ่ “ซื่ออินไม่ได้กลับมาหรือ? หรือว่าเกิดเรื่องกับเขา?”
เหลียงจีไม่อาจทนได้ วิ่งเข้าไปยื่นน้ำเต้าหยกทั้งน้ำตา “ซื่ออินกลับมาแล้ว! เขาบาดเจ็บหนักแต่ยังรักษาชีวิตไว้ได้!”
ราชาราชินีเสือขาวผ่อนลมหายใจเฮือกใหญ่ แต่เพราะโล่งใจเร็วเกินไป ราชินีจึงเกือบล้มลงไปกับพื้น ยังดีที่เหลียงจียื่นมือไปประคองไว้
“รีบเชิญเซิ่งจุนกับแม่นางกัวเข้าไปนั่งในตำหนัก!”
คล้อยหลังคำสั่งของราชาเสือขาว กลุ่มคนทั้งหมดก็เข้าไปในตำหนัก
ลู่ยาไม่มีใจจะนั่งลงดื่มชา เขาส่งน้ำเต้าหยกให้ราชาเสือขาว “น้ำเต้านี้มียารักษาบาดแผลอยู่ ให้ซื่ออินรักษาตัวอยู่ในน้ำเต้านี้สี่สิบเก้าวันก่อน แล้วค่อยให้เขาออกมา” จากนั้นจึงลากมู่จิ่วไปยังหอเล็กที่ราชาเสือขาวเตรียมให้พวกเขา
จื่อจิ้งไม่อาจปล่อยโอกาสอันดีนี้ไป ขยับตัววูบตามไปอย่างรวดเร็ว
อาฝูเห็นเขา ก็ยกก้นวิ่งเหยาะๆ ตามไปด้วย
เหลียงจีเห็นลูกไม่เข้าใจสถานการณ์เช่นนั้น จึงไล่ตามไปเหมือนกัน “เจ้าขาวน้อย!”
ไม่นานคนหลายคนก็ตามกันเข้าไปในห้องโถง ลู่ยาไม่สนใจผู้อื่น เอาแต่ถามมู่จิ่ว “เมื่อครู่เกิดอะไรขึ้น? เจ้าพบเจออะไรมา?!”
มู่จิ่วตอบ “ข้าเห็นคนผู้นั้น!”
พวกเหลียงจีได้ยินคำนี้เข้าพอดี ย่างก้าวพลันชะงัก ก่อนตามเข้ามาข้างใน “เจ้าพบใคร?”
“คนเสื้อเขียวที่หลอกเจ้าไปควบคุมให้เซวียนหยวนฮุ่ยหลอมวิญญาณร้าย!”
เหลียงจียืนนิ่งอยู่ตรงนั้น
ลู่ยาตื่นตกใจ ขมวดคิ้วทันที “เจ้าเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังเดี๋ยวนี้!”
มู่จิ่วรินชาบนโต๊ะ ปรับลมหายใจ แล้วจึงเล่าเรื่องทั้งหมดออกมา “เขาสวมเสื้อเขียว อายุราวๆ ยี่สิบกว่าปี สายตาเย็นชาดุดันยิ่งนัก แต่เมื่อยิ้มความเย็นชานั้นก็หายไป ตั้งแต่ต้นจนจบเขาไม่ได้โมโหเลย และไม่ได้ข่มขู่หรือกดดันข้า สุดท้ายยังส่งข้าออกมาโดยไร้เงื่อนไข!”
เมื่อหวนนึกถึงเรื่องตอนนั้น ใจนางก็ยังตื่นเต้น ไม่ใช่กลัว แต่เป็นความตื่นเต้นที่เขาพลันปรากฏตัวขึ้นโดยที่นางไม่ได้เตรียมตัว หากเขาเป็นคนร้ายที่ก่อคดีมากมาย นางใกล้กับเขาเช่นนั้น หากนางมีความสามารถมากพอคงจับเขามารับโทษได้…
แต่ในเมื่อเขาสามารถอยู่ในที่ที่แม้แต่ลู่ยายังจับกลิ่นอายของนางไม่ได้ จะถูกจับกลับมาง่ายๆ เช่นนั้นหรือ?
ท่าทางสบายๆ ของเขาไม่ใช่การเสแสร้ง เขาไม่ลำบากใจก็ไม่ใช่การเสแสร้ง เขาเชื่อมั่นในตนเองว่ามีกำลังมากพอ ถึงได้ยอมรับอย่างไม่ปิดบังว่าตนเองคือคนที่พวกนางตามหามาตลอด!
ทั้งที่นางรู้จักเขาดี ใกล้กับเขาเช่นนี้กลับทำอะไรไม่ได้!
นางนั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้ ยังคงรู้สึกว่าตอนนั้นประหลาดนัก
ทุกคนล้วนตกใจ ยกเว้นจื่อจิ้ง…เขาไม่ค่อยเข้าใจนักว่าเกิดอะไรขึ้น
ลู่ยามองนางนิ่งๆ อยู่ครู่หนึ่งก่อนถามว่า “เจ้าจำหน้าเขาได้หรือไม่?”
เหลียงจีเงยหน้าขึ้นมาทันที
มู่จิ่วได้ยินก็นิ่งอึ้งไป “ใช่…ข้าจำหน้าเขาได้! จำได้อย่างชัดเจนยิ่ง!”
อวิ๋นฉัวกับเหลียงจีล้วนจำไม่ได้ว่าหน้าตาเขาเป็นอย่างไร แต่นางกลับจำได้ชัดเจน…
ลู่ยามองมู่จิ่ว พลันพลิกมือนางขึ้นมา กดพลังวิญญาณลงไปบนมือนาง จากนั้นภาพเมื่อครู่ก็ปรากฏขึ้น!
คนผู้นั้นที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ห่างออกไปสี่ห้าฉื่อ ปอกส้มให้นาง พูดคุยกับนาง ชัดเจนยิ่งทุกอณู แต่ใบหน้าของเขากลับอยู่เบื้องหลังเงามืดตลอดเวลา!
…………………………………………
บทที่ 292 มีเรื่องขอร้อง
โดย
Ink Stone_Romance
“เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร?”
มู่จิ่วก็พูดไม่ออกเช่นกัน “ตอนนั้นข้าเห็นใบหน้าเขาอย่างชัดเจน! ข้ายังจำได้อีกว่าเคยจำเขาผิดเป็นเจ้าตอนอยู่ที่เขาคุนหลุนตะวันออก! ใบหน้าของเจ้าที่ข้าเห็นตอนนั้นคือใบหน้าเขา!”
ลู่ยามองนาง นิ่งเงียบอยู่นาน
มู่จิ่วค่อนข้างเชื่องช้ากับการเรื่องของความรู้สึกมาตลอด นางรู้สึกเพียงว่าคนผู้นี้ประหลาด ไม่พบว่าท่าทางกับการพูดของเขาที่มีต่อนางมีอะไรพิเศษ แต่ลู่ยากลับมองออก คนผู้นี้อาจรู้จักนาง และเหมือนกับเคยผูกพันธ์กันมาก่อน สำคัญคือ…ทำไมเขาถึงได้ปอกเปลือกส้มให้นาง?
เขารู้ได้อย่างไรว่านางชอบกินส้มของหลิงหนาน? และยังไม่ทำให้นางลำบากใจเลยแม้แต่น้อย ทั้งยังให้ตามที่นางต้องการ?
ในฐานะที่เป็นผู้ชาย ลู่ยาพลันรู้สึกได้ถึงสิ่งอันตรายอย่างแท้จริง
คนแบบไหนถึงปฏิบัติต่อหญิงสาวด้วยท่าทางแบบนี้? สามารถปฏิบัติต่อหญิงตรงหน้าด้วยความใกล้ชิดเอาใจใส่เช่นนี้? หากมิใช่เขามีเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่กว่าและอันตรายกว่า ย่อมหมายความว่าเขามีความรู้สึกพิเศษต่อนาง!
“เจ้ารู้จักเขา?” เขาถาม
“ไม่รู้จัก!” มู่จิ่วมองเขาแน่นิ่ง “ข้าไม่เคยรู้จักเขามาก่อน”
ลู่ยาได้ยินนางพูดแบบนี้ก็สบายใจขึ้นเล็กน้อย
ถึงแม้เขาเชื่อนาง แต่ตอนนี้เขาต้องการคำยืนยันจากปากนางเพื่อปลอบประโลมใจ
แต่หากคนผู้นี้ไม่เคยปรากฏกายในชีวิตนาง เขาจะมีพฤติกรรมเช่นนี้กับนางได้อย่างไร?
อีกอย่าง เขาซึ่งมู่จิ่วมองเห็นตอนพลังระเบิดออกที่เขาคุนหลุนเป็นคนเสื้อเขียวผู้นั้น และอีกฝ่ายไม่ปฏิเสธว่าไม่ได้ทำเรื่องหลีหังและเฟยอี รวมถึงบุญคุณความแค้นของตระกูลอวิ๋นตระกูลอ๋าว นี่หมายความว่าเมื่อตัดเรื่องคดีที่เขาทำออกไป ขณะเดียวกันที่มาของมู่จิ่วกับคนผู้นี้ต้องเกี่ยวข้องกันอยู่บ้าง?
…หากแต่ก่อนพวกเขารู้จักกันจริง เช่นนั้นอาจหมายความว่าเขาเคยเห็นนางก่อนจะเปลี่ยนร่างเป็นมนุษย์
“ไม่แน่ว่าคนผู้นั้นอาจเป็นเช่นนี้ ท่านลืมไป คราวก่อนเขาก็เคยให้ยารักษาวิญญาณแก่ข้า?” เหลียงจีสังเกตเห็นความกังวลของลู่ยา เข้าใจว่าเขาคิดไปว่ามู่จิ่วมีความสัมพันธ์อันคลุมเครือกับคนผู้นั้น กลัวว่าระหว่างพวกเขาจะเกิดความเข้าใจผิดกัน จึงรีบเข้ามาอธิบาย “ข้ารู้สึกว่าคนผู้นี้เจ้าเล่ห์ยิ่งนัก อันตรายอย่างมาก”
ลู่ยาหันหน้าไปมองมู่จิ่ว เห็นนางมองเขาอย่างกังวลดังคาด
มู่จิ่วรู้ว่าเขาขี้หึงนัก คนเสื้อเขียวผู้นี้มีความอ่อนโยนหลายอย่าง ไม่แปลกที่ลู่ยาจะไม่พอใจ แต่นางก็ไม่อาจปิดบังเช่นกัน ดังนั้นจึงทำได้เพียงหวังว่าเขาจะไม่เก็บเรื่องนี้มาใส่ใจในตอนนี้
“อาจไม่เป็นเช่นนั้น” ลู่ยาตบๆ หัวนาง มองเหลียงจีพลางพูด “ข้าเพียงรู้สึกว่าคนผู้นี้อาจจะรู้จักนาง ไม่แน่ว่าเบื้องหลังอาจยังมีเรื่องใดอยู่อีก” ที่จริงบนโลกนี้ คนที่สามารถหลบหนีการตามล่าของเขาได้มีไม่มากนัก และความเป็นไปได้ที่จะตกหลุมรักหญิงคนเดียวกันก็ไม่มาก แต่ตอนนี้เรื่องแบบนี้กลับปรากฏออกมาพร้อมกัน เขาจึงสงสัยอย่างเลี่ยงไม่ได้
ยามนี้มีเพียงรู้ที่มาที่ไปของมู่จิ่วถึงจะสามารถจัดการพลังที่อยู่ในร่างกายนาง ไม่ว่าอย่างไรต้องควบคุมหรือกำจัดพลังนี้ให้ได้ มิฉะนั้นนางอาจถูกมันทำร้ายกลับได้ตลอดเวลา
ดังนั้นในใจของเขาไม่มีเรื่องใดสำคัญไปกว่าการไขเรื่องราวของนางให้กระจ่าง ส่วนคดีที่อยู่ในมือก็แค่เกี่ยวข้องกับคนรอบตัวนางพอดี จึงไม่อาจไม่จัดการเท่านั้น
มู่จิ่วได้รับคำเตือนของเขาก็นึกขึ้นมาได้ “ข้าก็รู้สึกว่าตอนเห็นเจ้าเป็นคนอื่นที่ภูเขาคุนหลุนตะวันออกนั้นช่างแปลกประหลาดนัก คิดไม่ถึงว่าคนผู้นี้จะมีอยู่จริง เบื้องหลังเรื่องนี้ต้องมีสาเหตุแน่! อีกทั้งเขายังยอมรับว่าคนที่ข้าพบตรงภูเขาไท่ก็คือเขา แต่ก่อนพลังของข้าจะระเบิดที่ภูเขาคุนหลุนตะวันออก เขาไม่เคยปรากฏตัวมาก่อน ข้ารู้สึกว่าเขาโผล่มาหลังจากที่พลังของข้าระเบิดไปแล้ว!”
ลู่ยาพยักหน้า “เป็นไปได้ว่าเมื่อก่อนเขาไม่รู้ว่ามีเจ้าอยู่ พลังของเจ้าสะเทือนฟ้าดิน ไม่แน่ว่าอาจรับรู้ถึงเจ้าได้ในตอนนั้น” เขาพูดอีก “สรุปคือเรายังไม่รู้แน่ชัดถึงเป้าหมายของคนผู้นี้ ก่อนข้าจะสืบหาที่มาที่ไปของเจ้าและควบคุมพลังเจ้าได้ เวลาเจ้าเจอเขาต้องระวังให้มาก ดีที่สุดคืออย่าเข้าใกล้”
มู่จิ่วพยักหน้ารับซ้ำๆ ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ในห้องมืดสนิทนั้น แม้แต่โรคกลัวที่แคบก็แทบจะถูกกระตุ้นออกมา ไหนเลยจะยังกล้าพูดว่าอยากเข้าใกล้เขา? ตอนนี้เรื่องของถิ่นกันดารทางเหนือก็จัดการเรียบร้อยแล้ว ไม่มีเรื่องใดเกิดขึ้นใหม่ ถึงแม้ภายหลังเขาคิดก่อเรื่องใหญ่ขึ้นอีก นางก็คงต้องผลักให้เป็นภาระหลิวจวิ้นและทัพทหารสวรรค์แล้ว
“ห้องมืดเมื่อครู่ประหลาดมาก ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน?” นางยังคงหวาดกลัว
ลู่ยาก็สงสัยยิ่งนัก บนฟ้าดินนี้ไม่มีที่ที่เขาไปไม่ถึง ทำไมสถานที่ซึ่งนางเอ่ยเขาถึงหากลิ่นอายของนางไม่เจอ? กลับเหมือนพบเขตพลังที่แข็งแกร่ง…คิดถึงตรงนี้เขาก็พูดขึ้น “เจ้ารั้งอยู่พักผ่อนก่อน ข้าจะไปสืบหาอีกที” ก่อนพูดอีก “จื่อจิ้ง ตามข้ามา!”
พูดจบยังไม่ทันก้าวออกจากประตู เขาก็หิ้วจื่อจิ้งหายตัวไปแล้ว
เหลียงจีละสายตากลับมาหามู่จิ่ว ก่อนกล่าว “เจ้าดูสิ ในสายตาของเซิ่งจุนมีแต่เจ้า”
มู่จิ่วหัวเราะอย่างไม่ปิดบัง
หลังหัวเราะเสร็จนางก็เงียบไป นางไม่กล้าคิดเลยจริงๆ หากเมื่อครู่คนเสื้อเขียวต้องการรังแกนาง นางจะยังเจอหน้าลู่ยาได้หรือไม่
และทำไมเขาถึงไม่รังแกนาง? ไม่รู้ว่านางคิดมากไปเองหรือไม่ อย่างไรก็รู้สึกว่าเขาปฏิบัติต่อนางค่อนข้างพิเศษ…นางไม่ต้องการให้คนอื่นนอกจากลู่ยาเกี้ยวพานาง นางมีลู่ยาก็พอแล้ว แต่คนในห้องมืดนั้น ความเป็นมิตรอันพอเหมาะพอดีของเขากลับไม่ทำให้นางรู้สึกต่อต้าน…
“เอาละ” เหลียงจีมองความกังวลของมู่จิ่วออก แต่กลับไม่รู้ว่านางกังวลอะไร วางมือไปบนไหล่นางพลางพูด “มีเขาอยู่ ถึงแม้เจ้าจะกลายเป็นเถ้าถ่านเขาก็หาเจ้าเจอได้”
มู่จิ่วเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้นาง เรื่องนี้นางเชื่อ
ลู่ยาไม่อาจแยกจากนางได้แล้ว
หากมีวันหนึ่งนางสิ้นอายุขัยหรือกลายเป็นเถ้าถ่านไปจริง นางคิดว่าเขาคงเก็บรวมรวบนางที่กลายเป็นเถ้าถ่านขึ้นมากระมัง? กลับกันหากเป็นลู่ยา…แน่นอนว่าไม่น่าเกิดขึ้นได้ แต่ถึงแม้เป็นแบบนี้ก็ไม่มีอะไรสามารถแยกพวกเขาออกจากกัน
“ตอนนี้ข้ามีเรื่องขอร้องเจ้า ไม่รู้ว่าเจ้ารับปากได้หรือไม่?”
เหลียงจีนั่งลงใกล้มู่จิ่ว พลันหรี่ตามองนาง ยิ้มพลางพูด
“เรื่องใด?” มู่จิ่วดึงความสนใจกลับมา พลางจิบชา
เหลียงจีอุ้มอาฝูขึ้นมา ถอนหายใจพลางพูด “ข้าอยากให้อาฝูอยู่กับพวกเจ้าต่อ ตอนกลับมาที่นี่แรกๆ เขาก็ร่าเริงดีอยู่ แต่ช่วงหลังกลับไม่มีความสุขนัก มีวันหนึ่งข้าเห็นเขาใช้อุ้งเท้าวาดภาพบนพื้น วาดเจ้ากับเซิ่งจุน และยังมีกระต่ายตัวหนึ่ง ต้าเผิงอีกตัวหนึ่ง หนำซ้ำมีจิ้งจอกเก้าหางอยู่กับเขา ภาพนั้นทำให้ข้ากับพ่อของเขาหลั่งน้ำตา”
“ข้าคิดแล้วคิดอีก เขาอยู่กับพวกเจ้าคงดีกว่า ไม่ว่าเพื่อตัวเขาเองหรือเพื่ออนาคตการเป็นลูกหลานของราชวงศ์ การตายของเซวียนหยวนฮุ่ยทำให้หนานเซียงพังทลาย ภายหลังโหย่วซยงและหนานเซียงต้องตกอยู่ภายใต้การควบคุมของโหย่วเจียง พวกเราต้องการผู้สืบทอดที่มีความสามารถและมีวิสัยทัศน์มากกว่านี้”
……………………………………………
บทที่ 293 กดดันเหมือนกัน
โดย
Ink Stone_Romance
มู่จิ่วนึกไม่ถึงเลยว่าสิ่งที่นางขอร้องจะเป็นเรื่องนี้ นางยินยอมให้อาฝูกลับมาหาพวกตน?
“เรื่องนี้เจ้าทำใจได้หรือ?” นางถาม
“ไม่มีเรื่องใดปล่อยวางไม่ได้ ไม่ใช่จะไม่ได้เจอเขาสักหน่อย เพียงแค่ไม่ได้เห็นทุกวันเท่านั้น ก่อนหน้านั้นข้าปรึกษากับพ่อแม่ของซื่ออินแล้ว พวกเขาก็สนับสนุน ทั้งยังกังวลว่าเซิ่งจุนจะไม่รับปาก” เหลียงจียิ้มพลางกอดอาฝูเข้ามาในอ้อมอก ก่อนพูด “ข้าคิดว่าอาฝูเป็นครอบครัวของพวกเจ้าแล้ว”
ตอนนี้เองที่มู่จิ่วเพิ่งสังเกตว่าเหลียงจีเรียกอาฝูว่า ‘อาฝู’ ไม่ใช่เจ้าขาวน้อย
“เพียงเจ้ายินยอม แน่นอนว่าไม่มีปัญหา” นางมองอาฝู ใจที่สับสนเมื่อครู่พลันผ่อนคลายลง นางไม่มีวันลืมคืนนั้นซึ่งนางทะเลาะกับลู่ยาที่ภูเขาคุนหลุนตะวันออก เป็นอาฝูที่ตามนางมาอย่างไม่ลังเลและแบกนางกลับบ้าน
“อาฝูปกป้องพี่สาวได้”
อาฝูพูดด้วยเสียงเด็กน้อย และยกอุ้งเท้าขึ้นกอดเข่านาง ความอาลัยอาวรณ์ในดวงตาอ่อนโยนราวกับน้ำ
ลู่ยาพาจื่อจิ้งกลับไปสืบค้นวังหลวงหนานเซียงรอบหนึ่ง เขาใช้พลังวิญญาณตรวจดูตรงตำแหน่งที่มู่จิ่วร่วงลงไป กลับไม่พบว่าด้านใต้มีอะไรผิดปกติ จึงอดยืนครุ่นคิดอยู่ที่เดิมไม่ได้
การปรากฏตัวของคนเสื้อเขียวเหมือนกับหินที่ตกลงในใจเขา ไม่ใช่แค่ก่อกำเนิดคลื่นเพียงแค่สามสี่ครั้งก็จะหยุดลงได้
ลู่ยาอยากปลอบใจตนเองหลายครั้งว่าชายเสื้อเขียวไม่ได้มีความรู้สึกพิเศษต่อมู่จิ่ว เหมือนกับที่เหลียงจีบอกว่าเขาแค่เป็นคนเช่นนั้น หรือเพียงมีแผนอื่นกับมู่จิ่ว แต่ใจของลู่ยากลับยังแขวนอยู่กลางอากาศ ลู่ยาพบว่าตนเองไม่อาจยอมรับความเป็นไปได้ที่ยังมีชายอื่นอีกคนหมายตามู่จิ่ว
…เขาเห็นแก่ตัวนัก สิ่งที่เขากลัวไม่ใช่เรื่องมีคนมารักนาง แต่กลัวว่านางจะรักคนผู้นั้นเช่นกัน ทว่าเป็นเพียงความทรงจำที่ถูกผนึกไว้เท่านั้น ทุกอย่างถูกผนึกไว้ทั้งหมด
ดังนั้นการที่เขาออกมาสืบค้นดูก็คงเป็นเพียงข้ออ้างกระมัง?
ใจของเขาสับสน ผู้อื่นกลับจำชายเสื้อเขียวไม่ได้เลย มีเพียงเฉพาะมู่จิ่วเท่านั้นที่จำได้ชัดเจน ไม่ว่าเขาจะหาเหตุผลอย่างไร นี่ก็เป็นข้อสงสัยที่เด่นชัด เขารู้สึกว่าอย่างน้อยคนเสื้อเขียวผู้นี้ก็รู้จักมู่จิ่ว รู้สึกพิเศษต่อนาง เรื่องนี้ต้องไม่ผิดแน่
อีกทั้งเขายังจงใจปรากฏตัวในภาพมายาของนางตอนพลังระเบิดออก เช่นนั้นเขาย่อมต้องเกี่ยวข้องกับตัวนาง และยังเกี่ยวข้องกับพลังในร่างนางด้วย?
คิดอีกที เขายอมรับอยู่บ้างว่าคดีแต่ละคดีล้วนมุ่งไปเส้นทางที่อันตราย แต่สุดท้ายก็ไม่ได้สร้างผลกระทบที่ไม่อาจยับยั้งได้ คดีก่อนหน้านี้ทั้งสองก็แล้วไปเถิด ชายผู้นั้นไม่ได้ปรากฏตัวออกมา แต่หลังจากเรื่องที่ภูเขาคุนหลุนตะวันออกเขาก็เผยตัวออกมาชัดเจนขึ้น อย่างน้อยเขายังเคยพบหน้ามู่จิ่วที่ภูเขาไท่ครั้งหนึ่ง
ทว่าตั้งแต่ปรากฏตัวจนถึงบัดนี้ เขาย่อมมีโอกาสลงมือกับมู่จิ่วหลายครั้ง แต่เขากลับไม่ทำ และเมื่อรู้ว่าอาฝูอยู่กับมู่จิ่ว เขาก็ให้ยาปกป้องวิญญาณแก่เหลียงจีไม่ให้นางตาย ราวกับรอพวกเขามาช่วยนางอย่างไรอย่างนั้น ในเมื่อเขารู้ว่าอาฝูอยู่กับพวกมู่จิ่ว เช่นนั้นย่อมคาดเดาได้ว่าพวกเขาต้องตามหาเหลียงจีเป็นแน่ หากเขาต้องการหลบซ่อน ทำไมจึงไม่ย้ายหนีไป?
ถึงแม้เป็นเพราะต้องหลอมวิญญาณร้ายจึงย้ายหนีไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็สามารถพาเหลียงจีหนีไป
หากเขารู้จักมู่จิ่วจริง เช่นนั้นเขาช่วยให้นางเลื่อนขั้นเซียนเร็วหน่อย จะเป็นไปไม่ได้แม้แต่นิดเลยหรือ?
แต่ลู่ยากลับไม่คิดว่าชายผู้นั้นก่อเรื่องใหญ่ขนาดนี้เพียงเพื่อช่วยนางเลื่อนขั้นเซียน มิฉะนั้นแล้วเขาจะหลอมวิญญาณร้ายไปทำไมกัน? เขาจะเอาของวิเศษมากมายเหล่านั้นไปทำไม? และยังฝึกพลังอะไรริมบึงน้ำดำที่คุนหลุนตะวันออกเมื่อห้าพันปีก่อน?
หากเขาทำเพียงเพื่อช่วยให้มู่จิ่วเลื่อนขั้นเซียน เช่นนั้นการลงแรงครั้งนี้ก็ออกจะเกินไปหน่อย ไม่ว่าความสัมพันธ์ของชายผู้นั้นและนางจะไปถึงขั้นไหนก็ตาม
ลู่ยามองวังที่ยังคงมีกลิ่นคาวเลือดลอยอบอวล ตกเข้าสู่ความสับสน
เขาพลันไม่รู้ว่าถ้ากล่าวในมุมของมู่จิ่ว ชายเสื้อเขียววางแผนเรื่อง ‘เหล่านี้’ หรือจะพูดว่า ‘สถานการณ์วันนี้’ สุดท้ายอาศัยเรื่องอะไรทำให้มันดำเนินไป…
ทันใดนั้น เขารู้สึกไม่อยากรู้เรื่องความลับชาติกำเนิดของมู่จิ่วขึ้นมา…
บางทีเป็นอย่างตอนนี้ก็ดีมากอยู่แล้ว เขาสามารถทุ่มเทกำลังปกป้องนางให้สะสมบุญกุศลเลื่อนขั้นเป็นเซียน และมีอนาคตที่ดีร่วมกับนาง พวกเขาสามารถใช้เวลาที่เหลืออยู่ให้กำเนิดลูกสักสองสามคน ดูพวกเขาเล่นหยอกล้อกันในวังชิงเสวียน…ตั้งแต่จำความได้ เขาไม่เคยเข้าใจว่าความกลัวคืออะไร แต่ตอนนี้เขากลับกลัวว่าหลังความจริงของนางเปิดเผยแล้ว เขาจะสามารถรับได้หรือไม่
…ใช่แล้ว เขาเพิ่งมีความรู้สึกกลัวเป็นครั้งแรก
ทางด้านโหย่วเจียง วันนี้เมฆทะมึนที่ปกคลุมถิ่นทุรกันดารทางเหนือมานานพลันสลายไป ฟ้ากระจ่าง พระอาทิตย์ตกย้อมท้องฟ้าเป็นสีแดงฉานไปครึ่งฟ้า
การตายของเซวียนหยวนฮุ่ยทำให้แต่ละพื้นที่ในอาณาจักรต่างยินดีปรีดา ผู้คนถึงได้รู้ว่าหลานราชาที่เพิ่งกลับมาสังหารเซวียนหยวนฮุ่ยอย่างกล้าหาญเพียงใด ทั้งยังบุกทะลวงดงศัตรูไปช่วยบิดากลับมาด้วยตนเอง คนจำนวนไม่น้อยกรูออกมาบนถนนและป่าวประกาศข่าวดีนี้
ในวังหลวงก็รื่นเริง ราชาเสือขาวต้องการจัดงานเลี้ยงต้อนรับลู่ยาอย่างยิ่งใหญ่
ยามที่ลู่ยากลับมาพระอาทิตย์ตกดินก็ย้อมฟ้าไปจนถึงยอดทิวเขาแล้ว ทุกพื้นที่เต็มไปด้วยเสียงกลองและประทัด เหล่าหนุ่มสาวล้วนยิ้มยินดีอยู่ในเมือง ส่วนพวกเด็กน้อยถือดอกไม้ไฟวิ่งไปบนถนน
มู่จิ่วบอกเรื่องที่เหลียงจีให้อาฝูกลับไปกับพวกเขาแก่ลู่ยาในงานเลี้ยง เขาจิบเหล้าตอบรับคำหนึ่ง และไม่ได้พูดอะไรต่อ
มู่จิ่วตื่นเต้นยินดีไปตามพวกเขา เหลือบสายตามองลู่ยาที่คุยเล่นกับราชาเสือขาวแล้วรู้สึกว่าต่างจากปกติอยู่เลาๆ
ลู่ยาตัดสินใจพักอยู่อีกหนึ่งวันก่อนกลับ ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ยังอยากสืบหาเรื่องเกี่ยวกับชายเสื้อเขียวผู้นั้นให้มากขึ้น
แต่เขาไม่ได้พูดเรื่องนี้กับมู่จิ่ว เขาไม่อยากให้นางเห็นว่าตนใส่ใจท่าทางที่ชายผู้นั้นมีต่อนาง ถึงแม้ปกติเขาชอบคิดเล็กคิดน้อย แต่เขากับนางต่างรู้ดี อาการหึงหวงเล็กๆ เหล่านั้นเป็นเพียงสีสันชีวิตคู่ ถึงแม้จะขัดแย้งและไม่พอใจ แต่ไม่กระทบกับความรู้สึกระหว่างพวกเขาอย่างแท้จริง
ทว่าครั้งนี้ไม่เหมือนกัน การปรากฏตัวของชายเสื้อเขียวทำให้เขาระแวดระวังขึ้นอย่างน่าประหลาด
มู่จิ่วรู้สึกเพียงว่าลู่ยาใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เข้าใจไปว่าเขาเหนื่อย ตอนแรกยังตั้งใจจะตอบรับคำชวนไปชมทิวทัศน์ยามค่ำคืนของเหลียงจีและเข้าร่วมงานเต้นรำรอบกองไฟบนภูเขา แต่เมื่อเห็นเช่นนี้จึงปฏิเสธไป หลังมื้ออาหารก็กลับไปยังหอเล็กกับลู่ยา
จื่อจิ้งก็ถูกพวกาชาเสือขาวขนานนามว่าเป็นวีรบุรุษเพราะพวกลู่ยา ครอบครองโต๊ะแต่เพียงผู้เดียว ราชาเสือขาวยังส่งอาฝูมาอยู่ด้วยเป็นพิเศษ
เห็นถาดเนื้อขนาดใหญ่ตั้งอยู่ตรงหน้าอาฝู จื่อจิ้งรู้สึกดูแคลนยิ่งนัก เมื่อมาถึงโหย่วเจียงเขาถึงได้รู้ว่า ที่แท้ห้องที่ว่างอยู่ในบ้านกัวเก็บไว้ให้เสือตัวหนึ่งเท่านั้น ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจและไม่เป็นธรรมยิ่งนัก ถึงแม้เขาไม่ใส่ใจว่าจะอยู่ที่ไหน แต่ทุกคนในบ้านล้วนมีห้องพัก มีเพียงเขาเท่านั้นที่นอนใต้ชายคาบ้าน ช่างเกินไปแล้ว!
“ขอเจรจากับเจ้าสักเรื่อง” เขาดึงถาดเนื้อของอาฝูออกไป
อาฝูไม่พอใจกระดิ่งที่กล้าด่าทอลู่ยา คิดไม่ถึงว่าเขาเพิ่งจากบ้านมาได้ไม่นาน รุ่ยเจี๋ยกลับมีเพื่อนใหม่แล้ว เขาไม่ชอบใจนัก
“เรื่องอันใด?” เขาเหลือบตามอง
……………………………………………
บทที่ 294 อาจารย์หายไป
โดย
Ink Stone_Romance
“หลังจากกลับไปสวรรค์แล้วแบ่งพื้นที่เตียงให้ข้าครึ่งหนึ่ง ข้าอยากอยู่ห้องเจ้า” จื่อจิ้งยกเท้าขึ้นเหยียบบนเก้าอี้ข้างหนึ่ง แสดงท่าทางหากเจ้ากล้าไม่เชื่อฟังพี่ชาย ก็อย่าหาว่าเขาไม่ไว้หน้า
เป็นเรื่องนี้เอง เข้าใจว่าเป็นเรื่องใหญ่อันใดเสียอีก
อาฝูเหลือบมองเขา เลียน้ำแกงในถาดก่อนเอ่ย “เช่นนั้นเจ้าจะแย่งรุ่ยเจี๋ยกับข้าหรือไม่?”
“จิ้งจอกน้อยตัวนั้นหรือ? เจ้าสนิทกับเขา?” จื่อจิ้งถาม
อาฝูไม่ตอบ ไม่ญาติดีกับเจ้าก็พอแล้ว
“นี่ไม่ดีหรือไร? เจ้าไปอยู่ห้องเดียวกับเขาเลย แล้วยกห้องของเจ้าให้ข้า ว่าอย่างไร?” จื่อจิ้งรู้สึกว่าตนเองฉลาดมาก คนฉลาดเช่นเขาเหตุใดจึงไม่มีคนเห็นคุณค่า? พวกเขาไม่มีตาหรือ?
ฟังแล้วมีเหตุผลยิ่งนัก อาฝูก้มหน้าครุ่นคิด เขาย้ายไปอยู่กับรุ่ยเจี๋ยย่อมสามารถเล่นกับเขาได้ตลอดเวลา และเฝ้าระวังว่าจื่อจิ้งจะแย่งชิงรุ่ยเจี๋ยกับตนอย่างไร
เขาก้มหน้าลงขอบถาดเนื้อ เลื่อนมันเข้ามา เอ่ยว่า “เอาละ” ก่อนพูดอีก “เช่นนั้นเจ้าจะกลับไปเมื่อไหร่?”
ถึงแม้อยู่กับรุ่ยเจี๋ยก็ดี แต่กระดิ่งนี่ไม่อยู่ด้วยมิใช่ยิ่งดีกว่าหรอกหรือ?
“ข้ายังไม่ไป!” จื่อจิ้งดื่มเหล้า เผ็ดร้อนจนต้องแลบลิ้นออกมา “ข้ารับคำสั่งของเซิ่งจุนมา ต้องคุมความประพฤติของอาจารย์เจ้า และนำตัวอาจารย์ของมู่จิ่วกลับมาก่อนถึงจะกลับไปได้”
“อาจารย์ของพี่สาว?” อาฝูนึกถึงหลิวหยางที่อ่อนโยนผู้ป้อนยาเซียนให้เขา “เขาไปไหนแล้ว?”
“ลู่ยาทำให้เขาตกใจหนีไปแล้ว!” จื่อจิ้งก้มหน้าลงกินข้าว
ตกใจหนีไป? อาฝูคาบกระดูกชิ้นใหญ่ไว้ในปาก ไม่ได้กินมันและไม่ได้วางลงไป
ลู่ยาออกเดินทางในเช้าวันถัดมา มู่จิ่วช่วยเหลียงจีเยียวยารักษาทหารผ่านสงคราม เมื่อวานทั้งอาณาจักรล้วนยินดี ผลกระทบจากสงครามจึงปรากฏออกมาในวันนี้ เป็นปัญหาของอาณาจักรอันดับแรก
หนานเซียงกำราบโหย่วซยงไว้ได้แล้ว วันนี้โหย่วเจียงทำลายหนานเซียงจนสิ้นซาก สามอาณาจักรย่อมรวมเป็นหนึ่ง แต่ก่อนกำลังทหารมีเพียงหนึ่งอาณาจักร บัดนี้ขยายออกเป็นสามเท่า จากนั้นต้องแยกจัดการคนของโหย่วซยงและเสือลายเหลืองของหนานเซียง รวมทั้งเผ่าพันธุ์อื่นๆ ตัดสินใจว่าไม่อาจให้แต่งงานร่วมกันได้ จึงเลือกวางแผนจัดการอย่างเร่งด่วนมาก
ส่วนเรื่องที่เหลือคือต้องระวังไม่ให้เกิดสงครามกับอาณาจักรอื่นที่คิดอาศัยโอกาสชิงหนานเซียงและโหย่วซยง เรื่องเหล่านี้ต้องการกำลังความสามารถมาก การที่เหลียงจีบอกว่าต้องการผู้สืบทอดที่ยิ่งฉลาดและมีความสามารถจึงเป็นเรื่องมีเหตุผล
แต่เรื่องที่มู่จิ่วทำได้นั้นมีจำกัด นางไม่เข้าใจเรื่องในอาณาจักร จึงไม่สามารถเข้าร่วมการประชุมวางแผนการจัดการอาณาจักรได้ มิสู้กลับไปเร็วหน่อย ไม่ให้พวกเขาต้องคอยแบ่งเวลามาดูแลนางจะดีกว่า
เช่นนั้นแล้ว หลังจากลู่ยากลับวังมาตอนบ่าย พวกเขาจึงพาอาฝูกลับสวรรค์ไป
ตอนจะจากไปอาฝูอาลัยอาวรณ์อยู่บ้าง แต่อารมณ์ของทุกคนดีไม่เลวนัก คอยปลอบใจเขาตลอดเวลา เสือน้อยจึงไม่ร้องไห้
เพิ่งเข้าไปตรงปากถนนของประตูบ้าน เขาก็ก้าวเท้าวิ่งเข้าไป ใช้อุ้งเท้าผลักประตูที่ไม่ได้ลงกลอนก่อนร้องเรียก “เสี่ยวซิง!”
เสี่ยวซิงที่กำลังร้อยเข็มอยู่ตรงระเบียงทางเดินได้ยิน เข็มเกือบจะทิ่มเข้านิ้ว ครั้นเงยหน้าขึ้นมามอง เห็นเสือขาวที่พูดได้แล้วเอียงคอมองนางอยู่ด้านหน้าก็ตกใจทันที!
“อาฝู?!”
“อาฝูอยู่ไหน?” หัวเล็กๆ โผล่ออกมาจากหลังต้นท้อ รุ่ยเจี๋ยกระโจนมาจากหลังต้นไม้ เมื่อเห็นอาฝูก็ทิ้งหมากกระดานในมือ วิ่งเข้าไปหาทันที!
หมากกระดานกระเด็นไปโดนใบหน้าซ่างกวนสุ่น เขาจึงส่งเสียงร้องอย่างโกรธเคือง “เจ้าจิ้งจอกน้อยอยากฆ่ากันก็บอกมาตรงๆ!”
แต่รุ่ยเจี๋ยที่เข้าไปหาอาฝูย่อมไม่สนใจว่าเขาพูดอะไร อาฝูกลับมาแล้ว รุ่ยเจี๋ยไม่จำเป็นต้องฆ่าเวลากับซ่างกวนสุ่นอีก!
“เด็กน้อยยิ่งนัก!”
จื่อจิ้งกอดอกหน้าเชิดขึ้นฟ้า วิ่งผ่านพวกเขาไปยังลานด้านหลัง
เมื่อพวกเขากลับมาแล้ว เสี่ยวซิงก็อดถามความเป็นไปไม่ได้ มู่จิ่วจึงเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง เสี่ยวซิงกุมอกก่อนเอ่ย “อันตรายเช่นนี้เชียว!” นางอยู่ที่สวรรค์ทุกวัน ความบาดหมางร้ายแรงที่สุดที่นางเคยเห็นคือการทะเลาะกันของอิ่นเสวี่ยรั่ว หยางอวิ้น และอวี๋เสี่ยวเหลียนที่ลานจื่อหลิง นอกจากนั้นก็สงบสุขมาตลอด ไหนเลยจะมีความโหดร้ายเช่นนี้?
เมื่อเปรียบเทียบแบบนี้ ทำให้รู้สึกว่าสวรรค์เป็นสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุดแล้ว
มู่จิ่วไหนเลยจะไม่คิดแบบนี้? ถึงแม้อยู่ที่นี่แล้วปวดหัวไม่น้อย แต่อย่างไรช่วงเวลาที่สงบสุขก็มีอยู่มาก ทัพทหารสวรรค์ก็ไม่ได้ป่าเถื่อนอย่างที่นางจินตนาการไว้ ถึงแม้ทุกครั้งที่ทำคดีจะมีเรื่องหนักใจไม่น้อย แต่ยังดีที่มีลู่ยาคอยช่วยเหลือจนคลี่คลายคดีสำเร็จ
เสี่ยวซิงส่งชามน้ำแกงให้นาง และส่งอีกชามเพื่อให้นางส่งให้ลู่ยา ก่อนเรียกเหล่าเด็กน้อยมากินอะไรสักหน่อย
มู่จิ่วยกน้ำแกงไปยังด้านในโถง ตอนผ่านห้องอาฝู นางพลันถอยหลังกลับมา “ทำไมเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่?”
ในห้องนั้น จื่อจิ้งม้วนผ้าห่มของอาฝูเรียบร้อยแล้ว ทั้งยังนำผ้าห่มของตนเองปูไว้บนเตียงเรียบร้อย เขาทำความสะอาดสิ่งของรกรุงรังบนโต๊ะพลางพูดไป “ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ห้องนี้เป็นของข้าแล้ว!”
“ใครบอกเจ้าเนี่ย?” มู่จิ่วไม่อยากเชื่อ
“ข้าตกลงกับเสือน้อยเรียบร้อยแล้ว!” จื่อจิ้งเอ่ยพลางส่งผ้าห่มของอาฝูให้มู่จิ่ว “ฝากเจ้าเอาไปหน่อย!”
พูดจบก็ปิดประตูลง ทั้งยังลงกลอนอีก!
มู่จิ่วสำลักจนเกือบหายใจติดขัด!
“เจ้าเข้าใจผิดหรือไม่! ที่นี่คือบ้านข้า!”
“ข้าเป็นของวิเศษของเซิ่งจุนรอง หากต่อจากนี้เจ้าไปสวรรค์อันสูงส่ง ต้องการคบหากับวังจิตกระจ่าง ไม่แน่ว่าอาจต้องร้องขอข้า!”
…ตลกแล้ว!
มู่จิ่วโกรธจนเกือบกระอักเลือด!
ชั่วครู่หนึ่งจึงไปวางน้ำแกงที่ห้องลู่ยาก่อนอุ้มผ้าห่มไปหาอาฝู
อาฝูกำลังเล่าเรื่องต่างๆ ให้รุ่ยเจี๋ยฟังอยู่ที่ห้องของจิ้งจอกน้อย มู่จิ่วเดินเข้าไป วางผ้าห่มลงก่อนถาม “อาฝู เรื่องของจื่อจิ้งนั่นเป็นอย่างไรกันแน่! เจ้าให้เขาเข้าไปอยู่ห้องเจ้าหรือ?”
อาฝูมองรุ่ยเจี๋ย หลบไปอยู่ข้างเขาก่อนเอ่ย “ข้าอยากอยู่กับรุ่ยเจี๋ย”
มู่จิ่วชี้เขา พูดไม่ออกอยู่นาน!
เจ้าเด็กขี้แพ้ ไม่รู้ว่าห้องในบ้านนี้ไม่พออยู่ แล้วยังให้เขาเอาเปรียบแบบนี้อีก!
อาฝูเห็นนางโกรธ จึงรีบออกมาหมอบอยู่บนพื้น เอาหัวอ้วนๆ ถูนาง “เขาบอกว่ารออาจารย์ตามหาอาจารย์ของพี่สาวเจอก็จะกลับแล้ว อยู่ที่นี่ไม่นานหรอก รอเขากลับไปข้าก็ย้ายกลับแล้ว”
“ตามหาอาจารย์ข้า?” มู่จิ่วอึ้ง หันมาถามทันที “อาจารย์ข้าไม่ได้อยู่ที่หงชางหรือ? ทำไมลู่ยาต้องตามหาเขา?”
อาฝูก้มหน้าพูด “จื่อจิ้งบอกว่าอาจารย์ทำให้อาจารย์ของพี่สาวตกใจหนีไปแล้ว ตอนนี้ไม่รู้อยู่ที่ไหน”
ลมหายใจมู่จิ่วติดอยู่ที่ลำคอ สูดไม่เข้า จะพ่นออกมาก็ทำไม่ได้…
ลู่ยาทำให้หลิวหยางตกใจหนีไปแล้ว?
มู่จิ่วอ้าปากค้างอยู่นาน พลันหมุนตัวไป พุ่งทางประตูอย่างรวดเร็วราวสายลม
“พี่สาว!” อาฝูเห็นนางจากไปเลยรีบตะโกนเรียกแล้วตามออกไปเช่นกัน
………………………………………
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น